"นายกลึง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกบนสะพานพระรามหก
ผมเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีๆ สางๆ มาก็เยอะ มีทั้งน่ากลัวน้อยและน่ากลัวมาก จนถึงไม่น่ากลัวเลยก็มี ส่วนเรื่องที่ว่าน่ากลัว หรือค่อนข้างจะน่าสยองเอาการน่ะ ตอนโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้ามักมีอาการคล้ายๆ กันทั้งนั้นแหละ
เท่าที่ผมจำได้น่ะมีอยู่ 2 อย่าง คือวิ่งหนีไม่คิดชีวิต เรียกกันว่าวิ่งแหกป่ากันละครับ แล้วก็ไปหอบแฮกๆ อยู่หน้าบ้าน ใครขวัญอ่อนมากๆ ก็ต้องจับไข้ไป 3 วัน 7 วัน ถ้าอาการหนักกว่านั้นคือจับไข้หัวโกร๋นไปเลย
อีกอย่างที่ได้ฟังบ่อยคือซี้หลบ...เอ๊ย! สลบคาที่! ตอนนั้นยังไม่เคยเจอกับตัวเองซักครั้ง จำเป็นต้องเชื่อๆ เอาไว้ก่อนละครับ ไม่รู้ว่าของจริงเป็นไงนี่นา
แหม! มารู้เอาเต็มเปาก็ต่อเมื่อมาประสบกับตัวเองเข้าเต็มตา แถมยังมีเพื่อนซี้อีกสองคนที่เกิดมาดวงซวย โดนผีหลอกเข้าจั๋งหนับพร้อมๆ กัน โอ้โฮ! ดูไม่จืดจริงๆ เอ้า งานนี้น่ะ...สาบาน!
สมัยเด็กๆ จนถึงวัยรุ่นผมอยู่แถวบางกรวย นนทบุรีนี่เองครับ เพื่อนซี้อยู่บ้านใกล้กันคือเจ้าเป๋กับเจ้าเติ้ล (แหม! ชื่อล้ำสมัยซะด้วย) เจ้าสองตัว...เอ๊ย! สองคนนี่รักใคร่กับผมเหมือนพี่น้องคลานตามกันมาก็ว่าได้ จะไปไหนเป็นไปกันซีน่า รับรองว่าไม่มีอิดออด สะบัดสะบิ้งอย่างเพื่อนฝูงอีกหลายคน
เพราะงี้เราถึงรักกันเข้าไส้ไง!
เจ้าเป๋หุ่นผอมเหมือนไม้เสียบผีไม่ได้ขาเป๋นะครับ แต่ท่าเดินมันยียวนกวนบาทามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ใครๆ ถึงเรียกไอ้เป๋กันทั้งบาง ส่วนเจ้าเติ้ลตอนแรกพ่อมันตั้งชื่อเบิ้ล แต่อยู่ๆ ไปแม่มันบอกว่าฟังแล้วเป็นอัปมงคลชอบกล! ไม่รู้คิดได้ไงเนี่ย? เลยเปลี่ยนเป็นเติ้ล...
เอาน่า! เติ้ลก็เติ้ล...แปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
ตัวมันอ้วนๆ เตี้ยๆ แต่ใจเกินร้อย รักเพื่อนฝูงชนิด "ของจริง" ครับรายนี้...เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมขอเข้าเรื่องที่เราโดนผีหลอกซะเลย!
คืนเกิดเหตุ เราสามคนข้ามสะพานพระรามหกไปหาเพื่อนแถววัดสร้อยทอง มีสุราเป็นเครื่องเชื่อมสัมพันธ์ พูดคุยกันร้อยแปดเรื่องเที่ยวเรื่องสาว เรื่องผีเรื่องพระ บ้าๆ บอๆ ประสาคนกินเหล้า แต่ยังไม่ถึงกับเพี้ยน
เคยรู้ว่าพระย่านนี้อาคมขลัง เวทมนตร์ฉมังนัก ญาติโยมแห่กันไปรดน้ำมนต์คึ่กๆ ไปถวายสังฆทานแน่นกุฏิ ต่อมาคนศรัทธามากจนต้องทำสังฆทานหมู่กันเลย ก่อนจะแยกย้ายกันไปปล่อยนกปล่อยปลา ปล่อยเต่าปล่อยหอยขมให้หายทุกข์โศกตามระเบียบ
เพื่อนชื่อตึ๋งเล่าว่ายุคใหม่ไฮเทค หลวงพ่อท่านใช้เครื่องฉีดน้ำมาพ่นน้ำมนต์แล้วครับ ไม่งั้นสะเดาเคราะห์ให้ญาติโยมไม่ทั่วถึงจริงๆ เอ้า!
พวกเราติดลมจนสองยามกว่า แท็กซี่หายาก แถมพอรู้ว่าจะข้ามไปบางกรวยก็ไม่ยอมรับ อาจจะเห็นเราเป็นวัยรุ่น ค่อนข้างเมาก็ไม่รู้...ไอ้เติ้ลร้องด่าแล้วบอกว่า เราเดินข้ามแม่น้ำกลับเองก็ได้วะ ได้รับลมเย็นๆ แถมไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย
เป็นว่าตกลงตามนั้น!
ตะกายขึ้นบันไดแถวหน้าหมู่บ้าน...ย่ำขึ้นไปบนทางเดินขนานรางรถไฟใต้แสงไฟเยือกเย็น พอถึงสะพานก็มีสายลมกรูเกรียวมาทักทาย...มีทางเดินด้านข้างให้เราชมดาวฟังเสียงคลื่นเสียงลมเพลิดเพลิน
มองไปที่แม่น้ำก็ดูสงบนิ่ง แทบจะไม่มีเรือแพแล่นไปมา ตึกรามบ้านช่องสองฟากฝั่งยังมีแสงไฟประดับเด่นชัดในราตรี...นานๆ ก็มีรถยนต์แล่นผ่านไปมาซักที
ลมจากแม่น้ำยามดึกทำให้พิษเหล้าจางลงอย่างรวดเร็ว...ผมหันไปมองปล่องใหญ่จากโรงไฟฟ้ายันฮีที่เหยียดทะมึนเป็นสง่า...เกือบพร้อมๆ กับเสียงเจ้าเติ้ลดังห้วนๆ ว่าใครวะ? พอหันมองข้างหน้าก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินช้าๆ คล้ายจะโซเซหรือลากขาอย่างเหน็ดเหนื่อย...
"คนเมาหรือเปล่าวะ?" เจ้าเป๋พูดเปรยๆ "หรือคิดสั้นจะโดดน้ำตายก็ไม่รู้ว่ะ"
ตอนนั้นเราไปถึงเกือบกลางสะพานเห็นจะได้...เรารีบเดินเข้าไปหา
ทันใดนั้น เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็คำรามกระหึ่มขึ้นทางเบื้องหลัง เสียงมันดังก้องจนเราหันขวับไปดูพร้อมกัน...แสงไฟหน้ารถพุ่งจ้าเป็นลำยาว เหมือนสายตาของสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อ...แล่นลิ่วผ่านหน้าพวกเราไปเหมือนลมพัด
นรกเป็นพยาน! ผู้ชายที่เดินอิดโรยอยู่ข้างหน้าหันขวับ...ก่อนที่จะคาดคิดเขาก็พุ่งตัวเข้าไปหาเหมือนภาพในคืนฝันร้าย น่าสยดสยองพองขนจนเราร้องเฮ้ย! ขึ้นพร้อมๆ กัน
ท่ามกลางสายตาอันพร่าเลือน ผมเห็นร่างนั้นถูกชนโครมสนั่น ร่างกระเด็นกลับมาทางเดิม แล้วรถมรณะคันนั้นก็แล่นตะบึงหายไปในพริบตา...ขณะที่พวกเราหันไปมองร่างท่วมเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ในแสงไฟ ก่อนจะวิ่งพรวดพราดเข้าไปหาด้วยความตกใจจนลืมตัว
สวรรค์ทรงโปรดด้วยเถิด! ใบหน้าอาบเลือดหันมามองเราเชื่องช้า...ไอ้เติ้ลกับไอ้เป๋ร้องด่าเสียงระรัว ขณะที่ภาพน่าสยองค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเรา!
โลกทั้งโลกกำลังแตกกระจายเปรี้ยงปร้าง ไอ้เป๋โจนพรึ่บออกหน้า ไอ้เติ้ลทรุดฮวบลงนั่งแผละ ผมยืนขาสั่นพั่บๆ อยากจะวิ่งใจจะขาด แต่ก้าวขาไม่ออก...ได้แต่มองดูไอ้เป๋ค่อยๆ ลากขากลับมา บอกว่ากูวิ่งไม่ไหว ข้างไอ้เติ้ลตัวอ้วนๆ ไม่พูดอะไรเอาแต่นั่งพิงราวสะพานน้ำตาไหลพรากผมยังรู้สึกท่อนขาหนักอึ้งตามเดิม
กว่าจะเรียกขวัญที่กระเจิดกระเจิงมาได้ ค่อยๆ ซมซานข้ามสะพานกลับถึงบ้านได้ก็เกือบค่อนรุ่ง...ใครโดนผีหลอกแล้วมีอาการเหมือนผมมั่งมั้ยครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2550
31 สิงหาคม 2558
30 สิงหาคม 2558
ห้องอาถรรพณ์
"กชวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพะเยา
ดิฉันพบกับเหตุการณ์สยองในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมต่างจังหวัด ทั้งๆ ที่ไม่นึกไม่ฝันว่าในสถานที่นั้นจะมีผี มีภูตวิญญาณสิงสู่ แถมยังมีผู้คนนับสิบๆ ที่นั่งดื่มกินอาหารและฟังเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน
เท่าที่เคยได้ยินเขาเล่ากันนะคะ คนมักจะถูกผีหลอกตามทางเปลี่ยว ในวัดและในโรงพยาบาล หรือบ้านร้างเท่านั้นเอง
อ้อ! ถ้าเป็นโรงแรมก็จะถูกผีหลอกในห้องพักตอนกลางคืน มีทั้งมาเคาะประตูบ้าง มาหยอกล้อตอนเข้าห้องน้ำ เช่น เปิดทีวี หรือเปลี่ยนช่องเอง ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ตกอกตกใจจนแทบจะคว้าผ้าผ่อนมานุ่งไม่ทัน ตอนที่วิ่งหนีออกมาจากห้องน่ะค่ะ
ที่ดิฉันเจอมากับตัวเองน่ะเหลือเชื่อสุดๆ ถ้าเป็นผู้ชายดื่มเหล้าก็จะว่าตาลายเพราะพิษสุรา หรือไม่ก็เป็นคนประสาทอ่อน เห็นอะไรก็นึกฝันไปเองเป็นตุเป็นตะเพราะความระแวง อย่างน้อยก็ตาฝาดเฝื่อนไปชั่วคราว
สำหรับดิฉันไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ ยืนยันได้เลย!
ไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ หรือไวน์ ไม่ใช่คนประสาทอ่อน ตกใจง่าย และไม่ได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะการเดินทางไปเที่ยวพะเยาตามคำชวนของเพื่อนสนิท แต่ก็เห็นภาพประหลาดน่าขนลุกเต็มตาจริงๆ
หลังจากเข้าพักในบ้านดวงแก้ว เพื่อนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบเธอก็มาช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจที่บ้านเดิม...ถ้ามีโอกาสเราก็ไปมาหาสู่กันตามสะดวก เพราะยังโสดทั้งคู่นี่คะ
เมื่อพักผ่อนตามสมควร เราก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปเที่ยวชมเมืองกัน ความจริงไม่ได้คิดเที่ยวอะไรมากเนื่องจากเคยมาพะเยา 2-3 ครั้งแล้ว พอดีคราวนี้เป็นฤดูลำไย ดวงแก้วว่าจะพาไปเที่ยวสวนผลไม้ชื่อดังของภาคเหนือ แต่ปีนี้มีปัญหาหนักเรื่องลำไยดกดื่นเสียจนล้นตลาด ราคาตกต่ำสุดๆ
ตอนค่ำ เราก็แวะไปทานอาหารกันในคอฟฟี่ช็อปที่โรงแรมระดับหรู เป็นห้องกระจกขนาดกะทัดรัด นักร้องสาวกำลังขับกล่อมแขกเหรื่อที่มีอยู่ราว 5-6 โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟพาเราไปนั่งโต๊ะริมกระจกซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้า
แสงไฟจากโคมระย้าค่อยๆ หรี่ลง จะมีสว่างโดดเด่นก็ที่นักร้องเท่านั้นเอง!
ขณะนั้นเอง ดิฉันก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงยาว เปิดอกกว้างจนเห็นเนื้อขาวผ่องดูเย้ายวนตา ทำผมและแต่งหน้าค่อนข้างเข้ม สวมสร้อยมุกเส้นยาว ดูสะสวยโดดเด่น...ร่างสูงสง่า ผิวขาวผ่องกำลังก้าวขึ้นบันได แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ของโรงแรม...ตรงข้ามกับคอฟฟี่ช็อปพอดี
เธอคงจะเป็นแขกของโรงแรม...นึกถึงตัวเองว่า ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่พะเยาก็คงต้องพักโรงแรมแบบนี้แหละนะคะ
นักร้องสาวสวยผลัดกันขึ้นไปขับกล่อม มีสาวเสิร์ฟนำดอกกุหลาบจากแขกไปให้บางคนก็เห็นมีแบงก์สีแดงติดไปกับก้านดอกไม้ด้วยค่ะ...พอจบเพลงก็มีเสียงปรบมือน่าชื่นใจ
ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากโต๊ะใกล้ๆ นั่นเอง...
ตอนแรกนึกว่าเป็นคนรู้จักเพื่อน เกือบจะบอกดวงแก้วอยู่แล้ว แต่พอดีเธอหันไปทางนั้น หน้าตาเป็นปกติก่อนจะหันมาถามจะสั่งอาหารอะไรเพิ่มเติม ล้วนแต่อร่อยๆ จนอยากให้ชิมทั้งนั้น...ดิฉันเลยค่อยๆ เหลือบไปมองเหมือนไม่สนใจ
....สาวสวยในชุดแดงนั่นเองค่ะที่นั่งตัวตรง โดดเด่นอยู่กับนักร้อง 2 คน ชุดม่วงกับชุดเหลือง ซึ่งกำลังเอียงหน้าดูตัวเองจากกระจกเงาทั้งคู่!
อ๋อ...เธอเป็นนักร้องน่ะ ถึงได้แต่งชุดยาวและแต่งหน้าเข้มเพื่อรับกับแสงไฟ
ถึงแม้จะดื่มกินอยู่ในบรรยากาศเย็นฉ่ำ น่ารื่นรมย์ ขับกล่อมด้วยเสียงเพลงไพเราะแต่ดิฉันกลับรู้สึกวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ กับจะเคลิบเคลิ้มกึ่งง่วงงุนจนต้องสะบัดหน้านิดหน่อย...สาวชุดแดงเข้ามาตอนไหน?ทำไมดิฉันมองไม่เห็นทั้งที่หันหน้าไปทางประตู?
ขณะที่สะบัดหน้าไปทางโต๊ะนักร้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ดิฉันต้องชะงักงันเพราะเห็นนักร้องในชุดสีมรกตกำลังเดินมาที่โต๊ะ...สวนกับนักร้องในชุดสีม่วงที่กำลังจะขึ้นเวที
เหลือนักร้องสาวในชุดสีเหลืองคนเดียว ตอนนั้นเธอเลิกส่องกระจกแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของนักร้องคนสวยในชุดสีแดง!
เธอหายไปไหนเร็วจัง? อาจจะเข้าห้องน้ำก็ได้...ดิฉันเบือนหน้ามาหาเพื่อนตามเดิมแต่ระหว่างนั้นเอง...ภาพบางอย่างก็สะดุดสายตาจนชะงักกึก
คุณพระช่วย! สาวชุดแดงนั่งอยู่ที่โต๊ะติดๆ เรานั่นเอง...หนุ่มใหญ่ 2 คนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส หัวเราะหัวใคร่กันร่าเริงโดยไม่แยแสสาวสวยที่นั่งคั่นกลาง! แต่ดิฉันไม่ได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ...ไม่ใช่เพราะเสียงเพลงขับกล่อมหรอกค่ะ สองหูอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
สาวสวยในชุดแดงกำลังหัวเราะร่า แต่นัยน์ตาดำโตจ้องมาเขม็ง!
เกิดอะไรขึ้น? ใบหน้านั้นขยายกว้าง คล้ายจะพุ่งพรวดพราดเข้ามาหา...ปากแดงฉาน เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยิน! นัยน์ตาดำสนิทเหมือนความมืด! ดิฉันรู้นึกม่านตาพร่าพราย โคมระย้ากวัดแกว่งอย่างน่ากลัว เพดานกำลังถล่มทลายลงมาในพริบตา ขณะที่ร่างถูกเหวี่ยงขึ้นไป...ได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเองจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง...
มารู้สึกตัวอีกครั้งในโรงพยาบาล ดวงแก้วถอนใจอย่างโล่งอก เล่าว่าจู่ๆ ดิฉันก็ลุกพรวดขึ้นอีก ร้องลั่นแล้วล้มฟาดลงบนโต๊ะในพริบตา
...ขืนเล่าให้ใครฟังว่าโดนผีหลอกก็คงไม่มีใครเชื่อ จริงไหมคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2550
ดิฉันพบกับเหตุการณ์สยองในคอฟฟี่ช็อปของโรงแรมต่างจังหวัด ทั้งๆ ที่ไม่นึกไม่ฝันว่าในสถานที่นั้นจะมีผี มีภูตวิญญาณสิงสู่ แถมยังมีผู้คนนับสิบๆ ที่นั่งดื่มกินอาหารและฟังเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน
เท่าที่เคยได้ยินเขาเล่ากันนะคะ คนมักจะถูกผีหลอกตามทางเปลี่ยว ในวัดและในโรงพยาบาล หรือบ้านร้างเท่านั้นเอง
อ้อ! ถ้าเป็นโรงแรมก็จะถูกผีหลอกในห้องพักตอนกลางคืน มีทั้งมาเคาะประตูบ้าง มาหยอกล้อตอนเข้าห้องน้ำ เช่น เปิดทีวี หรือเปลี่ยนช่องเอง ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ตกอกตกใจจนแทบจะคว้าผ้าผ่อนมานุ่งไม่ทัน ตอนที่วิ่งหนีออกมาจากห้องน่ะค่ะ
ที่ดิฉันเจอมากับตัวเองน่ะเหลือเชื่อสุดๆ ถ้าเป็นผู้ชายดื่มเหล้าก็จะว่าตาลายเพราะพิษสุรา หรือไม่ก็เป็นคนประสาทอ่อน เห็นอะไรก็นึกฝันไปเองเป็นตุเป็นตะเพราะความระแวง อย่างน้อยก็ตาฝาดเฝื่อนไปชั่วคราว
สำหรับดิฉันไม่ใช่แน่ๆ ค่ะ ยืนยันได้เลย!
ไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ หรือไวน์ ไม่ใช่คนประสาทอ่อน ตกใจง่าย และไม่ได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะการเดินทางไปเที่ยวพะเยาตามคำชวนของเพื่อนสนิท แต่ก็เห็นภาพประหลาดน่าขนลุกเต็มตาจริงๆ
หลังจากเข้าพักในบ้านดวงแก้ว เพื่อนตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อเรียนจบเธอก็มาช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจที่บ้านเดิม...ถ้ามีโอกาสเราก็ไปมาหาสู่กันตามสะดวก เพราะยังโสดทั้งคู่นี่คะ
เมื่อพักผ่อนตามสมควร เราก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปเที่ยวชมเมืองกัน ความจริงไม่ได้คิดเที่ยวอะไรมากเนื่องจากเคยมาพะเยา 2-3 ครั้งแล้ว พอดีคราวนี้เป็นฤดูลำไย ดวงแก้วว่าจะพาไปเที่ยวสวนผลไม้ชื่อดังของภาคเหนือ แต่ปีนี้มีปัญหาหนักเรื่องลำไยดกดื่นเสียจนล้นตลาด ราคาตกต่ำสุดๆ
ตอนค่ำ เราก็แวะไปทานอาหารกันในคอฟฟี่ช็อปที่โรงแรมระดับหรู เป็นห้องกระจกขนาดกะทัดรัด นักร้องสาวกำลังขับกล่อมแขกเหรื่อที่มีอยู่ราว 5-6 โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟพาเราไปนั่งโต๊ะริมกระจกซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้า
แสงไฟจากโคมระย้าค่อยๆ หรี่ลง จะมีสว่างโดดเด่นก็ที่นักร้องเท่านั้นเอง!
ขณะนั้นเอง ดิฉันก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงยาว เปิดอกกว้างจนเห็นเนื้อขาวผ่องดูเย้ายวนตา ทำผมและแต่งหน้าค่อนข้างเข้ม สวมสร้อยมุกเส้นยาว ดูสะสวยโดดเด่น...ร่างสูงสง่า ผิวขาวผ่องกำลังก้าวขึ้นบันได แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ของโรงแรม...ตรงข้ามกับคอฟฟี่ช็อปพอดี
เธอคงจะเป็นแขกของโรงแรม...นึกถึงตัวเองว่า ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่พะเยาก็คงต้องพักโรงแรมแบบนี้แหละนะคะ
นักร้องสาวสวยผลัดกันขึ้นไปขับกล่อม มีสาวเสิร์ฟนำดอกกุหลาบจากแขกไปให้บางคนก็เห็นมีแบงก์สีแดงติดไปกับก้านดอกไม้ด้วยค่ะ...พอจบเพลงก็มีเสียงปรบมือน่าชื่นใจ
ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากโต๊ะใกล้ๆ นั่นเอง...
ตอนแรกนึกว่าเป็นคนรู้จักเพื่อน เกือบจะบอกดวงแก้วอยู่แล้ว แต่พอดีเธอหันไปทางนั้น หน้าตาเป็นปกติก่อนจะหันมาถามจะสั่งอาหารอะไรเพิ่มเติม ล้วนแต่อร่อยๆ จนอยากให้ชิมทั้งนั้น...ดิฉันเลยค่อยๆ เหลือบไปมองเหมือนไม่สนใจ
....สาวสวยในชุดแดงนั่นเองค่ะที่นั่งตัวตรง โดดเด่นอยู่กับนักร้อง 2 คน ชุดม่วงกับชุดเหลือง ซึ่งกำลังเอียงหน้าดูตัวเองจากกระจกเงาทั้งคู่!
อ๋อ...เธอเป็นนักร้องน่ะ ถึงได้แต่งชุดยาวและแต่งหน้าเข้มเพื่อรับกับแสงไฟ
ถึงแม้จะดื่มกินอยู่ในบรรยากาศเย็นฉ่ำ น่ารื่นรมย์ ขับกล่อมด้วยเสียงเพลงไพเราะแต่ดิฉันกลับรู้สึกวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ กับจะเคลิบเคลิ้มกึ่งง่วงงุนจนต้องสะบัดหน้านิดหน่อย...สาวชุดแดงเข้ามาตอนไหน?ทำไมดิฉันมองไม่เห็นทั้งที่หันหน้าไปทางประตู?
ขณะที่สะบัดหน้าไปทางโต๊ะนักร้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ดิฉันต้องชะงักงันเพราะเห็นนักร้องในชุดสีมรกตกำลังเดินมาที่โต๊ะ...สวนกับนักร้องในชุดสีม่วงที่กำลังจะขึ้นเวที
เหลือนักร้องสาวในชุดสีเหลืองคนเดียว ตอนนั้นเธอเลิกส่องกระจกแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของนักร้องคนสวยในชุดสีแดง!
เธอหายไปไหนเร็วจัง? อาจจะเข้าห้องน้ำก็ได้...ดิฉันเบือนหน้ามาหาเพื่อนตามเดิมแต่ระหว่างนั้นเอง...ภาพบางอย่างก็สะดุดสายตาจนชะงักกึก
คุณพระช่วย! สาวชุดแดงนั่งอยู่ที่โต๊ะติดๆ เรานั่นเอง...หนุ่มใหญ่ 2 คนกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส หัวเราะหัวใคร่กันร่าเริงโดยไม่แยแสสาวสวยที่นั่งคั่นกลาง! แต่ดิฉันไม่ได้ยินเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ...ไม่ใช่เพราะเสียงเพลงขับกล่อมหรอกค่ะ สองหูอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
สาวสวยในชุดแดงกำลังหัวเราะร่า แต่นัยน์ตาดำโตจ้องมาเขม็ง!
เกิดอะไรขึ้น? ใบหน้านั้นขยายกว้าง คล้ายจะพุ่งพรวดพราดเข้ามาหา...ปากแดงฉาน เสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยิน! นัยน์ตาดำสนิทเหมือนความมืด! ดิฉันรู้นึกม่านตาพร่าพราย โคมระย้ากวัดแกว่งอย่างน่ากลัว เพดานกำลังถล่มทลายลงมาในพริบตา ขณะที่ร่างถูกเหวี่ยงขึ้นไป...ได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเองจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลง...
มารู้สึกตัวอีกครั้งในโรงพยาบาล ดวงแก้วถอนใจอย่างโล่งอก เล่าว่าจู่ๆ ดิฉันก็ลุกพรวดขึ้นอีก ร้องลั่นแล้วล้มฟาดลงบนโต๊ะในพริบตา
...ขืนเล่าให้ใครฟังว่าโดนผีหลอกก็คงไม่มีใครเชื่อ จริงไหมคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2550
29 สิงหาคม 2558
เงาสยอง
"นายตี๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพักรังสิต
ผมมีเพื่อนชื่อ "ต๋อง" เป็นนักเรียนต่างจังหวัดที่ต้องเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เขาอยู่หอแถวรังสิต ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง...กลัวมากจนขอร้องให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อน
บ้านผมอยู่ลาดพร้าวต้นๆ ถือว่าไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก ผมเคยอยู่หอแต่แม่ไม่อยากให้ไปอยู่ ฉะนั้น เมื่อเรียนมหาวิทยาลัยได้แค่เดือนเดียว แล้วผมจะไปอยู่กับเพื่อน แม่จึงไม่พอใจอย่างแรง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ผมต้องยืนยันกับแม่ว่าต๋องเป็นคนดี เป็นเด็กเรียนที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป จนไม่มีใครอยากจะคบมันแล้ว นอกจากผมคนเดียวที่สงสารหน้าเซียวๆ ของมัน
อีกอย่างหนึ่ง ผมบอกแม่ว่าจะไปอยู่กับต๋องแค่ชั่วคราว อาจจะแค่ 2-3 วันเท่านั้นด้วยซ้ำ เพราะต๋องขี้กลัว...มันอาจจะแปลกที่แปลกทางก็ได้!
วันแรกที่ผมเดินเข้าไปในห้องของต๋อง มันคล้ายจะไม่มีอะไร แต่รู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล...ห้องของต๋องอยู่ชั้น 3 ริมสุดของตึก มีหน้าต่างเปิดได้สองด้าน ดูดีออก อย่างน้อยอากาศก็ถ่ายเทสะดวก นับว่าโชคดีที่ได้ห้องนี้ด้วยซ้ำ แต่อะไรทำให้อึดอัดก็ไม่รู้?
เออ...จะว่าต๋องทำห้องสกปรกรุงรังก็ไม่ใช่ เขามีระเบียบเรียบร้อย สมบัติพัสถานก็ไม่มีอะไรมากสักหน่อย ห้องโล่งกว่าห้องผมที่บ้านตั้งเยอะ
ผมขอสรุปว่าห้องของต๋องไม่ค่อยน่าอยู่เลยครับ!
มันเป็นแค่ความรู้สึก...ความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ขัดแย้งกับสถานที่อย่างมากที่สุด...คุณคิดดูเถอะว่าคุณไปอยู่ในห้องที่สว่างไสว ไม่อบอ้าว ทุกอย่างจัดเข้าที่ไม่มีอะไรเกะกะลูกตา แต่คุณรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับ ไม่มีความปลอดโปร่งสบายใจซะเลย
ในห้องนี้มีห้องน้ำในตัวด้วยครับ แม้จะเล็กแคบแต่ก็สะดวก นับว่าเป็นอีกหนึ่งโชคดีที่ไม่ต้องไปใช้ห้องน้ำรวม
เย็นนั้น พอเลิกเรียนเราก็หาอะไรกินกัน แล้วเดินโต๋เต๋อยู่แถวห้างสรรพสินค้ากันหน่อย พอทุ่มกว่าๆ เราก็กลับหอ...ขึ้นบันไดครับ ไม่ได้ขึ้นลิฟต์ บรรยากาศในหอไม่ถึงกับเปล่าเปลี่ยวนัก มีคนเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา ไฟก็สว่างไสวดี
พอถึงห้องของต๋อง ตอนเปิดประตูเข้าไปผมเห็นคล้ายเงาคน หลบวูบหายเข้าไปทางห้องน้ำ...ผมอาจจะตาฝาดก็ได้! ขณเดียวกัน ต๋องก็เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูห้องสว่างโร่ ผมเลยลืมเรื่องเงาแปลกๆ ที่เห็นไม่กี่วินาทีก่อน
ต๋องมีทีวีสีเครื่องเล็กๆ ในห้องด้วย แต่เราไม่ชอบดูทีวีเท่าไหร่หรอกครับ ต๋องคว้ากีตาร์มาบรรเลง...พอ 4 ทุ่มเราก็เตรียมตัวเข้านอน
ที่นอนของเราก็คือฟูกที่ปูกับพื้น ต๋องให้ผมนอนบนฟูกบางๆ นั่น ส่วนเขานอนกับพื้นได้สบายมาก...เราดับไฟ แล้วทุกอย่างก็เงียบสงัด...
ผมกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว แต่มีเสียงหนึ่งปลุกให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น...มันเป็นเสียงกระแอมเบาๆ อยู่ในห้องนี่เอง มันดังมาจากทางประตู ผมมองไปทางนั้นโดยสัญชาตญาณ และแล้วในความมืดสลัว ผมก็เห็นคล้ายผู้ชายตัวผอมๆ สูงๆ ยืนเท้าเอว พิงประตูอยู่...ต๋องขยับมาหาผมแล้วสะกิดให้ดู ขณะที่กดไฟฉายกระบอกใหญ่ กราดแสงไปทางนั้นทันที
...ที่บานประตูห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครจะมาเล่นกล แอบแฝงอยู่ได้ด้วย แต่พอต๋องปิดไฟ เงานั้นก็ปรากฏขึ้นอีกอย่างน่าขนลุก ผมพยายามเอี้ยวมองว่ามันเป็นแสงสะท้อนอะไรได้ไหม? ก็ไม่มีแฮะ!
"เปิดไฟนอนดีกว่าว่ะ" ผมบอกเพื่อน ต๋องก็พยักหน้า เราไม่ได้เปิดไฟนีออนกลางห้อง แต่เปิดโป๊ะไฟอ่านหนังสือ ห้องพอจะสว่างเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องเพ่ง แต่ก็ไม่สว่างจนแสบตา
ผมเริ่มรู้แล้วละ ว่าที่ต๋องบอกว่ากลัวน่ะ...เขากลัวอะไร? ผมเองยังบอกไม่ได้ว่าเงานั่นคืออะไรกันแน่ แต่ก็นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ แล้วละครับ
การรับรู้นี้ทำให้ผมเริ่มระแวง ลมที่พัดมาจากพัดลมส่ายไปมามันหนาวเยือกจับใจชอบกล ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็อดลืมตามองไปทางประตูไม่ได้...เชื่อไหมครับว่าผมยังเห็นเป็นเค้าโครงเหมือนคนยืนเท้าเอวพิงประตูอยู่เหมือนเดิม
ตลอดคืน ผมหลับสนิทไปเลย เพราะบางทีก็มีเสียงฝีเท้าเดินวนรอบห้อง บางทีได้ยินเสียงเหมือนใครเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ต๋องก็ยังนอนหลับกรนอยู่ข้างๆ
ที่น่ากลัวสุดๆ คือผมเห็นขาคนข้างหนึ่ง อยู่ในท่าจะก้าวออกมาจากห้องน้ำ มันเกิดขึ้นแวบเดียว แต่ก็เล่นเอาผมตาเหลือก ใจเต้นโครมๆ มือเท้าเย็นเฉียบไปหมดเลยครับ
ผมนอนไม่หลับอีกเลย เหมือนดูนาฬิกาก็เห็นว่าตี 4 กว่าๆ มันทรมานมากจริงๆ ครับที่ต้องนอนกลัวจนเหงื่อแตกซิกๆ อยู่จนรุ่งเช้า
ต๋องบอกว่า นี่แหละที่ต๋องต้องทนอยู่เป็นเดือน เขามาแบบนี้เกือบทุกคืน แต่ก็ไม่ทำอะไรมากกว่านี้
ผมชมต๋องว่าเก่งจริงๆ เป็นผมละย้ายออกตั้งแต่วันแรกแล้ว ต๋องจะเก่งหรือเสียดายค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าก็ไม่รู้ละ แต่ทุกวันนี้ผมขอแม่ให้ต๋องมาอยู่บ้านเรา ซึ่งแม่ก็เต็มใจมากๆ เรามีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งยกให้ต๋องไปเลย...อยู่จนเรียนจบนะเพื่อน
ทุกวันนี้ไม่เฉพาะผมกับต๋องเท่านั้นที่เป็นเพื่อนกัน แม่ผมกับต๋องก็พลอยรู้จัก ถูกชะตา สนิทสนมกันไปเอง...โดยผีหลอกคราวนี้คุ้นครับที่ได้เพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นอีกคน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2550
ผมมีเพื่อนชื่อ "ต๋อง" เป็นนักเรียนต่างจังหวัดที่ต้องเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เขาอยู่หอแถวรังสิต ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง...กลัวมากจนขอร้องให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อน
บ้านผมอยู่ลาดพร้าวต้นๆ ถือว่าไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก ผมเคยอยู่หอแต่แม่ไม่อยากให้ไปอยู่ ฉะนั้น เมื่อเรียนมหาวิทยาลัยได้แค่เดือนเดียว แล้วผมจะไปอยู่กับเพื่อน แม่จึงไม่พอใจอย่างแรง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ผมต้องยืนยันกับแม่ว่าต๋องเป็นคนดี เป็นเด็กเรียนที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป จนไม่มีใครอยากจะคบมันแล้ว นอกจากผมคนเดียวที่สงสารหน้าเซียวๆ ของมัน
อีกอย่างหนึ่ง ผมบอกแม่ว่าจะไปอยู่กับต๋องแค่ชั่วคราว อาจจะแค่ 2-3 วันเท่านั้นด้วยซ้ำ เพราะต๋องขี้กลัว...มันอาจจะแปลกที่แปลกทางก็ได้!
วันแรกที่ผมเดินเข้าไปในห้องของต๋อง มันคล้ายจะไม่มีอะไร แต่รู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล...ห้องของต๋องอยู่ชั้น 3 ริมสุดของตึก มีหน้าต่างเปิดได้สองด้าน ดูดีออก อย่างน้อยอากาศก็ถ่ายเทสะดวก นับว่าโชคดีที่ได้ห้องนี้ด้วยซ้ำ แต่อะไรทำให้อึดอัดก็ไม่รู้?
เออ...จะว่าต๋องทำห้องสกปรกรุงรังก็ไม่ใช่ เขามีระเบียบเรียบร้อย สมบัติพัสถานก็ไม่มีอะไรมากสักหน่อย ห้องโล่งกว่าห้องผมที่บ้านตั้งเยอะ
ผมขอสรุปว่าห้องของต๋องไม่ค่อยน่าอยู่เลยครับ!
มันเป็นแค่ความรู้สึก...ความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ขัดแย้งกับสถานที่อย่างมากที่สุด...คุณคิดดูเถอะว่าคุณไปอยู่ในห้องที่สว่างไสว ไม่อบอ้าว ทุกอย่างจัดเข้าที่ไม่มีอะไรเกะกะลูกตา แต่คุณรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับ ไม่มีความปลอดโปร่งสบายใจซะเลย
ในห้องนี้มีห้องน้ำในตัวด้วยครับ แม้จะเล็กแคบแต่ก็สะดวก นับว่าเป็นอีกหนึ่งโชคดีที่ไม่ต้องไปใช้ห้องน้ำรวม
เย็นนั้น พอเลิกเรียนเราก็หาอะไรกินกัน แล้วเดินโต๋เต๋อยู่แถวห้างสรรพสินค้ากันหน่อย พอทุ่มกว่าๆ เราก็กลับหอ...ขึ้นบันไดครับ ไม่ได้ขึ้นลิฟต์ บรรยากาศในหอไม่ถึงกับเปล่าเปลี่ยวนัก มีคนเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา ไฟก็สว่างไสวดี
พอถึงห้องของต๋อง ตอนเปิดประตูเข้าไปผมเห็นคล้ายเงาคน หลบวูบหายเข้าไปทางห้องน้ำ...ผมอาจจะตาฝาดก็ได้! ขณเดียวกัน ต๋องก็เอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูห้องสว่างโร่ ผมเลยลืมเรื่องเงาแปลกๆ ที่เห็นไม่กี่วินาทีก่อน
ต๋องมีทีวีสีเครื่องเล็กๆ ในห้องด้วย แต่เราไม่ชอบดูทีวีเท่าไหร่หรอกครับ ต๋องคว้ากีตาร์มาบรรเลง...พอ 4 ทุ่มเราก็เตรียมตัวเข้านอน
ที่นอนของเราก็คือฟูกที่ปูกับพื้น ต๋องให้ผมนอนบนฟูกบางๆ นั่น ส่วนเขานอนกับพื้นได้สบายมาก...เราดับไฟ แล้วทุกอย่างก็เงียบสงัด...
ผมกำลังจะหลับอยู่แล้วเชียว แต่มีเสียงหนึ่งปลุกให้ต้องลืมตาตื่นขึ้น...มันเป็นเสียงกระแอมเบาๆ อยู่ในห้องนี่เอง มันดังมาจากทางประตู ผมมองไปทางนั้นโดยสัญชาตญาณ และแล้วในความมืดสลัว ผมก็เห็นคล้ายผู้ชายตัวผอมๆ สูงๆ ยืนเท้าเอว พิงประตูอยู่...ต๋องขยับมาหาผมแล้วสะกิดให้ดู ขณะที่กดไฟฉายกระบอกใหญ่ กราดแสงไปทางนั้นทันที
...ที่บานประตูห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครจะมาเล่นกล แอบแฝงอยู่ได้ด้วย แต่พอต๋องปิดไฟ เงานั้นก็ปรากฏขึ้นอีกอย่างน่าขนลุก ผมพยายามเอี้ยวมองว่ามันเป็นแสงสะท้อนอะไรได้ไหม? ก็ไม่มีแฮะ!
"เปิดไฟนอนดีกว่าว่ะ" ผมบอกเพื่อน ต๋องก็พยักหน้า เราไม่ได้เปิดไฟนีออนกลางห้อง แต่เปิดโป๊ะไฟอ่านหนังสือ ห้องพอจะสว่างเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ต้องเพ่ง แต่ก็ไม่สว่างจนแสบตา
ผมเริ่มรู้แล้วละ ว่าที่ต๋องบอกว่ากลัวน่ะ...เขากลัวอะไร? ผมเองยังบอกไม่ได้ว่าเงานั่นคืออะไรกันแน่ แต่ก็นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ แล้วละครับ
การรับรู้นี้ทำให้ผมเริ่มระแวง ลมที่พัดมาจากพัดลมส่ายไปมามันหนาวเยือกจับใจชอบกล ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็อดลืมตามองไปทางประตูไม่ได้...เชื่อไหมครับว่าผมยังเห็นเป็นเค้าโครงเหมือนคนยืนเท้าเอวพิงประตูอยู่เหมือนเดิม
ตลอดคืน ผมหลับสนิทไปเลย เพราะบางทีก็มีเสียงฝีเท้าเดินวนรอบห้อง บางทีได้ยินเสียงเหมือนใครเข้าห้องน้ำ ทั้งที่ต๋องก็ยังนอนหลับกรนอยู่ข้างๆ
ที่น่ากลัวสุดๆ คือผมเห็นขาคนข้างหนึ่ง อยู่ในท่าจะก้าวออกมาจากห้องน้ำ มันเกิดขึ้นแวบเดียว แต่ก็เล่นเอาผมตาเหลือก ใจเต้นโครมๆ มือเท้าเย็นเฉียบไปหมดเลยครับ
ผมนอนไม่หลับอีกเลย เหมือนดูนาฬิกาก็เห็นว่าตี 4 กว่าๆ มันทรมานมากจริงๆ ครับที่ต้องนอนกลัวจนเหงื่อแตกซิกๆ อยู่จนรุ่งเช้า
ต๋องบอกว่า นี่แหละที่ต๋องต้องทนอยู่เป็นเดือน เขามาแบบนี้เกือบทุกคืน แต่ก็ไม่ทำอะไรมากกว่านี้
ผมชมต๋องว่าเก่งจริงๆ เป็นผมละย้ายออกตั้งแต่วันแรกแล้ว ต๋องจะเก่งหรือเสียดายค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าก็ไม่รู้ละ แต่ทุกวันนี้ผมขอแม่ให้ต๋องมาอยู่บ้านเรา ซึ่งแม่ก็เต็มใจมากๆ เรามีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งยกให้ต๋องไปเลย...อยู่จนเรียนจบนะเพื่อน
ทุกวันนี้ไม่เฉพาะผมกับต๋องเท่านั้นที่เป็นเพื่อนกัน แม่ผมกับต๋องก็พลอยรู้จัก ถูกชะตา สนิทสนมกันไปเอง...โดยผีหลอกคราวนี้คุ้นครับที่ได้เพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นอีกคน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2550
28 สิงหาคม 2558
บ้านว่างให้เช่า
"พอลล่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากประชาชื่น
เขาว่ากันว่า คนที่ถูกผีหลอกนั้นคนดวงตก หรือไม่ก็กำลังตกอยู่ในภาวะอ่อนแอ เช่น อาจจะกำลังไม่สบาย หรือเกิดอาการตกใจจนขวัญหาย เปิดโอกาสให้ภูตผีหรือวิญญาณต่างๆ ทะลุมิติมาหลอกหลอนได้
เรื่องนี้ดิฉันเชื่อค่ะ เพราะเพิ่งเจอกับตัวเองมาเมื่อไม่นานนี้เอง!
ดิฉันอยู่บ้านเช่าค่ะ บ้านตัวเองน่ะมี แต่ว่าอยู่ที่ต่างจังหวัดในอีสานโน่น เผอิญพี่สาวตามสามีที่เป็นข้าราชการมาอยู่กรุงเทพฯ เธอเลยชวนดิฉันมาอยู่ด้วยกัน จะได้มาช่วยเลี้ยงหลานๆ ไงคะ
ขณะพี่เขยไปทำงานที่กระทรวง พี่ต้อยของดิฉันก็ไปเป็นแม่ครัวให้ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอทำอาหารเก่งมาก รายได้ดีทีเดียว เสียแต่ต้องกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ ฉะนั้น หน้าที่ดูแลต้นกับติ๊ก จึงเป็นของดิฉันคนเดียว
ต้นเป็นเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบ ติ๊กเป็นสาวน้อยเพิ่ง 7 ขวบค่ะ เรียนโรงเรียนใกล้ๆ บ้านที่เราเช่าอยู่กัน
บ้านไม้สองชั้นไม่ทาสี บอกตรงๆ ว่าเห็นทีแรกก็ชักหวาดๆ พิกล ที่จริงมันตั้งอยู่กลางซอยแถวประชาชื่นนี่แหละ เจ้าของคงทิ้งไปนาน ต้นหมากรากไม้ขึ้นรกรุงรัง เขารู้จักกับพี่เขยไงคะเลยให้เช่าราคาถูกๆ แต่ขอโทษเถอะ! วันแรกที่เข้าไปอยู่น่ะ ดิฉันต้องถางต้นไม้ดายหญ้าซะเมื่อยไปทั้งตัวเลย
บอกจริงๆ ว่าตอนนั้นนึกถึงเรื่องผีเหมือนกัน!
บรรยากาศมันให้น่ะค่ะ แต่อยู่มาปีกว่าๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี
ดิฉันนอนห้องข้างล่างกับหลานสองคน ปล่อยให้พี่สาวพี่เขยครองชั้นบนที่มี 2 ห้องนอน 1 ห้องพระ กับ 1 ห้องน้ำ
อยู่ข้างล่างน้าๆ หลานๆ ก็สะดวกดีค่ะ ห้องน้ำอยู่ติดกับห้องนอน รวมทั้งครัวและห้องนั่งเล่นที่ตั้งโซฟาชิดฝา มีทีวีให้ดูสุขสำราญ...สรุปแล้วเป็นบ้านที่อยู่สบาย ไปมาสะดวก
เมื่อตอนเข้าพรรษาที่ผ่านมา พี่สาวพี่เขยพาลูกๆ กลับไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อุบลฯ ตั้ง 3 วันรวดเลย ส่วนตัวดิฉันเป็นไข้หวัดไม่ได้ไปด้วย ขออยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพัง...พอหลานๆ ไปกับพ่อแม่ของแก ดิฉันก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ เลย
โธ่...เลี้ยงเด็กนี่มันเหนื่อยมากนะคุณ ไหนจะงานบ้าน ไหนจะต้องไปรับไปส่ง วันไหนโรงเรียนหยุดก็ต้องหาของกิน แถมปากเปียกปากแฉะทั้งวัน กำลังอยู่ในวัยซนทั้งคู่นี่คะ เพราะฉะนั้น 3 วันที่พวกเขากลับบ้านกันนี่เป็นนาทีทองของดิฉันจริงๆ
ที่ไหนได้...มันไม่ใช่อย่างที่คิดซีคะ!!
คืนแรกแห่งอิสรเสรี ดิฉันซื้อส้มตำ ไก่ย่าง ลาบปลาดุกมานั่งกินหน้าทีวี คนฟื้นไข้ก็อย่างนี้ล่ะค่ะ อยากกินแต่กินไม่ได้มากหรอก ชักคิดถึงต้นกับติ๊กแล้วซิ...ของแบบนี้ไม่มีใครมาแย่งกินมันก็กร่อยๆ ยังไงไม่รู้?
ดิฉันนั่งพิงโซฟาอย่างสบาย กดรีโมตคอนโทรลคนเดียวอย่างภูมิใจ
ราว 3 ทุ่มเศษ เริ่มมีเสียงกระดานชั้นบนดังเอี๊ยดอ๊าด...ดิฉันบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก กระดานมันลั่นน่ะ! เราอยู่คนเดียวเงียบๆ เลยได้ยินเสียงชัดไปหน่อย
ความจริงน่ะอดเหลือบตาขึ้นไปบนเพดานไม่ได้ ชั้นบนมืดสนิทเพราะไม่มีใครอยู่ รู้งี้เมื่อตอนเย็นเดินไปเปิดไฟไว้สักดวงก็จะดีหรอก...ดูซิ! กระไดก็มืด...เผื่อมีอะไรมันเดินลงมาล่ะ จะทำยังไง? ดิฉันด่าตัวเอง....
อยู่ดีไม่ว่าดี คิดเรื่อยเปื่อยซะชักจะหนาวๆ แล้วซิ!
ไม่เป็นไร ตั้งสมาธิดูทีวีต่อ แต่อะไรมันวิ่งบนหลังคาน่ะ? วิ่งจากมุมโน้นไล่กันมามุมนี้ สงสัยจะเป็นกระรอก? ดิฉันเห็นมันมีอยู่คู่หนึ่งที่ต้นมะม่วง วันนี้เห็นไม่มีคนเลยชวนกันมาวิ่งเล่นไล่บนหลังคาละมั้ง?
ขนาดคิดว่ามันเป็นกระรอก แต่ความกลัวก็เพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วนะ มันวิ่งไล่ไม่เลิกเสียงกระดานลั่นก็ฟังเหมือนเสียงคนเดิน...เอาละซิ! ดูทีวีชักไม่เป็นสุขแล้ว หัวมึนตึ้บๆ จะเข้านอนก็ยังไม่ง่วง เหลือบดูนาฬิกา...อ้าว? เร็วจริง 4 ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย?
เสียงต่างๆ เงียบลง ดิฉันเงยหน้ามอง...ทำไมอยู่ดีๆ มันเงียบไปเฉยๆ
ทันใดนั้น มีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่มาก...ใหญ่เหมือนผ้าห่มผืนหนักๆ ร่วงผล็อย ตกลงมาจากเพดานมุมห้อง...
เป็นไปได้ไง? มันทะลุกระดานลงมาซะงั้น!!
ทั้งงุนงงและตกใจมาก มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ วินาทีนั้น ไฟทั้งบ้านก็ดับพรึ่บ! เล่นเอาตาบอดสนิทไปชั่วขณะ ขวัญหายวูบ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นิ่งงันตัวแข็งทื่อ...ไอ้ตัวที่ร่วงจากเพดานมันจะเอายังไงกับเราเนี่ย? ดิฉันรู้สึกว่าในความมืดมิดนั้น มีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากกำลังจ้องอยู่ มันขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วด้วย...
ไม่ถึงอึดใจ สายตาก็ชินกับความมืด ดิฉันจะอยู่ทำไมล่ะคะ เดินตัวแข็ง สันหลังเย็นวาบๆ ไปที่ประตู กลัวแทบขาดใจ...เปิดประตูได้ก็เผ่นไปบ้านข้างๆ ดีนะที่รู้จักกับเขาน่ะ...บอกกับคนรับใช้บ้านนั้นว่าขอค้างคืนด้วย ไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว!
แปลกมาก บ้านทุกบ้านในซอย ไฟยังสว่างโร่ มีบ้านเช่าของดิฉันนี่แหละที่แผลงฤทธิ์ดับพรึ่บให้ขวัญหาย
รุ่งขึ้นดิฉันกลับเข้าบ้าน ฟิวส์ก็ไม่ขาดค่ะ ไฟมาตามปกติ ทีวีก็เปิดทิ้งไว้
สองคืนต่อมา ดิฉันก็ไม่ได้นอนที่บ้านเช่าหรอกค่ะ จนกระทั่งพี่สาวพี่เขยและหลานๆ กลับมา ดิฉันถึงได้เข้าบ้าน ซึ่งก็ปกติทุกอย่าง ไม่มีอะไรมาหลอกหลอนอีกเลย
คิดว่าดิฉันคงดวงตกและอ่อนแอน่ะค่ะ เลยเจอสิ่งที่สยองสุดขีดในคืนนั้น บรื๋อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม 2550
เขาว่ากันว่า คนที่ถูกผีหลอกนั้นคนดวงตก หรือไม่ก็กำลังตกอยู่ในภาวะอ่อนแอ เช่น อาจจะกำลังไม่สบาย หรือเกิดอาการตกใจจนขวัญหาย เปิดโอกาสให้ภูตผีหรือวิญญาณต่างๆ ทะลุมิติมาหลอกหลอนได้
เรื่องนี้ดิฉันเชื่อค่ะ เพราะเพิ่งเจอกับตัวเองมาเมื่อไม่นานนี้เอง!
ดิฉันอยู่บ้านเช่าค่ะ บ้านตัวเองน่ะมี แต่ว่าอยู่ที่ต่างจังหวัดในอีสานโน่น เผอิญพี่สาวตามสามีที่เป็นข้าราชการมาอยู่กรุงเทพฯ เธอเลยชวนดิฉันมาอยู่ด้วยกัน จะได้มาช่วยเลี้ยงหลานๆ ไงคะ
ขณะพี่เขยไปทำงานที่กระทรวง พี่ต้อยของดิฉันก็ไปเป็นแม่ครัวให้ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอทำอาหารเก่งมาก รายได้ดีทีเดียว เสียแต่ต้องกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ ฉะนั้น หน้าที่ดูแลต้นกับติ๊ก จึงเป็นของดิฉันคนเดียว
ต้นเป็นเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบ ติ๊กเป็นสาวน้อยเพิ่ง 7 ขวบค่ะ เรียนโรงเรียนใกล้ๆ บ้านที่เราเช่าอยู่กัน
บ้านไม้สองชั้นไม่ทาสี บอกตรงๆ ว่าเห็นทีแรกก็ชักหวาดๆ พิกล ที่จริงมันตั้งอยู่กลางซอยแถวประชาชื่นนี่แหละ เจ้าของคงทิ้งไปนาน ต้นหมากรากไม้ขึ้นรกรุงรัง เขารู้จักกับพี่เขยไงคะเลยให้เช่าราคาถูกๆ แต่ขอโทษเถอะ! วันแรกที่เข้าไปอยู่น่ะ ดิฉันต้องถางต้นไม้ดายหญ้าซะเมื่อยไปทั้งตัวเลย
บอกจริงๆ ว่าตอนนั้นนึกถึงเรื่องผีเหมือนกัน!
บรรยากาศมันให้น่ะค่ะ แต่อยู่มาปีกว่าๆ ก็ไม่เห็นมีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี
ดิฉันนอนห้องข้างล่างกับหลานสองคน ปล่อยให้พี่สาวพี่เขยครองชั้นบนที่มี 2 ห้องนอน 1 ห้องพระ กับ 1 ห้องน้ำ
อยู่ข้างล่างน้าๆ หลานๆ ก็สะดวกดีค่ะ ห้องน้ำอยู่ติดกับห้องนอน รวมทั้งครัวและห้องนั่งเล่นที่ตั้งโซฟาชิดฝา มีทีวีให้ดูสุขสำราญ...สรุปแล้วเป็นบ้านที่อยู่สบาย ไปมาสะดวก
เมื่อตอนเข้าพรรษาที่ผ่านมา พี่สาวพี่เขยพาลูกๆ กลับไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อุบลฯ ตั้ง 3 วันรวดเลย ส่วนตัวดิฉันเป็นไข้หวัดไม่ได้ไปด้วย ขออยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพัง...พอหลานๆ ไปกับพ่อแม่ของแก ดิฉันก็รู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจริงๆ เลย
โธ่...เลี้ยงเด็กนี่มันเหนื่อยมากนะคุณ ไหนจะงานบ้าน ไหนจะต้องไปรับไปส่ง วันไหนโรงเรียนหยุดก็ต้องหาของกิน แถมปากเปียกปากแฉะทั้งวัน กำลังอยู่ในวัยซนทั้งคู่นี่คะ เพราะฉะนั้น 3 วันที่พวกเขากลับบ้านกันนี่เป็นนาทีทองของดิฉันจริงๆ
ที่ไหนได้...มันไม่ใช่อย่างที่คิดซีคะ!!
คืนแรกแห่งอิสรเสรี ดิฉันซื้อส้มตำ ไก่ย่าง ลาบปลาดุกมานั่งกินหน้าทีวี คนฟื้นไข้ก็อย่างนี้ล่ะค่ะ อยากกินแต่กินไม่ได้มากหรอก ชักคิดถึงต้นกับติ๊กแล้วซิ...ของแบบนี้ไม่มีใครมาแย่งกินมันก็กร่อยๆ ยังไงไม่รู้?
ดิฉันนั่งพิงโซฟาอย่างสบาย กดรีโมตคอนโทรลคนเดียวอย่างภูมิใจ
ราว 3 ทุ่มเศษ เริ่มมีเสียงกระดานชั้นบนดังเอี๊ยดอ๊าด...ดิฉันบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก กระดานมันลั่นน่ะ! เราอยู่คนเดียวเงียบๆ เลยได้ยินเสียงชัดไปหน่อย
ความจริงน่ะอดเหลือบตาขึ้นไปบนเพดานไม่ได้ ชั้นบนมืดสนิทเพราะไม่มีใครอยู่ รู้งี้เมื่อตอนเย็นเดินไปเปิดไฟไว้สักดวงก็จะดีหรอก...ดูซิ! กระไดก็มืด...เผื่อมีอะไรมันเดินลงมาล่ะ จะทำยังไง? ดิฉันด่าตัวเอง....
อยู่ดีไม่ว่าดี คิดเรื่อยเปื่อยซะชักจะหนาวๆ แล้วซิ!
ไม่เป็นไร ตั้งสมาธิดูทีวีต่อ แต่อะไรมันวิ่งบนหลังคาน่ะ? วิ่งจากมุมโน้นไล่กันมามุมนี้ สงสัยจะเป็นกระรอก? ดิฉันเห็นมันมีอยู่คู่หนึ่งที่ต้นมะม่วง วันนี้เห็นไม่มีคนเลยชวนกันมาวิ่งเล่นไล่บนหลังคาละมั้ง?
ขนาดคิดว่ามันเป็นกระรอก แต่ความกลัวก็เพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วนะ มันวิ่งไล่ไม่เลิกเสียงกระดานลั่นก็ฟังเหมือนเสียงคนเดิน...เอาละซิ! ดูทีวีชักไม่เป็นสุขแล้ว หัวมึนตึ้บๆ จะเข้านอนก็ยังไม่ง่วง เหลือบดูนาฬิกา...อ้าว? เร็วจริง 4 ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย?
เสียงต่างๆ เงียบลง ดิฉันเงยหน้ามอง...ทำไมอยู่ดีๆ มันเงียบไปเฉยๆ
ทันใดนั้น มีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่มาก...ใหญ่เหมือนผ้าห่มผืนหนักๆ ร่วงผล็อย ตกลงมาจากเพดานมุมห้อง...
เป็นไปได้ไง? มันทะลุกระดานลงมาซะงั้น!!
ทั้งงุนงงและตกใจมาก มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ วินาทีนั้น ไฟทั้งบ้านก็ดับพรึ่บ! เล่นเอาตาบอดสนิทไปชั่วขณะ ขวัญหายวูบ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นิ่งงันตัวแข็งทื่อ...ไอ้ตัวที่ร่วงจากเพดานมันจะเอายังไงกับเราเนี่ย? ดิฉันรู้สึกว่าในความมืดมิดนั้น มีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากกำลังจ้องอยู่ มันขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วด้วย...
ไม่ถึงอึดใจ สายตาก็ชินกับความมืด ดิฉันจะอยู่ทำไมล่ะคะ เดินตัวแข็ง สันหลังเย็นวาบๆ ไปที่ประตู กลัวแทบขาดใจ...เปิดประตูได้ก็เผ่นไปบ้านข้างๆ ดีนะที่รู้จักกับเขาน่ะ...บอกกับคนรับใช้บ้านนั้นว่าขอค้างคืนด้วย ไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว!
แปลกมาก บ้านทุกบ้านในซอย ไฟยังสว่างโร่ มีบ้านเช่าของดิฉันนี่แหละที่แผลงฤทธิ์ดับพรึ่บให้ขวัญหาย
รุ่งขึ้นดิฉันกลับเข้าบ้าน ฟิวส์ก็ไม่ขาดค่ะ ไฟมาตามปกติ ทีวีก็เปิดทิ้งไว้
สองคืนต่อมา ดิฉันก็ไม่ได้นอนที่บ้านเช่าหรอกค่ะ จนกระทั่งพี่สาวพี่เขยและหลานๆ กลับมา ดิฉันถึงได้เข้าบ้าน ซึ่งก็ปกติทุกอย่าง ไม่มีอะไรมาหลอกหลอนอีกเลย
คิดว่าดิฉันคงดวงตกและอ่อนแอน่ะค่ะ เลยเจอสิ่งที่สยองสุดขีดในคืนนั้น บรื๋อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 28 สิงหาคม 2550
27 สิงหาคม 2558
เที่ยวงานวัด
"ครูประสาน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอ่างทอง
สมัยเด็กผมอยู่วิเศษชัยชาญ อ่างทอง เมืองวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจัน ก่อนที่กรุงจะแตกไงครับ ฮีโร่บ้านผมคือนายดอกและนายทองแก้ว แต่พวกบ้านผมจะเรียกท่านว่า "ปู่ดอก" กับ "ปู่ทองแก้ว" คนต่างถิ่นอย่ามาทำอุตริเรียกชื่อท่านติดต่อกันเชียว พวกผมโกรธจริงๆ เอ้า
แม่น้ำน้อยคือสายเลือดใหญ่ของเราครับ หล่อเลี้ยงชีวิตชาววิเศษฯ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ริมฝั่งมีทั้งมะม่วง มะพร้าว ขนุน กระท้อน มะปราง...ไหนจะมีต้นมะกอกน้ำตกลูกสะพรั่ง เอามาดองจิ้มกะเกลือที่อร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ
ที่สำคัญคือ ทั้งสองฟากฝั่งลำน้ำน้อยอันร่มรื่นน่ะ มีวัดเก่าแก่เรียงรายกันอยู่หลายสิบวัด สาเหตุเพราะสมัยก่อนมีเศรษฐีตายลงที พวกลูกๆหลานๆ หรือญาติมิตรเขานิยมสร้างวัดอุทิศส่วนกุศลให้ซีครับ ใครมีเวลาขอเชิญไปทำบุญ 9 วัดที่วิเศษชัยชาญได้เลย! ถ้าทำเสร็จในวันเดียวเชื่อว่าจะได้กุศลแรงนะครับ จะบอกให้
วัดบ้านผมตั้งชื่อสั้นๆ และจำง่าย อย่างวัดอ้อย, วัดไร่, วัดตูม, วัดข่อย, วัดฝาง อะไรพวกนี้แหละ ตอนเช้าๆ เย็นๆ เสียงพระเจ้าท่านสวดมนต์แทบจะดังสอดประสานกันไปทุกคุ้งน้ำก็ว่าได้
ที่แย่หน่อยก็คือเสียงตีระฆังทำให้หมูหมาพลอยโก่งคอหอนโหยหวน ฟังแล้วเยือกเย็นวังเวงใจพิลึกละ คุณเอ๋ย
บางวัดแปลกหน่อย คือมีหอระฆังขึ้นไปสูงเชียว แต่ว่าใต้หอนั่นยังมีกลองใบเบ้อเร่อตั้งเด่นอยู่ด้วย...วัดดีคืนดีไม่รู้ใครอุตริไปตีกลองเล่นตอนดึกๆ เล่นเอาเด็กๆ ที่อยู่หลังวัดอย่างพวกผมขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กัน
กลัวผีน่ะซีครับ ทำไมจะไม่กลัว แต่พอถึงเทศกาลมีงานวัดครึกครื้น ผู้คนออกไปเที่ยวเตร่กัน พวกหนุ่มสาวแต่งตัวสวยๆ งามๆ ไปเกี้ยวกัน...พวกผมก็อดไปเที่ยวไม่ได้ซักที
คืนหนึ่ง เที่ยวเพลินจนโดนผีหลอกเอาเจียนตายเชียวคุณเอ๋ย!
พวกผมมีเจ้าเบี้ยว, เจ้าจั่น, เจ้าเปีย และก็ผม...เดินเที่ยวงานสนุกครึกครื้น มีแสงสีวูบวาบน่าตื่นเต้น เราไม่ค่อยสนใจหนังหรือลิเกหรอกครับ แต่ชอบเดินดูสาวๆ หนุ่มๆ เขาเดินคลอคู่กระจู๋กระจี๋กันมากกว่า...พูดตรงกันว่า เมื่อไหร่จะเป็นหนุ่มซักที? จะได้เดินควงสาวๆ กับเขามั่งน่ะซี! แฮ่ะๆ
เฮ้อ...ต้องรอไปอีกหลายปีละนะครับ พับผ่า!
อ้อ! ตอนมองนี่ต้องระวังหน่อย ทำเมินๆ เหมือนไม่ได้สนใจจริงจังเพราะรู้จักกันทั้งนั้น...นั่นพี่มะลิดอกใหญ่เดินอกตั้ง นี่พี่ลำดวนหน้าหวานเหมือนตาลเฉาะ โน่นพี่คัดเค้าสะโพกโอ่โถง ควงหนุ่มรุ่นพี่มาทุกคนเลย....
มัวแต่มองเพลินจนเกือบอดกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเจ๊กกี่ ดีแต่ว่าเจ้าเบี้ยวมันชวน...เสร็จสรรพก็ต่อด้วยขนมใส่น้ำแข็งไส ถั่วต้ม แล้วซื้ออ้อยที่เขาปอกเปลือกแล้วมาเดินแทะแก้เหงาปาก เดี๋ยวคนนั้นทัก คนนี้ทัก แต่ตาพวกเราน่ะคอยมองรุ่นพี่เขามากกว่า...อยากรู้ว่าเขาจะไปไหนกันน่ะซีครับ?
โน่น...ลงบันไดหายไปทางท่าน้ำ บางคู่ก็หลบไปทางซุ้มไม้ริมตลิ่ง แต่บางคู่ก็เกี่ยวก้อยกันกลับ...เจ้าเปียพึมพำว่าคงจะไปหาที่ลับหูลับตาคนพลอดรักกันละมั้ง?
ตกดึกงานเลิก ผู้คนทยอยกันกลับเป็นกลุ่มๆ เจ้าจั่นยังเป็นห่วงคู่ที่หายลงบันไดท่าน้ำ ผมบอกว่าป่านนี้เขาคงนอนชมดาวกันเพลินไปแล้วละน่า...ว่าแต่พวกเราเถอะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็โดนผีหลอกตายห่....
คราวนี้พวกเพื่อนๆ หันมาด่าผมใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้าน!
หันมองข้างหลัง แหม...ทั้งมืดสลัวทั้งเยือกเย็นพิลึก เสียงลมพลิกใบไม้ดังวู่หวิว ทำไมผู้คนหายไปไหนหมดเร็วจัง ขณะเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ใต้เงาไม้มืดครึ้ม เจ้าเบี้ยวก็บอกว่า...มีเพื่อนแล้วโว้ยพวกเรา ไม่ต้องกลัวผีหลอกกลางทาง
ถอนใจโล่งอกไปตามๆ กันเมื่อเห็นชายร่างผอมสูงเดินเทิ่งๆ อยู่ข้างหน้า แสงดาวระยิบระยับทำให้นึกถึงลุงเผื่อนหรือน้าหวิง เพราะแกรูปร่างแบบนี้แหละ
"น้าๆ รอด้วย!" เจ้าเปียปากไวร้องขึ้น "ช่วยรอพวกฉันหน่อยซี่! "
ดูเหมือนร่างที่เดินเหย่าๆ นำหน้าจะชักนิดหนึ่ง ก่อนหันมามองแวบๆแล้วออกเดินต่อไม่แยแส เราชักฉุน บอกให้ช่วยกันรีบเดินให้ทันแก แต่แปลกครับ...เราว่าเร่งขากันแล้วนา แต่ไม่ยักทัน แถมระยะยังห่างเท่าเดิมอีกด้วย
ถึงมะพร้าวใหญ่โดดเด่นตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ร่างที่นำหน้าก็ชะลอนิดหน่อยราวเกิดใจอ่อนสงสารเด็ก เจ้าเบี้ยวถลาออกหน้าก่อนจะชะงักงัน ร้องว่า...กูตาฝาดหรือเปล่าวะ?
พวกเราก็ชะงักกึก ผมเห็นชัดๆ ว่าชายผอมสูงยืนรอเราอยู่ 2 คน ทั้งๆ ที่ตอนแรกเดินมาคนเดียว เจ้าเปียร้องเรียก "น้าๆ" ขึ้นอีก ชายทั้ง 2 ก็หันหน้ามาช้าๆ แต่เราเห็นถนัดตาว่า แกหันแต่หน้า ส่วนลำตัวไม่ได้หันด้วยเลย!
เกิดเสียงคล้ายกระดูกหักดัง...กร๊อบ!!
"เฮ้ย!!" คราวนี้ไม่รู้ว่าใครร้อง เพราะใบหน้าทั้ง 2 ที่หันมาพร้อมกัน จนเห็นในแสงดาวนั่นน่ะมีแต่หน้าขาววอก ไม่มีตา จมูกและปากใดๆท่ามกลางสายลมพัดฮือจนยอดไม้ครวญคราง เสียงเหมือนใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กันราวกับขบขันเต็มประดา
"ผีหลอกโว้ย" ผมได้ยินเสียงไอ้เบี้ยวแผดลั่นอยู่ข้างหู โลกคล้ายจะหมุนกลับ ฟ้าถล่มโครมคราม พวกเราแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้นอนซมไปตามๆ กัน ไม่ถึงกับช็อกตายก็บุญโขแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม 2550
สมัยเด็กผมอยู่วิเศษชัยชาญ อ่างทอง เมืองวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจัน ก่อนที่กรุงจะแตกไงครับ ฮีโร่บ้านผมคือนายดอกและนายทองแก้ว แต่พวกบ้านผมจะเรียกท่านว่า "ปู่ดอก" กับ "ปู่ทองแก้ว" คนต่างถิ่นอย่ามาทำอุตริเรียกชื่อท่านติดต่อกันเชียว พวกผมโกรธจริงๆ เอ้า
แม่น้ำน้อยคือสายเลือดใหญ่ของเราครับ หล่อเลี้ยงชีวิตชาววิเศษฯ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ริมฝั่งมีทั้งมะม่วง มะพร้าว ขนุน กระท้อน มะปราง...ไหนจะมีต้นมะกอกน้ำตกลูกสะพรั่ง เอามาดองจิ้มกะเกลือที่อร่อยอย่าบอกใครเชียวครับ
ที่สำคัญคือ ทั้งสองฟากฝั่งลำน้ำน้อยอันร่มรื่นน่ะ มีวัดเก่าแก่เรียงรายกันอยู่หลายสิบวัด สาเหตุเพราะสมัยก่อนมีเศรษฐีตายลงที พวกลูกๆหลานๆ หรือญาติมิตรเขานิยมสร้างวัดอุทิศส่วนกุศลให้ซีครับ ใครมีเวลาขอเชิญไปทำบุญ 9 วัดที่วิเศษชัยชาญได้เลย! ถ้าทำเสร็จในวันเดียวเชื่อว่าจะได้กุศลแรงนะครับ จะบอกให้
วัดบ้านผมตั้งชื่อสั้นๆ และจำง่าย อย่างวัดอ้อย, วัดไร่, วัดตูม, วัดข่อย, วัดฝาง อะไรพวกนี้แหละ ตอนเช้าๆ เย็นๆ เสียงพระเจ้าท่านสวดมนต์แทบจะดังสอดประสานกันไปทุกคุ้งน้ำก็ว่าได้
ที่แย่หน่อยก็คือเสียงตีระฆังทำให้หมูหมาพลอยโก่งคอหอนโหยหวน ฟังแล้วเยือกเย็นวังเวงใจพิลึกละ คุณเอ๋ย
บางวัดแปลกหน่อย คือมีหอระฆังขึ้นไปสูงเชียว แต่ว่าใต้หอนั่นยังมีกลองใบเบ้อเร่อตั้งเด่นอยู่ด้วย...วัดดีคืนดีไม่รู้ใครอุตริไปตีกลองเล่นตอนดึกๆ เล่นเอาเด็กๆ ที่อยู่หลังวัดอย่างพวกผมขนหัวลุกซู่ซ่าไปตามๆ กัน
กลัวผีน่ะซีครับ ทำไมจะไม่กลัว แต่พอถึงเทศกาลมีงานวัดครึกครื้น ผู้คนออกไปเที่ยวเตร่กัน พวกหนุ่มสาวแต่งตัวสวยๆ งามๆ ไปเกี้ยวกัน...พวกผมก็อดไปเที่ยวไม่ได้ซักที
คืนหนึ่ง เที่ยวเพลินจนโดนผีหลอกเอาเจียนตายเชียวคุณเอ๋ย!
พวกผมมีเจ้าเบี้ยว, เจ้าจั่น, เจ้าเปีย และก็ผม...เดินเที่ยวงานสนุกครึกครื้น มีแสงสีวูบวาบน่าตื่นเต้น เราไม่ค่อยสนใจหนังหรือลิเกหรอกครับ แต่ชอบเดินดูสาวๆ หนุ่มๆ เขาเดินคลอคู่กระจู๋กระจี๋กันมากกว่า...พูดตรงกันว่า เมื่อไหร่จะเป็นหนุ่มซักที? จะได้เดินควงสาวๆ กับเขามั่งน่ะซี! แฮ่ะๆ
เฮ้อ...ต้องรอไปอีกหลายปีละนะครับ พับผ่า!
อ้อ! ตอนมองนี่ต้องระวังหน่อย ทำเมินๆ เหมือนไม่ได้สนใจจริงจังเพราะรู้จักกันทั้งนั้น...นั่นพี่มะลิดอกใหญ่เดินอกตั้ง นี่พี่ลำดวนหน้าหวานเหมือนตาลเฉาะ โน่นพี่คัดเค้าสะโพกโอ่โถง ควงหนุ่มรุ่นพี่มาทุกคนเลย....
มัวแต่มองเพลินจนเกือบอดกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเจ๊กกี่ ดีแต่ว่าเจ้าเบี้ยวมันชวน...เสร็จสรรพก็ต่อด้วยขนมใส่น้ำแข็งไส ถั่วต้ม แล้วซื้ออ้อยที่เขาปอกเปลือกแล้วมาเดินแทะแก้เหงาปาก เดี๋ยวคนนั้นทัก คนนี้ทัก แต่ตาพวกเราน่ะคอยมองรุ่นพี่เขามากกว่า...อยากรู้ว่าเขาจะไปไหนกันน่ะซีครับ?
โน่น...ลงบันไดหายไปทางท่าน้ำ บางคู่ก็หลบไปทางซุ้มไม้ริมตลิ่ง แต่บางคู่ก็เกี่ยวก้อยกันกลับ...เจ้าเปียพึมพำว่าคงจะไปหาที่ลับหูลับตาคนพลอดรักกันละมั้ง?
ตกดึกงานเลิก ผู้คนทยอยกันกลับเป็นกลุ่มๆ เจ้าจั่นยังเป็นห่วงคู่ที่หายลงบันไดท่าน้ำ ผมบอกว่าป่านนี้เขาคงนอนชมดาวกันเพลินไปแล้วละน่า...ว่าแต่พวกเราเถอะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็โดนผีหลอกตายห่....
คราวนี้พวกเพื่อนๆ หันมาด่าผมใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจกลับบ้าน!
หันมองข้างหลัง แหม...ทั้งมืดสลัวทั้งเยือกเย็นพิลึก เสียงลมพลิกใบไม้ดังวู่หวิว ทำไมผู้คนหายไปไหนหมดเร็วจัง ขณะเดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ใต้เงาไม้มืดครึ้ม เจ้าเบี้ยวก็บอกว่า...มีเพื่อนแล้วโว้ยพวกเรา ไม่ต้องกลัวผีหลอกกลางทาง
ถอนใจโล่งอกไปตามๆ กันเมื่อเห็นชายร่างผอมสูงเดินเทิ่งๆ อยู่ข้างหน้า แสงดาวระยิบระยับทำให้นึกถึงลุงเผื่อนหรือน้าหวิง เพราะแกรูปร่างแบบนี้แหละ
"น้าๆ รอด้วย!" เจ้าเปียปากไวร้องขึ้น "ช่วยรอพวกฉันหน่อยซี่! "
ดูเหมือนร่างที่เดินเหย่าๆ นำหน้าจะชักนิดหนึ่ง ก่อนหันมามองแวบๆแล้วออกเดินต่อไม่แยแส เราชักฉุน บอกให้ช่วยกันรีบเดินให้ทันแก แต่แปลกครับ...เราว่าเร่งขากันแล้วนา แต่ไม่ยักทัน แถมระยะยังห่างเท่าเดิมอีกด้วย
ถึงมะพร้าวใหญ่โดดเด่นตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ร่างที่นำหน้าก็ชะลอนิดหน่อยราวเกิดใจอ่อนสงสารเด็ก เจ้าเบี้ยวถลาออกหน้าก่อนจะชะงักงัน ร้องว่า...กูตาฝาดหรือเปล่าวะ?
พวกเราก็ชะงักกึก ผมเห็นชัดๆ ว่าชายผอมสูงยืนรอเราอยู่ 2 คน ทั้งๆ ที่ตอนแรกเดินมาคนเดียว เจ้าเปียร้องเรียก "น้าๆ" ขึ้นอีก ชายทั้ง 2 ก็หันหน้ามาช้าๆ แต่เราเห็นถนัดตาว่า แกหันแต่หน้า ส่วนลำตัวไม่ได้หันด้วยเลย!
เกิดเสียงคล้ายกระดูกหักดัง...กร๊อบ!!
"เฮ้ย!!" คราวนี้ไม่รู้ว่าใครร้อง เพราะใบหน้าทั้ง 2 ที่หันมาพร้อมกัน จนเห็นในแสงดาวนั่นน่ะมีแต่หน้าขาววอก ไม่มีตา จมูกและปากใดๆท่ามกลางสายลมพัดฮือจนยอดไม้ครวญคราง เสียงเหมือนใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กันราวกับขบขันเต็มประดา
"ผีหลอกโว้ย" ผมได้ยินเสียงไอ้เบี้ยวแผดลั่นอยู่ข้างหู โลกคล้ายจะหมุนกลับ ฟ้าถล่มโครมคราม พวกเราแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้นอนซมไปตามๆ กัน ไม่ถึงกับช็อกตายก็บุญโขแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม 2550
24 สิงหาคม 2558
เสียงเรียกในราตรี
"รุ่งเรือง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยสารพัดช่าง
สมัยหนุ่มผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ ชื่อป้าสมร สามีชื่อลุงเติม บ้านอยู่ในซอยสารพัดช่าง บางขุนพรหม ป้ากับลุงเป็นข้าราชการอยู่ที่กระทรวงคมนาคมทั้งคู่
ทั้งสองมีลูกชายคนเดียว ชื่อตอม อายุราว 18-19 ปีเหมือนผม ตอมเป็นคนผิวขาว รูปหล่อ มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่ไม่สนใจการเรียน ชอบเที่ยวเตร่ ริอ่านสูบบุหรี่ บางคืนก็ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูงที่เป็นนักเลง กว่าจะกลับบ้านช่องก็ดึกดื่นเป็นประจำ
ตอมเปิดประตูรั้วสังกะสี แล้วมาเคาะประตูห้องผมที่เชิงบันได บางคืนก็ทะเลาะกับหมาที่ชอบเห่าหอนเกรียวกราวไปทั้งซอย
บ้านป้าสมรเป็นบ้านไม้สองชั้น ผมนอนชั้นล่างห้องเดียวกับตอมมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม จนผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วตอมก็ยังเอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ตามเดิม เมื่อถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้เรียนต่อตอมเสียไม่ได้ก็ไปสมัครเรียนวาดรูปที่โรงเรียนหน้าปากซอยนั่นเอง!
ที่นั่นเป็นห้องแถวไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เจ้าของและครูคือคนเดียวกัน อายุราวสี่สิบเศษ ร่างท้วม ผิวขาว ไว้หนวดจิ๋ม หน้าบวมฉุและแดงก่ำด้วยพิษเหล้า ชอบติดโบหูกระต่ายไว้เสมอ ตอมนินทาว่า...คนจะได้มองหูกระต่ายตลกๆ แทนมองหน้าแกไงล่ะ
ผมทนไม่ไหว ต้องเตือนแบบพี่น้องว่าเราเป็นลูกศิษย์เขา อย่านินทาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูเลย! แต่ตอมหัวเราะอย่างไม่สนใจ...ตอนเย็นก็ไปเรียนมั่งไปเที่ยวมั่ง แต่มักจะไปหาเพื่อนฝูงมากกว่าไปเรียน
ดึกๆ กลับมามักจะรู้เพราะได้ยินเสียงหมาเห่าขรมตั้งแต่ปากซอย!
ตอมดีอย่างที่เมาแล้วไม่สะเงาะสะแงะเหมือนพวกขี้เมาส่วนมาก แต่พ่อแม่ก็ไม่สบายใจ กลัวว่าจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร หรือไม่ก็กลายเป็นคนติดเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ป้าสมรเคยปรับทุกข์กับผมว่า มีลูกชายคนเดียวเลยตามใจมากเกินไป พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่รู้จะห้ามปรามยังไงแล้ว
ผมเคยถามลุงเติมว่าทำไมไม่ตักเตือนลูกบ้าง? แกก็ได้แต่ถอนใจ บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จะตักเตือนท่าไหน เพราะตัวเองก็ริกินเหล้ามาตั้งแต่วัยรุ่น แถมทุกวันนี้ก็ยังกินเหล้าเป็นอาจิณ...พูดไม่ออกจริงๆ รังแต่จะย้อนเข้าตัวเอง
"ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำใจอย่างเดียว" ลุงเติมทำเสียงปลงอนิจจัง "แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ ขอให้ไอ้ตอมมันกินเหล้าแต่เอาตัวรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้เหมือนลุงก็แล้วกัน"
นอกจากจะเป็นคนเมาที่ยังพูดจากันรู้เรื่อง ตอมยังมีความคิดด้านดีๆ ออกมาให้เห็น เมื่อผมตักเตือนเรื่องนี้
"เรามันเรียนหนังสือไม่เก่งเหมือนนาย ไม่รู้จะทำยังไง? เรียนไปก็เสียเงินพ่อแม่เปล่าๆ เรารู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แต่มันอดไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงไม่ได้ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อ กลุ้มใจไม่รู้จะทำอะไร เรื่องเหล้าบุหรี่ก็แค่ทดลองเล่นๆ แก้กลุ้ม นายก็รู้ว่าบางทีเราอยู่บ้าน 3-4 วันไม่ได้แตะเลย"
ตอมพูดถูก เชื่อว่าเขาคงเบื่อตัวเองจริงๆ ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตที่ดูว่างเปล่าและไร้ค่าของตนอย่างไรดี?
จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ!
คืนนั้นผมกินข้าวแล้วเข้าห้องดูหนังสือตั้งแต่หัวค่ำ ป้ากับลุงบอกว่าตอมออกไปตั้งแต่เย็นแล้ว ว่าจะไปเรียนวาดรูปแล้วเลยไปวันเกิดเพื่อนที่ท่าเตียน ถ้ากลับดึกก็ไม่ต้องเป็นห่วง
ผมดับไฟเข้านอนราวสี่ทุ่มเศษ ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่ามาจากปากซอย เลี้ยวซ้ายนิดหน่อยแล้วใกล้เข้ามาทุกที...แต่ปรากฏว่ามีเสียงลากเท้ากับเสียงแช่งด่าแบบคนเมา มาถึงประตูรั้วแล้วก็เลยไปทางก้นซอย
ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่าหอนขึ้นอีก...เสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าบ้านพอดี!
ในความเงียบเชียบของยามดึก ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวน...กับเสียงลมคร่ำครวญกับยอดไม้ชวนให้วังเวงใจ มีเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นครู่ใหญ่ บ้านเราใส่ไม้คล้องตะปูขัดบานประตูสังกะสีไว้ง่ายๆ แค่สอดนิ้วดันก็หลุดแล้ว ใครเข้ามาก็หมุนไม้ขัดเหมือนเป็นดาลปิดประตูไว้ตามเดิม
ผมสงสัยว่าตอมคงจะเมามากจนเปิดประตูรั้วไม่ออก แต่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ขโมยขโจร เลยเปิดมุ้งออกไปมองทางหน้าต่างมุ้งลวด...สรรพสิ่งดูเยือกเย็น เปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างสิ้นดี...
ไม่มีใครยืนอยู่หน้าประตูแม้แต่คนเดียว!
กลับมาเข้ามุ้งนอนตามเดิม คิดว่าคงจะเป็นคนอื่นบ้านถัดไปมาเกาะประตูเพราะความมึนเมา หรือไม่ผมก็หูแว่วไปเอง
"เรือง..." เสียงเรียกชื่อผมคล้ายดังมากับสายลม "เรืองๆ ช่วยเปิดประตูที..."
เอาละซี! ผมปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลาย...เสียงตอมนี่นา! แต่ทำไมฟังดูแหบโหยเหลือเกิน เหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...เหมือนเจ้าของเสียงกำลังเจ็บปวดรวดร้าวจนใกล้จะสิ้นใจ?
ผมเปิดมุ้งออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง จ้องจนปวดตาก็ไม่เห็นมีใครเลย นอกจากความเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็น เสียงหมาหอนโจ๋วบาดลึกลงไปถึงหัวใจจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
รุ่งขึ้นเพื่อนตอมก็มาบอกข่าวว่า เมื่อคืนมีเรื่องกับวัยรุ่นท่าเตียน ตอมถูกแทงเข้าลิ้นปี่ ช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล...สิ้นลมหายใจเมื่อตอนค่อนรุ่งนี่เอง! ป้าสมรกับลุงเติมกอดกันร้องไห้ ผมนึกถึงเสียงเรียกในราตรีคืนนั้นแล้วยังขนลุกทุกครั้งไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2550
สมัยหนุ่มผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ ชื่อป้าสมร สามีชื่อลุงเติม บ้านอยู่ในซอยสารพัดช่าง บางขุนพรหม ป้ากับลุงเป็นข้าราชการอยู่ที่กระทรวงคมนาคมทั้งคู่
ทั้งสองมีลูกชายคนเดียว ชื่อตอม อายุราว 18-19 ปีเหมือนผม ตอมเป็นคนผิวขาว รูปหล่อ มีเพื่อนฝูงมากมาย แต่ไม่สนใจการเรียน ชอบเที่ยวเตร่ ริอ่านสูบบุหรี่ บางคืนก็ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูงที่เป็นนักเลง กว่าจะกลับบ้านช่องก็ดึกดื่นเป็นประจำ
ตอมเปิดประตูรั้วสังกะสี แล้วมาเคาะประตูห้องผมที่เชิงบันได บางคืนก็ทะเลาะกับหมาที่ชอบเห่าหอนเกรียวกราวไปทั้งซอย
บ้านป้าสมรเป็นบ้านไม้สองชั้น ผมนอนชั้นล่างห้องเดียวกับตอมมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยม จนผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วตอมก็ยังเอาแต่เที่ยวเตร่อยู่ตามเดิม เมื่อถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้เรียนต่อตอมเสียไม่ได้ก็ไปสมัครเรียนวาดรูปที่โรงเรียนหน้าปากซอยนั่นเอง!
ที่นั่นเป็นห้องแถวไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เจ้าของและครูคือคนเดียวกัน อายุราวสี่สิบเศษ ร่างท้วม ผิวขาว ไว้หนวดจิ๋ม หน้าบวมฉุและแดงก่ำด้วยพิษเหล้า ชอบติดโบหูกระต่ายไว้เสมอ ตอมนินทาว่า...คนจะได้มองหูกระต่ายตลกๆ แทนมองหน้าแกไงล่ะ
ผมทนไม่ไหว ต้องเตือนแบบพี่น้องว่าเราเป็นลูกศิษย์เขา อย่านินทาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูเลย! แต่ตอมหัวเราะอย่างไม่สนใจ...ตอนเย็นก็ไปเรียนมั่งไปเที่ยวมั่ง แต่มักจะไปหาเพื่อนฝูงมากกว่าไปเรียน
ดึกๆ กลับมามักจะรู้เพราะได้ยินเสียงหมาเห่าขรมตั้งแต่ปากซอย!
ตอมดีอย่างที่เมาแล้วไม่สะเงาะสะแงะเหมือนพวกขี้เมาส่วนมาก แต่พ่อแม่ก็ไม่สบายใจ กลัวว่าจะไปมีเรื่องมีราวกับใคร หรือไม่ก็กลายเป็นคนติดเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ป้าสมรเคยปรับทุกข์กับผมว่า มีลูกชายคนเดียวเลยตามใจมากเกินไป พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่รู้จะห้ามปรามยังไงแล้ว
ผมเคยถามลุงเติมว่าทำไมไม่ตักเตือนลูกบ้าง? แกก็ได้แต่ถอนใจ บอกตรงๆ ว่าไม่รู้จะตักเตือนท่าไหน เพราะตัวเองก็ริกินเหล้ามาตั้งแต่วัยรุ่น แถมทุกวันนี้ก็ยังกินเหล้าเป็นอาจิณ...พูดไม่ออกจริงๆ รังแต่จะย้อนเข้าตัวเอง
"ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำใจอย่างเดียว" ลุงเติมทำเสียงปลงอนิจจัง "แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ ขอให้ไอ้ตอมมันกินเหล้าแต่เอาตัวรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้เหมือนลุงก็แล้วกัน"
นอกจากจะเป็นคนเมาที่ยังพูดจากันรู้เรื่อง ตอมยังมีความคิดด้านดีๆ ออกมาให้เห็น เมื่อผมตักเตือนเรื่องนี้
"เรามันเรียนหนังสือไม่เก่งเหมือนนาย ไม่รู้จะทำยังไง? เรียนไปก็เสียเงินพ่อแม่เปล่าๆ เรารู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แต่มันอดไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงไม่ได้ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อ กลุ้มใจไม่รู้จะทำอะไร เรื่องเหล้าบุหรี่ก็แค่ทดลองเล่นๆ แก้กลุ้ม นายก็รู้ว่าบางทีเราอยู่บ้าน 3-4 วันไม่ได้แตะเลย"
ตอมพูดถูก เชื่อว่าเขาคงเบื่อตัวเองจริงๆ ไม่รู้ว่าจะจัดการกับชีวิตที่ดูว่างเปล่าและไร้ค่าของตนอย่างไรดี?
จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ!
คืนนั้นผมกินข้าวแล้วเข้าห้องดูหนังสือตั้งแต่หัวค่ำ ป้ากับลุงบอกว่าตอมออกไปตั้งแต่เย็นแล้ว ว่าจะไปเรียนวาดรูปแล้วเลยไปวันเกิดเพื่อนที่ท่าเตียน ถ้ากลับดึกก็ไม่ต้องเป็นห่วง
ผมดับไฟเข้านอนราวสี่ทุ่มเศษ ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่ามาจากปากซอย เลี้ยวซ้ายนิดหน่อยแล้วใกล้เข้ามาทุกที...แต่ปรากฏว่ามีเสียงลากเท้ากับเสียงแช่งด่าแบบคนเมา มาถึงประตูรั้วแล้วก็เลยไปทางก้นซอย
ไม่ช้าก็มีเสียงหมาเห่าหอนขึ้นอีก...เสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าบ้านพอดี!
ในความเงียบเชียบของยามดึก ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวน...กับเสียงลมคร่ำครวญกับยอดไม้ชวนให้วังเวงใจ มีเสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นครู่ใหญ่ บ้านเราใส่ไม้คล้องตะปูขัดบานประตูสังกะสีไว้ง่ายๆ แค่สอดนิ้วดันก็หลุดแล้ว ใครเข้ามาก็หมุนไม้ขัดเหมือนเป็นดาลปิดประตูไว้ตามเดิม
ผมสงสัยว่าตอมคงจะเมามากจนเปิดประตูรั้วไม่ออก แต่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่ขโมยขโจร เลยเปิดมุ้งออกไปมองทางหน้าต่างมุ้งลวด...สรรพสิ่งดูเยือกเย็น เปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างสิ้นดี...
ไม่มีใครยืนอยู่หน้าประตูแม้แต่คนเดียว!
กลับมาเข้ามุ้งนอนตามเดิม คิดว่าคงจะเป็นคนอื่นบ้านถัดไปมาเกาะประตูเพราะความมึนเมา หรือไม่ผมก็หูแว่วไปเอง
"เรือง..." เสียงเรียกชื่อผมคล้ายดังมากับสายลม "เรืองๆ ช่วยเปิดประตูที..."
เอาละซี! ผมปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลาย...เสียงตอมนี่นา! แต่ทำไมฟังดูแหบโหยเหลือเกิน เหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...เหมือนเจ้าของเสียงกำลังเจ็บปวดรวดร้าวจนใกล้จะสิ้นใจ?
ผมเปิดมุ้งออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง จ้องจนปวดตาก็ไม่เห็นมีใครเลย นอกจากความเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็น เสียงหมาหอนโจ๋วบาดลึกลงไปถึงหัวใจจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
รุ่งขึ้นเพื่อนตอมก็มาบอกข่าวว่า เมื่อคืนมีเรื่องกับวัยรุ่นท่าเตียน ตอมถูกแทงเข้าลิ้นปี่ ช่วยกันหามส่งโรงพยาบาล...สิ้นลมหายใจเมื่อตอนค่อนรุ่งนี่เอง! ป้าสมรกับลุงเติมกอดกันร้องไห้ ผมนึกถึงเสียงเรียกในราตรีคืนนั้นแล้วยังขนลุกทุกครั้งไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2550
23 สิงหาคม 2558
เจ้าของหวีสับ
"ชมพู่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรม 3 พี่รื่นเป็นภรรยาของเพื่อนรุ่นพี่ของสามีดิฉัน เราพบกันในงานเลี้ยง พูดคุยกันถูกคอ เธอเป็นคนน่านับถือ แถมยังสวยไม่สร่างแม้ว่าอายุจะย่างเข้าห้าสิบแล้วก็ตาม
ที่สำคัญ เธอผู้นี้แหละค่ะที่พาดิฉันไปพบปรากฏการณ์สุดสยอง!
หลังจากรู้จักกันหลายเดือน วันหนึ่งพี่รื่นก็ชวนให้ดิฉันทำงานขายประกัน เราเป็นแม่บ้านทั้งคู่ค่ะ คือต่างก็ลาออกจากงานตั้งแต่คลอดลูกคนแรก จนกระทั่งตอนนี้ลูกอายุยี่สิบเศษเรียนจบปริญญาเรียบร้อย พี่รื่นบอกว่ามาขายประกันดีกว่า หารายได้ให้ครอบครัว แล้วยังนำสิ่งดีๆ ไปเสนอให้คนในสังคม
ดิฉันตกลงเข้ารับการอบรมโดยพี่รื่นเป็นหัวหน้าสาย เธอขายประกันมานานแล้วค่ะ จนได้เป็นระดับหัวหน้า
เมื่อปีที่แล้วเราต้องไปสัมมนาที่เมืองกาญจน์ เข้าพักโรงแรมระดับดีมาก ดิฉันนอนกับพี่รื่นในห้องพักที่สะอาด ทันสมัย เป็นห้องที่สวยมาก แต่ทำไมดิฉันรู้สึกแปลกก็ไม่รู้
ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนห้องนี้มีใครอยู่ ...มันเหมือนกับเวลาที่เราเปิดห้องผิดน่ะค่ะ แม้จะไม่เห็นตัว แต่ก็รู้สึกว่าใครคนนั้นอยู่ในห้องขณะเปิดประตู...มันทำให้ดิฉันชะงัก เผลอร้องอุ๊ย...ออกมาเบาๆ
พี่รื่นไม่ทันได้ยิน เพราะมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าจากรถลาก แต่พนักงานที่เข็นกระเป๋าขึ้นมากลอกตามองดิฉัน แล้วเขาก็รีบเบือนเลย เร่งมือยกกระเป๋าของเราเข้าห้องให้อย่างเรียบร้อย ....พี่รื่นชอบใจห้องนี้ มันเป็นห้องเล็กๆ มีห้องน้ำอยู่ตรงทางที่เปิดประตูเข้ามา เตียงเป็นแบบกว้างนอนได้สองคน ไม่ใช่เตียงแยกนอนเดียวสองเตียง
นี่ละค่ะที่พี่รื่นชอบ...เธอเป็นคนกลัวผีตัวฉกาจเลยละค่ะ!
ดิฉันขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะที่พี่รื่นกำลังชมวิวและกินผลไม้ที่ทางโรงแรมวางไว้ให้บนโต๊ะตัวเล็กเป็นการต้อนรับ
ห้องน้ำสะอาดค่ะ มีอ่างอาบน้ำด้วย กระจกผนังก็กว้างตลอด ทำให้ยิ่งดูโล่งและโอ่โถง เคาน์เตอร์ตรงอ่างล้างหน้า มีดอกไม้ช่อสีม่วงเล็กๆ ปักแจกัน และมีขวดสบู่ แชมพู ครีมทาผิว วางไว้ในตะกร้าสานใบเล็กน่าเอ็นดู
แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหวีสับของใครมาวางอยู่บนนี้ด้วย?
มันเป็นหวีประดับเพชรเม็ดนิดๆ เรียงเป็นแถว ดูสวยมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดรอดสายตาพนักงานทำความสะอาดมาได้ขนาดนี้ ดิฉันมั่นใจว่าเป็นของคนที่มาพักก่อนหน้านี้ลืมเอาไว้
ไม่เป็นไร...ดิฉันจะเอาไปให้พนักงานต้อนรับตอนลงไปข้างล่าง จะบอกเขาว่าแขกลืมของ...
จัดการหมุนก๊อกน้ำเย็นล้างหน้า โดยไม่ได้เปิดก๊อกน้ำอุ่นผสม พอล้างเสร็จเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดิฉันรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว...ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง เพราะเงาตัวเรามองออกมาไม่เหมือนเราเลยค่ะ...มันเหมือนคนอื่นที่กำลังเลียนแบบท่าทางของเรา พร้อมกับมองสบตาเราอย่างขบขันอยู่ในที!
เอ๊ะ! ชักจะยังไงเสียแล้วซี! ขนเริ่มลุกซ่าเมื่อเห็นสีหน้าเงาตัวเองในกระจกดูน่ากลัว และใบหน้าของดิฉันเองในเงาสะท้อนนั้นดูไม่เหมือนเดิม...คล้ายกับว่ามันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ
ไม่เอาแล้ว...ดิฉันรีบออกจากห้องน้ำ คิดว่าตัวเองประสาทเกินไป เฮ้อ...อายุตั้ง 48 แล้วนี่คะ เลือดจะไปลมจะมา...ฮอร์โมนคงทำพิษน่ะค่ะ! คิดเลอะเทอะหลอกตัวเองให้กลัวอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!
วันนั้นเราอบรมสัมมนาจนมืดค่ำ กว่าจะกลับเข้าห้องก็ห้าทุ่มกว่าแน่ะค่ะ
พี่รื่นดูเหนื่อยมาก เธอบอกว่าเพลียๆ ขออาบน้ำก่อน ดิฉันเลยเปิดทีวีดู ม่านหน้าต่างน่ะเอาลงหมด แถมเปิดไฟทั้งห้อง แต่กระนั้นแสงไฟก็ดูจะสว่างไม่พอสักเท่าไหร่
ตอนดูทีวี ดิฉันรู้สึกเหมือนมีเงาคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงหางตา แต่พอมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร...แปลกชะมัด
หลังจากอาบน้ำต่อจากพี่รื่น ดิฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นและอยากเข้านอนทันที พี่รื่นหลับแล้วค่ะ เธอหลับง่ายแบบนี้แหละ ดิฉันดับไฟ เหลือแต่ไฟในห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มไว้
ไม่ถึงห้านาที...กำลังหลับตาจะเคลิ้มอยู่ดีๆ ก็ต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนในห้องน้ำ ทั้งที่พี่รื่นก็หลับอยู่ข้างดิฉันแท้ๆ แล้วใครล่ะ?
ขณะคิดอยู่ ก็เห็นชัดๆ แล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาจากห้องน้ำ!
คุณพระช่วย! ผมเธอยาวปรกน้ำที่ก้มต่ำ แขนสองข้างลู่อยู่แนบตัว เธอลอยช้าๆ น่าสยองมากๆ ผ่านความมืดสลัวอ้อมมาข้างเตียงด้านพี่รื่น แล้วเธอก็นอนลงติดกับพี่รื่นเลยค่ะ! ที่นอนยุบยวบ เล่นเอาดิฉันชาวาบไปทั้งตัว...ทำอะไรไม่ถูกนอกจากสวดมนต์
พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดไฟหัวเตียง แล้วค่อยๆ มองไปตรงนั้น...มันว่างเปล่า!
ดิฉันไม่กล้าเล่าให้พี่รื่นฟังเพราะไม่อยากให้เธอกลัว แต่เดชะบุญที่เช้านั้นชักโครกในห้องน้ำเสีย เราได้ย้ายไปนอนห้องอื่น ซึ่งดิฉันคิดว่าโชคดีที่สุด...แต่ถึงจะนอนห้องอื่นก็ยังอดหวาดระแวงไม่ได้เลย
พอถึงกรุงเทพฯ เล่าให้พี่รื่นฟังแทนที่จะกลัวเธอกลับหัวเราะฮึๆ บอกว่าอย่าคิดอะไรมาก หนทางยังอีกไกล ดิฉันต้องอบรมสัมมนาอีกหลายครั้ง! เห็นอะไรก็เฉยไว้ดีแล้ว...เป็นงั้นไปค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2550
ที่สำคัญ เธอผู้นี้แหละค่ะที่พาดิฉันไปพบปรากฏการณ์สุดสยอง!
หลังจากรู้จักกันหลายเดือน วันหนึ่งพี่รื่นก็ชวนให้ดิฉันทำงานขายประกัน เราเป็นแม่บ้านทั้งคู่ค่ะ คือต่างก็ลาออกจากงานตั้งแต่คลอดลูกคนแรก จนกระทั่งตอนนี้ลูกอายุยี่สิบเศษเรียนจบปริญญาเรียบร้อย พี่รื่นบอกว่ามาขายประกันดีกว่า หารายได้ให้ครอบครัว แล้วยังนำสิ่งดีๆ ไปเสนอให้คนในสังคม
ดิฉันตกลงเข้ารับการอบรมโดยพี่รื่นเป็นหัวหน้าสาย เธอขายประกันมานานแล้วค่ะ จนได้เป็นระดับหัวหน้า
เมื่อปีที่แล้วเราต้องไปสัมมนาที่เมืองกาญจน์ เข้าพักโรงแรมระดับดีมาก ดิฉันนอนกับพี่รื่นในห้องพักที่สะอาด ทันสมัย เป็นห้องที่สวยมาก แต่ทำไมดิฉันรู้สึกแปลกก็ไม่รู้
ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนห้องนี้มีใครอยู่ ...มันเหมือนกับเวลาที่เราเปิดห้องผิดน่ะค่ะ แม้จะไม่เห็นตัว แต่ก็รู้สึกว่าใครคนนั้นอยู่ในห้องขณะเปิดประตู...มันทำให้ดิฉันชะงัก เผลอร้องอุ๊ย...ออกมาเบาๆ
พี่รื่นไม่ทันได้ยิน เพราะมัวแต่หันไปหยิบกระเป๋าจากรถลาก แต่พนักงานที่เข็นกระเป๋าขึ้นมากลอกตามองดิฉัน แล้วเขาก็รีบเบือนเลย เร่งมือยกกระเป๋าของเราเข้าห้องให้อย่างเรียบร้อย ....พี่รื่นชอบใจห้องนี้ มันเป็นห้องเล็กๆ มีห้องน้ำอยู่ตรงทางที่เปิดประตูเข้ามา เตียงเป็นแบบกว้างนอนได้สองคน ไม่ใช่เตียงแยกนอนเดียวสองเตียง
นี่ละค่ะที่พี่รื่นชอบ...เธอเป็นคนกลัวผีตัวฉกาจเลยละค่ะ!
ดิฉันขอตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ขณะที่พี่รื่นกำลังชมวิวและกินผลไม้ที่ทางโรงแรมวางไว้ให้บนโต๊ะตัวเล็กเป็นการต้อนรับ
ห้องน้ำสะอาดค่ะ มีอ่างอาบน้ำด้วย กระจกผนังก็กว้างตลอด ทำให้ยิ่งดูโล่งและโอ่โถง เคาน์เตอร์ตรงอ่างล้างหน้า มีดอกไม้ช่อสีม่วงเล็กๆ ปักแจกัน และมีขวดสบู่ แชมพู ครีมทาผิว วางไว้ในตะกร้าสานใบเล็กน่าเอ็นดู
แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหวีสับของใครมาวางอยู่บนนี้ด้วย?
มันเป็นหวีประดับเพชรเม็ดนิดๆ เรียงเป็นแถว ดูสวยมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดรอดสายตาพนักงานทำความสะอาดมาได้ขนาดนี้ ดิฉันมั่นใจว่าเป็นของคนที่มาพักก่อนหน้านี้ลืมเอาไว้
ไม่เป็นไร...ดิฉันจะเอาไปให้พนักงานต้อนรับตอนลงไปข้างล่าง จะบอกเขาว่าแขกลืมของ...
จัดการหมุนก๊อกน้ำเย็นล้างหน้า โดยไม่ได้เปิดก๊อกน้ำอุ่นผสม พอล้างเสร็จเงยหน้าขึ้นมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดิฉันรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว...ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง เพราะเงาตัวเรามองออกมาไม่เหมือนเราเลยค่ะ...มันเหมือนคนอื่นที่กำลังเลียนแบบท่าทางของเรา พร้อมกับมองสบตาเราอย่างขบขันอยู่ในที!
เอ๊ะ! ชักจะยังไงเสียแล้วซี! ขนเริ่มลุกซ่าเมื่อเห็นสีหน้าเงาตัวเองในกระจกดูน่ากลัว และใบหน้าของดิฉันเองในเงาสะท้อนนั้นดูไม่เหมือนเดิม...คล้ายกับว่ามันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ
ไม่เอาแล้ว...ดิฉันรีบออกจากห้องน้ำ คิดว่าตัวเองประสาทเกินไป เฮ้อ...อายุตั้ง 48 แล้วนี่คะ เลือดจะไปลมจะมา...ฮอร์โมนคงทำพิษน่ะค่ะ! คิดเลอะเทอะหลอกตัวเองให้กลัวอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!
วันนั้นเราอบรมสัมมนาจนมืดค่ำ กว่าจะกลับเข้าห้องก็ห้าทุ่มกว่าแน่ะค่ะ
พี่รื่นดูเหนื่อยมาก เธอบอกว่าเพลียๆ ขออาบน้ำก่อน ดิฉันเลยเปิดทีวีดู ม่านหน้าต่างน่ะเอาลงหมด แถมเปิดไฟทั้งห้อง แต่กระนั้นแสงไฟก็ดูจะสว่างไม่พอสักเท่าไหร่
ตอนดูทีวี ดิฉันรู้สึกเหมือนมีเงาคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงหางตา แต่พอมองตรงๆ ก็ไม่มีอะไร...แปลกชะมัด
หลังจากอาบน้ำต่อจากพี่รื่น ดิฉันรู้สึกสบายตัวขึ้นและอยากเข้านอนทันที พี่รื่นหลับแล้วค่ะ เธอหลับง่ายแบบนี้แหละ ดิฉันดับไฟ เหลือแต่ไฟในห้องน้ำที่เปิดประตูแง้มไว้
ไม่ถึงห้านาที...กำลังหลับตาจะเคลิ้มอยู่ดีๆ ก็ต้องตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคนในห้องน้ำ ทั้งที่พี่รื่นก็หลับอยู่ข้างดิฉันแท้ๆ แล้วใครล่ะ?
ขณะคิดอยู่ ก็เห็นชัดๆ แล้วว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาจากห้องน้ำ!
คุณพระช่วย! ผมเธอยาวปรกน้ำที่ก้มต่ำ แขนสองข้างลู่อยู่แนบตัว เธอลอยช้าๆ น่าสยองมากๆ ผ่านความมืดสลัวอ้อมมาข้างเตียงด้านพี่รื่น แล้วเธอก็นอนลงติดกับพี่รื่นเลยค่ะ! ที่นอนยุบยวบ เล่นเอาดิฉันชาวาบไปทั้งตัว...ทำอะไรไม่ถูกนอกจากสวดมนต์
พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดไฟหัวเตียง แล้วค่อยๆ มองไปตรงนั้น...มันว่างเปล่า!
ดิฉันไม่กล้าเล่าให้พี่รื่นฟังเพราะไม่อยากให้เธอกลัว แต่เดชะบุญที่เช้านั้นชักโครกในห้องน้ำเสีย เราได้ย้ายไปนอนห้องอื่น ซึ่งดิฉันคิดว่าโชคดีที่สุด...แต่ถึงจะนอนห้องอื่นก็ยังอดหวาดระแวงไม่ได้เลย
พอถึงกรุงเทพฯ เล่าให้พี่รื่นฟังแทนที่จะกลัวเธอกลับหัวเราะฮึๆ บอกว่าอย่าคิดอะไรมาก หนทางยังอีกไกล ดิฉันต้องอบรมสัมมนาอีกหลายครั้ง! เห็นอะไรก็เฉยไว้ดีแล้ว...เป็นงั้นไปค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2550
22 สิงหาคม 2558
รักและผูกพัน
"จุ๊บแจง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง
วันนั้น...ดิฉันจำได้ มันเป็นวันศุกร์ตอนสิบโมงสิบนาที ดิฉันกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองโทรศัพท์มือถือของดิฉันก็ดังขึ้น
ตกใจจนแทบสะดุ้งเลยค่ะ...กำลังมีสมาธิอยู่ดีๆ เชียว!
พอคว้ามือถือขึ้นมา ปรากฏว่าหน้าจอมันดำมืดไปหมด มองไม่เห็นเลยว่าใครโทร.มาหา...เอาละซิ ต้องไปให้ช่างซ่อมซะแล้ว! เครื่องนี้ไม่เคยเสียเลยนะ ดิฉันกะว่าค่าซ่อมคงไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าร้อยแน่ คิดแล้วเสียดายชะมัด แต่เอาเถอะ...รีบกดปุ่มรับสาย พลันเสียงเจื้อยแจ้วก็ดังกระทบหู
"แจงเรอะ? เป็นไงบ้าง..." ดิฉันวาบไปทั้งตัว จากนั้นความตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างล้นเหลือ....
เสียงหวานๆ ที่กำลังได้ยินนี้ แม้จะไม่ได้ฟังมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ก็จำได้ทันที และตื่นเต้นมาก...วัยสี่สิบของตัวเองถูกกระชากกลับไปเป็นสิบเก้าทันที ดิฉันกลายเป็นเด็กสาววัยสิบเก้าปี ที่เรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย...อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่รักและผูกพันกันอย่างยิ่ง
"เปิ้ล! เปิ้ลใช่ไหม? ดีใจจัง...คิดถึงจัง เป็นไงบ้าง?" ดิฉันส่งคำทักทายตอบไปโลกส่วนตัวกำลังหมุนกลับ...
เปิ้ลเป็นหนึ่งในห้าของกลุ่มดิฉันเอง เราเรียนเก่งทั้งห้าคน และเป็นดาวเด่นในหมู่เพื่อนฝูงเลยก็ว่าได้ เพราะมีคนบอกว่าพวกเราสวยค่ะ! เปิ้ลสวยที่สุด เธอตัวเล็ก เอวบาง ร่างสมส่วน มีรอยยิ้มสดใส
หลังเรียนจบเปิ้ลไปเรียนต่อที่อเมริกา ดิฉันเองก็ไปต่อโทที่อังกฤษ ตุ้ยได้งานทำแมวแต่งงานกับลูกชายคนดัง และไก่เข้าช่วยกิจการโรงแรมของคุณพ่อเธอ
พวกเราติดต่อกันอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ แผ่วกันไป เพราะต่างคนต่างมีภาระ ในที่สุดก็ขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง แม้แต่งานรุ่นดิฉันก็ไปบ้างไม่ได้ไปบ้าง เลยไม่ได้พบหน้าเพื่อนๆ ครบทุกคน
แล้วนี่อะไรกัน จู่ๆ เปิ้ลก็โทร.มาหา!?
อารามดีใจ ดิฉันไม่ได้ฉุกคิดแม้แต่น้อยว่าเธอรู้เบอร์มือถือดิฉันได้อย่างไร? ได้ฟังเสียงใสๆ ของเธอแล้วลืมทุกอย่างเลยค่ะ
"แจง! ถ้าว่างละก็เปิ้ลอยากให้เรามาเจอกันสักทีนะ มาทุกคนเลย...ให้พร้อมหน้าพร้อมตา จะได้คุยกัน คิดถึงมาก..." เปิ้ลลากเสียงยาวจนดิฉันหัวเราะ ถามว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ล่ะ? คราวนี้จะไปพบเธอกับเพื่อนสนิทของเราให้จงได้
เปิ้ลหัวเราะแล้วพูดเพียงว่า...แล้วจะรู้เอง!!
จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไปเฉยๆ แบตฯก็ไม่ได้หมดสักหน่อย ดิฉันเอาโทรศัพท์ออกจากหูมาดู อ้าว? หน้าจอขึ้นตามปกติแล้วนี่! แต่เอ...ไม่มีเบอร์โทร.เข้ามาตะกี้เลย
แปลกจัง...มันขัดข้องอีท่าไหนหนอ?
กำลังโมโหมือถือ เลขาฯดิฉันก็ต่อสายเข้ามาที่เครื่องบนโต๊ะทำงาน พอรับสายก็ต้องแปลกใจสุดขีด เพราะคนที่โทร.มาคือตุ้ย - เพื่อนอีกคนในกลุ่มของเราที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกัน
"แจง...ตุ้ยรู้ว่าแจงทำงานที่นี่เลยโทร.มาถามหากับประชาสัมพันธ์...."
ประโยคต่อมาทำให้ดิฉันตาลาย โลกเอียงวูบ...
"เปิ้ลตายแล้วนะ! ตายเมื่อคืนที่โรงพยาบาล เป็นมะเร็ง! พี่ชายเขาโทร.มาบอก...เขาอุตส่าห์สืบเสาะหาพวกเรา พอดีตุ้ยแต่งงานกับเพื่อนของพี่ชายเปิ้ลไง ถึงได้รู้เรื่อง...เย็นนี้ไปงานศพเปิ้ลกันนะ"
อะไรกันนี่?! เมื่อตะกี้ดิฉันเพิ่งโทร.คุยกับเปิ้ลหยกๆ นี่นา! เสียงเธอสดใส...
ตุ้ยจัดการติดต่อกับสมาคมศิษย์เก่ารุ่นของเรา แล้วโทร.ตามเพื่อนๆ จนครบ
คืนนั้น เราทั้งสี่คนกลับมารวมกลุ่มกันจนได้จริงๆ โดยคนที่ห้า...นอนอยู่ในโลงท่ามกลางดอกไม้สดสวยสะพรั่ง และหรีดที่เรียงราย
รูปถ่ายของเปิ้ลสวยมาก เธอส่งยิ้มเศร้ามาให้พวกเรา...ลูกสาวคนเดียวของเปิ้ลก็เหมือนแม่เปี๊ยบ รวมทั้งกิริยาท่าทาง
ดิฉันเล่าเรื่องที่เปิ้ลโทร.ไปหาให้เพื่อนฟัง พวกเราขนลุก...เปิ้ลไปหาทุกคนหลังจากที่เธอสิ้นลมหายใจไปได้ไม่ถึงสิบสองชั่วโมง!
ตุ้ยฝันถึงเปิ้ล....ที่จริงฝันติดต่อมาหลายคืนแล้ว
แมวไปเดินศูนย์การค้าเมื่อเช้า เวลาเดียวกับที่เปิ้ลโทร.หาดิฉัน เธอปรากฏตัวให้แมวเห็นบนบันไดเลื่อน แมวจำเธอได้ทันที ทั้งคู่โบกมือให้กัน...แต่หลังจากนั้น แมวตามหาเธอไม่ทัน ไม่รู้หายไปทางไหน
ส่วนไก่ได้ยินเสียงเปิ้ลมาเรียกที่หน้าประตูบ้าน ไก่ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว เธอเพิ่งกลับจากส่งลูกไปโรงเรียน และซื้อกับข้าวเข้าบ้าน เธอจำเสียงเปิ้ลได้ พอเดินไปดูที่ประตูรั้วก็ไม่เห็นใคร
ไก่สังหรณ์ใจในทันที...แล้วสังหรณ์นั้นก็เป็นจริง!
นี่เป็นประสบการณ์ที่พวกเรายอมรับว่าประทับใจมากที่สุด
เปิ้ลทำให้เราได้กลับมารวมกลุ่มกันในที่สุด เธอทำให้พวกเราเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง แม้ว่าร่างกายสลายแล้ว แต่ความรักและผูกพันยังอยู่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2550
วันนั้น...ดิฉันจำได้ มันเป็นวันศุกร์ตอนสิบโมงสิบนาที ดิฉันกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองโทรศัพท์มือถือของดิฉันก็ดังขึ้น
ตกใจจนแทบสะดุ้งเลยค่ะ...กำลังมีสมาธิอยู่ดีๆ เชียว!
พอคว้ามือถือขึ้นมา ปรากฏว่าหน้าจอมันดำมืดไปหมด มองไม่เห็นเลยว่าใครโทร.มาหา...เอาละซิ ต้องไปให้ช่างซ่อมซะแล้ว! เครื่องนี้ไม่เคยเสียเลยนะ ดิฉันกะว่าค่าซ่อมคงไม่ต่ำกว่าสี่ซ้าห้าร้อยแน่ คิดแล้วเสียดายชะมัด แต่เอาเถอะ...รีบกดปุ่มรับสาย พลันเสียงเจื้อยแจ้วก็ดังกระทบหู
"แจงเรอะ? เป็นไงบ้าง..." ดิฉันวาบไปทั้งตัว จากนั้นความตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างล้นเหลือ....
เสียงหวานๆ ที่กำลังได้ยินนี้ แม้จะไม่ได้ฟังมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ก็จำได้ทันที และตื่นเต้นมาก...วัยสี่สิบของตัวเองถูกกระชากกลับไปเป็นสิบเก้าทันที ดิฉันกลายเป็นเด็กสาววัยสิบเก้าปี ที่เรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัย...อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่รักและผูกพันกันอย่างยิ่ง
"เปิ้ล! เปิ้ลใช่ไหม? ดีใจจัง...คิดถึงจัง เป็นไงบ้าง?" ดิฉันส่งคำทักทายตอบไปโลกส่วนตัวกำลังหมุนกลับ...
เปิ้ลเป็นหนึ่งในห้าของกลุ่มดิฉันเอง เราเรียนเก่งทั้งห้าคน และเป็นดาวเด่นในหมู่เพื่อนฝูงเลยก็ว่าได้ เพราะมีคนบอกว่าพวกเราสวยค่ะ! เปิ้ลสวยที่สุด เธอตัวเล็ก เอวบาง ร่างสมส่วน มีรอยยิ้มสดใส
หลังเรียนจบเปิ้ลไปเรียนต่อที่อเมริกา ดิฉันเองก็ไปต่อโทที่อังกฤษ ตุ้ยได้งานทำแมวแต่งงานกับลูกชายคนดัง และไก่เข้าช่วยกิจการโรงแรมของคุณพ่อเธอ
พวกเราติดต่อกันอยู่ระยะหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ แผ่วกันไป เพราะต่างคนต่างมีภาระ ในที่สุดก็ขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง แม้แต่งานรุ่นดิฉันก็ไปบ้างไม่ได้ไปบ้าง เลยไม่ได้พบหน้าเพื่อนๆ ครบทุกคน
แล้วนี่อะไรกัน จู่ๆ เปิ้ลก็โทร.มาหา!?
อารามดีใจ ดิฉันไม่ได้ฉุกคิดแม้แต่น้อยว่าเธอรู้เบอร์มือถือดิฉันได้อย่างไร? ได้ฟังเสียงใสๆ ของเธอแล้วลืมทุกอย่างเลยค่ะ
"แจง! ถ้าว่างละก็เปิ้ลอยากให้เรามาเจอกันสักทีนะ มาทุกคนเลย...ให้พร้อมหน้าพร้อมตา จะได้คุยกัน คิดถึงมาก..." เปิ้ลลากเสียงยาวจนดิฉันหัวเราะ ถามว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ล่ะ? คราวนี้จะไปพบเธอกับเพื่อนสนิทของเราให้จงได้
เปิ้ลหัวเราะแล้วพูดเพียงว่า...แล้วจะรู้เอง!!
จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็เงียบไปเฉยๆ แบตฯก็ไม่ได้หมดสักหน่อย ดิฉันเอาโทรศัพท์ออกจากหูมาดู อ้าว? หน้าจอขึ้นตามปกติแล้วนี่! แต่เอ...ไม่มีเบอร์โทร.เข้ามาตะกี้เลย
แปลกจัง...มันขัดข้องอีท่าไหนหนอ?
กำลังโมโหมือถือ เลขาฯดิฉันก็ต่อสายเข้ามาที่เครื่องบนโต๊ะทำงาน พอรับสายก็ต้องแปลกใจสุดขีด เพราะคนที่โทร.มาคือตุ้ย - เพื่อนอีกคนในกลุ่มของเราที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกัน
"แจง...ตุ้ยรู้ว่าแจงทำงานที่นี่เลยโทร.มาถามหากับประชาสัมพันธ์...."
ประโยคต่อมาทำให้ดิฉันตาลาย โลกเอียงวูบ...
"เปิ้ลตายแล้วนะ! ตายเมื่อคืนที่โรงพยาบาล เป็นมะเร็ง! พี่ชายเขาโทร.มาบอก...เขาอุตส่าห์สืบเสาะหาพวกเรา พอดีตุ้ยแต่งงานกับเพื่อนของพี่ชายเปิ้ลไง ถึงได้รู้เรื่อง...เย็นนี้ไปงานศพเปิ้ลกันนะ"
อะไรกันนี่?! เมื่อตะกี้ดิฉันเพิ่งโทร.คุยกับเปิ้ลหยกๆ นี่นา! เสียงเธอสดใส...
ตุ้ยจัดการติดต่อกับสมาคมศิษย์เก่ารุ่นของเรา แล้วโทร.ตามเพื่อนๆ จนครบ
คืนนั้น เราทั้งสี่คนกลับมารวมกลุ่มกันจนได้จริงๆ โดยคนที่ห้า...นอนอยู่ในโลงท่ามกลางดอกไม้สดสวยสะพรั่ง และหรีดที่เรียงราย
รูปถ่ายของเปิ้ลสวยมาก เธอส่งยิ้มเศร้ามาให้พวกเรา...ลูกสาวคนเดียวของเปิ้ลก็เหมือนแม่เปี๊ยบ รวมทั้งกิริยาท่าทาง
ดิฉันเล่าเรื่องที่เปิ้ลโทร.ไปหาให้เพื่อนฟัง พวกเราขนลุก...เปิ้ลไปหาทุกคนหลังจากที่เธอสิ้นลมหายใจไปได้ไม่ถึงสิบสองชั่วโมง!
ตุ้ยฝันถึงเปิ้ล....ที่จริงฝันติดต่อมาหลายคืนแล้ว
แมวไปเดินศูนย์การค้าเมื่อเช้า เวลาเดียวกับที่เปิ้ลโทร.หาดิฉัน เธอปรากฏตัวให้แมวเห็นบนบันไดเลื่อน แมวจำเธอได้ทันที ทั้งคู่โบกมือให้กัน...แต่หลังจากนั้น แมวตามหาเธอไม่ทัน ไม่รู้หายไปทางไหน
ส่วนไก่ได้ยินเสียงเปิ้ลมาเรียกที่หน้าประตูบ้าน ไก่ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว เธอเพิ่งกลับจากส่งลูกไปโรงเรียน และซื้อกับข้าวเข้าบ้าน เธอจำเสียงเปิ้ลได้ พอเดินไปดูที่ประตูรั้วก็ไม่เห็นใคร
ไก่สังหรณ์ใจในทันที...แล้วสังหรณ์นั้นก็เป็นจริง!
นี่เป็นประสบการณ์ที่พวกเรายอมรับว่าประทับใจมากที่สุด
เปิ้ลทำให้เราได้กลับมารวมกลุ่มกันในที่สุด เธอทำให้พวกเราเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง แม้ว่าร่างกายสลายแล้ว แต่ความรักและผูกพันยังอยู่อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2550
21 สิงหาคม 2558
ฝากหมอน
"ศักดิ์ชาย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมุกดาหาร
ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนกลัวผี สาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาไปค้นหา เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ต่อให้รู้แน่ว่าเกิดจากอะไรผมก็ยังคงกลัวผีต่อไปตามเดิม
บางคนบอกว่าคนเราไม่ได้กลัวผีหรอก แต่กลัวความมืดต่างหาก เนื่องจากเราไม่รู้ไม่เห็นว่าในความมืดนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่...คือเชื่อว่าผีจะซุ่มตัวอยู่ในที่มืดๆ น่ะซี!
คิดอีกที ผมว่าน่าจะอยู่ที่ความเงียบสงัด เยือกเย็นน่าวังเวงใจมากกว่า โดยเฉพาะในตอนที่เราต้องอยู่คนเดียว ไม่ว่านอกบ้านในบ้าน หรือแม้แต่ในห้องนอน ถ้ามีใครอยู่เป็นเพื่อนก็จะทำให้อุ่นใจ เผลอๆ ก็ไม่ได้คิดเรื่องผีๆ สางๆ เราถึงได้ยินคนพูดกันว่า "อยู่เป็นเพื่อน" หรือ "ไปเป็นเพื่อน" จนชินหู
เมื่อต้นปีนี้เอง ผมต้องไปนอนที่โรงแรมจังหวัดมุกดาหารกับเพื่อนสนิทชื่ออ๋อ...เจอดีเข้าอย่างจังๆ เชียวแหละ คุณเอ๋ย...
ปกติผมไม่ชอบนอนค้างในโรงแรมอยู่แล้ว บ้านช่องก็อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าไปต่างจังหวัดก็นอนห้องเดียวกับลูกเมีย หรือไม่ก็กับเพื่อนฝูงที่สนิทกัน นิสัยไม่ชอบนอนร่วมห้องกับคนที่สนิทสนม โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด
อ้าว? ทำไมต้องนอนกับคนแปลกหน้าล่ะ?
ไม่ต้องดูอื่นดูไกลหรอกครับ เช่นเวลาเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ถ้าไปคนเดียวเขาก็จะจัดให้เรานอนร่วมกับคนอื่น หรือไม่เราก็ต้องจ่ายค่าห้องเพิ่ม..... ผมเลือกอย่างหลังทุกครั้ง ลองคิดว่าจะต้องไปนอนร่วมห้องกับคนแปลกหน้า หรือเพิ่งรู้จักกันผิวเผิน ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจนถึงหลับนอน...แค่คิดก็ขนลุกแล้วละครับ
เจ้าอ๋อชวนผมไปเที่ยวกับทัวร์ มีมุกดาหาร ข้ามโขงไปสุวรรณเขต, เข้าเวียดนามตอนกลาง...เรียกว่าไปทัวร์อีก 2 ประเทศ ครอบครัวเราไม่สะดวกทั้งคู่...เข้าล็อกพอดี!
ไม่คิดจะนำเที่ยวนะครับ แต่เล่าเรื่องขนหัวลุก ผมเลยขอตัดตอนจากการเดินทางและชมเมืองมุกดาหาร รวมทั้งการกินอยู่มื้อค่ำ...เสร็จสรรพก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนในโรงแรมระดับ 4 ดาว เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนเตียงใครเตียงมัน มีโต๊ะวางโคมไฟและโทรศัพท์คั่น ปิดไฟปิดทีวีเรียบร้อย
เราพูดคุยกันไม่นาน เสียงเจ้าอ๋อก็ขาดหาย กลายเป็นเสียงหายใจแรงๆ และสม่ำเสมอดังขึ้นแทน...หลับง่ายจนน่าอิจฉาจริงๆ เพื่อนผมน่ะ
ทั้งห้องเงียบสงัด มืดสลัว มีแต่แสงไฟจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้เท่านั้น!
ผมพลิกไปพลิกมา ทำท่าจะหลับแต่กลับตาแข็งดื้อๆ นึกถึงแต่เรื่องผีๆสางๆ ทั้งที่ไม่เคยนึก...ไม่ได้กลัวผีนะครับเพราะมีเพื่อนนอนอยู่ด้วยทั้งคน แต่นึกไปถึงตอนที่เคยนอนในโรงแรมคนเดียว เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวเหนือเมื่อ 2-3 ปีก่อน
จำได้ว่าคืนนั้นกลัวผีที่สุดในชีวิต!
ลืมเล่าไปว่า ถ้าต้องนอนคนเดียวผมเคยทั้งกลัวผีกับไม่กลัวเลย รู้สึกเฉยๆ ก็มี...ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่คุยกับเพื่อนฝูงหลายคนเขาก็บอกว่ารู้สึกคล้ายๆ กัน
คืนนั้นกลัวมากเลยครับ ทั้งที่ห้องหับสวยงามและสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นอับใดๆ แถมไร้เสียงกุกกักก๊อกแก๊กที่จะทำให้ขวัญผวา แต่ไม่รู้มีอะไรทำให้หวาดระแวงไปร้อยแปด...ตอนแรกคิดว่าเปิดไฟนอนดีกว่า แต่พลิกไปมาสักครู่ก็ขนหัวลุกเมื่อนึกได้ว่า ถ้าเราลืมตาขึ้นมาเห็นใครมายืนมองอยู่ข้างๆเตียงมิช็อกตายคาที่เรอะ?
ในที่สุดก็ตัดสินใจปิดไฟ บอกตัวเองว่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาปรากฏในห้องเราก็จะมองไม่เห็นแน่นอน...แต่เขาว่าผีจะซุ่มอยู่ในความมืดนี่นา คอยจ้องมองเราผู้เป็นเหยื่ออย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ ไม่รู้ว่ากระโจนเข้าใส่ตอนไหน!
ต้องลุกไปเปิดเบียร์ในตู้เย็นมาซด 2 กระป๋องถึงได้ข่มตาหลับลงได้
คืนนี้ก็เช่นกัน!
เสียงหายใจค่อนข้างแรงของเจ้าอ๋อยังดังอยู่สม่ำเสมอ ผมพลิกตัวอีกครั้ง อยากสูบบุหรี่ก็เกรงใจเพื่อนที่เลิกมาหลายปีแล้ว คิดว่าจะเข้าไปสูบในห้องน้ำ.
..รู้สึกปากคอแห้งผากขึ้นมาทันที...ถ้าผลักประตูเข้าไปเจอใครนั่งจ้องเขม็งมาล่ะ?
กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ก่อนจะนอนตัวแข็งทื่อราวโดนสาปในบัดดล
เสียงแก๊กที่ประตู...ผมหันขวับไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินโอบกอดกัน ยิ้มระรื่นเข้ามา แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวที่เพิ่งไปเดินชมเมือง กินอาหารเสร็จก็กลับมาพักผ่อนในห้อง
ใบหน้าที่ราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง ดูคมสันและสะสวยทั้งคู่ ทั้งสองพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข สาวสวยยิ้มหวาน กลีบปากแดงสดดูเย้ายวนใจ...เขาคงจะเข้าห้องผิดแน่ๆ ถ้างั้นไขกุญแจเข้ามาได้ยังไง? ในเมื่อผมเป็นคนล็อกประตูเรียบร้อยแล้วนี่นา
ถ้าเขาหันมาเป็นเรานอนทั้งสองเตียงจะตกใจแค่ไหน?
ผมจะร้องบอกเขาดีไหมนะว่าเข้าห้องผิด? เขาอาจจะสะดุ้งโหยงก็ได้...ถ้างั้นเอาแค่กระแอมกระไอก็พอ! ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะกระแอมแต่ก็ช้าเกินไป เมื่อหนุ่มสาวคู่นั้นจูงมือกันนั่งที่ขอบเตียงผมพอดี!
คุณพระช่วย! เขายังนอนไม่เห็นผม แม้ว่าจะโอบกอดลงมานอนติดๆ กัน เสียงพูดห้าวๆ ของผู้ชายกับเสียงคิกคักของผู้หญิงดังอื้ออึงเต็มสองหูผม ผู้นอนตัวแข็งทื่อ แทบจะกลั้นลมหายใจ...ได้กลิ่นเหงื่อและน้ำหอมจางๆ อวลกรุ่นมากระทบจมูก...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายกลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
รุ่งเช้า ผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เจ้าอ๋อส่ายหน้าอย่างปลงๆ บอกว่าผมซดเบียร์มากตอนค่ำจนตาลายเอง...ผมตอนใจเหมือนจะยอมรับโดยดี กลัวเพื่อนจะช็อกตายเลยไม่อยากชี้ให้ดูรอยลิปสติกสีแดงที่ยังติดหมอนผมอยู่ตำตา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2550
ผมยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนกลัวผี สาเหตุมาจากอะไรก็ไม่ทราบแน่ชัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่อยากเสียเวลาไปค้นหา เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ต่อให้รู้แน่ว่าเกิดจากอะไรผมก็ยังคงกลัวผีต่อไปตามเดิม
บางคนบอกว่าคนเราไม่ได้กลัวผีหรอก แต่กลัวความมืดต่างหาก เนื่องจากเราไม่รู้ไม่เห็นว่าในความมืดนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่...คือเชื่อว่าผีจะซุ่มตัวอยู่ในที่มืดๆ น่ะซี!
คิดอีกที ผมว่าน่าจะอยู่ที่ความเงียบสงัด เยือกเย็นน่าวังเวงใจมากกว่า โดยเฉพาะในตอนที่เราต้องอยู่คนเดียว ไม่ว่านอกบ้านในบ้าน หรือแม้แต่ในห้องนอน ถ้ามีใครอยู่เป็นเพื่อนก็จะทำให้อุ่นใจ เผลอๆ ก็ไม่ได้คิดเรื่องผีๆ สางๆ เราถึงได้ยินคนพูดกันว่า "อยู่เป็นเพื่อน" หรือ "ไปเป็นเพื่อน" จนชินหู
เมื่อต้นปีนี้เอง ผมต้องไปนอนที่โรงแรมจังหวัดมุกดาหารกับเพื่อนสนิทชื่ออ๋อ...เจอดีเข้าอย่างจังๆ เชียวแหละ คุณเอ๋ย...
ปกติผมไม่ชอบนอนค้างในโรงแรมอยู่แล้ว บ้านช่องก็อยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าไปต่างจังหวัดก็นอนห้องเดียวกับลูกเมีย หรือไม่ก็กับเพื่อนฝูงที่สนิทกัน นิสัยไม่ชอบนอนร่วมห้องกับคนที่สนิทสนม โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างเด็ดขาด
อ้าว? ทำไมต้องนอนกับคนแปลกหน้าล่ะ?
ไม่ต้องดูอื่นดูไกลหรอกครับ เช่นเวลาเราไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ถ้าไปคนเดียวเขาก็จะจัดให้เรานอนร่วมกับคนอื่น หรือไม่เราก็ต้องจ่ายค่าห้องเพิ่ม..... ผมเลือกอย่างหลังทุกครั้ง ลองคิดว่าจะต้องไปนอนร่วมห้องกับคนแปลกหน้า หรือเพิ่งรู้จักกันผิวเผิน ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าไปจนถึงหลับนอน...แค่คิดก็ขนลุกแล้วละครับ
เจ้าอ๋อชวนผมไปเที่ยวกับทัวร์ มีมุกดาหาร ข้ามโขงไปสุวรรณเขต, เข้าเวียดนามตอนกลาง...เรียกว่าไปทัวร์อีก 2 ประเทศ ครอบครัวเราไม่สะดวกทั้งคู่...เข้าล็อกพอดี!
ไม่คิดจะนำเที่ยวนะครับ แต่เล่าเรื่องขนหัวลุก ผมเลยขอตัดตอนจากการเดินทางและชมเมืองมุกดาหาร รวมทั้งการกินอยู่มื้อค่ำ...เสร็จสรรพก็แยกย้ายกันเข้าห้องนอนในโรงแรมระดับ 4 ดาว เปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนเตียงใครเตียงมัน มีโต๊ะวางโคมไฟและโทรศัพท์คั่น ปิดไฟปิดทีวีเรียบร้อย
เราพูดคุยกันไม่นาน เสียงเจ้าอ๋อก็ขาดหาย กลายเป็นเสียงหายใจแรงๆ และสม่ำเสมอดังขึ้นแทน...หลับง่ายจนน่าอิจฉาจริงๆ เพื่อนผมน่ะ
ทั้งห้องเงียบสงัด มืดสลัว มีแต่แสงไฟจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้เท่านั้น!
ผมพลิกไปพลิกมา ทำท่าจะหลับแต่กลับตาแข็งดื้อๆ นึกถึงแต่เรื่องผีๆสางๆ ทั้งที่ไม่เคยนึก...ไม่ได้กลัวผีนะครับเพราะมีเพื่อนนอนอยู่ด้วยทั้งคน แต่นึกไปถึงตอนที่เคยนอนในโรงแรมคนเดียว เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวเหนือเมื่อ 2-3 ปีก่อน
จำได้ว่าคืนนั้นกลัวผีที่สุดในชีวิต!
ลืมเล่าไปว่า ถ้าต้องนอนคนเดียวผมเคยทั้งกลัวผีกับไม่กลัวเลย รู้สึกเฉยๆ ก็มี...ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่คุยกับเพื่อนฝูงหลายคนเขาก็บอกว่ารู้สึกคล้ายๆ กัน
คืนนั้นกลัวมากเลยครับ ทั้งที่ห้องหับสวยงามและสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นอับใดๆ แถมไร้เสียงกุกกักก๊อกแก๊กที่จะทำให้ขวัญผวา แต่ไม่รู้มีอะไรทำให้หวาดระแวงไปร้อยแปด...ตอนแรกคิดว่าเปิดไฟนอนดีกว่า แต่พลิกไปมาสักครู่ก็ขนหัวลุกเมื่อนึกได้ว่า ถ้าเราลืมตาขึ้นมาเห็นใครมายืนมองอยู่ข้างๆเตียงมิช็อกตายคาที่เรอะ?
ในที่สุดก็ตัดสินใจปิดไฟ บอกตัวเองว่า ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลมาปรากฏในห้องเราก็จะมองไม่เห็นแน่นอน...แต่เขาว่าผีจะซุ่มอยู่ในความมืดนี่นา คอยจ้องมองเราผู้เป็นเหยื่ออย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ ไม่รู้ว่ากระโจนเข้าใส่ตอนไหน!
ต้องลุกไปเปิดเบียร์ในตู้เย็นมาซด 2 กระป๋องถึงได้ข่มตาหลับลงได้
คืนนี้ก็เช่นกัน!
เสียงหายใจค่อนข้างแรงของเจ้าอ๋อยังดังอยู่สม่ำเสมอ ผมพลิกตัวอีกครั้ง อยากสูบบุหรี่ก็เกรงใจเพื่อนที่เลิกมาหลายปีแล้ว คิดว่าจะเข้าไปสูบในห้องน้ำ.
..รู้สึกปากคอแห้งผากขึ้นมาทันที...ถ้าผลักประตูเข้าไปเจอใครนั่งจ้องเขม็งมาล่ะ?
กระเดือกน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...ก่อนจะนอนตัวแข็งทื่อราวโดนสาปในบัดดล
เสียงแก๊กที่ประตู...ผมหันขวับไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินโอบกอดกัน ยิ้มระรื่นเข้ามา แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวที่เพิ่งไปเดินชมเมือง กินอาหารเสร็จก็กลับมาพักผ่อนในห้อง
ใบหน้าที่ราวกับมีแสงสว่างในตัวเอง ดูคมสันและสะสวยทั้งคู่ ทั้งสองพูดคุยและหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข สาวสวยยิ้มหวาน กลีบปากแดงสดดูเย้ายวนใจ...เขาคงจะเข้าห้องผิดแน่ๆ ถ้างั้นไขกุญแจเข้ามาได้ยังไง? ในเมื่อผมเป็นคนล็อกประตูเรียบร้อยแล้วนี่นา
ถ้าเขาหันมาเป็นเรานอนทั้งสองเตียงจะตกใจแค่ไหน?
ผมจะร้องบอกเขาดีไหมนะว่าเข้าห้องผิด? เขาอาจจะสะดุ้งโหยงก็ได้...ถ้างั้นเอาแค่กระแอมกระไอก็พอ! ผมกลืนน้ำลาย กำลังจะกระแอมแต่ก็ช้าเกินไป เมื่อหนุ่มสาวคู่นั้นจูงมือกันนั่งที่ขอบเตียงผมพอดี!
คุณพระช่วย! เขายังนอนไม่เห็นผม แม้ว่าจะโอบกอดลงมานอนติดๆ กัน เสียงพูดห้าวๆ ของผู้ชายกับเสียงคิกคักของผู้หญิงดังอื้ออึงเต็มสองหูผม ผู้นอนตัวแข็งทื่อ แทบจะกลั้นลมหายใจ...ได้กลิ่นเหงื่อและน้ำหอมจางๆ อวลกรุ่นมากระทบจมูก...ก่อนที่สรรพสิ่งจะวูบวับดับหายกลายเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
รุ่งเช้า ผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เจ้าอ๋อส่ายหน้าอย่างปลงๆ บอกว่าผมซดเบียร์มากตอนค่ำจนตาลายเอง...ผมตอนใจเหมือนจะยอมรับโดยดี กลัวเพื่อนจะช็อกตายเลยไม่อยากชี้ให้ดูรอยลิปสติกสีแดงที่ยังติดหมอนผมอยู่ตำตา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2550
20 สิงหาคม 2558
หิ่งห้อยให้หวย
"หนูแหวน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปขอหวยกับพี่สาว
ดิฉันเป็นคนอัมพวา สมุทรสงคราม หรือที่นิยมเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านจังหวัดว่า "แม่กลอง" ปีนี้ลิ้นจี่ดกมากนะคะ ขออวดหน่อยเถอะว่า...ลิ้นจี่แม่กลองอร่อยที่สุดในประเทศไทยจริงๆ ค่ะ หวานหอม เนื้อแน่น ลูกโตแต่เม็ดเล็ก แถมแกะเปลือกก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีน้ำปนเนื้อ ทำให้เลอะเทอะมืออีกต่างหาก!
เดือนเมษายนลิ้นจี่สุกแดงไปทั้งจังหวัด ผู้คนคึ่กๆ ราวกับมีงานมหกรรม ไหนจะนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ มาชมเทศกาลลิ้นจี่อันขึ้นชื่อลือลั่น ไหนจะพ่อค้าแม่ขายที่สนใจลิ้นจี่แม่กลอง พอราวต้นเดือนพฤษภาคมก็ถึงหน้าลิ้นจี่วาย...
เชื่อไหมคะ ที่ตลาดยังมีลิ้นจี่ขายอีกหลายเจ้า บอกนักท่องเที่ยวว่าเป็นลิ้นจี่แม่กลองแท้! ทั้งๆ ที่เลยวันที่ 10 ไปแล้วจะไม่มีลิ้นจี่แม่กลองเจ้าเก่าวางขายอย่างเด็ดขาด
ใครหลอกอย่าเชื่อ!! คนมักง่าย เห็นแก่ได้ชอบเอาลิ้นจี่จังหวัดอื่นๆ มาหลอกขายลูกค้า อ้างว่าเป็นลิ้นจี่แม่กลองจริงๆ
คิดดูละกันว่าลิ้นจี่บ้านดิฉันสุดดังแค่ไหน?!
วันนี้มีเรื่องน่าขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
เมื่อลิ้นจี่วาย ทั้งชาวสวนและพ่อค้าแม่ขายต่างก็เบามือไปตามๆ กัน หนึ่งปีก็มีคึกคักและเหน็ดเหนื่อยครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ ได้รับผลตอบแทนจากน้ำพักน้ำแรงก็อิ่มอกอิ่มใจ หยุดงานหนักเพื่อพักผ่อนกันเสียที
อ้อ! เรื่องนี้ต้องยกเว้นพวกนักเลงหวยนะคะ เพราะไม่ว่าจะปีเก่าปีใหม่ หน้าตรุษสงกรานต์หรือไม่ นักเลงหวยไม่เคยลดละที่จะวัดดวงหรอกค่ะ
พี่สาวของดิฉันชื่อพี่หวาน อายุเกือบสามสิบแล้วแต่ยังไม่ออกเรือน นิสัยขยันขันแข็ง ค้าขายเก่ง แต่ว่างเมื่อไหร่เป็นคิดหวย, ตีใบ้หวย จนถึงไปหาหวย, แทงหวย...เสร็จสรรพก็คอยลุ้นหวยตั้งแต่เขาถ่ายทอดทางทีวี ต่อมาเลิกถ่ายก็ไม่เป็นไร พี่หวานตั้งอกตั้งใจฟังทางวิทยุไม่ยอมพลาดเด็ดขาด
โดยเฉพาะตอนออกเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว และรางวัลที่ 1 แหม! หูผึ่งเชียวนะคะ
มัวแต่บ้าหวยจนเป็นโสดมาถึงป่านนี้...ไม่อยากนินทาพี่สาวตัวเองหรอกค่ะ แต่หลุดออกไปแล้วนี่! อิอิ
อย่างที่รู้ๆ กันนะคะ ว่านักเลงหวยคิดอะไรเป็นหวยหมด ไม่ว่าบ้านเลขที่ หรือเบอร์โทรศัพท์, หมายเลขบนบัตรประจำตัวประชาชน, บัตรคนไข้ แม้แต่หมายเลขไฟฟ้าและน้ำประปา, เบอร์ตู้ไปรษณีย์และโทรศัพท์, พ.ศ. และค.ศ. วันเกิดและอายุของคนดังๆ พี่หวานเอามาตีเป็นหวยได้ทั้งนั้น
ขอให้รู้เถอะว่าที่ไหนให้หวยแม่น แกบุกบั่นไปขอหวยไม่ย่อท้อ ต้นไม้ต้นไร่ไปขอกับเขาด้วย...ไม่ต้องพูดถึงวัดหรือพระดังๆ ในแม่กลอง พี่หวานไปขอหวยมาหมดแล้วค่ะ
นานๆ ถูกหวยทีก็บ่นแต่ว่า...ทำไมไม่แทงมากกว่านี้นะ?
ดีอย่างที่พี่หวานไม่ได้เล่นหวยมากมายขนาดล่มจม แต่ขนาดเล่นพอหอมปากหอมคองวดละพันสองพัน ดิฉันก็ยังอดเสียดายเงินไม่ได้ค่ะ ต้องทำใจว่าแกทำงานหนัก ลูกผัวยังไม่มีก็เลยแต่งงาน...เอ๊ย! หาความสุขจากการขอหวย ตีหวย เล่นหวยไปวันๆ
กระทั่งพี่หวานชวนไปขอหวยที่ดงหิ่งห้อย!
สาเหตุมาจากคนในตลาดถูกหวย 3-4 งวดติดๆ กัน พูดกันปากต่อปากว่า...หิ่งห้อยให้หวยแม่นเหมือนตาเห็น นับวันผู้คนก็แห่ไปขอหวยมากขึ้นทุกที
ไหนๆ ก็มีกันสองคนพี่น้อง แถมยังโสดทั้งคู่ ดิฉันบอกตัวเองว่า...บ้าก็บ้าวะ!! แล้วจ้างเรือน้าลือให้พาไปดงหิ่งห้อยที่พวกคนกรุงเทพฯ เขามาดูกันคึ่กๆ หลังอาหารค่ำ เรารอจนเรือไอ เรือเอี้ยมจุ๊น พานักท่องเที่ยวกลับท่าหมดแล้ว ถึงได้มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
คืนนั้นมืดสลัวและเงียบเชียว ดาวผุดเต็มฟ้า แม่น้ำที่คดเคี้ยวไม่มีคลื่นลม บ้านช่องชักจะห่างตาไปทุกที จนถึงสองฟากฝั่งเปล่าเปลี่ยว มีแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนทะมึนอยู่ในราตรี บางแห่งก็โน้มกิ่งใบลงมาในน้ำ ส่วนมากจะเป็นพงอ้อกอหญ้าและป่าละเมาะอันรกทึบ ชวนให้เยือกเย็น น่าวังเวงใจสิ้นดี
แสงหิ่งห้อยวิบวับอยู่ตามต้นไม้ ราวกับมีใครกำลังกะพริบตาอย่างล้อเลียน...จากต้นที่มีไม่กี่ตัวจนถึงนับสิบนับร้อย...บางต้นมีนกยางจับกิ่งไม้อยู่ด้วย
พวกเรือนำเที่ยวเขามีสปอตไลต์สาดแสงส่องกราด เมื่อพบแล้วก็จะดับไฟ เบาเครื่องให้นักท่องเที่ยวจ้องมอง...แต่ของเราใช้ไฟฉายในมือดิฉันที่ส่องไปมา อดบ่นไม่ได้ว่า...รู้ได้ยังไงว่าหิ่งห้อยให้หวยอยู่ต้นไหน? แต่พี่หวานสั่งให้ส่องไปเรื่อยๆ ถ้าเจอเข้าก็จะรู้เอง
น้าลือเจ้าของเรือก็คงตื่นเต้น อยากได้หวยตัวดีๆ กับเขาเหมือนกัน แกชะเง้อมองแล้วบอกว่าแถวนี้แหละ มีหิ่งห้อยหนาตากว่าเพื่อน...คนถูกหวยเขาว่ากันยังงั้น
เรือชะลอลง...เสียงลมคร่ำครวญมาจากยอดไม้ คลื่นลูกเล็กๆ ไล่กันมาเซาะข้างเรือเบาๆ ดิฉันหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ เสียงพี่หวานสั่งว่าฉายไฟขึ้นสูงๆเพราะเห็นแสงวิบวับหนาตา...เอาละ! ดับไฟ!
ดิฉันทำตาม แหงนหน้ามองก็เห็นหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ดูโดดเด่นในความมืดสลัว ก่อนจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นกลุ่มเป็นก้อน ราวกับมีพลังดึงดูด... เคลื่อนไหววูบวาบเข้ามาหาเราอย่างรวด เร็ว...เสียงหัวเราะฮ่าๆๆๆๆ สะท้านไปถึงหัวใจ
"ผี!!" พี่หวานร้องลั่น ผงะหงายเกือบตกน้ำ น้าลือร้องเฮ้ยๆๆ ดิฉันแทบจะช็อกตายคาที่...โลกหมุนเคว้งคว้างไปหมดจนไม่รู้ว่าขึ้นจากเรือได้ตอนไหน?
พี่หวานจับไข้หลายวันจนไม่ได้แทงหวย งวดนั้นเลขท้าย 2 ตัวออก 05 พี่หวานบ่นเสียดายไม่ขาดปาก ยืนยันว่าถ้าไม่เป็นไข้มีหวังถูกหวยแน่ๆ เพราะผีคือ 0 หัวเราะ 5 ครั้งก็ต้องเล่น 05 ตรงๆ เชื่อพวกนักเลงหวยเขาเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2550
ดิฉันเป็นคนอัมพวา สมุทรสงคราม หรือที่นิยมเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านจังหวัดว่า "แม่กลอง" ปีนี้ลิ้นจี่ดกมากนะคะ ขออวดหน่อยเถอะว่า...ลิ้นจี่แม่กลองอร่อยที่สุดในประเทศไทยจริงๆ ค่ะ หวานหอม เนื้อแน่น ลูกโตแต่เม็ดเล็ก แถมแกะเปลือกก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีน้ำปนเนื้อ ทำให้เลอะเทอะมืออีกต่างหาก!
เดือนเมษายนลิ้นจี่สุกแดงไปทั้งจังหวัด ผู้คนคึ่กๆ ราวกับมีงานมหกรรม ไหนจะนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ มาชมเทศกาลลิ้นจี่อันขึ้นชื่อลือลั่น ไหนจะพ่อค้าแม่ขายที่สนใจลิ้นจี่แม่กลอง พอราวต้นเดือนพฤษภาคมก็ถึงหน้าลิ้นจี่วาย...
เชื่อไหมคะ ที่ตลาดยังมีลิ้นจี่ขายอีกหลายเจ้า บอกนักท่องเที่ยวว่าเป็นลิ้นจี่แม่กลองแท้! ทั้งๆ ที่เลยวันที่ 10 ไปแล้วจะไม่มีลิ้นจี่แม่กลองเจ้าเก่าวางขายอย่างเด็ดขาด
ใครหลอกอย่าเชื่อ!! คนมักง่าย เห็นแก่ได้ชอบเอาลิ้นจี่จังหวัดอื่นๆ มาหลอกขายลูกค้า อ้างว่าเป็นลิ้นจี่แม่กลองจริงๆ
คิดดูละกันว่าลิ้นจี่บ้านดิฉันสุดดังแค่ไหน?!
วันนี้มีเรื่องน่าขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
เมื่อลิ้นจี่วาย ทั้งชาวสวนและพ่อค้าแม่ขายต่างก็เบามือไปตามๆ กัน หนึ่งปีก็มีคึกคักและเหน็ดเหนื่อยครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ ได้รับผลตอบแทนจากน้ำพักน้ำแรงก็อิ่มอกอิ่มใจ หยุดงานหนักเพื่อพักผ่อนกันเสียที
อ้อ! เรื่องนี้ต้องยกเว้นพวกนักเลงหวยนะคะ เพราะไม่ว่าจะปีเก่าปีใหม่ หน้าตรุษสงกรานต์หรือไม่ นักเลงหวยไม่เคยลดละที่จะวัดดวงหรอกค่ะ
พี่สาวของดิฉันชื่อพี่หวาน อายุเกือบสามสิบแล้วแต่ยังไม่ออกเรือน นิสัยขยันขันแข็ง ค้าขายเก่ง แต่ว่างเมื่อไหร่เป็นคิดหวย, ตีใบ้หวย จนถึงไปหาหวย, แทงหวย...เสร็จสรรพก็คอยลุ้นหวยตั้งแต่เขาถ่ายทอดทางทีวี ต่อมาเลิกถ่ายก็ไม่เป็นไร พี่หวานตั้งอกตั้งใจฟังทางวิทยุไม่ยอมพลาดเด็ดขาด
โดยเฉพาะตอนออกเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว และรางวัลที่ 1 แหม! หูผึ่งเชียวนะคะ
มัวแต่บ้าหวยจนเป็นโสดมาถึงป่านนี้...ไม่อยากนินทาพี่สาวตัวเองหรอกค่ะ แต่หลุดออกไปแล้วนี่! อิอิ
อย่างที่รู้ๆ กันนะคะ ว่านักเลงหวยคิดอะไรเป็นหวยหมด ไม่ว่าบ้านเลขที่ หรือเบอร์โทรศัพท์, หมายเลขบนบัตรประจำตัวประชาชน, บัตรคนไข้ แม้แต่หมายเลขไฟฟ้าและน้ำประปา, เบอร์ตู้ไปรษณีย์และโทรศัพท์, พ.ศ. และค.ศ. วันเกิดและอายุของคนดังๆ พี่หวานเอามาตีเป็นหวยได้ทั้งนั้น
ขอให้รู้เถอะว่าที่ไหนให้หวยแม่น แกบุกบั่นไปขอหวยไม่ย่อท้อ ต้นไม้ต้นไร่ไปขอกับเขาด้วย...ไม่ต้องพูดถึงวัดหรือพระดังๆ ในแม่กลอง พี่หวานไปขอหวยมาหมดแล้วค่ะ
นานๆ ถูกหวยทีก็บ่นแต่ว่า...ทำไมไม่แทงมากกว่านี้นะ?
ดีอย่างที่พี่หวานไม่ได้เล่นหวยมากมายขนาดล่มจม แต่ขนาดเล่นพอหอมปากหอมคองวดละพันสองพัน ดิฉันก็ยังอดเสียดายเงินไม่ได้ค่ะ ต้องทำใจว่าแกทำงานหนัก ลูกผัวยังไม่มีก็เลยแต่งงาน...เอ๊ย! หาความสุขจากการขอหวย ตีหวย เล่นหวยไปวันๆ
กระทั่งพี่หวานชวนไปขอหวยที่ดงหิ่งห้อย!
สาเหตุมาจากคนในตลาดถูกหวย 3-4 งวดติดๆ กัน พูดกันปากต่อปากว่า...หิ่งห้อยให้หวยแม่นเหมือนตาเห็น นับวันผู้คนก็แห่ไปขอหวยมากขึ้นทุกที
ไหนๆ ก็มีกันสองคนพี่น้อง แถมยังโสดทั้งคู่ ดิฉันบอกตัวเองว่า...บ้าก็บ้าวะ!! แล้วจ้างเรือน้าลือให้พาไปดงหิ่งห้อยที่พวกคนกรุงเทพฯ เขามาดูกันคึ่กๆ หลังอาหารค่ำ เรารอจนเรือไอ เรือเอี้ยมจุ๊น พานักท่องเที่ยวกลับท่าหมดแล้ว ถึงได้มุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
คืนนั้นมืดสลัวและเงียบเชียว ดาวผุดเต็มฟ้า แม่น้ำที่คดเคี้ยวไม่มีคลื่นลม บ้านช่องชักจะห่างตาไปทุกที จนถึงสองฟากฝั่งเปล่าเปลี่ยว มีแต่ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนทะมึนอยู่ในราตรี บางแห่งก็โน้มกิ่งใบลงมาในน้ำ ส่วนมากจะเป็นพงอ้อกอหญ้าและป่าละเมาะอันรกทึบ ชวนให้เยือกเย็น น่าวังเวงใจสิ้นดี
แสงหิ่งห้อยวิบวับอยู่ตามต้นไม้ ราวกับมีใครกำลังกะพริบตาอย่างล้อเลียน...จากต้นที่มีไม่กี่ตัวจนถึงนับสิบนับร้อย...บางต้นมีนกยางจับกิ่งไม้อยู่ด้วย
พวกเรือนำเที่ยวเขามีสปอตไลต์สาดแสงส่องกราด เมื่อพบแล้วก็จะดับไฟ เบาเครื่องให้นักท่องเที่ยวจ้องมอง...แต่ของเราใช้ไฟฉายในมือดิฉันที่ส่องไปมา อดบ่นไม่ได้ว่า...รู้ได้ยังไงว่าหิ่งห้อยให้หวยอยู่ต้นไหน? แต่พี่หวานสั่งให้ส่องไปเรื่อยๆ ถ้าเจอเข้าก็จะรู้เอง
น้าลือเจ้าของเรือก็คงตื่นเต้น อยากได้หวยตัวดีๆ กับเขาเหมือนกัน แกชะเง้อมองแล้วบอกว่าแถวนี้แหละ มีหิ่งห้อยหนาตากว่าเพื่อน...คนถูกหวยเขาว่ากันยังงั้น
เรือชะลอลง...เสียงลมคร่ำครวญมาจากยอดไม้ คลื่นลูกเล็กๆ ไล่กันมาเซาะข้างเรือเบาๆ ดิฉันหนาวยะเยือกจนขนลุกซู่ เสียงพี่หวานสั่งว่าฉายไฟขึ้นสูงๆเพราะเห็นแสงวิบวับหนาตา...เอาละ! ดับไฟ!
ดิฉันทำตาม แหงนหน้ามองก็เห็นหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน ดูโดดเด่นในความมืดสลัว ก่อนจะรวมตัวกันเข้ามาเป็นกลุ่มเป็นก้อน ราวกับมีพลังดึงดูด... เคลื่อนไหววูบวาบเข้ามาหาเราอย่างรวด เร็ว...เสียงหัวเราะฮ่าๆๆๆๆ สะท้านไปถึงหัวใจ
"ผี!!" พี่หวานร้องลั่น ผงะหงายเกือบตกน้ำ น้าลือร้องเฮ้ยๆๆ ดิฉันแทบจะช็อกตายคาที่...โลกหมุนเคว้งคว้างไปหมดจนไม่รู้ว่าขึ้นจากเรือได้ตอนไหน?
พี่หวานจับไข้หลายวันจนไม่ได้แทงหวย งวดนั้นเลขท้าย 2 ตัวออก 05 พี่หวานบ่นเสียดายไม่ขาดปาก ยืนยันว่าถ้าไม่เป็นไข้มีหวังถูกหวยแน่ๆ เพราะผีคือ 0 หัวเราะ 5 ครั้งก็ต้องเล่น 05 ตรงๆ เชื่อพวกนักเลงหวยเขาเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 20 สิงหาคม 2550
17 สิงหาคม 2558
เพื่อนเก่า
"บุญชูช่วย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านจัดสรร
ผมเป็นคนลาดพร้าวมาแต่อ้อนแต่ออก บ้านอยู่ใกล้ๆ วัดกับ "ชมรมสวิงกิ้ง" ที่เคยอื้อฉาวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่รู้ว่าอยู่ในซอยเดียวกันได้ไง? แต่พอโตเป็นหนุ่มมีครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ในซอยฝั่งตรงข้าม
สาเหตุก็คือในซอยนั้นแต่เดิมเป็นป่าพงดงหญ้า มีนักธุรกิจหัวใสมากว้านซื้อที่ดินราคาถูกๆ แล้วทำเป็นบ้านจัดสรรขึ้นมาน่ะซีครับ
สนนราคาหลังละ 2-3 แสนบาท ก็ถือว่าแพงเต็มทีแล้ว พวกเราไม่มีปัญญาซื้อเงินสด นอกจากวางดาวน์แล้วได้รับโอน..ต้องไปผ่อนส่งกับธนาคารเดือนละห้าพันบาท ต่อมาถึงได้รู้ว่าราคาถูกๆ แบบนั้นหาอีกไม่ได้แล้ว ในสมัยนี้น่ะ
ชาวหมู่บ้านจัดสรรอย่างพวกเราล้วนแต่มีครอบครัว มีลูกเต้าบ้านละคนสองคน ทุกบ้านต้องออกไปทำมาหากินกันทั้งผัวและเมีย ไม่งั้นเงินทองไม่พอใช้หรอกครับ มีทั้งทำงานรัฐวิสาหกิจ ทำงานห้างร้าน รับเหมาจิปาถะ เป็นครู เป็นเซลส์แมน..มีสารพัดอาชีพก็ว่าได้
ตกเย็นงานเลิก คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาตั้งวงสังสรรค์กัน!
ไม่มีการถือเขาถือเรา คิดว่าเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันทั้งนั้น บางทีใครเงินขาดมือตอนปลายเดือนก็ขอหยิบขอยืมกันได้ ดีอย่างที่ไม่เคยมีการบิดเบี้ยวกันเกิดขึ้น
เพื่อนบ้านที่สนิทกับผมก็มีพี่ประสม, ครูวิรัตน์, พี่จำนง, นายช่างโก้ กับพรรคพวก ที่บ้านลึกเข้าไปในซอยย่อยอีก 3-4 คน
เดี๋ยวตั้งวงบ้านนั้นมั่ง บ้านนี้มั่ง โชคดีที่พวกแม่บ้านรักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่มีใครรังเกียจรังงอน เขาว่าผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายขี้เมาก็จริง แต่พวกเธอคงทำใจได้มานานแล้ว ถึงยังไงก็ยังดีกว่าได้ผัวเจ้าชู จริงไหมครับ?
คืนเกิดเหตุ เราตั้งวงกันที่บ้านพี่จำนง!
รายนี้ทำงานรัฐวิสาหกิจ ฐานะมั่นคงกว่าเพื่อน มีรถขับไปถึงที่ทำงานทั้งผัวทั้งเมีย พี่จำนงทำกับแกล้มเก่ง เรื่องพล่าเรื่องยำหาตัวจับลำบาก พอ กลับถึงบ้านก็โทรศัพท์นัดเพื่อนบ้านแล้วนุ่งผ้าขาวม้าเข้าครัวทันใด
ตกค่ำ แสงไฟหน้าบ้านก็ส่องสว่าง วงเหล้าใต้ต้นจำปีริมรั้วครึกครื้นขึ้นทุกที!
คอสุราที่มาร่วมวงวันนั้นมีพี่ประสม, ครูวิรัตน์และผม รวม 4 คน
ไม่รู้ว่าเริ่มต้นคุยกันเรื่องอะไร ทำไปทำมาก็เกิดมาคุยเรื่องผีกัน โดยพี่จำนงเล่าว่าที่ทำงานวันนี้เกิดเรื่องขนหัวลุกตอนกลางวันแสกๆ เพราะมีคนเห็นหัวหน้าขับรถมาจอดแล้วก้าวฉับๆ เข้าประตูไป..ทั้งๆ ที่เพิ่งยกโขยงกันไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลเมื่อเย็นวานนี้เอง
เพื่อนฝูงบอกว่าตาฝาดไปเอง อย่าคิดมาก..ก็พอดีมีเพื่อนอีกคนมาถามว่าเมื่อวานไปเยี่ยมหัวหน้าเป็นยังไงมั่ง? วันนี้แกมาทำงานได้แล้ว หายเร็วจัง!
คราวนี้ชักเอะใจ ถามกันว่าเห็นที่ไหน เพื่อนบอกว่าเห็นนั่งทำงานในห้องน่ะซี..เลยแห่ไปดูให้เห็นกับตา แต่ต้องหน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน เพราะไม่เห็นมีหัวหน้ามาทำงาน! ชักเอะใจ ลองโทร.ไปถามข่าวที่โรงพยาบาลให้รู้แน่
คำตอบทำให้ขนลุกเกรียวกราว..หัวหน้าสิ้นลมเมื่อเช้ามืดนี่เอง!
พี่ประสมซดเหล้าอึกใหญ่ เล่าว่าวันนี้ก็เจอกับเรื่องแปลกประหลาด ตอนขับรถเข้าซอยก่อนถึงหมู่บ้าน มีทางแยกไปออกลาดพร้าว 48 เกิดใจลอยจนลืมเลี้ยวซ้ายเข้าเขตบ้านจัดสรร ก็พอดีมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ข้างหน้า จู่ๆ ชายคนนั้นก็หันขวับมา ทำท่าราวกับจะข้ามถนนฉับพลัน
รีบเบรกรถกะทันหันจนหยุดรถได้ทัน..หันไปเห็นหน้าชายคนนั้นพอดี
เขาไม่ได้ข้ามถนน แต่ชี้ไม้ชี้มือไปทางด้านหลัง ตะโกนว่า..เลยแล้วๆ
พี่ประสมเล่าว่าไม่แน่ใจว่าตอนนั้นได้ยินจริงๆ หรือว่าอ่านปากออก เพราะรถติดแอร์ ปิดกระจกหมดทุกด้าน..แค่คำพูดนั้นทำให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับรถเลยปากซอยที่จะเข้าหมู่บ้านไปจริงๆ
รีบโบกไม้โบกมือ แสดงความขอบอกขอบ ใจ กลับรถย้อนเข้าซอย..เพิ่งนึกได้ตอนนั้นเอง เล่นหนาวยะเยือกไปทั้งแผ่นขึ้นมาทันที..ชายผู้นั้นรู้ได้ยังไงว่าพี่ประสมขับรถเลยซอยบ้านมาแล้ว..ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ
ครูวิรัตน์ผิวคล้ำ ผมหยิก ยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก
"เขาอาจจะอยู่แถวนั้นแหละ เคยเห็นพี่สมเลี้ยวรถเข้าซอยบ่อยๆ จนจำได้น่ะซี..พอขับเลยไปก็ช่วยบอกกล่าวให้ด้วยความหวังดีไงล่ะ อย่าคิดมากเลยพี่..เติมเหล้าอีกดีกว่า"
พี่จำนงพยักหน้าเห็นพ้องด้วย นัยน์ตาแคบๆ ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพึมพำ
"คงไม่ใช่ผีเจ้าที่เจ้าทาง หรือไม่ก็แบบวิญญาณหัวหน้าที่เป็นห่วงงาน.."
"เฮ้ย.." พี่ประสมร้องลั่น เล่นเอาหวิดสะดุ้งไปตามๆ กัน "ผมนึกออกแล้ว..ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกว่ะ"
"อะไรนะ?" พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก "เคยรู้จักกันมาก่อนหรือพี่?" ผมถามต่อ รู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนในฤดูฝนค่อนข้างเยือกเย็นผิดปกติ ใบหน้าของพี่ประสมก็ขาวซีดอยู่ในแสงไฟจนน่าเป็นห่วง
"ไอ้หมง! เพื่อนเก่าของผมเอง" เสียงของพี่ประสมแหบแห้งชอบกล กลืนน้ำลายสองครั้งติดๆ กัน "เราไม่เจอกันตั้งสิบกว่าปีแล้ว.."
"น่าเสียดาย" ครูวิรัตน์ยิงฟันขาวตามเคย "ถ้าจำได้ตอนนั้นก็ชวนมาร่วมวงกันสนุกน่ะซี"
"สนุกกะผีอะไรล่ะ" พี่ประสมเทเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว มือสั่นระริกจนเห็นได้ชัด "ไอ้หมง..เพื่อนผมคนนี้น่ะ ได้ข่าวมันขับรถไปชนสิบล้อที่โคราช ตายคาที่มาตั้งหลายปีแล้วนี่นา!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 17 สิงหาคม 2550
ผมเป็นคนลาดพร้าวมาแต่อ้อนแต่ออก บ้านอยู่ใกล้ๆ วัดกับ "ชมรมสวิงกิ้ง" ที่เคยอื้อฉาวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่รู้ว่าอยู่ในซอยเดียวกันได้ไง? แต่พอโตเป็นหนุ่มมีครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ในซอยฝั่งตรงข้าม
สาเหตุก็คือในซอยนั้นแต่เดิมเป็นป่าพงดงหญ้า มีนักธุรกิจหัวใสมากว้านซื้อที่ดินราคาถูกๆ แล้วทำเป็นบ้านจัดสรรขึ้นมาน่ะซีครับ
สนนราคาหลังละ 2-3 แสนบาท ก็ถือว่าแพงเต็มทีแล้ว พวกเราไม่มีปัญญาซื้อเงินสด นอกจากวางดาวน์แล้วได้รับโอน..ต้องไปผ่อนส่งกับธนาคารเดือนละห้าพันบาท ต่อมาถึงได้รู้ว่าราคาถูกๆ แบบนั้นหาอีกไม่ได้แล้ว ในสมัยนี้น่ะ
ชาวหมู่บ้านจัดสรรอย่างพวกเราล้วนแต่มีครอบครัว มีลูกเต้าบ้านละคนสองคน ทุกบ้านต้องออกไปทำมาหากินกันทั้งผัวและเมีย ไม่งั้นเงินทองไม่พอใช้หรอกครับ มีทั้งทำงานรัฐวิสาหกิจ ทำงานห้างร้าน รับเหมาจิปาถะ เป็นครู เป็นเซลส์แมน..มีสารพัดอาชีพก็ว่าได้
ตกเย็นงานเลิก คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาตั้งวงสังสรรค์กัน!
ไม่มีการถือเขาถือเรา คิดว่าเป็นญาติสนิทมิตรสหายกันทั้งนั้น บางทีใครเงินขาดมือตอนปลายเดือนก็ขอหยิบขอยืมกันได้ ดีอย่างที่ไม่เคยมีการบิดเบี้ยวกันเกิดขึ้น
เพื่อนบ้านที่สนิทกับผมก็มีพี่ประสม, ครูวิรัตน์, พี่จำนง, นายช่างโก้ กับพรรคพวก ที่บ้านลึกเข้าไปในซอยย่อยอีก 3-4 คน
เดี๋ยวตั้งวงบ้านนั้นมั่ง บ้านนี้มั่ง โชคดีที่พวกแม่บ้านรักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่มีใครรังเกียจรังงอน เขาว่าผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายขี้เมาก็จริง แต่พวกเธอคงทำใจได้มานานแล้ว ถึงยังไงก็ยังดีกว่าได้ผัวเจ้าชู จริงไหมครับ?
คืนเกิดเหตุ เราตั้งวงกันที่บ้านพี่จำนง!
รายนี้ทำงานรัฐวิสาหกิจ ฐานะมั่นคงกว่าเพื่อน มีรถขับไปถึงที่ทำงานทั้งผัวทั้งเมีย พี่จำนงทำกับแกล้มเก่ง เรื่องพล่าเรื่องยำหาตัวจับลำบาก พอ กลับถึงบ้านก็โทรศัพท์นัดเพื่อนบ้านแล้วนุ่งผ้าขาวม้าเข้าครัวทันใด
ตกค่ำ แสงไฟหน้าบ้านก็ส่องสว่าง วงเหล้าใต้ต้นจำปีริมรั้วครึกครื้นขึ้นทุกที!
คอสุราที่มาร่วมวงวันนั้นมีพี่ประสม, ครูวิรัตน์และผม รวม 4 คน
ไม่รู้ว่าเริ่มต้นคุยกันเรื่องอะไร ทำไปทำมาก็เกิดมาคุยเรื่องผีกัน โดยพี่จำนงเล่าว่าที่ทำงานวันนี้เกิดเรื่องขนหัวลุกตอนกลางวันแสกๆ เพราะมีคนเห็นหัวหน้าขับรถมาจอดแล้วก้าวฉับๆ เข้าประตูไป..ทั้งๆ ที่เพิ่งยกโขยงกันไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลเมื่อเย็นวานนี้เอง
เพื่อนฝูงบอกว่าตาฝาดไปเอง อย่าคิดมาก..ก็พอดีมีเพื่อนอีกคนมาถามว่าเมื่อวานไปเยี่ยมหัวหน้าเป็นยังไงมั่ง? วันนี้แกมาทำงานได้แล้ว หายเร็วจัง!
คราวนี้ชักเอะใจ ถามกันว่าเห็นที่ไหน เพื่อนบอกว่าเห็นนั่งทำงานในห้องน่ะซี..เลยแห่ไปดูให้เห็นกับตา แต่ต้องหน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน เพราะไม่เห็นมีหัวหน้ามาทำงาน! ชักเอะใจ ลองโทร.ไปถามข่าวที่โรงพยาบาลให้รู้แน่
คำตอบทำให้ขนลุกเกรียวกราว..หัวหน้าสิ้นลมเมื่อเช้ามืดนี่เอง!
พี่ประสมซดเหล้าอึกใหญ่ เล่าว่าวันนี้ก็เจอกับเรื่องแปลกประหลาด ตอนขับรถเข้าซอยก่อนถึงหมู่บ้าน มีทางแยกไปออกลาดพร้าว 48 เกิดใจลอยจนลืมเลี้ยวซ้ายเข้าเขตบ้านจัดสรร ก็พอดีมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ข้างหน้า จู่ๆ ชายคนนั้นก็หันขวับมา ทำท่าราวกับจะข้ามถนนฉับพลัน
รีบเบรกรถกะทันหันจนหยุดรถได้ทัน..หันไปเห็นหน้าชายคนนั้นพอดี
เขาไม่ได้ข้ามถนน แต่ชี้ไม้ชี้มือไปทางด้านหลัง ตะโกนว่า..เลยแล้วๆ
พี่ประสมเล่าว่าไม่แน่ใจว่าตอนนั้นได้ยินจริงๆ หรือว่าอ่านปากออก เพราะรถติดแอร์ ปิดกระจกหมดทุกด้าน..แค่คำพูดนั้นทำให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับรถเลยปากซอยที่จะเข้าหมู่บ้านไปจริงๆ
รีบโบกไม้โบกมือ แสดงความขอบอกขอบ ใจ กลับรถย้อนเข้าซอย..เพิ่งนึกได้ตอนนั้นเอง เล่นหนาวยะเยือกไปทั้งแผ่นขึ้นมาทันที..ชายผู้นั้นรู้ได้ยังไงว่าพี่ประสมขับรถเลยซอยบ้านมาแล้ว..ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้าแท้ๆ
ครูวิรัตน์ผิวคล้ำ ผมหยิก ยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก
"เขาอาจจะอยู่แถวนั้นแหละ เคยเห็นพี่สมเลี้ยวรถเข้าซอยบ่อยๆ จนจำได้น่ะซี..พอขับเลยไปก็ช่วยบอกกล่าวให้ด้วยความหวังดีไงล่ะ อย่าคิดมากเลยพี่..เติมเหล้าอีกดีกว่า"
พี่จำนงพยักหน้าเห็นพ้องด้วย นัยน์ตาแคบๆ ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพึมพำ
"คงไม่ใช่ผีเจ้าที่เจ้าทาง หรือไม่ก็แบบวิญญาณหัวหน้าที่เป็นห่วงงาน.."
"เฮ้ย.." พี่ประสมร้องลั่น เล่นเอาหวิดสะดุ้งไปตามๆ กัน "ผมนึกออกแล้ว..ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกว่ะ"
"อะไรนะ?" พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก "เคยรู้จักกันมาก่อนหรือพี่?" ผมถามต่อ รู้สึกว่าอากาศยามค่ำคืนในฤดูฝนค่อนข้างเยือกเย็นผิดปกติ ใบหน้าของพี่ประสมก็ขาวซีดอยู่ในแสงไฟจนน่าเป็นห่วง
"ไอ้หมง! เพื่อนเก่าของผมเอง" เสียงของพี่ประสมแหบแห้งชอบกล กลืนน้ำลายสองครั้งติดๆ กัน "เราไม่เจอกันตั้งสิบกว่าปีแล้ว.."
"น่าเสียดาย" ครูวิรัตน์ยิงฟันขาวตามเคย "ถ้าจำได้ตอนนั้นก็ชวนมาร่วมวงกันสนุกน่ะซี"
"สนุกกะผีอะไรล่ะ" พี่ประสมเทเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว มือสั่นระริกจนเห็นได้ชัด "ไอ้หมง..เพื่อนผมคนนี้น่ะ ได้ข่าวมันขับรถไปชนสิบล้อที่โคราช ตายคาที่มาตั้งหลายปีแล้วนี่นา!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 17 สิงหาคม 2550
16 สิงหาคม 2558
ห่วงลูก
"หนูหลิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหัวหิน
คนส่วนมากมักจะเชื่อลางสังหรณ์ แม้ว่าจะไม่มากเหมือนคนโบราณที่เชื่อถือโชคลางมากมาย ไม่ว่าเสียงจิ้งจกตุ๊กแก นกกา หมาแมว ฯลฯ ล้วนแต่ตีความเป็นลางดี - ลางร้ายไปทั้งหมด ยิ่งความฝันยิ่งเชื่อถือกันมาก ขนาดต้องแก้ฝันกันแทบทุกวันก็ว่าได้ค่ะ
สมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อกันแล้วนะคะ พูดตรงกันว่า กินมากก็ฝันมาก หรือคิดถึงอะไรบ่อยๆ จนถึงกับหมกมุ่น ก็อาจจะเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะได้
ดิฉันได้พบกับฝันร้ายสุดๆ ของแม่มาแล้วค่ะ!
เรื่องของเรื่องก็คือ ดิฉับกับเพื่อนๆ ในโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี นัดหมายกันไปเที่ยวทะเลที่ปราณบุรีในวันหยุดยาว พวกเราล้วนแต่เป็นสาวโสดกันทุกคน มีตั้งแต่อายุ 20 กว่าไปจนถึง 40 เศษ ที่โดนเพื่อนล้อไม่ยอมลงจากคานเสียที
พี่ระเบียบอาวุโสที่สุด อายุ 43 ย่าง 44 ปากคอจัดจ้านไม่กลัวใคร เคยโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนว่า...ถึงจะอยู่บนคานก็ไม่หนักกบาลหัวใคร!
พวกเราขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่นึกกังวลเหมือนกันนะคะว่าจะต้อง "ขึ้นคาน" อย่างพี่ระเบียบ ชอบพูดเล่นว่า "เนื้อคู่ยังไม่เกิด" แต่เวลาไปดูหมอชอบถามคล้ายๆ กันว่าพบเนื้อคู่แล้วหรือยัง?
พวกเรานัดแนะกันไปเที่ยวทั้งหมด 9 คน โดยขึ้นรถตู้ที่หน้าโรงงานตอนเช้า กะว่าไปกินอาหารกลางวันที่หัวหิน ไม่ต้องรีบร้อน จะได้ดูวิว ดูผู้คนที่เขาไปเที่ยววันหยุดกันด้วย
ไปเที่ยวทั้งทีต้องแย่งกันเที่ยว แย่งกันกิน แย่งกันหาที่นอนถึงจะสนุกค่ะ!
ดิฉันเองฤกษ์ไม่ค่อยดีที่แม่มาห้ามเดินทางเอาตอนเช้า กำลังจะแต่งตัวออกจากบ้านนี่เอง ทั้งที่ขออนุญาตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
"แม่ฝันร้ายเหลือเกิน อย่าไปเลยลูกเอ๋ย..." แม่เข้ามากอดดิฉันไว้ นัยน์ตาแดงช้ำฉายแววห่วงใยสุดขีด...ตั้งแต่พ่อตายไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 4-5 ปีก่อน เราก็อยู่กันสองคนแม่ลูกเท่านั้นเอง มีป้านวลที่เป็นญาติห่างๆ มาช่วยทำงานและดูแลบ้าน
"แม่ฝันว่าพ่อมาหา บอกว่าเป็นห่วงลูก! ให้แม่คอยดูแลลูกให้ดีๆ ตอนนี้กำลังเคราะห์ร้าย...บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่สบายใจเลย ตอนตื่นขึ้นมายังดูเหมือนเห็นหลังพ่อเขาเดินห่างออกไปหยกๆ"
"โธ่! แม่...หนูนัดเพื่อนๆ เขาดิบดีแล้ว จะให้เบี้ยวเขา แล้วบอกเขาว่ายังไงล่ะคะ? บอกว่าไม่ไปเพราะแม่ฝันร้ายงั้นเหรอ?"
ถึงแม้น้ำตาจะร่วงพรู แต่แม่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าแล้ว กอดดิฉัน
ไว้แน่น...ต้องตัดสินใจขอตัว ยืนยันว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด ยกมือไหว้แม่แล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกจากห้องนอน แม่เรียกชื่อพลางเดินตาม แต่ดิฉันไม่ยอมหันไปมองหรอกค่ะ กลัวว่าจะใจอ่อนจนผิดนัดเพื่อนน่ะซีคะ
น้ำตาแม่ทำให้ไม่สบายใจเลย จนกระทั่งพบกับเพื่อนๆ ที่จุดนัดพบ เสียงทักทายและยั่วเย้าเซ็งแซ่ก็ทำให้ความกังวลใจค่อยๆ คลายลง
การเดินทางราบรื่นจนถึงหัวหิน แสงแดดสดใส รถราคึกคัก ผู้คนแต่งตัวสีสันฉูดฉาด เสียงพูดคุยและหัวเราะต่อกระซิกน่าสนุก เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อย ตบท้ายด้วยไอศกรีมจนอิ่มหนำสำราญ
ก่อนจะลุกออกจากร้านที่มีลูกค้าหนาแน่น ผู้คนเดินผ่านไปมาคึกคัก...ดิฉันหันไปมองหน้าร้านพอดี เย็นวาบไปทั้งตัวบัดดล...
แม่ดิฉันเองที่เดินผ่านหน้าไป!
ท่าเดินของแม่เชื่องช้า หันหน้ามามองเขม็งเหมือนหุ่นยนต์ ท่ามกลางแสงแดดสดใสตอนเที่ยงวัน...
"แม่...!!" ดิฉันร้องอย่างลืมตัว ลุกถลาออกจากร้านโดยไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าแม่อยู่บ้านแท้ๆ จะตามดิฉันมาถึงหัวหินได้ยังไง? มิหนำซ้ำยังเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ได้นัดหมายมาก่อนด้วยซ้ำ
...มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม่แม้แต่เงา เพื่อนๆ ลุกตามออกมาถามว่าเรียกใคร? มีแม่อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? พี่ระเบียบสงสัยว่าใครมาหาเรื่องหรือเปล่า?
"เมื่อกี้ก้อยมองเห็นแม่เดินผ่านหน้าร้านค่ะ" ดิฉันตอบเสียงสั่นๆ ใจหนึ่งก็นึกว่าตัวเองตาฝาดไป แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงและเป็นห่วงแม่...หรือจะมีใครที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแม่! ว่าแต่คนคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ?
ร้านข้างๆ ขายเสื้อผ้า ของที่ระลึก มีร้านขนมกับแผงหนังสือพิมพ์ด้วย ดิฉันเดินตามไปดูจนแน่ใจว่าไม่เห็นผู้หญิงนั้น...ราวกับเธอหายไปในอากาศธาตุดื้อๆ กระนั้น!
พี่ระเบียบแนะนำให้โทรศัพท์ไปหาแม่ ดิฉันเพิ่งนึกขึ้นได้... ปรากฏว่าแม่รีบรับโทรศัพท์ทันที ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? ดิฉันถอนใจอย่างโล่งอก...แกล้งบอกว่าถึงหัวหินแล้วเลยโทร.มา บอกให้แม่หายห่วง กำลังจะขึ้นรถไปปราณบุรีแล้วล่ะค่ะ
...แต่ก่อนจะถึงปราณบุรีก็เกิดอุบัติเหตุ รถยางแตกเสียหลักพุ่งออกจากถนนเสียงร้องวี้ดว้ายดังแสบแก้วหู ตามด้วยเสียงหวีดร้อง ขณะที่พวกเราเหมือนจะกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
"แม่!!" ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่น ก่อนสติจะดับวูบลง!
รถตู้ไปเสยต้นไม้ริมทางจนหยุดนิ่ง เสียงโอดโอยดังระงม...คนขับฟุบอยู่กับพวงมาลัย พวกเพื่อนๆ ล้วนแต่แขนขาหัก หัวแตกเลือดไหลอาบหน้า บ้างก็ถลอกปอกเปิก พี่ระเบียบไหล่หลุด...เสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังบาดลึกลงไปถึงหัวใจ
ดิฉันฟื้นสติขึ้นมา...บอบช้ำพอสมควรแต่ก็ปลอดภัยดี ไม่ทราบว่าเป็นความรักของแม่หรือเปล่าที่ช่วยคุ้มครอง? แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นนึกถึงแล้วขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2550
คนส่วนมากมักจะเชื่อลางสังหรณ์ แม้ว่าจะไม่มากเหมือนคนโบราณที่เชื่อถือโชคลางมากมาย ไม่ว่าเสียงจิ้งจกตุ๊กแก นกกา หมาแมว ฯลฯ ล้วนแต่ตีความเป็นลางดี - ลางร้ายไปทั้งหมด ยิ่งความฝันยิ่งเชื่อถือกันมาก ขนาดต้องแก้ฝันกันแทบทุกวันก็ว่าได้ค่ะ
สมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อกันแล้วนะคะ พูดตรงกันว่า กินมากก็ฝันมาก หรือคิดถึงอะไรบ่อยๆ จนถึงกับหมกมุ่น ก็อาจจะเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะได้
ดิฉันได้พบกับฝันร้ายสุดๆ ของแม่มาแล้วค่ะ!
เรื่องของเรื่องก็คือ ดิฉับกับเพื่อนๆ ในโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี นัดหมายกันไปเที่ยวทะเลที่ปราณบุรีในวันหยุดยาว พวกเราล้วนแต่เป็นสาวโสดกันทุกคน มีตั้งแต่อายุ 20 กว่าไปจนถึง 40 เศษ ที่โดนเพื่อนล้อไม่ยอมลงจากคานเสียที
พี่ระเบียบอาวุโสที่สุด อายุ 43 ย่าง 44 ปากคอจัดจ้านไม่กลัวใคร เคยโต้ตอบอย่างเผ็ดร้อนว่า...ถึงจะอยู่บนคานก็ไม่หนักกบาลหัวใคร!
พวกเราขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่นึกกังวลเหมือนกันนะคะว่าจะต้อง "ขึ้นคาน" อย่างพี่ระเบียบ ชอบพูดเล่นว่า "เนื้อคู่ยังไม่เกิด" แต่เวลาไปดูหมอชอบถามคล้ายๆ กันว่าพบเนื้อคู่แล้วหรือยัง?
พวกเรานัดแนะกันไปเที่ยวทั้งหมด 9 คน โดยขึ้นรถตู้ที่หน้าโรงงานตอนเช้า กะว่าไปกินอาหารกลางวันที่หัวหิน ไม่ต้องรีบร้อน จะได้ดูวิว ดูผู้คนที่เขาไปเที่ยววันหยุดกันด้วย
ไปเที่ยวทั้งทีต้องแย่งกันเที่ยว แย่งกันกิน แย่งกันหาที่นอนถึงจะสนุกค่ะ!
ดิฉันเองฤกษ์ไม่ค่อยดีที่แม่มาห้ามเดินทางเอาตอนเช้า กำลังจะแต่งตัวออกจากบ้านนี่เอง ทั้งที่ขออนุญาตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
"แม่ฝันร้ายเหลือเกิน อย่าไปเลยลูกเอ๋ย..." แม่เข้ามากอดดิฉันไว้ นัยน์ตาแดงช้ำฉายแววห่วงใยสุดขีด...ตั้งแต่พ่อตายไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 4-5 ปีก่อน เราก็อยู่กันสองคนแม่ลูกเท่านั้นเอง มีป้านวลที่เป็นญาติห่างๆ มาช่วยทำงานและดูแลบ้าน
"แม่ฝันว่าพ่อมาหา บอกว่าเป็นห่วงลูก! ให้แม่คอยดูแลลูกให้ดีๆ ตอนนี้กำลังเคราะห์ร้าย...บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่สบายใจเลย ตอนตื่นขึ้นมายังดูเหมือนเห็นหลังพ่อเขาเดินห่างออกไปหยกๆ"
"โธ่! แม่...หนูนัดเพื่อนๆ เขาดิบดีแล้ว จะให้เบี้ยวเขา แล้วบอกเขาว่ายังไงล่ะคะ? บอกว่าไม่ไปเพราะแม่ฝันร้ายงั้นเหรอ?"
ถึงแม้น้ำตาจะร่วงพรู แต่แม่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าแล้ว กอดดิฉัน
ไว้แน่น...ต้องตัดสินใจขอตัว ยืนยันว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด ยกมือไหว้แม่แล้วคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกจากห้องนอน แม่เรียกชื่อพลางเดินตาม แต่ดิฉันไม่ยอมหันไปมองหรอกค่ะ กลัวว่าจะใจอ่อนจนผิดนัดเพื่อนน่ะซีคะ
น้ำตาแม่ทำให้ไม่สบายใจเลย จนกระทั่งพบกับเพื่อนๆ ที่จุดนัดพบ เสียงทักทายและยั่วเย้าเซ็งแซ่ก็ทำให้ความกังวลใจค่อยๆ คลายลง
การเดินทางราบรื่นจนถึงหัวหิน แสงแดดสดใส รถราคึกคัก ผู้คนแต่งตัวสีสันฉูดฉาด เสียงพูดคุยและหัวเราะต่อกระซิกน่าสนุก เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อย ตบท้ายด้วยไอศกรีมจนอิ่มหนำสำราญ
ก่อนจะลุกออกจากร้านที่มีลูกค้าหนาแน่น ผู้คนเดินผ่านไปมาคึกคัก...ดิฉันหันไปมองหน้าร้านพอดี เย็นวาบไปทั้งตัวบัดดล...
แม่ดิฉันเองที่เดินผ่านหน้าไป!
ท่าเดินของแม่เชื่องช้า หันหน้ามามองเขม็งเหมือนหุ่นยนต์ ท่ามกลางแสงแดดสดใสตอนเที่ยงวัน...
"แม่...!!" ดิฉันร้องอย่างลืมตัว ลุกถลาออกจากร้านโดยไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าแม่อยู่บ้านแท้ๆ จะตามดิฉันมาถึงหัวหินได้ยังไง? มิหนำซ้ำยังเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ได้นัดหมายมาก่อนด้วยซ้ำ
...มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม่แม้แต่เงา เพื่อนๆ ลุกตามออกมาถามว่าเรียกใคร? มีแม่อยู่ที่นี่ด้วยหรือ? พี่ระเบียบสงสัยว่าใครมาหาเรื่องหรือเปล่า?
"เมื่อกี้ก้อยมองเห็นแม่เดินผ่านหน้าร้านค่ะ" ดิฉันตอบเสียงสั่นๆ ใจหนึ่งก็นึกว่าตัวเองตาฝาดไป แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงและเป็นห่วงแม่...หรือจะมีใครที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายแม่! ว่าแต่คนคนนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ?
ร้านข้างๆ ขายเสื้อผ้า ของที่ระลึก มีร้านขนมกับแผงหนังสือพิมพ์ด้วย ดิฉันเดินตามไปดูจนแน่ใจว่าไม่เห็นผู้หญิงนั้น...ราวกับเธอหายไปในอากาศธาตุดื้อๆ กระนั้น!
พี่ระเบียบแนะนำให้โทรศัพท์ไปหาแม่ ดิฉันเพิ่งนึกขึ้นได้... ปรากฏว่าแม่รีบรับโทรศัพท์ทันที ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า? ดิฉันถอนใจอย่างโล่งอก...แกล้งบอกว่าถึงหัวหินแล้วเลยโทร.มา บอกให้แม่หายห่วง กำลังจะขึ้นรถไปปราณบุรีแล้วล่ะค่ะ
...แต่ก่อนจะถึงปราณบุรีก็เกิดอุบัติเหตุ รถยางแตกเสียหลักพุ่งออกจากถนนเสียงร้องวี้ดว้ายดังแสบแก้วหู ตามด้วยเสียงหวีดร้อง ขณะที่พวกเราเหมือนจะกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
"แม่!!" ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่น ก่อนสติจะดับวูบลง!
รถตู้ไปเสยต้นไม้ริมทางจนหยุดนิ่ง เสียงโอดโอยดังระงม...คนขับฟุบอยู่กับพวงมาลัย พวกเพื่อนๆ ล้วนแต่แขนขาหัก หัวแตกเลือดไหลอาบหน้า บ้างก็ถลอกปอกเปิก พี่ระเบียบไหล่หลุด...เสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังบาดลึกลงไปถึงหัวใจ
ดิฉันฟื้นสติขึ้นมา...บอบช้ำพอสมควรแต่ก็ปลอดภัยดี ไม่ทราบว่าเป็นความรักของแม่หรือเปล่าที่ช่วยคุ้มครอง? แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นนึกถึงแล้วขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2550
15 สิงหาคม 2558
ห้องผีสิง
"หลานเฟิร์น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคอนโดมิเนียมกลางกรุง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นดิฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 บ้านของดิฉันเป็นตึกแถว 4 ชั้นอยู่หน้าตลาด พ่อกับแม่ขายของชำอยู่ชั้นล่าง ส่วนดิฉันและน้องชายจอมทโมนอีก 2 คนอยู่ชั้นบน
ดิฉันรักที่นี่มากเพราะอยู่มาแต่อ้อนแต่ออก แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจค่ะเมื่อวันหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่มาขอให้ดิฉันไปเฝ้าคอนโดฯ ของเธอ
พี่รุ่งเรียนอยู่ชั้นปี 3 เป็นลูกคนเดียวของนักธุรกิจที่ร่ำรวย แม่เป็นมะเร็งตายไปเมื่อหลายปีก่อน และพ่อก็แต่งงานใหม่ จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบค่ะ พ่อตามใจพี่รุ่งเหลือเกิน...ซื้อรถสปอร์ตให้ แล้วยังซื้อคอนโดฯ หรูหราให้อยู่ตามสบายในย่านสุขุมวิทอีกด้วย
วันที่เกิดเหตุ พี่รุ่งจะไปค้างพัทยากับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับเธอ ก็เลยขอให้ดิฉันไปนอนเฝ้าคอนโดฯ ให้ เพราะเธอเลี้ยงหมาชิวาว่าไว้ 2 ตัว ไม่ได้เอาไปเที่ยวด้วย...เธอห่วงหมามากน่ะค่ะ
บ่ายวันศุกร์ ดิฉันเลิกเรียนแล้วก็ตรงไปที่คอนโดฯ ของพี่รุ่งเลย ดิฉันเคยมาหลายครั้งแล้ว บางทีก็ค้างคืน แต่ที่จะนอนคนเดียวน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก!
คอนโดฯ พี่รุ่งกว้างขวาง สวยมากเหมือนโรงแรม 5 ดาว อยู่ชั้น 20 แน่ะ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด อยู่ที่นี่มีความสุขจริงๆ เลยค่ะ แอร์เย็นฉ่ำ ห้อง น้ำห้องท่าสวยสุดใจ...และมีห้องครัวเล็กๆ ให้เตรียมอาหารด้วย
พี่รุ่งซื้อลาซานญ่าของโปรดของดิฉันไว้ให้ในตู้เย็น แถมด้วยเนื้ออบชิ้นใหญ่และไอศกรีมรสกล้วยหอมชีสอีกถังเบ้อเริ่ม จะแบ่งให้น้องหมากินก็ได้น่ะ แต่เจ้าสองตัวนี่มีอาหารหมาอย่างดีกินแล้วเรียบร้อย
คืนนั้น ดิฉันกินไอศกรีมไปดูทีวีไปอย่างแสนสุโข จนราว 5 ทุ่มกว่าๆ ก็ชักง่วง เลยไปอาบน้ำฝักบัวอุ่นๆ
ขณะอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินจินนี่กับบ๊อบบี้ ชิวาว่าน่ารัก 2 ตัวร้องงี้ดๆ อยู่หน้าประตู มันคงเหงา...หมาอะไรขี้อ้อนชะมัดเลย! ดูซิคะ...พอเปิดประตูออกมามันก็ตัวสั่น เบียดเข้าหาเหมือนอยากให้อุ้ม...
พี่รุ่งบอกว่าเอามันนอนบนเตียงได้ มันชอบ!
ดิฉันเดินเข้าห้องนอน สองตัวก็ตามมาติดๆ ท่าทางเหมือนจะกลัวอะไรสักอย่างงั้นแหละ หรือมันอยากนอนก็ไม่รู้นะ เอาละ...นอนก็ได้! แต่ดิฉันจะไปดูความเรียบร้อยให้ทั่วๆ อีกสักหน่อย...พอเดินออกจากห้องนอน ดิฉันก็ต้องตกใจสุดขีด...
บนโซฟาที่ดิฉันเอกเขนกดูทีวีเมื่อสักครู่นี้ มีฝรั่งคนหนึ่งนั่งอยู่!
ในความสลัวของแสงที่ดิฉันเปิดไว้แค่ดวงเดียวนั้น ดิฉันยังเห็นถนัดว่าเขาเป็นชายสูงใหญ่ ร่างท้วม ผมสีทองจางๆ บางเต็มที เขาใส่เสื้อลายทาง นุ่งกางเกงสีเข้มๆ นั่งเอามือข้างหนึ่งพาดเหนือโซฟา อีกข้างวางอยู่บนตัก มองตรงมาข้างหน้าเหมือนดูทีวี...แต่ดิฉันปิดทีวีแล้วนะคะ
ดิฉันถอยกรูด ใจหายว่าเขาเข้ามาได้ยังไง? ประตูล็อกเรียบร้อยแล้วนี่นา... ตายละ! เขาจะทำอะไรเราหรือเปล่าเนี่ย?
เกือบจะเหยียบหมาแน่ะ ตอนที่ดิฉันปราดเข้าหาโทรศัพท์ แล้วรีบโทร.ไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ข้างล่าง...เขาถามลักษณะของชายคนนั้น พอได้รับคำตอบเขาก็พูดหัวเราะๆ ว่า ไม่มีอะไรหรอก!
อะไรนะ? ดิฉันร้อง โมโหมาก...ไม่มีอะไรได้ยังไง? มีคนทั้งคนบุกรุกเข้ามาในห้องของดิฉันกลางดึกอย่างนี้เนี่ยนะ?!
ตอนนั้นดิฉันกลัวมาก สับสนไปหมด เลยแอบเปิดประตูแง้มดู แต่ไม่เห็นฝรั่งคนนั้นแล้วค่ะ...ภาย นอกเงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอยู่ ดิฉันแข็งใจย่องออกมา...เขาไม่อยู่แล้วจริงๆ ไม่ได้ซ่อนอยู่หลังม่าน หรือที่ซอกมุมใด พอดูที่ประตูมันก็ล็อกด้านในอย่างแน่นหนา
เอาละซิ! คราวนี้ดิฉันไม่ได้กลัวคน แต่เริ่มคิดระแวงแล้วว่า...เขาอาจจะเป็นผี!!
ยกโทรศัพท์มือไม้สั่น พูดกับเจ้าหน้าที่ประจำคอนโดฯ อีกที เขาบอกอย่างไม่ปิดบังว่า ฝรั่งที่ดิฉันเห็นเป็นเจ้าของห้องคนเก่าที่ย้ายกลับประเทศไปนานแล้ว ก่อนที่คุณพ่อของพี่รุ่งจะมาซื้อต่อ
ผีแน่ๆ เลย! ดิฉันมือไม้เย็นไปหมด แถมสั่นระริกอีกต่างหาก
ทำไงดีล่ะ? ต้องนอนคนเดียวทั้งคืนที่นี่ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้แล้ว!
เท่าที่จะทำได้ก็คือล็อกประตูห้องนอน เปิดไฟสว่างโร่ ขึ้นเตียงห่มผ้า กอดหมาทั้ง 2 ตัวไว้แน่น นอนไม่หลับเลยค่ะ ทรมานมาก หูก็คอยแว่วเสียงเขย่าประสาทไม่หยุดหย่อน
เดี๋ยวได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา เดี๋ยวได้ยินเสียงเปิดทีวี เสียงแก้วน้ำดังเบาๆ จากข้างนอกเข้ามาทั้งคืน
อากาศที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกเข้าไปจับกระดูก ใจเต้นตึ๊กๆ ไม่หยุดหย่อน กลืนน้ำลายจนปากคอแห้งผากไป ได้ยินอะไรก็สะดุ้งผวาไม่เป็นส่ำ...เกิดมายังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย
บอกตรงๆ ว่ากลัวจนน้ำตาไหลเลยค่ะ!
รุ่งเช้า พอให้ข้าวเจ้าจินนี่กับบ๊อบบี้แล้ว ดิฉันก็ไม่อาจจะทนอยู่ต่อไปได้ เลยโทร.เข้ามือถือบอกพี่รุ่ง เธอทำเสียงตื่นเต้นยกใหญ่ บอกว่าตัวเองไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวอย่างที่ดิฉันเจอ...แปลกจริงๆ
เดี๋ยวนี้พี่รุ่งก็ยังอยู่ที่คอนโดฯ นั้น โดยไม่เคยเห็นผีฝรั่งแม้แต่ครั้งเดียว...เธอคงดวงแข็งกว่าดิฉันแน่เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม 2550
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นดิฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 บ้านของดิฉันเป็นตึกแถว 4 ชั้นอยู่หน้าตลาด พ่อกับแม่ขายของชำอยู่ชั้นล่าง ส่วนดิฉันและน้องชายจอมทโมนอีก 2 คนอยู่ชั้นบน
ดิฉันรักที่นี่มากเพราะอยู่มาแต่อ้อนแต่ออก แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจค่ะเมื่อวันหนึ่งเพื่อนรุ่นพี่มาขอให้ดิฉันไปเฝ้าคอนโดฯ ของเธอ
พี่รุ่งเรียนอยู่ชั้นปี 3 เป็นลูกคนเดียวของนักธุรกิจที่ร่ำรวย แม่เป็นมะเร็งตายไปเมื่อหลายปีก่อน และพ่อก็แต่งงานใหม่ จะเป็นด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบค่ะ พ่อตามใจพี่รุ่งเหลือเกิน...ซื้อรถสปอร์ตให้ แล้วยังซื้อคอนโดฯ หรูหราให้อยู่ตามสบายในย่านสุขุมวิทอีกด้วย
วันที่เกิดเหตุ พี่รุ่งจะไปค้างพัทยากับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับเธอ ก็เลยขอให้ดิฉันไปนอนเฝ้าคอนโดฯ ให้ เพราะเธอเลี้ยงหมาชิวาว่าไว้ 2 ตัว ไม่ได้เอาไปเที่ยวด้วย...เธอห่วงหมามากน่ะค่ะ
บ่ายวันศุกร์ ดิฉันเลิกเรียนแล้วก็ตรงไปที่คอนโดฯ ของพี่รุ่งเลย ดิฉันเคยมาหลายครั้งแล้ว บางทีก็ค้างคืน แต่ที่จะนอนคนเดียวน่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก!
คอนโดฯ พี่รุ่งกว้างขวาง สวยมากเหมือนโรงแรม 5 ดาว อยู่ชั้น 20 แน่ะ มองไปทางไหนก็สวยไปหมด อยู่ที่นี่มีความสุขจริงๆ เลยค่ะ แอร์เย็นฉ่ำ ห้อง น้ำห้องท่าสวยสุดใจ...และมีห้องครัวเล็กๆ ให้เตรียมอาหารด้วย
พี่รุ่งซื้อลาซานญ่าของโปรดของดิฉันไว้ให้ในตู้เย็น แถมด้วยเนื้ออบชิ้นใหญ่และไอศกรีมรสกล้วยหอมชีสอีกถังเบ้อเริ่ม จะแบ่งให้น้องหมากินก็ได้น่ะ แต่เจ้าสองตัวนี่มีอาหารหมาอย่างดีกินแล้วเรียบร้อย
คืนนั้น ดิฉันกินไอศกรีมไปดูทีวีไปอย่างแสนสุโข จนราว 5 ทุ่มกว่าๆ ก็ชักง่วง เลยไปอาบน้ำฝักบัวอุ่นๆ
ขณะอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินจินนี่กับบ๊อบบี้ ชิวาว่าน่ารัก 2 ตัวร้องงี้ดๆ อยู่หน้าประตู มันคงเหงา...หมาอะไรขี้อ้อนชะมัดเลย! ดูซิคะ...พอเปิดประตูออกมามันก็ตัวสั่น เบียดเข้าหาเหมือนอยากให้อุ้ม...
พี่รุ่งบอกว่าเอามันนอนบนเตียงได้ มันชอบ!
ดิฉันเดินเข้าห้องนอน สองตัวก็ตามมาติดๆ ท่าทางเหมือนจะกลัวอะไรสักอย่างงั้นแหละ หรือมันอยากนอนก็ไม่รู้นะ เอาละ...นอนก็ได้! แต่ดิฉันจะไปดูความเรียบร้อยให้ทั่วๆ อีกสักหน่อย...พอเดินออกจากห้องนอน ดิฉันก็ต้องตกใจสุดขีด...
บนโซฟาที่ดิฉันเอกเขนกดูทีวีเมื่อสักครู่นี้ มีฝรั่งคนหนึ่งนั่งอยู่!
ในความสลัวของแสงที่ดิฉันเปิดไว้แค่ดวงเดียวนั้น ดิฉันยังเห็นถนัดว่าเขาเป็นชายสูงใหญ่ ร่างท้วม ผมสีทองจางๆ บางเต็มที เขาใส่เสื้อลายทาง นุ่งกางเกงสีเข้มๆ นั่งเอามือข้างหนึ่งพาดเหนือโซฟา อีกข้างวางอยู่บนตัก มองตรงมาข้างหน้าเหมือนดูทีวี...แต่ดิฉันปิดทีวีแล้วนะคะ
ดิฉันถอยกรูด ใจหายว่าเขาเข้ามาได้ยังไง? ประตูล็อกเรียบร้อยแล้วนี่นา... ตายละ! เขาจะทำอะไรเราหรือเปล่าเนี่ย?
เกือบจะเหยียบหมาแน่ะ ตอนที่ดิฉันปราดเข้าหาโทรศัพท์ แล้วรีบโทร.ไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่ข้างล่าง...เขาถามลักษณะของชายคนนั้น พอได้รับคำตอบเขาก็พูดหัวเราะๆ ว่า ไม่มีอะไรหรอก!
อะไรนะ? ดิฉันร้อง โมโหมาก...ไม่มีอะไรได้ยังไง? มีคนทั้งคนบุกรุกเข้ามาในห้องของดิฉันกลางดึกอย่างนี้เนี่ยนะ?!
ตอนนั้นดิฉันกลัวมาก สับสนไปหมด เลยแอบเปิดประตูแง้มดู แต่ไม่เห็นฝรั่งคนนั้นแล้วค่ะ...ภาย นอกเงียบกริบ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอยู่ ดิฉันแข็งใจย่องออกมา...เขาไม่อยู่แล้วจริงๆ ไม่ได้ซ่อนอยู่หลังม่าน หรือที่ซอกมุมใด พอดูที่ประตูมันก็ล็อกด้านในอย่างแน่นหนา
เอาละซิ! คราวนี้ดิฉันไม่ได้กลัวคน แต่เริ่มคิดระแวงแล้วว่า...เขาอาจจะเป็นผี!!
ยกโทรศัพท์มือไม้สั่น พูดกับเจ้าหน้าที่ประจำคอนโดฯ อีกที เขาบอกอย่างไม่ปิดบังว่า ฝรั่งที่ดิฉันเห็นเป็นเจ้าของห้องคนเก่าที่ย้ายกลับประเทศไปนานแล้ว ก่อนที่คุณพ่อของพี่รุ่งจะมาซื้อต่อ
ผีแน่ๆ เลย! ดิฉันมือไม้เย็นไปหมด แถมสั่นระริกอีกต่างหาก
ทำไงดีล่ะ? ต้องนอนคนเดียวทั้งคืนที่นี่ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้แล้ว!
เท่าที่จะทำได้ก็คือล็อกประตูห้องนอน เปิดไฟสว่างโร่ ขึ้นเตียงห่มผ้า กอดหมาทั้ง 2 ตัวไว้แน่น นอนไม่หลับเลยค่ะ ทรมานมาก หูก็คอยแว่วเสียงเขย่าประสาทไม่หยุดหย่อน
เดี๋ยวได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา เดี๋ยวได้ยินเสียงเปิดทีวี เสียงแก้วน้ำดังเบาๆ จากข้างนอกเข้ามาทั้งคืน
อากาศที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกเข้าไปจับกระดูก ใจเต้นตึ๊กๆ ไม่หยุดหย่อน กลืนน้ำลายจนปากคอแห้งผากไป ได้ยินอะไรก็สะดุ้งผวาไม่เป็นส่ำ...เกิดมายังไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย
บอกตรงๆ ว่ากลัวจนน้ำตาไหลเลยค่ะ!
รุ่งเช้า พอให้ข้าวเจ้าจินนี่กับบ๊อบบี้แล้ว ดิฉันก็ไม่อาจจะทนอยู่ต่อไปได้ เลยโทร.เข้ามือถือบอกพี่รุ่ง เธอทำเสียงตื่นเต้นยกใหญ่ บอกว่าตัวเองไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวอย่างที่ดิฉันเจอ...แปลกจริงๆ
เดี๋ยวนี้พี่รุ่งก็ยังอยู่ที่คอนโดฯ นั้น โดยไม่เคยเห็นผีฝรั่งแม้แต่ครั้งเดียว...เธอคงดวงแข็งกว่าดิฉันแน่เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 15 สิงหาคม 2550
14 สิงหาคม 2558
ผู้หญิงชั้นบน
"นายหนึ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสวนอาหารย่านรัชดา
อากาศเดือนเมษายนที่ผ่านมาร้อนมากๆ คุณจำได้ไหมครับ? ปีนี้มันร้อนจริงๆ แต่คืนนั้น ผมหนาวเยือกไปถึงหัวใจขึ้นมาเฉยๆ เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง...เหตุเกิดในสวนอาหารใจกลางกรุงเทพฯ นี่เอง!
ผมกับเพื่อนๆ จะสังสรรค์กันทุกคืนวันศุกร์หลังเลิกงาน ศุกร์นั้นมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่ามีสวนอาหารสุดเจ๋งแถวรัชดา พวกผมไม่เคยไปเพราะมันเป็นร้านเล็กๆ ไม่สะดุดตานัก
พอไปถึงที่นั่นก็รู้ว่า เป็นบ้านที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหาร มีโต๊ะตั้งทั้งภายในตัวบ้าน และที่สนามด้านหน้า...บ้านนี้มีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้มดีทีเดียว เขาติดไฟตามต้นไม้ มีเปิดเพลง มีสาวเชียร์เบียร์สวยๆ เดินกันไขว่ สาวขายยาชูกำลังก็มี พวกผมแซวเธอเล่นอย่างสนุกสนาน...น่ารักจริงๆ ครับ
ขณะที่กำลังเฮฮา ผมเกิดเงยหน้าขึ้นไปมองตัวบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ!
โต๊ะที่พวกเรานั่งน่ะอยู่ริมรั้ว ห่างจากตัวบ้านราวสิบเมตร ผมจึงมองเห็นบ้านทั้งหลังได้ถนัดตา
ที่ชั้นสองของบ้านนั้นปิดไฟมืด และที่ระเบียงก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งชุดเหมือนชุดนอนไนลอนสีขาวๆ ยืนอยู่ ผมเธอยาวมาก คิดว่าคงเป็นคนสวยน่าดูเชียวละ ถึงจะมืดสลัวๆ ก็ยังเห็นใบหน้ารูปไข่ยาวเรียว รูปร่างบอบบางสมส่วน
อึดใจหนึ่ง ดูท่าเธอจะเห็นว่าผมมองอยู่ ผมรู้สึกว่าเราสบตากัน...
และแล้ว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกหนาวยะเยือก!!
เพื่อนนั่งตรงข้ามคงจะเห็นผมทำท่าแปลกๆ และจ้องอยู่ที่ระเบียงชั้นสองของบ้านนั้น เขาเอี้ยวตัวไปมอง แล้วหันกลับมาเลิกคิ้ว ถามว่าผมมองอะไรอยู่น่ะ?
อะไรกัน? คำถามของเพื่อนทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขามองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ผมเองก็ละสายตาจากจุดนั้น...และเมื่อหันไปอีกทีเธอก็หายไปแล้ว
เธอเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับบรรยากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง!
หรือเธออาจอยู่ที่นี่จริงๆ และคิดว่ามันมืด เธอออกมายืนชมวิวอย่างนั้นคงไม่มีใครสนใจ ก็อาจจะเป็นไปได้
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมเริ่มมึนๆ อยากเข้าห้องน้ำที่อยู่ในตัวบ้าน
เมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินออกมา ภายในบ้านก็มืดสลัวพอๆ กับข้างนอก มีโต๊ะตั้งอยู่ไม่กี่ตัว และมีคนนั่งไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่เขาจะนั่งข้างนอกกัน
ไม่รู้อะไรทำให้ผมชะเง้อมองที่บันได...
มันทอดตัวขึ้นไปสู่ความมืด แล้ว...คล้ายกับมีอะไรดึงดูดให้ผมก้าวขึ้นบันได ไม่เห็นมีใครสนใจนี่นา ผมก็เลยเดินขึ้นทีละขั้นๆ
สภาพชั้นบนคล้ายมีคนอาศัยอยู่จริงๆ ไม่ได้ทิ้งร้างอะไร พวกเด็กเสิร์ฟอาจจะนอนที่นี่ก็ได้ ปรากฏว่าห้องทุกห้องเปิดทิ้งไว้ ทำให้เห็นว่าภายในมีที่นอน เป็นฟูกวางกับพื้น...พวกเขาคงรวมกันหลายคน...
ผมมองหาผู้หญิงคนเมื่อกี้!
นั่นไง! เธอนั่งอยู่บนฟูกในห้องหนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวเงียบๆ และหันมาทางผมอย่างเชื่องช้า...ค่อยๆ หันมาจนเห็นเสี้ยวหน้า ตาต่อตาสบกัน...แสงไฟจากด้านนอกส่องให้เห็นดวงตาที่ดำสนิท จมูกโด่ง และปากที่ดำจนเห็นได้ชัดเจน...
ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว ความหนาวจับใจก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง
เธอจ้องผมนิ่งแน่ว มันมีอำนาจแปลกๆ คนธรรมดาไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน!
ผมถอยหลังแล้วเดินลงบันได ขาสั่นนิดๆ จนต้องจับราวไว้ เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเห็นเข้าพอดี เขาถามแปลกๆ ว่า...พี่เป็นไรรึเปล่า?
ฟังแล้วออกจะงงๆ ที่จริงเขาน่าจะสงสัยมากกว่า ว่าผมแอบขึ้นไปลักขโมยอะไร แต่ผมฝืนยิ้มทำเป็นพูดติดตลกว่าอยากขึ้นไปดูบ้าน ไม่ได้ขโมยของนะ! เขาหัวเราะแล้วบอกอย่างอารมณ์ดีว่า
"ข้างบนไม่มีอะไรหรอกฮะพี่ ไม่มีใครอยู่..."
พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ชักจะหายเมา ถามเขาว่า...แล้วฟูกที่นอนพวกนั้นล่ะ เห็นมีอยู่ทุกห้อง?
เขาตอบว่า มันเป็นของเก่า ถ้ามาดูกลางวันจะเห็นฝุ่นจับหนาทีเดียว...ที่นี่ไม่มีใครนอน นอกจากยามที่เฝ้าอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็ไม่ได้นอนในตัวบ้าน
เพราะเหตุใดน่ะหรือ บ้านดีๆ แบบนี้ถึงไม่มีใครอยู่?
คำตอบที่ได้รับจากเขาก็คือ
"บ้านนี้เคยมีการฆ่ากันตายฮะ ขโมยขึ้นบ้าน ลูกสาวเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาพบเข้าพอดีเลยโดนมันปาดคอเอา...คอหอยเกือบขาดแนะ! ใครๆ ก็ลือว่าผีดุ มีคนเคยเห็นหลายคนมาแล้ว"
ผมขนลุกเกรียวกราว นัยน์ตาพร่าพรายไปถนัด กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่เด็กเสิร์ฟเอียงคอมองเหมือนจะรู้เท่าทันอะไรบางอย่าง
"แปลกอย่างนะพี่ เกือบทุกคืนจะมีแขกผู้ชายเห็นผู้หญิงคนนี้ บางคนก็เดินขึ้นบันไดเหมือนไม่รู้ตัว พอลงมาก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คล้ายมีอะไรดึงดูดให้ขึ้นไปก็ไม่รู้ซีฮะ"
ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากไปหมด มองเห็นภาพใบหน้าของหญิงนั้นเต้นเร่าอยู่ในความทรงจำ
"อย่าคิดอะไรมากเลยพี่" เด็กเสิร์ฟปลอบใจ "ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก"
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าขนหัวลุก แต่รุ่งขึ้นผมก็ทำบุญให้เธอ...อดทึ่งไม่ได้ที่ผมได้เจอผีเข้าจริงๆ น่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2550
อากาศเดือนเมษายนที่ผ่านมาร้อนมากๆ คุณจำได้ไหมครับ? ปีนี้มันร้อนจริงๆ แต่คืนนั้น ผมหนาวเยือกไปถึงหัวใจขึ้นมาเฉยๆ เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง...เหตุเกิดในสวนอาหารใจกลางกรุงเทพฯ นี่เอง!
ผมกับเพื่อนๆ จะสังสรรค์กันทุกคืนวันศุกร์หลังเลิกงาน ศุกร์นั้นมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่ามีสวนอาหารสุดเจ๋งแถวรัชดา พวกผมไม่เคยไปเพราะมันเป็นร้านเล็กๆ ไม่สะดุดตานัก
พอไปถึงที่นั่นก็รู้ว่า เป็นบ้านที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหาร มีโต๊ะตั้งทั้งภายในตัวบ้าน และที่สนามด้านหน้า...บ้านนี้มีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้มดีทีเดียว เขาติดไฟตามต้นไม้ มีเปิดเพลง มีสาวเชียร์เบียร์สวยๆ เดินกันไขว่ สาวขายยาชูกำลังก็มี พวกผมแซวเธอเล่นอย่างสนุกสนาน...น่ารักจริงๆ ครับ
ขณะที่กำลังเฮฮา ผมเกิดเงยหน้าขึ้นไปมองตัวบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ!
โต๊ะที่พวกเรานั่งน่ะอยู่ริมรั้ว ห่างจากตัวบ้านราวสิบเมตร ผมจึงมองเห็นบ้านทั้งหลังได้ถนัดตา
ที่ชั้นสองของบ้านนั้นปิดไฟมืด และที่ระเบียงก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งชุดเหมือนชุดนอนไนลอนสีขาวๆ ยืนอยู่ ผมเธอยาวมาก คิดว่าคงเป็นคนสวยน่าดูเชียวละ ถึงจะมืดสลัวๆ ก็ยังเห็นใบหน้ารูปไข่ยาวเรียว รูปร่างบอบบางสมส่วน
อึดใจหนึ่ง ดูท่าเธอจะเห็นว่าผมมองอยู่ ผมรู้สึกว่าเราสบตากัน...
และแล้ว ทันใดนั้นผมก็รู้สึกหนาวยะเยือก!!
เพื่อนนั่งตรงข้ามคงจะเห็นผมทำท่าแปลกๆ และจ้องอยู่ที่ระเบียงชั้นสองของบ้านนั้น เขาเอี้ยวตัวไปมอง แล้วหันกลับมาเลิกคิ้ว ถามว่าผมมองอะไรอยู่น่ะ?
อะไรกัน? คำถามของเพื่อนทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขามองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ผมเองก็ละสายตาจากจุดนั้น...และเมื่อหันไปอีกทีเธอก็หายไปแล้ว
เธอเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับบรรยากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง!
หรือเธออาจอยู่ที่นี่จริงๆ และคิดว่ามันมืด เธอออกมายืนชมวิวอย่างนั้นคงไม่มีใครสนใจ ก็อาจจะเป็นไปได้
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมเริ่มมึนๆ อยากเข้าห้องน้ำที่อยู่ในตัวบ้าน
เมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินออกมา ภายในบ้านก็มืดสลัวพอๆ กับข้างนอก มีโต๊ะตั้งอยู่ไม่กี่ตัว และมีคนนั่งไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่เขาจะนั่งข้างนอกกัน
ไม่รู้อะไรทำให้ผมชะเง้อมองที่บันได...
มันทอดตัวขึ้นไปสู่ความมืด แล้ว...คล้ายกับมีอะไรดึงดูดให้ผมก้าวขึ้นบันได ไม่เห็นมีใครสนใจนี่นา ผมก็เลยเดินขึ้นทีละขั้นๆ
สภาพชั้นบนคล้ายมีคนอาศัยอยู่จริงๆ ไม่ได้ทิ้งร้างอะไร พวกเด็กเสิร์ฟอาจจะนอนที่นี่ก็ได้ ปรากฏว่าห้องทุกห้องเปิดทิ้งไว้ ทำให้เห็นว่าภายในมีที่นอน เป็นฟูกวางกับพื้น...พวกเขาคงรวมกันหลายคน...
ผมมองหาผู้หญิงคนเมื่อกี้!
นั่นไง! เธอนั่งอยู่บนฟูกในห้องหนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวเงียบๆ และหันมาทางผมอย่างเชื่องช้า...ค่อยๆ หันมาจนเห็นเสี้ยวหน้า ตาต่อตาสบกัน...แสงไฟจากด้านนอกส่องให้เห็นดวงตาที่ดำสนิท จมูกโด่ง และปากที่ดำจนเห็นได้ชัดเจน...
ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว ความหนาวจับใจก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง
เธอจ้องผมนิ่งแน่ว มันมีอำนาจแปลกๆ คนธรรมดาไม่เป็นเช่นนี้แน่นอน!
ผมถอยหลังแล้วเดินลงบันได ขาสั่นนิดๆ จนต้องจับราวไว้ เด็กเสิร์ฟคนหนึ่งเห็นเข้าพอดี เขาถามแปลกๆ ว่า...พี่เป็นไรรึเปล่า?
ฟังแล้วออกจะงงๆ ที่จริงเขาน่าจะสงสัยมากกว่า ว่าผมแอบขึ้นไปลักขโมยอะไร แต่ผมฝืนยิ้มทำเป็นพูดติดตลกว่าอยากขึ้นไปดูบ้าน ไม่ได้ขโมยของนะ! เขาหัวเราะแล้วบอกอย่างอารมณ์ดีว่า
"ข้างบนไม่มีอะไรหรอกฮะพี่ ไม่มีใครอยู่..."
พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ชักจะหายเมา ถามเขาว่า...แล้วฟูกที่นอนพวกนั้นล่ะ เห็นมีอยู่ทุกห้อง?
เขาตอบว่า มันเป็นของเก่า ถ้ามาดูกลางวันจะเห็นฝุ่นจับหนาทีเดียว...ที่นี่ไม่มีใครนอน นอกจากยามที่เฝ้าอยู่ข้างหน้า ซึ่งก็ไม่ได้นอนในตัวบ้าน
เพราะเหตุใดน่ะหรือ บ้านดีๆ แบบนี้ถึงไม่มีใครอยู่?
คำตอบที่ได้รับจากเขาก็คือ
"บ้านนี้เคยมีการฆ่ากันตายฮะ ขโมยขึ้นบ้าน ลูกสาวเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาพบเข้าพอดีเลยโดนมันปาดคอเอา...คอหอยเกือบขาดแนะ! ใครๆ ก็ลือว่าผีดุ มีคนเคยเห็นหลายคนมาแล้ว"
ผมขนลุกเกรียวกราว นัยน์ตาพร่าพรายไปถนัด กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่เด็กเสิร์ฟเอียงคอมองเหมือนจะรู้เท่าทันอะไรบางอย่าง
"แปลกอย่างนะพี่ เกือบทุกคืนจะมีแขกผู้ชายเห็นผู้หญิงคนนี้ บางคนก็เดินขึ้นบันไดเหมือนไม่รู้ตัว พอลงมาก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คล้ายมีอะไรดึงดูดให้ขึ้นไปก็ไม่รู้ซีฮะ"
ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากไปหมด มองเห็นภาพใบหน้าของหญิงนั้นเต้นเร่าอยู่ในความทรงจำ
"อย่าคิดอะไรมากเลยพี่" เด็กเสิร์ฟปลอบใจ "ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก"
ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าขนหัวลุก แต่รุ่งขึ้นผมก็ทำบุญให้เธอ...อดทึ่งไม่ได้ที่ผมได้เจอผีเข้าจริงๆ น่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2550
13 สิงหาคม 2558
คืนอำลา
"วิมลวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงพยาบาล
ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แม้ว่าจะชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีนักหนา เพราะสนุกสนานตื่นเต้น ได้ลุ้นระทึกว่าผีจะหลอกยังไง? แบบไหน? มีการใช้สองมือแหกอกตัวเองจนเห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่งหรือเปล่า?
คือฟังแล้วต้องน่ากลัวนะคะ ถึงจะสนุก เมื่อได้ฟังหลายๆ เรื่องเข้ารู้สึกว่าชักจะซ้ำๆ กันจนไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ จนต้องขอร้องคนเล่าว่า ...ขอเละๆ หน่อยนะคะ!
พอโตขึ้นก็ได้อ่านการ์ตูนและเรื่องผีต่างๆ หนังผีก็ชอบดูค่ะ พอๆ กับหนังตลกหรือไม่ก็เป็นหนังบู๊ไปเลย ระหว่างนั้นเราจะเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปด้วย...แต่พอจบแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรา มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้นและน่ากลัวไม่แพ้กับในหนังหรอกค่ะ ทำให้สับสน ฟุ้งซ่าน จนเกิดอาการเครียดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการงาน รวมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนแทบจะประสาทกินไปตามๆ กันอยู่แล้ว
เมื่อไหร่เรื่องเลวร้ายจะคลี่คลาย กลับคืนสู่ความสงบสุขเสียที? ขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องผี หรือกลัวผีอีกล่ะคะ ขอถามหน่อยเถอะค่ะ
แต่แล้วดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอย่างจังๆ ถ้าใครมาเล่าก็คงไม่เชื่อแน่ๆ ดีแต่ว่าเกิดขึ้นกับตัวเองจึงเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า ...คนไม่กลัวผีอย่างเรากลับโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า...นึกถึงแล้วยังขนลุกขนพอง มือเท้าเย็นเหมือนตอนที่โดนหลอกหลอนน่ะซีคะ
สาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ป้าช้อย เป็นพี่สาวของแม่ดิฉัน ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 เศษที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง
ป้าช้อยเป็นสาวโสด อยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ ดิฉันรักป้าช้อยเหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง พอแก่ตัวก็เจ็บออดๆ แอดๆ เดี๋ยวความดันสูง เดี๋ยวโรคหัวใจ เดี๋ยวเบาหวาน...ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
นับวันก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกที!
ดิฉันกับพี่น้องก็ช่วยดูแลอย่างเต็มที่ จนในที่สุดร่างกายของป้าช้อยก็ทนทานต่อไปไม่ไหว...คืนหนึ่ง เราเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มาถึงบ้าน รู้แน่ว่าการเข้ารักษาตัวครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน...โทรศัพท์จาก ร.พ.ก็บอกข่าวว่าป้าช้อยสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
เรา-คือดิฉันกับน้องชายต้องออกมาหาแท็กซี่ ย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างก็ตาม ประตูใหญ่เข้าตึกปิดแล้ว เราต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างแล้วเดินไปชั้น 2 กดลิฟต์ขึ้นชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องรวม มีคนไข้ 10 เตียงใกล้ๆ กับห้องแพทย์และพยาบาลที่ทะลุถึงกันได้
กลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นไอของความตายราวกับจะอวลซ่านอยู่ในห้องนั้น!
ร่างบอบบางของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตาคล้ายจะยุบลงในเบ้า...เราพนมมือไหว้ศพ ขออโหสิกรรม กับหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติในภพหน้า...
ดิฉันรู้สึกแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะคิดว่าทำใจไว้แล้วก็ตาม นึกถึงภาพในอดีตที่ยังจดจำได้แม่นยำ...ต่อไปนี้เราจะไม่มีป้าช้อยอีกแล้ว...
พยาบาลเข้ามาพูดเรื่องมรณบัตร ที่เราจะต้องแจ้งให้เขตทราบภายใน 24 ชั่วโมง กับขออนุญาตผ่าตัดศพพิสูจน์ตามระเบียบ ดิฉันก็เซ็นให้ แล้วถามถึงการรับศพ ได้ความว่าแพทย์จะผ่าตัดตอนเช้า คิดว่าราวบ่ายๆ ก็ติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลได้
ราว 5 ทุ่มเศษ เราก็ลงจากตึกกลับทางเก่า!
ระหว่างนั้นก็ปรึกษากันว่าต้องโทรศัพท์ไปวัดใกล้ๆ บ้านเพื่อจองศาลาสวดศพ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้หรือเปล่า? น้องชายให้ความรู้ว่า ถ้ายังไม่ได้จริงๆ ก็ฝากศพไว้ที่ร.พ.ก่อน...ตอนที่พ่อเพื่อนเสียชีวิตก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว ทางร.พ.มีบริการทั้งโลงศพ ฉีกฟอร์มาลีน รวมทั้งมีรถบรรทุกศพไปส่งที่วัดด้วย
"แต่ทางวัดเขาก็มีบริการแบบนี้เหมือนกัน จะให้ใครจัดการก็อยู่ที่เจ้าภาพจะตัดสินใจเอง"
น้องชายบอก ดิฉันคิดว่าให้ทางร.พ.จัดการทั้งหมดดีกว่า จะถูกจะแพงกว่ากันนิดหน่อยก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าเราทำตอบแทนพระคุณป้าช้อยเป็นครั้งสุดท้าย...
ขณะนั้น เราเดินบนฟุตปาธหน้าตึกที่จะมุ่งไปสู่ประตูใหญ่ เห็นแสงไฟรถแล่นผ่านไปมา อากาศยามดึกเยือกเย็น รอบๆ ตัวเราว่างเปล่าอยู่ในแสงไฟเหลืองรัวน่าใจหาย
เสียงสวดมนต์ดังแว่วมากระทบหูทันใด!
แม้จะอยู่ใกล้วัด แต่พระที่ไหนจะมาสวดมนต์ยามดึกดื่นเกือบสองยามแบบนี้ล่ะคะ? แถมฟังแล้วเหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมหน้าศพอีกต่างหาก! นึกได้ก็ชะงักกึก น้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย พึมพำเสียงเครือไปถนัดว่า...พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้? หรือว่า....
เสียงของเขาขาดหายไป ดิฉันหันมองก็เห็นน้องเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง ครั้นมองตามสายตานั้นไปดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอย แล่นซ่าลงไปตามไขสันหลัง เมื่อเห็นร่างของคนไข้กลุ่มหนึ่งราว 3 คนกำลังเดินช้าๆอยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
คุณพระช่วย! ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน ดิฉันเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่า เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นถนนราวคืบเศษ...ทันใด คนกลางก็ดูผอมสูงกว่าเพื่อนก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเราอย่างเชื่องช้า
"ป้าช้อย..." เสียงครางดังมาจากน้องชาย ดิฉันเองรู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายจะเป็นลมไปในบัดดล...
ป้าช้อยจริงๆ ค่ะ ที่หันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา...ก่อนที่ร่างทั้ง 3 จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น หนาวสะท้านจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2550
ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แม้ว่าจะชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีนักหนา เพราะสนุกสนานตื่นเต้น ได้ลุ้นระทึกว่าผีจะหลอกยังไง? แบบไหน? มีการใช้สองมือแหกอกตัวเองจนเห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่งหรือเปล่า?
คือฟังแล้วต้องน่ากลัวนะคะ ถึงจะสนุก เมื่อได้ฟังหลายๆ เรื่องเข้ารู้สึกว่าชักจะซ้ำๆ กันจนไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ จนต้องขอร้องคนเล่าว่า ...ขอเละๆ หน่อยนะคะ!
พอโตขึ้นก็ได้อ่านการ์ตูนและเรื่องผีต่างๆ หนังผีก็ชอบดูค่ะ พอๆ กับหนังตลกหรือไม่ก็เป็นหนังบู๊ไปเลย ระหว่างนั้นเราจะเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปด้วย...แต่พอจบแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรา มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้นและน่ากลัวไม่แพ้กับในหนังหรอกค่ะ ทำให้สับสน ฟุ้งซ่าน จนเกิดอาการเครียดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการงาน รวมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนแทบจะประสาทกินไปตามๆ กันอยู่แล้ว
เมื่อไหร่เรื่องเลวร้ายจะคลี่คลาย กลับคืนสู่ความสงบสุขเสียที? ขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องผี หรือกลัวผีอีกล่ะคะ ขอถามหน่อยเถอะค่ะ
แต่แล้วดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอย่างจังๆ ถ้าใครมาเล่าก็คงไม่เชื่อแน่ๆ ดีแต่ว่าเกิดขึ้นกับตัวเองจึงเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า ...คนไม่กลัวผีอย่างเรากลับโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า...นึกถึงแล้วยังขนลุกขนพอง มือเท้าเย็นเหมือนตอนที่โดนหลอกหลอนน่ะซีคะ
สาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ป้าช้อย เป็นพี่สาวของแม่ดิฉัน ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 เศษที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง
ป้าช้อยเป็นสาวโสด อยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ ดิฉันรักป้าช้อยเหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง พอแก่ตัวก็เจ็บออดๆ แอดๆ เดี๋ยวความดันสูง เดี๋ยวโรคหัวใจ เดี๋ยวเบาหวาน...ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
นับวันก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกที!
ดิฉันกับพี่น้องก็ช่วยดูแลอย่างเต็มที่ จนในที่สุดร่างกายของป้าช้อยก็ทนทานต่อไปไม่ไหว...คืนหนึ่ง เราเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มาถึงบ้าน รู้แน่ว่าการเข้ารักษาตัวครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน...โทรศัพท์จาก ร.พ.ก็บอกข่าวว่าป้าช้อยสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
เรา-คือดิฉันกับน้องชายต้องออกมาหาแท็กซี่ ย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างก็ตาม ประตูใหญ่เข้าตึกปิดแล้ว เราต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างแล้วเดินไปชั้น 2 กดลิฟต์ขึ้นชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องรวม มีคนไข้ 10 เตียงใกล้ๆ กับห้องแพทย์และพยาบาลที่ทะลุถึงกันได้
กลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นไอของความตายราวกับจะอวลซ่านอยู่ในห้องนั้น!
ร่างบอบบางของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตาคล้ายจะยุบลงในเบ้า...เราพนมมือไหว้ศพ ขออโหสิกรรม กับหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติในภพหน้า...
ดิฉันรู้สึกแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะคิดว่าทำใจไว้แล้วก็ตาม นึกถึงภาพในอดีตที่ยังจดจำได้แม่นยำ...ต่อไปนี้เราจะไม่มีป้าช้อยอีกแล้ว...
พยาบาลเข้ามาพูดเรื่องมรณบัตร ที่เราจะต้องแจ้งให้เขตทราบภายใน 24 ชั่วโมง กับขออนุญาตผ่าตัดศพพิสูจน์ตามระเบียบ ดิฉันก็เซ็นให้ แล้วถามถึงการรับศพ ได้ความว่าแพทย์จะผ่าตัดตอนเช้า คิดว่าราวบ่ายๆ ก็ติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลได้
ราว 5 ทุ่มเศษ เราก็ลงจากตึกกลับทางเก่า!
ระหว่างนั้นก็ปรึกษากันว่าต้องโทรศัพท์ไปวัดใกล้ๆ บ้านเพื่อจองศาลาสวดศพ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้หรือเปล่า? น้องชายให้ความรู้ว่า ถ้ายังไม่ได้จริงๆ ก็ฝากศพไว้ที่ร.พ.ก่อน...ตอนที่พ่อเพื่อนเสียชีวิตก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว ทางร.พ.มีบริการทั้งโลงศพ ฉีกฟอร์มาลีน รวมทั้งมีรถบรรทุกศพไปส่งที่วัดด้วย
"แต่ทางวัดเขาก็มีบริการแบบนี้เหมือนกัน จะให้ใครจัดการก็อยู่ที่เจ้าภาพจะตัดสินใจเอง"
น้องชายบอก ดิฉันคิดว่าให้ทางร.พ.จัดการทั้งหมดดีกว่า จะถูกจะแพงกว่ากันนิดหน่อยก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าเราทำตอบแทนพระคุณป้าช้อยเป็นครั้งสุดท้าย...
ขณะนั้น เราเดินบนฟุตปาธหน้าตึกที่จะมุ่งไปสู่ประตูใหญ่ เห็นแสงไฟรถแล่นผ่านไปมา อากาศยามดึกเยือกเย็น รอบๆ ตัวเราว่างเปล่าอยู่ในแสงไฟเหลืองรัวน่าใจหาย
เสียงสวดมนต์ดังแว่วมากระทบหูทันใด!
แม้จะอยู่ใกล้วัด แต่พระที่ไหนจะมาสวดมนต์ยามดึกดื่นเกือบสองยามแบบนี้ล่ะคะ? แถมฟังแล้วเหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมหน้าศพอีกต่างหาก! นึกได้ก็ชะงักกึก น้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย พึมพำเสียงเครือไปถนัดว่า...พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้? หรือว่า....
เสียงของเขาขาดหายไป ดิฉันหันมองก็เห็นน้องเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง ครั้นมองตามสายตานั้นไปดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอย แล่นซ่าลงไปตามไขสันหลัง เมื่อเห็นร่างของคนไข้กลุ่มหนึ่งราว 3 คนกำลังเดินช้าๆอยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
คุณพระช่วย! ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน ดิฉันเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่า เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นถนนราวคืบเศษ...ทันใด คนกลางก็ดูผอมสูงกว่าเพื่อนก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเราอย่างเชื่องช้า
"ป้าช้อย..." เสียงครางดังมาจากน้องชาย ดิฉันเองรู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายจะเป็นลมไปในบัดดล...
ป้าช้อยจริงๆ ค่ะ ที่หันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา...ก่อนที่ร่างทั้ง 3 จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น หนาวสะท้านจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2550
10 สิงหาคม 2558
เหตุเกิดเพราะไม่เชื่อ
"นนทิยา" เล่าถึงสาวใช้หัวดื้อที่เจอดีเข้าเต็มๆ
ปานเป็นสาวชาวโคราช มาทำงานเป็นคนรับใช้บ้านเราตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆ จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปตั้งสามสิบห้าแล้ว เรียกว่าอยู่กันมานานมากจนรู้ใจกันไปหมดทุกอย่าง เธอทำงานดีจริงๆ ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มากด้วยเสียอย่างเดียวที่เป็นคนเถรตรงเกินไป ทำให้บางทีจะพูดจะจาอะไรก็ไม่ค่อยเข้าหูคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณป้าของดิฉัน
คุณป้าวนิดาคนนี้ก็เหลือเกินละ ท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณแม่ ครองตัวเป็นโสดอยู่จนวัยชราแปดสิบสี่แล้ว ท่านเป็นคนระเบียบจัด เคร่งครัด และออกจะหัวเก่าเอามากๆ
ลูกๆ ของดิฉันเข้าหน้าไม่ติดเพราะมักจะถูกบ่นว่าอยู่เสมอ ดิฉันก็พลอยโดนดุไปด้วยว่าเลี้ยงลูกตามใจเกินไป
ปานกับคุณป้าดาไม่ถูกกันอย่างแรง ดิฉันซึ่งเป็นคนกลางต้องอึดอัดลำบากใจมาตลอด ปานทำกับข้าว ป้าดาบอกว่าไม่อร่อย ปานก็จะทิ้งสำรับไว้อย่างนั้น ไม่เก็บและไม่ถามด้วยว่าคุณป้าจะกินอย่างอื่นแทนหรือไม่ ดิฉันต้องรับหน้าที่หาอย่างอื่นมาให้คุณป้าเอง ทั้งคุณป้าก็จะงอนไปนาน เรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน คุณป้าจะตำหนิว่าปานรีดชุ่ยๆ ฝ่ายปานจะสะบัดหน้าพรึ่ดและไม่ไยดีเก็บเสื้อผ้าของคุณป้ามาซักรีดไปหลายวันจนกว่าจะหายโกรธ
แน่ละค่ะ! ปานทำไม่เหมาะสมดิฉันต้องว่ากล่าวตักเตือน บางครั้งก็ถึงกับต้องให้ไปกราบขอโทษคุณป้า ปานยอมทำตามที่ดิฉันสั่ง แต่แววตาเธอโกรธแค้นถึงขั้นอาฆาตเชียวละ
เมื่อป้าดาล้มป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบ ปานดูจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะคุณป้าอาการหนักต้องไปอยู่โรงพยาบาล และในที่สุดท่านก็ไม่ได้กลับบ้าน
ก่อนเสียชีวิต คุณป้าซึ่งดูเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้าย ได้สั่งเสียเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเสื้อผ้าของท่าน พวกผ้าลูกไม้และผ้าไหม ท่านรักและทะนุถนอมของท่านมาก ท่านสั่งให้บริจาคหรือตัวไหนที่ใครชอบก็ให้เขาไป
วันหนึ่ง ก่อนวันเผาคุณป้า ดิฉันต้องตกใจเมื่อได้กลิ่นควันไฟตลบอบอวล พอชะโงกดูทางหน้าต่างก็เห็นปานกำลังเผาขยะซึ่งเป็นพวกใบไม้แห้ง ทุกทีที่เผาใบไม้กลิ่นมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยดีจนต้องลุกไปดู
นั่งไง! ดิฉันแทบเป็นลม เมื่อเห็นปานกำลังเผาเสื้อผ้าของคุณป้าไปกับขยะใบไม้แห้งพวกนั้นด้วย เธอหยิบตัวแล้วตัวเล่าหย่อนลงในกองไฟ
ดิฉันต่อว่าปานอย่างแรงเพราะโกรธมากจริงๆ ปานหัวเราะแค้นๆ บอกว่าเสื้อผ้าคนตายไม่มีใครเขาอยากได้หรอก เผาเสียได้แหละดี นึกซะว่าเผาไปให้คุณป้าใช้ในเมืองผีแล้วกัน!
นอกจากจะโกรธแล้วดิฉันยังใจหายที่ปานกล้าดีพูดออกมาได้ถึงขนาดนั้น
คืนนั้นหมาหอนทั้งคืนเลยค่ะ หอนแบบไม่เคยเป็นมาก่อนพอรุ่งเช้า แม่คนเก่งก็หน้าซีดหน้าเซียวเหมือนไม่ได้หลับได้นอน
"โอ๊ย! คุณคะไม่ไหว คุณป้ามาเดินรอบเตียงตั้งแต่ดึกยันเช้าเลย"
"รู้ได้ยังไงละว่าเป็นคุณป้า?"
"แหม! จะใครซะอีกละคะ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรน่ากลัวอย่างนี้มาก่อน คืนนี้ขอเข้ามานอนกับจุ๋งในห้องรับแขกนะคะ" ปานพูดถึงเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งของดิฉัน
ปานเล่าว่าตอนหมาหอนน่ะไม่ได้คิดอะไรมาก หอนได้ก็หอนไป เรื่องผีน่ะปานไม่กลัวอยู่แล้ว อย่างเก่งก็แค่มาให้เห็น ทำอะไรไม่ได้หรอก
แต่เอาเข้าจริง มันไม่ใช่แบบนั้นซิคะ!
เมื่อปานดับไฟนอน เธอก็รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องท่ามกลางความมืด ทั้งๆ ที่ในห้องนี้เธอนอนคนเดียว พอเปิดไฟดูก็ไม่มีอะไร เลยดับไฟแล้วล้มตัวนอน เท่านั้นแหละก็มีเสียงคนเดินสวบสาบๆ รอบๆ เตียง ปานลืมตาฟังอยู่เงียบๆ ใจสั่นหน่อยๆ แล้ว มันไม่ใช่เสียงกระดานลั่นแน่ๆ
อึดใจต่อมา ไม่รู้ว่ายังตื่นอยู่หรือเคลิ้มฝันไปเพราะเหมือนจริงมาก ปานเห็นคุณป้าเดินวนรอบเตียง ท่านมาในสภาพศพที่มีสำลีอุดรูจมูกทั้งสองข้าง ดวงตาลืมโพลง ดำปี๋ แม้ทั้งห้องจะมืดมิด แต่ปานเห็นผีคุณป้าได้อย่างชัดเจน
ท่านอุ้มกองเสื้อผ้าไว้แนบอก ขณะเดินก็หยิบเสื้อและผ้าถุงโยนใส่หน้าปานทีละชิ้นๆ มันเหม็นน้ำเหลืองน้ำหนองคลุ้งไปหมด ปานขยับตัวไม่ได้ จนได้ยินเสียงจุ๋งเดินออกจากห้องข้างๆ มาเข้าห้องน้ำ ซึ่งนั่นก็คือตอนตีห้าที่ได้เวลาตื่นพอดี
ปานเข็ดค่ะ เธอขอขมาคุณป้าและซึมอยู่นาน หมดมาดคนเก่งเลย!
ปานเป็นสาวชาวโคราช มาทำงานเป็นคนรับใช้บ้านเราตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าๆ จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปตั้งสามสิบห้าแล้ว เรียกว่าอยู่กันมานานมากจนรู้ใจกันไปหมดทุกอย่าง เธอทำงานดีจริงๆ ขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มากด้วยเสียอย่างเดียวที่เป็นคนเถรตรงเกินไป ทำให้บางทีจะพูดจะจาอะไรก็ไม่ค่อยเข้าหูคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณป้าของดิฉัน
คุณป้าวนิดาคนนี้ก็เหลือเกินละ ท่านเป็นพี่สาวแท้ๆ ของคุณแม่ ครองตัวเป็นโสดอยู่จนวัยชราแปดสิบสี่แล้ว ท่านเป็นคนระเบียบจัด เคร่งครัด และออกจะหัวเก่าเอามากๆ
ลูกๆ ของดิฉันเข้าหน้าไม่ติดเพราะมักจะถูกบ่นว่าอยู่เสมอ ดิฉันก็พลอยโดนดุไปด้วยว่าเลี้ยงลูกตามใจเกินไป
ปานกับคุณป้าดาไม่ถูกกันอย่างแรง ดิฉันซึ่งเป็นคนกลางต้องอึดอัดลำบากใจมาตลอด ปานทำกับข้าว ป้าดาบอกว่าไม่อร่อย ปานก็จะทิ้งสำรับไว้อย่างนั้น ไม่เก็บและไม่ถามด้วยว่าคุณป้าจะกินอย่างอื่นแทนหรือไม่ ดิฉันต้องรับหน้าที่หาอย่างอื่นมาให้คุณป้าเอง ทั้งคุณป้าก็จะงอนไปนาน เรื่องเสื้อผ้าก็เหมือนกัน คุณป้าจะตำหนิว่าปานรีดชุ่ยๆ ฝ่ายปานจะสะบัดหน้าพรึ่ดและไม่ไยดีเก็บเสื้อผ้าของคุณป้ามาซักรีดไปหลายวันจนกว่าจะหายโกรธ
แน่ละค่ะ! ปานทำไม่เหมาะสมดิฉันต้องว่ากล่าวตักเตือน บางครั้งก็ถึงกับต้องให้ไปกราบขอโทษคุณป้า ปานยอมทำตามที่ดิฉันสั่ง แต่แววตาเธอโกรธแค้นถึงขั้นอาฆาตเชียวละ
เมื่อป้าดาล้มป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบ ปานดูจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะคุณป้าอาการหนักต้องไปอยู่โรงพยาบาล และในที่สุดท่านก็ไม่ได้กลับบ้าน
ก่อนเสียชีวิต คุณป้าซึ่งดูเหมือนจะรู้ตัวว่าถึงวาระสุดท้าย ได้สั่งเสียเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเสื้อผ้าของท่าน พวกผ้าลูกไม้และผ้าไหม ท่านรักและทะนุถนอมของท่านมาก ท่านสั่งให้บริจาคหรือตัวไหนที่ใครชอบก็ให้เขาไป
วันหนึ่ง ก่อนวันเผาคุณป้า ดิฉันต้องตกใจเมื่อได้กลิ่นควันไฟตลบอบอวล พอชะโงกดูทางหน้าต่างก็เห็นปานกำลังเผาขยะซึ่งเป็นพวกใบไม้แห้ง ทุกทีที่เผาใบไม้กลิ่นมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา ดิฉันรู้สึกไม่ค่อยดีจนต้องลุกไปดู
นั่งไง! ดิฉันแทบเป็นลม เมื่อเห็นปานกำลังเผาเสื้อผ้าของคุณป้าไปกับขยะใบไม้แห้งพวกนั้นด้วย เธอหยิบตัวแล้วตัวเล่าหย่อนลงในกองไฟ
ดิฉันต่อว่าปานอย่างแรงเพราะโกรธมากจริงๆ ปานหัวเราะแค้นๆ บอกว่าเสื้อผ้าคนตายไม่มีใครเขาอยากได้หรอก เผาเสียได้แหละดี นึกซะว่าเผาไปให้คุณป้าใช้ในเมืองผีแล้วกัน!
นอกจากจะโกรธแล้วดิฉันยังใจหายที่ปานกล้าดีพูดออกมาได้ถึงขนาดนั้น
คืนนั้นหมาหอนทั้งคืนเลยค่ะ หอนแบบไม่เคยเป็นมาก่อนพอรุ่งเช้า แม่คนเก่งก็หน้าซีดหน้าเซียวเหมือนไม่ได้หลับได้นอน
"โอ๊ย! คุณคะไม่ไหว คุณป้ามาเดินรอบเตียงตั้งแต่ดึกยันเช้าเลย"
"รู้ได้ยังไงละว่าเป็นคุณป้า?"
"แหม! จะใครซะอีกละคะ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นอะไรน่ากลัวอย่างนี้มาก่อน คืนนี้ขอเข้ามานอนกับจุ๋งในห้องรับแขกนะคะ" ปานพูดถึงเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งของดิฉัน
ปานเล่าว่าตอนหมาหอนน่ะไม่ได้คิดอะไรมาก หอนได้ก็หอนไป เรื่องผีน่ะปานไม่กลัวอยู่แล้ว อย่างเก่งก็แค่มาให้เห็น ทำอะไรไม่ได้หรอก
แต่เอาเข้าจริง มันไม่ใช่แบบนั้นซิคะ!
เมื่อปานดับไฟนอน เธอก็รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องท่ามกลางความมืด ทั้งๆ ที่ในห้องนี้เธอนอนคนเดียว พอเปิดไฟดูก็ไม่มีอะไร เลยดับไฟแล้วล้มตัวนอน เท่านั้นแหละก็มีเสียงคนเดินสวบสาบๆ รอบๆ เตียง ปานลืมตาฟังอยู่เงียบๆ ใจสั่นหน่อยๆ แล้ว มันไม่ใช่เสียงกระดานลั่นแน่ๆ
อึดใจต่อมา ไม่รู้ว่ายังตื่นอยู่หรือเคลิ้มฝันไปเพราะเหมือนจริงมาก ปานเห็นคุณป้าเดินวนรอบเตียง ท่านมาในสภาพศพที่มีสำลีอุดรูจมูกทั้งสองข้าง ดวงตาลืมโพลง ดำปี๋ แม้ทั้งห้องจะมืดมิด แต่ปานเห็นผีคุณป้าได้อย่างชัดเจน
ท่านอุ้มกองเสื้อผ้าไว้แนบอก ขณะเดินก็หยิบเสื้อและผ้าถุงโยนใส่หน้าปานทีละชิ้นๆ มันเหม็นน้ำเหลืองน้ำหนองคลุ้งไปหมด ปานขยับตัวไม่ได้ จนได้ยินเสียงจุ๋งเดินออกจากห้องข้างๆ มาเข้าห้องน้ำ ซึ่งนั่นก็คือตอนตีห้าที่ได้เวลาตื่นพอดี
ปานเข็ดค่ะ เธอขอขมาคุณป้าและซึมอยู่นาน หมดมาดคนเก่งเลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม 2550
09 สิงหาคม 2558
วิญญาณเรียกหา
"อภันตรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมชายทะเล
คุณสายสมรเพื่อนรักวัยเดียวกับดิฉัน เกิดไอเดียกระฉูดเหมือนยังเป็นสาวๆ เมื่อ 30-40 ปี คือเธอบอกว่าในเดือนกรกฎาคม ที่วงการท่องเที่ยวเขาเรียก "โลว์ซีซั่น" คนไม่นิยมไปไหนกัน ราคาตั๋วก็ย่อมถูกเป็นธรรมดา เราควรใช้โอกาสนี้อย่างรอบคอบ โดยไม่ต้องรอบจัดก็ได้..ไปเที่ยวกันดีกว่า!
เมื่อถามว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี นอกหรือในประเทศไทย คุณสายสมรผู้เคยเอวบางร่างน้อยในอดีต (อันไกลโพ้น) ก็แจ้วๆ มาทางโทรศัพท์ว่า ขอไปเที่ยวในเมืองไทยใกล้ๆ แค่ 2-3 วันก็พอแล้ว สาเหตุสำคัญคือห่วงหลานสาววัย 4-5 ขวบ กำลังช่างพูดเป็นต่อยหอย..ความจริงน่ะ "ติดหลาน" ค่ะ แต่ชอบบอกใครๆ ว่า "หลานติด" เฉยเลย
ระยอง คือจุดหมายปลายทาง!
พูดถึงระยองก็คิดถึงสมัยยังซุกซน เข้าก๊วนเพื่อนๆ ก็กิ๊วก๊าวกันเหมือนนกกระจอกเข้ารัง ทั้งเล่นทั้งคุย (แย่งกัน) จนถึงท้าทายกันว่าใครจะพูดได้เร็วที่สุด คำว่า "ระนอง, ระยอง, ยะลา" แย่งกันพ่น แย่งกันแพ้ เพราะลิ้นมันแย่งกันพันจนพูดไม่เป็นภาษาทุกคนเลยแหละค่ะ
คุณสายสมรเธอชวนเที่ยวหัวเมืองตะวันออก ดิฉันไม่ได้โผล่ไปตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ได้ฟังเธอจาระไนแล้วเห็นภาพทันที
"สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ เป็นสวนสมุนไพรแห่งแรกของเมืองไทยที่สวยที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุด ใช้เวลาสร้างกว่า 20 ปี ภายใต้แนวคิด สวนแห่งการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์..พลาดไม่ได้เด็ดขาด"
นอกจากนั้นยังมีวัดป่าประดู่ ไปดูของดี "พระนอนตะแคงซ้าย" องค์ใหญ่ที่สุดเคยเห็นไหมเล่า? ตกค่ำก็นอนโฮเต็ลชั้นหนึ่งชายทะเล แถมมีหาดส่วนตัวแสนสวยอีกต่างหาก บรรยากาศโรแมนติกที่สุด หนุ่มสาวชอบไปฮันนีมูนกันมากเลย
ฟังแล้วน่าสนุกจนตกลงใจไปเที่ยวด้วยทันที..
เรื่องราวมากลับตาลปัตรตรงที่ไปถึงจุดนัดพบในเกษตรตอน 06.00 น. นอกจากจะไม่พบคุณสมสวาทแล้วยังได้รับโทรศัพท์จากเธอว่า หกล้มในห้องน้ำ ข้อเท้าแพลง ปวดมากขึ้นจนลูกชายต้องขับรถไปส่งโรงพยาบาล อาการไม่หนักหนาหรอก นอนพักราว 3-4 วันก็ลุกเดินได้แล้ว
"ขอโทษจริงๆ จ้ะ วานเธอช่วยเที่ยวเผื่อด้วยนะ..คืนนี้นอนคนเดียวไม่ต้องกลัวฉันจะถอดจิตไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ฮิๆๆ อูย.."
คุณสมสวาทไม่วายมีอารมณ์ขัน แม้จะร่องแร่งอยู่โรงพยาบาล ดิฉันตัดสินใจว่า..ตกกระไดพลอยกระโดดแล้วกัน นอนคนเดียวก็ไม่แปลกอะไร..จะโดนผีหลอกก็ให้รู้ไป!
..นั่งรถทัวร์ 2 ชั้นปรับอากาศ ดูวิวสวยๆ แปลกตาดีจนถึงสวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ ในเนื้อที่ 60 ไร่ ตกแต่งได้สวยงามเหลือเชื่อ มีพันธุ์ไม้กว่า 260 ชนิด กว่า 20,000 ต้น นั่งรถ NGV ชมสวนได้สบายๆ ด้วยล่ะค่ะ
ราว 15.00 น. ถึงโรงแรม..บีชแอนด์สปา ได้พักผ่อนร่างกายคนแก่ที่ต้องตื่นมาแต่ก่อนไก่โห่ซะที!
พอก้าวเข้าห้องก็เย็นวูบ! ตอนแรกนึกว่าเย็นเพราะแอร์ แต่ไม่น่าใช่นะเนื่องจากเราต้องเสียบกุญแจเข้าช่องเพื่อเปิดไฟเสียก่อน..แต่ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะอากาศในฤดูฝนก็ได้ หมู่นี้ฝนตกหนักบ่อยๆ ไม่ว่าในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด
โห..ห้องเขาสวยมากจริงๆ ค่ะ เตียงกว้างขวางน่าเกลือกกลิ้ง มีทั้งชุดโซฟา โต๊ะทำงาน โต๊ะอาหาร..ต่อให้มาอยู่กันซัก 5-6 คนก็มีที่นอน ไม่ต้องลงพื้นห้อง
อาบน้ำเสร็จก็ตั้งใจจะงีบเอาแรง แต่กลับไม่หลับ จะเปิดทีวีดูก็อย่าเลย..เรามาพักผ่อนนี่นา ขอทิ้งความยุ่งเหยิงวุ่นวายของบ้านเมืองไว้ก่อน..เดินไปเปิดม่านหนาๆ ออกก็เห็นทะเลสวยๆ เต็มตา ต้องเลื่อนประตูกระจกออกไปเกาะลูกกรงมองให้เต็มอิ่ม
แหม..นัดตั้ง 18.30 น. จะทำอะไรดีล่ะ ถ้าไม่นอนพักผ่อนน่ะ?
"ฮะแอ้ม!" เสียงกระแอมจากข้างหลังเล่นเอาสะดุ้งโหยง หันขวับ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย..ดีนะที่ดิฉันไม่ประสาทอ่อน ไม่งั้นคงจะเผ่นจากห้องแล้วล่ะค่ะ..เสียงที่ได้ยินถนัดหูน่ะเป็นเสียงคนกระแอมชัดๆ
ปิดม่าน กลับขึ้นไปนอนริมเตียงด้านโคมไฟและโทรศัพท์ ในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้..หลับตา..คิดอะไรไปร้อยแปด ฟุ้งซ่านน่าดู..
คิดถึงเรื่องผีหลอกในโรงแรมที่เคยได้ยินมานับไม่ถ้วน!
ที่เชียงใหม่น่ะมีโรงแรมเก่าๆ ที่ลือกันว่าผีดุนัก ดุขนาดออกมาวิ่งโครมๆ รอบห้องให้ดูซึ่งๆ หน้า ที่เพชรบูรณ์ก็มีข่าวว่าลิฟต์จะไปหยุดที่ชั้น 5 ประตูเปิดผางไปเจอห้องที่เขาเอาไม้ปิดตายไว้..คิดดูเถอะว่าผีดุขนาดไหน?
ว่าแต่ผีพวกนั้นตายในโรงแรมใช่ไหม? ตายเองเพราะหมดอายุขัย หรือฆ่าตัวตายเพราะหมดกำลังจะยืนหยัดอีกต่อไป และหรือว่าถูกใครเขาเข่นฆ่าเพราะความหึงหวง หักหลังกัน หรือต้องการทรัพย์สินของผู้ตาย?
วิญญาณจ้องจะหลอกหลอนผู้คน ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที?
ว่าแต่จะหลอกแบบไหน? ส่งกลิ่นเหม็นเน่า, ทำเสียงกุกกัก, สะอึกสะอื้นคร่ำครวญน่าขนหัวลุก หรือปรากฏกายมาให้เห็นดื้อๆ ในสภาพคนปกติ หรือเละเทะน่าสยดสยองสุดขีด..อย่างไรกันแน่?
ถ้าเรานอนอยู่ดีๆ แล้วมีผีเดินโย่งเย่งออกมาจากห้องน้ำ เรามองดูนิ่งๆ ผีจะทำยังไงต่อไปนะ? ถ้าเราเปิดไฟเพื่อมองให้ชัดๆ ผีจะตกใจ หรืออับอายไหม? จะหนีหรือว่ายังอยู่?
ดิฉันถอนใจยาว..ดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า สรรพสิ่งเงียบสงัดจนน่าใจหาย แต่ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น..ลุกขึ้นเปิดไฟแต่งตัวตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็น..ห้องนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหดหู่ หมองหม่น จนกระทั่งนึกถึงความตายมากที่สุด..
ถ้าดิฉันตายในห้องนี้จริงๆ ไม่ว่าหัวใจวายหรือฆ่าตัวตาย ดิฉันตั้งใจจะไม่หลอกหลอนใครเด็ดขาดเลยค่ะ..สาบาน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2550
คุณสายสมรเพื่อนรักวัยเดียวกับดิฉัน เกิดไอเดียกระฉูดเหมือนยังเป็นสาวๆ เมื่อ 30-40 ปี คือเธอบอกว่าในเดือนกรกฎาคม ที่วงการท่องเที่ยวเขาเรียก "โลว์ซีซั่น" คนไม่นิยมไปไหนกัน ราคาตั๋วก็ย่อมถูกเป็นธรรมดา เราควรใช้โอกาสนี้อย่างรอบคอบ โดยไม่ต้องรอบจัดก็ได้..ไปเที่ยวกันดีกว่า!
เมื่อถามว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี นอกหรือในประเทศไทย คุณสายสมรผู้เคยเอวบางร่างน้อยในอดีต (อันไกลโพ้น) ก็แจ้วๆ มาทางโทรศัพท์ว่า ขอไปเที่ยวในเมืองไทยใกล้ๆ แค่ 2-3 วันก็พอแล้ว สาเหตุสำคัญคือห่วงหลานสาววัย 4-5 ขวบ กำลังช่างพูดเป็นต่อยหอย..ความจริงน่ะ "ติดหลาน" ค่ะ แต่ชอบบอกใครๆ ว่า "หลานติด" เฉยเลย
ระยอง คือจุดหมายปลายทาง!
พูดถึงระยองก็คิดถึงสมัยยังซุกซน เข้าก๊วนเพื่อนๆ ก็กิ๊วก๊าวกันเหมือนนกกระจอกเข้ารัง ทั้งเล่นทั้งคุย (แย่งกัน) จนถึงท้าทายกันว่าใครจะพูดได้เร็วที่สุด คำว่า "ระนอง, ระยอง, ยะลา" แย่งกันพ่น แย่งกันแพ้ เพราะลิ้นมันแย่งกันพันจนพูดไม่เป็นภาษาทุกคนเลยแหละค่ะ
คุณสายสมรเธอชวนเที่ยวหัวเมืองตะวันออก ดิฉันไม่ได้โผล่ไปตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว ได้ฟังเธอจาระไนแล้วเห็นภาพทันที
"สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ เป็นสวนสมุนไพรแห่งแรกของเมืองไทยที่สวยที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุด ใช้เวลาสร้างกว่า 20 ปี ภายใต้แนวคิด สวนแห่งการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์..พลาดไม่ได้เด็ดขาด"
นอกจากนั้นยังมีวัดป่าประดู่ ไปดูของดี "พระนอนตะแคงซ้าย" องค์ใหญ่ที่สุดเคยเห็นไหมเล่า? ตกค่ำก็นอนโฮเต็ลชั้นหนึ่งชายทะเล แถมมีหาดส่วนตัวแสนสวยอีกต่างหาก บรรยากาศโรแมนติกที่สุด หนุ่มสาวชอบไปฮันนีมูนกันมากเลย
ฟังแล้วน่าสนุกจนตกลงใจไปเที่ยวด้วยทันที..
เรื่องราวมากลับตาลปัตรตรงที่ไปถึงจุดนัดพบในเกษตรตอน 06.00 น. นอกจากจะไม่พบคุณสมสวาทแล้วยังได้รับโทรศัพท์จากเธอว่า หกล้มในห้องน้ำ ข้อเท้าแพลง ปวดมากขึ้นจนลูกชายต้องขับรถไปส่งโรงพยาบาล อาการไม่หนักหนาหรอก นอนพักราว 3-4 วันก็ลุกเดินได้แล้ว
"ขอโทษจริงๆ จ้ะ วานเธอช่วยเที่ยวเผื่อด้วยนะ..คืนนี้นอนคนเดียวไม่ต้องกลัวฉันจะถอดจิตไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ฮิๆๆ อูย.."
คุณสมสวาทไม่วายมีอารมณ์ขัน แม้จะร่องแร่งอยู่โรงพยาบาล ดิฉันตัดสินใจว่า..ตกกระไดพลอยกระโดดแล้วกัน นอนคนเดียวก็ไม่แปลกอะไร..จะโดนผีหลอกก็ให้รู้ไป!
..นั่งรถทัวร์ 2 ชั้นปรับอากาศ ดูวิวสวยๆ แปลกตาดีจนถึงสวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ ในเนื้อที่ 60 ไร่ ตกแต่งได้สวยงามเหลือเชื่อ มีพันธุ์ไม้กว่า 260 ชนิด กว่า 20,000 ต้น นั่งรถ NGV ชมสวนได้สบายๆ ด้วยล่ะค่ะ
ราว 15.00 น. ถึงโรงแรม..บีชแอนด์สปา ได้พักผ่อนร่างกายคนแก่ที่ต้องตื่นมาแต่ก่อนไก่โห่ซะที!
พอก้าวเข้าห้องก็เย็นวูบ! ตอนแรกนึกว่าเย็นเพราะแอร์ แต่ไม่น่าใช่นะเนื่องจากเราต้องเสียบกุญแจเข้าช่องเพื่อเปิดไฟเสียก่อน..แต่ช่างเถอะ อาจเป็นเพราะอากาศในฤดูฝนก็ได้ หมู่นี้ฝนตกหนักบ่อยๆ ไม่ว่าในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด
โห..ห้องเขาสวยมากจริงๆ ค่ะ เตียงกว้างขวางน่าเกลือกกลิ้ง มีทั้งชุดโซฟา โต๊ะทำงาน โต๊ะอาหาร..ต่อให้มาอยู่กันซัก 5-6 คนก็มีที่นอน ไม่ต้องลงพื้นห้อง
อาบน้ำเสร็จก็ตั้งใจจะงีบเอาแรง แต่กลับไม่หลับ จะเปิดทีวีดูก็อย่าเลย..เรามาพักผ่อนนี่นา ขอทิ้งความยุ่งเหยิงวุ่นวายของบ้านเมืองไว้ก่อน..เดินไปเปิดม่านหนาๆ ออกก็เห็นทะเลสวยๆ เต็มตา ต้องเลื่อนประตูกระจกออกไปเกาะลูกกรงมองให้เต็มอิ่ม
แหม..นัดตั้ง 18.30 น. จะทำอะไรดีล่ะ ถ้าไม่นอนพักผ่อนน่ะ?
"ฮะแอ้ม!" เสียงกระแอมจากข้างหลังเล่นเอาสะดุ้งโหยง หันขวับ แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย..ดีนะที่ดิฉันไม่ประสาทอ่อน ไม่งั้นคงจะเผ่นจากห้องแล้วล่ะค่ะ..เสียงที่ได้ยินถนัดหูน่ะเป็นเสียงคนกระแอมชัดๆ
ปิดม่าน กลับขึ้นไปนอนริมเตียงด้านโคมไฟและโทรศัพท์ ในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องน้ำที่แง้มประตูไว้..หลับตา..คิดอะไรไปร้อยแปด ฟุ้งซ่านน่าดู..
คิดถึงเรื่องผีหลอกในโรงแรมที่เคยได้ยินมานับไม่ถ้วน!
ที่เชียงใหม่น่ะมีโรงแรมเก่าๆ ที่ลือกันว่าผีดุนัก ดุขนาดออกมาวิ่งโครมๆ รอบห้องให้ดูซึ่งๆ หน้า ที่เพชรบูรณ์ก็มีข่าวว่าลิฟต์จะไปหยุดที่ชั้น 5 ประตูเปิดผางไปเจอห้องที่เขาเอาไม้ปิดตายไว้..คิดดูเถอะว่าผีดุขนาดไหน?
ว่าแต่ผีพวกนั้นตายในโรงแรมใช่ไหม? ตายเองเพราะหมดอายุขัย หรือฆ่าตัวตายเพราะหมดกำลังจะยืนหยัดอีกต่อไป และหรือว่าถูกใครเขาเข่นฆ่าเพราะความหึงหวง หักหลังกัน หรือต้องการทรัพย์สินของผู้ตาย?
วิญญาณจ้องจะหลอกหลอนผู้คน ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที?
ว่าแต่จะหลอกแบบไหน? ส่งกลิ่นเหม็นเน่า, ทำเสียงกุกกัก, สะอึกสะอื้นคร่ำครวญน่าขนหัวลุก หรือปรากฏกายมาให้เห็นดื้อๆ ในสภาพคนปกติ หรือเละเทะน่าสยดสยองสุดขีด..อย่างไรกันแน่?
ถ้าเรานอนอยู่ดีๆ แล้วมีผีเดินโย่งเย่งออกมาจากห้องน้ำ เรามองดูนิ่งๆ ผีจะทำยังไงต่อไปนะ? ถ้าเราเปิดไฟเพื่อมองให้ชัดๆ ผีจะตกใจ หรืออับอายไหม? จะหนีหรือว่ายังอยู่?
ดิฉันถอนใจยาว..ดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า สรรพสิ่งเงียบสงัดจนน่าใจหาย แต่ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่านั้น..ลุกขึ้นเปิดไฟแต่งตัวตั้งแต่ตอนห้าโมงเย็น..ห้องนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหดหู่ หมองหม่น จนกระทั่งนึกถึงความตายมากที่สุด..
ถ้าดิฉันตายในห้องนี้จริงๆ ไม่ว่าหัวใจวายหรือฆ่าตัวตาย ดิฉันตั้งใจจะไม่หลอกหลอนใครเด็ดขาดเลยค่ะ..สาบาน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2550
08 สิงหาคม 2558
คุณยายห่วงบ้าน
"วิกรม" เล่าถึงเรื่องเหนือธรรมชาติที่เขาเห็นมากับตา
ตอนนั้นเป็นบ่ายวันศุกร์ต้นเดือนกรกฎาคมที่เงียบมาก ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะไม่สบาย อาหารเป็นพิษ เมื่อวานอาการแย่เอามากๆ แทบจะนอนในห้องน้ำเลยละครับ แต่วันนี้ดีขึ้นมากเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย แม่บอกว่าร่างกายขับเชื้อโรคออกไปหมดแล้ว เด็กอายุสิบสี่สิบห้าก็ดีอย่างนี้แหละ ฟื้นตัวเร็ว เหลือแต่เพลียนิดหน่อย
ผมรู้สึกโหวงๆ พิกล แม่สั่งให้ดื่มน้ำมากๆ อย่าเพิ่งกินนม และบอกให้ป้าทองแม่ครัวบ้านผมต้มข้าวต้มน้ำเยอะๆ เอาไว้ เผื่อผมหิว จากนั้น แม่กับพ่อก็ออกไปทำงาน
ตลอดเช้าผมนั่งเล่นเกมจนเบื่อ รู้งี้ไปโรงเรียนดีกว่า ยังได้เล่นได้คุยกับเพื่อนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันเหงาจะตาย พอตอนบ่ายก็เงียบกริบซะเหลือเชื่อเลย
ตะกี้ผมลงไปกินข้าวต้มเห็นป้าทองรีดผ้าอยู่ในห้อง ส่วนเจ้าแสงกับเจ้าคำ สาวใช้ชาวพม่าที่อายุไล่เลี่ยกับผมน่ะ นอนหลับน้ำลายไหลยืดกันทั้งคู่เลย ป้าทองยังชี้ให้ผมดู บอกว่าหมั่นไส้นังพวกนี้จริงๆ ถ้าไม่กินก็นอน!
ผมคิดว่าบ่ายๆ อย่างนี้สาวใช้ทุกบ้านในซอยผมคงหลับกันหมด เพราะมองไปทางไหนก็ไร้ผู้ไร้คน
ป้าทองให้ผมไปนอนบ้าง ที่ไม่สบายจะได้หายเร็วๆ แต่ผมไม่ชอบนอนหรอกครับ นอนมากก็มึน เฮ้อ! จะเล่นเกมก็เบื่อ ออกไปเล่นที่ระเบียงดีกว่า
ผมเดินผ่านห้องนอนพ่อกับแม่แล้วเปิดประตูไปยืนอยู่ตรงราวระเบียง
จากที่ผมยืนนี่มองไปรอบๆ จะเห็นหน้าบ้านและข้างบ้านด้วย ได้ภาพพาโนราม่าเกือบรอบทิศเชียวละครับ และจุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือบ้านข้างๆ ที่อยู่รั้วเดียวกับผมนี่เอง
บ้านนี้เป็นบ้านของคุณยายกอบกุลที่ผมเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อก่อนเป็นบ้านที่สวยน่าอยู่มาก มีสองชั้นทางสีฟ้า มีสนามหญ้าและต้นแก้วต้นมิกกี้เม้าส์ ต้นมะยม แต่ตอนนี้คุณยายกอบกุลเสียชีวิตไปได้ปีกว่าแล้วครับ บ้านของท่านก็ดูเหมือนจะตายตามไปด้วย
ลูกหลานของคุณยายย้ายบ้านไปนานแล้ว ทิ้งให้ที่นี่รกเรื้อ สนามมีแต่หญ้าสูงท่วมเอว ต้นไม้ที่เคยออกดอกสวยๆ หอมๆ ก็ตายสนิท ยืนต้นแห้งโกร๋นอยู่นั่น น่าสงสารที่ไม่มีใครดูแลรดน้ำ
เวลามายืนตรงระเบียงนี่ ผมชอบมองเข้าไปในบ้านนี้เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่ามอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าชอบดูเพราะอะไร มันดึงดูดสายตาพิกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องครัวที่ประตูเปิดอ้า กระจกบานเกล็ดหลุดเป็นแผ่นๆ ผมว่าคงเคยมีพวกย่องเบาแอบเข้าไปรื้อค้นฉกฉวยเอาอะไรต่อมิอะไรไปบ้างล่ะ
เอ๊ะ!...ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ในห้องครัวนั้น ผมเห็นคนเดินอยู่ไหวๆ เป็นขาผู้หญิงใส่รองเท้าแตะทำด้วยผ้าแบบเดินอยู่ในบ้าน ผมเห็นชุดกระโปรงสีฟ้ามีลายดอกไม้
ใจผมหายวาบ นั่นคุณยายกอบกุลชัดๆ!
ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรง่วนอยู่ในครัวของท่าน
ผมเผ่นจากระเบียงลงไปหาป้าทอง เล่าถึงสิ่งที่เห็นให้แกฟังปากคอสั่นไปหมด
ป้าทองรู้ครับว่าอันไหนผมพูดจริง อันไหนผมอำแกเล่นๆ คราวนี้แกเชื่อเพราะผมตกใจมากๆ ป้าทองรีบวางเตารีดแล้วแล่นขึ้นบันไดไปกับผมที่ระเบียง เราแอบซุ่มดูอยู่ด้วยใจระทึกแต่ไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากประตูห้องครัวที่เปิดเข้าเปิดออกเองอย่างช้าๆ ตามแรงลม
มือป้าทองที่กำแขนผมอย่างตื่นเต้นนั้นเย็นเจี๊ยบเลยละครับ นี่ขนาดไม่เห็นอย่างที่ผมเห็น แกยังเป็นไปได้ขนาดนี้
"มิน่าล่ะ หมามันหอนทุกคืน" ป้าทองบอก ผมเองก็ได้ยินนะ ทุกคืนราวสี่ห้าทุ่มจะมีเสียงหมาหอนรับกันมาเป็นทอดๆ จากหน้าปากซอย มาหยุดที่บ้านคุณยายกอบกุลนี่แหละ
ป้าทองบอกว่าแกคงหวงบ้าน เพราะได้ข่าวว่าลูกๆ แกกำลังจะขายเร็วๆ นี้!
วันเสาร์ วันอาทิตย์ ผมเฝ้าดูอยู่บนระเบียงด้วยใจระทึก มือก็ถือกล้องดิจิตอลไว้เมื่อเห็นคุณยายอีกจะได้รีบถ่ายไว้เป็นหลักฐาน
มีอยู่หนหนึ่งที่ผมเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไปมาอยู่บริเวณนั้น ผมถ่ายรูปไว้ แต่ภาพที่ปรากฏให้เห็นเป็นแค่ควันขาวๆ เอาไปให้ใครดูเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าเป็นผี
เรื่องนี้ประทับใจผมจริงๆ เอาไปเล่นให้เพื่อนๆ ฟัง มันกลัวกันใหญ่ ทั้งๆ ที่บ้านมันไม่ได้อยู่ข้างบ้านคุณยายกอบกุลสักหน่อย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2550
ตอนนั้นเป็นบ่ายวันศุกร์ต้นเดือนกรกฎาคมที่เงียบมาก ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะไม่สบาย อาหารเป็นพิษ เมื่อวานอาการแย่เอามากๆ แทบจะนอนในห้องน้ำเลยละครับ แต่วันนี้ดีขึ้นมากเหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย แม่บอกว่าร่างกายขับเชื้อโรคออกไปหมดแล้ว เด็กอายุสิบสี่สิบห้าก็ดีอย่างนี้แหละ ฟื้นตัวเร็ว เหลือแต่เพลียนิดหน่อย
ผมรู้สึกโหวงๆ พิกล แม่สั่งให้ดื่มน้ำมากๆ อย่าเพิ่งกินนม และบอกให้ป้าทองแม่ครัวบ้านผมต้มข้าวต้มน้ำเยอะๆ เอาไว้ เผื่อผมหิว จากนั้น แม่กับพ่อก็ออกไปทำงาน
ตลอดเช้าผมนั่งเล่นเกมจนเบื่อ รู้งี้ไปโรงเรียนดีกว่า ยังได้เล่นได้คุยกับเพื่อนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันเหงาจะตาย พอตอนบ่ายก็เงียบกริบซะเหลือเชื่อเลย
ตะกี้ผมลงไปกินข้าวต้มเห็นป้าทองรีดผ้าอยู่ในห้อง ส่วนเจ้าแสงกับเจ้าคำ สาวใช้ชาวพม่าที่อายุไล่เลี่ยกับผมน่ะ นอนหลับน้ำลายไหลยืดกันทั้งคู่เลย ป้าทองยังชี้ให้ผมดู บอกว่าหมั่นไส้นังพวกนี้จริงๆ ถ้าไม่กินก็นอน!
ผมคิดว่าบ่ายๆ อย่างนี้สาวใช้ทุกบ้านในซอยผมคงหลับกันหมด เพราะมองไปทางไหนก็ไร้ผู้ไร้คน
ป้าทองให้ผมไปนอนบ้าง ที่ไม่สบายจะได้หายเร็วๆ แต่ผมไม่ชอบนอนหรอกครับ นอนมากก็มึน เฮ้อ! จะเล่นเกมก็เบื่อ ออกไปเล่นที่ระเบียงดีกว่า
ผมเดินผ่านห้องนอนพ่อกับแม่แล้วเปิดประตูไปยืนอยู่ตรงราวระเบียง
จากที่ผมยืนนี่มองไปรอบๆ จะเห็นหน้าบ้านและข้างบ้านด้วย ได้ภาพพาโนราม่าเกือบรอบทิศเชียวละครับ และจุดที่น่าสนใจที่สุดก็คือบ้านข้างๆ ที่อยู่รั้วเดียวกับผมนี่เอง
บ้านนี้เป็นบ้านของคุณยายกอบกุลที่ผมเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เมื่อก่อนเป็นบ้านที่สวยน่าอยู่มาก มีสองชั้นทางสีฟ้า มีสนามหญ้าและต้นแก้วต้นมิกกี้เม้าส์ ต้นมะยม แต่ตอนนี้คุณยายกอบกุลเสียชีวิตไปได้ปีกว่าแล้วครับ บ้านของท่านก็ดูเหมือนจะตายตามไปด้วย
ลูกหลานของคุณยายย้ายบ้านไปนานแล้ว ทิ้งให้ที่นี่รกเรื้อ สนามมีแต่หญ้าสูงท่วมเอว ต้นไม้ที่เคยออกดอกสวยๆ หอมๆ ก็ตายสนิท ยืนต้นแห้งโกร๋นอยู่นั่น น่าสงสารที่ไม่มีใครดูแลรดน้ำ
เวลามายืนตรงระเบียงนี่ ผมชอบมองเข้าไปในบ้านนี้เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่ามอง ผมเองก็ไม่รู้ว่าชอบดูเพราะอะไร มันดึงดูดสายตาพิกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องครัวที่ประตูเปิดอ้า กระจกบานเกล็ดหลุดเป็นแผ่นๆ ผมว่าคงเคยมีพวกย่องเบาแอบเข้าไปรื้อค้นฉกฉวยเอาอะไรต่อมิอะไรไปบ้างล่ะ
เอ๊ะ!...ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ในห้องครัวนั้น ผมเห็นคนเดินอยู่ไหวๆ เป็นขาผู้หญิงใส่รองเท้าแตะทำด้วยผ้าแบบเดินอยู่ในบ้าน ผมเห็นชุดกระโปรงสีฟ้ามีลายดอกไม้
ใจผมหายวาบ นั่นคุณยายกอบกุลชัดๆ!
ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรง่วนอยู่ในครัวของท่าน
ผมเผ่นจากระเบียงลงไปหาป้าทอง เล่าถึงสิ่งที่เห็นให้แกฟังปากคอสั่นไปหมด
ป้าทองรู้ครับว่าอันไหนผมพูดจริง อันไหนผมอำแกเล่นๆ คราวนี้แกเชื่อเพราะผมตกใจมากๆ ป้าทองรีบวางเตารีดแล้วแล่นขึ้นบันไดไปกับผมที่ระเบียง เราแอบซุ่มดูอยู่ด้วยใจระทึกแต่ไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากประตูห้องครัวที่เปิดเข้าเปิดออกเองอย่างช้าๆ ตามแรงลม
มือป้าทองที่กำแขนผมอย่างตื่นเต้นนั้นเย็นเจี๊ยบเลยละครับ นี่ขนาดไม่เห็นอย่างที่ผมเห็น แกยังเป็นไปได้ขนาดนี้
"มิน่าล่ะ หมามันหอนทุกคืน" ป้าทองบอก ผมเองก็ได้ยินนะ ทุกคืนราวสี่ห้าทุ่มจะมีเสียงหมาหอนรับกันมาเป็นทอดๆ จากหน้าปากซอย มาหยุดที่บ้านคุณยายกอบกุลนี่แหละ
ป้าทองบอกว่าแกคงหวงบ้าน เพราะได้ข่าวว่าลูกๆ แกกำลังจะขายเร็วๆ นี้!
วันเสาร์ วันอาทิตย์ ผมเฝ้าดูอยู่บนระเบียงด้วยใจระทึก มือก็ถือกล้องดิจิตอลไว้เมื่อเห็นคุณยายอีกจะได้รีบถ่ายไว้เป็นหลักฐาน
มีอยู่หนหนึ่งที่ผมเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไปมาอยู่บริเวณนั้น ผมถ่ายรูปไว้ แต่ภาพที่ปรากฏให้เห็นเป็นแค่ควันขาวๆ เอาไปให้ใครดูเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าเป็นผี
เรื่องนี้ประทับใจผมจริงๆ เอาไปเล่นให้เพื่อนๆ ฟัง มันกลัวกันใหญ่ ทั้งๆ ที่บ้านมันไม่ได้อยู่ข้างบ้านคุณยายกอบกุลสักหน่อย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 8 สิงหาคม 2550
07 สิงหาคม 2558
พบกันที่อ่างทอง
"ปุยฝ้าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตลาดวิเศษชัยชาญ
บ้านเดิมดิฉันอยู่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง แต่พ่อแม่อพยพมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ดิฉันยังเล็กมาก จนจำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ นานๆ ถึงจะพากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งหนึ่ง...เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน มีญาติผู้ใหญ่ข้างแม่เสียชีวิตเพราะความชรา แม่ก็พาดิฉันไปงานศพ ต้องค้างก่อนวันเผา 1 คืน
และที่นั่นเอง ดิฉันได้ประสบกับเรื่องน่าขนหัวลุกอย่างจังๆ เลยค่ะ!
เราไปกันสองคนแม่ลูก คิดว่าจะอยู่จนเผาศพเสร็จก็นั่งรถทัวร์กลับ เพราะระยะทางใกล้ๆ แค่นี้เอง เราไปอาศัยพักกับบ้านป้าเฮียงในตลาด ความจริงไม่ใช่บ้านหรอกค่ะ แต่เป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ทำการค้าขายกันทุกห้อง นานๆ ไปเห็นทีก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเหมือนกัน
หน้าตลาดมีร้านขายทองฝีมือโบราณ นักท่องเที่ยวจอดรถแวะชมกันหนาตา พอเดินเข้าไปหน่อยก็มีร้านขนมไทย ชื่อเสียงโด่งดังมาก พวกกรุงเทพฯ มามุงดู "ขนมถังแตก" แน่นเชียวค่ะ นอกจากนั้นก็มีอาหารสด อย่างปลาทู ผักและผลไม้ รวมทั้งขนมต่างๆ ที่หากินยากในกรุงเทพฯ เช่น ขนมกล้วย ขนมตาล เป็นต้น
ที่แผงตรงข้ามกับร้านค้าน่าสนใจมาก เพราะเขาขายถังใส่ข้าวด้วยค่ะ!
ไม่ใช่ถังหรือปี๊บใหญ่ๆ นะคะ แต่เป็นถังไม้ลูกย่อมๆ คิดว่าคงใส่ข้าวสารได้ไม่เกิน 2 ลิตร ทำจากไม้สักที่ขัดไว้สวยงาม พวกสาวๆ ชาวกรุงมุงดูกันใหญ่ บางคนก็มองหาคนขาย...ปรากฏว่าเขาขายของชำอยู่ร้านตรงข้าม มีทางเดินแคบๆ จนคนแทบจะเบียดกัน พอเรียกหาก็เดินข้ามมาขายของทันที
ตอนนั้นยังใบละ 3-4 ร้อยบาทเอง สรรพคุณเหลือเชื่อจริงๆ
ไม่ใช่ถังใส่ข้าวสารหรอกค่ะ แต่กลายเป็นถังใส่เงิน! แม่ค้าบอกว่า เอาถังสวยๆ ที่มีฝาปิดเรียบร้อยนี้ไปให้พระเสกคาถา แล้วเอากลับบ้านไว้ใส่เงิน เชื่อกันว่า นอกจากเงินทองจะไม่ขาดถังแล้ว เปิดดูทีไรจะเห็นเงินเพิ่มขึ้นทุกทีอีกต่างหาก
ใครมีถังวิเศษนี้ไม่ต้องกลัวจน!
วันแรกเดินชมตลาดจนเหนื่อย ซื้อขนมมากิน 3-4 อย่าง ตกค่ำก็ไปงานสวดศพที่วัดหน้าตลาด ชาวบ้านมาฟังสวดกันเต็มศาลาน่าชื่นใจ คืนนั้นแวะกินเกี๊ยวน้ำที่หน้าตลาดแล้วกลับไปนอนร้านป้าเฮียง
ชั้นบนกั้นเป็นห้องนอนของป้ากับลุง มีลูกสาว 2 คนนอนด้วย ส่วนเราแม่ลูกกางมุ้งนอนด้านนอก ใกล้ๆ กับหัวบันได หน้าต่างเปิดทั้งด้านหน้าและหลัง มีหลอดไฟฟ้าแขวนลงมาจากเพดาน ส่องแสงเหลืองๆ ดูเยือกเย็นพิกล
คืนนั้นเอง มีแสงแปลกประหลาดจนดิฉันตื่นขึ้นมา...บรรยากาศยามดึกค่อนข้างเงียบเชียบ ได้ยินเสียงคลื่นจากแม่น้ำน้อยซัดฝั่งเบาๆ คล้ายจะปลอบให้ผู้คนง่วงงุน บางทีก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากแถวหน้าตลาด...แต่อะไรนะที่ทำให้ดิฉันตื่นขึ้นกลางดึกน่ะ?
ทันใดนั้น มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
เสียงเหมือนใครกำลังเดินวนเวียนอยู่ในห้องชั้นล่างค่ะ ทั้งๆ ที่เราปิดหน้าต่างและลั่นดาล แถมใส่กลอนเรียบร้อย ป้าเฮียงยืนยันว่าขโมยเข้าไม่ได้แน่ๆ ที่วิเศษชัยชาญก็ไม่ค่อยมีขโมยขโจรชุกชุมเหมือนอ่างทองหรอก...เอ๊ะ! ยังไง?
อย่าสงสัยเลยค่ะ คนที่นี่เขาไม่เรียกตัวเมืองว่าจังหวัด แต่เรียก "อ่างทอง" ตรงๆ เช่น "จะไปอ่างทอง" หรือ "มาจากอ่างทอง" เป็นต้น
ได้ข่าวว่าวัยรุ่น 2 อำเภอนี้ก็ไม่ค่อยกินเส้นกันนะคะ ขนาดนักเรียนชั้นม.ต้นไปแข่งกีฬาที่จังหวัดยังตีกันจนบาดเจ็บหลายราย พ่อแม่ของเด็กอ่างทองต้องวิ่งเคลียร์มากับพ่อแม่เด็กวิเศษฯ เห็นว่าจ่ายเงินทองกันเป็นหมื่นๆ เลยล่ะค่ะ
อ้าว? เกือบลืมเรื่องเสียงประหลาดยามดึกไปเลย...
นอกจากเสียงเดินวนเวียนไปมาแล้ว ยังมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ดังขึ้นมาด้วย เป็นภาษาแปลกๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ครั้นแล้ว เสียงต่างๆ ก็เงียบหายไป
ขณะที่ดิฉันถอนใจยาวอย่างโล่งอก เสียงเขย่าขวัญก็พลันดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย! คราวนี้เป็นเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ เหมือนใครคนหนึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดมาช้าๆ ทีละขั้นๆ ได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบเชียบ ...เงียบเสียจนหวิดได้ยินเสียงหัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมของตัวเอง!
สูงขึ้นมา...สูงขึ้นมาทุกที!!
สุดจะทนนอนตัวแข็ง เหงื่อแตกพลั่กๆ เต็มหน้าผากได้อีกแล้วค่ะ...ดิฉันเขย่าแขนแม่แรงๆ แต่แล้วก็เกือบสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือดังอยู่ข้างหู...เงียบๆ แม่ได้ยินแล้ว!
เสียงอุบาทว์กลางดึกดังขึ้นมาถึงหัวบันได ดิฉันอยากจะหลับตาปี๋ แต่กลับจ้องมองอย่างลืมตัว...ในท่ามกลางความสลัวที่มีเพียงแสงไฟจากภายนอก นอกจากความว่างเปล่าก็ไม่เห็นมีอะไรเลยสักอย่างเดียว
กำลังจะระบายลมหายใจยาวเหยียด ทั้งโล่งอกและผ่อนคลาย...ก็ต้องชะงัก ตัวแข็งทื่อเหมือนกลายเป็นรูปปั้นตามเดิม เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังพึมพำมาจากมุมห้องด้านตรงข้าม
นรกเป็นพยาน! ร่างของใครกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คน กำลังนั่งยองๆ ล้อมวงกันเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจะเป็นร่างที่ดูเลือนรางก็ตาม...คนจีนวัยชรากำลังคุยกันล้งเล้ง แล้วหันมามองเรา...แหงนหน้าขึ้นหัวเราะครืน...
เสียงหวีดร้องของดิฉันดังแสบแก้วหู ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งไม่รู้ตัว ป้าเฮียงเปิดไฟผลักประตูออกมา...แม่พูดไม่ออก ทำท่าว่าจะช็อกตายคาที่ เป็นอันว่าดิฉันไม่ได้ตาฝาดไปเอง แม้ว่าภาพอุบาทว์เหล่านั้นจะหายไปหมดแล้วก็ตาม
ไม่ทราบว่ามีวิญญาณใครสิงสู่อยู่ที่นั่น แต่ที่แน่ๆ คือ ดิฉันกับแม่ไม่ได้กลับไปวิเศษชัยชาญอีกเลยค่ะ ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2550
บ้านเดิมดิฉันอยู่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง แต่พ่อแม่อพยพมาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ดิฉันยังเล็กมาก จนจำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ นานๆ ถึงจะพากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้งหนึ่ง...เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน มีญาติผู้ใหญ่ข้างแม่เสียชีวิตเพราะความชรา แม่ก็พาดิฉันไปงานศพ ต้องค้างก่อนวันเผา 1 คืน
และที่นั่นเอง ดิฉันได้ประสบกับเรื่องน่าขนหัวลุกอย่างจังๆ เลยค่ะ!
เราไปกันสองคนแม่ลูก คิดว่าจะอยู่จนเผาศพเสร็จก็นั่งรถทัวร์กลับ เพราะระยะทางใกล้ๆ แค่นี้เอง เราไปอาศัยพักกับบ้านป้าเฮียงในตลาด ความจริงไม่ใช่บ้านหรอกค่ะ แต่เป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ทำการค้าขายกันทุกห้อง นานๆ ไปเห็นทีก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเหมือนกัน
หน้าตลาดมีร้านขายทองฝีมือโบราณ นักท่องเที่ยวจอดรถแวะชมกันหนาตา พอเดินเข้าไปหน่อยก็มีร้านขนมไทย ชื่อเสียงโด่งดังมาก พวกกรุงเทพฯ มามุงดู "ขนมถังแตก" แน่นเชียวค่ะ นอกจากนั้นก็มีอาหารสด อย่างปลาทู ผักและผลไม้ รวมทั้งขนมต่างๆ ที่หากินยากในกรุงเทพฯ เช่น ขนมกล้วย ขนมตาล เป็นต้น
ที่แผงตรงข้ามกับร้านค้าน่าสนใจมาก เพราะเขาขายถังใส่ข้าวด้วยค่ะ!
ไม่ใช่ถังหรือปี๊บใหญ่ๆ นะคะ แต่เป็นถังไม้ลูกย่อมๆ คิดว่าคงใส่ข้าวสารได้ไม่เกิน 2 ลิตร ทำจากไม้สักที่ขัดไว้สวยงาม พวกสาวๆ ชาวกรุงมุงดูกันใหญ่ บางคนก็มองหาคนขาย...ปรากฏว่าเขาขายของชำอยู่ร้านตรงข้าม มีทางเดินแคบๆ จนคนแทบจะเบียดกัน พอเรียกหาก็เดินข้ามมาขายของทันที
ตอนนั้นยังใบละ 3-4 ร้อยบาทเอง สรรพคุณเหลือเชื่อจริงๆ
ไม่ใช่ถังใส่ข้าวสารหรอกค่ะ แต่กลายเป็นถังใส่เงิน! แม่ค้าบอกว่า เอาถังสวยๆ ที่มีฝาปิดเรียบร้อยนี้ไปให้พระเสกคาถา แล้วเอากลับบ้านไว้ใส่เงิน เชื่อกันว่า นอกจากเงินทองจะไม่ขาดถังแล้ว เปิดดูทีไรจะเห็นเงินเพิ่มขึ้นทุกทีอีกต่างหาก
ใครมีถังวิเศษนี้ไม่ต้องกลัวจน!
วันแรกเดินชมตลาดจนเหนื่อย ซื้อขนมมากิน 3-4 อย่าง ตกค่ำก็ไปงานสวดศพที่วัดหน้าตลาด ชาวบ้านมาฟังสวดกันเต็มศาลาน่าชื่นใจ คืนนั้นแวะกินเกี๊ยวน้ำที่หน้าตลาดแล้วกลับไปนอนร้านป้าเฮียง
ชั้นบนกั้นเป็นห้องนอนของป้ากับลุง มีลูกสาว 2 คนนอนด้วย ส่วนเราแม่ลูกกางมุ้งนอนด้านนอก ใกล้ๆ กับหัวบันได หน้าต่างเปิดทั้งด้านหน้าและหลัง มีหลอดไฟฟ้าแขวนลงมาจากเพดาน ส่องแสงเหลืองๆ ดูเยือกเย็นพิกล
คืนนั้นเอง มีแสงแปลกประหลาดจนดิฉันตื่นขึ้นมา...บรรยากาศยามดึกค่อนข้างเงียบเชียบ ได้ยินเสียงคลื่นจากแม่น้ำน้อยซัดฝั่งเบาๆ คล้ายจะปลอบให้ผู้คนง่วงงุน บางทีก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากแถวหน้าตลาด...แต่อะไรนะที่ทำให้ดิฉันตื่นขึ้นกลางดึกน่ะ?
ทันใดนั้น มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
เสียงเหมือนใครกำลังเดินวนเวียนอยู่ในห้องชั้นล่างค่ะ ทั้งๆ ที่เราปิดหน้าต่างและลั่นดาล แถมใส่กลอนเรียบร้อย ป้าเฮียงยืนยันว่าขโมยเข้าไม่ได้แน่ๆ ที่วิเศษชัยชาญก็ไม่ค่อยมีขโมยขโจรชุกชุมเหมือนอ่างทองหรอก...เอ๊ะ! ยังไง?
อย่าสงสัยเลยค่ะ คนที่นี่เขาไม่เรียกตัวเมืองว่าจังหวัด แต่เรียก "อ่างทอง" ตรงๆ เช่น "จะไปอ่างทอง" หรือ "มาจากอ่างทอง" เป็นต้น
ได้ข่าวว่าวัยรุ่น 2 อำเภอนี้ก็ไม่ค่อยกินเส้นกันนะคะ ขนาดนักเรียนชั้นม.ต้นไปแข่งกีฬาที่จังหวัดยังตีกันจนบาดเจ็บหลายราย พ่อแม่ของเด็กอ่างทองต้องวิ่งเคลียร์มากับพ่อแม่เด็กวิเศษฯ เห็นว่าจ่ายเงินทองกันเป็นหมื่นๆ เลยล่ะค่ะ
อ้าว? เกือบลืมเรื่องเสียงประหลาดยามดึกไปเลย...
นอกจากเสียงเดินวนเวียนไปมาแล้ว ยังมีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ดังขึ้นมาด้วย เป็นภาษาแปลกๆ ฟังไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ครั้นแล้ว เสียงต่างๆ ก็เงียบหายไป
ขณะที่ดิฉันถอนใจยาวอย่างโล่งอก เสียงเขย่าขวัญก็พลันดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย! คราวนี้เป็นเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ เหมือนใครคนหนึ่งกำลังก้าวขึ้นบันไดมาช้าๆ ทีละขั้นๆ ได้ยินชัดเจนท่ามกลางความเงียบเชียบ ...เงียบเสียจนหวิดได้ยินเสียงหัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมของตัวเอง!
สูงขึ้นมา...สูงขึ้นมาทุกที!!
สุดจะทนนอนตัวแข็ง เหงื่อแตกพลั่กๆ เต็มหน้าผากได้อีกแล้วค่ะ...ดิฉันเขย่าแขนแม่แรงๆ แต่แล้วก็เกือบสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือดังอยู่ข้างหู...เงียบๆ แม่ได้ยินแล้ว!
เสียงอุบาทว์กลางดึกดังขึ้นมาถึงหัวบันได ดิฉันอยากจะหลับตาปี๋ แต่กลับจ้องมองอย่างลืมตัว...ในท่ามกลางความสลัวที่มีเพียงแสงไฟจากภายนอก นอกจากความว่างเปล่าก็ไม่เห็นมีอะไรเลยสักอย่างเดียว
กำลังจะระบายลมหายใจยาวเหยียด ทั้งโล่งอกและผ่อนคลาย...ก็ต้องชะงัก ตัวแข็งทื่อเหมือนกลายเป็นรูปปั้นตามเดิม เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังพึมพำมาจากมุมห้องด้านตรงข้าม
นรกเป็นพยาน! ร่างของใครกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คน กำลังนั่งยองๆ ล้อมวงกันเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจะเป็นร่างที่ดูเลือนรางก็ตาม...คนจีนวัยชรากำลังคุยกันล้งเล้ง แล้วหันมามองเรา...แหงนหน้าขึ้นหัวเราะครืน...
เสียงหวีดร้องของดิฉันดังแสบแก้วหู ลุกพรวดพราดขึ้นนั่งไม่รู้ตัว ป้าเฮียงเปิดไฟผลักประตูออกมา...แม่พูดไม่ออก ทำท่าว่าจะช็อกตายคาที่ เป็นอันว่าดิฉันไม่ได้ตาฝาดไปเอง แม้ว่าภาพอุบาทว์เหล่านั้นจะหายไปหมดแล้วก็ตาม
ไม่ทราบว่ามีวิญญาณใครสิงสู่อยู่ที่นั่น แต่ที่แน่ๆ คือ ดิฉันกับแม่ไม่ได้กลับไปวิเศษชัยชาญอีกเลยค่ะ ตั้งแต่คืนนั้นจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2550
03 สิงหาคม 2558
ปีศาจโรงนวด
"ชุมพล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนขี้เมื่อย
สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นนักเที่ยวราตรีตัวยง ชนิดที่ว่าคืนไหนไม่ได้เที่ยวมักจะเกิดอาการปวดหัวตัวร้อน เพื่อนฝูงที่ร่วมก๊วนเสเพลด้วยกันบอกว่า วันไหนเห็นผมหายหน้าไปก็ดูหมดสนุกไปตามๆ กัน
ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดๆ พวกเราทำกำไรได้วันละหมื่นสองหมื่นถือว่าเรื่องจิ๊บจ๊อย บางวันได้เกือบแสนหรือแสนกว่าบาทก็ยังมี..เจ้าประคุณเอ๋ย! เที่ยวไปเที่ยวมา โดนผีหลอกจนขนหัวลุกตั้ง..ติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้แน่ะครับ
ตอนบ่ายๆ ใกล้เย็นเราจะชวนกันเข้าไปอุ่นเครื่องด้วยเบียร์เย็นๆ ในโรงนวดก่อน ปักหลักที่โต๊ะใกล้ๆ ตู้กระจก มองดูสาวสวยที่เราคุ้นหน้าพวกเธอหลายคน ไม่ว่าแบบธรรมดา บีคอร์ส หรือนวดแผนไทยมีทั้งนั้น
คนเชียร์แขกก็จะปราดเข้าประกบทันที จัดการแนะนำคนนั้นคนนี้ให้ หรือไม่ก็ถามสเป๊กว่าต้องการยังไง? แบบไหน? รับรองว่าจัดสรรให้เรียบร้อยทุกรายเลยซีน่า
ผมก็มี "หลิน" คนเชียร์แขกวัย 30 เศษคอยดูแลเป็นประจำ!
แขกบางคนเข้ามาละเลียดเบียร์ขวดสองขวด จ้องมองสาวสวยหลายสิบคนในตู้กระจกอาบแสงไฟ ไม่รู้ว่าจะมีเคลิบเคลิ้มเหมือนมองนางในฮาเร็มที่ตัวเองเป็นสุลต่านหรือเปล่า? เพราะมีคนเชียร์แขกทั้งชายและหญิงโฉบเข้าไปถามว่าสนใจคนไหน? พี่แกก็ส่ายหน้าลูกเดียว หรือไม่ก็บอกว่ารอดูก่อนแต่ไม่เคยขึ้นห้องสักที
พวกเราน่ะไม่ใช่นักเที่ยวประเภท "ขี่ม้าชมสวน" แบบนั้นแน่ๆ แต่ยังไม่คิดจะลงอ่างตอนนี้หรอก เพราะยังเร็วเกินไป ยกเว้นแต่จะมีความจำเป็นจริงๆ เช่น เห็นคนสวยสะดุดตาสะดุดใจบ้าง เพื่อนฝูงเคยขึ้นห้องมาก่อนแล้วยืนยันว่า..บริการทุกระดับประทับใจบ้าง เลยต้องให้คนเชียร์แขกที่คุ้นๆ กันยกไมค์ขึ้นเรียกน้องหนูมานั่งคุยกันก่อนก็มี
ส่วนมากมักจะเข้าไปต่อในห้องคาเฟ่ เลือกโซฟามุมในหน่อย แม้จะห่างเวทีไปบ้างก็ไม่เป็นไร มองดูนักร้องสาวๆ ออกมาร้องเพลงล่อไอ้เข้ ทั้งชุดกระโปรงสั้นและกระโปรงบาน โชว์ขาอ่อนขาวๆ อาบแสงไฟ อวบอึ๋มอย่าบอกใครเชียว
ยิ่งเวลาร้องเพลงเมดเลย์ มีนักร้องราว 20-30 คนยกโขยงกันขึ้นมาเต็มเวทีต้องยืนกัน 2-3 แถว ถึงคิวใครร้องก็ก้าวออกมาแถวหน้า โชว์ตัวเรียกมาลัยน้ำใจจากแฟนประจำไงครับ ใครติดมาลัยให้ พอลงจากเวทีเธอก็มายกมือไหว้ หย่อนสะโพกอวบๆ ลงนั่งกระแซะๆ คราวนี้ "ดริงก์" ก็จะทยอยเข้ามา...
ตอนนั้นแหละ ใครหมายตาคนสวยในตู้กระจกเอาไว้ก็จะให้บ๋อยไปตามคนเชียร์แขกเข้ามา นักเที่ยวตัวจริงจะหมายตาเอาไว้ 2-3 เบอร์นะครับ เพราะไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอจะขึ้นไป "ทำงาน" หรือเปล่า
พวกเรามักจะคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนมากก็ตลาดหุ้นที่เพิ่งได้-เสียกันมากับ "เทรนด์" ของตลาดในวันรุ่งขึ้น...พอได้เบอร์ที่ต้องการก็เป็นอันว่าแยกย้ายกันไปได้แล้วนานๆ จะนัดหมายพบกันตอนจ่ายเงินเสร็จ ออกไปหาข้าวต้มตามโรงแรมกินกันไงครับ...ส่วนมากจะเป็นวันศุกร์ วันเสาร์ รุ่งขึ้นได้พักยาวเต็มที่
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ต้นเดือน!
แขกหนาตาตั้งแต่หัวค่ำ เด็กเสิร์ฟแทบจะชนกันตาย คนเชียร์แขกไม่ต้องเสียเวลากล่อม มีแต่คนนั้นเรียกคนนี้เรียก "เด็ก" แทบจะไม่มีโอกาสนั่งตู้ก็ว่าได้
"หลิน" ทักทายแขกแล้วไปคว้าไมค์...ยกมือไหว้ผมแล้วรีบไปทักแขกคนใหม่ในคาเฟ่ก็แขกเต็มแทบทุกโต๊ะ นักร้องได้มาลัยเป็นกอบเป็นกำน่าชื่นใจ..ผมชักอยากจะอาบน้ำอาบท่า เพราะรู้สึกกล้าๆ อยากนอนแช่น้ำอุ่นจัดให้สบายตัว
เพื่อนคนหนึ่งออกไปก่อน อีกสองคนทำท่าว่าถูกสเป๊กนักร้องสาวที่กระแซะๆ กันไม่ยอมห่าง... ผมเรียกบ๋อยให้ไปตามหลินมาหน่อย ในใจคิดเอาไว้สองเบอร์ที่เคยอาบน้ำนวดกันมาก่อน ฝีมือยอดเยี่ยมทั้งคู่
"เบอร์ไหนดีพี่?" หลินเข้ามาถามรวดเร็วทันใจ ผมบอกว่า 56 หรือ 35 แล้วกัน อาบน้ำเก่ง นวดก็ไม่เลว...หลินบอกว่าไม่แน่ใจว่าทำงานหรือยัง? จะรีบไปดูให้..คนเชียร์แขกบริการดีมากถ้าเราคอยทิปครั้งละ 2-3 ร้อยเป็นประจำ
คล้อยหลังหลินไม่นานผมก็ลุกตามออกไป ธรรมดาจะคอยให้หาเด็กมาส่งที่โต๊ะ แต่คืนนั้นผมอยากแช่น้ำอุ่นจัดเต็มที...ปรากฏว่าเบอร์ 56 ในชุดแดงเพลิงเดินเข้ามาหาพร้อมกับเบอร์ห้องเรียบร้อย
...ตอนที่กำลังนอนหลับตาแช่น้ำอุ่น ผมนึกถึงเรื่องสยองเมื่อเดือนก่อน มีแขกขี้เมาก้าวลงอ่างที่มีน้ำร้อนจัด แม่บ้านไขน้ำทิ้งไว้ส่งเดช หมอนวดก็ยังไม่ได้ปรับอุณหภูมิ...เสียงตูมเมื่อล้มโครมลงทั้งตัว ไหนจะเมา ไหนจะช็อกเพราะน้ำที่ร้อนจนเกือบเดือด หมอนวดเห็นเข้าก็ได้แต่ร้องว้ายๆๆ แบบคนสติแตก
แขกขี้เมาตายคาอ่าง หมอนวดหายหน้าไป..ถ้าวิญญาณมีจริงคงจะสิงสู่อยู่แน่ๆ ว่าแต่เป็นห้องนี้หรือเปล่า? บรื๋ออออ...
ผมรู้สึกปากคอแห้งผาก เสียววูบไปตามไขสันหลัง ลืมตาเห็นหน้าสาวสวยอยู่ใกล้ๆ แต่พร่าเลือนยังไงชอบกล...รีบลุกให้ล้างเนื้อล้างตัว ขึ้นไปนอนใจระทึกอยู่บนเตียง...แสงไฟหรี่สลัว มีเสียงถามยั่วเย้าว่ากลัวผีเหรอพี่?
"แหม! อย่าว่าแต่พี่เลย ต่ายก็กลัวค่ะ...โธ่! เขาเพิ่งพบศพพี่หลินผูกคอตายเมื่อเช้านี้เอง...เดี๋ยวแกโผล่มาทำงานมีหวังช็อกตายไปตามๆ กัน!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2550
สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นนักเที่ยวราตรีตัวยง ชนิดที่ว่าคืนไหนไม่ได้เที่ยวมักจะเกิดอาการปวดหัวตัวร้อน เพื่อนฝูงที่ร่วมก๊วนเสเพลด้วยกันบอกว่า วันไหนเห็นผมหายหน้าไปก็ดูหมดสนุกไปตามๆ กัน
ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดๆ พวกเราทำกำไรได้วันละหมื่นสองหมื่นถือว่าเรื่องจิ๊บจ๊อย บางวันได้เกือบแสนหรือแสนกว่าบาทก็ยังมี..เจ้าประคุณเอ๋ย! เที่ยวไปเที่ยวมา โดนผีหลอกจนขนหัวลุกตั้ง..ติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้แน่ะครับ
ตอนบ่ายๆ ใกล้เย็นเราจะชวนกันเข้าไปอุ่นเครื่องด้วยเบียร์เย็นๆ ในโรงนวดก่อน ปักหลักที่โต๊ะใกล้ๆ ตู้กระจก มองดูสาวสวยที่เราคุ้นหน้าพวกเธอหลายคน ไม่ว่าแบบธรรมดา บีคอร์ส หรือนวดแผนไทยมีทั้งนั้น
คนเชียร์แขกก็จะปราดเข้าประกบทันที จัดการแนะนำคนนั้นคนนี้ให้ หรือไม่ก็ถามสเป๊กว่าต้องการยังไง? แบบไหน? รับรองว่าจัดสรรให้เรียบร้อยทุกรายเลยซีน่า
ผมก็มี "หลิน" คนเชียร์แขกวัย 30 เศษคอยดูแลเป็นประจำ!
แขกบางคนเข้ามาละเลียดเบียร์ขวดสองขวด จ้องมองสาวสวยหลายสิบคนในตู้กระจกอาบแสงไฟ ไม่รู้ว่าจะมีเคลิบเคลิ้มเหมือนมองนางในฮาเร็มที่ตัวเองเป็นสุลต่านหรือเปล่า? เพราะมีคนเชียร์แขกทั้งชายและหญิงโฉบเข้าไปถามว่าสนใจคนไหน? พี่แกก็ส่ายหน้าลูกเดียว หรือไม่ก็บอกว่ารอดูก่อนแต่ไม่เคยขึ้นห้องสักที
พวกเราน่ะไม่ใช่นักเที่ยวประเภท "ขี่ม้าชมสวน" แบบนั้นแน่ๆ แต่ยังไม่คิดจะลงอ่างตอนนี้หรอก เพราะยังเร็วเกินไป ยกเว้นแต่จะมีความจำเป็นจริงๆ เช่น เห็นคนสวยสะดุดตาสะดุดใจบ้าง เพื่อนฝูงเคยขึ้นห้องมาก่อนแล้วยืนยันว่า..บริการทุกระดับประทับใจบ้าง เลยต้องให้คนเชียร์แขกที่คุ้นๆ กันยกไมค์ขึ้นเรียกน้องหนูมานั่งคุยกันก่อนก็มี
ส่วนมากมักจะเข้าไปต่อในห้องคาเฟ่ เลือกโซฟามุมในหน่อย แม้จะห่างเวทีไปบ้างก็ไม่เป็นไร มองดูนักร้องสาวๆ ออกมาร้องเพลงล่อไอ้เข้ ทั้งชุดกระโปรงสั้นและกระโปรงบาน โชว์ขาอ่อนขาวๆ อาบแสงไฟ อวบอึ๋มอย่าบอกใครเชียว
ยิ่งเวลาร้องเพลงเมดเลย์ มีนักร้องราว 20-30 คนยกโขยงกันขึ้นมาเต็มเวทีต้องยืนกัน 2-3 แถว ถึงคิวใครร้องก็ก้าวออกมาแถวหน้า โชว์ตัวเรียกมาลัยน้ำใจจากแฟนประจำไงครับ ใครติดมาลัยให้ พอลงจากเวทีเธอก็มายกมือไหว้ หย่อนสะโพกอวบๆ ลงนั่งกระแซะๆ คราวนี้ "ดริงก์" ก็จะทยอยเข้ามา...
ตอนนั้นแหละ ใครหมายตาคนสวยในตู้กระจกเอาไว้ก็จะให้บ๋อยไปตามคนเชียร์แขกเข้ามา นักเที่ยวตัวจริงจะหมายตาเอาไว้ 2-3 เบอร์นะครับ เพราะไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอจะขึ้นไป "ทำงาน" หรือเปล่า
พวกเรามักจะคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนมากก็ตลาดหุ้นที่เพิ่งได้-เสียกันมากับ "เทรนด์" ของตลาดในวันรุ่งขึ้น...พอได้เบอร์ที่ต้องการก็เป็นอันว่าแยกย้ายกันไปได้แล้วนานๆ จะนัดหมายพบกันตอนจ่ายเงินเสร็จ ออกไปหาข้าวต้มตามโรงแรมกินกันไงครับ...ส่วนมากจะเป็นวันศุกร์ วันเสาร์ รุ่งขึ้นได้พักยาวเต็มที่
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ต้นเดือน!
แขกหนาตาตั้งแต่หัวค่ำ เด็กเสิร์ฟแทบจะชนกันตาย คนเชียร์แขกไม่ต้องเสียเวลากล่อม มีแต่คนนั้นเรียกคนนี้เรียก "เด็ก" แทบจะไม่มีโอกาสนั่งตู้ก็ว่าได้
"หลิน" ทักทายแขกแล้วไปคว้าไมค์...ยกมือไหว้ผมแล้วรีบไปทักแขกคนใหม่ในคาเฟ่ก็แขกเต็มแทบทุกโต๊ะ นักร้องได้มาลัยเป็นกอบเป็นกำน่าชื่นใจ..ผมชักอยากจะอาบน้ำอาบท่า เพราะรู้สึกกล้าๆ อยากนอนแช่น้ำอุ่นจัดให้สบายตัว
เพื่อนคนหนึ่งออกไปก่อน อีกสองคนทำท่าว่าถูกสเป๊กนักร้องสาวที่กระแซะๆ กันไม่ยอมห่าง... ผมเรียกบ๋อยให้ไปตามหลินมาหน่อย ในใจคิดเอาไว้สองเบอร์ที่เคยอาบน้ำนวดกันมาก่อน ฝีมือยอดเยี่ยมทั้งคู่
"เบอร์ไหนดีพี่?" หลินเข้ามาถามรวดเร็วทันใจ ผมบอกว่า 56 หรือ 35 แล้วกัน อาบน้ำเก่ง นวดก็ไม่เลว...หลินบอกว่าไม่แน่ใจว่าทำงานหรือยัง? จะรีบไปดูให้..คนเชียร์แขกบริการดีมากถ้าเราคอยทิปครั้งละ 2-3 ร้อยเป็นประจำ
คล้อยหลังหลินไม่นานผมก็ลุกตามออกไป ธรรมดาจะคอยให้หาเด็กมาส่งที่โต๊ะ แต่คืนนั้นผมอยากแช่น้ำอุ่นจัดเต็มที...ปรากฏว่าเบอร์ 56 ในชุดแดงเพลิงเดินเข้ามาหาพร้อมกับเบอร์ห้องเรียบร้อย
...ตอนที่กำลังนอนหลับตาแช่น้ำอุ่น ผมนึกถึงเรื่องสยองเมื่อเดือนก่อน มีแขกขี้เมาก้าวลงอ่างที่มีน้ำร้อนจัด แม่บ้านไขน้ำทิ้งไว้ส่งเดช หมอนวดก็ยังไม่ได้ปรับอุณหภูมิ...เสียงตูมเมื่อล้มโครมลงทั้งตัว ไหนจะเมา ไหนจะช็อกเพราะน้ำที่ร้อนจนเกือบเดือด หมอนวดเห็นเข้าก็ได้แต่ร้องว้ายๆๆ แบบคนสติแตก
แขกขี้เมาตายคาอ่าง หมอนวดหายหน้าไป..ถ้าวิญญาณมีจริงคงจะสิงสู่อยู่แน่ๆ ว่าแต่เป็นห้องนี้หรือเปล่า? บรื๋ออออ...
ผมรู้สึกปากคอแห้งผาก เสียววูบไปตามไขสันหลัง ลืมตาเห็นหน้าสาวสวยอยู่ใกล้ๆ แต่พร่าเลือนยังไงชอบกล...รีบลุกให้ล้างเนื้อล้างตัว ขึ้นไปนอนใจระทึกอยู่บนเตียง...แสงไฟหรี่สลัว มีเสียงถามยั่วเย้าว่ากลัวผีเหรอพี่?
"แหม! อย่าว่าแต่พี่เลย ต่ายก็กลัวค่ะ...โธ่! เขาเพิ่งพบศพพี่หลินผูกคอตายเมื่อเช้านี้เอง...เดี๋ยวแกโผล่มาทำงานมีหวังช็อกตายไปตามๆ กัน!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 3 สิงหาคม 2550
02 สิงหาคม 2558
วิญญาณบริสุทธิ์
"สกุณา" เล่าถึงเรื่องประหลาดในเนิร์สเซอรี่ที่เธอทำงานอยู่
ดิฉันจบปริญญาตรีมาได้ปีกว่าๆ แล้วละค่ะ ไปสมัครงานมาหลายที่และเขาก็รับเข้าทำงานด้วย ทั้งธนาคารและบริษัทเอกชน แต่ทว่าแต่ละที่ก็ช่างมีเรื่องให้ดิฉันอึดอัดรำคาญจนต้องถอดใจโบกมืออำลาเสียทุกที จนคุณแม่ดุว่าดิฉันไม่มีน้ำอดน้ำทน งอแงเพราะถูกตามใจซะเคยตัวเลยเข้ากับคนอื่นไม่ได้
แหม! ดิฉันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพื่อนฝูงดิฉันก็มีตั้งเยอะกับครูบาอาจารย์และญาติๆ ดิฉันก็ไม่มีปัญหาสักนิด แต่นี่ก็กำลังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้โชคร้าย เข้าทำงานที่ไหนก็เจอแต่คนไม่ดี แล้งน้ำใจกดขี่ บ้าอำนาจ ปากร้าย ขืนดิฉันทนอยู่ต่อไปต้องมีเรื่องแน่ๆ ถึงกระนั้นดิฉันก็ไม่อยากอยู่กับบ้านเฉยๆ อยากทำงานหาเงินและพิสูจน์ตัวเอง เลยมานั่งตรองดูว่าตัวเราต้องการอะไรกันแน่
ขณะที่กำลังสับสน เพื่อนรักก็โทร.มาชวนให้ไปทำงานที่เนิร์สเซอรี่แห่งหนึ่งในย่านสุทธิสาร คุณอาของเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของกำลังต้องการคนมาช่วยดูแลเรื่องบัญชีรายรับรายจ่าย
งานนี้ดิฉันปิ๊งทันทีเลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องการเงินนะคะ แต่เป็นเพราะเด็กๆต่างหาก เออ! จริงซินะ ...ดิฉันชอบเด็กๆ เพราะพวกแกบริสุทธิ์ไร้เดียงสาดีกว่าพวกผู้ใหญ่นิสัยเสียทั้งหลายที่เจอมา อีกอย่างหนึ่งดิฉันนึกอยากเป็นครูอนุบาลและกำลังวางแผนจะเรียนต่อเพื่อให้ได้วุฒิครูอยู่พอดี
เอาละ...เป็นอันว่าดิฉันตกลงรับงานนี้ อย่างน้อยก็จะได้ประสบการณ์และที่ทำงานก็อยู่ใกล้บ้านด้วย
อาหน่อยที่เป็นเจ้าของเนิร์สเซอรี่ใจดีมากและเธอก็ดีใจที่ดิฉันบอกว่า นอกจากงานเกี่ยวกับการเงินแล้ว ดิฉันจะช่วยดูแลเด็กๆ ให้อย่างดี
เนิร์สเซอรี่แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวสามชั้น โดยชั้นล่างเป็นสำนักงาน ชั้นสองเลี้ยงเด็กและชั้นสามเป็นที่พักของพวกพี่เลี้ยง มีดาดฟ้าให้ตากผ้าห่ม ผ้าอ้อมและเครื่องนอนของเด็ก
วันแรกที่เข้าทำงาน ทุกคนต้อนรับดิฉันเป็นอย่างดี ดิฉันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง เห็นมีเด็กเล็กๆ ตั้ง 12 คนแน่ะ ทั้งที่ยังแบเบาะ คลานต้วมเตี้ยมและเดินเตาะแตะ แสดงว่าที่นี่กิจการดีน่าดู พี่เลี้ยงสามคนกำลังวุ่นเชียว ดิฉันถือโอกาสเข้าไปช่วย
งานแบบนี้ต้องอาศัยใจรักจริงๆ นะคะ ดิฉันไม่นึกรังเกียจเลยทั้งการเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือกลิ่นแหวะนมของพวกแก พี่เลี้ยงทั้งสามดูจะชอบอกชอบใจที่ดิฉันเต็มใจช่วยงานพวกเขา ไม่นั่งเป็นคุณนายสวยเริ่ดเชิดหยิ่งอยู่แต่ในออฟฟิศ
"เหนื่อยเหมือนกันนะคะ เด็กตั้งสิบสองคน" ดิฉันผูกมิตร พี่เลี้ยงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"เรามีเด็กสิบเอ็ดคนเองค่ะ" คนหนึ่งตอบ ดิฉันเลยตั้งตนนับใหม่อยู่ในใจเงียบๆ เอ...นับยังไงก็ได้สิบสองคนแน่ๆ แปลกจัง!
อย่างไรก็ตาม ดิฉันทำงานที่นั่นอย่างสบายใจอยู่หลายวันทีเดียว
วันหนึ่งตอนบ่ายโมง ขณะกำลังตรวจบัญชี ฉับพลันก็มีเสียงเด็กทารกแผดเสียงร้องไห้อย่างทรมาน แกร้องงอหายเลยละค่ะ น่าสงสารมาก
ดิฉันทิ้งงานตรงหน้า แล้วเดินลิ่วขึ้นบันไดไปโดยหวังว่าจะช่วยเขาปลอบเด็ก
แต่อะไรกันนั่น! ทันทีที่ดิฉันโผล่หน้าเข้าไปในห้อง เสียงร้องของทารกก็เงียบกริบ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็คือเด็กกำลังนอนหลับสบายในห้องแอร์ ที่ปิดม่านหน้าต่างจนมืดสลัว พี่เลี้ยงทั้งสามดูจะหลับสนิทกว่าเด็กๆ ด้วยซ้ำ
ดิฉันเดินงงลงบันไดมา ทันใดนั้นก็มีเงาเล็กๆ เคลื่อนที่ผ่านหางตาไปอย่างรวดเร็ว และมีเสียงหัวเราะใสๆ ของทารก!
ความตกใจทำให้ดิฉันยืนเกาะราวบันไดนิ่งอยู่นาน
วันรุ่งขึ้น เสียงร้องไห้ เงาเด็กที่วิ่งวูบวาบ และเสียงหัวเราะก็ยังมีมาอีก ดิฉันเลยถามอาหน่อย
"อย่าพูดไปนะอาขอร้อง" อาหน่อยดูกลัดกลุ้ม "อาไม่อยากให้พวกพี่เลี้ยงรู้เรื่องนี้ ทั้งตัวหนูกับอีกสามคนนั่นน่ะ อารับเข้ามาใหม่ทั้งนั้น คนเก่าเขาลาออกไปหมด"
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อสามเดือนก่อนมีทารกวัยสองเดือน แม่อุ้มมาฝากไว้ แล้วก็หายไปเลย เด็กชื่อน้องวุ้น อ่อนแอมาก วันหนึ่งแกหลับไปเฉยๆ แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อาหน่อยวุ่นวายแทบแย่เพราะต้องจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่นับจากนั้นที่นี่ก็มีแต่เรื่องแปลกๆ
สามเดือนผ่านไป เราเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่ทั้งชุดอีกแล้วค่ะ ส่วนดิฉันยังอยู่ ถึงจะหวาดแต่ก็คิดว่าผีเด็ก คงไม่น่ากลัวมากไปกว่านี้หรอกนะคะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 2 สิงหาคม 2550
ดิฉันจบปริญญาตรีมาได้ปีกว่าๆ แล้วละค่ะ ไปสมัครงานมาหลายที่และเขาก็รับเข้าทำงานด้วย ทั้งธนาคารและบริษัทเอกชน แต่ทว่าแต่ละที่ก็ช่างมีเรื่องให้ดิฉันอึดอัดรำคาญจนต้องถอดใจโบกมืออำลาเสียทุกที จนคุณแม่ดุว่าดิฉันไม่มีน้ำอดน้ำทน งอแงเพราะถูกตามใจซะเคยตัวเลยเข้ากับคนอื่นไม่ได้
แหม! ดิฉันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพื่อนฝูงดิฉันก็มีตั้งเยอะกับครูบาอาจารย์และญาติๆ ดิฉันก็ไม่มีปัญหาสักนิด แต่นี่ก็กำลังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้โชคร้าย เข้าทำงานที่ไหนก็เจอแต่คนไม่ดี แล้งน้ำใจกดขี่ บ้าอำนาจ ปากร้าย ขืนดิฉันทนอยู่ต่อไปต้องมีเรื่องแน่ๆ ถึงกระนั้นดิฉันก็ไม่อยากอยู่กับบ้านเฉยๆ อยากทำงานหาเงินและพิสูจน์ตัวเอง เลยมานั่งตรองดูว่าตัวเราต้องการอะไรกันแน่
ขณะที่กำลังสับสน เพื่อนรักก็โทร.มาชวนให้ไปทำงานที่เนิร์สเซอรี่แห่งหนึ่งในย่านสุทธิสาร คุณอาของเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของกำลังต้องการคนมาช่วยดูแลเรื่องบัญชีรายรับรายจ่าย
งานนี้ดิฉันปิ๊งทันทีเลยค่ะ ไม่ใช่เรื่องการเงินนะคะ แต่เป็นเพราะเด็กๆต่างหาก เออ! จริงซินะ ...ดิฉันชอบเด็กๆ เพราะพวกแกบริสุทธิ์ไร้เดียงสาดีกว่าพวกผู้ใหญ่นิสัยเสียทั้งหลายที่เจอมา อีกอย่างหนึ่งดิฉันนึกอยากเป็นครูอนุบาลและกำลังวางแผนจะเรียนต่อเพื่อให้ได้วุฒิครูอยู่พอดี
เอาละ...เป็นอันว่าดิฉันตกลงรับงานนี้ อย่างน้อยก็จะได้ประสบการณ์และที่ทำงานก็อยู่ใกล้บ้านด้วย
อาหน่อยที่เป็นเจ้าของเนิร์สเซอรี่ใจดีมากและเธอก็ดีใจที่ดิฉันบอกว่า นอกจากงานเกี่ยวกับการเงินแล้ว ดิฉันจะช่วยดูแลเด็กๆ ให้อย่างดี
เนิร์สเซอรี่แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวสามชั้น โดยชั้นล่างเป็นสำนักงาน ชั้นสองเลี้ยงเด็กและชั้นสามเป็นที่พักของพวกพี่เลี้ยง มีดาดฟ้าให้ตากผ้าห่ม ผ้าอ้อมและเครื่องนอนของเด็ก
วันแรกที่เข้าทำงาน ทุกคนต้อนรับดิฉันเป็นอย่างดี ดิฉันขึ้นไปดูที่ชั้นสอง เห็นมีเด็กเล็กๆ ตั้ง 12 คนแน่ะ ทั้งที่ยังแบเบาะ คลานต้วมเตี้ยมและเดินเตาะแตะ แสดงว่าที่นี่กิจการดีน่าดู พี่เลี้ยงสามคนกำลังวุ่นเชียว ดิฉันถือโอกาสเข้าไปช่วย
งานแบบนี้ต้องอาศัยใจรักจริงๆ นะคะ ดิฉันไม่นึกรังเกียจเลยทั้งการเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือกลิ่นแหวะนมของพวกแก พี่เลี้ยงทั้งสามดูจะชอบอกชอบใจที่ดิฉันเต็มใจช่วยงานพวกเขา ไม่นั่งเป็นคุณนายสวยเริ่ดเชิดหยิ่งอยู่แต่ในออฟฟิศ
"เหนื่อยเหมือนกันนะคะ เด็กตั้งสิบสองคน" ดิฉันผูกมิตร พี่เลี้ยงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"เรามีเด็กสิบเอ็ดคนเองค่ะ" คนหนึ่งตอบ ดิฉันเลยตั้งตนนับใหม่อยู่ในใจเงียบๆ เอ...นับยังไงก็ได้สิบสองคนแน่ๆ แปลกจัง!
อย่างไรก็ตาม ดิฉันทำงานที่นั่นอย่างสบายใจอยู่หลายวันทีเดียว
วันหนึ่งตอนบ่ายโมง ขณะกำลังตรวจบัญชี ฉับพลันก็มีเสียงเด็กทารกแผดเสียงร้องไห้อย่างทรมาน แกร้องงอหายเลยละค่ะ น่าสงสารมาก
ดิฉันทิ้งงานตรงหน้า แล้วเดินลิ่วขึ้นบันไดไปโดยหวังว่าจะช่วยเขาปลอบเด็ก
แต่อะไรกันนั่น! ทันทีที่ดิฉันโผล่หน้าเข้าไปในห้อง เสียงร้องของทารกก็เงียบกริบ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็คือเด็กกำลังนอนหลับสบายในห้องแอร์ ที่ปิดม่านหน้าต่างจนมืดสลัว พี่เลี้ยงทั้งสามดูจะหลับสนิทกว่าเด็กๆ ด้วยซ้ำ
ดิฉันเดินงงลงบันไดมา ทันใดนั้นก็มีเงาเล็กๆ เคลื่อนที่ผ่านหางตาไปอย่างรวดเร็ว และมีเสียงหัวเราะใสๆ ของทารก!
ความตกใจทำให้ดิฉันยืนเกาะราวบันไดนิ่งอยู่นาน
วันรุ่งขึ้น เสียงร้องไห้ เงาเด็กที่วิ่งวูบวาบ และเสียงหัวเราะก็ยังมีมาอีก ดิฉันเลยถามอาหน่อย
"อย่าพูดไปนะอาขอร้อง" อาหน่อยดูกลัดกลุ้ม "อาไม่อยากให้พวกพี่เลี้ยงรู้เรื่องนี้ ทั้งตัวหนูกับอีกสามคนนั่นน่ะ อารับเข้ามาใหม่ทั้งนั้น คนเก่าเขาลาออกไปหมด"
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อสามเดือนก่อนมีทารกวัยสองเดือน แม่อุ้มมาฝากไว้ แล้วก็หายไปเลย เด็กชื่อน้องวุ้น อ่อนแอมาก วันหนึ่งแกหลับไปเฉยๆ แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อาหน่อยวุ่นวายแทบแย่เพราะต้องจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่นับจากนั้นที่นี่ก็มีแต่เรื่องแปลกๆ
สามเดือนผ่านไป เราเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่ทั้งชุดอีกแล้วค่ะ ส่วนดิฉันยังอยู่ ถึงจะหวาดแต่ก็คิดว่าผีเด็ก คงไม่น่ากลัวมากไปกว่านี้หรอกนะคะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 2 สิงหาคม 2550
01 สิงหาคม 2558
วิญญาณหลอน
นิมิต เล่าถึงคืนหนึ่งที่มีบางสิ่งจากมิติอื่นเข้ามาหาเขา
เจ้าอู เพื่อนผมมีไร่สับปะรดอยู่ที่ปราณบุรี ที่จริงไม่ใช่ของมันหรอกครับ ของพ่อมันต่างหาก ท่านซื้อไว้เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อนโน่นแน่ะ เจ้าอูบอกผมเนื้อที่ตั้งยี่สิบกว่าไร่อยู่ใกล้ทะเลด้วย ถึงจะไม่ติดชายหาด แต่ก็ห่างแค่เดินไปไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว
ในเนื้อที่อันกว้างใหญ่นี้มีบ้านสองชั้นหลังย่อมๆ เป็นที่อยู่ของคนเฝ้าไร่และทางอีกด้านหนึ่งของที่ดิน ที่เป็นด้านใกล้ทะเลก็มีบังกะโล ปลูกเป็นเรือนไม้ยาวๆ ชั้นล่างมีห้องนอนสองห้องและห้องกินข้าวที่กว้างขวางใช้เป็นที่นั่งเล่น ดูทีวีได้อย่างสบายอารมณ์ สำหรับครัวและห้องน้ำปลูกยื่นออกไปทางข้างบ้าน บันไดที่จะขึ้นชั้นบนอยู่ติดกับห้องน้ำ ชั้นบนนี้เปิดโล่งตลอดไม่มีฝากั้นห้อง นอนเรียงกันได้เป็นสิบยี่สิบคนเลยล่ะครับ
บังกะโลหลังนี้ เจ้าอูบอกว่าเป็นสิ่งที่ติดมากับที่ดิน มันจึงเก่าแก่มากเอาการอยู่ แต่ก็ดูแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ นี่แสดงว่าช่างแต่ก่อนมีฝีมือดี วัสดุก็มีคุณภาพความคงทนสูง ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่ปลูกบ้านไม่ทันไร ก็ต้องเสียค่าซ่อมโน่นซ่อมนี่ เผลอๆ จะโกงกินเงินของเราเสียด้วยซ้ำ
ผมชอบบรรยากาศในบ้านไร่สับปะรดของเจ้าอูจริงๆ ครับ มันดูสบาย ห่างไกลจากมลภาวะ ปิดเทอมทีไร เจ้าอูจะชวนผมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่นี่กัน ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครปฏิเสธ ส่วนมากเรารวบรวมสมัครพรรคพวกไปด้วยกันเป็นสิบคน นั่งรถทัวร์ไปด้วยกัน บางปีก็ไปรถตู้ของคุณพ่อเจ้าอู
ปีก่อนตอนปิดเทอม ม.5 เราไปกันสิบเอ็ดคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย นั่งรถตู้มีคนขับรถพ่อเจ้าอูขับไปให้และอำนวยความสะดวกตลอดห้าวันที่เราอยู่ที่นั่น
ทุกๆ เย็น ราวบ่ายสี่โมง เราจะนั่งรถตู้ไปที่ชายหาด พอใกล้มืดเต็มทีก็จะกลับมาอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อออกไปหาอาหารกินกันสนุกมาก บางคืนก็เข้าหัวหิน กลับดึกๆ และไม่นอนทั้งคืนเลย เราเล่นกีตาร์และคาราโอเกะกันที่ชั้นล่าง ใครง่วงก็ขึ้นไปนอนข้างบน แต่เรามักจะอยู่กันจนเช้า ให้สมภพคนขับรถไปซื้อโจ๊กกับเลือดหมูมากินกันก่อนเข้านอน
ก่อนกลับวันหนึ่ง ผมท้องเสียอย่างแรง สงสัยหอยแมลงภู่นึ่งนั่นแน่ๆ สรุปว่าเย็นนั้นผมไม่ได้ไปทะเล และไม่ได้เข้าหัวหินกับเพื่อนๆ หมดสนุกเลยครับ ต้องกินยาและนอนหมดเรี่ยวหมดแรง ดีนะที่มีเจ้าโหน่ง เพื่อนที่แสนดีอาสาอยู่เป็นเพื่อน คนอื่นๆ ก็เลยไม่กังวลและออกไปเที่ยวส่งท้ายสบายใจ
ตอนกลางวัน กับตอนเย็นๆ ที่เพื่อนไปเที่ยวทะเลกันน่ะ อยู่ทางนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอกลางคืนสิครับ พอพวกเขาขึ้นรถตู้กันไปแล้ว เหลือผมกับโหน่งสองคน บรรยากาศมันวังเวงพิกล ผมดูทีวีอยู่ชั้นล่างจนห้าทุ่มแน่ะ เพื่อนๆ ยังไม่กลับมาเลย แต่ก็โทร.มาถามอาการอยู่บ่อยๆ ผมอาการดีขึ้น หยุดถ่ายแล้ว หายปวดท้องแล้วด้วย เหลือแค่อาการอ่อนระโหย
ห้าทุ่มสิบนาทีผมชวนโหน่งขึ้นข้างบนเพราะง่วงมาก โหน่งบอกว่านอนเลยก็ดี พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว เราดับไฟนอน แต่ชั้นล่างก็ยังเปิดไฟสว่างอยู่
บังกะโลทั้งหลังเงียบกริบ มีแต่เสียงหริ่งหรีดเรไร
ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมา เสียงนั้นชัดเจนมาก มันต้องมีใครบางคนใส่รองเท้าแตะ เดินแชะๆ มาตามขั้นบันได
ผมผงกหัวขึ้น โหน่งก็เช่นกัน เรามองหน้ากันในความมืด
"ใครน่ะ? คนเฝ้าไร่หรือโจร?" โหน่งกระ ซิบกระซาบ แต่เสียงนั้นเงียบไปแล้ว เหมือนคนคนนั้นหยุดยืนตรงหัวบันไดนิ่งอยู่ เรากลั้นหายใจ เพ่งมองไปตรงนั้นว่าประตูจะเปิดเข้ามาเมื่อไหร่ เราต้องต่อสู้กับใคร? แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ
และแล้ว เสียงรองเท้าแตะแชะๆ ก็เริ่มต้นที่ชั้นล่างอีกแล้วเดินขึ้นมาหยุดที่หน้าประตูเหมือนเดิม ไม่มีเสียงเดินลงไป มีแต่เสียงเดินขึ้นมา
ในเที่ยวที่สาม มันมีเสียงร้องไห้เพิ่มเข้ามาด้วยครับแสดงว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเป็นผู้หญิงแน่ๆ พอเดินมาถึงข้างบนก็เงียบไป
โหน่งกระซิบเสียงสั่น "ผีแน่ว่ะ!"
ผมบอกว่าจะไปดูซิว่าอะไรกันแน่ กลัวน่ะกลัวแต่อยากรู้ เจ้าโหน่งแทบร้องไห้ บอกว่าอย่าดูเลยเดี๋ยวเกิดเห็นอะไรเข้าจะขาดใจตายซะเปล่าๆ
ผมย่องไปมองที่หน้าต่าง เชื่อไหมครับ เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว แต่ท่ามกลางแสงไฟผมไม่เห็นอะไรเลย นอกจากบันไดและฝาบ้าน ...สาธุ!
ขณะที่เราสองคนกลัวแทบหัวใจจะวาย เพราะเสียงคนร้องไห้ขึ้นบันได มันดังเป็นเที่ยวที่หกแล้วนั้น เพื่อนๆ ก็กลับมา เสียงเฮฮา คุยกันจ้อกแจ้กเป็นนกกระจอกแตกรัง ดังขึ้นแทนที่ เฮ้อ! ผีสู้เด็กแก๊งนี้ไม่ได้หรอกครับ
ผมกับโหน่งอุบเงียบจนเข้ากรุงเทพฯ ถึงเล่าให้เจ้าอูฟัง มันบอกว่าเจ้าของเดิมแย่งสมบัติกันจนต้องขายที่เอาเงินมาแบ่งกัน เสียงนั้นคงเป็นใครคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2550
เจ้าอู เพื่อนผมมีไร่สับปะรดอยู่ที่ปราณบุรี ที่จริงไม่ใช่ของมันหรอกครับ ของพ่อมันต่างหาก ท่านซื้อไว้เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อนโน่นแน่ะ เจ้าอูบอกผมเนื้อที่ตั้งยี่สิบกว่าไร่อยู่ใกล้ทะเลด้วย ถึงจะไม่ติดชายหาด แต่ก็ห่างแค่เดินไปไม่ทันเหนื่อยก็ถึงแล้ว
ในเนื้อที่อันกว้างใหญ่นี้มีบ้านสองชั้นหลังย่อมๆ เป็นที่อยู่ของคนเฝ้าไร่และทางอีกด้านหนึ่งของที่ดิน ที่เป็นด้านใกล้ทะเลก็มีบังกะโล ปลูกเป็นเรือนไม้ยาวๆ ชั้นล่างมีห้องนอนสองห้องและห้องกินข้าวที่กว้างขวางใช้เป็นที่นั่งเล่น ดูทีวีได้อย่างสบายอารมณ์ สำหรับครัวและห้องน้ำปลูกยื่นออกไปทางข้างบ้าน บันไดที่จะขึ้นชั้นบนอยู่ติดกับห้องน้ำ ชั้นบนนี้เปิดโล่งตลอดไม่มีฝากั้นห้อง นอนเรียงกันได้เป็นสิบยี่สิบคนเลยล่ะครับ
บังกะโลหลังนี้ เจ้าอูบอกว่าเป็นสิ่งที่ติดมากับที่ดิน มันจึงเก่าแก่มากเอาการอยู่ แต่ก็ดูแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ นี่แสดงว่าช่างแต่ก่อนมีฝีมือดี วัสดุก็มีคุณภาพความคงทนสูง ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่ปลูกบ้านไม่ทันไร ก็ต้องเสียค่าซ่อมโน่นซ่อมนี่ เผลอๆ จะโกงกินเงินของเราเสียด้วยซ้ำ
ผมชอบบรรยากาศในบ้านไร่สับปะรดของเจ้าอูจริงๆ ครับ มันดูสบาย ห่างไกลจากมลภาวะ ปิดเทอมทีไร เจ้าอูจะชวนผมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวที่นี่กัน ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครปฏิเสธ ส่วนมากเรารวบรวมสมัครพรรคพวกไปด้วยกันเป็นสิบคน นั่งรถทัวร์ไปด้วยกัน บางปีก็ไปรถตู้ของคุณพ่อเจ้าอู
ปีก่อนตอนปิดเทอม ม.5 เราไปกันสิบเอ็ดคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย นั่งรถตู้มีคนขับรถพ่อเจ้าอูขับไปให้และอำนวยความสะดวกตลอดห้าวันที่เราอยู่ที่นั่น
ทุกๆ เย็น ราวบ่ายสี่โมง เราจะนั่งรถตู้ไปที่ชายหาด พอใกล้มืดเต็มทีก็จะกลับมาอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อออกไปหาอาหารกินกันสนุกมาก บางคืนก็เข้าหัวหิน กลับดึกๆ และไม่นอนทั้งคืนเลย เราเล่นกีตาร์และคาราโอเกะกันที่ชั้นล่าง ใครง่วงก็ขึ้นไปนอนข้างบน แต่เรามักจะอยู่กันจนเช้า ให้สมภพคนขับรถไปซื้อโจ๊กกับเลือดหมูมากินกันก่อนเข้านอน
ก่อนกลับวันหนึ่ง ผมท้องเสียอย่างแรง สงสัยหอยแมลงภู่นึ่งนั่นแน่ๆ สรุปว่าเย็นนั้นผมไม่ได้ไปทะเล และไม่ได้เข้าหัวหินกับเพื่อนๆ หมดสนุกเลยครับ ต้องกินยาและนอนหมดเรี่ยวหมดแรง ดีนะที่มีเจ้าโหน่ง เพื่อนที่แสนดีอาสาอยู่เป็นเพื่อน คนอื่นๆ ก็เลยไม่กังวลและออกไปเที่ยวส่งท้ายสบายใจ
ตอนกลางวัน กับตอนเย็นๆ ที่เพื่อนไปเที่ยวทะเลกันน่ะ อยู่ทางนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอกลางคืนสิครับ พอพวกเขาขึ้นรถตู้กันไปแล้ว เหลือผมกับโหน่งสองคน บรรยากาศมันวังเวงพิกล ผมดูทีวีอยู่ชั้นล่างจนห้าทุ่มแน่ะ เพื่อนๆ ยังไม่กลับมาเลย แต่ก็โทร.มาถามอาการอยู่บ่อยๆ ผมอาการดีขึ้น หยุดถ่ายแล้ว หายปวดท้องแล้วด้วย เหลือแค่อาการอ่อนระโหย
ห้าทุ่มสิบนาทีผมชวนโหน่งขึ้นข้างบนเพราะง่วงมาก โหน่งบอกว่านอนเลยก็ดี พรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว เราดับไฟนอน แต่ชั้นล่างก็ยังเปิดไฟสว่างอยู่
บังกะโลทั้งหลังเงียบกริบ มีแต่เสียงหริ่งหรีดเรไร
ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมา เสียงนั้นชัดเจนมาก มันต้องมีใครบางคนใส่รองเท้าแตะ เดินแชะๆ มาตามขั้นบันได
ผมผงกหัวขึ้น โหน่งก็เช่นกัน เรามองหน้ากันในความมืด
"ใครน่ะ? คนเฝ้าไร่หรือโจร?" โหน่งกระ ซิบกระซาบ แต่เสียงนั้นเงียบไปแล้ว เหมือนคนคนนั้นหยุดยืนตรงหัวบันไดนิ่งอยู่ เรากลั้นหายใจ เพ่งมองไปตรงนั้นว่าประตูจะเปิดเข้ามาเมื่อไหร่ เราต้องต่อสู้กับใคร? แต่ทุกอย่างก็เงียบกริบ
และแล้ว เสียงรองเท้าแตะแชะๆ ก็เริ่มต้นที่ชั้นล่างอีกแล้วเดินขึ้นมาหยุดที่หน้าประตูเหมือนเดิม ไม่มีเสียงเดินลงไป มีแต่เสียงเดินขึ้นมา
ในเที่ยวที่สาม มันมีเสียงร้องไห้เพิ่มเข้ามาด้วยครับแสดงว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเป็นผู้หญิงแน่ๆ พอเดินมาถึงข้างบนก็เงียบไป
โหน่งกระซิบเสียงสั่น "ผีแน่ว่ะ!"
ผมบอกว่าจะไปดูซิว่าอะไรกันแน่ กลัวน่ะกลัวแต่อยากรู้ เจ้าโหน่งแทบร้องไห้ บอกว่าอย่าดูเลยเดี๋ยวเกิดเห็นอะไรเข้าจะขาดใจตายซะเปล่าๆ
ผมย่องไปมองที่หน้าต่าง เชื่อไหมครับ เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว แต่ท่ามกลางแสงไฟผมไม่เห็นอะไรเลย นอกจากบันไดและฝาบ้าน ...สาธุ!
ขณะที่เราสองคนกลัวแทบหัวใจจะวาย เพราะเสียงคนร้องไห้ขึ้นบันได มันดังเป็นเที่ยวที่หกแล้วนั้น เพื่อนๆ ก็กลับมา เสียงเฮฮา คุยกันจ้อกแจ้กเป็นนกกระจอกแตกรัง ดังขึ้นแทนที่ เฮ้อ! ผีสู้เด็กแก๊งนี้ไม่ได้หรอกครับ
ผมกับโหน่งอุบเงียบจนเข้ากรุงเทพฯ ถึงเล่าให้เจ้าอูฟัง มันบอกว่าเจ้าของเดิมแย่งสมบัติกันจนต้องขายที่เอาเงินมาแบ่งกัน เสียงนั้นคงเป็นใครคนใดคนหนึ่งแน่ๆ ครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 1 สิงหาคม 2550
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)