24 สิงหาคม 2558

เสียงเรียกในราตรี

"รุ่งเรือง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยสารพัดช่าง

สมัยหนุ่มผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ ชื่อป้าสมร สามีชื่อลุงเติม บ้านอยู่ในซอยสารพัดช่าง บางขุนพรหม ป้ากับลุงเป็นข้าราชการอยู่ที่กระทรวงคมนาคมทั้งคู่

ทั้งสองมีลูกชายคนเดียว ชื่อตอม อายุราว 18-19 ปีเหมือนผม ตอมเป็นคนผิวขาว รูปหล่อ มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่ไม่สนใจการเรียน ชอบเที่ยวเตร่ ริอ่านสูบบุหรี่ บางคืนก็ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูงที่เป็นนักเลง กว่าจะกลับบ้านช่องก็ดึกดื่นเป็นประจำ

ตอมเปิดประตูรั้วสังกะสี แล้วมาเคาะประตูห้องผมที่เชิงบันได บางคืนก็ทะเลาะกับหมาที่ชอบเห่าหอนเกรียวกราวไปทั้งซอย

บ้านป้าสมรเป็นบ้านไม้สองชั้น ผมนอนชั้นล่างห้องเดียวกับตอมมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม จนผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วตอมก็ยังเอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ตามเดิม เมื่อถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้เรียนต่อตอมเสียไม่ได้ก็ไปสมัครเรียนวาดรูปที่โรงเรียนหน้าปากซอยนั่นเอง!

ที่นั่นเป็นห้องแถวไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เจ้าของและครูคือคนเดียวกัน อายุราวสี่สิบเศษ ร่างท้วม ผิวขาว ไว้หนวดจิ๋ม หน้าบวมฉุและแดงก่ำด้วยพิษเหล้า ชอบติดโบหูกระต่ายไว้เสมอ ตอมนินทาว่า...คนจะได้มองหูกระต่ายตลกๆ แทนมองหน้าแกไงล่ะ

ผมทนไม่ไหว ต้องเตือนแบบพี่น้องว่าเราเป็นลูกศิษย์เขา อย่านินทาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูเลย! แต่ตอมหัวเราะอย่างไม่สนใจ...ตอนเย็นก็ไปเรียนมั่งไปเที่ยวมั่ง แต่มักจะไปหาเพื่อนฝูงมากกว่าไปเรียน

ดึกๆ กลับมามักจะรู้เพราะได้ยินเสียงหมาเห่าขรมตั้งแต่ปากซอย!

ตอมดีอย่างที่เมาแล้วไม่สะเงาะสะแงะเหมือนพวกขี้เมาส่วนมาก แต่พ่อแม่ก็ไม่สบายใจ กลัวว่าจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร หรือไม่ก็กลายเป็นคนติดเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ป้าสมรเคยปรับทุกข์กับผมว่า มีลูกชายคนเดียวเลยตามใจมากเกินไป พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่รู้จะห้ามปรามยังไงแล้ว

ผมเคยถามลุงเติมว่าทำไมไม่ตักเตือนลูกบ้าง? แกก็ได้แต่ถอนใจ บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จะตักเตือนท่าไหน เพราะตัวเองก็ริกินเหล้ามาตั้งแต่วัยรุ่น แถมทุกวันนี้ก็ยังกินเหล้าเป็นอาจิณ...พูดไม่ออกจริงๆ รังแต่จะย้อนเข้าตัวเอง

"ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำใจอย่างเดียว" ลุงเติมทำเสียงปลงอนิจจัง "แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ ขอให้ไอ้ตอมมันกินเหล้าแต่เอาตัวรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้เหมือนลุงก็แล้วกัน"

นอกจากจะเป็นคนเมาที่ยังพูดจากันรู้เรื่อง ตอมยังมีความคิดด้านดีๆ ออกมาให้เห็น เมื่อผมตักเตือนเรื่องนี้

"เรามันเรียนหนังสือไม่เก่งเหมือนนาย ไม่รู้จะทำยังไง? เรียนไปก็เสียเงินพ่อแม่เปล่าๆ เรารู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แต่มันอดไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงไม่ได้ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อ กลุ้มใจไม่รู้จะทำอะไร เรื่องเหล้าบุหรี่ก็แค่ทดลองเล่นๆ แก้กลุ้ม นายก็รู้ว่าบางทีเราอยู่บ้าน 3-4 วันไม่ได้แตะเลย"

ตอมพูดถูก เชื่อว่าเขาคงเบื่อตัวเองจริงๆ ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตที่ดูว่างเปล่าและไร้ค่าของตนอย่างไรดี?

จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ!

คืนนั้นผมกินข้าวแล้วเข้าห้องดูหนังสือตั้งแต่หัวค่ำ ป้ากับลุงบอกว่าตอมออกไปตั้งแต่เย็นแล้ว ว่าจะไปเรียนวาดรูปแล้วเลยไปวันเกิดเพื่อนที่ท่าเตียน ถ้ากลับดึกก็ไม่ต้องเป็นห่วง

ผมดับไฟเข้านอนราวสี่ทุ่มเศษ ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่ามาจากปากซอย เลี้ยวซ้ายนิดหน่อยแล้วใกล้เข้ามาทุกที...แต่ปรากฏว่ามีเสียงลากเท้ากับเสียงแช่งด่าแบบคนเมา มาถึงประตูรั้วแล้วก็เลยไปทางก้นซอย

ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่าหอนขึ้นอีก...เสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าบ้านพอดี!

ในความเงียบเชียบของยามดึก ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวน...กับเสียงลมคร่ำครวญกับยอดไม้ชวนให้วังเวงใจ มีเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นครู่ใหญ่ บ้านเราใส่ไม้คล้องตะปูขัดบานประตูสังกะสีไว้ง่ายๆ แค่สอดนิ้วดันก็หลุดแล้ว ใครเข้ามาก็หมุนไม้ขัดเหมือนเป็นดาลปิดประตูไว้ตามเดิม

ผมสงสัยว่าตอมคงจะเมามากจนเปิดประตูรั้วไม่ออก แต่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ขโมยขโจร เลยเปิดมุ้งออกไปมองทางหน้าต่างมุ้งลวด...สรรพสิ่งดูเยือกเย็น เปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างสิ้นดี...

ไม่มีใครยืนอยู่หน้าประตูแม้แต่คนเดียว!

กลับมาเข้ามุ้งนอนตามเดิม คิดว่าคงจะเป็นคนอื่นบ้านถัดไปมาเกาะประตูเพราะความมึนเมา หรือไม่ผมก็หูแว่วไปเอง

"เรือง..." เสียงเรียกชื่อผมคล้ายดังมากับสายลม "เรืองๆ ช่วยเปิดประตูที..."

เอาละซี! ผมปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลาย...เสียงตอมนี่นา! แต่ทำไมฟังดูแหบโหยเหลือเกิน เหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...เหมือนเจ้าของเสียงกำลังเจ็บปวดรวดร้าวจนใกล้จะสิ้นใจ?

ผมเปิดมุ้งออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง จ้องจนปวดตาก็ไม่เห็นมีใครเลย นอกจากความเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็น เสียงหมาหอนโจ๋วบาดลึกลงไปถึงหัวใจจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

รุ่งขึ้นเพื่อนตอมก็มาบอกข่าวว่า เมื่อคืนมีเรื่องกับวัยรุ่นท่าเตียน ตอมถูกแทงเข้าลิ้นปี่ ช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล...สิ้นลมหายใจเมื่อตอนค่อนรุ่งนี่เอง! ป้าสมรกับลุงเติมกอดกันร้องไห้ ผมนึกถึงเสียงเรียกในราตรีคืนนั้นแล้วยังขนลุกทุกครั้งไป!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  24 สิงหาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น