นิมิต เล่าถึงคืนหนึ่งที่มีบางสิ่งจากมิติอื่นเข้ามาหาเขา
เจ้าอู เพื่อนผมมีไร่สับปะรดอยู่ที่ปราณบุรี ที่จริงไม่ใช่ของมันหรอกครับ ของพ่อมันต่างหาก ท่านซื้อไว้เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อนโน่นแน่ะ เจ้าอูบอกผมเนื้อที่ตั้งยี่สิบกว่าไร่อยู่ใกล้ทะเลด้วย ถึงจะไม่ติดชายหาด แต่ก็ห่างแค่เดินไปไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว
ในเนื้อที่อันกว้างใหญ่นี้มีบ้านสองชั้นหลังย่อมๆ เป็นที่อยู่ของคนเฝ้าไร่และทางอีกด้านหนึ่งของที่ดิน ที่เป็นด้านใกล้ทะเลก็มีบังกะโล ปลูกเป็นเรือนไม้ยาวๆ ชั้นล่างมีห้องนอนสองห้องและห้องกินข้าวที่กว้างขวางใช้เป็นที่นั่งเล่น ดูทีวีได้อย่างสบายอารมณ์ สำหรับครัวและห้องน้ำปลูกยื่นออกไปทางข้างบ้าน บันไดที่จะขึ้นชั้นบนอยู่ติดกับห้องน้ำ ชั้นบนนี้เปิดโล่งตลอดไม่มีฝากั้นห้อง นอนเรียงกันได้เป็นสิบยี่สิบคนเลยล่ะครับ
บังกะโลหลังนี้ เจ้าอูบอกว่าเป็นสิ่งที่ติดมากับที่ดิน มันจึงเก่าแก่มากเอาการอยู่ แต่ก็ดูแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ นี่แสดงว่าช่างแต่ก่อนมีฝีมือดี วัสดุก็มีคุณภาพความคงทนสูง ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่ปลูกบ้านไม่ทันไร ก็ต้องเสียค่าซ่อมโน่นซ่อมนี่ เผลอๆ จะโกงกินเงินของเราเสียด้วยซ้ำ
ผมชอบบรรยากาศในบ้านไร่สับปะรดของเจ้าอูจริงๆ ครับ มันดูสบาย ห่างไกลจากมลภาวะ ปิดเทอมทีไร เจ้าอูจะชวนผมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่นี่กัน ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครปฏิเสธ ส่วนมากเรารวบรวมสมัครพรรคพวกไปด้วยกันเป็นสิบคน นั่งรถทัวร์ไปด้วยกัน บางปีก็ไปรถตู้ของคุณพ่อเจ้าอู
ปีก่อนตอนปิดเทอม ม.5 เราไปกันสิบเอ็ดคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย นั่งรถตู้มีคนขับรถพ่อเจ้าอูขับไปให้และอำนวยความสะดวกตลอดห้าวันที่เราอยู่ที่นั่น
ทุกๆ เย็น ราวบ่ายสี่โมง เราจะนั่งรถตู้ไปที่ชายหาด พอใกล้มืดเต็มทีก็จะกลับมาอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อออกไปหาอาหารกินกันสนุกมาก บางคืนก็เข้าหัวหิน กลับดึกๆ และไม่นอนทั้งคืนเลย เราเล่นกีตาร์และคาราโอเกะกันที่ชั้นล่าง ใครง่วงก็ขึ้นไปนอนข้างบน แต่เรามักจะอยู่กันจนเช้า ให้สมภพคนขับรถไปซื้อโจ๊กกับเลือดหมูมากินกันก่อนเข้านอน
ก่อนกลับวันหนึ่ง ผมท้องเสียอย่างแรง สงสัยหอยแมลงภู่นึ่งนั่นแน่ๆ สรุปว่าเย็นนั้นผมไม่ได้ไปทะเล และไม่ได้เข้าหัวหินกับเพื่อนๆ หมดสนุกเลยครับ ต้องกินยาและนอนหมดเรี่ยวหมดแรง ดีนะที่มีเจ้าโหน่ง เพื่อนที่แสนดีอาสาอยู่เป็นเพื่อน คนอื่นๆ ก็เลยไม่กังวลและออกไปเที่ยวส่งท้ายสบายใจ
ตอนกลางวัน กับตอนเย็นๆ ที่เพื่อนไปเที่ยวทะเลกันน่ะ อยู่ทางนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอกลางคืนสิครับ พอพวกเขาขึ้นรถตู้กันไปแล้ว เหลือผมกับโหน่งสองคน บรรยากาศมันวังเวงพิกล ผมดูทีวีอยู่ชั้นล่างจนห้าทุ่มแน่ะ เพื่อนๆ ยังไม่กลับมาเลย แต่ก็โทร.มาถามอาการอยู่บ่อยๆ ผมอาการดีขึ้น หยุดถ่ายแล้ว หายปวดท้องแล้วด้วย เหลือแค่อาการอ่อนระโหย
ห้าทุ่มสิบนาทีผมชวนโหน่งขึ้นข้างบนเพราะง่วงมาก โหน่งบอกว่านอนเลยก็ดี พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว เราดับไฟนอน แต่ชั้นล่างก็ยังเปิดไฟสว่างอยู่
บังกะโลทั้งหลังเงียบกริบ มีแต่เสียงหริ่งหรีดเรไร
ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมา เสียงนั้นชัดเจนมาก มันต้องมีใครบางคนใส่รองเท้าแตะ เดินแชะๆ มาตามขั้นบันได
ผมผงกหัวขึ้น โหน่งก็เช่นกัน เรามองหน้ากันในความมืด
"ใครน่ะ? คนเฝ้าไร่หรือโจร?" โหน่งกระ ซิบกระซาบ แต่เสียงนั้นเงียบไปแล้ว เหมือนคนคนนั้นหยุดยืนตรงหัวบันไดนิ่งอยู่ เรากลั้นหายใจ เพ่งมองไปตรงนั้นว่าประตูจะเปิดเข้ามาเมื่อไหร่ เราต้องต่อสู้กับใคร? แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ
และแล้ว เสียงรองเท้าแตะแชะๆ ก็เริ่มต้นที่ชั้นล่างอีกแล้วเดินขึ้นมาหยุดที่หน้าประตูเหมือนเดิม ไม่มีเสียงเดินลงไป มีแต่เสียงเดินขึ้นมา
ในเที่ยวที่สาม มันมีเสียงร้องไห้เพิ่มเข้ามาด้วยครับแสดงว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเป็นผู้หญิงแน่ๆ พอเดินมาถึงข้างบนก็เงียบไป
โหน่งกระซิบเสียงสั่น "ผีแน่ว่ะ!"
ผมบอกว่าจะไปดูซิว่าอะไรกันแน่ กลัวน่ะกลัวแต่อยากรู้ เจ้าโหน่งแทบร้องไห้ บอกว่าอย่าดูเลยเดี๋ยวเกิดเห็นอะไรเข้าจะขาดใจตายซะเปล่าๆ
ผมย่องไปมองที่หน้าต่าง เชื่อไหมครับ เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว แต่ท่ามกลางแสงไฟผมไม่เห็นอะไรเลย นอกจากบันไดและฝาบ้าน ...สาธุ!
ขณะที่เราสองคนกลัวแทบหัวใจจะวาย เพราะเสียงคนร้องไห้ขึ้นบันได มันดังเป็นเที่ยวที่หกแล้วนั้น เพื่อนๆ ก็กลับมา เสียงเฮฮา คุยกันจ้อกแจ้กเป็นนกกระจอกแตกรัง ดังขึ้นแทนที่ เฮ้อ! ผีสู้เด็กแก๊งนี้ไม่ได้หรอกครับ
ผมกับโหน่งอุบเงียบจนเข้ากรุงเทพฯ ถึงเล่าให้เจ้าอูฟัง มันบอกว่าเจ้าของเดิมแย่งสมบัติกันจนต้องขายที่เอาเงินมาแบ่งกัน เสียงนั้นคงเป็นใครคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น