27 สิงหาคม 2558

เที่ยวงานวัด

"ครูประสาน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอ่างทอง

สมัยเด็กผมอยู่วิเศษชัยชาญ อ่างทอง เมืองวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจัน ก่อนที่กรุงจะแตกไงครับ ฮีโร่บ้านผมคือนายดอกและนายทองแก้ว แต่พวกบ้านผมจะเรียกท่านว่า "ปู่ดอก" กับ "ปู่ทองแก้ว" คนต่างถิ่นอย่ามาทำอุตริเรียกชื่อท่านติดต่อกันเชียว พวกผมโกรธจริงๆ เอ้า

แม่น้ำน้อยคือสายเลือดใหญ่ของเราครับ หล่อเลี้ยงชีวิตชาววิเศษฯ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ริมฝั่งมีทั้งมะม่วง มะพร้าว ขนุน กระท้อน มะปราง...ไหนจะมีต้นมะกอกน้ำตกลูกสะพรั่ง เอามาดองจิ้มกะเกลือที่อร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ

ที่สำคัญคือ ทั้งสองฟากฝั่งลำน้ำน้อยอันร่มรื่นน่ะ มีวัดเก่าแก่เรียงรายกันอยู่หลายสิบวัด สาเหตุเพราะสมัยก่อนมีเศรษฐีตายลงที พวกลูกๆหลานๆ หรือญาติมิตรเขานิยมสร้างวัดอุทิศส่วนกุศลให้ซีครับ ใครมีเวลาขอเชิญไปทำบุญ 9 วัดที่วิเศษชัยชาญได้เลย! ถ้าทำเสร็จในวันเดียวเชื่อว่าจะได้กุศลแรงนะครับ จะบอกให้

วัดบ้านผมตั้งชื่อสั้นๆ และจำง่าย อย่างวัดอ้อย, วัดไร่, วัดตูม, วัดข่อย, วัดฝาง อะไรพวกนี้แหละ ตอนเช้าๆ เย็นๆ เสียงพระเจ้าท่านสวดมนต์แทบจะดังสอดประสานกันไปทุกคุ้งน้ำก็ว่าได้

ที่แย่หน่อยก็คือเสียงตีระฆังทำให้หมูหมาพลอยโก่งคอหอนโหยหวน ฟังแล้วเยือกเย็นวังเวงใจพิลึกละ คุณเอ๋ย

บางวัดแปลกหน่อย คือมีหอระฆังขึ้นไปสูงเชียว แต่ว่าใต้หอนั่นยังมีกลองใบเบ้อเร่อตั้งเด่นอยู่ด้วย...วัดดีคืนดีไม่รู้ใครอุตริไปตีกลองเล่นตอนดึกๆ เล่นเอาเด็กๆ ที่อยู่หลังวัดอย่างพวกผมขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กัน

กลัวผีน่ะซีครับ ทำไมจะไม่กลัว แต่พอถึงเทศกาลมีงานวัดครึกครื้น ผู้คนออกไปเที่ยวเตร่กัน พวกหนุ่มสาวแต่งตัวสวยๆ งามๆ ไปเกี้ยวกัน...พวกผมก็อดไปเที่ยวไม่ได้ซักที

คืนหนึ่ง เที่ยวเพลินจนโดนผีหลอกเอาเจียนตายเชียวคุณเอ๋ย!

พวกผมมีเจ้าเบี้ยว, เจ้าจั่น, เจ้าเปีย และก็ผม...เดินเที่ยวงานสนุกครึกครื้น มีแสงสีวูบวาบน่าตื่นเต้น เราไม่ค่อยสนใจหนังหรือลิเกหรอกครับ แต่ชอบเดินดูสาวๆ หนุ่มๆ เขาเดินคลอคู่กระจู๋กระจี๋กันมากกว่า...พูดตรงกันว่า เมื่อไหร่จะเป็นหนุ่มซักที? จะได้เดินควงสาวๆ กับเขามั่งน่ะซี! แฮ่ะๆ

เฮ้อ...ต้องรอไปอีกหลายปีละนะครับ พับผ่า!

อ้อ! ตอนมองนี่ต้องระวังหน่อย ทำเมินๆ เหมือนไม่ได้สนใจจริงจังเพราะรู้จักกันทั้งนั้น...นั่นพี่มะลิดอกใหญ่เดินอกตั้ง นี่พี่ลำดวนหน้าหวานเหมือนตาลเฉาะ โน่นพี่คัดเค้าสะโพกโอ่โถง ควงหนุ่มรุ่นพี่มาทุกคนเลย....

มัวแต่มองเพลินจนเกือบอดกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเจ๊กกี่ ดีแต่ว่าเจ้าเบี้ยวมันชวน...เสร็จสรรพก็ต่อด้วยขนมใส่น้ำแข็งไส ถั่วต้ม แล้วซื้ออ้อยที่เขาปอกเปลือกแล้วมาเดินแทะแก้เหงาปาก เดี๋ยวคนนั้นทัก คนนี้ทัก แต่ตาพวกเราน่ะคอยมองรุ่นพี่เขามากกว่า...อยากรู้ว่าเขาจะไปไหนกันน่ะซีครับ?

โน่น...ลงบันไดหายไปทางท่าน้ำ บางคู่ก็หลบไปทางซุ้มไม้ริมตลิ่ง แต่บางคู่ก็เกี่ยวก้อยกันกลับ...เจ้าเปียพึมพำว่าคงจะไปหาที่ลับหูลับตาคนพลอดรักกันละมั้ง?

ตกดึกงานเลิก ผู้คนทยอยกันกลับเป็นกลุ่มๆ เจ้าจั่นยังเป็นห่วงคู่ที่หายลงบันไดท่าน้ำ ผมบอกว่าป่านนี้เขาคงนอนชมดาวกันเพลินไปแล้วละน่า...ว่าแต่พวกเราเถอะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็โดนผีหลอกตายห่....

คราวนี้พวกเพื่อนๆ หันมาด่าผมใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้าน!

หันมองข้างหลัง แหม...ทั้งมืดสลัวทั้งเยือกเย็นพิลึก เสียงลมพลิกใบไม้ดังวู่หวิว ทำไมผู้คนหายไปไหนหมดเร็วจัง ขณะเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ใต้เงาไม้มืดครึ้ม เจ้าเบี้ยวก็บอกว่า...มีเพื่อนแล้วโว้ยพวกเรา ไม่ต้องกลัวผีหลอกกลางทาง

ถอนใจโล่งอกไปตามๆ กันเมื่อเห็นชายร่างผอมสูงเดินเทิ่งๆ อยู่ข้างหน้า แสงดาวระยิบระยับทำให้นึกถึงลุงเผื่อนหรือน้าหวิง เพราะแกรูปร่างแบบนี้แหละ

"น้าๆ รอด้วย!" เจ้าเปียปากไวร้องขึ้น "ช่วยรอพวกฉันหน่อยซี่! "

ดูเหมือนร่างที่เดินเหย่าๆ นำหน้าจะชักนิดหนึ่ง ก่อนหันมามองแวบๆแล้วออกเดินต่อไม่แยแส เราชักฉุน บอกให้ช่วยกันรีบเดินให้ทันแก แต่แปลกครับ...เราว่าเร่งขากันแล้วนา แต่ไม่ยักทัน แถมระยะยังห่างเท่าเดิมอีกด้วย

ถึงมะพร้าวใหญ่โดดเด่นตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ร่างที่นำหน้าก็ชะลอนิดหน่อยราวเกิดใจอ่อนสงสารเด็ก เจ้าเบี้ยวถลาออกหน้าก่อนจะชะงักงัน ร้องว่า...กูตาฝาดหรือเปล่าวะ?

พวกเราก็ชะงักกึก ผมเห็นชัดๆ ว่าชายผอมสูงยืนรอเราอยู่ 2 คน ทั้งๆ ที่ตอนแรกเดินมาคนเดียว เจ้าเปียร้องเรียก "น้าๆ" ขึ้นอีก ชายทั้ง 2 ก็หันหน้ามาช้าๆ แต่เราเห็นถนัดตาว่า แกหันแต่หน้า ส่วนลำตัวไม่ได้หันด้วยเลย!

เกิดเสียงคล้ายกระดูกหักดัง...กร๊อบ!!

"เฮ้ย!!" คราวนี้ไม่รู้ว่าใครร้อง เพราะใบหน้าทั้ง 2 ที่หันมาพร้อมกัน จนเห็นในแสงดาวนั่นน่ะมีแต่หน้าขาววอก ไม่มีตา จมูกและปากใดๆท่ามกลางสายลมพัดฮือจนยอดไม้ครวญคราง เสียงเหมือนใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กันราวกับขบขันเต็มประดา

"ผีหลอกโว้ย" ผมได้ยินเสียงไอ้เบี้ยวแผดลั่นอยู่ข้างหู โลกคล้ายจะหมุนกลับ ฟ้าถล่มโครมคราม พวกเราแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้นอนซมไปตามๆ กัน ไม่ถึงกับช็อกตายก็บุญโขแล้วครับ! 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  27 สิงหาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น