21 สิงหาคม 2558

ฝากหมอน

"ศักดิ์ชาย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมุกดาหาร

ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนกลัวผี สาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาไปค้นหา เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ต่อให้รู้แน่ว่าเกิดจากอะไรผมก็ยังคงกลัวผีต่อไปตามเดิม

บางคนบอกว่าคนเราไม่ได้กลัวผีหรอก แต่กลัวความมืดต่างหาก เนื่องจากเราไม่รู้ไม่เห็นว่าในความมืดนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่...คือเชื่อว่าผีจะซุ่มตัวอยู่ในที่มืดๆ น่ะซี!

คิดอีกที ผมว่าน่าจะอยู่ที่ความเงียบสงัด เยือกเย็นน่าวังเวงใจมากกว่า โดยเฉพาะในตอนที่เราต้องอยู่คนเดียว ไม่ว่านอกบ้านในบ้าน หรือแม้แต่ในห้องนอน ถ้ามีใครอยู่เป็นเพื่อนก็จะทำให้อุ่นใจ เผลอๆ ก็ไม่ได้คิดเรื่องผีๆ สางๆ เราถึงได้ยินคนพูดกันว่า "อยู่เป็นเพื่อน" หรือ "ไปเป็นเพื่อน" จนชินหู

เมื่อต้นปีนี้เอง ผมต้องไปนอนที่โรงแรมจังหวัดมุกดาหารกับเพื่อนสนิทชื่ออ๋อ...เจอดีเข้าอย่างจังๆ เชียวแหละ คุณเอ๋ย...

ปกติผมไม่ชอบนอนค้างในโรงแรมอยู่แล้ว บ้านช่องก็อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าไปต่างจังหวัดก็นอนห้องเดียวกับลูกเมีย หรือไม่ก็กับเพื่อนฝูงที่สนิทกัน นิสัยไม่ชอบนอนร่วมห้องกับคนที่สนิทสนม โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด

อ้าว? ทำไมต้องนอนกับคนแปลกหน้าล่ะ?

ไม่ต้องดูอื่นดูไกลหรอกครับ เช่นเวลาเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ถ้าไปคนเดียวเขาก็จะจัดให้เรานอนร่วมกับคนอื่น หรือไม่เราก็ต้องจ่ายค่าห้องเพิ่ม..... ผมเลือกอย่างหลังทุกครั้ง ลองคิดว่าจะต้องไปนอนร่วมห้องกับคนแปลกหน้า หรือเพิ่งรู้จักกันผิวเผิน ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจนถึงหลับนอน...แค่คิดก็ขนลุกแล้วละครับ

เจ้าอ๋อชวนผมไปเที่ยวกับทัวร์ มีมุกดาหาร ข้ามโขงไปสุวรรณเขต, เข้าเวียดนามตอนกลาง...เรียกว่าไปทัวร์อีก 2 ประเทศ ครอบครัวเราไม่สะดวกทั้งคู่...เข้าล็อกพอดี!

ไม่คิดจะนำเที่ยวนะครับ แต่เล่าเรื่องขนหัวลุก ผมเลยขอตัดตอนจากการเดินทางและชมเมืองมุกดาหาร รวมทั้งการกินอยู่มื้อค่ำ...เสร็จสรรพก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนในโรงแรมระดับ 4 ดาว เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนเตียงใครเตียงมัน มีโต๊ะวางโคมไฟและโทรศัพท์คั่น ปิดไฟปิดทีวีเรียบร้อย

เราพูดคุยกันไม่นาน เสียงเจ้าอ๋อก็ขาดหาย กลายเป็นเสียงหายใจแรงๆ และสม่ำเสมอดังขึ้นแทน...หลับง่ายจนน่าอิจฉาจริงๆ เพื่อนผมน่ะ

ทั้งห้องเงียบสงัด มืดสลัว มีแต่แสงไฟจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้เท่านั้น!

ผมพลิกไปพลิกมา ทำท่าจะหลับแต่กลับตาแข็งดื้อๆ นึกถึงแต่เรื่องผีๆสางๆ ทั้งที่ไม่เคยนึก...ไม่ได้กลัวผีนะครับเพราะมีเพื่อนนอนอยู่ด้วยทั้งคน แต่นึกไปถึงตอนที่เคยนอนในโรงแรมคนเดียว เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวเหนือเมื่อ 2-3 ปีก่อน

จำได้ว่าคืนนั้นกลัวผีที่สุดในชีวิต!

ลืมเล่าไปว่า ถ้าต้องนอนคนเดียวผมเคยทั้งกลัวผีกับไม่กลัวเลย รู้สึกเฉยๆ ก็มี...ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่คุยกับเพื่อนฝูงหลายคนเขาก็บอกว่ารู้สึกคล้ายๆ กัน

คืนนั้นกลัวมากเลยครับ ทั้งที่ห้องหับสวยงามและสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นอับใดๆ แถมไร้เสียงกุกกักก๊อกแก๊กที่จะทำให้ขวัญผวา แต่ไม่รู้มีอะไรทำให้หวาดระแวงไปร้อยแปด...ตอนแรกคิดว่าเปิดไฟนอนดีกว่า แต่พลิกไปมาสักครู่ก็ขนหัวลุกเมื่อนึกได้ว่า ถ้าเราลืมตาขึ้นมาเห็นใครมายืนมองอยู่ข้างๆเตียงมิช็อกตายคาที่เรอะ?

ในที่สุดก็ตัดสินใจปิดไฟ บอกตัวเองว่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาปรากฏในห้องเราก็จะมองไม่เห็นแน่นอน...แต่เขาว่าผีจะซุ่มอยู่ในความมืดนี่นา คอยจ้องมองเราผู้เป็นเหยื่ออย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ ไม่รู้ว่ากระโจนเข้าใส่ตอนไหน!

ต้องลุกไปเปิดเบียร์ในตู้เย็นมาซด 2 กระป๋องถึงได้ข่มตาหลับลงได้

คืนนี้ก็เช่นกัน!

เสียงหายใจค่อนข้างแรงของเจ้าอ๋อยังดังอยู่สม่ำเสมอ ผมพลิกตัวอีกครั้ง อยากสูบบุหรี่ก็เกรงใจเพื่อนที่เลิกมาหลายปีแล้ว คิดว่าจะเข้าไปสูบในห้องน้ำ.

..รู้สึกปากคอแห้งผากขึ้นมาทันที...ถ้าผลักประตูเข้าไปเจอใครนั่งจ้องเขม็งมาล่ะ?

กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ก่อนจะนอนตัวแข็งทื่อราวโดนสาปในบัดดล

เสียงแก๊กที่ประตู...ผมหันขวับไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินโอบกอดกัน ยิ้มระรื่นเข้ามา แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวที่เพิ่งไปเดินชมเมือง กินอาหารเสร็จก็กลับมาพักผ่อนในห้อง

ใบหน้าที่ราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง ดูคมสันและสะสวยทั้งคู่ ทั้งสองพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข สาวสวยยิ้มหวาน กลีบปากแดงสดดูเย้ายวนใจ...เขาคงจะเข้าห้องผิดแน่ๆ ถ้างั้นไขกุญแจเข้ามาได้ยังไง? ในเมื่อผมเป็นคนล็อกประตูเรียบร้อยแล้วนี่นา

ถ้าเขาหันมาเป็นเรานอนทั้งสองเตียงจะตกใจแค่ไหน?

ผมจะร้องบอกเขาดีไหมนะว่าเข้าห้องผิด? เขาอาจจะสะดุ้งโหยงก็ได้...ถ้างั้นเอาแค่กระแอมกระไอก็พอ! ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะกระแอมแต่ก็ช้าเกินไป เมื่อหนุ่มสาวคู่นั้นจูงมือกันนั่งที่ขอบเตียงผมพอดี!

คุณพระช่วย! เขายังนอนไม่เห็นผม แม้ว่าจะโอบกอดลงมานอนติดๆ กัน เสียงพูดห้าวๆ ของผู้ชายกับเสียงคิกคักของผู้หญิงดังอื้ออึงเต็มสองหูผม ผู้นอนตัวแข็งทื่อ แทบจะกลั้นลมหายใจ...ได้กลิ่นเหงื่อและน้ำหอมจางๆ อวลกรุ่นมากระทบจมูก...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายกลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง

รุ่งเช้า ผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เจ้าอ๋อส่ายหน้าอย่างปลงๆ บอกว่าผมซดเบียร์มากตอนค่ำจนตาลายเอง...ผมตอนใจเหมือนจะยอมรับโดยดี กลัวเพื่อนจะช็อกตายเลยไม่อยากชี้ให้ดูรอยลิปสติกสีแดงที่ยังติดหมอนผมอยู่ตำตา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  21 สิงหาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น