"สนธยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อนรัก
คนเราบทมันจะตายนี่มันช่างง่ายดาย รวดเร็วเพียงแวบเดียวเท่านั้นเองจริงๆ ค่ะ!
อย่างดิฉันกับเพื่อนที่กำลังเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายกันอย่างสนุกสนานอยู่ดีๆ มัจจุราชก็มากระชากเอาชีวิตของเพื่อนไป! มันเป็นเรื่องสยองขวัญมาก และวิญญาณของเธอก็ยังไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ยื้อยุดดิฉันไว้เพราะเธอยังไม่อยากตายน่ะซีคะ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน..
ตอนนั้นดิฉันอายุเพียง 16 ปี และอยู่ในช่วงปิดเทอม ดิฉันไปค้างบ้านเพื่อน เธอชื่อ นิด - เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เรารักกันมากราว กับเป็นพี่น้อง มันอาจจะเป็นเพราะเราต่างก็เป็นลูกสาวคนเดียวทั้งคู่ก็ได้ค่ะ
ความสนิทสนมของพ่อแม่แต่ละฝ่ายกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปด้วย ทุกอย่างดูดีไปหมด เข้าทำนอง..ความสงบก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่!
เรารักกันจนกลัวว่าจะพรากจากกัน..
ดิฉันคิดว่านี่คือลางสังหรณ์ที่อยู่ลึกๆ ในจิตของเรา นิดกับดิฉันสัญญากันว่าจะไม่เหินห่างกันไปไหน เราจะเป็นเพื่อนรักและสนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างนี้จนกว่าจะแก่ตัวไปด้วยกัน
บ้านของนิดอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน เธอว่ายน้ำเก่งมาก ดิฉันจำได้ว่าวันนั้นอยู่ในเดือนเมษายน อากาศร้อนจัดแทบดิ้น เรานุ่งขาสั้นสวมเสื้อยืด ลงดำผุดดำว่ายกัน ไม่ห่างจากศาลาท่าน้ำบ้านนิดหรอกค่ะ ดูๆ ไม่น่ามีอันตรายเลยแม้แต่น้อย เท้าของเราก็หยั่งถึงด้วยซ้ำ
ในนาทีมรณะ เราไม่ได้เล่นซนอะไรเลย ลอยตัวคุยกันอยู่แท้ๆ
ทันใดนั้น ก็มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่ใต้น้ำ..เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้!
มีกระแสน้ำเย็นจัดผิดปกติไหลผ่านตัวเรา ช่วงเอวลงไป เราทั้งคู่รู้สึกได้พร้อมๆ กัน นิดทำตาโตมองหน้าดิฉัน พลางขยับปากคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันได้เปล่งเสียง ใต้น้ำก็เกิดคลื่นพัดรุนแรงมาก เล่นเอาเราตาเหลือก เท้าหลุดจากใต้พื้นน้ำ ตัวเราลอยคว้างแล้วจมลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว..
นิดเอื้อมมือจะคว้าดิฉันไว้แต่พลาด ทุกอย่างดูลื่นปราดไปหมด ดิฉันอ้าปากร้องก็พอดีน้ำพัดเข้าปาก..กลืนน้ำเข้าไปอึกเบ้อเร่อจนสำลัก กระอักกระไอแทบหายใจไม่ทัน
ขณะหลับหูหลับตาไล่ๆ กับที่นิดผลุบลงไปใต้น้ำ มือไขว่คว้าคล้ายจะให้ดิฉันช่วย เห็นผมของเธอแผ่เป็นวงกว้างเหมือนสาหร่าย..วินาทีต่อมามันก็หายวูบไปราวกับถูกกระชาก!
..ศพของนิดติดอยู่กับรากไม้ที่ฝั่งโน้น น้าชายของเธอเป็นคนงมพบในตอนใกล้ค่ำของวันนั้นเอง..
ร่างเธออ่อนปวกเปียก เย็นเฉียบ ซีดเผือดแต่ดูสวยอย่างน่าประหลาด
วันเวลาแห่งความเศร้าโศกแสนสาหัสของพวกเรา ดูมันช่างยาวนานเหลือเกิน..ดิฉันนอนฝันร้ายอยู่เป็นปี ฝันวนเวียนถึงแต่นาทีที่นิดจมหายไปในลำน้ำ!
บางทีขณะนอนคนเดียวในห้องมืดๆ ดิฉันรู้สึกว่านิดมานอนอยู่ข้างๆ ในสภาพศพที่ถูกงมขึ้นมาใหม่ๆ ดิฉันได้ยินเสียงน้ำหยดแปะๆ ด้วยซ้ำ แต่ไม่กลัวนะคะ พอควานมือไปตรงข้างๆ ก็มีแต่ความว่างเปล่า..
เพื่อนๆ คุณครูและพ่อแม่พยายามให้ดิฉันหายเศร้า..มันจะหายไปได้ง่ายๆ ยังไงล่ะคะ? ดิฉันโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ช่วยเพื่อน..ปล่อยให้เพื่อนตายต่อหน้าต่อตา!
บางคืนก็แว่วเสียงนิดโอดครวญ ดิฉันรู้สึกเลือดในตัวเย็นเฉียบขึ้นมาทันที..เย็นจริงๆ นะคะ ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย มันหนาวจนสะ ท้านทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าว
บ่อยเหลือเกินที่มีแรงฉุดจนดิฉันแทบตกเตียง..นิดมาฉุดเพื่อนแรงมากเลยค่ะ
และแล้วคืนหนึ่ง เมื่อดิฉันตื่นขึ้นเพราะแรงฉุดอันน่าสยดสยองนั้น ดิฉันก็พูดออกมาดังๆ ในความเงียบเชียบจนน่าขนลุก
"อยากให้เราไปอยู่ด้วยใช่ไหม? ตกลง!"
นาทีนั้น..นาทีมรณะ! ดิฉันเกิดความรู้สึกอย่างแน่วแน่ว่าจะฆ่าตัวตาย..ตัดสินใจตายเพื่อจะได้ไปอยู่กับเธอตามที่สัญญากันไว้
ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ทับหนักอึ้งในจิตใจก็พลันโล่งเบา สว่างวาบ..
ทั้งดิฉันและนิดซึ่งอยู่กันคนละโลก ต่างได้สติ..นิดปล่อยจากดิฉันแล้ว!
ในความรู้สึกนั้น นิดตกใจที่ดิฉันจะปลิดชีวิตตัวเอง เธอไม่ได้คาดหวังจะให้ดิฉันทำเช่นนี้ แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่จมน้ำตาย นิดยึดดิฉันไว้แน่น! มันคือความรู้สึกในวินาทีที่เธอหมดลมหายใจสุดท้าย..และเสียชีวิตลง
เธอกลัวสุดขีด ไขว่คว้าเพื่อน..และไม่อยากตาย!
บัดนี้เธอปล่อยดิฉัน..ให้ดิฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ในกลางดึกอันเปล่าเปลี่ยว เงียบเชียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นระทึก..ดิฉันผุดลุกขึ้นนั่งในความมืดสลัว เหงื่อท่วมตัว สายตาคล้ายจะเห็นร่างเล็กๆ ของนิดยืนยิ้มอยู่มุมห้อง แล้วก็เลือนหายไป..
นั่นคือวันที่นิดตายครบสามปี!
จากนั้นมา เธอยังอยู่กับดิฉัน แต่ไม่ใช่ผีที่ยึดเหนี่ยว..ไม่ได้มาในรูปศพสยอง แต่สวยงามเหมือนนางฟ้า..
ถ้ามีคำถามว่ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือคะ? คำตอบคือบอกไม่ถูกเหมือนกัน..มันเป็นสิ่งที่รู้สึกและสัมผัสได้ทางใจเท่านั้นเอง..แม้ขณะเขียนนี้เธอก็ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ เชื่อไหมคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2550
28 ธันวาคม 2558
27 ธันวาคม 2558
คืนปล่อยผี
"นายอุ้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจราตรี กลางวันเป็นเวลาของมนุษย์ กลางคืนน่ะไม่ใช่.....โดยเฉพาะอย่างยิ่งเที่ยงคืนเป็นเวลาของแม่มด และสิ่งลึกลับน่าสะพรึงกลัว
ผมไม่ได้พูดเองนะครับ คุณยายน่ะพร่ำสอนผมอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเรียนจบม.6 เข้ามหาวิทยาลัย และเริ่มใช้ชีวิตกลางคืน...หมายถึงวันไหนที่ไม่ได้ไปเรียน ผมจะอยู่ตลอดคืน ทำรายงานบ้าง เล่นเกมบ้าง ส่วนใหญ่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
หนักๆ เข้าเพื่อนฝูงก็มาบ้านผม หรือไม่ผมก็ไปบ้านเพื่อน ส่วนมากเราจะอยู่กันตลอดคืน บางทียาวไปถึงเที่ยงวัน แล้วก็หมดแรงนอนสลบไสล กว่าจะฟื้นอีกทีก็ตอนค่ำๆ
แล้วกลางคืนก็กลายเป็นเวลาของเราไปด้วยประการฉะนี้แล!
เพื่อนรักของผมชื่อ "แดน" แต่...เอ้อ...ผมไม่ได้ชื่อ "บีม" นะครับ ผมให้พวกเพื่อนๆ เรียกผมว่า "เคน" นึกถึงคำพูด "เรียกฉันว่าอิชเมล" ในหนัง "โมบี้ดิ๊ก" ไงครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองภาพสะท้อนจากกระจกแล้ว ผมว่าผมหล่อเหลาเอาการไม่เบาอยู่เหมือนกัน หล่อเข้มกว่า แดน-บีม ตั้งเยอะแน่ะ! อย่าว่ากันนะครับที่พูดอย่างนี้...ผมน่ะสูงใหญ่ล่ำบึ้ก ดำ เอ๊ย...ผิวสีแทนเข้ม ผมพอง...เอ๊ย! หนา ถึงจะหยิกขอดไปแต่หน่อยก็ดีไปอย่างที่จัดทรงไม่ยาก
ตาผมก็โต เรื่องลูกกะตาผมนี่ บางคนพูดแบบไม่เกรงใจว่า "พอง" แต่เพื่อนฝูงมันปลอบว่า ไม่หรอก มันโตหวานซึ้งดีต่างหากล่ะ
พวกเพื่อนๆ รักผมนะครับ มีผมไปด้วย ที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครกล้ามาตอแย ขนาดคนบ้ายังหลบตาผมเลยครับ คนบ้าหน้าปากซอยน่ะใครๆ กลัวจะตาย แต่พี่แกเห็นผมทีไรก็ทำท่าว่าจะหายบ้า สติดีขึ้นมาทุกทีเลย... สงสัยจะถูกชะตากับผมนะ
ผมเป็นคนที่เพื่อนๆ พึ่งพิงได้ตลอด ใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาระบายให้ฟัง! พวกมันเชื่อผม เห็นผมเป็นพี่เบิ้ม
อาทิตย์ที่แล้วเหมือนกัน วันเสาร์น่ะครับ ผมว่าจะอยู่บ้านกับยายกับแม่แล้วเชียวนา แต่เจ้าแดนโทร.มาสะอึกสะอื้น...มันถูกแฟนทิ้งครับ แฟนมันสวยมาก รักกันมาเป็นปีแล้วล่ะ อยู่ดีๆ ก็ทิ้งไอ้แดนไปหาหนุ่มรถเก๋งซะงั้น ปั๊ดธ่อ! นั่งรถเมล์กับไอ้แดนสนุกๆ ไม่ชอบ!
แดนบอกว่าสาวก้อยจากไปคราวนี้คงไปลับ มันอกหักยับเยิน กรอกเหล้าเข้าปาก ตั้งแต่สายๆ โน่นแล้ว เพราะทะเลาะกับก้อยอย่างหนัก ขนาดตัดเป็นตัดตายกันไปเลย
เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน! แม้บ้านเพื่อนจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม...มันอยู่แถวบางแคเข้าซอยลึกชะมัด แต่ผมก็ต้องดั้นด้นไปปลอบใจมัน กลัวมันจะคิดสั้นน่ะครับ ผมว่าจะกลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม แต่มันเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง สลับกับกรอกเหล้าแบบนันสต๊อป!
เข็มนาฬิกาเดินไปถึงเลขสิบเอ็ด แม่ผมก็โทร.เข้ามือถือ
"เจ้าอุ้ม!" ชื่อของผมครับ "จะค้างหรือจะกลับ แม่จะล็อกประตูบ้าน"
ผมบอกว่ากลับ อย่าเพิ่งล็อก จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ! เฮ้อ...ยายต้องบ่นอีกแน่ๆ พวกผู้ใหญ่นี่ห่วงอะไรกันนักกันหนา ผมโตแล้วนะ อยู่ปีสองแล้ว ไม่ใช่เบบี๋ซักหน่อย
เอาล่ะ! ผมเช็ดแหวะให้เจ้าแดน มันหลับเค้เก้ไปแล้ว...จากนั้นผมก็ลาแม่เพื่อนเดินออกจากบ้าน...ซอยนี่ลึกเป็นบ้าเลย เปลี่ยวด้วย เพราะมีแต่บ้านคน รั้วสูงๆ ล้วนปิดเงียบเชียว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย เดินแบบนี้สบายดี มันมืด เงียบสงบ ดูมืดมิดไปทุกทิศทางแต่ผมกลับชอบ มันดีกว่าแดดร้อนแล้วกัน
เอ๊ะ! เสียงใครย่ำกรวดเดินตามผมมาเนี่ย?
เหลียวไปดูด้านหลังก็มีแต่ความมืด ไฟถนนส่องเป็นระยะๆ ซอยว่างเปล่า มองไปข้างหน้าก็เหมือนกัน ปากซอยอยู่ลิบๆ โน่น...เห็นถนนใหญ่ผ่าน มีรถวิ่งไปมา มีแสงไฟสีส้มๆ มันเล็กเหมือนอยู่ปลายอุโมงค์
ผมหวิวๆ แต่ยังไม่กลัวมากหรอกครับ พอเดินต่ออีกหน่อยเสียงฝีเท้าก็ตามมาอีกเหมือนใครคนนั้นอยู่ห่างผมไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใครซักคน
สองทีแล้วนะ! เอ๊ะ...มันยังไง? ผมขมวดคิ้ว เริ่มเย็นสันหลังวาบๆ แต่ก็หันกลับมาเดินต่อ...ลูกแมวดำโจนแผล็วจากป่าหญ้าที่ดินร้างข้างทาง มันตัดหน้าไปแวบหนึ่ง...เล่นเอาใจหายวาบ
ทันใดนั้น มีมือใหญ่ๆ ตบลงบนบ่าผม... ตบแรงจนบ่าทรุดน่ะครับ!
ผมหันขวับ ร้องเฮ้ย...แต่เจ้าประคุณ! ไม่มีใครเลยจริงๆ มือที่มองไม่เห็นยังจับบ่าแน่น ผมหมุนตัวกลับ ไม่กล้าวิ่งกลัวสติเตลิด ขนลุกซ่า ตัวชาวาบ อยากร้องไห้เต็มทน! แต่ก็แข็งใจเดิน...เดินและเดิน เวลา ผ่านไปราวกับร้อยปีกว่าจะถึงหน้าซอย
แท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา ผมโบกมือเรียกจนได้ขึ้นรถ คนขับแก่มาก...แก่จนไม่น่ามาขับแท็กซี่กลางดึกแบบนี้ แกเปิดวิทยุเพลงไทย! เพลงก็เก่าเหลือเกิน สมัยสงครามโลกเพิ่งสงบได้มั้ง...เอามาจากไหนเนี่ย?
ผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แท็กซี่นี่ผีหรือคนกันแน่วุ้ย? ตั้งแต่โดนผีจับบ่าที่กลางซอย ผมหวาด ระแวงไปหมด...โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วครับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ...
แม่กับยายเห็นหน้าผมขาวผิดปกติก็เลยถาม ผมเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา คุณยายหัวร่อชอบใจ บอกว่าต้องทำบุญให้ผีที่มาหลอกผม เขาน่ะมาช่วยให้ผมรู้จักกลัว จะได้ไม่กล้าไปไหนดึกๆ ดื่นๆ โดยเฉพาะซอยเปลี่ยวอย่างนั้น เมื่อกลัวจะไม่ไปอีกเพราะเข็ดอย่างแรง ผมก็ปลอดภัยไงครับ...เจอผีดีกว่าเจอโจร
ยายบอกว่า...เคยสอนแล้วไงว่ากลางคืนน่ะไม่ใช่เวลาของมนุษย์!
ที่มา : คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2550
ผมไม่ได้พูดเองนะครับ คุณยายน่ะพร่ำสอนผมอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเรียนจบม.6 เข้ามหาวิทยาลัย และเริ่มใช้ชีวิตกลางคืน...หมายถึงวันไหนที่ไม่ได้ไปเรียน ผมจะอยู่ตลอดคืน ทำรายงานบ้าง เล่นเกมบ้าง ส่วนใหญ่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
หนักๆ เข้าเพื่อนฝูงก็มาบ้านผม หรือไม่ผมก็ไปบ้านเพื่อน ส่วนมากเราจะอยู่กันตลอดคืน บางทียาวไปถึงเที่ยงวัน แล้วก็หมดแรงนอนสลบไสล กว่าจะฟื้นอีกทีก็ตอนค่ำๆ
แล้วกลางคืนก็กลายเป็นเวลาของเราไปด้วยประการฉะนี้แล!
เพื่อนรักของผมชื่อ "แดน" แต่...เอ้อ...ผมไม่ได้ชื่อ "บีม" นะครับ ผมให้พวกเพื่อนๆ เรียกผมว่า "เคน" นึกถึงคำพูด "เรียกฉันว่าอิชเมล" ในหนัง "โมบี้ดิ๊ก" ไงครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองภาพสะท้อนจากกระจกแล้ว ผมว่าผมหล่อเหลาเอาการไม่เบาอยู่เหมือนกัน หล่อเข้มกว่า แดน-บีม ตั้งเยอะแน่ะ! อย่าว่ากันนะครับที่พูดอย่างนี้...ผมน่ะสูงใหญ่ล่ำบึ้ก ดำ เอ๊ย...ผิวสีแทนเข้ม ผมพอง...เอ๊ย! หนา ถึงจะหยิกขอดไปแต่หน่อยก็ดีไปอย่างที่จัดทรงไม่ยาก
ตาผมก็โต เรื่องลูกกะตาผมนี่ บางคนพูดแบบไม่เกรงใจว่า "พอง" แต่เพื่อนฝูงมันปลอบว่า ไม่หรอก มันโตหวานซึ้งดีต่างหากล่ะ
พวกเพื่อนๆ รักผมนะครับ มีผมไปด้วย ที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครกล้ามาตอแย ขนาดคนบ้ายังหลบตาผมเลยครับ คนบ้าหน้าปากซอยน่ะใครๆ กลัวจะตาย แต่พี่แกเห็นผมทีไรก็ทำท่าว่าจะหายบ้า สติดีขึ้นมาทุกทีเลย... สงสัยจะถูกชะตากับผมนะ
ผมเป็นคนที่เพื่อนๆ พึ่งพิงได้ตลอด ใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาระบายให้ฟัง! พวกมันเชื่อผม เห็นผมเป็นพี่เบิ้ม
อาทิตย์ที่แล้วเหมือนกัน วันเสาร์น่ะครับ ผมว่าจะอยู่บ้านกับยายกับแม่แล้วเชียวนา แต่เจ้าแดนโทร.มาสะอึกสะอื้น...มันถูกแฟนทิ้งครับ แฟนมันสวยมาก รักกันมาเป็นปีแล้วล่ะ อยู่ดีๆ ก็ทิ้งไอ้แดนไปหาหนุ่มรถเก๋งซะงั้น ปั๊ดธ่อ! นั่งรถเมล์กับไอ้แดนสนุกๆ ไม่ชอบ!
แดนบอกว่าสาวก้อยจากไปคราวนี้คงไปลับ มันอกหักยับเยิน กรอกเหล้าเข้าปาก ตั้งแต่สายๆ โน่นแล้ว เพราะทะเลาะกับก้อยอย่างหนัก ขนาดตัดเป็นตัดตายกันไปเลย
เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน! แม้บ้านเพื่อนจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม...มันอยู่แถวบางแคเข้าซอยลึกชะมัด แต่ผมก็ต้องดั้นด้นไปปลอบใจมัน กลัวมันจะคิดสั้นน่ะครับ ผมว่าจะกลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม แต่มันเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง สลับกับกรอกเหล้าแบบนันสต๊อป!
เข็มนาฬิกาเดินไปถึงเลขสิบเอ็ด แม่ผมก็โทร.เข้ามือถือ
"เจ้าอุ้ม!" ชื่อของผมครับ "จะค้างหรือจะกลับ แม่จะล็อกประตูบ้าน"
ผมบอกว่ากลับ อย่าเพิ่งล็อก จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ! เฮ้อ...ยายต้องบ่นอีกแน่ๆ พวกผู้ใหญ่นี่ห่วงอะไรกันนักกันหนา ผมโตแล้วนะ อยู่ปีสองแล้ว ไม่ใช่เบบี๋ซักหน่อย
เอาล่ะ! ผมเช็ดแหวะให้เจ้าแดน มันหลับเค้เก้ไปแล้ว...จากนั้นผมก็ลาแม่เพื่อนเดินออกจากบ้าน...ซอยนี่ลึกเป็นบ้าเลย เปลี่ยวด้วย เพราะมีแต่บ้านคน รั้วสูงๆ ล้วนปิดเงียบเชียว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย เดินแบบนี้สบายดี มันมืด เงียบสงบ ดูมืดมิดไปทุกทิศทางแต่ผมกลับชอบ มันดีกว่าแดดร้อนแล้วกัน
เอ๊ะ! เสียงใครย่ำกรวดเดินตามผมมาเนี่ย?
เหลียวไปดูด้านหลังก็มีแต่ความมืด ไฟถนนส่องเป็นระยะๆ ซอยว่างเปล่า มองไปข้างหน้าก็เหมือนกัน ปากซอยอยู่ลิบๆ โน่น...เห็นถนนใหญ่ผ่าน มีรถวิ่งไปมา มีแสงไฟสีส้มๆ มันเล็กเหมือนอยู่ปลายอุโมงค์
ผมหวิวๆ แต่ยังไม่กลัวมากหรอกครับ พอเดินต่ออีกหน่อยเสียงฝีเท้าก็ตามมาอีกเหมือนใครคนนั้นอยู่ห่างผมไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใครซักคน
สองทีแล้วนะ! เอ๊ะ...มันยังไง? ผมขมวดคิ้ว เริ่มเย็นสันหลังวาบๆ แต่ก็หันกลับมาเดินต่อ...ลูกแมวดำโจนแผล็วจากป่าหญ้าที่ดินร้างข้างทาง มันตัดหน้าไปแวบหนึ่ง...เล่นเอาใจหายวาบ
ทันใดนั้น มีมือใหญ่ๆ ตบลงบนบ่าผม... ตบแรงจนบ่าทรุดน่ะครับ!
ผมหันขวับ ร้องเฮ้ย...แต่เจ้าประคุณ! ไม่มีใครเลยจริงๆ มือที่มองไม่เห็นยังจับบ่าแน่น ผมหมุนตัวกลับ ไม่กล้าวิ่งกลัวสติเตลิด ขนลุกซ่า ตัวชาวาบ อยากร้องไห้เต็มทน! แต่ก็แข็งใจเดิน...เดินและเดิน เวลา ผ่านไปราวกับร้อยปีกว่าจะถึงหน้าซอย
แท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา ผมโบกมือเรียกจนได้ขึ้นรถ คนขับแก่มาก...แก่จนไม่น่ามาขับแท็กซี่กลางดึกแบบนี้ แกเปิดวิทยุเพลงไทย! เพลงก็เก่าเหลือเกิน สมัยสงครามโลกเพิ่งสงบได้มั้ง...เอามาจากไหนเนี่ย?
ผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แท็กซี่นี่ผีหรือคนกันแน่วุ้ย? ตั้งแต่โดนผีจับบ่าที่กลางซอย ผมหวาด ระแวงไปหมด...โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วครับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ...
แม่กับยายเห็นหน้าผมขาวผิดปกติก็เลยถาม ผมเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา คุณยายหัวร่อชอบใจ บอกว่าต้องทำบุญให้ผีที่มาหลอกผม เขาน่ะมาช่วยให้ผมรู้จักกลัว จะได้ไม่กล้าไปไหนดึกๆ ดื่นๆ โดยเฉพาะซอยเปลี่ยวอย่างนั้น เมื่อกลัวจะไม่ไปอีกเพราะเข็ดอย่างแรง ผมก็ปลอดภัยไงครับ...เจอผีดีกว่าเจอโจร
ยายบอกว่า...เคยสอนแล้วไงว่ากลางคืนน่ะไม่ใช่เวลาของมนุษย์!
ที่มา : คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2550
26 ธันวาคม 2558
ทัวร์นรก
"นายหนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง
ผมเคยเล่าเรื่องโดนผีหลอกที่นิคมรถไฟ ก.ม.11 มาสองครั้งสองหนแล้วนะครับ
เห็นลุงม้วนมาซดยาดองที่เพิงหน้าชุมชนภักดีตอนเย็น ทั้งๆ ที่แกนอนแหงแก๋อยู่ที่วัดเสมียนนารีแล้ว แต่ผมไม่รู้มาก่อน กับหนุ่มสาวที่เกี่ยวก้อยเข้าไปนั่งจู๋จี๋กันที่โต๊ะม้าหินใต้ร่มไทรตอนดึก พอผมกับเพื่อนเกลอตามไปดูเพราะเจ้าหงหาว่าผมตาฝาด อ้าว? หนุ่มสาวที่หันมามองน่ะไม่ยักมีหน้าตาหรอกแฮะ
ไม่เข็ดก็ต้องเข็ดครับ งานนี้น่ะ!
ตอนกลางวันโฉบรถไปดูให้แน่ใจอีกครั้งก็ไม่มีอะไร ห้องแถวไม้เก่าๆหลากรูปแบบ เสียแต่บรรยากาศร่มครึ้มน่าวังเวงใจ เพราะอยู่ใต้ร่มไทรดกหนา ด้านหน้าห้องที่เป็นบานเฟี้ยมน่ะมีรากไทรห้อยระย้า ทางขวามือคือโต๊ะม้าหินที่เจอดีเข้าจังๆ นั่นแหละคุณ
ถามเพื่อนซี้ทั้งสองคน แต่เจ้าหงกับเจ้าตี๋ก็บอกว่าไม่เคยได้ยินว่ามีใครมาล้มตายที่นั่นแน่ๆ สงสัยว่าคืนนั้นพวกเราคงจะดวงซวย ถึงได้เห็นเข้าเต็มตาทั้งสามคน
บอกตรงๆ ว่ากลางค่ำกลางคืนผมไม่ค่อยอยากไปแถวนั้นหรอกครับ สาเหตุสำคัญก็คือกลัวโดนผีหลอกน่ะซี
อย่างว่าแหละ คนเราส่วนมากน่ะมีนิสัยลืมง่าย ยิ่งวัยหนุ่มคะนองอย่างพวกเรามักจะรักสนุก ชอบเที่ยวเตร่เฮฮา ยิ่งตอนกลางคืนมีแสงสีสวยๆ งามๆ ล่อตาล่อใจ จะว่าเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็คงไม่ผิดนัก
วันดีคืนดีก็โดนผีหลอกเข้าอีกจนได้!
คราวนี้ไม่ใช่แถวชุมชนภักดีนะครับ แม้ว่าบรรยากาศตอนค่ำคืนค่อนข้างจะน่าวังเวงใจก็ตาม ยิ่งแถวแผงผัดไทยป้าแดง ข้าวแกงน้องเฟิร์น ที่เปลี่ยนมาขายผลไม้มีศาลถึงสองศาล ด้านในชื่ออะไรไม่รู้ แต่ด้านนอกน่ะเป็นศาลปู่แก้วย่าพิมพา เขาว่าขลังนักเชียว
คืนนั้นตรงกับวันเสาร์ เราสามคนนัดแนะไปเที่ยวผับกันที่หน้า อ.ต.ก.
จุดนัดพบก็ที่หน้าชุมชนภักดีตามเคย ตอนเย็นๆ ค่ำๆ ยังไม่เปลี่ยวนะครับ มีผู้คนคึกคักตามสมควร พอเจ้าหงรับเจ้าตี๋ซ้อนท้ายมาแถวหน้าเพิงยาดอง ผมว่าจะซดพลังเสือโคร่งอุ่นเครื่องซัก 2-3 ก๊ง แต่วันนั้นเขาไม่ขายเฉยเลย! ไม่เป็นไร ร้านย่านใกล้ๆ กันมีเยอะแยะไป เอาไว้ 3-4 ทุ่มค่อยเข้าผับก็ได้
เลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟไปออกถนนกำแพงเพชร 6 เลี้ยวขวาผ่านอู่รถทัวร์ที่คงวิ่งสายอีสานโดยเฉพาะ เห็นมีแต่ป้ายว่าไปจังหวัดขอนแก่น, อุดร, หนองคาย, เลย, นครพนม ฯลฯ จอดอยู่เป็นสิบๆ คัน ผมเคยแวะไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่มะระที่หน้าอู่ ต้องยอมรับว่า อร่อยติดลิ้นเอาการ
คราวนี้ก็บึ่งรวดไปร้านขาประจำ ที่มี "น้องสวย" สาวเสิร์ฟอวบอึ๋มเป็น อาหารตาของเสือหนุ่มและสิงห์เฒ่า ถือว่าเป็นกับแกล้มขนาดวิเศษ...ซดเหล้าอุ่นเครื่องกันที่นั่นไปก่อน คืนนั้นคุณเธอสวมเสื้อรัดรูปคอกว้าง เจ้าตี๋มองเห็นก็ทำท่าเหมือนจะรากเลือดลงแดงซะให้ได้
อ้าว? เจ้าหงดันมีเรื่องผีมาเล่าให้ฟังอีกแล้วซีครับ!
ไม่ใช่เรื่องผีลุงม้วนหรือผีแถวบ้านมัน แต่เป็นผีในรถทัวร์ หรือรถทัวร์ผีสิง
แถวสถานีขนส่งหมอชิต 2 แยกไปถนนกำแพงเพชร 6 นั่นแหละครับ ตอนดึกๆ มีคนเห็นรถทัวร์แล่นผ่านไปช้าๆ เปิดไฟสว่างโร่ ผู้โดยสารนั่งตัวแข็งทื่อหันมามอง...หน้าตามีแต่เลือดแดงเถือก แถมเหวอะหวะน่าสยดสยองสิ้นดี
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโดนผีหลอกเข้าเต็มเปา คนที่เห็นน่ะขี่มอเตอร์ไซค์อย่างพวกเรานี่แหละ ร้องจ๊าก...รถเผ่นพรวดตกถนนลงไปกลิ้งแอ้งแม้ง อยู่ในพงหญ้า ไม่แข้งขาหักก็ถือว่าโชคดีเหลือหลายแล้ว
เจ้าตี๋มีอุปนิสัยกลัวผีสุดๆ สังกัดบริษัทตาแหกเหมือนผม ละสายตาจากหน้าอกหน้าใจมหึมาของน้องสวย หันมาคำรามว่ามึงจะเล่าเรื่องผีไปสามง่ามอะไรวะ?
เจ้าหงก็ยักคิ้วตอบหน้าตาเฉยว่า...กูเล่าเพื่อเบรกอารมณ์มึงไงล่ะ? เห็นจ้องส้มโอน้องสวยจนนัยน์ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้าแน่ะ! เจ้าตี๋ยิ้มแหยๆ ก่อนจะหันไปมองบั้นท้ายงอนงามของน้องสวยที่กำลังเดินยักคิ้วไปที่เคาน์เตอร์ คว้าแก้วมาซดเหล้าฮวบใหญ่
ราว 4 ทุ่มเราก็ย้อนไปทางหน้าอ.ต.ก.ฝั่งตรงข้ามมีผับดังๆ ที่ตำรวจเคยเข้าไประงับการวิวาทของนักเที่ยว ส่วนมากเป็นวัยรุ่นหลายสิบคน...แต่พวกเราไปหาความสุขกันครับ ไม่ได้ไปหาเรื่อง สนุกกันแต่ในโต๊ะเรา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโต๊ะอื่น ก็เลยไม่เคยเกิดปัญหาอะไรซักที...
ปัญหามาเกิดตอนขากลับน่ะซีคุณ!
เราชวนกันกลับตอนตีหนึ่งเศษ ยอมรับว่าค่อนข้างมึนกันตามสมควร ร้องเตือนกันว่าขับรถช้านิด ระวังเอาไว้หน่อย ถึงทางกลับไม่มีด่านก็เถอะ อย่าประมาทเป็นดีที่สุด
ลมเย็นๆ ที่พัดวูบเข้าปะทะทำให้หูตาสว่างขึ้น...จนใกล้จะถึงทางลัดข้ามทางรถไฟเข้าชุมชนภักดี ผมก็เหลือบไปทางอู่รถทัวร์ขวามือเหมือนมีอะไรดลใจ
แสงไฟสะดุดตาชอบกล...ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ปิดเงียบ แต่มีรถทัวร์คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนเปิดไฟสว่างทั้งคัน เห็นผู้โดยสารนั่งอยู่เต็ม...ที่นี่ไม่ใช่สถานีขนส่งนี่นา แถมไม่ใช่ทางผ่านอีกต่างหาก... ผมเรียกเจ้าหงที่ตีคู่กันมาทางด้านใน ก่อนจะชะลอรถโดยไม่รู้ตัว
นรกเป็นพยาน! ผู้โดยสารริมหน้าต่างหันหน้ามาทางเราเป็นจุดเดียวกัน...ดูแน่นิ่งเยือกเย็น เลือดเปรอะ นัยน์ตาเบิกถลน...ผมแว่วเสียงเพื่อนทั้งสองด่าทอเต็มสองหูอื้ออึง ตามด้วยเสียงเร่งเครื่องดังสนั่น เคล้ากับเสียงหัวเราะแหบโหยเขย่าขวัญสิ้นดี
เจ้าหงเลี้ยวพรวด ส่วนผมห้อตะบึงไปข้างหน้า....ไม่มีใครห่วงใครนอกจากตัวเอง! ผม กลับไปนอนจับไข้อยู่ 3 วัน เพื่อนเกลอทั้งคู่ก็อาการปางตายพอๆ กัน...จะเป็นเพราะพิษเหล้าหรือดวงซวยจนโดนผีหลอกจริงๆ ก็ไม่รู้ซีครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 ธันวาคม 2550
ผมเคยเล่าเรื่องโดนผีหลอกที่นิคมรถไฟ ก.ม.11 มาสองครั้งสองหนแล้วนะครับ
เห็นลุงม้วนมาซดยาดองที่เพิงหน้าชุมชนภักดีตอนเย็น ทั้งๆ ที่แกนอนแหงแก๋อยู่ที่วัดเสมียนนารีแล้ว แต่ผมไม่รู้มาก่อน กับหนุ่มสาวที่เกี่ยวก้อยเข้าไปนั่งจู๋จี๋กันที่โต๊ะม้าหินใต้ร่มไทรตอนดึก พอผมกับเพื่อนเกลอตามไปดูเพราะเจ้าหงหาว่าผมตาฝาด อ้าว? หนุ่มสาวที่หันมามองน่ะไม่ยักมีหน้าตาหรอกแฮะ
ไม่เข็ดก็ต้องเข็ดครับ งานนี้น่ะ!
ตอนกลางวันโฉบรถไปดูให้แน่ใจอีกครั้งก็ไม่มีอะไร ห้องแถวไม้เก่าๆหลากรูปแบบ เสียแต่บรรยากาศร่มครึ้มน่าวังเวงใจ เพราะอยู่ใต้ร่มไทรดกหนา ด้านหน้าห้องที่เป็นบานเฟี้ยมน่ะมีรากไทรห้อยระย้า ทางขวามือคือโต๊ะม้าหินที่เจอดีเข้าจังๆ นั่นแหละคุณ
ถามเพื่อนซี้ทั้งสองคน แต่เจ้าหงกับเจ้าตี๋ก็บอกว่าไม่เคยได้ยินว่ามีใครมาล้มตายที่นั่นแน่ๆ สงสัยว่าคืนนั้นพวกเราคงจะดวงซวย ถึงได้เห็นเข้าเต็มตาทั้งสามคน
บอกตรงๆ ว่ากลางค่ำกลางคืนผมไม่ค่อยอยากไปแถวนั้นหรอกครับ สาเหตุสำคัญก็คือกลัวโดนผีหลอกน่ะซี
อย่างว่าแหละ คนเราส่วนมากน่ะมีนิสัยลืมง่าย ยิ่งวัยหนุ่มคะนองอย่างพวกเรามักจะรักสนุก ชอบเที่ยวเตร่เฮฮา ยิ่งตอนกลางคืนมีแสงสีสวยๆ งามๆ ล่อตาล่อใจ จะว่าเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็คงไม่ผิดนัก
วันดีคืนดีก็โดนผีหลอกเข้าอีกจนได้!
คราวนี้ไม่ใช่แถวชุมชนภักดีนะครับ แม้ว่าบรรยากาศตอนค่ำคืนค่อนข้างจะน่าวังเวงใจก็ตาม ยิ่งแถวแผงผัดไทยป้าแดง ข้าวแกงน้องเฟิร์น ที่เปลี่ยนมาขายผลไม้มีศาลถึงสองศาล ด้านในชื่ออะไรไม่รู้ แต่ด้านนอกน่ะเป็นศาลปู่แก้วย่าพิมพา เขาว่าขลังนักเชียว
คืนนั้นตรงกับวันเสาร์ เราสามคนนัดแนะไปเที่ยวผับกันที่หน้า อ.ต.ก.
จุดนัดพบก็ที่หน้าชุมชนภักดีตามเคย ตอนเย็นๆ ค่ำๆ ยังไม่เปลี่ยวนะครับ มีผู้คนคึกคักตามสมควร พอเจ้าหงรับเจ้าตี๋ซ้อนท้ายมาแถวหน้าเพิงยาดอง ผมว่าจะซดพลังเสือโคร่งอุ่นเครื่องซัก 2-3 ก๊ง แต่วันนั้นเขาไม่ขายเฉยเลย! ไม่เป็นไร ร้านย่านใกล้ๆ กันมีเยอะแยะไป เอาไว้ 3-4 ทุ่มค่อยเข้าผับก็ได้
เลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟไปออกถนนกำแพงเพชร 6 เลี้ยวขวาผ่านอู่รถทัวร์ที่คงวิ่งสายอีสานโดยเฉพาะ เห็นมีแต่ป้ายว่าไปจังหวัดขอนแก่น, อุดร, หนองคาย, เลย, นครพนม ฯลฯ จอดอยู่เป็นสิบๆ คัน ผมเคยแวะไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่มะระที่หน้าอู่ ต้องยอมรับว่า อร่อยติดลิ้นเอาการ
คราวนี้ก็บึ่งรวดไปร้านขาประจำ ที่มี "น้องสวย" สาวเสิร์ฟอวบอึ๋มเป็น อาหารตาของเสือหนุ่มและสิงห์เฒ่า ถือว่าเป็นกับแกล้มขนาดวิเศษ...ซดเหล้าอุ่นเครื่องกันที่นั่นไปก่อน คืนนั้นคุณเธอสวมเสื้อรัดรูปคอกว้าง เจ้าตี๋มองเห็นก็ทำท่าเหมือนจะรากเลือดลงแดงซะให้ได้
อ้าว? เจ้าหงดันมีเรื่องผีมาเล่าให้ฟังอีกแล้วซีครับ!
ไม่ใช่เรื่องผีลุงม้วนหรือผีแถวบ้านมัน แต่เป็นผีในรถทัวร์ หรือรถทัวร์ผีสิง
แถวสถานีขนส่งหมอชิต 2 แยกไปถนนกำแพงเพชร 6 นั่นแหละครับ ตอนดึกๆ มีคนเห็นรถทัวร์แล่นผ่านไปช้าๆ เปิดไฟสว่างโร่ ผู้โดยสารนั่งตัวแข็งทื่อหันมามอง...หน้าตามีแต่เลือดแดงเถือก แถมเหวอะหวะน่าสยดสยองสิ้นดี
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโดนผีหลอกเข้าเต็มเปา คนที่เห็นน่ะขี่มอเตอร์ไซค์อย่างพวกเรานี่แหละ ร้องจ๊าก...รถเผ่นพรวดตกถนนลงไปกลิ้งแอ้งแม้ง อยู่ในพงหญ้า ไม่แข้งขาหักก็ถือว่าโชคดีเหลือหลายแล้ว
เจ้าตี๋มีอุปนิสัยกลัวผีสุดๆ สังกัดบริษัทตาแหกเหมือนผม ละสายตาจากหน้าอกหน้าใจมหึมาของน้องสวย หันมาคำรามว่ามึงจะเล่าเรื่องผีไปสามง่ามอะไรวะ?
เจ้าหงก็ยักคิ้วตอบหน้าตาเฉยว่า...กูเล่าเพื่อเบรกอารมณ์มึงไงล่ะ? เห็นจ้องส้มโอน้องสวยจนนัยน์ตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้าแน่ะ! เจ้าตี๋ยิ้มแหยๆ ก่อนจะหันไปมองบั้นท้ายงอนงามของน้องสวยที่กำลังเดินยักคิ้วไปที่เคาน์เตอร์ คว้าแก้วมาซดเหล้าฮวบใหญ่
ราว 4 ทุ่มเราก็ย้อนไปทางหน้าอ.ต.ก.ฝั่งตรงข้ามมีผับดังๆ ที่ตำรวจเคยเข้าไประงับการวิวาทของนักเที่ยว ส่วนมากเป็นวัยรุ่นหลายสิบคน...แต่พวกเราไปหาความสุขกันครับ ไม่ได้ไปหาเรื่อง สนุกกันแต่ในโต๊ะเรา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโต๊ะอื่น ก็เลยไม่เคยเกิดปัญหาอะไรซักที...
ปัญหามาเกิดตอนขากลับน่ะซีคุณ!
เราชวนกันกลับตอนตีหนึ่งเศษ ยอมรับว่าค่อนข้างมึนกันตามสมควร ร้องเตือนกันว่าขับรถช้านิด ระวังเอาไว้หน่อย ถึงทางกลับไม่มีด่านก็เถอะ อย่าประมาทเป็นดีที่สุด
ลมเย็นๆ ที่พัดวูบเข้าปะทะทำให้หูตาสว่างขึ้น...จนใกล้จะถึงทางลัดข้ามทางรถไฟเข้าชุมชนภักดี ผมก็เหลือบไปทางอู่รถทัวร์ขวามือเหมือนมีอะไรดลใจ
แสงไฟสะดุดตาชอบกล...ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ปิดเงียบ แต่มีรถทัวร์คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนเปิดไฟสว่างทั้งคัน เห็นผู้โดยสารนั่งอยู่เต็ม...ที่นี่ไม่ใช่สถานีขนส่งนี่นา แถมไม่ใช่ทางผ่านอีกต่างหาก... ผมเรียกเจ้าหงที่ตีคู่กันมาทางด้านใน ก่อนจะชะลอรถโดยไม่รู้ตัว
นรกเป็นพยาน! ผู้โดยสารริมหน้าต่างหันหน้ามาทางเราเป็นจุดเดียวกัน...ดูแน่นิ่งเยือกเย็น เลือดเปรอะ นัยน์ตาเบิกถลน...ผมแว่วเสียงเพื่อนทั้งสองด่าทอเต็มสองหูอื้ออึง ตามด้วยเสียงเร่งเครื่องดังสนั่น เคล้ากับเสียงหัวเราะแหบโหยเขย่าขวัญสิ้นดี
เจ้าหงเลี้ยวพรวด ส่วนผมห้อตะบึงไปข้างหน้า....ไม่มีใครห่วงใครนอกจากตัวเอง! ผม กลับไปนอนจับไข้อยู่ 3 วัน เพื่อนเกลอทั้งคู่ก็อาการปางตายพอๆ กัน...จะเป็นเพราะพิษเหล้าหรือดวงซวยจนโดนผีหลอกจริงๆ ก็ไม่รู้ซีครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 ธันวาคม 2550
25 ธันวาคม 2558
เงาในกระจก
"หนูหลิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกระจกอาถรรพณ์
คนสมัยก่อนเชื่อโชคถือลางกันสารพัด โดยเฉพาะพวกผู้หญิงดูเหมือนจะถูกความเชื่อถือเหล่านี้ เป็นกฎเกณฑ์ให้ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าผู้ชาย เช่น ห้ามร้องเพลงในครัว ใครไม่เชื่อก็จะได้ผัวแก่! ผู้ใหญ่ท่านคงรำคาญหรือหนวกหู ก็เลยเอาความเชื่อเก่าๆ มาขู่ให้พวกสาวๆ กลัวนะคะ ดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วยซี
นอกจากนั้นมีห้ามหวีผมตอนกลางคืน กลัวว่าจะแอบหนีเที่ยว! มีเสียงอะไรดังนอกบ้านห้ามทัก ห้ามตอบ...คงเกรงว่าจะมีผู้ชายมาส่งเสียงเป็นสัญญาณนัดแนะ แต่อ้างว่าเดี๋ยวจะโดนของ โดนคุณไสยที่คนมีวิชาอาคมเขาปล่อยออกมา
ยิ่งกระจกเงาด้วยแล้วยิ่งถือกันมากค่ะ!
เชื่อว่า กระจกเงาของใครก็ตาม เมื่อส่องดูนานๆ ย่อมจะดูดซับเอาจิตวิญญาณของผู้นั้นไว้ข้างใน ใครทำกระจกแตกถือว่าโชคร้าย ชีวิตอาจจะแตกดับ หรือไม่ก็อายุสั้นเพราะดวงชะตาพลอยขาดไปตามกระจก ต้องปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อสะเดาะเคราะห์กันให้ถูกต้อง
เข้าใจว่าหมายถึงกระจกเล็กๆ ที่พกติดกระเป๋าของผู้หญิงมากกว่ากระจกเงาบานใหญ่ๆ ในบ้าน เพราะอย่างหลังนี้ไม่ว่าใครๆ ก็ใช้ร่วมกัน ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง หรือสามีและภรรยา รวมทั้งญาติมิตรที่สนิทสนมกัน
ดิฉันเพิ่งเข้าใจว่า อาถรรพณ์ของกระจกเก็บวิญญาณนั้น ไม่ได้หมายถึงกระจกบานเล็กๆ เสมอไป!
สาเหตุมาจากเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกัน 3 คน คืออ้อย แหม่ม และ ดิฉัน ตกลงใจซื้อทัวร์ไปเที่ยวอ่างทอง และอยุธยา เป้าหมายก็คือไหว้พระเก้าวัดที่ อำเภอวิเศษชัยชาญ จำได้เลาๆ ว่ามีวัดน้อย วัดข่อย วัดอ้อย วัดม่วง ฯลฯ ค้างแค่คืนเดียว....ปัญหาอยู่ที่จุดนัดพบแถวหน้าสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ย่านสาทร แถมในเวลา 06.30 น. อีกต่างหาก
บ้านดิฉันอยู่ถนนติวานนท์ พอๆ กับอ้อยที่อยู่สะพานใหม่...เราเลยแก้ปัญหาด้วยการไปค้างบ้านแหม่มแถวยานนาวา สิ้นเรื่องสิ้นราวไปค่ะ
พ่อแม่แหม่มใจดีมาก น้องๆ ของเธอก็น่ารัก เราเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในห้องนอนเพื่อนใกล้ๆ ห้องรับแขก แล้วมากินข้าว ดูทีวี คุยกันสนุกสนาน...ไม่มีวี่แววว่าจะเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกแม้แต่น้อยนิด!
พ่อรับปากจะขับรถไปส่งตอนเช้ามืดวันเสาร์ กำชับลูกสาวที่มีโปรแกรมไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย...อย่าลืมซื้อหนังปลาทอดมาให้พ่อแกล้มเบียร์แล้วกัน
ราวสี่ทุ่มเศษเราก็ชวนกันเข้าห้องนอน...
เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ อวดชุดเก่งกันพลางหัวเราะคิกคัก ดิฉันกับอ้อยแย่หน่อย ที่ต้องเพิ่มเสื้อผ้าอีกหนึ่งชุด...แหม่มขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า ไม่ช้าก็เดินเช็ดผมออกมาเพราะเธอติดนิสัยต้องสระผมก่อนนอนทุกวัน ตามด้วยอ้อยที่เข้าห้องน้ำเป็นคนถัดมา
ดิฉันสวมหมวกอาบน้ำ คว้าผ้าเช็ดตัวและชุดนอนเตรียมจะเข้าไปอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย...พอดีเสียงอ้อยร้อยกรี๊ดดังขึ้น!
เราหันขวับไปเห็นร่างเล็กๆ ของอ้อยเปิดประตูพรวดพราดออกมา หน้าตาซีดเผือด มือกุมปมผ้าเช็ดตัวหลวมๆ ปากคอสั่น...แหม่มย่นคิ้วถามว่าเป็นอะไรไป? กลัวจิ้งจกเหรอ...แต่อ้อยร้องว่า "ฉันโดนผีหลอก!"
"ฮ้า!" แหม่มร้องลั่น ดิฉันเองก็อ้าปากค้าง หันไปมองประตูห้องน้ำที่เปิดโล่ง ไฟสว่างโพลงอย่างไม่แน่ใจ อ้อยกลืนน้ำลายก่อนจะเล่าเรื่องให้ฟัง
ขณะที่เธอยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวพร่างพรู รู้สึกว่าอากาศเยือกเย็นชอบกบ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จมายืนเช็ดตัวอยู่หน้ากระจก
"ฉันเห็นใครก็ไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลัง หน้าขาว ผมยาว...ตอนแรกนึกว่าแหม่มโผล่เข้ามาทำผีหลอก แต่หันไปมองก็ไม่เห็นอะไร...ประตูก็ยังล็อกอยู่ตามเดิม! ฉันเลยสติแตก ปล่อยกรี๊ดๆ เลยน่ะซี!"
แหม่มถอนใจเฮือก ส่ายหน้าพลางยิ้มละไม ยืนยันว่าอ้อยตาฝาดไปเองแน่ๆ เลย...สงสัยจะคิดถึงเมืองโบราณที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้มากเกินไป
"แล้วเธอล่ะ หลิน?" แหม่มหันมาเลิกคิ้วกับดิฉัน "กลัวหรือเปล่า? ให้ฉันเข้าไปยืนเป็นเพื่อนมั้ย?"
"บ้าน่ะซี!" ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะก้าวเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเรียบร้อย...ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ไขน้ำอุ่นๆ สาดกระจายลงมาชุ่มฉ่ำ อากาศค่อนข้างเย็นยะเยือกชอบกล
นึกถึงเรื่องที่อ้อยเล่า อดห่อไหล่ไม่ได้.....ถ้ามีอะไรแปลกๆ ในห้องนั้นล่ะ?
จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น....
ดิฉันมายืนเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่อ่างล้างหน้า สวมชุดนอนสองชิ้น จัดการแปรงฟันและล้างมือก่อนจะเข้านอนตามความเคยชิน...เงยหน้ามองเงาในกระจกอีกครั้ง ไม่เห็นใครยืนอยู่ข้างหลังเหมือนที่อ้อยเห็นหรอกค่ะ...แต่ดิฉันเห็นตัวเองกำลังก้มลงล้างหน้าล้างตาเด่นชัดอยู่ในแสงไฟ
คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด! ดิฉันยืนตัวตรง อ้าปากค้าง แต่ผู้หญิงผมยาวคนนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาล้างหน้า...เห็นชัดเจนในกระจกเงา!
ไม่ทราบว่าเปิดประตูออกมาได้ยังไง...เพื่อนทั้งสองหันมาเห็นหน้าก็ปราดเข้ามาหา ได้ยินเสียงอ้อยถามแว่วๆ ว่า เจอเข้าเหมือนกันเรอะตัวเอง? ดิฉันได้แต่พยักหน้า แข้งขาอ่อนจนต้องนั่งแปะลงบนเตียง ปากลิ้นแข็งชาจนแทบพูดอะไรไม่ออก
แหม่มเพิ่งเล่าว่า น้าสาวที่นอนอยู่ห้องเดียวกันหัวใจวายตายในห้องน้ำตั้ง 4-5 ปีมาแล้ว เธอเองไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวซักครั้งเดียว...
คืนนั้นเรานอนเบียดกันบนเตียงทั้งสามคน ดิฉันเชื่อว่าน้าของแหม่มคงยืนส่องกระจกจนหัวใจวายตายแน่ๆ เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 25 ธันวาคม 2550
คนสมัยก่อนเชื่อโชคถือลางกันสารพัด โดยเฉพาะพวกผู้หญิงดูเหมือนจะถูกความเชื่อถือเหล่านี้ เป็นกฎเกณฑ์ให้ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าผู้ชาย เช่น ห้ามร้องเพลงในครัว ใครไม่เชื่อก็จะได้ผัวแก่! ผู้ใหญ่ท่านคงรำคาญหรือหนวกหู ก็เลยเอาความเชื่อเก่าๆ มาขู่ให้พวกสาวๆ กลัวนะคะ ดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วยซี
นอกจากนั้นมีห้ามหวีผมตอนกลางคืน กลัวว่าจะแอบหนีเที่ยว! มีเสียงอะไรดังนอกบ้านห้ามทัก ห้ามตอบ...คงเกรงว่าจะมีผู้ชายมาส่งเสียงเป็นสัญญาณนัดแนะ แต่อ้างว่าเดี๋ยวจะโดนของ โดนคุณไสยที่คนมีวิชาอาคมเขาปล่อยออกมา
ยิ่งกระจกเงาด้วยแล้วยิ่งถือกันมากค่ะ!
เชื่อว่า กระจกเงาของใครก็ตาม เมื่อส่องดูนานๆ ย่อมจะดูดซับเอาจิตวิญญาณของผู้นั้นไว้ข้างใน ใครทำกระจกแตกถือว่าโชคร้าย ชีวิตอาจจะแตกดับ หรือไม่ก็อายุสั้นเพราะดวงชะตาพลอยขาดไปตามกระจก ต้องปล่อยนกปล่อยปลาเพื่อสะเดาะเคราะห์กันให้ถูกต้อง
เข้าใจว่าหมายถึงกระจกเล็กๆ ที่พกติดกระเป๋าของผู้หญิงมากกว่ากระจกเงาบานใหญ่ๆ ในบ้าน เพราะอย่างหลังนี้ไม่ว่าใครๆ ก็ใช้ร่วมกัน ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง หรือสามีและภรรยา รวมทั้งญาติมิตรที่สนิทสนมกัน
ดิฉันเพิ่งเข้าใจว่า อาถรรพณ์ของกระจกเก็บวิญญาณนั้น ไม่ได้หมายถึงกระจกบานเล็กๆ เสมอไป!
สาเหตุมาจากเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกัน 3 คน คืออ้อย แหม่ม และ ดิฉัน ตกลงใจซื้อทัวร์ไปเที่ยวอ่างทอง และอยุธยา เป้าหมายก็คือไหว้พระเก้าวัดที่ อำเภอวิเศษชัยชาญ จำได้เลาๆ ว่ามีวัดน้อย วัดข่อย วัดอ้อย วัดม่วง ฯลฯ ค้างแค่คืนเดียว....ปัญหาอยู่ที่จุดนัดพบแถวหน้าสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ย่านสาทร แถมในเวลา 06.30 น. อีกต่างหาก
บ้านดิฉันอยู่ถนนติวานนท์ พอๆ กับอ้อยที่อยู่สะพานใหม่...เราเลยแก้ปัญหาด้วยการไปค้างบ้านแหม่มแถวยานนาวา สิ้นเรื่องสิ้นราวไปค่ะ
พ่อแม่แหม่มใจดีมาก น้องๆ ของเธอก็น่ารัก เราเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ในห้องนอนเพื่อนใกล้ๆ ห้องรับแขก แล้วมากินข้าว ดูทีวี คุยกันสนุกสนาน...ไม่มีวี่แววว่าจะเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกแม้แต่น้อยนิด!
พ่อรับปากจะขับรถไปส่งตอนเช้ามืดวันเสาร์ กำชับลูกสาวที่มีโปรแกรมไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย...อย่าลืมซื้อหนังปลาทอดมาให้พ่อแกล้มเบียร์แล้วกัน
ราวสี่ทุ่มเศษเราก็ชวนกันเข้าห้องนอน...
เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ อวดชุดเก่งกันพลางหัวเราะคิกคัก ดิฉันกับอ้อยแย่หน่อย ที่ต้องเพิ่มเสื้อผ้าอีกหนึ่งชุด...แหม่มขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า ไม่ช้าก็เดินเช็ดผมออกมาเพราะเธอติดนิสัยต้องสระผมก่อนนอนทุกวัน ตามด้วยอ้อยที่เข้าห้องน้ำเป็นคนถัดมา
ดิฉันสวมหมวกอาบน้ำ คว้าผ้าเช็ดตัวและชุดนอนเตรียมจะเข้าไปอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย...พอดีเสียงอ้อยร้อยกรี๊ดดังขึ้น!
เราหันขวับไปเห็นร่างเล็กๆ ของอ้อยเปิดประตูพรวดพราดออกมา หน้าตาซีดเผือด มือกุมปมผ้าเช็ดตัวหลวมๆ ปากคอสั่น...แหม่มย่นคิ้วถามว่าเป็นอะไรไป? กลัวจิ้งจกเหรอ...แต่อ้อยร้องว่า "ฉันโดนผีหลอก!"
"ฮ้า!" แหม่มร้องลั่น ดิฉันเองก็อ้าปากค้าง หันไปมองประตูห้องน้ำที่เปิดโล่ง ไฟสว่างโพลงอย่างไม่แน่ใจ อ้อยกลืนน้ำลายก่อนจะเล่าเรื่องให้ฟัง
ขณะที่เธอยืนอาบน้ำอยู่ใต้ฝักบัวพร่างพรู รู้สึกว่าอากาศเยือกเย็นชอบกบ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จมายืนเช็ดตัวอยู่หน้ากระจก
"ฉันเห็นใครก็ไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลัง หน้าขาว ผมยาว...ตอนแรกนึกว่าแหม่มโผล่เข้ามาทำผีหลอก แต่หันไปมองก็ไม่เห็นอะไร...ประตูก็ยังล็อกอยู่ตามเดิม! ฉันเลยสติแตก ปล่อยกรี๊ดๆ เลยน่ะซี!"
แหม่มถอนใจเฮือก ส่ายหน้าพลางยิ้มละไม ยืนยันว่าอ้อยตาฝาดไปเองแน่ๆ เลย...สงสัยจะคิดถึงเมืองโบราณที่เราจะไปเที่ยวพรุ่งนี้มากเกินไป
"แล้วเธอล่ะ หลิน?" แหม่มหันมาเลิกคิ้วกับดิฉัน "กลัวหรือเปล่า? ให้ฉันเข้าไปยืนเป็นเพื่อนมั้ย?"
"บ้าน่ะซี!" ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะก้าวเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเรียบร้อย...ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัว ไขน้ำอุ่นๆ สาดกระจายลงมาชุ่มฉ่ำ อากาศค่อนข้างเย็นยะเยือกชอบกล
นึกถึงเรื่องที่อ้อยเล่า อดห่อไหล่ไม่ได้.....ถ้ามีอะไรแปลกๆ ในห้องนั้นล่ะ?
จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น....
ดิฉันมายืนเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่อ่างล้างหน้า สวมชุดนอนสองชิ้น จัดการแปรงฟันและล้างมือก่อนจะเข้านอนตามความเคยชิน...เงยหน้ามองเงาในกระจกอีกครั้ง ไม่เห็นใครยืนอยู่ข้างหลังเหมือนที่อ้อยเห็นหรอกค่ะ...แต่ดิฉันเห็นตัวเองกำลังก้มลงล้างหน้าล้างตาเด่นชัดอยู่ในแสงไฟ
คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด! ดิฉันยืนตัวตรง อ้าปากค้าง แต่ผู้หญิงผมยาวคนนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาล้างหน้า...เห็นชัดเจนในกระจกเงา!
ไม่ทราบว่าเปิดประตูออกมาได้ยังไง...เพื่อนทั้งสองหันมาเห็นหน้าก็ปราดเข้ามาหา ได้ยินเสียงอ้อยถามแว่วๆ ว่า เจอเข้าเหมือนกันเรอะตัวเอง? ดิฉันได้แต่พยักหน้า แข้งขาอ่อนจนต้องนั่งแปะลงบนเตียง ปากลิ้นแข็งชาจนแทบพูดอะไรไม่ออก
แหม่มเพิ่งเล่าว่า น้าสาวที่นอนอยู่ห้องเดียวกันหัวใจวายตายในห้องน้ำตั้ง 4-5 ปีมาแล้ว เธอเองไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวซักครั้งเดียว...
คืนนั้นเรานอนเบียดกันบนเตียงทั้งสามคน ดิฉันเชื่อว่าน้าของแหม่มคงยืนส่องกระจกจนหัวใจวายตายแน่ๆ เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 25 ธันวาคม 2550
24 ธันวาคม 2558
นัยน์ตาอาถรรพณ์
"นรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพรพิเศษของตัวเอง
หลายๆ คนเชื่อว่าตัวเองมีสัมผัสพิเศษ หรือเป็นพรสวรรค์เหนือกว่าเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไป เช่น รู้ล่วงหน้าว่าใครจะมาหา หรือคิดว่าจะมีโชค-มีเคราะห์ แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ บางคนแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวใครก็รู้แล้วว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือได้ล่วงรู้เบื้องหลังเขาจนหมดสิ้น ว่ามีความลับอะไรบ้างที่ปกปิดซ่อนเร้นอยู่
คนเราย่อมมีความลับทุกคนน่ะแหละครับ บางคนก็มากกว่าหนึ่งอย่าง!
เพื่อนผมคนหนึ่งแปลกประหลาดกว่าใครๆ ตรงที่...ถ้าเขาคิดถึงญาติมิตรคนไหนที่ไม่ได้พบปะหรือติดต่อกันนานๆ แล้วเกิดโทรศัพท์ไปหา...แค่ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน คนที่เขาโทรศัพท์ไปคุยด้วยนั้นจะล้มตายไปดื้อๆ
ตายด้วยอุบัติเหตุก็มี เจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิตกะทันหันก็มี
ผมเองก็มีพรพิเศษที่น่าสยองเหมือนกันครับ!
ถ้าผมได้พบเห็นคนที่รู้จักโดยบังเอิญ โดยเฉพาะญาติมิตรที่ห่างหายไม่ได้พบปะกันนานๆ เพราะแยกย้ายกันไปบ้าง อยู่ห่างไกลกันบ้าง ทั้งๆ ที่อาจจะติดต่อกันได้ง่ายๆ ทางโทรศัพท์ แต่ต่างคนก็ต่างวุ่นด้วยกิจธุระของตัวจนไม่ได้พบหน้า หรือแม้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์...ไม่ช้าจะได้ข่าวว่าเขาตายแล้ว
เย็นหนึ่ง ผมกำลังเดินจากแผงขายหนังสือจะเข้าซอยบ้าน ก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อวิชิต เคยทำงานอยู่ด้วยกันแถวถนนราชดำเนิน เมื่อราว 5-6 ปีก่อนเขาโดนย้ายไปอยู่เพชรบุรี...และตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ผมเห็นพี่วิชิตขับรถผ่านไปช้าๆ มีสาวสวยนั่งเคียงข้าง...ไม่มีพี่วลัย-ภรรยาเขาแน่ๆ ผมร้องเรียกชื่อพี่วิชิตดังๆ จนมีคนหันมามอง แต่รถที่ติดแอร์ปิดกระจกมิดชิดทำให้เขาไม่ได้ยิน ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยอารามดีใจ...จังหวะเดียวกับที่มีสัญญาณไฟเขียว พี่วิชิตเร่งรถแล่นปราดออกไปทันที
คิดว่าผมคงเห็นเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เห็นผมแน่ๆ
วันรุ่งขึ้นก็เห็นข่าวในทีวีว่าพี่วิชิตเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแถวมหาชัย เสียชีวิตคาที่พร้อมกับเพื่อนสาวที่นั่งเคียงข้างอยู่ด้วย!
อ๋อ! ผมไม่ได้เห็นผีหรอกครับ เพราะดูตามเวลาที่ผมพบพี่วิชิตน่ะ เขายังไม่ตาย
ลุงไสว-คนในซอยบ้านผมนี่เอง ระยะหลังๆ ไม่ได้พบปะกันปีเศษ วันดีคืนดีผมเห็นแกเดินในห้างสรรพสินค้าแถวลาดพร้าว ผู้คนคึ่กๆ โดยเฉพาะหนุ่มสาวค่อนข้างหนาตา ผมเห็นลุงไหวยืนอยู่หน้าบูธขายมือถือ มีสาวสวยเป็นพรีเซ็นเตอร์ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชอบไปมุงดู ส่วนมากจะซักถามแบบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กสาวๆ หน้าตาสะสวยมากกว่าจะคิดซื้อของ ลุงไหวเองก็เพิ่งจะ 50 เศษ หน้าตายังมีเค้าหล่อเหลาแบบหนุ่มใหญ่
คราวนี้ผมไม่ได้เรียก แต่เดินแหวกคนเข้าไปหา...เชื่อมั้ยครับ? เมื่อตะกี้ยังเห็นลุงไหวยืนจีบเด็กอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้แกหายไปไหนก็ไม่รู้?
เด็กสาวคนนั้นกำลังยิ้มแย้มกับคุณลุงอายุใกล้ 60 อีกคน ผมชักงง ได้แต่เหลียวแลไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นลุงไหว...นอกจากด้านหลังไวๆ ที่เดินห่างออกไป เกือบจะวิ่งตามไปเรียกแกอยู่แล้ว...แต่เพื่ออะไรล่ะครับ?
ผมเลิกสนใจ...จนอีก 2-3 วันต่อมาก็ได้ข่าวว่าลุงไหวหัวใจวายไปแล้ว!
บอกตรงๆ ว่าผมชักสยอง...จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปซื้อของที่อ.ต.ก. ตอนบ่ายๆ ขากลับออกมายืนรอแท็กซี่ พอดีเห็นครูสมศรีนั่งรถเมล์ผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น...
เธอเคยสอนลูกชายผมตอนเรียนอนุบาลเมื่อ 3 ปีก่อน เราสนิทสนมกันพอสมควร ครูสมศรีเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วน เท่าที่รู้ก็คือเธอยังโสด แต่เห็นมีหนุ่มๆ มารอรับหน้าโรงเรียน บางวันมีหนุ่มขับรถเก๋งมารับตัดหน้าไปก่อนก็มี
ครูสมศรีนั่งริมหน้าต่าง ดูเหมือนเธอจะหันมาทางผมแว่บหนึ่ง...แล้วรถเมล์ก็แล่นห่างออกไป...
อาทิตย์นั้นเองก็มีข่าวครูสาวถูกแทงตาย หมกศพไว้ในห้องพักแถวลาดพร้าว! ตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรคงจะเป็นคนที่ผู้ตายสนิทสนม อาจจะเป็นคนรักที่เกิดความหึงหวงจนมีปากมีเสียงกัน แล้วฝ่ายชายก็ใช้อาวุธมีดแทงครูสมศรีจนเสียชีวิต ก่อนจะเก็บทรัพย์สินไปเพื่ออำพรางคดี
ผมนึกทบทวนเรื่องเก่าๆ แล้วขนหัวลุกเกรียวกราว...
นี่แปลว่าผมมีสัมผัสพิเศษ...พรสวรรค์หรือครับ? ความจริงน่าจะเรียกว่าพรนรกมากกว่า!
จนกระทั่งค่ำหนึ่ง ผมลงรถเมล์ที่หน้าแผงขายหนังสือพิมพ์ ลมพัดอู้ๆ เหมือนจะมีฝนกระหน่ำลงมา เศษกระดาษปลิวว่อน ผู้คนจ้ำอ้าวจนแทบจะชนกัน ผมเองก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปทางปากซอย...ขณะนั้นเองผมก็เห็นวันชัยเข้าพอดี...
ญาติห่างๆ อายุใกล้ 40 ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง สนใจกับเรื่องเที่ยวเตร่และสุรานารีมากกว่า เราไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว วันชัยย้ายไปอยู่ที่เชียงรายกับครอบครัวที่มีอาชีพค้าขายเมื่อราว 4-5 ปีก่อน...ว่าแต่เขามาทำธุระอะไรที่กรุงเทพฯ โดยไม่บอกกล่าว?
หันไปมองก็เห็นหลังไวๆ ก่อนจะลับไปในแสงไฟ ลมพัดแรงทำให้ผมรีบเลี้ยวเข้าซอยบ้าน...นึกสังหรณ์ว่าจะเป็นลางร้ายอีกหรือเปล่า?
พริบตานั้นเอง! ซอยแคบๆ ที่สว่างไสวก็พลันดำมืด ความหนาวเย็นจู่โจมเข้าจับต้นคอ ก่อนจะแล่นซ่านไปตามไขสันหลัง ปากคอแห้งผาก แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวต่อไป เมื่อนึกได้ว่า...ปีกลายนี้เองมีข่าวว่าวันชัยเป็นมะเร็งตับตายเสียแล้ว...
ผมติดงานจนไม่ได้ไปงานศพเขา แต่วันชัยก็โผล่มาหาจนได้...ขนหัวลุกนะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม 2550
หลายๆ คนเชื่อว่าตัวเองมีสัมผัสพิเศษ หรือเป็นพรสวรรค์เหนือกว่าเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไป เช่น รู้ล่วงหน้าว่าใครจะมาหา หรือคิดว่าจะมีโชค-มีเคราะห์ แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ บางคนแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวใครก็รู้แล้วว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือได้ล่วงรู้เบื้องหลังเขาจนหมดสิ้น ว่ามีความลับอะไรบ้างที่ปกปิดซ่อนเร้นอยู่
คนเราย่อมมีความลับทุกคนน่ะแหละครับ บางคนก็มากกว่าหนึ่งอย่าง!
เพื่อนผมคนหนึ่งแปลกประหลาดกว่าใครๆ ตรงที่...ถ้าเขาคิดถึงญาติมิตรคนไหนที่ไม่ได้พบปะหรือติดต่อกันนานๆ แล้วเกิดโทรศัพท์ไปหา...แค่ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน คนที่เขาโทรศัพท์ไปคุยด้วยนั้นจะล้มตายไปดื้อๆ
ตายด้วยอุบัติเหตุก็มี เจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิตกะทันหันก็มี
ผมเองก็มีพรพิเศษที่น่าสยองเหมือนกันครับ!
ถ้าผมได้พบเห็นคนที่รู้จักโดยบังเอิญ โดยเฉพาะญาติมิตรที่ห่างหายไม่ได้พบปะกันนานๆ เพราะแยกย้ายกันไปบ้าง อยู่ห่างไกลกันบ้าง ทั้งๆ ที่อาจจะติดต่อกันได้ง่ายๆ ทางโทรศัพท์ แต่ต่างคนก็ต่างวุ่นด้วยกิจธุระของตัวจนไม่ได้พบหน้า หรือแม้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์...ไม่ช้าจะได้ข่าวว่าเขาตายแล้ว
เย็นหนึ่ง ผมกำลังเดินจากแผงขายหนังสือจะเข้าซอยบ้าน ก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อวิชิต เคยทำงานอยู่ด้วยกันแถวถนนราชดำเนิน เมื่อราว 5-6 ปีก่อนเขาโดนย้ายไปอยู่เพชรบุรี...และตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ผมเห็นพี่วิชิตขับรถผ่านไปช้าๆ มีสาวสวยนั่งเคียงข้าง...ไม่มีพี่วลัย-ภรรยาเขาแน่ๆ ผมร้องเรียกชื่อพี่วิชิตดังๆ จนมีคนหันมามอง แต่รถที่ติดแอร์ปิดกระจกมิดชิดทำให้เขาไม่ได้ยิน ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยอารามดีใจ...จังหวะเดียวกับที่มีสัญญาณไฟเขียว พี่วิชิตเร่งรถแล่นปราดออกไปทันที
คิดว่าผมคงเห็นเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เห็นผมแน่ๆ
วันรุ่งขึ้นก็เห็นข่าวในทีวีว่าพี่วิชิตเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแถวมหาชัย เสียชีวิตคาที่พร้อมกับเพื่อนสาวที่นั่งเคียงข้างอยู่ด้วย!
อ๋อ! ผมไม่ได้เห็นผีหรอกครับ เพราะดูตามเวลาที่ผมพบพี่วิชิตน่ะ เขายังไม่ตาย
ลุงไสว-คนในซอยบ้านผมนี่เอง ระยะหลังๆ ไม่ได้พบปะกันปีเศษ วันดีคืนดีผมเห็นแกเดินในห้างสรรพสินค้าแถวลาดพร้าว ผู้คนคึ่กๆ โดยเฉพาะหนุ่มสาวค่อนข้างหนาตา ผมเห็นลุงไหวยืนอยู่หน้าบูธขายมือถือ มีสาวสวยเป็นพรีเซ็นเตอร์ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชอบไปมุงดู ส่วนมากจะซักถามแบบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กสาวๆ หน้าตาสะสวยมากกว่าจะคิดซื้อของ ลุงไหวเองก็เพิ่งจะ 50 เศษ หน้าตายังมีเค้าหล่อเหลาแบบหนุ่มใหญ่
คราวนี้ผมไม่ได้เรียก แต่เดินแหวกคนเข้าไปหา...เชื่อมั้ยครับ? เมื่อตะกี้ยังเห็นลุงไหวยืนจีบเด็กอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้แกหายไปไหนก็ไม่รู้?
เด็กสาวคนนั้นกำลังยิ้มแย้มกับคุณลุงอายุใกล้ 60 อีกคน ผมชักงง ได้แต่เหลียวแลไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นลุงไหว...นอกจากด้านหลังไวๆ ที่เดินห่างออกไป เกือบจะวิ่งตามไปเรียกแกอยู่แล้ว...แต่เพื่ออะไรล่ะครับ?
ผมเลิกสนใจ...จนอีก 2-3 วันต่อมาก็ได้ข่าวว่าลุงไหวหัวใจวายไปแล้ว!
บอกตรงๆ ว่าผมชักสยอง...จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปซื้อของที่อ.ต.ก. ตอนบ่ายๆ ขากลับออกมายืนรอแท็กซี่ พอดีเห็นครูสมศรีนั่งรถเมล์ผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น...
เธอเคยสอนลูกชายผมตอนเรียนอนุบาลเมื่อ 3 ปีก่อน เราสนิทสนมกันพอสมควร ครูสมศรีเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วน เท่าที่รู้ก็คือเธอยังโสด แต่เห็นมีหนุ่มๆ มารอรับหน้าโรงเรียน บางวันมีหนุ่มขับรถเก๋งมารับตัดหน้าไปก่อนก็มี
ครูสมศรีนั่งริมหน้าต่าง ดูเหมือนเธอจะหันมาทางผมแว่บหนึ่ง...แล้วรถเมล์ก็แล่นห่างออกไป...
อาทิตย์นั้นเองก็มีข่าวครูสาวถูกแทงตาย หมกศพไว้ในห้องพักแถวลาดพร้าว! ตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรคงจะเป็นคนที่ผู้ตายสนิทสนม อาจจะเป็นคนรักที่เกิดความหึงหวงจนมีปากมีเสียงกัน แล้วฝ่ายชายก็ใช้อาวุธมีดแทงครูสมศรีจนเสียชีวิต ก่อนจะเก็บทรัพย์สินไปเพื่ออำพรางคดี
ผมนึกทบทวนเรื่องเก่าๆ แล้วขนหัวลุกเกรียวกราว...
นี่แปลว่าผมมีสัมผัสพิเศษ...พรสวรรค์หรือครับ? ความจริงน่าจะเรียกว่าพรนรกมากกว่า!
จนกระทั่งค่ำหนึ่ง ผมลงรถเมล์ที่หน้าแผงขายหนังสือพิมพ์ ลมพัดอู้ๆ เหมือนจะมีฝนกระหน่ำลงมา เศษกระดาษปลิวว่อน ผู้คนจ้ำอ้าวจนแทบจะชนกัน ผมเองก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปทางปากซอย...ขณะนั้นเองผมก็เห็นวันชัยเข้าพอดี...
ญาติห่างๆ อายุใกล้ 40 ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง สนใจกับเรื่องเที่ยวเตร่และสุรานารีมากกว่า เราไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว วันชัยย้ายไปอยู่ที่เชียงรายกับครอบครัวที่มีอาชีพค้าขายเมื่อราว 4-5 ปีก่อน...ว่าแต่เขามาทำธุระอะไรที่กรุงเทพฯ โดยไม่บอกกล่าว?
หันไปมองก็เห็นหลังไวๆ ก่อนจะลับไปในแสงไฟ ลมพัดแรงทำให้ผมรีบเลี้ยวเข้าซอยบ้าน...นึกสังหรณ์ว่าจะเป็นลางร้ายอีกหรือเปล่า?
พริบตานั้นเอง! ซอยแคบๆ ที่สว่างไสวก็พลันดำมืด ความหนาวเย็นจู่โจมเข้าจับต้นคอ ก่อนจะแล่นซ่านไปตามไขสันหลัง ปากคอแห้งผาก แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวต่อไป เมื่อนึกได้ว่า...ปีกลายนี้เองมีข่าวว่าวันชัยเป็นมะเร็งตับตายเสียแล้ว...
ผมติดงานจนไม่ได้ไปงานศพเขา แต่วันชัยก็โผล่มาหาจนได้...ขนหัวลุกนะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม 2550
21 ธันวาคม 2558
รอริมซอย
"ลุงพัฒน์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง
ซอยบ้านผมก็คงเหมือนกับตรอกซอยอื่นๆ ทั่วไปในกรุงเทพฯ!
กลางวันมักจะมีรถราขวักไขว่ ผู้คนคึกคัก โดยเฉพาะตอนเย็นและค่ำอันเป็นเวลาเลิกงาน บ้างก็แวะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องที่ร้านรวงหรือแผงลอย บ้างก็แวะซื้อผัดซื้อแกงใส่ถุงไปกินกับครอบครัว ไม่ต้องเสียเวลาซื้อกับข้าว ทำกับข้าวให้ยุ่งยากเปล่าๆ
ตกค่ำก็เปิดทีวีดูข่าว ดูหนังดูละครหรือรายการต่างๆ ตามใจชอบ ราว 4-5 ทุ่มก็เข้านอนเพื่อเอาแรงไว้สู้กับงานในวันรุ่งขึ้นต่อไป
บ้านช่องส่วนใหญ่ปิดเงียบตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้วครับ บ้านใครบ้านมัน น้อยนักที่จะมีเวลา หรือหาโอกาสพบปะพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นแบบฉบับของชาวกรุงคล้ายๆ กันทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยกันทั้งนั้น
เลยสองยามไปแล้ว ตรอกซอยส่วนใหญ่มักตกอยู่ในความเงียบเชียบ อ้างว้างและวังเวงอยู่ในแสงไฟเยือกเย็นสิ้นดี!
ผู้คนเงียบหาย รถราแทบจะไม่มี ยกเว้นแต่ที่จอดดับไฟมืดอยู่ข้างกำแพงรั้ว เรียงรายกันเป็นตับเพราะในบ้านไม่มีที่จอดแล้ว...ส่วนมากมักจะเป็นรถเก๋งหรือ รถกระบะเก่าๆ ที่เจ้าของคงจะปลงใจได้ ถ้าเกิดรุ่งเช้าไม่ปรากฏร่องรอยของรถเจ้ากรรมกันนั้นเสียแล้ว
คนเราก็เหมือนเข็มนาฬิกาที่เดินไม่หยุด วนเวียนซ้ำซากแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กิน, นอน, ทำงาน, พักผ่อน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นความเคยชิน ใกล้จะถึงจุดจบเข้าไปทุกที เหมือนนาฬิกาที่ต้องหมดสภาพเข้าจนได้
หัวใจอ่อนล้า เข็มไม่กระดิก ในที่สุดก็หยุดเต้น...หยุดเดิน!
รถที่จอดนิ่งอยู่ข้างรั้วในซอยบ้านผมก็เช่นกัน...ครั้งหนึ่งเคยเป็นรถใหม่ป้ายแดงเวลาผ่านไปก็มักเปลี่ยนมือ ส่วนมากจะซื้อ-ขายกันต่อๆ มาจากญาติมิตรบ้าง จากเต็นท์รถมือสอง จนปาเข้าไป 10-15 ปี คนที่ซื้อมาต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก ขายต่อจนขายไม่ได้ ถ้าไม่เอามาปลูกสะระ แหน่ก็ต้องขายเป็นเศษเหล็กเท่านั้นเอง
ผมเลิกงานตอนเย็นย่ำ โหนรถเมล์มาลงใกล้ๆ ปากซอย เดินเข้าบ้านตอนค่ำคืนระยะทางราว 200 เมตร วินมอเตอร์ไซค์อยู่ถัดไปทางหน้าตลาด ค่ารถตุ๊กตุ๊กก็ไม่ต่ำกว่า 20 บาท ถือโอกาสเดินทอดน่องออกกำลังดีกว่า ไม่เกิน 15 นาทีก็มาถึงบ้านเรียบร้อย
ปากซอยยังคึกคัก สว่างไสว มีร้านขายยา ขายสุราอาหารและร้านซ่อมจักรยาน...คุณยายวัยใกล้ 80 ปีสองคนพี่น้องช่วยกันเข็นรถมาติดเตาขายผัดไทย ที่ปากทาง มีโต๊ะแบบพับได้ตัวเดียวไว้รับรองลูกค้า ส่วนมากเป็นขาประจำที่ มักซื้อใส่ถุงไปกินที่บ้าน...คนพี่ผัดก๋วยเตี๋ยว คนน้องคอยห่อใส่ใบตองรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
ผมเดินผ่านแกไป...รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง เนื้อย่างกับส้มตำเก็บของไปตั้งแต่ตอนเย็น...บอกตัวเองว่าอีกไม่ช้าหญิงชราคู่นั้นก็คงพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้ว...
เข้าซอยไปราว 30 เมตร ไม่มีความคึกคักพลุกพล่านเหมือนก้าวเข้าไปในโลกใหม่อันเงียบเชียบและเยือกเย็น...รถเก่าๆ เริ่มจอดเรียงรายกันที่นั่น!
ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่นสีซีดๆ กับทึมๆ ชวนให้หดหู่หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก...บางคันมีรอยครูดข้างรถ บางคันกันชนโค้งงอ บางคันบังโคลนยุบ บางคันกระจกส่องหน้าแตกหัก...มีคันหนึ่งติดราคาขาย 45,000 บาทตั้งเดือนสองเดือนกว่าจะขายได้
บ้านไม้เก่าๆ ปลูกติดรั้วระแนงหรือสังกะสี บางบ้านอย่าว่าแต่จะเอารถยนต์เข้าไปจอดเลยครับ แค่มอเตอร์ไซค์ก็ทำท่าว่าจะไม่มีที่จอดซะด้วยซ้ำไป
เข้าไปเกือบ 100 เมตร มีร้านกาแฟและอาหารตามสั่ง ลูกค้านั่งซดเบียร์ในแสงไฟหน้าร้าน...ถัดไปก็มีรถเก่าๆ จอดเรียงรายริมรั้วบ้านด้านซ้าย แม้ว่าจะไม่ใช่รถของบ้านนั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะห้ามปรามใครได้เพราะถือว่าเป็นทางสาธารณะ
ดูเผินๆ รถเก่าคร่ำเหล่านั้นช่างเหมือนสัตว์ร้ายที่หมอบตะคุ่มอยู่ในเงามืด ผมเห็นภาพแปลกๆ ระคนน่ากลัวพอดูมาหลายครั้งจนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...
คืนหนึ่ง ก่อนจะถึงร้านกาแฟราว 20 เมตรก็เหลือบไปเห็นรถกระบะคันหนึ่งดูสะดุดตาชอบกล หลังพวงมาลัยมีชายนั่งแหงนหน้าตัวแข็งทื่อ...คงจะเมามากจนลงจากรถไม่ไหว ครั้นก้าวเข้าไปดูก็เป็นจังหวะเดียวกับร่างนั้นล้มฮวบเข้ามาหาในบัดดล!
ผมร้องเฮ้ย! ผงะหน้าทันที ร่างนั้นลุกพรวดพราดมายื่นหน้ามองก่อนจะยิงฟันขาว เหมือนกับจำผมได้ว่าอยู่ซอยเดียวกัน...เขานั่งหลับจนเสียหลักล้มตึงลงมาพอดี
ครั้งต่อมา เลยร้านกาแฟไปไม่ไกล รถเก๋งสีทึบมีภาพเคลื่อนไหวชุลมุนอยู่ในที่นั่งตอนหน้า นึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว...เพ่งมองอีกครั้งจึงถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นหนุ่มสาวกำลังกอดจูบกันขวักไขว่... รีบเดินผละห่างพลางนึกค่อนอยู่ว่าน่าจะติดฟิล์มกันแสงเข้มๆ กว่านี้ซักหน่อยนะ! ไอ้หนุ่มเอ๊ย...
กระทั่งคืนหนึ่งก็เห็นภาพสยองเข้าอย่างถนัดตา!
ใกล้จะถึงบ้านแล้ว แสงจากเสาไฟฟ้าส่องลงมาตามทางเดินเปล่าเปลี่ยว บ้านช่องสองข้างปิดเงียบ รถราด้านซ้ายมือจอดตะคุ่มๆ เรียงรายตามเดิม...ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุข...เกือบจะออกเดินต่อไปแล้วแต่คนทั้งคู่หันขวับ มาพอดี
ชายหญิงนั่งเคียงคู่กัน ใบหน้าเหวอะหวะ... เลือดแดงฉานไหลย้อยจากหน้าผากลงมาช้าๆ นัยน์ตาแดงฉานไม่ผิดกับเปลวไฟจ้องเขม็ง... ผมยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป หัวใจคงจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาพร่าพรายเห็นแต่สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายราวสายรุ้ง... นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง แต่ภาพของหนุ่มสาวคู่นั้นจางหาย...สลายไปต่อหน้าต่อตา
ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผมลงจากรถเมล์ ก็จะยืนเตร่ดูคุณยายสองคนช่วยกันขายผัดไทย รอจนได้ตุ๊กตุ๊กว่างนั่งเข้าซอย...ขืนเห็นภาพอุบาทว์อีกครั้งมีหวังช็อกตายคาที่แน่ๆ เลยครับคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2550
ซอยบ้านผมก็คงเหมือนกับตรอกซอยอื่นๆ ทั่วไปในกรุงเทพฯ!
กลางวันมักจะมีรถราขวักไขว่ ผู้คนคึกคัก โดยเฉพาะตอนเย็นและค่ำอันเป็นเวลาเลิกงาน บ้างก็แวะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องที่ร้านรวงหรือแผงลอย บ้างก็แวะซื้อผัดซื้อแกงใส่ถุงไปกินกับครอบครัว ไม่ต้องเสียเวลาซื้อกับข้าว ทำกับข้าวให้ยุ่งยากเปล่าๆ
ตกค่ำก็เปิดทีวีดูข่าว ดูหนังดูละครหรือรายการต่างๆ ตามใจชอบ ราว 4-5 ทุ่มก็เข้านอนเพื่อเอาแรงไว้สู้กับงานในวันรุ่งขึ้นต่อไป
บ้านช่องส่วนใหญ่ปิดเงียบตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้วครับ บ้านใครบ้านมัน น้อยนักที่จะมีเวลา หรือหาโอกาสพบปะพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นแบบฉบับของชาวกรุงคล้ายๆ กันทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยกันทั้งนั้น
เลยสองยามไปแล้ว ตรอกซอยส่วนใหญ่มักตกอยู่ในความเงียบเชียบ อ้างว้างและวังเวงอยู่ในแสงไฟเยือกเย็นสิ้นดี!
ผู้คนเงียบหาย รถราแทบจะไม่มี ยกเว้นแต่ที่จอดดับไฟมืดอยู่ข้างกำแพงรั้ว เรียงรายกันเป็นตับเพราะในบ้านไม่มีที่จอดแล้ว...ส่วนมากมักจะเป็นรถเก๋งหรือ รถกระบะเก่าๆ ที่เจ้าของคงจะปลงใจได้ ถ้าเกิดรุ่งเช้าไม่ปรากฏร่องรอยของรถเจ้ากรรมกันนั้นเสียแล้ว
คนเราก็เหมือนเข็มนาฬิกาที่เดินไม่หยุด วนเวียนซ้ำซากแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กิน, นอน, ทำงาน, พักผ่อน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นความเคยชิน ใกล้จะถึงจุดจบเข้าไปทุกที เหมือนนาฬิกาที่ต้องหมดสภาพเข้าจนได้
หัวใจอ่อนล้า เข็มไม่กระดิก ในที่สุดก็หยุดเต้น...หยุดเดิน!
รถที่จอดนิ่งอยู่ข้างรั้วในซอยบ้านผมก็เช่นกัน...ครั้งหนึ่งเคยเป็นรถใหม่ป้ายแดงเวลาผ่านไปก็มักเปลี่ยนมือ ส่วนมากจะซื้อ-ขายกันต่อๆ มาจากญาติมิตรบ้าง จากเต็นท์รถมือสอง จนปาเข้าไป 10-15 ปี คนที่ซื้อมาต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก ขายต่อจนขายไม่ได้ ถ้าไม่เอามาปลูกสะระ แหน่ก็ต้องขายเป็นเศษเหล็กเท่านั้นเอง
ผมเลิกงานตอนเย็นย่ำ โหนรถเมล์มาลงใกล้ๆ ปากซอย เดินเข้าบ้านตอนค่ำคืนระยะทางราว 200 เมตร วินมอเตอร์ไซค์อยู่ถัดไปทางหน้าตลาด ค่ารถตุ๊กตุ๊กก็ไม่ต่ำกว่า 20 บาท ถือโอกาสเดินทอดน่องออกกำลังดีกว่า ไม่เกิน 15 นาทีก็มาถึงบ้านเรียบร้อย
ปากซอยยังคึกคัก สว่างไสว มีร้านขายยา ขายสุราอาหารและร้านซ่อมจักรยาน...คุณยายวัยใกล้ 80 ปีสองคนพี่น้องช่วยกันเข็นรถมาติดเตาขายผัดไทย ที่ปากทาง มีโต๊ะแบบพับได้ตัวเดียวไว้รับรองลูกค้า ส่วนมากเป็นขาประจำที่ มักซื้อใส่ถุงไปกินที่บ้าน...คนพี่ผัดก๋วยเตี๋ยว คนน้องคอยห่อใส่ใบตองรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์
ผมเดินผ่านแกไป...รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง เนื้อย่างกับส้มตำเก็บของไปตั้งแต่ตอนเย็น...บอกตัวเองว่าอีกไม่ช้าหญิงชราคู่นั้นก็คงพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้ว...
เข้าซอยไปราว 30 เมตร ไม่มีความคึกคักพลุกพล่านเหมือนก้าวเข้าไปในโลกใหม่อันเงียบเชียบและเยือกเย็น...รถเก่าๆ เริ่มจอดเรียงรายกันที่นั่น!
ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่นสีซีดๆ กับทึมๆ ชวนให้หดหู่หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก...บางคันมีรอยครูดข้างรถ บางคันกันชนโค้งงอ บางคันบังโคลนยุบ บางคันกระจกส่องหน้าแตกหัก...มีคันหนึ่งติดราคาขาย 45,000 บาทตั้งเดือนสองเดือนกว่าจะขายได้
บ้านไม้เก่าๆ ปลูกติดรั้วระแนงหรือสังกะสี บางบ้านอย่าว่าแต่จะเอารถยนต์เข้าไปจอดเลยครับ แค่มอเตอร์ไซค์ก็ทำท่าว่าจะไม่มีที่จอดซะด้วยซ้ำไป
เข้าไปเกือบ 100 เมตร มีร้านกาแฟและอาหารตามสั่ง ลูกค้านั่งซดเบียร์ในแสงไฟหน้าร้าน...ถัดไปก็มีรถเก่าๆ จอดเรียงรายริมรั้วบ้านด้านซ้าย แม้ว่าจะไม่ใช่รถของบ้านนั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะห้ามปรามใครได้เพราะถือว่าเป็นทางสาธารณะ
ดูเผินๆ รถเก่าคร่ำเหล่านั้นช่างเหมือนสัตว์ร้ายที่หมอบตะคุ่มอยู่ในเงามืด ผมเห็นภาพแปลกๆ ระคนน่ากลัวพอดูมาหลายครั้งจนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...
คืนหนึ่ง ก่อนจะถึงร้านกาแฟราว 20 เมตรก็เหลือบไปเห็นรถกระบะคันหนึ่งดูสะดุดตาชอบกล หลังพวงมาลัยมีชายนั่งแหงนหน้าตัวแข็งทื่อ...คงจะเมามากจนลงจากรถไม่ไหว ครั้นก้าวเข้าไปดูก็เป็นจังหวะเดียวกับร่างนั้นล้มฮวบเข้ามาหาในบัดดล!
ผมร้องเฮ้ย! ผงะหน้าทันที ร่างนั้นลุกพรวดพราดมายื่นหน้ามองก่อนจะยิงฟันขาว เหมือนกับจำผมได้ว่าอยู่ซอยเดียวกัน...เขานั่งหลับจนเสียหลักล้มตึงลงมาพอดี
ครั้งต่อมา เลยร้านกาแฟไปไม่ไกล รถเก๋งสีทึบมีภาพเคลื่อนไหวชุลมุนอยู่ในที่นั่งตอนหน้า นึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว...เพ่งมองอีกครั้งจึงถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นหนุ่มสาวกำลังกอดจูบกันขวักไขว่... รีบเดินผละห่างพลางนึกค่อนอยู่ว่าน่าจะติดฟิล์มกันแสงเข้มๆ กว่านี้ซักหน่อยนะ! ไอ้หนุ่มเอ๊ย...
กระทั่งคืนหนึ่งก็เห็นภาพสยองเข้าอย่างถนัดตา!
ใกล้จะถึงบ้านแล้ว แสงจากเสาไฟฟ้าส่องลงมาตามทางเดินเปล่าเปลี่ยว บ้านช่องสองข้างปิดเงียบ รถราด้านซ้ายมือจอดตะคุ่มๆ เรียงรายตามเดิม...ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุข...เกือบจะออกเดินต่อไปแล้วแต่คนทั้งคู่หันขวับ มาพอดี
ชายหญิงนั่งเคียงคู่กัน ใบหน้าเหวอะหวะ... เลือดแดงฉานไหลย้อยจากหน้าผากลงมาช้าๆ นัยน์ตาแดงฉานไม่ผิดกับเปลวไฟจ้องเขม็ง... ผมยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป หัวใจคงจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาพร่าพรายเห็นแต่สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายราวสายรุ้ง... นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง แต่ภาพของหนุ่มสาวคู่นั้นจางหาย...สลายไปต่อหน้าต่อตา
ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผมลงจากรถเมล์ ก็จะยืนเตร่ดูคุณยายสองคนช่วยกันขายผัดไทย รอจนได้ตุ๊กตุ๊กว่างนั่งเข้าซอย...ขืนเห็นภาพอุบาทว์อีกครั้งมีหวังช็อกตายคาที่แน่ๆ เลยครับคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2550
20 ธันวาคม 2558
เพื่อนมาส่ง!
"กชวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุทธิสาร
สมัยเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยได้ฟังเรื่องผีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าผีบ้านหรือผีป่า ยิ่งผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมด้วยแล้ว เขาเชื่อกันว่าเฮี้ยนนัก มีคนโดนหลอกหลอนจนเกือบเป็นบ้าเป็นหลังมานับไม่ถ้วน
ผู้ใหญ่บางคนก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สาเหตุมาจากสัปเหร่อยังอ่อนวิชาทางคาถาอาคม หรือมิฉะนั้นก็เมามายจนลืมเลือนการสะกดวิญญาณของผู้ตาย ก่อนจะปิดฝาโลง
มีคนสงสัยว่า ผีตายโหงที่โดนลอบฆ่าหลายราย เหตุใดวิญญาณจึงไม่อาฆาต ตามไปเอาชีวิตคนที่ทำลายชีวิตตนเอง? ก็ได้รับคำตอบว่า วิญญาณทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วไป คือมีทั้งดีและร้าย สุภาพเรียบร้อยก็มี เกะกะเกเรก็มี ไม่ใช่ว่าเมื่อกลายเป็นภูตผีแล้วจะต้องดุร้ายจนน่าสะพรึงกลัวเสมอไป
อนึ่ง ฆาตกรผู้นั้นอาจจะมีของดีติดตัว หรือไม่ก็มีคาถาอาคมและวิธีป้องกันตัวเองอย่างรอบคอบไว้ก่อนก็เป็นได้
เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันเติบโตและมีการศึกษาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องต่างๆ ที่เคยได้ยินมาล้วนแต่เหลวไหล ส่อไปในทางงมงายไร้เหตุผล ดังนั้น แม้ว่าจะชอบอ่านเรื่องผี ดูหนังผีมานักต่อนัก แต่ตัวเองไม่กลัวผีหรอกค่ะ แถมมีแนวโน้มว่าไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ว่าจะมีจริงด้วยซ้ำ
จนกระทั่งได้พบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกเข้าอย่างจัง...ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผีหลอก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบาย?
ดิฉันเป็นข้าราชการอยู่แถวๆ เสาชิงช้า แต่บ้านอยู่ถึงสุทธิสาร ด้านใกล้ๆ กับสะพานควาย ใช้รถเมล์เป็นพาหนะทั้งไปและกลับ ใกล้ๆ ที่ทำงานมีของขายสารพัด ไม่ว่าเสื้อผาสวยๆ ของใช้และของเล่น ขนมและผลไม้ เดินผ่านก็อดแวะดูแวะซื้อไม่ได้หรอกค่ะ... นึกถึงพ่อแม่ที่อยู่บ้านนั่นเอง จนแม่ต้องขอร้องว่าอย่าซื้ออะไรมาทุกวันเลย
ไหนจะหมดเปลืองเงินทอง ไหนจะลำบากลำบนหอบหิ้วขึ้นรถเมล์!
ข้อสำคัญคือ ต้องเดินเข้าซอยบ้านอีกราว 300 เมตร ไม่อยากใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรอกค่ะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยนั่ง ไม่กล้านั่งด้วย สู้เดินเอาดีกว่า มีผู้คนหนาตาไม่ต้องกลัว...แถมได้เดินออกกำลังอีกต่างหาก
"จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้ข่าวเศร้า ตามด้วยเรื่องสยองขวัญ...
เพื่อนที่ทำงานรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อติ๋ม เราสนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง ดิฉันเรียกพี่ติ๋มทุกคำ เธอเป็นสาวเหนือผิวขาวเหลือง สวยน่ารักเหมือนตุ๊กตา นิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเล่น...ข้อสำคัญคือมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับดิฉันที่เราสนิทสนมกัน ขนาดวันหยุดเธอมาเยี่ยมดิฉันบ่อยครั้ง พ่อแม่ก็ถูกชะตากับพี่ติ๋มมากค่ะ
ความที่เรายังโสดทั้งคู่ ไปไหนก็ไปกัน บางทีก็ไปเที่ยวกับทัวร์ต่างจังหวัดใกล้ๆ เช่น ไปไหว้พระ 9 วัดที่สิงห์บุรีบ้าง ไปเที่ยวระยองและเกาะสีชังบ้าง ประเภทค้างคืนเดียว หรือไม่เกิน 2 คืน
จนกระทั่งพี่ติ๋มมีแฟนเราก็ห่างกันไป เพราะเธอต้องให้เวลากับคนรักมากกว่าให้เพื่อนอยู่แล้ว จริงไหมคะ?
แม่เห็นพี่ติ๋มหายไปก็ถามถึงบ่อยๆ แต่พอรู้สาเหตุก็ยิ้มๆ อย่างเข้าใจค่ะ
วันนั้นเป็นวันจันทร์ พี่ติ๋มพาแฟนไปเยี่ยมบ้านที่ลำปางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ กำหนดกลับเช้าวันจันทร์ บอกว่าขับรถออกจากลำปางคืนวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด...ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานเลย
แต่ถึงวันนั้นก็ไม่มีวี่แววพี่ติ๋ม สงสัยจะเหนื่อยจากการเดินทางไกล...จนกระทั่งตกบ่ายถึงได้มีโทรศัพท์จากทางบ้านพี่ติ๋มมาถึงหัวหน้า บอกข่าวร้ายที่ทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน
พี่ติ๋มกับแฟนเกิดอุบัติเหตุเมื่อออกจากลำปางมาไม่ไกลนัก บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่...ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่ากัน!
หัวหน้าโทร.ไปเช็กที่โรงพยาบาลในลำปางก็ได้รับคำยืนยันว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นความจริง... พวกเราปรึกษาหารือกันว่าจะไปเยี่ยมพี่ติ๋มดีไหม? แต่จะไปได้ยังไงเพราะไกลเหลือเกิน แถมไม่ใช่วันหยุดอีกต่างหาก...หัวหน้าบอกว่า ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าพี่ติ๋มคงจะอาการดีขึ้น แล้ววันศุกร์จะชวนเพื่อนๆ ที่สนิทกันไปเยี่ยมที่ลำปาง
เย็นนั้น ดิฉันหดหู่จนแทบคิดอะไรไม่ออก...หมดกะจิตกะใจจะแวะดูของกินของใช้เหมือนเคย ได้แต่เดินใจลอยไปที่ป้ายรถเมล์...ขึ้นรถกลับบ้านก็ยังนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนรัก...โธ่! พี่ติ๋ม...
ขณะเดินเข้าซอยบ้าน ท่ามกลางผู้คนที่เดินเข้าออกหนาตา รถราคึกคักตามเดิม...ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่า เราน่าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เพราะอ่อนล้าอิดโรยเหลือเกิน แต่คนเราก็มักจะตกเป็นทาสของความเคยชินเสมอมา จริงไหมคะ?
แต่กลิ่นหอมอะไรคุ้นๆ จมูกอวลกรุ่นอยู่ใกล้ๆ
พี่ติ๋มเหรอคะ? ดิฉันขนลุกซ่า...เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลืมตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ...จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว มองเห็นแม่กำลังเดินดูต้นไม้อยู่ใกล้ๆ พอดีกับแม่หันมาเปิดประตูรั้วให้ ใบหน้ายิ้มละไม...ยกมือไหว้มาทางดิฉันที่ยืนอ้า ปากค้าง
"แหม! วันนี้มาเยี่ยมแม่ได้ เข้ามาก่อนซีติ๋ม..." แม่ทักทาย เมื่อกี๊คงจะรับไหว้พี่ติ๋ม! ส่วนดิฉันเข่าอ่อน ตาลายพร่า ใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม ...คืนนั้นโทร.ไปที่โรงพยาบาลลำปางก็ทราบว่าพี่ติ๋มกับคนรักสิ้นลมไล่ๆ กันในตอนเย็น
พี่ติ๋มอุตส่าห์เดินตามมาส่งจนถึงบ้าน... แต่ทำให้ดิฉันเดือดร้อนต้องดูแลแม่ที่เป็นลมไปเลยเมื่อรู้ข่าวร้ายน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2550
สมัยเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยได้ฟังเรื่องผีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าผีบ้านหรือผีป่า ยิ่งผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมด้วยแล้ว เขาเชื่อกันว่าเฮี้ยนนัก มีคนโดนหลอกหลอนจนเกือบเป็นบ้าเป็นหลังมานับไม่ถ้วน
ผู้ใหญ่บางคนก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สาเหตุมาจากสัปเหร่อยังอ่อนวิชาทางคาถาอาคม หรือมิฉะนั้นก็เมามายจนลืมเลือนการสะกดวิญญาณของผู้ตาย ก่อนจะปิดฝาโลง
มีคนสงสัยว่า ผีตายโหงที่โดนลอบฆ่าหลายราย เหตุใดวิญญาณจึงไม่อาฆาต ตามไปเอาชีวิตคนที่ทำลายชีวิตตนเอง? ก็ได้รับคำตอบว่า วิญญาณทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วไป คือมีทั้งดีและร้าย สุภาพเรียบร้อยก็มี เกะกะเกเรก็มี ไม่ใช่ว่าเมื่อกลายเป็นภูตผีแล้วจะต้องดุร้ายจนน่าสะพรึงกลัวเสมอไป
อนึ่ง ฆาตกรผู้นั้นอาจจะมีของดีติดตัว หรือไม่ก็มีคาถาอาคมและวิธีป้องกันตัวเองอย่างรอบคอบไว้ก่อนก็เป็นได้
เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันเติบโตและมีการศึกษาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องต่างๆ ที่เคยได้ยินมาล้วนแต่เหลวไหล ส่อไปในทางงมงายไร้เหตุผล ดังนั้น แม้ว่าจะชอบอ่านเรื่องผี ดูหนังผีมานักต่อนัก แต่ตัวเองไม่กลัวผีหรอกค่ะ แถมมีแนวโน้มว่าไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ว่าจะมีจริงด้วยซ้ำ
จนกระทั่งได้พบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกเข้าอย่างจัง...ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผีหลอก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบาย?
ดิฉันเป็นข้าราชการอยู่แถวๆ เสาชิงช้า แต่บ้านอยู่ถึงสุทธิสาร ด้านใกล้ๆ กับสะพานควาย ใช้รถเมล์เป็นพาหนะทั้งไปและกลับ ใกล้ๆ ที่ทำงานมีของขายสารพัด ไม่ว่าเสื้อผาสวยๆ ของใช้และของเล่น ขนมและผลไม้ เดินผ่านก็อดแวะดูแวะซื้อไม่ได้หรอกค่ะ... นึกถึงพ่อแม่ที่อยู่บ้านนั่นเอง จนแม่ต้องขอร้องว่าอย่าซื้ออะไรมาทุกวันเลย
ไหนจะหมดเปลืองเงินทอง ไหนจะลำบากลำบนหอบหิ้วขึ้นรถเมล์!
ข้อสำคัญคือ ต้องเดินเข้าซอยบ้านอีกราว 300 เมตร ไม่อยากใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรอกค่ะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยนั่ง ไม่กล้านั่งด้วย สู้เดินเอาดีกว่า มีผู้คนหนาตาไม่ต้องกลัว...แถมได้เดินออกกำลังอีกต่างหาก
"จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้ข่าวเศร้า ตามด้วยเรื่องสยองขวัญ...
เพื่อนที่ทำงานรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อติ๋ม เราสนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง ดิฉันเรียกพี่ติ๋มทุกคำ เธอเป็นสาวเหนือผิวขาวเหลือง สวยน่ารักเหมือนตุ๊กตา นิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเล่น...ข้อสำคัญคือมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับดิฉันที่เราสนิทสนมกัน ขนาดวันหยุดเธอมาเยี่ยมดิฉันบ่อยครั้ง พ่อแม่ก็ถูกชะตากับพี่ติ๋มมากค่ะ
ความที่เรายังโสดทั้งคู่ ไปไหนก็ไปกัน บางทีก็ไปเที่ยวกับทัวร์ต่างจังหวัดใกล้ๆ เช่น ไปไหว้พระ 9 วัดที่สิงห์บุรีบ้าง ไปเที่ยวระยองและเกาะสีชังบ้าง ประเภทค้างคืนเดียว หรือไม่เกิน 2 คืน
จนกระทั่งพี่ติ๋มมีแฟนเราก็ห่างกันไป เพราะเธอต้องให้เวลากับคนรักมากกว่าให้เพื่อนอยู่แล้ว จริงไหมคะ?
แม่เห็นพี่ติ๋มหายไปก็ถามถึงบ่อยๆ แต่พอรู้สาเหตุก็ยิ้มๆ อย่างเข้าใจค่ะ
วันนั้นเป็นวันจันทร์ พี่ติ๋มพาแฟนไปเยี่ยมบ้านที่ลำปางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ กำหนดกลับเช้าวันจันทร์ บอกว่าขับรถออกจากลำปางคืนวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด...ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานเลย
แต่ถึงวันนั้นก็ไม่มีวี่แววพี่ติ๋ม สงสัยจะเหนื่อยจากการเดินทางไกล...จนกระทั่งตกบ่ายถึงได้มีโทรศัพท์จากทางบ้านพี่ติ๋มมาถึงหัวหน้า บอกข่าวร้ายที่ทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน
พี่ติ๋มกับแฟนเกิดอุบัติเหตุเมื่อออกจากลำปางมาไม่ไกลนัก บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่...ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่ากัน!
หัวหน้าโทร.ไปเช็กที่โรงพยาบาลในลำปางก็ได้รับคำยืนยันว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นความจริง... พวกเราปรึกษาหารือกันว่าจะไปเยี่ยมพี่ติ๋มดีไหม? แต่จะไปได้ยังไงเพราะไกลเหลือเกิน แถมไม่ใช่วันหยุดอีกต่างหาก...หัวหน้าบอกว่า ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าพี่ติ๋มคงจะอาการดีขึ้น แล้ววันศุกร์จะชวนเพื่อนๆ ที่สนิทกันไปเยี่ยมที่ลำปาง
เย็นนั้น ดิฉันหดหู่จนแทบคิดอะไรไม่ออก...หมดกะจิตกะใจจะแวะดูของกินของใช้เหมือนเคย ได้แต่เดินใจลอยไปที่ป้ายรถเมล์...ขึ้นรถกลับบ้านก็ยังนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนรัก...โธ่! พี่ติ๋ม...
ขณะเดินเข้าซอยบ้าน ท่ามกลางผู้คนที่เดินเข้าออกหนาตา รถราคึกคักตามเดิม...ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่า เราน่าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เพราะอ่อนล้าอิดโรยเหลือเกิน แต่คนเราก็มักจะตกเป็นทาสของความเคยชินเสมอมา จริงไหมคะ?
แต่กลิ่นหอมอะไรคุ้นๆ จมูกอวลกรุ่นอยู่ใกล้ๆ
พี่ติ๋มเหรอคะ? ดิฉันขนลุกซ่า...เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลืมตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ...จนกระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว มองเห็นแม่กำลังเดินดูต้นไม้อยู่ใกล้ๆ พอดีกับแม่หันมาเปิดประตูรั้วให้ ใบหน้ายิ้มละไม...ยกมือไหว้มาทางดิฉันที่ยืนอ้า ปากค้าง
"แหม! วันนี้มาเยี่ยมแม่ได้ เข้ามาก่อนซีติ๋ม..." แม่ทักทาย เมื่อกี๊คงจะรับไหว้พี่ติ๋ม! ส่วนดิฉันเข่าอ่อน ตาลายพร่า ใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม ...คืนนั้นโทร.ไปที่โรงพยาบาลลำปางก็ทราบว่าพี่ติ๋มกับคนรักสิ้นลมไล่ๆ กันในตอนเย็น
พี่ติ๋มอุตส่าห์เดินตามมาส่งจนถึงบ้าน... แต่ทำให้ดิฉันเดือดร้อนต้องดูแลแม่ที่เป็นลมไปเลยเมื่อรู้ข่าวร้ายน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม 2550
19 ธันวาคม 2558
แดนอาถรรพณ์
"พิมาน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านสนธยา
คืนนั้นเป็นคืนวันเสาร์ ราวๆ ห้าทุ่มเกือบครึ่งเห็นจะได้ ผมกำลังดูทีวีกับลูกกับเมียอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงผู้หญิงมาตะโกนเรียกชื่ออย่างร้อนรนอยู่ที่ประตูรั้ว
"คุณแมนคะ! คุณแมน...คุณแม้น..."
เรามองหน้ากัน...เกิดอะไรขึ้นล่ะ? มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ
"นั่นเสียงป้าปุ๋มนี่คะ" เมียผมทำหน้าเลิ่กลั่ก...ป้าปุ๋มเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับเรานี่เอง ปกติแกเป็นคนเรียบร้อย ไม่โหวกเหวกอย่างนี้หรอก...คงมีปัญหาขโมยขึ้นบ้านละมั้ง?
พวกเราผละจากหน้าจอทีวี เดินเกาะกลุ่มเป็นพรวนออกไปดูหน้าบ้าน...นั่นไง! ป้าปุ๋มเกาะรั้วเรา หันซ้ายหันขวา ท่าทางขวัญเสีย หวิดจะร้องไห้โฮๆ อยู่แล้ว
"ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย...มีคนตายอยู่ในบ้าน" แกละล่ำละลัก
"เฮ้ย!" ผมร้อง มองไปยังบ้านที่อยู่ตรงข้าม...บ้านสองชั้นที่ดูโอ่อ่าสง่างาม ปลูกสร้างมาเกือบสี่สิบปีแล้ว ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด ตอนเล็กๆ ยังเคยเข้าไปเล่นกับพี่โอม ลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้าน ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมเลย
"ใครล่ะ ป้าปุ๋ม? คุณโอมไม่อยู่นี่นา ไปเที่ยวทะเลกันทั้งบ้านไม่ใช่เหรอ?"
พี่โอมออกเดินทางตั้งแต่เมื่อเย็นวันวาน ไปกับคุณน้อยผู้ภรรยาและน้องอั้ม-ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย 10 ขวบ
บัดนี้ ประตูใหญ่หน้าบ้านนั้นเปิดอ้า...นี่แปลว่าป้าปุ๋มแกวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกมาไม่สนใจจะปิดมันให้เรียบร้อย คืนนี้บ้านทั้งหลังมีแกอยู่คนเดียว หลานสองคนที่มาช่วยงานก็ขอไปค้างบ้านเพื่อนเสียแล้ว
"ไม่ใช่คุณโอมค่ะ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่คนเดียวด้วยนะคุณแมน มีผู้หญิงด้วยกับเด็กอีกสองคน ป้าไม่เคยเห็นหน้า...มานอนตายเรียงกันบนเตียงในห้องนอนคุณโอมน่ะ!"
เมียผมร้องว้าย! เอามือปิดปาก ผมเองก็ขนลุกซู่ สับสนงุนงงไปหมด
"เรียกตำรวจรึยัง?" ผมพูดออกไปอย่างอัตโนมัติ
"ยังค่ะ ยัง! คุณแมนไปดูกับป้าหน่อย อูย...น่ากลัวจริงๆ เลย"
พูดไม่พูดเปล่า แกฉุดมือผมใหญ่ ผมเดินแกมวิ่งตามแกไป ขณะที่เมียผมกันลูกชายสองคนไว้ไม่ให้ตามมา...เพื่อนบ้านแถวนี้ก็เริ่มชะโงกหน้าออกมาดู
ผมยอมรับว่ากลัวภาพที่กำลังจะได้เห็น...บ้านพี่โอมดูวังเวงน่ากลัวพิกล ไฟสนามเปิดไว้เช่นเดียวกับภายในบ้าน...ป้าปุ๋มลากแขนผมขึ้นบันไดไปชั้นบน พอถึงหน้าห้องนอน แกก็กลับมาหลบอยู่ข้างหลังผมดื้อๆ
"ดูซิคะ คุณแมน บนเตียงน่ะ...เลือดท่วมเลย! อี๋..."
ผมค่อยๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้อง...และแล้ว ท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย...สิ่งที่ผิดปกติอย่างเดียวที่เห็นคือ กองผ้าห่มที่กระจัดกระจาย...
มารู้ภายหลังว่า ป้าปุ๋มแกเอาผ้าห่มไปตากแดดทั้งวัน พอตอนกลางคืนแกดูทีวีเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่มกว่า แกขนตั้งผ้าห่มมาเก็บบนห้องนอนเจ้านาย และเมื่อกดสวิตช์ไฟสายตาก็ปะทะกับภาพสยองขวัญของศพทั้งสี่ที่นอนก่ายกันตายอยู่บนเตียง กลิ่นเลือดคาวคลุ้ง...
เออนะ! ผมได้กลิ่นคาวๆ อวลอยู่ในอากาศของห้องนี้ด้วยสิ ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองรึเปล่า?
เป็นอันว่าทุกอย่างนอกนั้นเป็นปกติ มีแต่ป้าปุ๋มที่ตื่นตระหนกแทบช็อก... แกตัวสั่นและไม่สามารถจะอยู่ที่บ้านนั้นตามลำพังได้ ดีนะที่แกยังไม่ได้เรียกตำรวจ เพราะแค่นี้แกก็หน้าแตกจะแย่แล้ว
"คุณแมนว่าป้าบ้าไปเองซิคะเนี่ย?" แกหน้าจ๋อย และมีท่าทีที่ผมรู้ว่าแกเห็นจริงๆ ใครจะวิ่งกระเซอะกระเซิงมาได้อย่างนั้น ถ้าไม่ตกใจขนาดหนัก
"ไม่หรอกป้า ผมกำลังคิดว่าป้าเห็นอะไรกันแน่?"
ขณะที่ผมกำลังพยายามจับต้นชนปลาย ป้าปุ๋มก็บรรยายสิ่งที่ประจักษ์กับสายตา...แกมองหน้าศพเหล่านั้นไม่ถนัด แต่แกไม่รู้จักคนพวกนั้นแน่ๆใครก็ไม่รู้...จะว่าเป็นผีเรอะครับ? บ้านนี้ไม่มีผี ไม่เคยมีใครตาย...พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอด...ป้าปุ๋มเองก็รู้ดี!
เมื่อปลอบโยนแก และส่งให้เข้านอนกับสาวใช้ในบ้านเราแล้ว ผมก็คุยกับเมียเรื่องนี้ต่อ...
"ฉันชักเสียวไส้เสียแล้วซี" เธอว่า "ถ้าอะไรที่ป้าปุ๋มเห็นไม่ใช่ผีจากอดีต ไม่ใช่สิ่งที่มาหลอกหลอนกันสดๆ มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า...แกเห็นอนาคต!"
ผมอึ้ง และรู้สึกวุ่นวายใจไม่น้อยเลย...
ศพบนเตียงไม่ใช่พี่โอมกับครอบครัว แต่เป็นไปได้ไหมว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะมีคนตายยกครัวกันในห้องนอนนั้น...
ใครล่ะที่กำลังจะกลายเป็นศพสยองในอนาคต?!
ผมใจหายวาบ นึกถึงน้องอั้มว่า...เผื่อแกโตขึ้น แต่งงานและมีปัญหาครอบครัว...อือม์! มันเป็นไปได้แฮะ...ว่าแต่ผมจะเตือนพวกเขายังไงดีล่ะ?
พี่โอมกลับจากไปเที่ยว ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่เคร่งเครียดนัก ผมปล่อยให้เขาคิดเองและหาทางป้องกัน...ภาพที่ป้าปุ๋มเห็นอาจเป็นคำเตือนจากอนาคตก็เป็นได้นะครับ! น่าขนลุกจริงๆ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 19 ธันวาคม 2550
คืนนั้นเป็นคืนวันเสาร์ ราวๆ ห้าทุ่มเกือบครึ่งเห็นจะได้ ผมกำลังดูทีวีกับลูกกับเมียอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงผู้หญิงมาตะโกนเรียกชื่ออย่างร้อนรนอยู่ที่ประตูรั้ว
"คุณแมนคะ! คุณแมน...คุณแม้น..."
เรามองหน้ากัน...เกิดอะไรขึ้นล่ะ? มันต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ
"นั่นเสียงป้าปุ๋มนี่คะ" เมียผมทำหน้าเลิ่กลั่ก...ป้าปุ๋มเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับเรานี่เอง ปกติแกเป็นคนเรียบร้อย ไม่โหวกเหวกอย่างนี้หรอก...คงมีปัญหาขโมยขึ้นบ้านละมั้ง?
พวกเราผละจากหน้าจอทีวี เดินเกาะกลุ่มเป็นพรวนออกไปดูหน้าบ้าน...นั่นไง! ป้าปุ๋มเกาะรั้วเรา หันซ้ายหันขวา ท่าทางขวัญเสีย หวิดจะร้องไห้โฮๆ อยู่แล้ว
"ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย...มีคนตายอยู่ในบ้าน" แกละล่ำละลัก
"เฮ้ย!" ผมร้อง มองไปยังบ้านที่อยู่ตรงข้าม...บ้านสองชั้นที่ดูโอ่อ่าสง่างาม ปลูกสร้างมาเกือบสี่สิบปีแล้ว ผมเห็นมาตั้งแต่เกิด ตอนเล็กๆ ยังเคยเข้าไปเล่นกับพี่โอม ลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้าน ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมเลย
"ใครล่ะ ป้าปุ๋ม? คุณโอมไม่อยู่นี่นา ไปเที่ยวทะเลกันทั้งบ้านไม่ใช่เหรอ?"
พี่โอมออกเดินทางตั้งแต่เมื่อเย็นวันวาน ไปกับคุณน้อยผู้ภรรยาและน้องอั้ม-ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย 10 ขวบ
บัดนี้ ประตูใหญ่หน้าบ้านนั้นเปิดอ้า...นี่แปลว่าป้าปุ๋มแกวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกมาไม่สนใจจะปิดมันให้เรียบร้อย คืนนี้บ้านทั้งหลังมีแกอยู่คนเดียว หลานสองคนที่มาช่วยงานก็ขอไปค้างบ้านเพื่อนเสียแล้ว
"ไม่ใช่คุณโอมค่ะ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่คนเดียวด้วยนะคุณแมน มีผู้หญิงด้วยกับเด็กอีกสองคน ป้าไม่เคยเห็นหน้า...มานอนตายเรียงกันบนเตียงในห้องนอนคุณโอมน่ะ!"
เมียผมร้องว้าย! เอามือปิดปาก ผมเองก็ขนลุกซู่ สับสนงุนงงไปหมด
"เรียกตำรวจรึยัง?" ผมพูดออกไปอย่างอัตโนมัติ
"ยังค่ะ ยัง! คุณแมนไปดูกับป้าหน่อย อูย...น่ากลัวจริงๆ เลย"
พูดไม่พูดเปล่า แกฉุดมือผมใหญ่ ผมเดินแกมวิ่งตามแกไป ขณะที่เมียผมกันลูกชายสองคนไว้ไม่ให้ตามมา...เพื่อนบ้านแถวนี้ก็เริ่มชะโงกหน้าออกมาดู
ผมยอมรับว่ากลัวภาพที่กำลังจะได้เห็น...บ้านพี่โอมดูวังเวงน่ากลัวพิกล ไฟสนามเปิดไว้เช่นเดียวกับภายในบ้าน...ป้าปุ๋มลากแขนผมขึ้นบันไดไปชั้นบน พอถึงหน้าห้องนอน แกก็กลับมาหลบอยู่ข้างหลังผมดื้อๆ
"ดูซิคะ คุณแมน บนเตียงน่ะ...เลือดท่วมเลย! อี๋..."
ผมค่อยๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้อง...และแล้ว ท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครสักคน ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย...สิ่งที่ผิดปกติอย่างเดียวที่เห็นคือ กองผ้าห่มที่กระจัดกระจาย...
มารู้ภายหลังว่า ป้าปุ๋มแกเอาผ้าห่มไปตากแดดทั้งวัน พอตอนกลางคืนแกดูทีวีเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่มกว่า แกขนตั้งผ้าห่มมาเก็บบนห้องนอนเจ้านาย และเมื่อกดสวิตช์ไฟสายตาก็ปะทะกับภาพสยองขวัญของศพทั้งสี่ที่นอนก่ายกันตายอยู่บนเตียง กลิ่นเลือดคาวคลุ้ง...
เออนะ! ผมได้กลิ่นคาวๆ อวลอยู่ในอากาศของห้องนี้ด้วยสิ ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองรึเปล่า?
เป็นอันว่าทุกอย่างนอกนั้นเป็นปกติ มีแต่ป้าปุ๋มที่ตื่นตระหนกแทบช็อก... แกตัวสั่นและไม่สามารถจะอยู่ที่บ้านนั้นตามลำพังได้ ดีนะที่แกยังไม่ได้เรียกตำรวจ เพราะแค่นี้แกก็หน้าแตกจะแย่แล้ว
"คุณแมนว่าป้าบ้าไปเองซิคะเนี่ย?" แกหน้าจ๋อย และมีท่าทีที่ผมรู้ว่าแกเห็นจริงๆ ใครจะวิ่งกระเซอะกระเซิงมาได้อย่างนั้น ถ้าไม่ตกใจขนาดหนัก
"ไม่หรอกป้า ผมกำลังคิดว่าป้าเห็นอะไรกันแน่?"
ขณะที่ผมกำลังพยายามจับต้นชนปลาย ป้าปุ๋มก็บรรยายสิ่งที่ประจักษ์กับสายตา...แกมองหน้าศพเหล่านั้นไม่ถนัด แต่แกไม่รู้จักคนพวกนั้นแน่ๆใครก็ไม่รู้...จะว่าเป็นผีเรอะครับ? บ้านนี้ไม่มีผี ไม่เคยมีใครตาย...พวกเขาอยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอด...ป้าปุ๋มเองก็รู้ดี!
เมื่อปลอบโยนแก และส่งให้เข้านอนกับสาวใช้ในบ้านเราแล้ว ผมก็คุยกับเมียเรื่องนี้ต่อ...
"ฉันชักเสียวไส้เสียแล้วซี" เธอว่า "ถ้าอะไรที่ป้าปุ๋มเห็นไม่ใช่ผีจากอดีต ไม่ใช่สิ่งที่มาหลอกหลอนกันสดๆ มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า...แกเห็นอนาคต!"
ผมอึ้ง และรู้สึกวุ่นวายใจไม่น้อยเลย...
ศพบนเตียงไม่ใช่พี่โอมกับครอบครัว แต่เป็นไปได้ไหมว่าอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะมีคนตายยกครัวกันในห้องนอนนั้น...
ใครล่ะที่กำลังจะกลายเป็นศพสยองในอนาคต?!
ผมใจหายวาบ นึกถึงน้องอั้มว่า...เผื่อแกโตขึ้น แต่งงานและมีปัญหาครอบครัว...อือม์! มันเป็นไปได้แฮะ...ว่าแต่ผมจะเตือนพวกเขายังไงดีล่ะ?
พี่โอมกลับจากไปเที่ยว ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่เคร่งเครียดนัก ผมปล่อยให้เขาคิดเองและหาทางป้องกัน...ภาพที่ป้าปุ๋มเห็นอาจเป็นคำเตือนจากอนาคตก็เป็นได้นะครับ! น่าขนลุกจริงๆ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 19 ธันวาคม 2550
18 ธันวาคม 2558
วิญญาณทิพย์
"ไปรมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสยองขวัญ
ทุกวันนี้ดิฉันอาศัยอยู่ในบ้านผีสิงค่ะ!
นี่ไม่ได้พูดเล่นสนุกๆ นะคะ คนในซอยนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหละ ต้องย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ น่ะ มีแต่คนถามว่าอยู่ได้เรอะ? เจออะไรมั่งหรือเปล่า? เจอซิคะ! แหม...ถามได้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่น ต้องเล่าประวัติสยองให้ขนลุกไปด้วยกัน ว่าที่นี่มันไม่ธรรมดา!
บ้านหลังนี้สวยค่ะ เป็นบ้านตึกสองชั้นในเนื้อที่เกือบหนึ่งไร่ รายล้อมด้วยสนามหญ้า ต้นไม้ดอกไม้ ตรงมุมด้านนอกของบ้านมีสระบัวสระเล็กๆ ด้วยนะคะ ปลูกบัวสีน้ำเงินหอมละมุน และมีปลาหางนกยูงสวยๆ ว่ายพลิ้วดูเพลินเชียว...
ทุกอย่างที่นี่น่ารื่นรมย์ออกจะตายไป แต่เจ้าของบ้านคนที่แล้วไม่มีความสุขหรอกค่ะ เธอเป็นน้องสาวของสามีดิฉันเอง ได้บ้านนี้เป็นมรดกจากคุณพ่อ ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน และเธอก็อยู่ที่นี่กับสามี
เขาเป็นคนเจ้าชู้ เล่นการพนันด้วย
ในที่สุดน้องสามีดิฉันก็กินยาฆ่าตัวตายประชด และก็ตายจริงๆ สมใจ!
เธอเสียชีวิตอย่างทุรนทุรายที่ห้องนอนชั้นบน โดยสามีไม่แยแส เขาสมน้ำหน้าเธอด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นพวกเราคือดิฉัน สามีและคุณแม่สามีซึ่งซื้อคอนโดฯ อยู่ใกล้ที่ทำงานแถวสุขุมวิท ก็ตัดสินใจกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม เพราะสามีกับคุณแม่รักและผูกพันที่นั้นมาก...อีกประการหนึ่งคุณแม่ไม่ยอมขาย ท่านอยากอยู่ในที่ที่ลูกสาวเกิดและตาย...
ถ้าถามว่ากลัวไหม? ดิฉันขอตอบตรงๆ ว่า กลัวมากเลยค่ะ กลัวสุดชีวิต! เพราะเป็นคนกลัวผีขนาดหนักอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ?
ดิฉันต้องตามสามีกับคุณแม่ของเขา กลับไปใช้ชีวิตในบ้านที่ใครๆ ก็บอกว่าผีดุน่าดู...ดุขนาดตอนค่ำๆ ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน เขาลือกันว่ามีคนเห็นทิพย์ - น้องสามีดิฉันน่ะค่ะ มายืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องที่เธอตาย!
ช่วงนั้นทิพย์ตายใหม่ๆ บ้านปิดไว้เฉยๆ มืดไปทั้งหลัง ผู้คนกลัวกันมาก จนกระทั่งสามเดือนหลัง ดิฉันก็เข้าไปอยู่
วันแรกที่ย้ายเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนเดินสู่สุสาน...บ้านน่ะน่ารัก และคงจะน่าอยู่มาก หากไม่มีประวัติว่ามีคนฆ่าตัวตาย! ดิฉันขนลุกและกลัวจับใจ แต่จำต้องเก็บอาการไว้ เดี๋ยวสามีกับคุณแม่จะโกรธ หาว่ารังเกียจเดียดฉันท์ผีลูกสาวท่าน
เรานอนชั้นบนกันทั้งหมด โดยคุณแม่สามีตั้งใจแน่วแน่ที่จะนอนในห้องที่ลูกสาวเสียชีวิต! ท่านกล้าน่าดู หรือนี่คือความรักของแม่ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย? ดิฉันก็สุดจะหยั่งรู้เพราะตัวเองยังไม่มีลูกเลยค่ะ
ทุกคืน เวลาราวห้าทุ่ม อากาศในบ้านจะเย็นลงอย่างน่าพิศวง แม้จะยังเปิดไฟสว่างจ้า เปิดทีวีเสียงดัง แต่บรรยากาศก็หดหู่ลงฉับพลัน...ไฟไม่สว่างเพราะอะไรก็ไม่รู้ และความหม่นหมองก็โรยตัวลงมาครอบคลุมไปทั้งบ้าน มันเป็นเวลาที่ดิฉันอึดอัดที่สุด และกลัวจนไม่กล้าอยู่คนเดียว
ถ้าคืนไหนสามียังไม่กลับบ้าน ดิฉันต้องเรียกคนรับใช้มานั่งเป็นเพื่อน ซึ่งเจ้าหล่อนก็เต็มใจ เพราะกลัวล้นเหลือเหมือนกัน!
คุณแม่สามีดิฉันนอนหัวค่ำ พอสามทุ่มก็เข้าห้องปิดไฟมืดแล้ว
คิดดูแล้วสยอง...ท่านนอนในห้องที่มีคนเห็นผี! ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง? ดิฉันละงงจริงๆ มิหนำซ้ำตอนเช้ามักจะเล่าให้ลูกชายฟังว่า...เมื่อคืนทิพย์มาหา!
บางคืนตอนดึกๆ ดิฉันนอนอยู่ในห้องข้างๆ ก็จะได้ยินเสียงคุณแม่พูดคุยกับผู้ไร้ตัวตน ท่านปลอบและถามดังๆ ว่า...ทิพย์เหรอลูก มาหาแม่มา...ฟังแล้วสะท้านใจจริงๆ เลย
หลายครั้งที่มีเสียงดิ้นขลุกขลัก เสียงเก้าอี้ล้ม เสียงมือตบฝาผนังแรงๆ ดิฉันต้องข่มความกลัว ลุกไปเคาะประตูห้องดูว่าคุณแม่เป็นอะไร? พอท่านเปิดประตูออกมาก็พบว่าทุกอย่างปกติ เก้าอี้ไม่ได้ล้ม...ดิฉันชะเง้อมองข้ามไหล่ท่านเข้าไปในห้องที่มืดตึ๊ดตื๋อ...มันน่าขนหัวลุกเหลือเกิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เห็นร่างขาวๆ หน้าขาวๆ ยืนอยู่ พอมองอีกทีมันก็คือเงาสะท้อนกระจก...เขาของดิฉันเองค่ะ
คืนหนึ่งถึงกับผงะ ล้มหงายหลังกระแทกพื้นอย่างจัง เพราะเงาในกระจกที่เห็นนั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ขณะที่ดิฉันซอยผมสั้น!
แม้กระทั่งกลางวัน ดิฉันมักจะสะดุ้งผวาอยู่บ่อยๆ
ดิฉันทำงานอยู่กับบ้านค่ะ คุณแม่สามีอยู่ในห้องนอนชั้นบน ท่านอาจจะเอนหลังอ่านหนังสือหรือนอนหลับก็ได้ แต่ดิฉันจะรู้สึกเหมือนมีคนเดินลงบันไดมาหยุดยืนข้างหลังประจำเลยค่ะ...จะหันไปมองก็ไม่กล้า กลัวว่าจะเจอทิพย์มายืนทักทายน่ะซีคะ
ถึงอย่างไรก็ตาม ดิฉันแน่ใจที่สุดว่าเป็นเธอนี่แหละ เพราะถ้าเป็นคุณแม่ท่านคงไม่ยืนนิ่งเงียบแบบนั้นแน่
อย่างเดียวที่ทำให้ดิฉันอยู่ได้ในบ้านหลังนี้ก็คือ ความดีงามของสามีและคุณแม่...ดิฉันรักพวกเขามากๆ ค่ะ
ทิพย์ไม่ได้หลอกหลอนดิฉันเลย คนรับใช้ก็ไม่เคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของเธอ เหมือนเธอจะไม่อยากให้เราตกใจกลัว แต่คนอื่นๆ อย่างพนักงานมาฉีดยาฆ่าปลวก หรือบุรุษไปรษณีย์จะเห็นเธอเสมอ...บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นผี!
ถึงจะกลัว ดิฉันก็อยู่ได้...และหวังว่าสักวันหนึ่ง วิญญาณของทิพย์ไปสู่สุคติค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2550
ทุกวันนี้ดิฉันอาศัยอยู่ในบ้านผีสิงค่ะ!
นี่ไม่ได้พูดเล่นสนุกๆ นะคะ คนในซอยนี้เขารู้กันทั้งนั้นแหละ ต้องย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ น่ะ มีแต่คนถามว่าอยู่ได้เรอะ? เจออะไรมั่งหรือเปล่า? เจอซิคะ! แหม...ถามได้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่น ต้องเล่าประวัติสยองให้ขนลุกไปด้วยกัน ว่าที่นี่มันไม่ธรรมดา!
บ้านหลังนี้สวยค่ะ เป็นบ้านตึกสองชั้นในเนื้อที่เกือบหนึ่งไร่ รายล้อมด้วยสนามหญ้า ต้นไม้ดอกไม้ ตรงมุมด้านนอกของบ้านมีสระบัวสระเล็กๆ ด้วยนะคะ ปลูกบัวสีน้ำเงินหอมละมุน และมีปลาหางนกยูงสวยๆ ว่ายพลิ้วดูเพลินเชียว...
ทุกอย่างที่นี่น่ารื่นรมย์ออกจะตายไป แต่เจ้าของบ้านคนที่แล้วไม่มีความสุขหรอกค่ะ เธอเป็นน้องสาวของสามีดิฉันเอง ได้บ้านนี้เป็นมรดกจากคุณพ่อ ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน และเธอก็อยู่ที่นี่กับสามี
เขาเป็นคนเจ้าชู้ เล่นการพนันด้วย
ในที่สุดน้องสามีดิฉันก็กินยาฆ่าตัวตายประชด และก็ตายจริงๆ สมใจ!
เธอเสียชีวิตอย่างทุรนทุรายที่ห้องนอนชั้นบน โดยสามีไม่แยแส เขาสมน้ำหน้าเธอด้วยซ้ำไป
หลังจากนั้นพวกเราคือดิฉัน สามีและคุณแม่สามีซึ่งซื้อคอนโดฯ อยู่ใกล้ที่ทำงานแถวสุขุมวิท ก็ตัดสินใจกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม เพราะสามีกับคุณแม่รักและผูกพันที่นั้นมาก...อีกประการหนึ่งคุณแม่ไม่ยอมขาย ท่านอยากอยู่ในที่ที่ลูกสาวเกิดและตาย...
ถ้าถามว่ากลัวไหม? ดิฉันขอตอบตรงๆ ว่า กลัวมากเลยค่ะ กลัวสุดชีวิต! เพราะเป็นคนกลัวผีขนาดหนักอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ?
ดิฉันต้องตามสามีกับคุณแม่ของเขา กลับไปใช้ชีวิตในบ้านที่ใครๆ ก็บอกว่าผีดุน่าดู...ดุขนาดตอนค่ำๆ ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน เขาลือกันว่ามีคนเห็นทิพย์ - น้องสามีดิฉันน่ะค่ะ มายืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องที่เธอตาย!
ช่วงนั้นทิพย์ตายใหม่ๆ บ้านปิดไว้เฉยๆ มืดไปทั้งหลัง ผู้คนกลัวกันมาก จนกระทั่งสามเดือนหลัง ดิฉันก็เข้าไปอยู่
วันแรกที่ย้ายเข้าไป ดิฉันรู้สึกเหมือนเดินสู่สุสาน...บ้านน่ะน่ารัก และคงจะน่าอยู่มาก หากไม่มีประวัติว่ามีคนฆ่าตัวตาย! ดิฉันขนลุกและกลัวจับใจ แต่จำต้องเก็บอาการไว้ เดี๋ยวสามีกับคุณแม่จะโกรธ หาว่ารังเกียจเดียดฉันท์ผีลูกสาวท่าน
เรานอนชั้นบนกันทั้งหมด โดยคุณแม่สามีตั้งใจแน่วแน่ที่จะนอนในห้องที่ลูกสาวเสียชีวิต! ท่านกล้าน่าดู หรือนี่คือความรักของแม่ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย? ดิฉันก็สุดจะหยั่งรู้เพราะตัวเองยังไม่มีลูกเลยค่ะ
ทุกคืน เวลาราวห้าทุ่ม อากาศในบ้านจะเย็นลงอย่างน่าพิศวง แม้จะยังเปิดไฟสว่างจ้า เปิดทีวีเสียงดัง แต่บรรยากาศก็หดหู่ลงฉับพลัน...ไฟไม่สว่างเพราะอะไรก็ไม่รู้ และความหม่นหมองก็โรยตัวลงมาครอบคลุมไปทั้งบ้าน มันเป็นเวลาที่ดิฉันอึดอัดที่สุด และกลัวจนไม่กล้าอยู่คนเดียว
ถ้าคืนไหนสามียังไม่กลับบ้าน ดิฉันต้องเรียกคนรับใช้มานั่งเป็นเพื่อน ซึ่งเจ้าหล่อนก็เต็มใจ เพราะกลัวล้นเหลือเหมือนกัน!
คุณแม่สามีดิฉันนอนหัวค่ำ พอสามทุ่มก็เข้าห้องปิดไฟมืดแล้ว
คิดดูแล้วสยอง...ท่านนอนในห้องที่มีคนเห็นผี! ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง? ดิฉันละงงจริงๆ มิหนำซ้ำตอนเช้ามักจะเล่าให้ลูกชายฟังว่า...เมื่อคืนทิพย์มาหา!
บางคืนตอนดึกๆ ดิฉันนอนอยู่ในห้องข้างๆ ก็จะได้ยินเสียงคุณแม่พูดคุยกับผู้ไร้ตัวตน ท่านปลอบและถามดังๆ ว่า...ทิพย์เหรอลูก มาหาแม่มา...ฟังแล้วสะท้านใจจริงๆ เลย
หลายครั้งที่มีเสียงดิ้นขลุกขลัก เสียงเก้าอี้ล้ม เสียงมือตบฝาผนังแรงๆ ดิฉันต้องข่มความกลัว ลุกไปเคาะประตูห้องดูว่าคุณแม่เป็นอะไร? พอท่านเปิดประตูออกมาก็พบว่าทุกอย่างปกติ เก้าอี้ไม่ได้ล้ม...ดิฉันชะเง้อมองข้ามไหล่ท่านเข้าไปในห้องที่มืดตึ๊ดตื๋อ...มันน่าขนหัวลุกเหลือเกิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เห็นร่างขาวๆ หน้าขาวๆ ยืนอยู่ พอมองอีกทีมันก็คือเงาสะท้อนกระจก...เขาของดิฉันเองค่ะ
คืนหนึ่งถึงกับผงะ ล้มหงายหลังกระแทกพื้นอย่างจัง เพราะเงาในกระจกที่เห็นนั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ขณะที่ดิฉันซอยผมสั้น!
แม้กระทั่งกลางวัน ดิฉันมักจะสะดุ้งผวาอยู่บ่อยๆ
ดิฉันทำงานอยู่กับบ้านค่ะ คุณแม่สามีอยู่ในห้องนอนชั้นบน ท่านอาจจะเอนหลังอ่านหนังสือหรือนอนหลับก็ได้ แต่ดิฉันจะรู้สึกเหมือนมีคนเดินลงบันไดมาหยุดยืนข้างหลังประจำเลยค่ะ...จะหันไปมองก็ไม่กล้า กลัวว่าจะเจอทิพย์มายืนทักทายน่ะซีคะ
ถึงอย่างไรก็ตาม ดิฉันแน่ใจที่สุดว่าเป็นเธอนี่แหละ เพราะถ้าเป็นคุณแม่ท่านคงไม่ยืนนิ่งเงียบแบบนั้นแน่
อย่างเดียวที่ทำให้ดิฉันอยู่ได้ในบ้านหลังนี้ก็คือ ความดีงามของสามีและคุณแม่...ดิฉันรักพวกเขามากๆ ค่ะ
ทิพย์ไม่ได้หลอกหลอนดิฉันเลย คนรับใช้ก็ไม่เคยเห็นอิทธิฤทธิ์ของเธอ เหมือนเธอจะไม่อยากให้เราตกใจกลัว แต่คนอื่นๆ อย่างพนักงานมาฉีดยาฆ่าปลวก หรือบุรุษไปรษณีย์จะเห็นเธอเสมอ...บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นเป็นผี!
ถึงจะกลัว ดิฉันก็อยู่ได้...และหวังว่าสักวันหนึ่ง วิญญาณของทิพย์ไปสู่สุคติค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2550
17 ธันวาคม 2558
พบกันที่คาเฟ่
"จอห์นนี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของนักเที่ยวราตรี
ผมเป็นหนุ่มวัยใกล้ 40 มีการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ถึงแม้ว่าค่าครองชีพจะถีบตัวพรวดๆ ขึ้นทุกวัน เนื่องจากน้ำมันขึ้นราคาสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะยังดำรงสถานภาพชายโสดอยู่น่ะซีครับ!
แหม! ถ้ามีเมียมีลูกกำลังกินกำลังเล่น โดยเฉพาะอยู่ในวัยกำลังเรียนแบบเพื่อนรุ่นพี่อีกหลาย
คน...มีหวังประสาทไม่ค่อยเป็นปกติเหมือนกันละน่า
ตอนนี้ยังมีโอกาสก็ต้องหาความสุขใส่ตัวไว้ก่อน ใครจะว่าอะไรก็ช่าง
คิดดูซีครับ ถ้าเราห่วงอนาคต เขาก็ให้เราคิดถึงวันนี้เท่านั้น แต่พอเราทำตาม เขาก็บอกให้เราคิดถึงอดีตเอาไว้ จะได้ไม่ลืมตัว...อ้าว? พอเราคิดถึงอดีต เขาก็หาว่าเป็นคนคิดมากฟุ้งซ่าน...ขอให้คิดถึงปัจจุบันดีกว่า...ไม่รู้จะให้ทำยังไงกันแน่?
ฮะแอ้ม! ผมชอบคำคมที่ว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่นานนัก จะกลัดกลุ้มเป็นกังวลไปทำไม หาเวลาหยุดดมดอกไม้ซะมั่งเถอะน่า!
ดอกไม้สุดโปรดของผม หาง่ายที่สุดเพราะเป็นดอกไม้ริมทางไงครับ
ไม่ต้องมีพันธะผูกพันใดๆ ดีไม่ดีจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่หลัง...ก็เรายังไม่พร้อมนี่นา จะหาห่วงมาผูกคอทำไม? ผมเลยหาโอกาสเที่ยวเตร่ตามผับตามบาร์ คาเฟ่ หรือคาราโอเกะที่ผุดสะพรั่งเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนดอกเห็ดฤดูฝน
ต้องออกตัวว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งตัวเอง เพราะผมไม่ได้เที่ยวแบบสำมะเลเทเมา แต่เอาสนุกเข้าว่า ไม่ถึงกับบ่อยแบบคนติดเที่ยว แต่ระวังสุขภาพตามสมควร กับคอยดูเงินในกระเป๋าไว้ด้วย
ผมอยู่คนเดียวในบ้านแถวบางขุนนนท์ พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจะลาโลกไป แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีเพื่อนบ้านช่วยดูแลเวลาผมไม่อยู่ อาหารการกินก็จัดการข้างนอกเรียบร้อย...นานๆ จะนึกครึ้มซื้อหาอะไรมากินเอง
ระยะหลังๆ มานี่ผมชอบเที่ยวคาเฟ่ครับ!
ไม่ว่าคาเฟ่ใหญ่ๆ อย่างกรุงธนคอมเพล็กซ์ หรือธนบุรีพลาซ่า นักร้องเกือบร้อยคนแน่ะครับ แถมมีนักร้องนุ่งบิกินี เซ็กซี่อย่าบอกใคร...ลงมาถึงระดับราคาย่อมเยาแถวย่านปิ่นเกล้าฯ ช่วงหลังนี่ผมไปปิ๊งนักร้องน้องรักที่นั่น จนเกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมา...
"น้องอร" เคยร้องอยู่ตามคาเฟ่หลังพาต้ามาก่อน ผมรู้จักเธอที่นั่นแหละ ก่อนที่น้องอรจะย้ายไปอยู่คาเฟ่แถวถนนอรุณอัมรินทร์ ย่านใกล้ๆ กันนั่นเอง
ทำไมผมถึงปิ๊งน้กร้องน้องรักคนนี้เข้าเต็มเปาน่ะหรือครับ?
ขาว สวย หุ่นดีมาก พูดจาดี ไม่มีวี่แววว่าจะรอบจัดใดๆ โธ่! ผมเที่ยวราตรีมาเกือบ 20 ปีทำไมจะดูไม่ออกว่าใครเป็นยังไง? สาวสวยดูใสซื่อนี่สเป๊กผมจริงๆ เอ้า!
น้องอรย้ายคาเฟ่ ผมก็ย้ายที่เที่ยวตามเธอ เรื่องจะมีแฟนหรือแขกมาติดน่ะผมไม่สนให้เมื่อย ใครดีใครได้นะครับ เรื่องแบบนี้น่ะ
ผมแวะไปหาเธอ 2-3 ครั้ง น้องอรก็ปราดเข้ามานั่งโต๊ะด้วยทุกครั้ง นักร้องตั้ง 30-40 คน ไม่ต้องกลัวว่าแขกจะเหงาเพราะขาดเพื่อนคุย...ที่นั่นดีอย่างที่ไม่มีดริงก์มากวนใจแขก นอกจากตอนที่น้องหนูร้องเพลง เราก็ติดมาลัยน้ำใจทีละ 2-3 ร้อยบาท บางคนใจถึงติดแบงก์สีม่วงก็มี
เท่าที่เคยพบกันน่ะ น้องอรไม่ได้นั่งโต๊ะใครนอกจากผม...อาจจะเห็นว่าผมเที่ยวคนเดียว หรือถูกชะตาผมเป็นพิเศษก็ได้...เรื่องของคนกลางคืนน่ะ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
คืนหนึ่ง ผมชวนเธอออกไปหาอะไรกิน น้องอรก็ออกไปด้วยตอนคาเฟ่เลิกตี 3 โดยไม่เปลี่ยนชุดยาวสีฟ้า ปักดิ้นเลื่อมพราวเชียว...ตอนลงจากรถเดินไปร้านข้าวต้มติงลี่เล่นเอาผู้คนที่นั่นหันมองเป็นตาเดียวกัน...
ตอนจบ เธอขอตัวกลับห้องเช่าในซอยแถวนั้น ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร...
จนกระทั่งวันเสาร์ต่อมา ผมนั่งชงเหล้าอยู่ที่ระเบียงบ้านเตี้ยๆ ว่าจะไม่ออกไปไหนแล้วเชียวนา...มารู้ตัวอีกทีก็ไปนั่งซดเหล้ามองดูหน้าสวยๆ ของน้องอรที่มุมสลัวในคาเฟ่ซะแล้ว...ซักพักใหญ่ๆ เธอก็บอกว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย คงจะอยู่ที่นั่นหลายวัน
"เดี๋ยวเราออกไปเลยนะพี่ อรลาผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว" เธอบอกให้ผมลิงโลดใจ...ไปกินข้าวต้มที่ติงลี่ตามเคย แค่คืนนั้นไม่มีใครสนใจเหมือนคืนก่อน...ผมขอไปส่งเธอที่ห้องแต่น้องอรบอกว่า...ขอไปค้างบ้านพี่ละกัน!
เรื่องแบบนี้เอาแน่ไม่ได้จริงๆ ครับ...ผมรีบพาเธอมาขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้ากลับบ้านทันที...พอเข้าห้องนอนผมก็ใส่กลอนเรียบร้อย กลิ่นน้ำหอมอวลกรุ่นเย้ายวนใจสิ้นดี
เราโผเข้าหากันเหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูด...ไม่ช้าก็ขึ้นไปคลุกเคล้ากันอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดกระเด็นไปไหนไม่มีใครสนใจอีกแล้ว นอกจากการกอดจูบอย่างเร่าร้อน อ้อมแขนสองคู่โอบกระหวัดรัดกันแนบแน่นเหมือนจะผนึกเป็นเนื้อเดียวกันตลอดกาล...
มาตื่นอีกทีก็สายมากแล้ว น้องอรไม่ได้อยู่บนเตียง...ในห้องน้ำก็ไม่มี ประตูห้องยังใส่กลอนเหมือนเดิม ผมเผ่นไปที่หน้าต่างทั้งหัวนอนและด้านข้าง...มันติดเหล็กดัดแน่นหนาจนไม่มีใครเล็ดลอดออกไปได้แน่ๆ ยกเว้นแต่ว่าน้องอรจะไม่ใช่คน!
คุณพระช่วย! เมื่อคืนผมนอนกับผีน่ะซี?
กลิ่นน้ำหอมของเธอยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง เล่นเอาผมตาลายพร่า เย็นสันหลังวูบวาบ เข่าอ่อนจนต้องเซซังไปนั่งแหมะที่ขอบเตียง...สองหูอื้ออึง แต่ได้ยินเสียงใครถอนใจยืดยาวเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา...
คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผมเลิกเที่ยวคาเฟ่ตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 ธันวาคม 2550
ผมเป็นหนุ่มวัยใกล้ 40 มีการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ถึงแม้ว่าค่าครองชีพจะถีบตัวพรวดๆ ขึ้นทุกวัน เนื่องจากน้ำมันขึ้นราคาสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์ แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนเพราะยังดำรงสถานภาพชายโสดอยู่น่ะซีครับ!
แหม! ถ้ามีเมียมีลูกกำลังกินกำลังเล่น โดยเฉพาะอยู่ในวัยกำลังเรียนแบบเพื่อนรุ่นพี่อีกหลาย
คน...มีหวังประสาทไม่ค่อยเป็นปกติเหมือนกันละน่า
ตอนนี้ยังมีโอกาสก็ต้องหาความสุขใส่ตัวไว้ก่อน ใครจะว่าอะไรก็ช่าง
คิดดูซีครับ ถ้าเราห่วงอนาคต เขาก็ให้เราคิดถึงวันนี้เท่านั้น แต่พอเราทำตาม เขาก็บอกให้เราคิดถึงอดีตเอาไว้ จะได้ไม่ลืมตัว...อ้าว? พอเราคิดถึงอดีต เขาก็หาว่าเป็นคนคิดมากฟุ้งซ่าน...ขอให้คิดถึงปัจจุบันดีกว่า...ไม่รู้จะให้ทำยังไงกันแน่?
ฮะแอ้ม! ผมชอบคำคมที่ว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้ไม่นานนัก จะกลัดกลุ้มเป็นกังวลไปทำไม หาเวลาหยุดดมดอกไม้ซะมั่งเถอะน่า!
ดอกไม้สุดโปรดของผม หาง่ายที่สุดเพราะเป็นดอกไม้ริมทางไงครับ
ไม่ต้องมีพันธะผูกพันใดๆ ดีไม่ดีจะกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่หลัง...ก็เรายังไม่พร้อมนี่นา จะหาห่วงมาผูกคอทำไม? ผมเลยหาโอกาสเที่ยวเตร่ตามผับตามบาร์ คาเฟ่ หรือคาราโอเกะที่ผุดสะพรั่งเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนดอกเห็ดฤดูฝน
ต้องออกตัวว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน รวมทั้งตัวเอง เพราะผมไม่ได้เที่ยวแบบสำมะเลเทเมา แต่เอาสนุกเข้าว่า ไม่ถึงกับบ่อยแบบคนติดเที่ยว แต่ระวังสุขภาพตามสมควร กับคอยดูเงินในกระเป๋าไว้ด้วย
ผมอยู่คนเดียวในบ้านแถวบางขุนนนท์ พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจะลาโลกไป แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีเพื่อนบ้านช่วยดูแลเวลาผมไม่อยู่ อาหารการกินก็จัดการข้างนอกเรียบร้อย...นานๆ จะนึกครึ้มซื้อหาอะไรมากินเอง
ระยะหลังๆ มานี่ผมชอบเที่ยวคาเฟ่ครับ!
ไม่ว่าคาเฟ่ใหญ่ๆ อย่างกรุงธนคอมเพล็กซ์ หรือธนบุรีพลาซ่า นักร้องเกือบร้อยคนแน่ะครับ แถมมีนักร้องนุ่งบิกินี เซ็กซี่อย่าบอกใคร...ลงมาถึงระดับราคาย่อมเยาแถวย่านปิ่นเกล้าฯ ช่วงหลังนี่ผมไปปิ๊งนักร้องน้องรักที่นั่น จนเกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมา...
"น้องอร" เคยร้องอยู่ตามคาเฟ่หลังพาต้ามาก่อน ผมรู้จักเธอที่นั่นแหละ ก่อนที่น้องอรจะย้ายไปอยู่คาเฟ่แถวถนนอรุณอัมรินทร์ ย่านใกล้ๆ กันนั่นเอง
ทำไมผมถึงปิ๊งน้กร้องน้องรักคนนี้เข้าเต็มเปาน่ะหรือครับ?
ขาว สวย หุ่นดีมาก พูดจาดี ไม่มีวี่แววว่าจะรอบจัดใดๆ โธ่! ผมเที่ยวราตรีมาเกือบ 20 ปีทำไมจะดูไม่ออกว่าใครเป็นยังไง? สาวสวยดูใสซื่อนี่สเป๊กผมจริงๆ เอ้า!
น้องอรย้ายคาเฟ่ ผมก็ย้ายที่เที่ยวตามเธอ เรื่องจะมีแฟนหรือแขกมาติดน่ะผมไม่สนให้เมื่อย ใครดีใครได้นะครับ เรื่องแบบนี้น่ะ
ผมแวะไปหาเธอ 2-3 ครั้ง น้องอรก็ปราดเข้ามานั่งโต๊ะด้วยทุกครั้ง นักร้องตั้ง 30-40 คน ไม่ต้องกลัวว่าแขกจะเหงาเพราะขาดเพื่อนคุย...ที่นั่นดีอย่างที่ไม่มีดริงก์มากวนใจแขก นอกจากตอนที่น้องหนูร้องเพลง เราก็ติดมาลัยน้ำใจทีละ 2-3 ร้อยบาท บางคนใจถึงติดแบงก์สีม่วงก็มี
เท่าที่เคยพบกันน่ะ น้องอรไม่ได้นั่งโต๊ะใครนอกจากผม...อาจจะเห็นว่าผมเที่ยวคนเดียว หรือถูกชะตาผมเป็นพิเศษก็ได้...เรื่องของคนกลางคืนน่ะ ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
คืนหนึ่ง ผมชวนเธอออกไปหาอะไรกิน น้องอรก็ออกไปด้วยตอนคาเฟ่เลิกตี 3 โดยไม่เปลี่ยนชุดยาวสีฟ้า ปักดิ้นเลื่อมพราวเชียว...ตอนลงจากรถเดินไปร้านข้าวต้มติงลี่เล่นเอาผู้คนที่นั่นหันมองเป็นตาเดียวกัน...
ตอนจบ เธอขอตัวกลับห้องเช่าในซอยแถวนั้น ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร...
จนกระทั่งวันเสาร์ต่อมา ผมนั่งชงเหล้าอยู่ที่ระเบียงบ้านเตี้ยๆ ว่าจะไม่ออกไปไหนแล้วเชียวนา...มารู้ตัวอีกทีก็ไปนั่งซดเหล้ามองดูหน้าสวยๆ ของน้องอรที่มุมสลัวในคาเฟ่ซะแล้ว...ซักพักใหญ่ๆ เธอก็บอกว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่เชียงราย คงจะอยู่ที่นั่นหลายวัน
"เดี๋ยวเราออกไปเลยนะพี่ อรลาผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว" เธอบอกให้ผมลิงโลดใจ...ไปกินข้าวต้มที่ติงลี่ตามเคย แค่คืนนั้นไม่มีใครสนใจเหมือนคืนก่อน...ผมขอไปส่งเธอที่ห้องแต่น้องอรบอกว่า...ขอไปค้างบ้านพี่ละกัน!
เรื่องแบบนี้เอาแน่ไม่ได้จริงๆ ครับ...ผมรีบพาเธอมาขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้ากลับบ้านทันที...พอเข้าห้องนอนผมก็ใส่กลอนเรียบร้อย กลิ่นน้ำหอมอวลกรุ่นเย้ายวนใจสิ้นดี
เราโผเข้าหากันเหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูด...ไม่ช้าก็ขึ้นไปคลุกเคล้ากันอยู่บนเตียง เสื้อผ้าหลุดกระเด็นไปไหนไม่มีใครสนใจอีกแล้ว นอกจากการกอดจูบอย่างเร่าร้อน อ้อมแขนสองคู่โอบกระหวัดรัดกันแนบแน่นเหมือนจะผนึกเป็นเนื้อเดียวกันตลอดกาล...
มาตื่นอีกทีก็สายมากแล้ว น้องอรไม่ได้อยู่บนเตียง...ในห้องน้ำก็ไม่มี ประตูห้องยังใส่กลอนเหมือนเดิม ผมเผ่นไปที่หน้าต่างทั้งหัวนอนและด้านข้าง...มันติดเหล็กดัดแน่นหนาจนไม่มีใครเล็ดลอดออกไปได้แน่ๆ ยกเว้นแต่ว่าน้องอรจะไม่ใช่คน!
คุณพระช่วย! เมื่อคืนผมนอนกับผีน่ะซี?
กลิ่นน้ำหอมของเธอยังอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง เล่นเอาผมตาลายพร่า เย็นสันหลังวูบวาบ เข่าอ่อนจนต้องเซซังไปนั่งแหมะที่ขอบเตียง...สองหูอื้ออึง แต่ได้ยินเสียงใครถอนใจยืดยาวเหมือนคนเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา...
คงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าผมเลิกเที่ยวคาเฟ่ตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 ธันวาคม 2550
14 ธันวาคม 2558
ต้นไทร ก.ม. 11
"นายหนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากใต้ต้นไทร
ผมเคยเล่าเรื่องผีลุงม้วนที่แผงลอยขายยาดองมาแล้ว เพื่อนซี้ของผมคือเจ้าหงกับเจ้าตี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันไม่ได้นั่งคุยกับลุงม้วนเหมือนผม พอแกเห็นว่าพวกมันขี่รถมาก็เลยขอตัวไปก่อน เหลือแต่แก้วยาดองเปล่าๆ เป็นพยาน
ความที่เป็นหนุ่มโสดนักเที่ยว เสาร์อาทิตย์พวกเราก็นัดเจอกันแถวบ้านผม หลังสถานีรถไฟบางเขนมั่ง แถวชุมชนภักดีกับชุมชนสวนผักของเพื่อนเกลอทั้งสองมั่ง...เรียกกันติดปากว่า ชุมชน ก.ม.11
วันเกิดเหตุ เจอเรื่องขนหัวลุกก็เช่นกัน!
ผมบึ่งแมงกะไซค์คู่ชีพมาหาเพื่อนที่หน้าชุมชนภักดี ใกล้ๆ จะสุดทางที่เลียบทางรถไฟแล้วล่ะครับ เห็นเขาว่าจะตัดถนนไปออกบางซ่อน พอๆ กับจะสร้างโฮปเวลล์ต่อซะที เป็นเสาเป็นคานโด่เด่น่าเกลียดน่ากลัวมาตั้งสิบปีได้แล้วมั้ง?
เรานัดเจอกันที่ปากทาง แถวๆ ศาลปู่แก้วย่าพิมพา มีแผงขายผัดไทยป้าแดงกับข้าวแกงน้องเฟิร์น แต่พักหลังไม่ค่อยขาย ตกบ่ายๆ ก็กลายเป็นแผงขายผลไม้ พวกกล้วย ส้มเหมือนกับเพิงขายยาดองที่ขายมั่งไม่ขายมั่งตามใจชอบ
ราวหกโมงเย็นพวกเราก็พบกันตามนัด...เจ้าหงขี่รถให้เจ้าตี๋ซ้อนท้าย เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยครับ เพราะไม่ได้โฉบไปมาแถวใกล้ๆ บ้าน แต่ว่าจะไปหาอะไรกินกันแถวห้าแยกลาดพร้าวโน่นแน่ะ
แถวหลังเพิงขายยาดองมีทางให้ลัดเลาะข้ามทางรถไฟใกล้ๆ กับยกพื้นสถานีย่อย ก.ม.11 ไปออกถนนกำแพงเพชร...หรือเรียกโก้ๆ ว่า โลคัลโร้ด นั่นประไร!
ก่อนจะข้ามทางรถไฟ ผมหันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคลียคลอกันไปทางต้นไทรใหญ่ แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม รากห้อยระย้าน่าวังเวงใจ...ดูเหมือนจะเป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ราว 3-4 ห้อง แต่ปิดเงียบเชียบหมดทุกห้อง
จนกระทั่งร้านอาหารที่เป็นจุดหมาย...
แหม! แถวใกล้ๆ ห้างเซ็นทรัล ไม่ว่ารถราหรือผู้คนขวักไขว่คึกคักกันทั้งวัน ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แบบนี้หายห่วง ทั้งคนทำงาน นักเรียนนักศึกษา หนุ่มสาวไม่รู้มาจากไหนคึ่กๆ ส่วนน้อยคงจะไปเดินห้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะรอรถเมล์กลับบ้าน
พวกเราเคยไปกินร้านนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน "น้องสวย" สาวเสิร์ฟร้านนี้หน้าตาสะสวยสมชื่อ แถมหุ่นเซ็กซี่อีกต่างหาก เจ้าตี๋ถึงกับมองตาเยิ้ม พึมพำว่า...อกเป็นอก! สะโพกเป็นสะโพก เหลือกินเหลือใช้จริงๆ ว่ะ
ไม่ใช่เราโต๊ะเดียวหรอกครับ พวกไอ้หนุ่มโต๊ะอื่นๆ ก็เหล่เธอแทบเป็นตาเดียวกันทั้งนั้น...สงสัยเจ้าของร้านจะหัวแหลม จ้างน้องสวยไว้ล่อไอ้เข้แหงๆ
ได้เหล้าเข้าไปคนละ 2-3 แก้ว เราก็คุยเรื่องผีกัน!
เจ้าหงยอมรับว่าเชื่อแล้วที่ผมคุยกับผีลุงม้วน โดยไม่รู้ว่าแกโดนรถชนตายแหงแก๋อยู่ที่วัดเสมียนนารี เพราะคืนนั้นพวกเพื่อนบ้านที่ไปฟังสวดศพก็มีคนเห็นแกทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวหน้าโลงศพ
"ฟังสวดเสร็จพากันกลับ" มันเล่าเสียงตื่นเต้น "พอจะเดินไปที่รถแถวลานวัดอ้าว? ลุงม้วนแกเดินนำหน้าปร๋อเฉยเลย ป้าสายกับยายส่งถึงกับเป็นลม แต่ป้าดาอาการหนัก แกปล่อยซ่าออกมาตรงนั้นเอง! สาบานว่าไม่ได้ตั้งอกตั้งใจจริงๆ ไม่รู้ว่าหลั่งไหลออกมาได้ยังไง?"
"น้าอ๋อยขายลูกชิ้นปิ้งก็โดน" เจ้าตี๋เล่ามั่ง "ตอนนั้นยังไม่ทันจะค่ำ เพิ่งหาบผ่านพ้นต้นไทรมาเกือบถึงหน้าศาลปู่แก้ว ได้ยินเสียงเรียกอ๋อยๆ พอหันไปมองก็เห็นลุงม้วนยืนโบกมือเรียกอยู่หน้าเพิงยาดอง...คงอยากกินลูกชิ้นปิ้งแกล้มเหล้าละมั้ง?"
"แล้วน้าอ๋อยแกว่ายังไงวะ?" เจ้าหงถามเสียงหัวเราะ...มันคงรู้เรื่องดีอยู่แล้ว
"ไม่ว่าอะไรซักคำ แต่วิ่งหนีไม่คิดชีวิต หาบกระจายไปทางไหนก็ช่างมัน ร้องตะโกนแต่ว่า ผีหลอกๆๆ...เตลิดเปิดเปิงไปเกือบถึงสวนผักแน่ะ"
ผมอดหัวเราะไม่ได้...กระทั่งวิสกี้ยอดฮิตราคาย่อมเยาหมดขวด...เราทั้งอิ่มทั้งมึนกำลังดี พากันกลับทางเก่า...ถึง ก.ม.11 ผมจะเลยไปอยู่แล้ว แต่เจ้าหงชวนให้ข้ามทางรถไฟ บอกว่าไปทางตรงปลอดภัยกว่าเพราะถนนโล่งกว่าโลคัลโร้ดเป็นไหนๆ
พอข้ามไปเท่านั้น ผมก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินลับไปทางต้นไทร...แบบเดียวกับขามาไม่มีผิด!
"เอ๊ะ! หนุ่มสาวคู่เดิมที่ข้าเห็นตอนนั้นนี่หว่า..." ผมร้อง เจ้าหงหัวเราะ หาว่าผมเมาจนตาลาย ขี่รถมาถึงนี่น่าจะสร่างแล้วนะ! แต่ผมยืนยันว่าเห็นจริงๆ เราเลยเลี้ยวซ้ายไปดูกัน...
ตอนนั้นห้าทุ่มกว่าแล้ว นอกจากโครงเสาโฮปเวลล์ตั้งตระหง่าน กับเพิงขายของโกโรโกโส แผงลอยเก่าๆ ชุมชนแออัดดับไฟมืดเกือบหมดสิ้น เสียงหมาเห่าหอนเบาๆ มาจากด้านในน่าวังเวงใจสิ้นดี...
ใต้แสงไฟเยือกเย็น เราเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะม้าหินบนลานกว้างหน้าห้องแถวทรุดโทรม...ผมพยักหน้าให้เจ้าหงกับเจ้าตี๋ดูให้เต็มตา
นรกเป็นพยาน! หนุ่มสาวคู่นั้นหยุดชะงัก อาจจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเราก็เป็นได้ เลยหันมามองช้าๆ แต่ว่าใบหน้าขาวโพลนคู่นั้นว่างเปล่า ไม่มีนัยน์ตา จมูกและปากเหมือนคนธรรมดา ผมผงะหน้า แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ได้ยินเสียงเพื่อนเกลอร้องเฮ้ยๆๆ เหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
มือไม้สั่นเทาไปหมด ไม่รู้ว่าหักรถกลับได้ยังไง...แล่นเตลิดออกหน้า มีเจ้าหงกวดตามมาติดๆ ผ่านศาลปู่แก้วย่าพิมพา เตลิดเปิดเปิงไปถึงชุมชนสวนผักถึงได้ตั้งสติได้
คืนนั้น เราสามคนต้องอาศัยนอนมุ้งเดียวกับเจ้าตี๋ ไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวเจอะเจออะไรที่น่าขนหัวลุกเข้าอีกน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2550
ผมเคยเล่าเรื่องผีลุงม้วนที่แผงลอยขายยาดองมาแล้ว เพื่อนซี้ของผมคือเจ้าหงกับเจ้าตี๋เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันไม่ได้นั่งคุยกับลุงม้วนเหมือนผม พอแกเห็นว่าพวกมันขี่รถมาก็เลยขอตัวไปก่อน เหลือแต่แก้วยาดองเปล่าๆ เป็นพยาน
ความที่เป็นหนุ่มโสดนักเที่ยว เสาร์อาทิตย์พวกเราก็นัดเจอกันแถวบ้านผม หลังสถานีรถไฟบางเขนมั่ง แถวชุมชนภักดีกับชุมชนสวนผักของเพื่อนเกลอทั้งสองมั่ง...เรียกกันติดปากว่า ชุมชน ก.ม.11
วันเกิดเหตุ เจอเรื่องขนหัวลุกก็เช่นกัน!
ผมบึ่งแมงกะไซค์คู่ชีพมาหาเพื่อนที่หน้าชุมชนภักดี ใกล้ๆ จะสุดทางที่เลียบทางรถไฟแล้วล่ะครับ เห็นเขาว่าจะตัดถนนไปออกบางซ่อน พอๆ กับจะสร้างโฮปเวลล์ต่อซะที เป็นเสาเป็นคานโด่เด่น่าเกลียดน่ากลัวมาตั้งสิบปีได้แล้วมั้ง?
เรานัดเจอกันที่ปากทาง แถวๆ ศาลปู่แก้วย่าพิมพา มีแผงขายผัดไทยป้าแดงกับข้าวแกงน้องเฟิร์น แต่พักหลังไม่ค่อยขาย ตกบ่ายๆ ก็กลายเป็นแผงขายผลไม้ พวกกล้วย ส้มเหมือนกับเพิงขายยาดองที่ขายมั่งไม่ขายมั่งตามใจชอบ
ราวหกโมงเย็นพวกเราก็พบกันตามนัด...เจ้าหงขี่รถให้เจ้าตี๋ซ้อนท้าย เราสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยครับ เพราะไม่ได้โฉบไปมาแถวใกล้ๆ บ้าน แต่ว่าจะไปหาอะไรกินกันแถวห้าแยกลาดพร้าวโน่นแน่ะ
แถวหลังเพิงขายยาดองมีทางให้ลัดเลาะข้ามทางรถไฟใกล้ๆ กับยกพื้นสถานีย่อย ก.ม.11 ไปออกถนนกำแพงเพชร...หรือเรียกโก้ๆ ว่า โลคัลโร้ด นั่นประไร!
ก่อนจะข้ามทางรถไฟ ผมหันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคลียคลอกันไปทางต้นไทรใหญ่ แผ่กิ่งก้านร่มครึ้ม รากห้อยระย้าน่าวังเวงใจ...ดูเหมือนจะเป็นห้องแถวไม้เก่าๆ ราว 3-4 ห้อง แต่ปิดเงียบเชียบหมดทุกห้อง
จนกระทั่งร้านอาหารที่เป็นจุดหมาย...
แหม! แถวใกล้ๆ ห้างเซ็นทรัล ไม่ว่ารถราหรือผู้คนขวักไขว่คึกคักกันทั้งวัน ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แบบนี้หายห่วง ทั้งคนทำงาน นักเรียนนักศึกษา หนุ่มสาวไม่รู้มาจากไหนคึ่กๆ ส่วนน้อยคงจะไปเดินห้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะรอรถเมล์กลับบ้าน
พวกเราเคยไปกินร้านนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน "น้องสวย" สาวเสิร์ฟร้านนี้หน้าตาสะสวยสมชื่อ แถมหุ่นเซ็กซี่อีกต่างหาก เจ้าตี๋ถึงกับมองตาเยิ้ม พึมพำว่า...อกเป็นอก! สะโพกเป็นสะโพก เหลือกินเหลือใช้จริงๆ ว่ะ
ไม่ใช่เราโต๊ะเดียวหรอกครับ พวกไอ้หนุ่มโต๊ะอื่นๆ ก็เหล่เธอแทบเป็นตาเดียวกันทั้งนั้น...สงสัยเจ้าของร้านจะหัวแหลม จ้างน้องสวยไว้ล่อไอ้เข้แหงๆ
ได้เหล้าเข้าไปคนละ 2-3 แก้ว เราก็คุยเรื่องผีกัน!
เจ้าหงยอมรับว่าเชื่อแล้วที่ผมคุยกับผีลุงม้วน โดยไม่รู้ว่าแกโดนรถชนตายแหงแก๋อยู่ที่วัดเสมียนนารี เพราะคืนนั้นพวกเพื่อนบ้านที่ไปฟังสวดศพก็มีคนเห็นแกทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวหน้าโลงศพ
"ฟังสวดเสร็จพากันกลับ" มันเล่าเสียงตื่นเต้น "พอจะเดินไปที่รถแถวลานวัดอ้าว? ลุงม้วนแกเดินนำหน้าปร๋อเฉยเลย ป้าสายกับยายส่งถึงกับเป็นลม แต่ป้าดาอาการหนัก แกปล่อยซ่าออกมาตรงนั้นเอง! สาบานว่าไม่ได้ตั้งอกตั้งใจจริงๆ ไม่รู้ว่าหลั่งไหลออกมาได้ยังไง?"
"น้าอ๋อยขายลูกชิ้นปิ้งก็โดน" เจ้าตี๋เล่ามั่ง "ตอนนั้นยังไม่ทันจะค่ำ เพิ่งหาบผ่านพ้นต้นไทรมาเกือบถึงหน้าศาลปู่แก้ว ได้ยินเสียงเรียกอ๋อยๆ พอหันไปมองก็เห็นลุงม้วนยืนโบกมือเรียกอยู่หน้าเพิงยาดอง...คงอยากกินลูกชิ้นปิ้งแกล้มเหล้าละมั้ง?"
"แล้วน้าอ๋อยแกว่ายังไงวะ?" เจ้าหงถามเสียงหัวเราะ...มันคงรู้เรื่องดีอยู่แล้ว
"ไม่ว่าอะไรซักคำ แต่วิ่งหนีไม่คิดชีวิต หาบกระจายไปทางไหนก็ช่างมัน ร้องตะโกนแต่ว่า ผีหลอกๆๆ...เตลิดเปิดเปิงไปเกือบถึงสวนผักแน่ะ"
ผมอดหัวเราะไม่ได้...กระทั่งวิสกี้ยอดฮิตราคาย่อมเยาหมดขวด...เราทั้งอิ่มทั้งมึนกำลังดี พากันกลับทางเก่า...ถึง ก.ม.11 ผมจะเลยไปอยู่แล้ว แต่เจ้าหงชวนให้ข้ามทางรถไฟ บอกว่าไปทางตรงปลอดภัยกว่าเพราะถนนโล่งกว่าโลคัลโร้ดเป็นไหนๆ
พอข้ามไปเท่านั้น ผมก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินลับไปทางต้นไทร...แบบเดียวกับขามาไม่มีผิด!
"เอ๊ะ! หนุ่มสาวคู่เดิมที่ข้าเห็นตอนนั้นนี่หว่า..." ผมร้อง เจ้าหงหัวเราะ หาว่าผมเมาจนตาลาย ขี่รถมาถึงนี่น่าจะสร่างแล้วนะ! แต่ผมยืนยันว่าเห็นจริงๆ เราเลยเลี้ยวซ้ายไปดูกัน...
ตอนนั้นห้าทุ่มกว่าแล้ว นอกจากโครงเสาโฮปเวลล์ตั้งตระหง่าน กับเพิงขายของโกโรโกโส แผงลอยเก่าๆ ชุมชนแออัดดับไฟมืดเกือบหมดสิ้น เสียงหมาเห่าหอนเบาๆ มาจากด้านในน่าวังเวงใจสิ้นดี...
ใต้แสงไฟเยือกเย็น เราเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินช้าๆ ไปที่โต๊ะม้าหินบนลานกว้างหน้าห้องแถวทรุดโทรม...ผมพยักหน้าให้เจ้าหงกับเจ้าตี๋ดูให้เต็มตา
นรกเป็นพยาน! หนุ่มสาวคู่นั้นหยุดชะงัก อาจจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของเราก็เป็นได้ เลยหันมามองช้าๆ แต่ว่าใบหน้าขาวโพลนคู่นั้นว่างเปล่า ไม่มีนัยน์ตา จมูกและปากเหมือนคนธรรมดา ผมผงะหน้า แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ได้ยินเสียงเพื่อนเกลอร้องเฮ้ยๆๆ เหมือนดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล
มือไม้สั่นเทาไปหมด ไม่รู้ว่าหักรถกลับได้ยังไง...แล่นเตลิดออกหน้า มีเจ้าหงกวดตามมาติดๆ ผ่านศาลปู่แก้วย่าพิมพา เตลิดเปิดเปิงไปถึงชุมชนสวนผักถึงได้ตั้งสติได้
คืนนั้น เราสามคนต้องอาศัยนอนมุ้งเดียวกับเจ้าตี๋ ไม่กล้ากลับบ้านเพราะกลัวเจอะเจออะไรที่น่าขนหัวลุกเข้าอีกน่ะซีครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2550
13 ธันวาคม 2558
ปอบจำแลง
"มธุรดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของสาวใช้จากแดนไกล
"มีน" เป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน เธอสวยเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่น่าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ อายุใกล้จะ 30 แล้วและมีลูก 2 คน เธอก็ยังดูเหมือนเดิมค่ะ
ลูกคนโตของมีนเป็นผู้ชาย ชื่อน้องม่อน อายุ 2 ขวบกว่า กำลังซน ส่วนคนที่ 2 เพิ่งจะคลอดมาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน เป็นผู้หญิง ท่าทางจะสวยเหมือนแม่เพราะขาวผ่องเชียว มีนตั้งชื่อว่าน้องมด ตัวเธอเล็กนิดเดียว น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
เมื่อน้องมดเกิดมา มีนก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กเพิ่ม มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้มีนจะอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงาน ปล่อยให้คุณโชค - สามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวก็ตาม แต่ดังที่ได้บอกแล้วว่ามีนนั้นบอบบาง ทำงานบ้านไม่เป็น ถึงจะเลี้ยงลูกก็จริง แต่เธอหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก คุณป้าวลัย แม่ของเธอก็เป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถจะมาช่วยเลี้ยงได้
ปกติมีนมีป้าจีบ - คนเก่าคนแก่ของคุณป้าวลัยมาช่วยเลี้ยงน้องม่อน และมีสาวไทยใหญ่เป็นคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง ชื่ออุ้ม - แบบนางเอกน่ะค่ะ
การหาพี่เลี้ยงเด็กที่ยากน่าดู มีนไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถ้าเอาเด็กจากศูนย์ก็จะต้องจ่ายแพง และรับประกันคุณภาพไม่ค่อยได้ สรุปแล้ว เธอตัดสินใจจ้างชาวต่างด้าวตามที่อุ้ม-สาวใช้คนโปรดนำเสนอ
วันที่เด้กใหม่เดินทางมาถึงบ้านมีนนั้น ดิฉันอยู่ด้วยพอดี!
พี่เลี้ยงคนใหม่มาจากชนบทอันไกลโพ้น...เธอข้ามมาจากพม่า แต่เป็นไทยใหญ่ อยู่บ้านเดียวกับอุ้ม หมู่บ้านที่อุ้มเคยเล่าฉอดๆ ว่ายากจน และผีดุจนเธอต้องหนีมาอยู่กรุงเทพฯ
เด็กใหม่นี่ผอม ดำ สูงราว 160 เซนติเมตร แต่ดูสูงมากเพราะผอมจนโย่งเย่งเก้งก้างพิกล หล่อนเดินหลังโก่ง ไหล่ห่อ ผมบางๆ ยาวเหยียดตรง และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยคิดรวบเกล้าให้เรียบร้อย ดิฉันมองหล่อนแล้วไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่...ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณเห็นก็ต้องรู้สึกอย่างดิฉันเช่นกัน
ดิฉันจะบรรยายให้ฟังนะคะ
หล่อนมีใบหน้ากว้างเหมือนจะกลมแป้น แต่กลับมีเหลี่ยมที่ขากรรไกร โหนกแก้มสูง เห็นเป็นลูกคล้ายมีซาลาเปาอยู่ข้างใน ดั้งจมูกเหมือนแบนราบ แต่งอนตรงกลาย ดวงตาเล็กราวตาตัวตุ่น แต่มันมีแววจ้าแบบแปลกๆ
หล่อนจะมองหน้าเราแวบเดียวแล้วหลบลง มุมปากกระตุกยิ้มขันๆ เห็นแล้วน่าโมโห ไม่รู้จะขำอะไร?
อุ้มบอกว่าหล่อนเป็นคนข้างบ้าน กำลังอยากหางานทำ ให้เงินเดือนแค่สามพันก็อยู่ได้แล้ว และคงไม่ออกไปไหน...หนึ่งไม่ชอบเที่ยว สองยังไม่มีบัตร
ชื่อของหล่อนเหรอคะ? เรียกยากจริงๆ อุ้มออกเสียงคล้ายคำว่า "ซื่อ" แต่เป็นการพ่นลมขึ้นจมูก ลิ้นไทยๆ เราเรียกไม่ได้หรอกค่ะ ตกลงขอเรียกว่า "ส้ม" แล้วกัน ง่ายดี!
"เธอจะให้ยัยคนนี้เลี้ยงลูกเธอเรอะ?" ดิฉันกระซิบถามมีน เธอมองหน้า ทำตาบ๊องแบ๊ว ย้อนถามว่าจะให้ทำยังไงล่ะ?
มีนไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กใหม่ และรู้สึกเช่นเดียวกับดิฉัน ..แต่หล่อนมาถึงนี่แล้วนี่คะ ถือถุงเสื้อผ้ามาใบเดียว ไม่ใช่กระเป๋านะคะ ข้อย้ำ! เป็นถุงพลาสติกก๊อกแก๊บ ดังนั้นจึงตกเป็นธุระของดิฉันหาเสื้อผ้ามาให้ และจัดการสัมภาษณ์ว่าเลี้ยงเด็กได้แน่ๆ ละหรือ? ถ้าเห็นท่าไม่ดีจะให้อุ้มเลี้ยงแทน และส้มไปทำงานบ้าน
บอกตามตรงว่า ถ้าหล่อนทำกับข้าวดิฉันคงกินไม่ลงแน่!
ส้มพูดไทยไม่ค่อยคล่อง แต่เธอยืนยันว่าเลี้ยงเด็กได้ เสียงพูดเธอเบาหวิวเหมือนลมพัดผ่านใบไม้
เด็กสาวมองน้องมด ตาวาวโรจน์...ดิฉันแน่ใจว่านั้นไม่ใช่แววรักเดด็ก เธอหันไปพูดกับอุ้ยเป็นภาษาพื้นเมือง และอุ้มพากษ์ไทยให้ฟัง
หล่อนพูดว่า...น่ากินจัง!!
นั่นไง! พอถึงตรงนี้ ดิฉันก็นึกออกว่าไอ้ที่ขุ่นๆ ใจอยู่น่ะ มันคืออะไร?
ดิฉันมองเด็กคนนี้ว่าเหมือนปอบค่ะ! บาปไม่บาปไม่รู้ล่ะ ดิฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ และไม่สบายใจเลยที่มีนให้หล่อนเลี้ยงน้องมด...
เวลาผ่านไปเกือบเดือน สิ่งที่ดิฉันเสียวสยองก็ชักจะเข้าเค้า!
น้องมดไม่ค่อยแข็งแรงอย่างแรกเกิด แกซูบซีดและโยเย พอพาไปหาหมอก็ปรากฏว่ามีอาการโลหิตจาง และตับก็มีปัญหา
อีกอย่างหนึ่งคือป้าจีบ ซึ่งเป็นไม้เบื้อไม้เมากับส้มก็เจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งที่เคยสุขภาพแข็งแรง...แกเล่าให้ฟังว่า สงสัยยัยสัมคนนี้จะเป็นปอบ!?
ตรงนี้ดิฉันต้องยืนยันว่าไม่เคยเอ่ยคำนี้กับป้าจีบเลย แต่แกเกิดคิดตรงกับดิฉันขึ้นมาซะงั้น! และอุ้มเอง ทั้งที่เป็นคนเอาส้มมา อุ้มก็เริ่มกลัวๆ เหมือนกัน
มีนฟังเรื่องทั้งหมดอย่างไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้สามีฟัง แถมไม่กล้าไล่ส้มออกด้วย...เธอไล่ใครไม่เป็น กลัวเขาจะโกรธ อีกอย่างหนึ่งส้มทำงานเรียบร้อย ดูแลน้องมดได้ดี
เมื่อไม่สบายใจมากขึ้นๆ ทุกที ดิฉันก็คิดหาทางออก แต่ยังไม่ทันไร ส้มก็ชิงลากลับบ้าน...เราถอนใจอย่างโล่งอก ป้าจีบให้ความเห็นว่า ปอบมันรู้ว่าเรารู้แล้วก็เลยอยู่ไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ น้องมดดีขึ้นหายเป็นปกติ ป้าจีบก็เช่นกัน
เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์ว่า ถ้าคิดจะรับสาวใช้จากชนบทที่ห่างไกล เราต้องพิจารณาดูให้รอบคอบ เรื่องความสะอาด อนามัย และ...ดูให้ดีว่าเธอเป็นผีปอบหรือเปล่านะคะ?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 2550
"มีน" เป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน เธอสวยเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่น่าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ อายุใกล้จะ 30 แล้วและมีลูก 2 คน เธอก็ยังดูเหมือนเดิมค่ะ
ลูกคนโตของมีนเป็นผู้ชาย ชื่อน้องม่อน อายุ 2 ขวบกว่า กำลังซน ส่วนคนที่ 2 เพิ่งจะคลอดมาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน เป็นผู้หญิง ท่าทางจะสวยเหมือนแม่เพราะขาวผ่องเชียว มีนตั้งชื่อว่าน้องมด ตัวเธอเล็กนิดเดียว น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
เมื่อน้องมดเกิดมา มีนก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กเพิ่ม มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้มีนจะอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงาน ปล่อยให้คุณโชค - สามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวก็ตาม แต่ดังที่ได้บอกแล้วว่ามีนนั้นบอบบาง ทำงานบ้านไม่เป็น ถึงจะเลี้ยงลูกก็จริง แต่เธอหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก คุณป้าวลัย แม่ของเธอก็เป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถจะมาช่วยเลี้ยงได้
ปกติมีนมีป้าจีบ - คนเก่าคนแก่ของคุณป้าวลัยมาช่วยเลี้ยงน้องม่อน และมีสาวไทยใหญ่เป็นคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง ชื่ออุ้ม - แบบนางเอกน่ะค่ะ
การหาพี่เลี้ยงเด็กที่ยากน่าดู มีนไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถ้าเอาเด็กจากศูนย์ก็จะต้องจ่ายแพง และรับประกันคุณภาพไม่ค่อยได้ สรุปแล้ว เธอตัดสินใจจ้างชาวต่างด้าวตามที่อุ้ม-สาวใช้คนโปรดนำเสนอ
วันที่เด้กใหม่เดินทางมาถึงบ้านมีนนั้น ดิฉันอยู่ด้วยพอดี!
พี่เลี้ยงคนใหม่มาจากชนบทอันไกลโพ้น...เธอข้ามมาจากพม่า แต่เป็นไทยใหญ่ อยู่บ้านเดียวกับอุ้ม หมู่บ้านที่อุ้มเคยเล่าฉอดๆ ว่ายากจน และผีดุจนเธอต้องหนีมาอยู่กรุงเทพฯ
เด็กใหม่นี่ผอม ดำ สูงราว 160 เซนติเมตร แต่ดูสูงมากเพราะผอมจนโย่งเย่งเก้งก้างพิกล หล่อนเดินหลังโก่ง ไหล่ห่อ ผมบางๆ ยาวเหยียดตรง และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยคิดรวบเกล้าให้เรียบร้อย ดิฉันมองหล่อนแล้วไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่...ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณเห็นก็ต้องรู้สึกอย่างดิฉันเช่นกัน
ดิฉันจะบรรยายให้ฟังนะคะ
หล่อนมีใบหน้ากว้างเหมือนจะกลมแป้น แต่กลับมีเหลี่ยมที่ขากรรไกร โหนกแก้มสูง เห็นเป็นลูกคล้ายมีซาลาเปาอยู่ข้างใน ดั้งจมูกเหมือนแบนราบ แต่งอนตรงกลาย ดวงตาเล็กราวตาตัวตุ่น แต่มันมีแววจ้าแบบแปลกๆ
หล่อนจะมองหน้าเราแวบเดียวแล้วหลบลง มุมปากกระตุกยิ้มขันๆ เห็นแล้วน่าโมโห ไม่รู้จะขำอะไร?
อุ้มบอกว่าหล่อนเป็นคนข้างบ้าน กำลังอยากหางานทำ ให้เงินเดือนแค่สามพันก็อยู่ได้แล้ว และคงไม่ออกไปไหน...หนึ่งไม่ชอบเที่ยว สองยังไม่มีบัตร
ชื่อของหล่อนเหรอคะ? เรียกยากจริงๆ อุ้มออกเสียงคล้ายคำว่า "ซื่อ" แต่เป็นการพ่นลมขึ้นจมูก ลิ้นไทยๆ เราเรียกไม่ได้หรอกค่ะ ตกลงขอเรียกว่า "ส้ม" แล้วกัน ง่ายดี!
"เธอจะให้ยัยคนนี้เลี้ยงลูกเธอเรอะ?" ดิฉันกระซิบถามมีน เธอมองหน้า ทำตาบ๊องแบ๊ว ย้อนถามว่าจะให้ทำยังไงล่ะ?
มีนไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กใหม่ และรู้สึกเช่นเดียวกับดิฉัน ..แต่หล่อนมาถึงนี่แล้วนี่คะ ถือถุงเสื้อผ้ามาใบเดียว ไม่ใช่กระเป๋านะคะ ข้อย้ำ! เป็นถุงพลาสติกก๊อกแก๊บ ดังนั้นจึงตกเป็นธุระของดิฉันหาเสื้อผ้ามาให้ และจัดการสัมภาษณ์ว่าเลี้ยงเด็กได้แน่ๆ ละหรือ? ถ้าเห็นท่าไม่ดีจะให้อุ้มเลี้ยงแทน และส้มไปทำงานบ้าน
บอกตามตรงว่า ถ้าหล่อนทำกับข้าวดิฉันคงกินไม่ลงแน่!
ส้มพูดไทยไม่ค่อยคล่อง แต่เธอยืนยันว่าเลี้ยงเด็กได้ เสียงพูดเธอเบาหวิวเหมือนลมพัดผ่านใบไม้
เด็กสาวมองน้องมด ตาวาวโรจน์...ดิฉันแน่ใจว่านั้นไม่ใช่แววรักเดด็ก เธอหันไปพูดกับอุ้ยเป็นภาษาพื้นเมือง และอุ้มพากษ์ไทยให้ฟัง
หล่อนพูดว่า...น่ากินจัง!!
นั่นไง! พอถึงตรงนี้ ดิฉันก็นึกออกว่าไอ้ที่ขุ่นๆ ใจอยู่น่ะ มันคืออะไร?
ดิฉันมองเด็กคนนี้ว่าเหมือนปอบค่ะ! บาปไม่บาปไม่รู้ล่ะ ดิฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ และไม่สบายใจเลยที่มีนให้หล่อนเลี้ยงน้องมด...
เวลาผ่านไปเกือบเดือน สิ่งที่ดิฉันเสียวสยองก็ชักจะเข้าเค้า!
น้องมดไม่ค่อยแข็งแรงอย่างแรกเกิด แกซูบซีดและโยเย พอพาไปหาหมอก็ปรากฏว่ามีอาการโลหิตจาง และตับก็มีปัญหา
อีกอย่างหนึ่งคือป้าจีบ ซึ่งเป็นไม้เบื้อไม้เมากับส้มก็เจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งที่เคยสุขภาพแข็งแรง...แกเล่าให้ฟังว่า สงสัยยัยสัมคนนี้จะเป็นปอบ!?
ตรงนี้ดิฉันต้องยืนยันว่าไม่เคยเอ่ยคำนี้กับป้าจีบเลย แต่แกเกิดคิดตรงกับดิฉันขึ้นมาซะงั้น! และอุ้มเอง ทั้งที่เป็นคนเอาส้มมา อุ้มก็เริ่มกลัวๆ เหมือนกัน
มีนฟังเรื่องทั้งหมดอย่างไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้สามีฟัง แถมไม่กล้าไล่ส้มออกด้วย...เธอไล่ใครไม่เป็น กลัวเขาจะโกรธ อีกอย่างหนึ่งส้มทำงานเรียบร้อย ดูแลน้องมดได้ดี
เมื่อไม่สบายใจมากขึ้นๆ ทุกที ดิฉันก็คิดหาทางออก แต่ยังไม่ทันไร ส้มก็ชิงลากลับบ้าน...เราถอนใจอย่างโล่งอก ป้าจีบให้ความเห็นว่า ปอบมันรู้ว่าเรารู้แล้วก็เลยอยู่ไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ น้องมดดีขึ้นหายเป็นปกติ ป้าจีบก็เช่นกัน
เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์ว่า ถ้าคิดจะรับสาวใช้จากชนบทที่ห่างไกล เราต้องพิจารณาดูให้รอบคอบ เรื่องความสะอาด อนามัย และ...ดูให้ดีว่าเธอเป็นผีปอบหรือเปล่านะคะ?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 2550
12 ธันวาคม 2558
ศาลาผีหลอก!
"ทองแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาท่าน้ำ
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่หลังวัดกระโจมทอง ธนบุรี บรรยากาศสงบเงียบตามแบบของบ้านสวนทั่วๆ ไป ตกกลางคืนยิ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี!
ข้อสำคัญก็คือ ทำให้นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้ คนกลัวผีอย่างผมปอดกระเส่าน่าดู...แหม! เรื่องผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขอบอก
ชาวบ้านที่จะออกไปทำงานก็ได้อาศัยรถสองแถว ที่มาสุดทางบริเวณลานหน้าวัดใกล้ๆ กับศาลาการเปรียญและเมรุเผาผี...ไปออกถนนจรัญสนิทวงศ์ 35 ระยะทางค่อนข้างไกลโข ขาไปไม่เท่าไหร่แต่ขากลับนี่ต้องแวะส่งผู้โดยสารตามรายทาง กล่าจะถึงหน้าวัดก็ปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ
คนที่ต้องไปทำงานไกลๆ ถึงถนนราชวิถีอย่างผม ไหนจะต้องโหนรถเมล์สองต่อกว่าจะมาถึงปากซอยก็ตกค่ำแล้ว...สมัยนั้นยังไม่มีถนนสายใหม่บรมราชชนนีตัดผ่าน ให้รถราแล่นกันคึ่กๆ เหมือนทุกวันนี้นะครับ
ถึงแม้จะเจริญขึ้นก็จริง แต่มีพวกวัยรุ่นมาซิ่งรถกันสนั่น ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอนกันล่ะ...ตำรวจมาดักจับได้ทีละ 20-30 คนเป็นประจำ
ข้างวัดมีคลองแคบๆ ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ร่มครึ้มแทบจะบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น แต่ยังอุตส่าห์มีเรือหางยาวแล่นผ่าน ทะลุไปออกคลองบางกอกใหญ่ แต่ไม่ได้จอดที่ศาลาท่าน้ำของวัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่เคยได้นั่งเรือสักที นอกจากตอนเช้าๆ เดินออกจากบ้านผ่านสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้ามสะพานเข้าเขตวัด มักจะเห็นเรือหางยางแล่นตะบึงจนน้ำกระจายผ่านไปบ่อยหน
บางวันกลับถึงบ้านเร็วหน่อย เจอะเจอกับการเผาศพที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทยอยกันกลับ เอารถมาเองก็มี รอรถสองแถวก็มี ได้บรรยากาศน่ากลัวไปอีกแบบเหมือนกัน
เจ้าภาพยังตั้งวงเหล้ากันที่ศาลาท่าน้ำ อ้อยอิ่งอยู่จนมืดค่ำก็มี...บางทีมีคนรู้จักกันอยู่ก็ร้องเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย ขัดศรัทธาไม่ได้ก็แวะเข้าไปดื่ม 2-3 แก้วพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินเลียบคลองไปขึ้นสะพานกลับบ้าน...โชคดีอย่างที่ผมไม่ได้เป็นนักเที่ยว ทำให้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมรถราหายากอีกต่างหาก!
ว่าแต่คนที่กลับดึกๆ น่ะไม่กลัวผีมั่งหรือไง?
น่าแปลกตรงที่ลือว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกอย่างจังๆ สักที นอกจากเห็นเงาอะไรวูบๆ วาบๆ ซึ่งคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็เกิดอุปาทานไปเอง เล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเมาจนตาลายทั้งนั้นแหละครับ
มีอยู่รายชื่อพี่เสริม แกเล่าว่าเห็นใครนั่งชันเข่าอยู่ที่ศาลา สูบยาแดงวาบๆ แกเดินไปหันมองไปพลาง ตอนนั้นราวสามทุ่มกว่า...เอ๊ะ! ใครมานั่งสูบยาคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้นะ? พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีทางหลบไปไหนโดยแกไม่เห็นได้แน่ๆ เลย
ผีน่ะซี! พี่เสริมบอกตัวเอง แล้วก็โจนพรวดขึ้นสะพาน ไม่ตกน้ำตกท่าตายก็บุญแล้วนะ ผมว่า!
ในที่สุด ผมเองก็เจอดีเข้ากับตัวเองจังๆ
ตอนนั้นจำได้ว่าเปลี่ยนสัปเหร่อเป็นผู้หญิงพอดี...ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ เขาว่าเป็นลูกสาวของสัปเหร่อคนเก่าน่ะแหละ สวยเสียด้วย พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกสาวสืบอาชีพของตัวเองต่อไป พวกเราไม่เคยพบเห็นว่ามีสัปเหร่อผู้หญิงมาก่อน ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเอง
วันนั้นเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ก็หาอะไรกินแถวซังฮี้ตั้งแต่เย็นจนราวสองทุ่มก็ขอตัว พวกเพื่อนๆ ก็เข้าใจว่าบ้านผมต้องเข้าสวนเปลี่ยวลึกล้ำ ดีไม่ดีจะไม่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายซะด้วยซ้ำ
มอเตอร์ไซค์รับจ้างน่ะ ถ้าไม่คุ้นกันจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่ก็ได้...พอเข้าซอยพ้นตึกแถวกับบ้านเรือนคึกคัก มีแต่เรือกสวนเปล่าเปลี่ยวก็มักจะถอดใจ ...จอดรถดื้อๆ บอกว่าขอส่งแค่นี้ละกัน...คงกลัวทั้งคน กลัวทั้งผีน่ะสิครับ!
ปรากฏว่าผมทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...มีคนลงเป็นระยะๆ จนสุดทางที่เหลือแต่ผมคนเดียว
รถตีวงกลับไปแล้ว ทิ้งให้ผมเดินดุ่มๆ ผ่านเมรุเผาผีที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือเพียงเดียวดาย...หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เขาว่ามันหอบเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือคุณ?
แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าดูแน่นิ่ง สรรถสิ่งเงียบเชียบ ลมไม่พัด ยอดไม้ไม่เกิดเสียงซู่ซ่า ยกเว้นแต่เสียงหมาหอนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ผมรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินเลียบคลอง มุ่งหน้าไปที่สะพาน...แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน
เสียงเรือหางยาวดังมาจากด้านซ้ายมือ!
เอ...กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่เคยมีเรือแล่นนี่นา? ผมสงสัยจนต้องหันไปดูก็เห็นศาลาท่าน้ำตั้งโดดเด่นอยู่ในม่านตา หลังคากระเบื้องเก่าแก่ผุกร่อน...แต่มีเสียงร้องขึ้นว่า ...มากินเหล้ากันก่อนสิเพื่อน! เล่นเอาสะดุ้งเฮือก จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา
คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกัน แต่หันมามองผมเป็นจุดเดียวพลางหัวเราะฮ่าๆๆ จนผมขนลุกซ่า...ใบหน้าดำเกรียม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟน่าสยดสยองสิ้นดี
ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า ผมร้องเฮ้ย! เผ่นพรวดขึ้นสะพานแทบจะเหาะได้ วิ่งอ้าวไม่เหลียวหลังรวดเดียวจนถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ...ไม่ช้าผมก็มาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนผีหลอกจนช็อกตายน่ะสิครับคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 ธันวาคม 2550
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่หลังวัดกระโจมทอง ธนบุรี บรรยากาศสงบเงียบตามแบบของบ้านสวนทั่วๆ ไป ตกกลางคืนยิ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี!
ข้อสำคัญก็คือ ทำให้นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้ คนกลัวผีอย่างผมปอดกระเส่าน่าดู...แหม! เรื่องผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขอบอก
ชาวบ้านที่จะออกไปทำงานก็ได้อาศัยรถสองแถว ที่มาสุดทางบริเวณลานหน้าวัดใกล้ๆ กับศาลาการเปรียญและเมรุเผาผี...ไปออกถนนจรัญสนิทวงศ์ 35 ระยะทางค่อนข้างไกลโข ขาไปไม่เท่าไหร่แต่ขากลับนี่ต้องแวะส่งผู้โดยสารตามรายทาง กล่าจะถึงหน้าวัดก็ปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ
คนที่ต้องไปทำงานไกลๆ ถึงถนนราชวิถีอย่างผม ไหนจะต้องโหนรถเมล์สองต่อกว่าจะมาถึงปากซอยก็ตกค่ำแล้ว...สมัยนั้นยังไม่มีถนนสายใหม่บรมราชชนนีตัดผ่าน ให้รถราแล่นกันคึ่กๆ เหมือนทุกวันนี้นะครับ
ถึงแม้จะเจริญขึ้นก็จริง แต่มีพวกวัยรุ่นมาซิ่งรถกันสนั่น ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอนกันล่ะ...ตำรวจมาดักจับได้ทีละ 20-30 คนเป็นประจำ
ข้างวัดมีคลองแคบๆ ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ร่มครึ้มแทบจะบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น แต่ยังอุตส่าห์มีเรือหางยาวแล่นผ่าน ทะลุไปออกคลองบางกอกใหญ่ แต่ไม่ได้จอดที่ศาลาท่าน้ำของวัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่เคยได้นั่งเรือสักที นอกจากตอนเช้าๆ เดินออกจากบ้านผ่านสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้ามสะพานเข้าเขตวัด มักจะเห็นเรือหางยางแล่นตะบึงจนน้ำกระจายผ่านไปบ่อยหน
บางวันกลับถึงบ้านเร็วหน่อย เจอะเจอกับการเผาศพที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทยอยกันกลับ เอารถมาเองก็มี รอรถสองแถวก็มี ได้บรรยากาศน่ากลัวไปอีกแบบเหมือนกัน
เจ้าภาพยังตั้งวงเหล้ากันที่ศาลาท่าน้ำ อ้อยอิ่งอยู่จนมืดค่ำก็มี...บางทีมีคนรู้จักกันอยู่ก็ร้องเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย ขัดศรัทธาไม่ได้ก็แวะเข้าไปดื่ม 2-3 แก้วพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินเลียบคลองไปขึ้นสะพานกลับบ้าน...โชคดีอย่างที่ผมไม่ได้เป็นนักเที่ยว ทำให้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมรถราหายากอีกต่างหาก!
ว่าแต่คนที่กลับดึกๆ น่ะไม่กลัวผีมั่งหรือไง?
น่าแปลกตรงที่ลือว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกอย่างจังๆ สักที นอกจากเห็นเงาอะไรวูบๆ วาบๆ ซึ่งคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็เกิดอุปาทานไปเอง เล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเมาจนตาลายทั้งนั้นแหละครับ
มีอยู่รายชื่อพี่เสริม แกเล่าว่าเห็นใครนั่งชันเข่าอยู่ที่ศาลา สูบยาแดงวาบๆ แกเดินไปหันมองไปพลาง ตอนนั้นราวสามทุ่มกว่า...เอ๊ะ! ใครมานั่งสูบยาคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้นะ? พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีทางหลบไปไหนโดยแกไม่เห็นได้แน่ๆ เลย
ผีน่ะซี! พี่เสริมบอกตัวเอง แล้วก็โจนพรวดขึ้นสะพาน ไม่ตกน้ำตกท่าตายก็บุญแล้วนะ ผมว่า!
ในที่สุด ผมเองก็เจอดีเข้ากับตัวเองจังๆ
ตอนนั้นจำได้ว่าเปลี่ยนสัปเหร่อเป็นผู้หญิงพอดี...ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ เขาว่าเป็นลูกสาวของสัปเหร่อคนเก่าน่ะแหละ สวยเสียด้วย พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกสาวสืบอาชีพของตัวเองต่อไป พวกเราไม่เคยพบเห็นว่ามีสัปเหร่อผู้หญิงมาก่อน ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเอง
วันนั้นเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ก็หาอะไรกินแถวซังฮี้ตั้งแต่เย็นจนราวสองทุ่มก็ขอตัว พวกเพื่อนๆ ก็เข้าใจว่าบ้านผมต้องเข้าสวนเปลี่ยวลึกล้ำ ดีไม่ดีจะไม่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายซะด้วยซ้ำ
มอเตอร์ไซค์รับจ้างน่ะ ถ้าไม่คุ้นกันจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่ก็ได้...พอเข้าซอยพ้นตึกแถวกับบ้านเรือนคึกคัก มีแต่เรือกสวนเปล่าเปลี่ยวก็มักจะถอดใจ ...จอดรถดื้อๆ บอกว่าขอส่งแค่นี้ละกัน...คงกลัวทั้งคน กลัวทั้งผีน่ะสิครับ!
ปรากฏว่าผมทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...มีคนลงเป็นระยะๆ จนสุดทางที่เหลือแต่ผมคนเดียว
รถตีวงกลับไปแล้ว ทิ้งให้ผมเดินดุ่มๆ ผ่านเมรุเผาผีที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือเพียงเดียวดาย...หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เขาว่ามันหอบเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือคุณ?
แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าดูแน่นิ่ง สรรถสิ่งเงียบเชียบ ลมไม่พัด ยอดไม้ไม่เกิดเสียงซู่ซ่า ยกเว้นแต่เสียงหมาหอนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ผมรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินเลียบคลอง มุ่งหน้าไปที่สะพาน...แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน
เสียงเรือหางยาวดังมาจากด้านซ้ายมือ!
เอ...กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่เคยมีเรือแล่นนี่นา? ผมสงสัยจนต้องหันไปดูก็เห็นศาลาท่าน้ำตั้งโดดเด่นอยู่ในม่านตา หลังคากระเบื้องเก่าแก่ผุกร่อน...แต่มีเสียงร้องขึ้นว่า ...มากินเหล้ากันก่อนสิเพื่อน! เล่นเอาสะดุ้งเฮือก จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา
คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกัน แต่หันมามองผมเป็นจุดเดียวพลางหัวเราะฮ่าๆๆ จนผมขนลุกซ่า...ใบหน้าดำเกรียม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟน่าสยดสยองสิ้นดี
ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า ผมร้องเฮ้ย! เผ่นพรวดขึ้นสะพานแทบจะเหาะได้ วิ่งอ้าวไม่เหลียวหลังรวดเดียวจนถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ...ไม่ช้าผมก็มาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนผีหลอกจนช็อกตายน่ะสิครับคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 ธันวาคม 2550
11 ธันวาคม 2558
ศาลาหกเหลี่ยม
"กลิ่นพิกุล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาริมสนาม
ซุ้มศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมนั้นสวยสะดุดตาสะดุดใจดิฉันจริงๆ ตั้งแต่แรกเห็นที่ร้านต้นไม้แถวบางแค มันถูกใจจนต้องจอดรถลงไปเจรจากับเจ้าของร้าน...ในที่สุดมันก็ถูกยกมาไว้ที่บ้านแถวบางพลัด
"เหตุผลหนึ่งดิฉันอยากได้มันเหลือเกิน ก็เพราะปีนี้คุณแม่อายุครบ 60 ปี ท่านเคยพูดมานานแล้วว่าอยากมีศาลาเล็กๆ ตั้งริมสนาม เวลาแขกไปใครมาจะได้มานั่งคุยกันในที่โปร่งโล่ง...แทนที่จะอุดอู้อยู่ในห้องรับแขก
สนามหญ้าบ้านเรากว้างขวาง มีดอกไม้ปลูกไว้สะพรั่งเชียวค่ะ...
ต้นจำปีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณยาย ซึ่งก็เกือบ 50 ปีแล้ว...ก่อนดิฉันเกิดตั้ง 10 ปีแน่ะ ต้นสูงใหญ่ ออกดอกสะพรั่ง หอมกรุ่นขจรขจาย และให้ร่มเงาอย่างวิเศษ
มุมสนามด้านหนึ่งมีซุ้มนมแมว ส่งกลิ่นชื่นใจทุกค่ำคืน บางคนบอกว่ามันหอมแรงจนฉุนน่าเวียนหัว แต่ดิฉันชอบมาก มันได้บรรยากาศไทยๆ ดีออก
คุณแม่เป็นแบบฉบับผู้หญิงไทยเต็มตัว คือทำกับข้าวเก่งเช่นเดียวกับน้องสาวซึ่งยังเป็นโสด เธอใกล้ 30 แล้วค่ะ คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า เธอจะหาแต่หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์แบบ...ชาตินี้ไม่ได้แต่งงานแน่ๆ
เมื่อทางร้านขนซุ้มศาลามาตั้งข้างซุ้มราชาวดี คุณแม่ก็ชอบอกชอบใจมาก...
ศาลาไม้หลังนี้สวยแปลกตาดีจริงๆ มีขอบเป็นไม้ที่ฉลุลวดลายเถาวัลย์ งดงามมาก ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเขาแต่งเป็นฝูงนก ฝูงกระต่าย แฝงอยู่ในเครือเถาวัลย์นั้นด้วย
ศาลากลางสนามทั่วๆ ไปมักจะเป็นทรงกลม แต่หลังนี้เป็นหกเหลี่ยมขนาดกำลังดี นั่งได้สบายๆ สิบคน ตรงกลางอาจจะมีโต๊ะไม้เล็กๆ ไว้วางขนม วางอาหารได้ น้องสาวจัดแจงยกเตาบาร์บีคิวมาไว้ใกล้ๆ ให้เราฉลองศาลาในค่ำคืนแรก ด้วยการย่างเนื้อ ย่างกุ้ง นั่งกินกันเพลิดเพลิน...
ไม่กี่วันต่อมา มีเพื่อนคุณแม่มาหาที่บ้าน
ดิฉันเรียกท่านว่าคุณป้ารจิต อายุ 70 กว่าแล้วนะคะ แต่เก่งมาก คล่องแคล่ว คุยสนุก ยังขึ้นรถเมล์หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ราวกับสาวๆชอบทำอาหารเหมือนคุณแม่...ด้วยความที่เป็นเชื้อสายตระกูลผู้ดีชาวรั้วชาววัง ท่านจึงมีความรู้เรื่องไทยๆ มาสอนพวกดิฉันเสมอ
พอคุณป้ารจิตเห็นศาลาหกเหลี่ยมริมสนามของเรา ท่านถึงกับชะงักและมองมันอย่างพิจารณา พลางถามเสียงเรียบๆ เย็นๆ ว่า "นั่นหนูได้มาจากไหน?"
ดิฉันเล่าให้ฟัง คุณป้ารจิตครุ่นคิดอยู่นาน พอคุณแม่ขอตัวเข้าครัว ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวจะตามไป แต่ดึงมือดิฉันไปคุยด้วย
...เล่าว่าศาลานี้ท่านจำได้ไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกระต่ายตัวหนึ่ง ตรงหูมันหักไป! ท่านชี้ให้ดู และดิฉันก็ออกจะตกใจไม่น้อยเลย เพราะแสดงว่าคุณป้าจำไม่ผิด!
เดิมที ศาลานี้อยู่ที่บ้านผู้ดีเก่าท่านหนึ่ง มันเคยวางริมสนามแบบนี้ เคยเป็นที่สำราญใจของผู้คนมายาวนาน
แล้วทำไมเจ้าของถึงได้ขายมันล่ะ?
"ทำบุญนะหนู" คุณป้ากระซิบ "นิมนต์พระมาทำสังฆทานก็ได้...ทำซะนะ!"
ท่านย้ำแล้วย้ำอีก จนดิฉันสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ท่านไม่ยอมเล่า
ไม่ทราบว่าเพราะคิดฟุ้งซ่านหรือเปล่า? ดิฉันฝันว่าตัวเองไปอยู่ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง มีศาลาหกเหลี่ยมนี่ตั้งริมสนาม และมีงานเลี้ยงที่ติดไฟระยิบระยับไปหมด
ฉับพลัน มีแขกคนหนึ่งในงานล้มพับ และถูกหามมานอนบนม้านั่งในศาลา...ซึ่งนาทีนั้นเอง ชายสูงวัยที่ล้มนั่นก็กลายเป็นศพ และศพนั้นก็ลุกขึ้นหลอกหลอนอย่างน่ากลัว...แขกเหรื่อคนอื่นวิ่งหนีกันวุ่นวาย
เมื่อดิฉันโทรศัพท์ไปเล่าให้คุณป้ารจิตฟัง ท่านบอกว่า...นั่นแหละคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!
สุภาพบุรุษชราผู้หนึ่งหัวใจวาย และตายในศาลาหลังนี้ จากนั้นก็มีคนเห็นเขามานั่งอยู่ในศาลาแทบทุกคืน จนเจ้าของให้คนสวนกำจัดมันไป จะเอาไปขายหรือไว้ที่ไหนก็ตามใจ
สุดท้ายมันก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน!
น้องสาวกลัวมากค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกลัวผีสางนางไม้อะไรเลย คุณแม่เองก็ไม่สบายใจ ผลก็คือ ดิฉันไปติดต่อกับร้านที่ดิฉันซื้อมาและเล่าให้เขาฟังตามตรง...เขาขอโทษขอโพยและยอมรับซื้อคืน แถมยังเอารถมาขนกลับไปด้วย...
เขาเล่าว่ามีคนซื้อไป 2-3 ราย แล้วเอามาคืนแบบนี้ทุกคน ยังดีนะที่ดิฉันไม่โดนผีหลอกอย่างรายอื่น ซึ่งบางคนเห็นอย่างเต็มตา เป็นผู้ชายร่างผอม ผมขาว มานั่งสูบไปป์อยู่ในนั้นค่ะ!
ดิฉันถามเขาว่าเจ้าของร้านเคยเห็นไหม? เขาบอกว่าไม่เคย แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาได้กลิ่นเน่าคละคลุ้ง และหาที่มาไม่ได้
น่าเสียดายจริงๆ แต่คิดๆ ก็ใจหายนะคะ
ศาลานี้มาอยู่ที่บ้านดิฉัน 2 คืน ไม่รู้สิ...ถ้าอยู่ต่อเราจะเจออะไรบ้าง?
อย่างไรก็ตาม ดิฉันหาศาลาริมสนามมาให้คุณแม่จนได้ เป็นซุ้มศาลาที่ทำใหม่ๆ เลยล่ะค่ะ ยังมีกลิ่นเล็กเกอร์อยู่เลยนะ...แต่นึกถึงศาลาหกเหลี่ยมหลังเก่าทีไร เสียวสันหลังทุกที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2550
ซุ้มศาลาไม้ทรงหกเหลี่ยมนั้นสวยสะดุดตาสะดุดใจดิฉันจริงๆ ตั้งแต่แรกเห็นที่ร้านต้นไม้แถวบางแค มันถูกใจจนต้องจอดรถลงไปเจรจากับเจ้าของร้าน...ในที่สุดมันก็ถูกยกมาไว้ที่บ้านแถวบางพลัด
"เหตุผลหนึ่งดิฉันอยากได้มันเหลือเกิน ก็เพราะปีนี้คุณแม่อายุครบ 60 ปี ท่านเคยพูดมานานแล้วว่าอยากมีศาลาเล็กๆ ตั้งริมสนาม เวลาแขกไปใครมาจะได้มานั่งคุยกันในที่โปร่งโล่ง...แทนที่จะอุดอู้อยู่ในห้องรับแขก
สนามหญ้าบ้านเรากว้างขวาง มีดอกไม้ปลูกไว้สะพรั่งเชียวค่ะ...
ต้นจำปีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณยาย ซึ่งก็เกือบ 50 ปีแล้ว...ก่อนดิฉันเกิดตั้ง 10 ปีแน่ะ ต้นสูงใหญ่ ออกดอกสะพรั่ง หอมกรุ่นขจรขจาย และให้ร่มเงาอย่างวิเศษ
มุมสนามด้านหนึ่งมีซุ้มนมแมว ส่งกลิ่นชื่นใจทุกค่ำคืน บางคนบอกว่ามันหอมแรงจนฉุนน่าเวียนหัว แต่ดิฉันชอบมาก มันได้บรรยากาศไทยๆ ดีออก
คุณแม่เป็นแบบฉบับผู้หญิงไทยเต็มตัว คือทำกับข้าวเก่งเช่นเดียวกับน้องสาวซึ่งยังเป็นโสด เธอใกล้ 30 แล้วค่ะ คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวสบายกว่า เธอจะหาแต่หนุ่มๆ ที่สมบูรณ์แบบ...ชาตินี้ไม่ได้แต่งงานแน่ๆ
เมื่อทางร้านขนซุ้มศาลามาตั้งข้างซุ้มราชาวดี คุณแม่ก็ชอบอกชอบใจมาก...
ศาลาไม้หลังนี้สวยแปลกตาดีจริงๆ มีขอบเป็นไม้ที่ฉลุลวดลายเถาวัลย์ งดงามมาก ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเขาแต่งเป็นฝูงนก ฝูงกระต่าย แฝงอยู่ในเครือเถาวัลย์นั้นด้วย
ศาลากลางสนามทั่วๆ ไปมักจะเป็นทรงกลม แต่หลังนี้เป็นหกเหลี่ยมขนาดกำลังดี นั่งได้สบายๆ สิบคน ตรงกลางอาจจะมีโต๊ะไม้เล็กๆ ไว้วางขนม วางอาหารได้ น้องสาวจัดแจงยกเตาบาร์บีคิวมาไว้ใกล้ๆ ให้เราฉลองศาลาในค่ำคืนแรก ด้วยการย่างเนื้อ ย่างกุ้ง นั่งกินกันเพลิดเพลิน...
ไม่กี่วันต่อมา มีเพื่อนคุณแม่มาหาที่บ้าน
ดิฉันเรียกท่านว่าคุณป้ารจิต อายุ 70 กว่าแล้วนะคะ แต่เก่งมาก คล่องแคล่ว คุยสนุก ยังขึ้นรถเมล์หรือซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ราวกับสาวๆชอบทำอาหารเหมือนคุณแม่...ด้วยความที่เป็นเชื้อสายตระกูลผู้ดีชาวรั้วชาววัง ท่านจึงมีความรู้เรื่องไทยๆ มาสอนพวกดิฉันเสมอ
พอคุณป้ารจิตเห็นศาลาหกเหลี่ยมริมสนามของเรา ท่านถึงกับชะงักและมองมันอย่างพิจารณา พลางถามเสียงเรียบๆ เย็นๆ ว่า "นั่นหนูได้มาจากไหน?"
ดิฉันเล่าให้ฟัง คุณป้ารจิตครุ่นคิดอยู่นาน พอคุณแม่ขอตัวเข้าครัว ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวจะตามไป แต่ดึงมือดิฉันไปคุยด้วย
...เล่าว่าศาลานี้ท่านจำได้ไม่ผิดแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกระต่ายตัวหนึ่ง ตรงหูมันหักไป! ท่านชี้ให้ดู และดิฉันก็ออกจะตกใจไม่น้อยเลย เพราะแสดงว่าคุณป้าจำไม่ผิด!
เดิมที ศาลานี้อยู่ที่บ้านผู้ดีเก่าท่านหนึ่ง มันเคยวางริมสนามแบบนี้ เคยเป็นที่สำราญใจของผู้คนมายาวนาน
แล้วทำไมเจ้าของถึงได้ขายมันล่ะ?
"ทำบุญนะหนู" คุณป้ากระซิบ "นิมนต์พระมาทำสังฆทานก็ได้...ทำซะนะ!"
ท่านย้ำแล้วย้ำอีก จนดิฉันสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ท่านไม่ยอมเล่า
ไม่ทราบว่าเพราะคิดฟุ้งซ่านหรือเปล่า? ดิฉันฝันว่าตัวเองไปอยู่ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง มีศาลาหกเหลี่ยมนี่ตั้งริมสนาม และมีงานเลี้ยงที่ติดไฟระยิบระยับไปหมด
ฉับพลัน มีแขกคนหนึ่งในงานล้มพับ และถูกหามมานอนบนม้านั่งในศาลา...ซึ่งนาทีนั้นเอง ชายสูงวัยที่ล้มนั่นก็กลายเป็นศพ และศพนั้นก็ลุกขึ้นหลอกหลอนอย่างน่ากลัว...แขกเหรื่อคนอื่นวิ่งหนีกันวุ่นวาย
เมื่อดิฉันโทรศัพท์ไปเล่าให้คุณป้ารจิตฟัง ท่านบอกว่า...นั่นแหละคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต!
สุภาพบุรุษชราผู้หนึ่งหัวใจวาย และตายในศาลาหลังนี้ จากนั้นก็มีคนเห็นเขามานั่งอยู่ในศาลาแทบทุกคืน จนเจ้าของให้คนสวนกำจัดมันไป จะเอาไปขายหรือไว้ที่ไหนก็ตามใจ
สุดท้ายมันก็มาอยู่ที่บ้านดิฉัน!
น้องสาวกลัวมากค่ะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกลัวผีสางนางไม้อะไรเลย คุณแม่เองก็ไม่สบายใจ ผลก็คือ ดิฉันไปติดต่อกับร้านที่ดิฉันซื้อมาและเล่าให้เขาฟังตามตรง...เขาขอโทษขอโพยและยอมรับซื้อคืน แถมยังเอารถมาขนกลับไปด้วย...
เขาเล่าว่ามีคนซื้อไป 2-3 ราย แล้วเอามาคืนแบบนี้ทุกคน ยังดีนะที่ดิฉันไม่โดนผีหลอกอย่างรายอื่น ซึ่งบางคนเห็นอย่างเต็มตา เป็นผู้ชายร่างผอม ผมขาว มานั่งสูบไปป์อยู่ในนั้นค่ะ!
ดิฉันถามเขาว่าเจ้าของร้านเคยเห็นไหม? เขาบอกว่าไม่เคย แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาได้กลิ่นเน่าคละคลุ้ง และหาที่มาไม่ได้
น่าเสียดายจริงๆ แต่คิดๆ ก็ใจหายนะคะ
ศาลานี้มาอยู่ที่บ้านดิฉัน 2 คืน ไม่รู้สิ...ถ้าอยู่ต่อเราจะเจออะไรบ้าง?
อย่างไรก็ตาม ดิฉันหาศาลาริมสนามมาให้คุณแม่จนได้ เป็นซุ้มศาลาที่ทำใหม่ๆ เลยล่ะค่ะ ยังมีกลิ่นเล็กเกอร์อยู่เลยนะ...แต่นึกถึงศาลาหกเหลี่ยมหลังเก่าทีไร เสียวสันหลังทุกที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2550
10 ธันวาคม 2558
ล่าวิญญาณ
"ป้า 75" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อยมทูตมาเยือน
มันดังขึ้นอีกแล้ว...คราวนี้ดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูบ้านของฉันเอง!
ดึกเปลี่ยว สรรพสิ่งเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ย่านตลิ่งชันมีบ้านช่องหนาตา รถราและผู้คนเคยคึกคัก แม้แต่ในซอยบ้านของฉันเองก็ตามที
หรือว่าตอนนี้ตี 2 ตี 3 มันจะดึกดื่นเกินไป...
เสียงมอเตอร์ไซค์ของพวกวัยรุ่นกวนเมือง เคยดังกระหึ่มเข้ามาในซอย โดยเฉพาะคืนวันศุกร์วันเสาร์ แต่ตำรวจอาจจะปราบปรามเข้มงวด ได้ข่าวว่าเคยจับได้ถึงคืนละ 40-50 คนแน่ะ แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว พอๆ กับยาเสพติดนั่นแหละค่ะ
ช่างเถอะ! เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะรุนแรงปานใดก็ไม่ใช่เรื่องของฉันโดยตรง ยกเว้นแต่เสียงอุบาทว์ที่เขย่าขวัญฉันมาหลายคืนติดๆ กัน!
เขาว่าคนสูงอายุมักจะนอนหลับยาก แต่ตื่นง่าย...เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ตาสว่าง คิดนั่นคิดนี่เรื่อยเปื่อย ที่เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านนั่นแหละ...วันนี้เรากินยาครบหรือยัง? ลืมยาก่อนนอนหรือเปล่า? วิตามินอีที่หมอเขาให้หยุดอาทิตย์ละ 2 วันน่ะ เรากินติดต่อกันมากี่วันแล้ว?
คราวนี้ก็ตาแข็งค้าง ชักแพรเพลาะขึ้นมาคลุมอก ลืมตาโพลงอยู่ในความสลัวลางเพียงเดียวดาย
คู่ชีวิตฉันตายจากไปหลายปีแล้ว ตอนแรกๆ ก็คิดนะว่าเขาอาจจะกลับมาหา...มาเยี่ยมเยือนเหมือนที่เราเคยสัญญากันไว้ ถ้าใครจากไปก่อนจะต้องกลับมาพบกัน มาบอกเล่าเรื่องราวของโลกหน้าว่าเป็นยังไง...ฟากโน้นจะมีอะไรรอคอยเราอยู่บ้างหนอ?
เปล่าเลย! เขาหายเงียบเหมือนจะสาบสูญไปจากฉัน ทิ้งไว้แต่ความทรงจำเก่าๆ ของเรา...ไม่รู้ว่าทุกข์สุขยังไง? หรือมีอะไรกีดขวางเราไว้ระหว่างสองภพไปตลอดกาล
กลัวตายไหม? ทำไมจะไม่กลัว! ทั้งๆ ที่เรารู้แน่ว่าวันหนึ่งต้องสิ้นลมหายใจ ร่างกายแน่นิ่งเหมือนท่อนไม้ ญาติเอาไปเผาหรือฝัง...กลายเป็นผงคลีดินเหมือนผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า! แต่เราก็ยังหวั่นกลัวความตายอยู่นั่นเอง
เพราะเราไม่รู้แน่นอนใช่ไหมว่าตายไปแล้วจะได้พบอะไร? โลกหน้าจะสดสวยสว่างไสว หรือมืดมนอนธการจนน่าตระหนกอกสั่นปานใด!
เราอยากมีชีวิตอยู่...ชีวิตที่เรารู้จักและคุ้นเคยมาช้านาน แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้เราเหนื่อยล้า สังขารทรุดโทรมลงไปทุกที อาหารและยาดีๆ อาจจะช่วยเราได้ แต่ความเสื่อมถอยของอวัยวะทุกส่วนที่รับใช้เรามาเนิ่นนานก็บ่งบอกว่ามันอ่อนล้า ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว...
เสียงเคาะที่ประตูบ้านเงียบหายไป! แต่ฉันรู้ดีว่ามันยังอยู่ที่นั่น...
หลายคืนมาแล้วที่เสียงของมันดังแว่วมาเข้าหู...จากที่ไกลๆ เหมือนอยู่แถวถนนใหญ่ บอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไรแน่ แต่สัญชาตญาณบางอย่างของคนเราก็ทำให้ฉันรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางของมันอยู่แห่งหนใด?
คืนต่อๆ มา เสียงนั้นก็ดังใกล้เข้ามาทุกที...จากปากซอยมาถึงกลางซอย ไม่ช้าและไม่รีบร้อน แต่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
เสียงเท้ากระทบพื้น? หรือเสียงแสกสากคล้ายงูเลื้อยเข้าหาเหยื่อ? แหละหรือว่าเป็นเสียงลมที่พัดเอื่อยเฉื่อยเข้ามาหา กระซิบกระซาบอยู่ข้างหู เย้ยหยันจนน่าขนลุกขนพอง...
คืนก่อนนี้เองที่เสียงนั้นมาถึงหน้าบ้าน และฉันแทบจะกลั้นใจ...รอคอยให้มันผ่านเลยไป แต่ก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง...คุณพระช่วย! มันมาหยุดตรงประตูรั้วบ้านฉันนั่นเอง!
เหงื่อกาฬแตกซิกเต็มหน้า...แม้ว่าเสียงนั้นจะเงียบหายไปแล้ว...เงียบเกินไปจนน่าอกสั่นขวัญแขวน...บางคนอาจจะนอนใจหรือโล่งอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่คนที่เห็นโลกเก่าแก่ลูกนี้มาช้านานอย่างฉันน่ะ ไม่มีวันจะโดนหลอกได้ง่ายๆ แน่นอน
นั่นปะไร! คืนนี้เองฉันก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด...เสียงแห่งความเงียบที่ดังกระหน่ำเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ เมื่อมันผ่านรั้วเข้ามาเคาะประตูบ้าน...กึกก้องเข้าไปดังกระหน่ำอยู่ในสมองจนฉันหนาวสะท้าน ปากคอแห้งผากเป็นผุยผงเหมือนกลืนทรายเข้าไปสักหนึ่งกำมือ
เสียงของยมทูต...เสียงของความตาย!
นรกเป็นพยาน! ความเงียบที่ดังกึกก้อง น่าสยดสยองกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยิน
นอกจากเสียงยมทูตที่หน้าประตู ฉันเพิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง...แรงจนกระทบทรวงอก เจ็บเสียวหนักหน่วง ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายที่แข็งทื่อราวกับท่อนหิน...แต่ก็อยากรู้อยากเห็นความตายที่จะจู่โจมเข้ามาหา...
มันจะหมดจดงดงาม เรียบง่าย หรือว่าจะโหดเหี้ยมจนเป็นอำมหิต ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ?
สรรพสิ่งยังเงียบเชียบ เปล่าเปลี่ยว ชวนให้เยือกเย็นไปทุกขุมขน...หัวใจวาบหวิวเจียนจะขาดรอนๆ เมื่อนึกว่า อีกไม่ช้าเจ้าของเสียงก็คงจะผ่านประตูบ้าน...ผ่านห้องรับแขก เข้ามาถึงห้องนอนฉันแน่นอน
เงียบเหลือเกิน...เงียบเหมือนความตาย!
คุณพระช่วย! ลูกหลานของฉันที่ชั้นบนล่ะ? คราวนี้หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นเมื่อนึกถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ลูกและหลานตัวเล็กๆ อีก 2 คน...ฉันอยากจะตะโกนให้ "เขา" ได้ยินว่าฉันอยู่ที่นี่! อย่าขึ้นไปเลย...มาที่ฉันเถอะ! มาเอาคนแก่ชราอย่างฉันไปเลย! ได้โปรดเถิด...แต่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว
แสงสว่างของยามอรุณเรื่อเองขึ้นนอกหน้าต่าง ฉันสลัดผ้าห่ม เผ่นลงจากเตียงถอดกลอนประตูมือไม้สั่น...ไม่มีใครอยู่ที่นั่น! ฉับพลันเสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังมากระทบหู...บาดลึกลงไปถึงหัวใจ
...น้าสมทรงอายุเกิน 90 ปีอยู่ข้างบ้านฉัน นอนหลับตายจนลูกหลานร้องไห้โฮ! ฉันเซซังเข้าห้องนอน ลืมตาโพลงพลางทอดถอนใจ "ท่านเข้าผิดบ้านหรือ...เมื่อไหร่หนอพระองค์จะเสด็จมาหาหม่อมฉันเสียที..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2550
มันดังขึ้นอีกแล้ว...คราวนี้ดังใกล้เข้ามาที่หน้าประตูบ้านของฉันเอง!
ดึกเปลี่ยว สรรพสิ่งเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ย่านตลิ่งชันมีบ้านช่องหนาตา รถราและผู้คนเคยคึกคัก แม้แต่ในซอยบ้านของฉันเองก็ตามที
หรือว่าตอนนี้ตี 2 ตี 3 มันจะดึกดื่นเกินไป...
เสียงมอเตอร์ไซค์ของพวกวัยรุ่นกวนเมือง เคยดังกระหึ่มเข้ามาในซอย โดยเฉพาะคืนวันศุกร์วันเสาร์ แต่ตำรวจอาจจะปราบปรามเข้มงวด ได้ข่าวว่าเคยจับได้ถึงคืนละ 40-50 คนแน่ะ แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นเสียทีเดียว พอๆ กับยาเสพติดนั่นแหละค่ะ
ช่างเถอะ! เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะรุนแรงปานใดก็ไม่ใช่เรื่องของฉันโดยตรง ยกเว้นแต่เสียงอุบาทว์ที่เขย่าขวัญฉันมาหลายคืนติดๆ กัน!
เขาว่าคนสูงอายุมักจะนอนหลับยาก แต่ตื่นง่าย...เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ตาสว่าง คิดนั่นคิดนี่เรื่อยเปื่อย ที่เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านนั่นแหละ...วันนี้เรากินยาครบหรือยัง? ลืมยาก่อนนอนหรือเปล่า? วิตามินอีที่หมอเขาให้หยุดอาทิตย์ละ 2 วันน่ะ เรากินติดต่อกันมากี่วันแล้ว?
คราวนี้ก็ตาแข็งค้าง ชักแพรเพลาะขึ้นมาคลุมอก ลืมตาโพลงอยู่ในความสลัวลางเพียงเดียวดาย
คู่ชีวิตฉันตายจากไปหลายปีแล้ว ตอนแรกๆ ก็คิดนะว่าเขาอาจจะกลับมาหา...มาเยี่ยมเยือนเหมือนที่เราเคยสัญญากันไว้ ถ้าใครจากไปก่อนจะต้องกลับมาพบกัน มาบอกเล่าเรื่องราวของโลกหน้าว่าเป็นยังไง...ฟากโน้นจะมีอะไรรอคอยเราอยู่บ้างหนอ?
เปล่าเลย! เขาหายเงียบเหมือนจะสาบสูญไปจากฉัน ทิ้งไว้แต่ความทรงจำเก่าๆ ของเรา...ไม่รู้ว่าทุกข์สุขยังไง? หรือมีอะไรกีดขวางเราไว้ระหว่างสองภพไปตลอดกาล
กลัวตายไหม? ทำไมจะไม่กลัว! ทั้งๆ ที่เรารู้แน่ว่าวันหนึ่งต้องสิ้นลมหายใจ ร่างกายแน่นิ่งเหมือนท่อนไม้ ญาติเอาไปเผาหรือฝัง...กลายเป็นผงคลีดินเหมือนผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า! แต่เราก็ยังหวั่นกลัวความตายอยู่นั่นเอง
เพราะเราไม่รู้แน่นอนใช่ไหมว่าตายไปแล้วจะได้พบอะไร? โลกหน้าจะสดสวยสว่างไสว หรือมืดมนอนธการจนน่าตระหนกอกสั่นปานใด!
เราอยากมีชีวิตอยู่...ชีวิตที่เรารู้จักและคุ้นเคยมาช้านาน แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้เราเหนื่อยล้า สังขารทรุดโทรมลงไปทุกที อาหารและยาดีๆ อาจจะช่วยเราได้ แต่ความเสื่อมถอยของอวัยวะทุกส่วนที่รับใช้เรามาเนิ่นนานก็บ่งบอกว่ามันอ่อนล้า ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายอยู่แล้ว...
เสียงเคาะที่ประตูบ้านเงียบหายไป! แต่ฉันรู้ดีว่ามันยังอยู่ที่นั่น...
หลายคืนมาแล้วที่เสียงของมันดังแว่วมาเข้าหู...จากที่ไกลๆ เหมือนอยู่แถวถนนใหญ่ บอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงอะไรแน่ แต่สัญชาตญาณบางอย่างของคนเราก็ทำให้ฉันรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางของมันอยู่แห่งหนใด?
คืนต่อๆ มา เสียงนั้นก็ดังใกล้เข้ามาทุกที...จากปากซอยมาถึงกลางซอย ไม่ช้าและไม่รีบร้อน แต่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
เสียงเท้ากระทบพื้น? หรือเสียงแสกสากคล้ายงูเลื้อยเข้าหาเหยื่อ? แหละหรือว่าเป็นเสียงลมที่พัดเอื่อยเฉื่อยเข้ามาหา กระซิบกระซาบอยู่ข้างหู เย้ยหยันจนน่าขนลุกขนพอง...
คืนก่อนนี้เองที่เสียงนั้นมาถึงหน้าบ้าน และฉันแทบจะกลั้นใจ...รอคอยให้มันผ่านเลยไป แต่ก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง...คุณพระช่วย! มันมาหยุดตรงประตูรั้วบ้านฉันนั่นเอง!
เหงื่อกาฬแตกซิกเต็มหน้า...แม้ว่าเสียงนั้นจะเงียบหายไปแล้ว...เงียบเกินไปจนน่าอกสั่นขวัญแขวน...บางคนอาจจะนอนใจหรือโล่งอกว่ามันผ่านไปแล้ว แต่คนที่เห็นโลกเก่าแก่ลูกนี้มาช้านานอย่างฉันน่ะ ไม่มีวันจะโดนหลอกได้ง่ายๆ แน่นอน
นั่นปะไร! คืนนี้เองฉันก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด...เสียงแห่งความเงียบที่ดังกระหน่ำเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ เมื่อมันผ่านรั้วเข้ามาเคาะประตูบ้าน...กึกก้องเข้าไปดังกระหน่ำอยู่ในสมองจนฉันหนาวสะท้าน ปากคอแห้งผากเป็นผุยผงเหมือนกลืนทรายเข้าไปสักหนึ่งกำมือ
เสียงของยมทูต...เสียงของความตาย!
นรกเป็นพยาน! ความเงียบที่ดังกึกก้อง น่าสยดสยองกว่าเสียงใดๆ ที่เคยได้ยิน
นอกจากเสียงยมทูตที่หน้าประตู ฉันเพิ่งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง...แรงจนกระทบทรวงอก เจ็บเสียวหนักหน่วง ก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายที่แข็งทื่อราวกับท่อนหิน...แต่ก็อยากรู้อยากเห็นความตายที่จะจู่โจมเข้ามาหา...
มันจะหมดจดงดงาม เรียบง่าย หรือว่าจะโหดเหี้ยมจนเป็นอำมหิต ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ?
สรรพสิ่งยังเงียบเชียบ เปล่าเปลี่ยว ชวนให้เยือกเย็นไปทุกขุมขน...หัวใจวาบหวิวเจียนจะขาดรอนๆ เมื่อนึกว่า อีกไม่ช้าเจ้าของเสียงก็คงจะผ่านประตูบ้าน...ผ่านห้องรับแขก เข้ามาถึงห้องนอนฉันแน่นอน
เงียบเหลือเกิน...เงียบเหมือนความตาย!
คุณพระช่วย! ลูกหลานของฉันที่ชั้นบนล่ะ? คราวนี้หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นเมื่อนึกถึงเลือดเนื้อเชื้อไข ลูกและหลานตัวเล็กๆ อีก 2 คน...ฉันอยากจะตะโกนให้ "เขา" ได้ยินว่าฉันอยู่ที่นี่! อย่าขึ้นไปเลย...มาที่ฉันเถอะ! มาเอาคนแก่ชราอย่างฉันไปเลย! ได้โปรดเถิด...แต่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว
แสงสว่างของยามอรุณเรื่อเองขึ้นนอกหน้าต่าง ฉันสลัดผ้าห่ม เผ่นลงจากเตียงถอดกลอนประตูมือไม้สั่น...ไม่มีใครอยู่ที่นั่น! ฉับพลันเสียงร้องไห้โหยหวนก็ดังมากระทบหู...บาดลึกลงไปถึงหัวใจ
...น้าสมทรงอายุเกิน 90 ปีอยู่ข้างบ้านฉัน นอนหลับตายจนลูกหลานร้องไห้โฮ! ฉันเซซังเข้าห้องนอน ลืมตาโพลงพลางทอดถอนใจ "ท่านเข้าผิดบ้านหรือ...เมื่อไหร่หนอพระองค์จะเสด็จมาหาหม่อมฉันเสียที..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2550
07 ธันวาคม 2558
ผีร้องไห้
"ดำปลอด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทุ่งพระเมรุ
ผมกล้าสาบานได้เลยว่า...ผมเป็นคนไม่กลัวผี!!
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อว่าผีมีจริงนะครับ อย่าเข้าใจผิด! รับรองว่าเชื่อเต็มร้อยว่าโลกเรามีภูตผีปีศาจอยู่จริงๆ เหมือนมีมนุษย์มากมายแทบจะล้นโลกอยู่รอมร่อ มีสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ สารพัดชนิด คละระคนปนเปกันอยู่คลั่กๆ
ในเมื่อมีคน มีสัตว์ แล้วทำไมจะมีผีไม่ได้ล่ะครับ? เมื่อคนและสัตว์ตายไปก็ต้องเป็นผีวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง จริงมั้ยครับ?
แล้วทำไมผมไม่กลัวผี?
โธ่! ผีก็คือสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่มีลมหายใจซะอย่างจะต้องไปกลัวให้โง่ทำไมกัน?
คนที่เล่าว่าโดนผีหลอกจนร้องจ้า วิ่งหนีกระเซอะกระเซิง หรือแทบจะจับไข้หัวโกร๋นก็เพราะขวัญอ่อนแท้ๆ ถ้าเราไม่กลัวซะอย่าง อยากรู้นักว่าผีจะมาทำอะไรได้? อยากโผล่มาให้เห็นเรอะ...เชิญเลย! อยากมาร้องไห้คร่ำครวญนักหรือ? มาเถอะ...มาร้องให้พอ แต่ถ้ารำคาญนักก็ไล่ตะเพิดไปซะ!
เออ...ว่าแต่ทำไมถึงชอบเล่ากันว่าได้ยินเสียงผีร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตามตรอกซอยเปลี่ยวๆ มีพงหญ้ารกครึ้ม หรืออย่างน้อยก็ที่นอกบ้าน แถวประตูหน้าต่างตอนค่ำคืน...ไม่ยักมีใครได้ยินเสียงผีหัวเราะ?
คนร้องไห้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว แล้วจะไปกลัวผีร้องไห้ทำไม จริงมั้ยครับ?
คืนนั้น ผมไปเจอผีร้องไห้เข้าอย่างจังๆ
ทุ่งพระเมรุยามดึกแสนจะเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวสิ้นดี แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างเยือกเย็น จิ้งหรีดกรีดปีกเสียงระงม ยอดมะขามกระซิบกระซาบพึมพำความลับต่อกัน...นานๆ จะมีรถแล่นผ่านไปมาสักคันแถวหน้าศาล ส่วนหน้าธรรมศาสตร์ที่เคยคึกคัก มีผู้คนทั้งหญิงและชายลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าหายหน้าหายตาไปไหนหมด...
หรือว่าดึกดื่นเกินไป จนพวกนักเที่ยวหมดเรี่ยวหมดแรง พวกสาวๆ ผีเสื้อราตรีที่คอยโฉบเข้าหาหน้าต่างรถยนต์ที่แวะจอด หรือชะลอเข้ามาหาคนถูกใจ...ก็เลยทยอยกันกลับรังนอนจนหมดสิ้น
ผมเดินทอดน่องจากหน้าโรงละครแห่งชาติไปเรื่อยๆ จนเสียงนั้นดังมากระทบหู!
เสียงสะอึกสะอื้นที่ล่องลอยมาตามลม...ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงยอดมะขามคร่ำครวญซะอีกแน่ะ แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นจนแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงยอดไม้กับสายลมแน่ๆ แต่เป็นเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังสะอึกสะอื้น คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์โศกเหมือนหัวใจกำลังแตกสลายลง...
แล้วผมก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา!
ชายหญิงกลุ่มใหญ่นับสิบๆ กำลังนั่งทอดอาลัยตายอยาก บ้างก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นหญ้า...แสงไฟสีเหลืองรัวส่องให้เห็นภาพที่น่าสยดสยองสิ้นดี
ทุกๆ ร่างมีเลือดอาบแดงฉาน ใบหน้าเหวอะหวะก็มี แขนขาขาดก็มี บ้างก็มีแค่ท่อนบน เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง...ราวกับบริเวณนั้นกลายเป็นขุมนรกสุดโหด คนขวัญอ่อนมาเห็นเข้ามีหวังช็อกตายคาที่ได้อย่างง่ายดาย
ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ เหมือนถูกมนต์สะกด!
ภูตผีที่เคยเป็นมนุษย์ผู้มีลมหายใจ เคยสุขเคยทุกข์ เคยหัวเราะและร้องไห้มาก่อนเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ความทุกข์โศกเดือดร้อนรุนแรงอะไรหนอ ที่ทำให้พวกเขาต้องปรากฏร่างในสภาพก่อนสิ้นลมปราณให้ผมได้พบเห็นอีกครั้ง...
ฉับพลัน เสียงพร่ำรำพันปนสะอื้นก็ดังแว่วมากระทบหู เพื่อหลั่งระบายความทุกข์ร้อนแสนสาหัสให้ผมฟัง!
"พวกเราเคยเป็นคน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะทุกข์สุขแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว! มันกลั่นแกล้งพวกเรา มันรังแกพวกเราเหลือเกิน..."
หนุ่มๆ อกพรุนด้วยรูกระสุนปืนเล่าว่าพวกตนถูกยิงตายกลางท้องสนามหลวง
ตาแก่ 4-5 คนบอกว่าถูกรถชนตาย กระเด็นขึ้นมาถึงโคนมะขาม
หญิงชรา 2-3 คนเล่าว่าแกเดินอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายที่นี่เอง!
"เราสิงสู่อยู่กันที่ที่มาช้านานแล้ว...มองดูทุ่งพระเมรุเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากความเปล่าเปลี่ยวมาเป็นมุมมืดสำหรับหนุ่มสาวพร่ำพลอดกัน คนจรจัดมาทิ้งตัวนอนด้วยความอ่อนล้า บางคนก็มาเช่าเสื่อนอนตากน้ำค้าง ชมดาว พวกโสเภณีสาวๆ ก็ถูกแมงดาคุมมาหาเหยื่อที่โคนมะขาม ขึ้นรถไปโรงแรมกับแขก แมงดาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปคุม..."
อากาศยามดึกเย็นยะเยือก ผมเลยนั่งกอดเข่ามองดูเหล่าภูตผีที่กำลังร่ำไห้ฟายน้ำตา รู้สึกเวทนากึ่งรำคาญ
"อย่าบอกนะว่าพวกแกไม่ได้คอยหลอกหลอนผู้คนให้เขาขวัญหนีดีฝ่อไปน่ะ?"
ตาแก่ผมขาวทำตาพองจนแทบถลนออกมานอกเบ้า จมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นผมจ้องตอบอย่างไม่พรั่นพรึงก็หลบตา กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ แทบไม่ได้ยิน
"ก็หลอก...แหม! เป็นผีมันก็ต้องหลอกคนซีคู้น! ไม่งั้นจะเป็นผีไปหาหอกอะไรล่ะ? ถามพิลึก"
"แล้วไง?" ผมสงสัยจริงๆ ด้วย "เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโผล่มาให้หลอกหลอนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ร้องห่มร้องไห้กันอยู่นี่น่ะ?"
พวกผีกลุ่มใหญ่มองสบตากันก่อนจะมีเสียงตอบเศร้าๆ
"ก็พอมี...แต่พวกเราจะย้ายจากที่นี่ เร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ตามยถากรรมแล้ว! โธ่...ตอนค่ำๆ ไม่รู้ใครต่อใครมันยกโขยงมาตะโกนปาวๆ แทบแก้วหูแตกอยู่ทุกคืน...ไอ้เวรพวกนั้นมันหลอกเก่งจนพวกเราขนหัวลุก ใครจะไปทนไหวล่ะ! โธ่..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม 2550
ผมกล้าสาบานได้เลยว่า...ผมเป็นคนไม่กลัวผี!!
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อว่าผีมีจริงนะครับ อย่าเข้าใจผิด! รับรองว่าเชื่อเต็มร้อยว่าโลกเรามีภูตผีปีศาจอยู่จริงๆ เหมือนมีมนุษย์มากมายแทบจะล้นโลกอยู่รอมร่อ มีสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ สารพัดชนิด คละระคนปนเปกันอยู่คลั่กๆ
ในเมื่อมีคน มีสัตว์ แล้วทำไมจะมีผีไม่ได้ล่ะครับ? เมื่อคนและสัตว์ตายไปก็ต้องเป็นผีวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง จริงมั้ยครับ?
แล้วทำไมผมไม่กลัวผี?
โธ่! ผีก็คือสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่มีลมหายใจซะอย่างจะต้องไปกลัวให้โง่ทำไมกัน?
คนที่เล่าว่าโดนผีหลอกจนร้องจ้า วิ่งหนีกระเซอะกระเซิง หรือแทบจะจับไข้หัวโกร๋นก็เพราะขวัญอ่อนแท้ๆ ถ้าเราไม่กลัวซะอย่าง อยากรู้นักว่าผีจะมาทำอะไรได้? อยากโผล่มาให้เห็นเรอะ...เชิญเลย! อยากมาร้องไห้คร่ำครวญนักหรือ? มาเถอะ...มาร้องให้พอ แต่ถ้ารำคาญนักก็ไล่ตะเพิดไปซะ!
เออ...ว่าแต่ทำไมถึงชอบเล่ากันว่าได้ยินเสียงผีร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตามตรอกซอยเปลี่ยวๆ มีพงหญ้ารกครึ้ม หรืออย่างน้อยก็ที่นอกบ้าน แถวประตูหน้าต่างตอนค่ำคืน...ไม่ยักมีใครได้ยินเสียงผีหัวเราะ?
คนร้องไห้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว แล้วจะไปกลัวผีร้องไห้ทำไม จริงมั้ยครับ?
คืนนั้น ผมไปเจอผีร้องไห้เข้าอย่างจังๆ
ทุ่งพระเมรุยามดึกแสนจะเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวสิ้นดี แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างเยือกเย็น จิ้งหรีดกรีดปีกเสียงระงม ยอดมะขามกระซิบกระซาบพึมพำความลับต่อกัน...นานๆ จะมีรถแล่นผ่านไปมาสักคันแถวหน้าศาล ส่วนหน้าธรรมศาสตร์ที่เคยคึกคัก มีผู้คนทั้งหญิงและชายลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าหายหน้าหายตาไปไหนหมด...
หรือว่าดึกดื่นเกินไป จนพวกนักเที่ยวหมดเรี่ยวหมดแรง พวกสาวๆ ผีเสื้อราตรีที่คอยโฉบเข้าหาหน้าต่างรถยนต์ที่แวะจอด หรือชะลอเข้ามาหาคนถูกใจ...ก็เลยทยอยกันกลับรังนอนจนหมดสิ้น
ผมเดินทอดน่องจากหน้าโรงละครแห่งชาติไปเรื่อยๆ จนเสียงนั้นดังมากระทบหู!
เสียงสะอึกสะอื้นที่ล่องลอยมาตามลม...ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงยอดมะขามคร่ำครวญซะอีกแน่ะ แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นจนแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงยอดไม้กับสายลมแน่ๆ แต่เป็นเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังสะอึกสะอื้น คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์โศกเหมือนหัวใจกำลังแตกสลายลง...
แล้วผมก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา!
ชายหญิงกลุ่มใหญ่นับสิบๆ กำลังนั่งทอดอาลัยตายอยาก บ้างก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นหญ้า...แสงไฟสีเหลืองรัวส่องให้เห็นภาพที่น่าสยดสยองสิ้นดี
ทุกๆ ร่างมีเลือดอาบแดงฉาน ใบหน้าเหวอะหวะก็มี แขนขาขาดก็มี บ้างก็มีแค่ท่อนบน เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง...ราวกับบริเวณนั้นกลายเป็นขุมนรกสุดโหด คนขวัญอ่อนมาเห็นเข้ามีหวังช็อกตายคาที่ได้อย่างง่ายดาย
ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ เหมือนถูกมนต์สะกด!
ภูตผีที่เคยเป็นมนุษย์ผู้มีลมหายใจ เคยสุขเคยทุกข์ เคยหัวเราะและร้องไห้มาก่อนเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ความทุกข์โศกเดือดร้อนรุนแรงอะไรหนอ ที่ทำให้พวกเขาต้องปรากฏร่างในสภาพก่อนสิ้นลมปราณให้ผมได้พบเห็นอีกครั้ง...
ฉับพลัน เสียงพร่ำรำพันปนสะอื้นก็ดังแว่วมากระทบหู เพื่อหลั่งระบายความทุกข์ร้อนแสนสาหัสให้ผมฟัง!
"พวกเราเคยเป็นคน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะทุกข์สุขแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว! มันกลั่นแกล้งพวกเรา มันรังแกพวกเราเหลือเกิน..."
หนุ่มๆ อกพรุนด้วยรูกระสุนปืนเล่าว่าพวกตนถูกยิงตายกลางท้องสนามหลวง
ตาแก่ 4-5 คนบอกว่าถูกรถชนตาย กระเด็นขึ้นมาถึงโคนมะขาม
หญิงชรา 2-3 คนเล่าว่าแกเดินอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายที่นี่เอง!
"เราสิงสู่อยู่กันที่ที่มาช้านานแล้ว...มองดูทุ่งพระเมรุเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากความเปล่าเปลี่ยวมาเป็นมุมมืดสำหรับหนุ่มสาวพร่ำพลอดกัน คนจรจัดมาทิ้งตัวนอนด้วยความอ่อนล้า บางคนก็มาเช่าเสื่อนอนตากน้ำค้าง ชมดาว พวกโสเภณีสาวๆ ก็ถูกแมงดาคุมมาหาเหยื่อที่โคนมะขาม ขึ้นรถไปโรงแรมกับแขก แมงดาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปคุม..."
อากาศยามดึกเย็นยะเยือก ผมเลยนั่งกอดเข่ามองดูเหล่าภูตผีที่กำลังร่ำไห้ฟายน้ำตา รู้สึกเวทนากึ่งรำคาญ
"อย่าบอกนะว่าพวกแกไม่ได้คอยหลอกหลอนผู้คนให้เขาขวัญหนีดีฝ่อไปน่ะ?"
ตาแก่ผมขาวทำตาพองจนแทบถลนออกมานอกเบ้า จมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นผมจ้องตอบอย่างไม่พรั่นพรึงก็หลบตา กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ แทบไม่ได้ยิน
"ก็หลอก...แหม! เป็นผีมันก็ต้องหลอกคนซีคู้น! ไม่งั้นจะเป็นผีไปหาหอกอะไรล่ะ? ถามพิลึก"
"แล้วไง?" ผมสงสัยจริงๆ ด้วย "เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโผล่มาให้หลอกหลอนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ร้องห่มร้องไห้กันอยู่นี่น่ะ?"
พวกผีกลุ่มใหญ่มองสบตากันก่อนจะมีเสียงตอบเศร้าๆ
"ก็พอมี...แต่พวกเราจะย้ายจากที่นี่ เร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ตามยถากรรมแล้ว! โธ่...ตอนค่ำๆ ไม่รู้ใครต่อใครมันยกโขยงมาตะโกนปาวๆ แทบแก้วหูแตกอยู่ทุกคืน...ไอ้เวรพวกนั้นมันหลอกเก่งจนพวกเราขนหัวลุก ใครจะไปทนไหวล่ะ! โธ่..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม 2550
06 ธันวาคม 2558
สัมผัสสยอง
"หลานจุ๋ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในอพาร์ตเมนต์ผีสิง
อพาร์ตเมนต์ของพี่นกต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แน่ๆ ฉันรู้สึกอย่างนั้น!
"รู้สึกยังไง? ไหนพูดออกมาซิ" พี่นก-สาวโสดวัย 35 สวยคม ผมยาว และมีหุ่นสวยเหมือนนางแบบถามยิ้มๆ
ไม่เอาละ! ขืนพูดออกไปเธอก็หาว่าฉันบ้าน่ะสิ! พี่นกเป็นญาติผู้พี่ของฉัน เธอทำงานเป็นช่างเสริมสวยฝีมือเยี่ยมอยู่ในห้างดังแถวราชดำริ อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่สุขุมวิท ถิ่นที่น่าจะแพงน่าดู ทว่าพี่นกเช่าได้ในราคาถูกมาก เธอภูมิใจจนหน้าบานเชียวละ
พี่นกชวนฉันไปค้าง หรือจะอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ เพราะฉันเรียนแถวกล้วยน้ำไทเวลาไปเรียนจะได้ย่นระยะทางได้เยอะ ความที่รักใคร่ สนิทสนมกลมเกลียวกันมาก ฉันจึงคิดจะไปอยู่กับพี่นก
"พูดออกมาเถอะ พี่ก็อยากฟังเหมือนกันว่าจุ๋งจะทายถูกมั้ย"
เธอคะยั้นคะยอให้ฉันพรรณนาโวหารถึงความรู้สึกสังหรณ์ มันฟังดูเพ้อเจ้อ แต่เอาเถอะ...ฉันจะพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ตรงกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดที่สุด
"ห้องนี้ ตรงนี้!" ฉันยืนอยู่ท่ามกลางโซฟาและเก้าอี้รับแขก "ตรงจุดนี้เลยนะ...มันเศร้ามาก หดหู่มากเลย อารมณ์บีบคั้น อึดอัด หาทางออกไม่ได้..."
พี่นกพยักหน้า อมยิ้มขำๆ ฉันแทบหมดกำลังใจพูดต่อ แต่เธอโบกมือเป็นเชิงให้เล่าไปเรื่อยๆ เธอจะฟัง
ฉันกลั้นใจ ไม่อยากพูดประโยคต่อไปเลย...มันเหมือนฉันคิดไปเอง!
"ตรงนี้มีการฆ่าตัวตาย...เป็นผู้ชาย!" เสียงฉันเบาแทบไม่ได้ยิน พี่นกหุบยิ้ม ลุกขึ้นจากท่าเอนๆ เป็นนั่งตัวตรงอย่างสนอกสนใจ
ฉันรู้สึกเหมือนเข้าภวังค์ ขณะเดินออกจากตรงจุดนั้น เข้าไปในห้องนอนเล็กข้างๆ ปากของฉันอยากพูดๆๆ ห้ามตัวเองไม่ได้เลย...
"ตรงนี้มีความโกรธ ความเสียใจอย่างรุนแรง! มีคนสองคน...ผู้หญิงกับผู้ชาย...ผู้ชายที่ฆ่าตัวตายตรงโน้น เขารูปร่างท้วม ขาว สูงเหมือนลูกครึ่งจีน ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวคล้ำ ผมยาว...เธอไม่ต้องการอยู่กับเขา..."
"จุ๋ง! เธอรู้ขนาดนี้ได้ยังไง?"
พี่นกถาม ไม่เหลือร่องรอยความขบขันอีกแล้ว
"ไม่รู้สิพี่นก" ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสัมผัสพิเศษอะไรเลย "มันผ่านเข้ามาในหัวคิด เหมือนเราดูหนังเลยละ"
ฉันเห็นภาพผู้หญิงที่เดินฉับๆ ออกจากห้อง แต่ฝ่ายชายฉุดกระชากแขนเธอกลับไปอย่างรุนแรง
"ปวดท้อง...!" ฉันกุมลิ้นปี่ ตัวงอ มันวาบขึ้นมาเฉยๆ แต่ก็แวบเดียว ฉันเงยหน้ามองพี่นก เราทั้งคู่ตกตะลึง "ผู้หญิงคนนั้นถูกแทง..." ฉันคราง ภาพในหัวคิดเห็นเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารถูกมีดพกเล่มเล็กๆ จ้วงแทงตรงลิ้นปี่ เธอตัวงอลงไป ร้องไม่ออก จุกเสียดหายใจไม่ได้...แล้วก็ตาย!
จากนั้น ฝ่ายชายก็ผงะ เซถอยหลังออกจากห้อง...
เขาหมุนคว้างอยู่กลางห้องรับแขก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนอีกที แล้วหยิบปืนจากลิ้นชักหัวเตียง เดินกลับออกมานั่งที่โซฟา ตัวเดียวกับที่พี่นกนั่งอยู่ขณะนี้! เขาคิดแล้วก็คิด...น้ำตาปริ่มแล้วก็ไหลพราก...
ทันใดนั้น เขายกปืนขึ้นจ่อใต้คางแล้วลั่นไกเปรี้ยง!
มันเร็วมาก ฉันสะดุ้งเฮือก...แล้วภาพทั้งหมดก็หายวับไป...
พี่นกพยักหน้า เธอเล่าว่า เจ้าของ อพาร์ตเมนต์ไม่ได้ปกปิดเลย สิ่งที่เจ้าของเล่านั้นตรงกับที่ฉันพูด เพียงแต่ไม่มีรายละเอียดถึงขนาดนี้
เมื่อสามปีก่อน มีคนพบศพสามีภรรยานอนตายที่นี่ คนเป็นภรรยาถูกแทงตายในห้องนอน ส่วนสามียิงตัวตายที่โซฟา จากนั้นมีคนมาเช่าอยู่ต่อหลายราย แต่อยู่ไม่ได้...จนถึงรายพี่นกนี่แหละ
พี่นกบอกว่าไม่กลัวผี ก่อนหน้านี้พี่นกอยู่มาเดือนกว่าๆ แล้วนะคะ เธอได้ยินเสียงแปลกๆ อย่างเสียงผู้ชายผู้หญิงโต้เถียงกัน ฟังเหมือนแว่วมาจากวิทยุที่ไหนสักแห่งในห้องนี้
แล้วพี่นกไม่กลัวเลยจริงๆ เหรอ?
เธอบอกว่าไม่หรอก...ผีก็อยู่ส่วนผี! เขาทำได้ก็แค่นั้น ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายกับเราสักหน่อย เว้นแต่เราจะขวัญอ่อน หวาดระแวงและคิดกลัวไปเอง
จริงของเธอ ฉะนั้นฉันเองก็จะลองแข็งใจอยู่ที่นี่ต่อไป
สรุปว่าจนบัดนี้ ฉันอยู่มาหลายเดือนแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนเมื่อเรารู้แล้วก็แค่นั้น วิญญาณสองสามีภรรยาไม่เคยมาหลอกเราเลยค่ะ
นานๆ ฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เย็นเฉียบที่ต้นคอ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่ได้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงอะไร...อาจจะเป็นอุปาทาน หรือสิ่งที่เขาเรียกว่า "มายา" นึกภาพสยองขึ้นมาหลอกหลอนตัวเองก็ได้ จริงไหมคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 6 ธันวาคม 2550
อพาร์ตเมนต์ของพี่นกต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แน่ๆ ฉันรู้สึกอย่างนั้น!
"รู้สึกยังไง? ไหนพูดออกมาซิ" พี่นก-สาวโสดวัย 35 สวยคม ผมยาว และมีหุ่นสวยเหมือนนางแบบถามยิ้มๆ
ไม่เอาละ! ขืนพูดออกไปเธอก็หาว่าฉันบ้าน่ะสิ! พี่นกเป็นญาติผู้พี่ของฉัน เธอทำงานเป็นช่างเสริมสวยฝีมือเยี่ยมอยู่ในห้างดังแถวราชดำริ อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่สุขุมวิท ถิ่นที่น่าจะแพงน่าดู ทว่าพี่นกเช่าได้ในราคาถูกมาก เธอภูมิใจจนหน้าบานเชียวละ
พี่นกชวนฉันไปค้าง หรือจะอยู่ด้วยกันเลยก็ได้ เพราะฉันเรียนแถวกล้วยน้ำไทเวลาไปเรียนจะได้ย่นระยะทางได้เยอะ ความที่รักใคร่ สนิทสนมกลมเกลียวกันมาก ฉันจึงคิดจะไปอยู่กับพี่นก
"พูดออกมาเถอะ พี่ก็อยากฟังเหมือนกันว่าจุ๋งจะทายถูกมั้ย"
เธอคะยั้นคะยอให้ฉันพรรณนาโวหารถึงความรู้สึกสังหรณ์ มันฟังดูเพ้อเจ้อ แต่เอาเถอะ...ฉันจะพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ตรงกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดที่สุด
"ห้องนี้ ตรงนี้!" ฉันยืนอยู่ท่ามกลางโซฟาและเก้าอี้รับแขก "ตรงจุดนี้เลยนะ...มันเศร้ามาก หดหู่มากเลย อารมณ์บีบคั้น อึดอัด หาทางออกไม่ได้..."
พี่นกพยักหน้า อมยิ้มขำๆ ฉันแทบหมดกำลังใจพูดต่อ แต่เธอโบกมือเป็นเชิงให้เล่าไปเรื่อยๆ เธอจะฟัง
ฉันกลั้นใจ ไม่อยากพูดประโยคต่อไปเลย...มันเหมือนฉันคิดไปเอง!
"ตรงนี้มีการฆ่าตัวตาย...เป็นผู้ชาย!" เสียงฉันเบาแทบไม่ได้ยิน พี่นกหุบยิ้ม ลุกขึ้นจากท่าเอนๆ เป็นนั่งตัวตรงอย่างสนอกสนใจ
ฉันรู้สึกเหมือนเข้าภวังค์ ขณะเดินออกจากตรงจุดนั้น เข้าไปในห้องนอนเล็กข้างๆ ปากของฉันอยากพูดๆๆ ห้ามตัวเองไม่ได้เลย...
"ตรงนี้มีความโกรธ ความเสียใจอย่างรุนแรง! มีคนสองคน...ผู้หญิงกับผู้ชาย...ผู้ชายที่ฆ่าตัวตายตรงโน้น เขารูปร่างท้วม ขาว สูงเหมือนลูกครึ่งจีน ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวคล้ำ ผมยาว...เธอไม่ต้องการอยู่กับเขา..."
"จุ๋ง! เธอรู้ขนาดนี้ได้ยังไง?"
พี่นกถาม ไม่เหลือร่องรอยความขบขันอีกแล้ว
"ไม่รู้สิพี่นก" ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีสัมผัสพิเศษอะไรเลย "มันผ่านเข้ามาในหัวคิด เหมือนเราดูหนังเลยละ"
ฉันเห็นภาพผู้หญิงที่เดินฉับๆ ออกจากห้อง แต่ฝ่ายชายฉุดกระชากแขนเธอกลับไปอย่างรุนแรง
"ปวดท้อง...!" ฉันกุมลิ้นปี่ ตัวงอ มันวาบขึ้นมาเฉยๆ แต่ก็แวบเดียว ฉันเงยหน้ามองพี่นก เราทั้งคู่ตกตะลึง "ผู้หญิงคนนั้นถูกแทง..." ฉันคราง ภาพในหัวคิดเห็นเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารถูกมีดพกเล่มเล็กๆ จ้วงแทงตรงลิ้นปี่ เธอตัวงอลงไป ร้องไม่ออก จุกเสียดหายใจไม่ได้...แล้วก็ตาย!
จากนั้น ฝ่ายชายก็ผงะ เซถอยหลังออกจากห้อง...
เขาหมุนคว้างอยู่กลางห้องรับแขก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอนอีกที แล้วหยิบปืนจากลิ้นชักหัวเตียง เดินกลับออกมานั่งที่โซฟา ตัวเดียวกับที่พี่นกนั่งอยู่ขณะนี้! เขาคิดแล้วก็คิด...น้ำตาปริ่มแล้วก็ไหลพราก...
ทันใดนั้น เขายกปืนขึ้นจ่อใต้คางแล้วลั่นไกเปรี้ยง!
มันเร็วมาก ฉันสะดุ้งเฮือก...แล้วภาพทั้งหมดก็หายวับไป...
พี่นกพยักหน้า เธอเล่าว่า เจ้าของ อพาร์ตเมนต์ไม่ได้ปกปิดเลย สิ่งที่เจ้าของเล่านั้นตรงกับที่ฉันพูด เพียงแต่ไม่มีรายละเอียดถึงขนาดนี้
เมื่อสามปีก่อน มีคนพบศพสามีภรรยานอนตายที่นี่ คนเป็นภรรยาถูกแทงตายในห้องนอน ส่วนสามียิงตัวตายที่โซฟา จากนั้นมีคนมาเช่าอยู่ต่อหลายราย แต่อยู่ไม่ได้...จนถึงรายพี่นกนี่แหละ
พี่นกบอกว่าไม่กลัวผี ก่อนหน้านี้พี่นกอยู่มาเดือนกว่าๆ แล้วนะคะ เธอได้ยินเสียงแปลกๆ อย่างเสียงผู้ชายผู้หญิงโต้เถียงกัน ฟังเหมือนแว่วมาจากวิทยุที่ไหนสักแห่งในห้องนี้
แล้วพี่นกไม่กลัวเลยจริงๆ เหรอ?
เธอบอกว่าไม่หรอก...ผีก็อยู่ส่วนผี! เขาทำได้ก็แค่นั้น ซึ่งก็ไม่เป็นอันตรายกับเราสักหน่อย เว้นแต่เราจะขวัญอ่อน หวาดระแวงและคิดกลัวไปเอง
จริงของเธอ ฉะนั้นฉันเองก็จะลองแข็งใจอยู่ที่นี่ต่อไป
สรุปว่าจนบัดนี้ ฉันอยู่มาหลายเดือนแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนเมื่อเรารู้แล้วก็แค่นั้น วิญญาณสองสามีภรรยาไม่เคยมาหลอกเราเลยค่ะ
นานๆ ฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบ เย็นเฉียบที่ต้นคอ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ทั้งที่ไม่ได้เห็นภาพหรือได้ยินเสียงอะไร...อาจจะเป็นอุปาทาน หรือสิ่งที่เขาเรียกว่า "มายา" นึกภาพสยองขึ้นมาหลอกหลอนตัวเองก็ได้ จริงไหมคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 6 ธันวาคม 2550
05 ธันวาคม 2558
ญาติมาเยี่ยม
"น้ำตาล" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากพะเยา
น้องแสงมาจากพะเยา ปีนี้เธออายุ 17 ปี จวนจะจบ ม.6 อยู่รอมร่อแล้ว เธอเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ 3 ปีก่อน มาอยู่กับแม่ที่ทำงานเป็นแม่ครัว
เมื่อคืนนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง เป็นคืนก่อนวันลอยกระทง เรานั่งล้อมวงคุยเรื่องผีกัน มีดิฉันกับลูกชายวัยรุ่นสองคน เพื่อนของลูกที่มาค้างที่บ้าน ต้อมซึ่งเป็นแม่ของแสงและแสงเอง
เรานั่งที่โต๊ะหินข้างสนาม ไม่ได้เปิดไฟ แต่จุดเทียนหอม...ที่ออกมานั่งคุยจนดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้ก็เพราะอากาศเย็นสบาย พระจันทร์ก็สวย ทุกอย่างดูสงัด นานๆ จะมีเสียงจุดพลุมาจากบ้านไหนก็ไม่รู้ ดังมาเป็นระยะๆ
มันเป็นบรรยากาศที่น่าเล่าเรื่องผีมากเชียวละ!
ลูกชายดิฉันเป็นคนเริ่มต้นก่อน แต่เรื่องผีที่เขาเล่าก็เป็นเรื่องแบบเดิมๆ ซึ่งมันมีแง่มุมที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ...เรื่องผีนี่เล่าซ้ำสักกี่ครั้งก็ยังฟังสนุกอยู่นั่นแหละ เสียแต่มันจืดไปนิดหน่อยเท่านั้น
ขณะกำลังอยากฟังอะไรที่มันใหม่ๆ น้องแสงก็เอ่ยขึ้นราวกับจะรู้ใจ
"แสงก็เคยเจอผีค่ะ" เธอเป็นคนหงิมๆ พูดอะไรก็พูดเสียงเบาๆ เรียบๆ เหมือนไร้อารมณ์ แต่คราวนี้เราทุกคนหูผึ่งไปตามๆ กัน
แสงเล่าว่า ตอนนั้นเธออายุเพียง 12 ปี ยังเด็กมาก ตัวกะเปี๊ยกเดียวและอยู่ที่บ้านของย่า ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นหลังใหญ่ ย่ามีลูก 4 คน คนโตก็คือพ่อของแสง อีก 3 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด อาที่เป็นน้องรองจากพ่อชื่อสวย...ตายไปตั้งแต่แสงอายุได้ 5 ขวบ ส่วนอีกคนหนึ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ เหลือแต่อาสุดใจคนเดียว
ปกติลูกสาวคนเล็กของย่าจะนอนกับแสงที่ห้องชั้นล่างข้างบันได...ทว่าคืนที่เกิดเหตุนั้น อาสุดใจไม่อยู่บ้าน ไปค้างกับเพื่อน แสงก็เลยนอนคนเดียว
กลางดึก...แสงลืมตาตื่น ห้องมืดสนิท ดีนะที่มีแสงจันทร์ส่องมาทางหน้าต่าง...เธอพลิกตัวและหันหน้ามาทางประตูห้อง
ทันใดนั้น เธอเห็นว่าที่ประตูมีเงาของใครคนหนึ่งยืนทะมึนอยู่!
เงานั้นเป็นคนสูงใหญ่ และต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ เพราะแสงเห็นผมที่ยาวและฟูจนเป็นกระเซิง...
"เขายืนที่ประตูค่ะ ยืนเฉยๆ หนูก็จ้องใหญ่เลย คิดว่าใครกันนะมายืนอยู่มืดๆ"
เธอเด็กเกินกว่าจะกลัวว่าเป็นผู้บุกรุก หรือขโมยขโจร ในใจเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? มาทำอะไรอยู่ในห้องนอนนี้?
"หนูก็เลยไปหยิบไฟมาส่อง...พอส่องไปเงาก็จางจนหายไปหมด เห็นแต่ประตู พอปิดไฟฉายเขาก็ยืนตรงที่เดิมไม่ได้ไปไหน หนูเลยรู้ว่านั่นไม่ใช่คน! แล้วหนูก็ขนลุกซ่าไปทั้งตัวขึ้นมาเฉยๆ เลย"
พอถามว่ากลัวมากไหม? แสงตอบว่ากลัวมากอยู่เหมือนกัน คิดอยู่ตั้งนานว่าจะทำยังไงดี? ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่ขออยู่ร่วมห้องกับผีตัวนี้จนตลอดคืนหรอก
แต่จะทำยังไงดีล่ะ?
ผียืนทะมึนขวางประตูอยู่อย่างนั้น! จะปีนหน้าต่างออกไปก็ไม่ได้เพราะติดลูกกรงแน่นหนา...
แสงกดไฟฉาย เปิด ปิด-เปิด ปิด และเธอก็พบว่า ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งเพิ่มความสยดสยองเข้าไปใหญ่ จะให้ลุกขึ้นเปิดไฟห้องนอนน่ะเหรอ? สวิตช์ไฟอยู่ตรงประตู...ผีมันยืนบังอยู่เต็มๆ เลยค่ะคุณ!
ในที่สุด แสงก็ลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ แล้วเดินตัวตรงแน่วไปที่ประตูนั้น...
เปล่าค่ะ เธอไม่ได้เปิดไฟ แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เธอถอดกลอนประตูเพื่อจะออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด
"ผียืนอยู่เหมือนเดิม หนูต้องเอามือลอดข้อศอกเขาไปเปิดกลอน เขาก็ก้มลงมองหนู โดยที่ตัวไม่ได้ขยับมาเลย เขาจ้องตาขาว ไม่เห็นตาดำ...จนหนูเปิดประตูออกไปได้...ตอนอยู่ใกล้ๆ เขา หนูขนลุก ผมตั้งเลยค่ะ"
แสงเดินขึ้นบันไดไปเรียกพี่ชายที่นอนอยู่หน้าห้องย่า พี่คนนี้เป็นลูกของอาคนที่มาทำงานในกรุงเทพฯ น่ะค่ะ เขาบวชเพิ่งสึกออกมา ผมยังเกรียนอยู่เลย
พี่ชายแสงเดินลงบันไดมา ชะโงกมองแล้วก็ถอยกลับอย่างเร็ว ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปในห้องพระ และอุ้มพระพุทธรูปจากหิ้งพระลงมา...เงานั้นก็หายไป
คืนนั้นแสงกลับเข้าห้อง ส่วนพี่ชายก็นอนในห้องนี้แหละ โดยวางพระไว้บนโต๊ะข้างประตู และผีก็ไม่มาปรากฏตัวอีก
ส่วนผีตนนั้น พี่ชายจำหน้าได้แม่นว่าคือ "อาสวย" ที่ตายไปเมื่อแสงอายุ 5 ขวบนั่นเอง เธอมาในสภาพของศพ คือห่อผ้าตราสัง มายืนเหมือนคนคลุมผ้าขาว ผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง หน้าบวมอืด และมีแต่นัยน์ตาขาว...
ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดก็ไม่รู้สิ?
แสงเล่าจบพวกเราก็เยือกไปทั้งสันหลัง...เธอเห็นผีจริงๆ น่ากลัวมากด้วย และนั่นเป็นครั้งเดียวที่แสงเจอผี...ตั้งแต่นั้นอาสวยไม่ได้มาหาอีกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2550
น้องแสงมาจากพะเยา ปีนี้เธออายุ 17 ปี จวนจะจบ ม.6 อยู่รอมร่อแล้ว เธอเข้ากรุงเทพฯ เมื่อ 3 ปีก่อน มาอยู่กับแม่ที่ทำงานเป็นแม่ครัว
เมื่อคืนนี้พระจันทร์เกือบเต็มดวง เป็นคืนก่อนวันลอยกระทง เรานั่งล้อมวงคุยเรื่องผีกัน มีดิฉันกับลูกชายวัยรุ่นสองคน เพื่อนของลูกที่มาค้างที่บ้าน ต้อมซึ่งเป็นแม่ของแสงและแสงเอง
เรานั่งที่โต๊ะหินข้างสนาม ไม่ได้เปิดไฟ แต่จุดเทียนหอม...ที่ออกมานั่งคุยจนดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้ก็เพราะอากาศเย็นสบาย พระจันทร์ก็สวย ทุกอย่างดูสงัด นานๆ จะมีเสียงจุดพลุมาจากบ้านไหนก็ไม่รู้ ดังมาเป็นระยะๆ
มันเป็นบรรยากาศที่น่าเล่าเรื่องผีมากเชียวละ!
ลูกชายดิฉันเป็นคนเริ่มต้นก่อน แต่เรื่องผีที่เขาเล่าก็เป็นเรื่องแบบเดิมๆ ซึ่งมันมีแง่มุมที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ...เรื่องผีนี่เล่าซ้ำสักกี่ครั้งก็ยังฟังสนุกอยู่นั่นแหละ เสียแต่มันจืดไปนิดหน่อยเท่านั้น
ขณะกำลังอยากฟังอะไรที่มันใหม่ๆ น้องแสงก็เอ่ยขึ้นราวกับจะรู้ใจ
"แสงก็เคยเจอผีค่ะ" เธอเป็นคนหงิมๆ พูดอะไรก็พูดเสียงเบาๆ เรียบๆ เหมือนไร้อารมณ์ แต่คราวนี้เราทุกคนหูผึ่งไปตามๆ กัน
แสงเล่าว่า ตอนนั้นเธออายุเพียง 12 ปี ยังเด็กมาก ตัวกะเปี๊ยกเดียวและอยู่ที่บ้านของย่า ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นหลังใหญ่ ย่ามีลูก 4 คน คนโตก็คือพ่อของแสง อีก 3 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด อาที่เป็นน้องรองจากพ่อชื่อสวย...ตายไปตั้งแต่แสงอายุได้ 5 ขวบ ส่วนอีกคนหนึ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ เหลือแต่อาสุดใจคนเดียว
ปกติลูกสาวคนเล็กของย่าจะนอนกับแสงที่ห้องชั้นล่างข้างบันได...ทว่าคืนที่เกิดเหตุนั้น อาสุดใจไม่อยู่บ้าน ไปค้างกับเพื่อน แสงก็เลยนอนคนเดียว
กลางดึก...แสงลืมตาตื่น ห้องมืดสนิท ดีนะที่มีแสงจันทร์ส่องมาทางหน้าต่าง...เธอพลิกตัวและหันหน้ามาทางประตูห้อง
ทันใดนั้น เธอเห็นว่าที่ประตูมีเงาของใครคนหนึ่งยืนทะมึนอยู่!
เงานั้นเป็นคนสูงใหญ่ และต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ เพราะแสงเห็นผมที่ยาวและฟูจนเป็นกระเซิง...
"เขายืนที่ประตูค่ะ ยืนเฉยๆ หนูก็จ้องใหญ่เลย คิดว่าใครกันนะมายืนอยู่มืดๆ"
เธอเด็กเกินกว่าจะกลัวว่าเป็นผู้บุกรุก หรือขโมยขโจร ในใจเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? มาทำอะไรอยู่ในห้องนอนนี้?
"หนูก็เลยไปหยิบไฟมาส่อง...พอส่องไปเงาก็จางจนหายไปหมด เห็นแต่ประตู พอปิดไฟฉายเขาก็ยืนตรงที่เดิมไม่ได้ไปไหน หนูเลยรู้ว่านั่นไม่ใช่คน! แล้วหนูก็ขนลุกซ่าไปทั้งตัวขึ้นมาเฉยๆ เลย"
พอถามว่ากลัวมากไหม? แสงตอบว่ากลัวมากอยู่เหมือนกัน คิดอยู่ตั้งนานว่าจะทำยังไงดี? ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่ขออยู่ร่วมห้องกับผีตัวนี้จนตลอดคืนหรอก
แต่จะทำยังไงดีล่ะ?
ผียืนทะมึนขวางประตูอยู่อย่างนั้น! จะปีนหน้าต่างออกไปก็ไม่ได้เพราะติดลูกกรงแน่นหนา...
แสงกดไฟฉาย เปิด ปิด-เปิด ปิด และเธอก็พบว่า ยิ่งทำอย่างนั้นมันก็ยิ่งเพิ่มความสยดสยองเข้าไปใหญ่ จะให้ลุกขึ้นเปิดไฟห้องนอนน่ะเหรอ? สวิตช์ไฟอยู่ตรงประตู...ผีมันยืนบังอยู่เต็มๆ เลยค่ะคุณ!
ในที่สุด แสงก็ลุกขึ้นอย่างกล้าหาญ แล้วเดินตัวตรงแน่วไปที่ประตูนั้น...
เปล่าค่ะ เธอไม่ได้เปิดไฟ แต่ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว เธอถอดกลอนประตูเพื่อจะออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด
"ผียืนอยู่เหมือนเดิม หนูต้องเอามือลอดข้อศอกเขาไปเปิดกลอน เขาก็ก้มลงมองหนู โดยที่ตัวไม่ได้ขยับมาเลย เขาจ้องตาขาว ไม่เห็นตาดำ...จนหนูเปิดประตูออกไปได้...ตอนอยู่ใกล้ๆ เขา หนูขนลุก ผมตั้งเลยค่ะ"
แสงเดินขึ้นบันไดไปเรียกพี่ชายที่นอนอยู่หน้าห้องย่า พี่คนนี้เป็นลูกของอาคนที่มาทำงานในกรุงเทพฯ น่ะค่ะ เขาบวชเพิ่งสึกออกมา ผมยังเกรียนอยู่เลย
พี่ชายแสงเดินลงบันไดมา ชะโงกมองแล้วก็ถอยกลับอย่างเร็ว ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปในห้องพระ และอุ้มพระพุทธรูปจากหิ้งพระลงมา...เงานั้นก็หายไป
คืนนั้นแสงกลับเข้าห้อง ส่วนพี่ชายก็นอนในห้องนี้แหละ โดยวางพระไว้บนโต๊ะข้างประตู และผีก็ไม่มาปรากฏตัวอีก
ส่วนผีตนนั้น พี่ชายจำหน้าได้แม่นว่าคือ "อาสวย" ที่ตายไปเมื่อแสงอายุ 5 ขวบนั่นเอง เธอมาในสภาพของศพ คือห่อผ้าตราสัง มายืนเหมือนคนคลุมผ้าขาว ผมยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง หน้าบวมอืด และมีแต่นัยน์ตาขาว...
ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดก็ไม่รู้สิ?
แสงเล่าจบพวกเราก็เยือกไปทั้งสันหลัง...เธอเห็นผีจริงๆ น่ากลัวมากด้วย และนั่นเป็นครั้งเดียวที่แสงเจอผี...ตั้งแต่นั้นอาสวยไม่ได้มาหาอีกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2550
04 ธันวาคม 2558
ยาดอง ก.ม. 11
"นายหนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพิงขายยาดอง
ผมเป็นเด็กบางเขน บ้านอยู่หลังสถานีรถไฟนี่เอง มีเพื่อนสมัยเรียนหนังสือและตอนวัยรุ่นอยู่หลายคน ส่วนมากบ้านก็อยู่ในละแวกเดียวกัน บ้างก็อยู่แถววัดเสมียนนารี บ้างก็เลยไปแถวชุมชนสวนผัก, ชุมชนภักดี ก.ม.11 โน่นแน่ะ
ไม่มีเพื่อนเป็นลูกคนรวยอย่างบ้านกลางเมืองอะไรนั่นหรอกครับ ส่วนมากอยู่สลัมกันทั้งนั้น....แต่บางท่านอาจสงสัยว่าสลัมมีสภาพเป็นยังไง?
แหม! ลองนึกถึงบ้านเล็กเรือนน้อยที่ปลูกอยู่ในดงน้ำครำ ส่วนมากน่ะหาอะไรก็ได้มาปูพื้น กั้นฝา มุงหลังคาพอคุ้มแดดคุ้มฝนก็ดีถมเถไปแล้วละครับ บ้านไหนแกงอะไร? ผัวเมียคู่ไหนทะเลาะกัน หรือถึงกับลงมือลงไม้โครมครามน่ะ เพื่อนบ้านไม่อยากรู้ก็ต้องรู้จนได้
บ้านหรือกระต๊อบที่ใกล้ชิดติดกัน ขนาดเปรียบเทียบว่า...หลังคาก่ายเกยกันจนไก่แทบจะบินไม่ตกดิน!
เรื่องการพนัน ไม่ว่าไพ่ ไฮโล เล่นหวย หรือยาเสพติดอะไรนี่ ขอที...อย่าเอามาพูดให้สะเทือนใจกันเปล่าๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าตรอกไหนซอยไหนก็มีทั้งนั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
เจ้าหงอยู่สวนผัก เจ้าตี๋อยู่ภักดี! สองคนนี่แหละเพื่อนซี้ของผม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ...เย็นๆ วันเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้จะไปไหนก็โทร.หาเพื่อน ถ้ามันอยู่ก็บึ่งแมงกะไซค์ไปหา โจ้เหล้าโซดากันมั่ง ยาดองมั่ง...ตอนค่ำๆ แถวปากซอยภักดีน่ะมีต้นโพธิ์ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์ตามฟอร์ม ไปขอหวยกันตรึมตามระเบียบ...แต่ผมเห็นแล้วนึกเสียวๆ ชอบกล ไม่รู้เป็นไง
แถวนั้นหรือเรียกกันติดปากมานานว่า ก.ม.11 ร่ำลือว่าผีดุนัก เพราะมีรถชนกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าที่วิภาวดีฯ หรือถนนตัดใหม่ด้านใน เรียกกันซะหรูหราว่า "โลคัลโร้ด" หรือของจริงก็ถนนเลียบทางรถไฟน่ะแหละคุณ
มีทั้งด้านนอกและด้านในที่เลียบชุมชน แต่ว่าเป็นทางตันนะครับ ผมเห็นกลับรถกันมาหลายรายแล้ว
นอกจากรถชนสนั่น มีทั้งบาดเจ็บและล้มตาย เมื่อปีกลายก็มีรถเก๋งหรูหราของหนุ่มสาว 2 คู่เกิดอุบัติเหตุบวกกับปิกอัพ รถแหลกเละเหลือแต่ซากเหล็ก ตายคาที่ 2 ไปตายที่โรงพยาบาลอีก 2 ฝ่ายตำรวจนึกขลังยังไงไม่รู้ เอาซากรถไปตั้งหน้าป้อมตรงปากซอย 18 หน้ากรมการขนส่งทางบก...นัยว่าเตือนใจคนชอบซิ่ง!
อ๋อ...โดนผีหลอกจนเผ่นกระเจิงออกจากป้อมไปตามๆ กัน ตอนดึกน่ะเขาว่ากลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเข้ามาในป้อม ใครจะไปทนอยู่ไหวล่ะ?
ตอนนี้ขนไปทิ้งแล้วครับ! เฮ้อ...
นอกจากตายเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน แล้วยังมีการตายโหงเพราะรถไฟทับตายอีกล่ะ...แหม! รถไฟนี่ไม่ต้องทับหรอกครับ แค่ชนก็ตายแหงๆ อยู่แล้ว ถึงจะมีสถานีย่อยที่หน้าชุมชน แต่พวกรถเร็วรถด่วนไม่จอด นอกจากรถใกล้ๆ อย่างกรุงเทพฯ-บ้านภาชีตอนเย็นๆ
ไหนจะมีการตีรันฟันแทงกันตามระเบียบ ทั้งนักเลงทั้งวัยรุ่น กินเหล้าเข้าไปก็เห็นช้างเท่าหมูได้ง่ายๆ เจ้าหงกับเจ้าตี๋เคยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกวิ่งกระเจิงมาหลายรายแล้ว
เมื่อตะกี้ผมเล่าว่ากินยาดอง? แถวนั้นมีอยู่ 2 เจ้า ตั้งแผงอยู่ค่อนข้างห่างกัน แต่อยู่ด้านทางรถไฟทั้ง 2 แผง 2 เพิง ตกเย็นๆ มีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนกันคึกคักพอสมควร มีตัวยาเด็ดๆ เขียนติดโหลเอาไว้ยั่วใจดีพิลึก
ม้ากระทืบโรง, พลังเสือโคร่ง, โด่ไม่รู้ล้ม, กลิ้งกลางดง...โอ๊ย! พวกผมยังหนุ่มพลังสูงแท้ๆ ยังอดลองมันซะทุกอย่างไม่ได้นี่นา
วันเกิดเหตุ ตอนเย็นผมนึกเปรี้ยวปากอยากกินยาดองขึ้นมาดื้อๆ เลยนัดแนะเพื่อนซี้ทั้งคู่ไปที่ร้านด้านใน ใกล้จะถึงทางตัน อากาศหน้าหนาวกำลังเย็นสบาย...ผมไปถึงก่อนก็เลยสั่งม้ากระทืบโรงมาอุ่นเครื่อง...ร้อนท้องซู่ซ่าอย่าบอกใครเชียว มีคนคุ้นๆ หน้ากันที่ร้านยาดองก็ยิ้มให้กันมั่ง ทักทายกันมั่ง
พี่ชิต เจ้าติ่ง ลุงม้วน...เราเคยเห็นกันบ่อยหน บางคนมาสั่งแค่ก๊งสองก๊งแล้วก็บึ่งรถไปมั่ง เดินไปมั่ง วันนั้นมีลุงม้วนคนเดียวที่ปักหลักคุยกับผมเอิ๊กอ๊าก... แกอายุ 40 เศษๆ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ย่านนั้น หุ่นผอมดำ ผมหงอกประปราย ใครๆ เขาเรียกลุงๆ กันทั้งนั้น ผมก็เลยเรียกลุงมั่ง
รถไฟแล่นฉึกฉักผ่านทางหลังเพิงขายยาดองไป แสงสว่างชักเหลือน้อยลงทุกที!
ลุงม้วนถามถึงเจ้าหงกับเจ้าตี๋ ผมตอบว่าเดี๋ยวคงมาสมทบ คืนนี้ว่าจะไปต่อแถวย่านเกษตร-นวมินทร์กัน...ลุงม้วนก็เตือนว่าขับรถขับราระวังหน่อย เดี๋ยว จะพลาดพลั้งไป...
ว่าแล้วแกก็ขอตัวไปทำมาหากินต่อ...ผมหันไปโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรุ่นน้า พอดีเห็นเจ้าหงบึ่งรถออกมา มีเจ้าตี๋ซ้อนท้าย...นั่งปุ๊บถามปั๊บถามว่าเมื่อตะกี้ผมโบกมือให้ใคร?
"ลุงม้วนไง" ผมตอบ "แกเพิ่งลุกไปหยกๆ พวกมึงก็มา"
"มึงกินเหล้ากับลุงม้วนเรอะ? โอ๊ย! ฮาแตกเลยกู แกเพิ่งโดนรถกระบะชนตายที่หน้าวัดเสมียนฯ เมื่อคืนนี้เอง"
เจ้าหงหัวเราะเยาะ หันไปมองสบตาเจ้าตี๋ แต่ ผมขนหัวลุกซ่า หน้าชาเห่อเหมือนกินว่าน ชี้มือสั่นระริกไปที่แก้วเหล้าเปล่าๆ ที่ยังตั้งอยู่ทนโท่ เล่นเอาเพื่อนทั้งสองอ้าปากค้างหน้าขาวซีดลงทันตาเห็น...
ลุงม้วนตายไปแล้วจริงๆ เพราะแกไม่ได้สวมหมวกนิรภัย แบบเดียวกับพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตรอกซอย หรือถนนเล็กนั่นแหละครับ แถมยังมาร่ำลาและตักเตือนผมด้วย...บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2550
ผมเป็นเด็กบางเขน บ้านอยู่หลังสถานีรถไฟนี่เอง มีเพื่อนสมัยเรียนหนังสือและตอนวัยรุ่นอยู่หลายคน ส่วนมากบ้านก็อยู่ในละแวกเดียวกัน บ้างก็อยู่แถววัดเสมียนนารี บ้างก็เลยไปแถวชุมชนสวนผัก, ชุมชนภักดี ก.ม.11 โน่นแน่ะ
ไม่มีเพื่อนเป็นลูกคนรวยอย่างบ้านกลางเมืองอะไรนั่นหรอกครับ ส่วนมากอยู่สลัมกันทั้งนั้น....แต่บางท่านอาจสงสัยว่าสลัมมีสภาพเป็นยังไง?
แหม! ลองนึกถึงบ้านเล็กเรือนน้อยที่ปลูกอยู่ในดงน้ำครำ ส่วนมากน่ะหาอะไรก็ได้มาปูพื้น กั้นฝา มุงหลังคาพอคุ้มแดดคุ้มฝนก็ดีถมเถไปแล้วละครับ บ้านไหนแกงอะไร? ผัวเมียคู่ไหนทะเลาะกัน หรือถึงกับลงมือลงไม้โครมครามน่ะ เพื่อนบ้านไม่อยากรู้ก็ต้องรู้จนได้
บ้านหรือกระต๊อบที่ใกล้ชิดติดกัน ขนาดเปรียบเทียบว่า...หลังคาก่ายเกยกันจนไก่แทบจะบินไม่ตกดิน!
เรื่องการพนัน ไม่ว่าไพ่ ไฮโล เล่นหวย หรือยาเสพติดอะไรนี่ ขอที...อย่าเอามาพูดให้สะเทือนใจกันเปล่าๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ว่าตรอกไหนซอยไหนก็มีทั้งนั้นแหละครับ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
เจ้าหงอยู่สวนผัก เจ้าตี๋อยู่ภักดี! สองคนนี่แหละเพื่อนซี้ของผม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ...เย็นๆ วันเสาร์อาทิตย์ ไม่รู้จะไปไหนก็โทร.หาเพื่อน ถ้ามันอยู่ก็บึ่งแมงกะไซค์ไปหา โจ้เหล้าโซดากันมั่ง ยาดองมั่ง...ตอนค่ำๆ แถวปากซอยภักดีน่ะมีต้นโพธิ์ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์ตามฟอร์ม ไปขอหวยกันตรึมตามระเบียบ...แต่ผมเห็นแล้วนึกเสียวๆ ชอบกล ไม่รู้เป็นไง
แถวนั้นหรือเรียกกันติดปากมานานว่า ก.ม.11 ร่ำลือว่าผีดุนัก เพราะมีรถชนกันบ่อยครั้ง ไม่ว่าที่วิภาวดีฯ หรือถนนตัดใหม่ด้านใน เรียกกันซะหรูหราว่า "โลคัลโร้ด" หรือของจริงก็ถนนเลียบทางรถไฟน่ะแหละคุณ
มีทั้งด้านนอกและด้านในที่เลียบชุมชน แต่ว่าเป็นทางตันนะครับ ผมเห็นกลับรถกันมาหลายรายแล้ว
นอกจากรถชนสนั่น มีทั้งบาดเจ็บและล้มตาย เมื่อปีกลายก็มีรถเก๋งหรูหราของหนุ่มสาว 2 คู่เกิดอุบัติเหตุบวกกับปิกอัพ รถแหลกเละเหลือแต่ซากเหล็ก ตายคาที่ 2 ไปตายที่โรงพยาบาลอีก 2 ฝ่ายตำรวจนึกขลังยังไงไม่รู้ เอาซากรถไปตั้งหน้าป้อมตรงปากซอย 18 หน้ากรมการขนส่งทางบก...นัยว่าเตือนใจคนชอบซิ่ง!
อ๋อ...โดนผีหลอกจนเผ่นกระเจิงออกจากป้อมไปตามๆ กัน ตอนดึกน่ะเขาว่ากลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งเข้ามาในป้อม ใครจะไปทนอยู่ไหวล่ะ?
ตอนนี้ขนไปทิ้งแล้วครับ! เฮ้อ...
นอกจากตายเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน แล้วยังมีการตายโหงเพราะรถไฟทับตายอีกล่ะ...แหม! รถไฟนี่ไม่ต้องทับหรอกครับ แค่ชนก็ตายแหงๆ อยู่แล้ว ถึงจะมีสถานีย่อยที่หน้าชุมชน แต่พวกรถเร็วรถด่วนไม่จอด นอกจากรถใกล้ๆ อย่างกรุงเทพฯ-บ้านภาชีตอนเย็นๆ
ไหนจะมีการตีรันฟันแทงกันตามระเบียบ ทั้งนักเลงทั้งวัยรุ่น กินเหล้าเข้าไปก็เห็นช้างเท่าหมูได้ง่ายๆ เจ้าหงกับเจ้าตี๋เคยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกวิ่งกระเจิงมาหลายรายแล้ว
เมื่อตะกี้ผมเล่าว่ากินยาดอง? แถวนั้นมีอยู่ 2 เจ้า ตั้งแผงอยู่ค่อนข้างห่างกัน แต่อยู่ด้านทางรถไฟทั้ง 2 แผง 2 เพิง ตกเย็นๆ มีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนกันคึกคักพอสมควร มีตัวยาเด็ดๆ เขียนติดโหลเอาไว้ยั่วใจดีพิลึก
ม้ากระทืบโรง, พลังเสือโคร่ง, โด่ไม่รู้ล้ม, กลิ้งกลางดง...โอ๊ย! พวกผมยังหนุ่มพลังสูงแท้ๆ ยังอดลองมันซะทุกอย่างไม่ได้นี่นา
วันเกิดเหตุ ตอนเย็นผมนึกเปรี้ยวปากอยากกินยาดองขึ้นมาดื้อๆ เลยนัดแนะเพื่อนซี้ทั้งคู่ไปที่ร้านด้านใน ใกล้จะถึงทางตัน อากาศหน้าหนาวกำลังเย็นสบาย...ผมไปถึงก่อนก็เลยสั่งม้ากระทืบโรงมาอุ่นเครื่อง...ร้อนท้องซู่ซ่าอย่าบอกใครเชียว มีคนคุ้นๆ หน้ากันที่ร้านยาดองก็ยิ้มให้กันมั่ง ทักทายกันมั่ง
พี่ชิต เจ้าติ่ง ลุงม้วน...เราเคยเห็นกันบ่อยหน บางคนมาสั่งแค่ก๊งสองก๊งแล้วก็บึ่งรถไปมั่ง เดินไปมั่ง วันนั้นมีลุงม้วนคนเดียวที่ปักหลักคุยกับผมเอิ๊กอ๊าก... แกอายุ 40 เศษๆ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่ย่านนั้น หุ่นผอมดำ ผมหงอกประปราย ใครๆ เขาเรียกลุงๆ กันทั้งนั้น ผมก็เลยเรียกลุงมั่ง
รถไฟแล่นฉึกฉักผ่านทางหลังเพิงขายยาดองไป แสงสว่างชักเหลือน้อยลงทุกที!
ลุงม้วนถามถึงเจ้าหงกับเจ้าตี๋ ผมตอบว่าเดี๋ยวคงมาสมทบ คืนนี้ว่าจะไปต่อแถวย่านเกษตร-นวมินทร์กัน...ลุงม้วนก็เตือนว่าขับรถขับราระวังหน่อย เดี๋ยว จะพลาดพลั้งไป...
ว่าแล้วแกก็ขอตัวไปทำมาหากินต่อ...ผมหันไปโบกไม้โบกมือให้เพื่อนรุ่นน้า พอดีเห็นเจ้าหงบึ่งรถออกมา มีเจ้าตี๋ซ้อนท้าย...นั่งปุ๊บถามปั๊บถามว่าเมื่อตะกี้ผมโบกมือให้ใคร?
"ลุงม้วนไง" ผมตอบ "แกเพิ่งลุกไปหยกๆ พวกมึงก็มา"
"มึงกินเหล้ากับลุงม้วนเรอะ? โอ๊ย! ฮาแตกเลยกู แกเพิ่งโดนรถกระบะชนตายที่หน้าวัดเสมียนฯ เมื่อคืนนี้เอง"
เจ้าหงหัวเราะเยาะ หันไปมองสบตาเจ้าตี๋ แต่ ผมขนหัวลุกซ่า หน้าชาเห่อเหมือนกินว่าน ชี้มือสั่นระริกไปที่แก้วเหล้าเปล่าๆ ที่ยังตั้งอยู่ทนโท่ เล่นเอาเพื่อนทั้งสองอ้าปากค้างหน้าขาวซีดลงทันตาเห็น...
ลุงม้วนตายไปแล้วจริงๆ เพราะแกไม่ได้สวมหมวกนิรภัย แบบเดียวกับพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างตามตรอกซอย หรือถนนเล็กนั่นแหละครับ แถมยังมาร่ำลาและตักเตือนผมด้วย...บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2550
03 ธันวาคม 2558
หมู่บ้านผีชุม
"ใบไผ่" เล่าเรื่องสยองขวัญจากโคราช
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ดิฉันได้ฟังมาจาก "ส้ม" เด็กสาวที่มาเป็นคนรับใช้ที่บ้านค่ะ
ส้มอายุ 19 มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 3 ปีก่อน เธอขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ บอกว่าเป็นลูกคนโต มีน้องสาวน้องชายอีกรวมแล้ว 4 คนเข้าไปโน่น กำลังกินกำลังนอนทั้งนั้น เธอก็อยากให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ เพื่อที่โตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ
บ้านของส้มอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่โคราช พ่อแม่ทำนา พอว่างจากนาก็ไปรับจ้างทำงานต่างๆ บางทีก็ที่โรงงานน้ำปลา ซึ่งอยู่คนละอำเภอ แต่ไม่ไกลจากบ้านส้มนัก
ถนนที่ผ่านหน้าบ้านนั้นเป็นถนนลูกรัง ยังไม่ได้ลาดยาง ถนนเส้นนี้ยาวถึงหมู่บ้านอื่นๆ อีกด้วย เวลาส้มและน้องๆ กับเด็กอื่นๆ ไปโรงเรียนก็จะใช้เส้นทางนี้ พวกเด็กบ้านนอกเดินเก่งทั้งนั้นแหละค่ะ
ส้มเล่าว่า ตอนเช้าเด็กบางคนก็ขี่จักรยานไป บางคนเดินไปเป็นกลุ่มๆ ผ่านป่าละเมาะ ผ่านทางแยกและท้องทุ่งท้องนา สองข้างทางชวนให้เพลิดเพลินเพราะมีคูน้ำ มีกอกก กอหญ้า ให้จับแมลงสวยๆ เด็กผู้หญิงก็จะชอบดอกไม้ป่า แต่ทว่าอย่าทำล้อเล่นไปเชียวนา...
เขาว่าแถวๆ เลยหมู่บ้านไปหน่อยน่ะ ผีดุน่าดู! บางทีก็มีคนโดนหลอกกลางวันแสกๆ ซะด้วยซ้ำ!
ครั้งหนึ่งเพื่อนบ้านของส้มชื่อ "น้าวิ" เดินกลับบ้านคนเดียว หลังจากไปหาญาติที่หมู่บ้านใกล้ๆ น้าวิเล่าว่า พอเลยทางสามแพร่งมาได้นิดเดียว ก็มีใครคนหนึ่งเอามือมาตบบ่าน้าวิอย่างแรง มือหนักมากจนน้าวิแทบทรุด เธอเป็นผู้หญิงตัวนิดเดียวนี่คะ
น้าวิใจหายนึกว่าถูกปล้น หรือไม่ก็กำลังจะโดนข่มขืน...มือหนักๆ นั้นกดบ่าเธอไว้แน่น พร้อมกับเสียงผู้ชายต่ำห้าวพูดช้าๆ เสียงลากยาวน่าขนหัวลุก "จา...ปาย..หนาย..."
น้าวิหันไป แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะกลางแสงแดดเจิดจ้านั้น มีร่างหนึ่งยืนอยู่แขนยาวๆ เอื้อมมากดบ่าเธอ มันเป็นร่างของผู้ชายนุ่งผ้าหยักรั้งตัวนิดเดียว อกมีกล้ามเปลือยเปล่า มันมะเมื่อม...และไม่มีหัว!
ทั้งคู่ยืนประจันกันอยู่อย่างนั้นราวนาทีเต็มๆ เห็นจะได้...น้าวิบอกว่ามันดูนานเหลือเกิน
ทุกสิ่งรอบกายเงียบกริบ เธอจ้องร่างไร้ศีรษะที่ทีแรกดูจะมีเลือดมีเนื้อ และแล้ว...มันก็ค่อยๆ จางลงจนสลายไปในอากาศ...น้าวิขาสั่นและหนักอึ้งไปทั้งตัว แต่เธอก็พยายามเดินทีละก้าว...ทีละก้าว น้ำตาไหลพรากอาบหน้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนมาถึงบ้านเธอก็ล้มพับเป็นลมไปเลย...
ผีหัวขาดที่น้าวิเห็นนี้ คนเฒ่าคนแก่บอกว่านานๆ จะมาที ครั้งสุดท้ายที่ออกมาปรากฏตัวให้คนเห็นก็เมื่อหลายสิบปีก่อน
ตอนนั้น คนรุ่นปู่ย่าตายายของน้าวิก็โดนแบบเดียวกันนี้แหละค่ะ คือจะมาตบบ่าและถามว่าจะไปไหน...สยองขวัญน่าดู!
คาดเดากันว่า ผีตนนั้นเป็นผีคนโบราณ เขาคงจะถูกตัดหัวขาดตายอยู่แถวนี้เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว วิญญาณยังไม่ไปสู่สุคติ และจะเวียนกลับมาหลอกหลอนเมื่อครบวันตาย
ส้มเองก็เคยถูกผีหลอกบริเวณนี้เช่นกัน!
ตอนนั้นส้มอายุแค่ 14 ปี เดินผ่านทางสามแพร่งนี้เพื่อจะกลับบ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาราวบ่าย 4 โมง ยังสว่างอยู่เลย ส้มไม่นึกกลัวอะไร แต่ขณะเดินเพลิน สายตาเธอก็มองไปที่ต้นมะขามต้นใหญ่ร่มครึ้ม...
ใต้เงามะขามมีเด็กเล็กๆ อายุไม่เกิน 3 ขวบนั่งอยู่ตามลำพัง ส้มจำได้ติดตาว่าเด็กน้อยนั้นเป็นเด็กผู้ชาย หัวกลมๆ ตัวผอมบาง นั่งยองๆ หัวก้มลงจนแทบซุกอยู่ระหว่างหัวเข่า...แกกำลังคุ้ยเขี่ยดินเล่นอย่างเหงาๆ
แสงแดดจางหายไป อากาศเย็นยะเยือกเหมือนใกล้จะพลบค่ำ...
ส้มแปลกใจมากที่เด็กขนาดนี้มานั่งอยู่เดียวดายในที่เปลี่ยว ส้มเดินเข้าไปหาและถามว่า "แม่อยู่ไหน ทำไมมานั่งคนเดียว?"
เด็กน้อยเงยหน้ามอง ส้มขนลุกซ่าอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆ ที่เด็กนั่นก็ดูเป็นคนปกติ แต่มีอะไรบางอย่างน่ากลัวบอกไม่ถูก...อาจจะเป็นนัยน์ตาที่เหมือนตาปลาตายนั่นละกระมัง?
ส้มผละจากเจ้าหนู แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวกลับบ้านโดยไม่เหลียวหลัง!
วันต่อมา ส้มเดินผ่านตรงนั้นกับเพื่อนๆ 3-4 คน พอถึงต้นไม้ ส้มก็ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ เธอนึกถึงเด็กน้อยที่เห็นเมื่อวาน
"ได้ยินอะไรมั้ย?" ส้มชะงัก แล้วถามเพื่อนๆ ที่กำลังคุยจ้อ
เพื่อนๆ เงียบเสียงและเงี่ยหูฟัง ทันใดนั้น คนที่ชื่อน้อยก็เอ่ยขึ้นว่า
"ผีน่ะซี! รู้มั้ยว่ามีเด็กมาตายตรงนี้เมื่อเดือนก่อน!"
ฉับพลัน เสียงเด็กก็ร้องไห้จ้า...มันดังมาก ดังเหมือนขยายลำโพงรถขายยา ทุกคนวิ่งกรีดร้องกันกระเจิดกระเจิง
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อน มีเด็กจากหมู่บ้านถัดไปไม่สบาย แม่เด็กอุ้มแกเดินผ่านมาทางนี้ตอนเที่ยง แดดจัด ร้อนอบอ้าวมาก เธอเหนื่อยและลูกก็ตัวหนัก เธอเลยนั่งลงพักที่ใต้ต้นไม้ แล้วเด็กก็ขาดใจตายบนตักเธอ
ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ หรือถึงรู้ก็ไม่ตื่นเต้นอะไร จนกระทั่งเด็กกลุ่มนี้เจอผีหลอกมันจึงโจษจันกันไปทั่ว และช่วงนั้นแทบไม่มีใครอยากเดินผ่านต้นมะขามต้นนั้นเลย
ส้มบอกว่าบ้านนอกผีดุจริงๆ เธอชวนดิฉันไปเที่ยวบ้านเธอ แต่เรื่องนี้ต้องขอคิดดูก่อนละค่ะ เพราะดิฉันเป็นคนกลัวผีขนาดหนักเชียวละ ไม่อยากไปล้อเล่นกับผี...บรื๊อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 3 ธันวาคม 2550
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ดิฉันได้ฟังมาจาก "ส้ม" เด็กสาวที่มาเป็นคนรับใช้ที่บ้านค่ะ
ส้มอายุ 19 มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 3 ปีก่อน เธอขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ บอกว่าเป็นลูกคนโต มีน้องสาวน้องชายอีกรวมแล้ว 4 คนเข้าไปโน่น กำลังกินกำลังนอนทั้งนั้น เธอก็อยากให้น้องๆ ได้เรียนหนังสือ เพื่อที่โตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ
บ้านของส้มอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่โคราช พ่อแม่ทำนา พอว่างจากนาก็ไปรับจ้างทำงานต่างๆ บางทีก็ที่โรงงานน้ำปลา ซึ่งอยู่คนละอำเภอ แต่ไม่ไกลจากบ้านส้มนัก
ถนนที่ผ่านหน้าบ้านนั้นเป็นถนนลูกรัง ยังไม่ได้ลาดยาง ถนนเส้นนี้ยาวถึงหมู่บ้านอื่นๆ อีกด้วย เวลาส้มและน้องๆ กับเด็กอื่นๆ ไปโรงเรียนก็จะใช้เส้นทางนี้ พวกเด็กบ้านนอกเดินเก่งทั้งนั้นแหละค่ะ
ส้มเล่าว่า ตอนเช้าเด็กบางคนก็ขี่จักรยานไป บางคนเดินไปเป็นกลุ่มๆ ผ่านป่าละเมาะ ผ่านทางแยกและท้องทุ่งท้องนา สองข้างทางชวนให้เพลิดเพลินเพราะมีคูน้ำ มีกอกก กอหญ้า ให้จับแมลงสวยๆ เด็กผู้หญิงก็จะชอบดอกไม้ป่า แต่ทว่าอย่าทำล้อเล่นไปเชียวนา...
เขาว่าแถวๆ เลยหมู่บ้านไปหน่อยน่ะ ผีดุน่าดู! บางทีก็มีคนโดนหลอกกลางวันแสกๆ ซะด้วยซ้ำ!
ครั้งหนึ่งเพื่อนบ้านของส้มชื่อ "น้าวิ" เดินกลับบ้านคนเดียว หลังจากไปหาญาติที่หมู่บ้านใกล้ๆ น้าวิเล่าว่า พอเลยทางสามแพร่งมาได้นิดเดียว ก็มีใครคนหนึ่งเอามือมาตบบ่าน้าวิอย่างแรง มือหนักมากจนน้าวิแทบทรุด เธอเป็นผู้หญิงตัวนิดเดียวนี่คะ
น้าวิใจหายนึกว่าถูกปล้น หรือไม่ก็กำลังจะโดนข่มขืน...มือหนักๆ นั้นกดบ่าเธอไว้แน่น พร้อมกับเสียงผู้ชายต่ำห้าวพูดช้าๆ เสียงลากยาวน่าขนหัวลุก "จา...ปาย..หนาย..."
น้าวิหันไป แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะกลางแสงแดดเจิดจ้านั้น มีร่างหนึ่งยืนอยู่แขนยาวๆ เอื้อมมากดบ่าเธอ มันเป็นร่างของผู้ชายนุ่งผ้าหยักรั้งตัวนิดเดียว อกมีกล้ามเปลือยเปล่า มันมะเมื่อม...และไม่มีหัว!
ทั้งคู่ยืนประจันกันอยู่อย่างนั้นราวนาทีเต็มๆ เห็นจะได้...น้าวิบอกว่ามันดูนานเหลือเกิน
ทุกสิ่งรอบกายเงียบกริบ เธอจ้องร่างไร้ศีรษะที่ทีแรกดูจะมีเลือดมีเนื้อ และแล้ว...มันก็ค่อยๆ จางลงจนสลายไปในอากาศ...น้าวิขาสั่นและหนักอึ้งไปทั้งตัว แต่เธอก็พยายามเดินทีละก้าว...ทีละก้าว น้ำตาไหลพรากอาบหน้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนมาถึงบ้านเธอก็ล้มพับเป็นลมไปเลย...
ผีหัวขาดที่น้าวิเห็นนี้ คนเฒ่าคนแก่บอกว่านานๆ จะมาที ครั้งสุดท้ายที่ออกมาปรากฏตัวให้คนเห็นก็เมื่อหลายสิบปีก่อน
ตอนนั้น คนรุ่นปู่ย่าตายายของน้าวิก็โดนแบบเดียวกันนี้แหละค่ะ คือจะมาตบบ่าและถามว่าจะไปไหน...สยองขวัญน่าดู!
คาดเดากันว่า ผีตนนั้นเป็นผีคนโบราณ เขาคงจะถูกตัดหัวขาดตายอยู่แถวนี้เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว วิญญาณยังไม่ไปสู่สุคติ และจะเวียนกลับมาหลอกหลอนเมื่อครบวันตาย
ส้มเองก็เคยถูกผีหลอกบริเวณนี้เช่นกัน!
ตอนนั้นส้มอายุแค่ 14 ปี เดินผ่านทางสามแพร่งนี้เพื่อจะกลับบ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาราวบ่าย 4 โมง ยังสว่างอยู่เลย ส้มไม่นึกกลัวอะไร แต่ขณะเดินเพลิน สายตาเธอก็มองไปที่ต้นมะขามต้นใหญ่ร่มครึ้ม...
ใต้เงามะขามมีเด็กเล็กๆ อายุไม่เกิน 3 ขวบนั่งอยู่ตามลำพัง ส้มจำได้ติดตาว่าเด็กน้อยนั้นเป็นเด็กผู้ชาย หัวกลมๆ ตัวผอมบาง นั่งยองๆ หัวก้มลงจนแทบซุกอยู่ระหว่างหัวเข่า...แกกำลังคุ้ยเขี่ยดินเล่นอย่างเหงาๆ
แสงแดดจางหายไป อากาศเย็นยะเยือกเหมือนใกล้จะพลบค่ำ...
ส้มแปลกใจมากที่เด็กขนาดนี้มานั่งอยู่เดียวดายในที่เปลี่ยว ส้มเดินเข้าไปหาและถามว่า "แม่อยู่ไหน ทำไมมานั่งคนเดียว?"
เด็กน้อยเงยหน้ามอง ส้มขนลุกซ่าอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆ ที่เด็กนั่นก็ดูเป็นคนปกติ แต่มีอะไรบางอย่างน่ากลัวบอกไม่ถูก...อาจจะเป็นนัยน์ตาที่เหมือนตาปลาตายนั่นละกระมัง?
ส้มผละจากเจ้าหนู แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวกลับบ้านโดยไม่เหลียวหลัง!
วันต่อมา ส้มเดินผ่านตรงนั้นกับเพื่อนๆ 3-4 คน พอถึงต้นไม้ ส้มก็ได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ เธอนึกถึงเด็กน้อยที่เห็นเมื่อวาน
"ได้ยินอะไรมั้ย?" ส้มชะงัก แล้วถามเพื่อนๆ ที่กำลังคุยจ้อ
เพื่อนๆ เงียบเสียงและเงี่ยหูฟัง ทันใดนั้น คนที่ชื่อน้อยก็เอ่ยขึ้นว่า
"ผีน่ะซี! รู้มั้ยว่ามีเด็กมาตายตรงนี้เมื่อเดือนก่อน!"
ฉับพลัน เสียงเด็กก็ร้องไห้จ้า...มันดังมาก ดังเหมือนขยายลำโพงรถขายยา ทุกคนวิ่งกรีดร้องกันกระเจิดกระเจิง
เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อราวๆ หนึ่งเดือนก่อน มีเด็กจากหมู่บ้านถัดไปไม่สบาย แม่เด็กอุ้มแกเดินผ่านมาทางนี้ตอนเที่ยง แดดจัด ร้อนอบอ้าวมาก เธอเหนื่อยและลูกก็ตัวหนัก เธอเลยนั่งลงพักที่ใต้ต้นไม้ แล้วเด็กก็ขาดใจตายบนตักเธอ
ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ หรือถึงรู้ก็ไม่ตื่นเต้นอะไร จนกระทั่งเด็กกลุ่มนี้เจอผีหลอกมันจึงโจษจันกันไปทั่ว และช่วงนั้นแทบไม่มีใครอยากเดินผ่านต้นมะขามต้นนั้นเลย
ส้มบอกว่าบ้านนอกผีดุจริงๆ เธอชวนดิฉันไปเที่ยวบ้านเธอ แต่เรื่องนี้ต้องขอคิดดูก่อนละค่ะ เพราะดิฉันเป็นคนกลัวผีขนาดหนักเชียวละ ไม่อยากไปล้อเล่นกับผี...บรื๊อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 3 ธันวาคม 2550
28 พฤศจิกายน 2558
หนุ่มโฮสเตส
"หนุ่มโฮสฯ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเลดี้คลับ
ผมเคยเป็นหนุ่มโฮสเตสมาก่อน แต่เมื่อเรียนจบก็ไปทำงานตามวิชาชีพที่เล่าเรียนมา เหลือแต่ความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกครับ ถ้าไม่ได้ผ่านชีวิตแบบนั้นมาจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องขนหัวลุก! บรื๋อส์...นึกแล้วยังอกสั่นขวัญสยองไม่หายจริงๆ
"หนุ่มโฮสฯ" คือคำสั้นๆ ที่หมายถึงพวกผม คำเต็มก็ "หนุ่มโฮสเตส" เหมือนกับ "สาวโฮสเตส" น่ะแหละครับ หมายถึงผู้มีหน้าที่บริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลูกค้าประทับใจบริการของเรา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ!
"หนุ่ม" คือน้องใหม่รูปหล่อ หุ่นดี ขาวสำอาง นิสัยค่อนข้างขี้อาย บอกว่าเพิ่งจะเคยมาทำงานแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียว! ผมก็ทำหน้าที่รุ่นพี่ปลอบใจว่าเป็นธรรมดา คนเราต้องมีครั้งแรกทุกอย่าง ถ้ามันผ่านไปแล้ว ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเอง
เลดี้คลับของเราค่อนข้างใหญ่โตหรูหรามาก ในย่านรัชดาฯ มีพนักงานตั้ง 50-60 คน หนุ่มเป็นน้องใหม่ที่ผ่านการอบรมจาก "พี่ก้อย" ว่าต้องทำและไม่ทำอะไรบ้าง เช่น ความสะอาดเรียบร้อย สุภาพ ไม่แตะต้องเนื้อตัวแขก เป็นต้น
หนุ่มได้รับเงินวันละ 200 บาท ไม่มีกำหนดวันทำงานหรือหยุดงานตายตัวเหมือนพวกรุ่นเก่า คือมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แต่ได้ค่าดริงก์เท่ากันคือแก้วละ 300 บาท
ลูกค้าเราส่วนมากชอบสูบบุหรี่นะครับ บางคนสูบบุหรี่เกาหลีมวนเล็กๆ ขวาๆ แต่หลายคนก็ชอบบุหรี่มาเลเซียสีคล้ำๆ กลิ่นฉุนมาก ถึงหนุ่มจะสูบบุหรี่แต่ก็เคยบ่นกับผมว่าน่ารำคาญ เพราะมันเหม็นน่าดู แต่ไม่รู้จะทำยังไง?
"อดทน" ผมได้แต่สอนรุ่นน้อง ท่าทางขี้อายแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเกย์ ความรู้สึกค่อนข้างละเอียดอ่อน จนสงสัยว่าเลือกอาชีพผิดแล้วมั้ง?
"เราต้องมานั่งหน้าสลอนให้แขกเลือกเหมือนกับเป็นหมอนวด!"
เขาเคยระบายกับผม แต่ความที่เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน ผมก็เลยบอกหนุ่มไปว่า...คนเราล้วนแต่ถูกคนอื่น "เลือก" ทั้งนั้นแหละ จะไปทำงานที่ไหนก็ต้องมีคนคอยเลือกว่าจะรับหรือเปล่า? หรือไปจีบสาวก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเลือกเราไหม?
"ขนาดสมัครส.ส.ยังต้องยกมือไหว้ปลกๆ ไหว้ชาวบ้านร้านตลาดดะไปหมด ไหว้หมูไหว้หมา ไหว้เสาไฟฟ้าก็ยังมีนี่นา พอได้เป็นส.ส.ก็ต้องวิ่งไปให้เขาเลือกเป็นรัฐมนตรีหรือเลขาฯ ก็ยังดี ยิ่งอยากจะเป็นนายกฯ ยังต้องไปหาคนนั้นคนนี้ ขอให้เขายกมือในสภาฯ หรือพูดตรงๆ ว่าไปขอให้เขาเลือกนั่นเอง"
ผมพูดซะจนหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้ หน้าตาดูสบายใจขึ้น...แต่แล้วก็ไม่วายมีปัญหาจนได้ เมื่อมีแขกสาวๆ ต้องการ "ออฟ" หนุ่มออกไปเที่ยว ไปหาความสุขกันข้างนอกในเวลาทำงาน
ค่าออฟน่ะ 10 ดริงก์เชียวนะครับ เท่ากับห้าพันบาทแน่ะ!
คนร่ำรวยเขาต้องการหาความสุข สาวไฮโซฯ แม่ม่าย หรือสามีบ้างานซะจนลืมให้ความสุข ความอบอุ่นกับภรรยา พวกเธอก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกันนี่นา
พวกคนดังๆ หรือลูกสาวเศรษฐีก็มีครับ มีทั้งเพื่อนชวนเที่ยวกับรักสนุกเอง พกเงินมาเป็นฟ่อนๆ ไม่นับบัตรเครดิตประเภท "รูดปื๊ดๆ" เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่ามีเงินซะอย่าง จะเอาอะไรก็ต้องได้หมด ยกเว้นดาวกับเดือน
หลายๆ คนก็น่ากลัว เพราะมีบอดี้การ์ดมาคุม เราเรียกว่า "พวกชุดดำ" ถึงจะเข้ามาไม่ได้ก็รออยู่ข้างนอก ส่วนมากจะเป็นลานจอดรถ...พ่อแม่ให้เที่ยวตามใจ แต่ก็ส่งคนมาดูแลไม่ให้มีอันตราย มีเรื่อง ตามประสาเศรษฐีร้อยล้านพันล้านแหละครับ
เจ้าหนุ่มไม่ยอมให้แขกออฟ พูดจาบ่ายเบี่ยงว่าต้องไปเรียนตอนเช้าบ้าง ไม่ค่อยสบายบ้าง...คนเรานี่มีนิสัยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุแทบทั้งนั้น ยิ่งออฟไม่ได้ยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น หนุ่มเคยมาเล่าว่าลูกค้าสวยๆ มาเสนอเงินให้ตั้ง 2-3 หมื่นบาทก็มี
"ผมขายบริการนะ ไม่ได้ขายตัว!" หนุ่มยืนยัน ลูกค้าที่อยากออฟอยากฟันหนุ่มมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ บางคนก็ยอมแพ้ บางคนถึงกับอาฆาต แต่บางคนก็มาตื๊อ เสนอเงินล่อใจมากขึ้น แต่หนุ่มก็ใจแข็งมาตลอด
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!
คืนวันพุธแขกน้อย พวกเราได้กันคนละ 2-3 ดริงก์ ยังดีที่ตอนดึกมีสาวบริการมาเที่ยวกลุ่มใหญ่ แยกย้ายกันราว 4-5 โต๊ะ ผมกับหนุ่มก็ถูกเลือกไปเป็นเพื่อนคุย...สาวหนึ่งกุมมือหนุ่มตลอด ทั้งเบียดทั้งซบ สั่งดริงก์ให้ไม่อั้น ชวนไปเที่ยวหรือออฟนั่นแหละครับ แต่หนุ่มก็ปฏิเสธตามเคย จากหมื่นสองหมื่นจนถึงกับ...ห้าหมื่นเอามั้ย?
คิดว่าจะใจอ่อน แต่หนุ่มส่ายหน้าเฉยเลย! เฮ้อ...
พวกเธอยอมแพ้ ส่วนผมน่ะไม่คิดอะไรมากก็เลยออกไปกับแขกอวบอึ๋มคนหนึ่งตอนเกือบตี 2 แล้ว...หนุ่มกับคนอื่นๆ ยังไม่เลิกงาน รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าหนุ่มโดนดักทำร้ายตอนตี 4 ทั้งมือและเท้าประเคนเข้าใส่จนสลบเหมือด ต้องนำส่งโรงพยาบาล...ไปขาดใจตายที่นั่นเอง
ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ สาวไฮโซฯ ที่มีพวกชุดดำมาคุ้มครองนั่นแหละ เธอแค้นหนุ่มที่ไม่ยอมให้ออฟ ความอายที่ทำให้โกรธของผู้หญิงนี่ร้ายกาจจริงๆ พวกเราเดาไม่ผิดแน่ๆ
อีกราว 3-4 คืนต่อมาก็มีคนเห็นหนุ่มนั่งเหงาๆ เศร้าๆ อยู่ที่โต๊ะว่างๆบางคนก็เห็นหนุ่มเดินหายลับไปทางห้องน้ำ ผมเองเคยเห็นแขกโต๊ะใหญ่กำลังเฮๆ กับหนุ่มโฮสฯ มีหนุ่มนั่งหน้าขาวซีดอยู่ที่โต๊ะนั่นด้วย!
ไม่ช้าผมก็ออกจากงานที่นั่น...กลัวว่าวันดีคืนดีเกิดเห็นหนุ่มเข้าจังๆ มีหวังหัวใจล่มสลายน่ะซีครับ! บรื๋อออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550
ผมเคยเป็นหนุ่มโฮสเตสมาก่อน แต่เมื่อเรียนจบก็ไปทำงานตามวิชาชีพที่เล่าเรียนมา เหลือแต่ความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกครับ ถ้าไม่ได้ผ่านชีวิตแบบนั้นมาจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องขนหัวลุก! บรื๋อส์...นึกแล้วยังอกสั่นขวัญสยองไม่หายจริงๆ
"หนุ่มโฮสฯ" คือคำสั้นๆ ที่หมายถึงพวกผม คำเต็มก็ "หนุ่มโฮสเตส" เหมือนกับ "สาวโฮสเตส" น่ะแหละครับ หมายถึงผู้มีหน้าที่บริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลูกค้าประทับใจบริการของเรา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ!
"หนุ่ม" คือน้องใหม่รูปหล่อ หุ่นดี ขาวสำอาง นิสัยค่อนข้างขี้อาย บอกว่าเพิ่งจะเคยมาทำงานแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียว! ผมก็ทำหน้าที่รุ่นพี่ปลอบใจว่าเป็นธรรมดา คนเราต้องมีครั้งแรกทุกอย่าง ถ้ามันผ่านไปแล้ว ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเอง
เลดี้คลับของเราค่อนข้างใหญ่โตหรูหรามาก ในย่านรัชดาฯ มีพนักงานตั้ง 50-60 คน หนุ่มเป็นน้องใหม่ที่ผ่านการอบรมจาก "พี่ก้อย" ว่าต้องทำและไม่ทำอะไรบ้าง เช่น ความสะอาดเรียบร้อย สุภาพ ไม่แตะต้องเนื้อตัวแขก เป็นต้น
หนุ่มได้รับเงินวันละ 200 บาท ไม่มีกำหนดวันทำงานหรือหยุดงานตายตัวเหมือนพวกรุ่นเก่า คือมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แต่ได้ค่าดริงก์เท่ากันคือแก้วละ 300 บาท
ลูกค้าเราส่วนมากชอบสูบบุหรี่นะครับ บางคนสูบบุหรี่เกาหลีมวนเล็กๆ ขวาๆ แต่หลายคนก็ชอบบุหรี่มาเลเซียสีคล้ำๆ กลิ่นฉุนมาก ถึงหนุ่มจะสูบบุหรี่แต่ก็เคยบ่นกับผมว่าน่ารำคาญ เพราะมันเหม็นน่าดู แต่ไม่รู้จะทำยังไง?
"อดทน" ผมได้แต่สอนรุ่นน้อง ท่าทางขี้อายแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเกย์ ความรู้สึกค่อนข้างละเอียดอ่อน จนสงสัยว่าเลือกอาชีพผิดแล้วมั้ง?
"เราต้องมานั่งหน้าสลอนให้แขกเลือกเหมือนกับเป็นหมอนวด!"
เขาเคยระบายกับผม แต่ความที่เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน ผมก็เลยบอกหนุ่มไปว่า...คนเราล้วนแต่ถูกคนอื่น "เลือก" ทั้งนั้นแหละ จะไปทำงานที่ไหนก็ต้องมีคนคอยเลือกว่าจะรับหรือเปล่า? หรือไปจีบสาวก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเลือกเราไหม?
"ขนาดสมัครส.ส.ยังต้องยกมือไหว้ปลกๆ ไหว้ชาวบ้านร้านตลาดดะไปหมด ไหว้หมูไหว้หมา ไหว้เสาไฟฟ้าก็ยังมีนี่นา พอได้เป็นส.ส.ก็ต้องวิ่งไปให้เขาเลือกเป็นรัฐมนตรีหรือเลขาฯ ก็ยังดี ยิ่งอยากจะเป็นนายกฯ ยังต้องไปหาคนนั้นคนนี้ ขอให้เขายกมือในสภาฯ หรือพูดตรงๆ ว่าไปขอให้เขาเลือกนั่นเอง"
ผมพูดซะจนหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้ หน้าตาดูสบายใจขึ้น...แต่แล้วก็ไม่วายมีปัญหาจนได้ เมื่อมีแขกสาวๆ ต้องการ "ออฟ" หนุ่มออกไปเที่ยว ไปหาความสุขกันข้างนอกในเวลาทำงาน
ค่าออฟน่ะ 10 ดริงก์เชียวนะครับ เท่ากับห้าพันบาทแน่ะ!
คนร่ำรวยเขาต้องการหาความสุข สาวไฮโซฯ แม่ม่าย หรือสามีบ้างานซะจนลืมให้ความสุข ความอบอุ่นกับภรรยา พวกเธอก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกันนี่นา
พวกคนดังๆ หรือลูกสาวเศรษฐีก็มีครับ มีทั้งเพื่อนชวนเที่ยวกับรักสนุกเอง พกเงินมาเป็นฟ่อนๆ ไม่นับบัตรเครดิตประเภท "รูดปื๊ดๆ" เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่ามีเงินซะอย่าง จะเอาอะไรก็ต้องได้หมด ยกเว้นดาวกับเดือน
หลายๆ คนก็น่ากลัว เพราะมีบอดี้การ์ดมาคุม เราเรียกว่า "พวกชุดดำ" ถึงจะเข้ามาไม่ได้ก็รออยู่ข้างนอก ส่วนมากจะเป็นลานจอดรถ...พ่อแม่ให้เที่ยวตามใจ แต่ก็ส่งคนมาดูแลไม่ให้มีอันตราย มีเรื่อง ตามประสาเศรษฐีร้อยล้านพันล้านแหละครับ
เจ้าหนุ่มไม่ยอมให้แขกออฟ พูดจาบ่ายเบี่ยงว่าต้องไปเรียนตอนเช้าบ้าง ไม่ค่อยสบายบ้าง...คนเรานี่มีนิสัยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุแทบทั้งนั้น ยิ่งออฟไม่ได้ยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น หนุ่มเคยมาเล่าว่าลูกค้าสวยๆ มาเสนอเงินให้ตั้ง 2-3 หมื่นบาทก็มี
"ผมขายบริการนะ ไม่ได้ขายตัว!" หนุ่มยืนยัน ลูกค้าที่อยากออฟอยากฟันหนุ่มมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ บางคนก็ยอมแพ้ บางคนถึงกับอาฆาต แต่บางคนก็มาตื๊อ เสนอเงินล่อใจมากขึ้น แต่หนุ่มก็ใจแข็งมาตลอด
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!
คืนวันพุธแขกน้อย พวกเราได้กันคนละ 2-3 ดริงก์ ยังดีที่ตอนดึกมีสาวบริการมาเที่ยวกลุ่มใหญ่ แยกย้ายกันราว 4-5 โต๊ะ ผมกับหนุ่มก็ถูกเลือกไปเป็นเพื่อนคุย...สาวหนึ่งกุมมือหนุ่มตลอด ทั้งเบียดทั้งซบ สั่งดริงก์ให้ไม่อั้น ชวนไปเที่ยวหรือออฟนั่นแหละครับ แต่หนุ่มก็ปฏิเสธตามเคย จากหมื่นสองหมื่นจนถึงกับ...ห้าหมื่นเอามั้ย?
คิดว่าจะใจอ่อน แต่หนุ่มส่ายหน้าเฉยเลย! เฮ้อ...
พวกเธอยอมแพ้ ส่วนผมน่ะไม่คิดอะไรมากก็เลยออกไปกับแขกอวบอึ๋มคนหนึ่งตอนเกือบตี 2 แล้ว...หนุ่มกับคนอื่นๆ ยังไม่เลิกงาน รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าหนุ่มโดนดักทำร้ายตอนตี 4 ทั้งมือและเท้าประเคนเข้าใส่จนสลบเหมือด ต้องนำส่งโรงพยาบาล...ไปขาดใจตายที่นั่นเอง
ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ สาวไฮโซฯ ที่มีพวกชุดดำมาคุ้มครองนั่นแหละ เธอแค้นหนุ่มที่ไม่ยอมให้ออฟ ความอายที่ทำให้โกรธของผู้หญิงนี่ร้ายกาจจริงๆ พวกเราเดาไม่ผิดแน่ๆ
อีกราว 3-4 คืนต่อมาก็มีคนเห็นหนุ่มนั่งเหงาๆ เศร้าๆ อยู่ที่โต๊ะว่างๆบางคนก็เห็นหนุ่มเดินหายลับไปทางห้องน้ำ ผมเองเคยเห็นแขกโต๊ะใหญ่กำลังเฮๆ กับหนุ่มโฮสฯ มีหนุ่มนั่งหน้าขาวซีดอยู่ที่โต๊ะนั่นด้วย!
ไม่ช้าผมก็ออกจากงานที่นั่น...กลัวว่าวันดีคืนดีเกิดเห็นหนุ่มเข้าจังๆ มีหวังหัวใจล่มสลายน่ะซีครับ! บรื๋อออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550
27 พฤศจิกายน 2558
โรงพยาบาลสยอง
"ขวัญอ่อน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากโรงพยาบาล
"คำเปิง" เป็นสาวไทยใหญ่อายุ 18 ตัวเตี้ยๆ กลมๆ เหมือนโดเรมอน ช่างพูดช่างคุย ทำงานบ้านได้ดีน่าพอใจ เธอมาเป็นสาวใช้บ้านดิฉันได้ 2 ปีกว่าแล้วค่ะ มีบัตรแรงงานต่างด้าวเรียบร้อย...
เมื่อคืนนี้เธอเล่าเรื่องสยองขวัญให้ดิฉันฟัง!
4 ทุ่มกว่าแล้ว ลูกๆ และสามีดิฉันกินมื้อค่ำอิ่มหมีพีมัน คำเปิงช่วยเก็บโต๊ะ ล้างถ้วยล้างจาน ลมหนาวกลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้ามาทางหน้าต่าง ดิฉันเลยออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินริมสนาม นั่งดูท้องฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกลาด นี่เป็นคืนที่ฟ้าใส ต่างจากคืนอื่นๆ ที่มีเมฆฝนและหมอก...
ปลายฝนต้นหนาวก็แบบนี้ล่ะค่ะ ต้องระวังสุขภาพกันหน่อยนะคะ
ลูกๆ ทำการบ้าน ส่วนสามีก็หอบเอางานมาทำ ดิฉันเลยนั่งชมดาวตามลำพัง...แต่เพียงพักเดียว คำเปิงก็ถือขดยากันยุงเข้ามาหา เธอเห็นดิฉันอยู่มืดๆ ก็เลยกลัวว่ายุงจะมารุมกัด...ดูซิคะ! รู้จักเป็นห่วง มีน้ำใจดีซะด้วย
ดิฉันเรียกให้นั่งด้วยกันถ้ายังไม่ง่วง คำเปิงก็ดีใจรีบรับปากทันที เพราะเธอชอบคุย นี่คะ...และเรื่องที่มักจะคุยให้ดิฉันฟังเสมอๆ ก็คือเรื่องที่บ้านเดิมของเธอ ซึ่งอยู่เลยแม่สอดขึ้นไปไม่ไกลนัก
คำเปิงเล่าถึงลูกเห็บที่ตกลงมาเป็นเม็ดกลมๆ สีขาว พราวไปทั้งหมู่บ้าน...เธอบรรยายความเหน็บหนาว และการก่อไฟที่อบอุ่น คนในครอบครัวจะนั่งรอบกองไฟ เด็กๆ เอาขนมมาปิ้งกินเล่น และฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องเก่าๆ
ใต้ฟ้ากรุงเทพฯ คืนนี้ เธอคุยกับดิฉันเสียงเจื้อยแจ้ว ในที่สุดก็วกมาลงที่เรื่องผีๆ สางๆ จนได้!
คำเปิงไม่ใช่เด็กกลัวผี เหตุผลก็คือ เธอไม่แน่ใจว่าโลกนี้มีผีจริงหรือเปล่า? แต่กระนั้นก็เคยมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เธอหวั่นไหว...
เธอเล่าว่า ตอนนั้นเพิ่งอายุ 14 ปี ยายของเธอไม่สบายต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาลที่อยู่ในเมือง คำเปิงกำลังปิดเทอมพอดี เธอรู้สึกสนุกที่ได้ไปอยู่เฝ้ายายที่โรงพยาบาลนั้น...เวลายายนอนหลับก็มักออกมาเดินเล่นแก้เหงาไปตามเรื่อง บางทีก็ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์เล่น แม่ให้เงินติดกระเป๋าไว้ซื้อขนมกิน คำเปิงมักจะหาเรื่องลงไปซื้อขนมนมเนยอยู่บ่อยๆ
บ่ายวันหนึ่ง เธอออกมากดลิฟต์เล่น วันนั้นผู้คนไม่รู้ไปไหนหมด ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมไข้เลย...คำเปิงกดมาลงที่ชั้น 3 ซึ่งเธอไม่เคยมาเดินชั้นนี้
ที่ชั้น 3 คนเงียบกว่าชั้นอื่นๆ คำเปิงพบตัวเองยืนอย่างเดียวดายอยู่ที่ช่องทางเดินอันยืดยาวและเวิ้งว้าง สองข้างทางเป็นห้องอะไรก็ไม่รู้ ปิดเงียบเชียว...ได้กลิ่นอับๆ ของเลือดและยาต่างๆ น่าขนหัวลุก
คำเปิงละล้าละลังอยู่แถวหน้าลิฟต์ มันเงียบจนน่าวังเวงใจสิ้นดี...
ทันใดนั้นเอง เธอได้ยินเสียงล้อฝืดๆ ของรถเข็นดังเอี๊ยดอ๊าดมาแต่ไกล พอหันไปดูก็พบบุรุษพยาบาลชุดขาวคนหนึ่ง กำลังเข็นเตียงคนไข้ใกล้เข้ามา มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินข้างๆ พอเตียงนั้นมาใกล้ๆ เธอก็เห็นร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง มีผ้าขาวคลุมมิดชิดตลอดตัว
เด็กหญิงตื่นเต้นขึ้นมาวูบหนึ่ง...ศพ! เธอคิด และชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เกิดมายังไม่เคยเห็นคนตายใกล้ๆ แบบนี้เลยนี่นา!
บุรุษพยาบาลกดเรียกลิฟต์...เธอเล่าว่าลิฟต์ที่นี่เป็นแบบเก่าที่มีช่องหน้าต่างกระจกสามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจน
นั่นไง! ลิฟต์เลื่อนขึ้นมาจอดแล้วประตูลิฟต์ก็เปิด บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมรณะเข้าไป มีนางพยาบาลยืนเคียงข้าง ประตูลิฟต์ปิด คำเปิงมองเห็นว่าในแสงนีออนข้าวจ้านั้น บุรุษพยาบาลและนางพยาบาลยืนตรงนิ่ง ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้น...
ฉับพลัน ร่างศพบนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งปิ๊ง!
ผ้าขาวเลื่อนหลุดออกจากหน้า เผยให้เห็นว่าเป็นหญิงสาว หน้าซีดเผือด หลับตาสนิท จมูกมีสำลีอุด ปากดำปี๋ ผมยาวเหยียดตรง
ที่หน้าประหลาดที่สุดคือ ทั้งบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลที่ยืนขนาบข้างนั้นไม่ขยับ หรือมีท่าทีรู้ว่าศพนั้นลุกขึ้นมานั่งเลย ทั้งคู่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย มองตรงราวกับหุ่นยนต์!
คำเปิงเห็นแค่นั้นลิฟต์ก็เลื่อนขึ้น เธอมองตามลิฟต์อย่างงุนงง...
เด็กหญิงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
จากนั้นเธอก็เล่าให้คนอื่นฟังอีก ทุกคนพูดอย่างเดียวกับแม่เปี๊ยบเลย จนในที่สุดคำเปิงเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเห็นอะไรแน่?
"แต่หนูเห็นอย่างนั้นจริงๆ นะคะ" เธอยืนยัน
ฟังแล้วขนลุกเลยนะเนี่ย...อากาศก็เย็นๆ พิกล ดิฉันเลยบอกเธอว่าจะไปนอนแล้วล่ะ ดึกมากเลย คำเปิงดับยากันยุง แล้วเดินเป็นเพื่อนดิฉันเข้าบ้าน ก่อนจะแยกตัวไปที่ห้องนอน
ดิฉันชะโงกเข้าไปดูสามีที่ห้องทำงาน...
ถ้าเขายังไม่นอน ดิฉันก็จะนั่งดูทีวีก่อน...ดึกดื่นแค่ไหนก็จะรอ เพราะไม่กล้านอนคนเดียว...ดิฉันเป็นคนกลัวผีมากๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550
"คำเปิง" เป็นสาวไทยใหญ่อายุ 18 ตัวเตี้ยๆ กลมๆ เหมือนโดเรมอน ช่างพูดช่างคุย ทำงานบ้านได้ดีน่าพอใจ เธอมาเป็นสาวใช้บ้านดิฉันได้ 2 ปีกว่าแล้วค่ะ มีบัตรแรงงานต่างด้าวเรียบร้อย...
เมื่อคืนนี้เธอเล่าเรื่องสยองขวัญให้ดิฉันฟัง!
4 ทุ่มกว่าแล้ว ลูกๆ และสามีดิฉันกินมื้อค่ำอิ่มหมีพีมัน คำเปิงช่วยเก็บโต๊ะ ล้างถ้วยล้างจาน ลมหนาวกลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้ามาทางหน้าต่าง ดิฉันเลยออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินริมสนาม นั่งดูท้องฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกลาด นี่เป็นคืนที่ฟ้าใส ต่างจากคืนอื่นๆ ที่มีเมฆฝนและหมอก...
ปลายฝนต้นหนาวก็แบบนี้ล่ะค่ะ ต้องระวังสุขภาพกันหน่อยนะคะ
ลูกๆ ทำการบ้าน ส่วนสามีก็หอบเอางานมาทำ ดิฉันเลยนั่งชมดาวตามลำพัง...แต่เพียงพักเดียว คำเปิงก็ถือขดยากันยุงเข้ามาหา เธอเห็นดิฉันอยู่มืดๆ ก็เลยกลัวว่ายุงจะมารุมกัด...ดูซิคะ! รู้จักเป็นห่วง มีน้ำใจดีซะด้วย
ดิฉันเรียกให้นั่งด้วยกันถ้ายังไม่ง่วง คำเปิงก็ดีใจรีบรับปากทันที เพราะเธอชอบคุย นี่คะ...และเรื่องที่มักจะคุยให้ดิฉันฟังเสมอๆ ก็คือเรื่องที่บ้านเดิมของเธอ ซึ่งอยู่เลยแม่สอดขึ้นไปไม่ไกลนัก
คำเปิงเล่าถึงลูกเห็บที่ตกลงมาเป็นเม็ดกลมๆ สีขาว พราวไปทั้งหมู่บ้าน...เธอบรรยายความเหน็บหนาว และการก่อไฟที่อบอุ่น คนในครอบครัวจะนั่งรอบกองไฟ เด็กๆ เอาขนมมาปิ้งกินเล่น และฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องเก่าๆ
ใต้ฟ้ากรุงเทพฯ คืนนี้ เธอคุยกับดิฉันเสียงเจื้อยแจ้ว ในที่สุดก็วกมาลงที่เรื่องผีๆ สางๆ จนได้!
คำเปิงไม่ใช่เด็กกลัวผี เหตุผลก็คือ เธอไม่แน่ใจว่าโลกนี้มีผีจริงหรือเปล่า? แต่กระนั้นก็เคยมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เธอหวั่นไหว...
เธอเล่าว่า ตอนนั้นเพิ่งอายุ 14 ปี ยายของเธอไม่สบายต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาลที่อยู่ในเมือง คำเปิงกำลังปิดเทอมพอดี เธอรู้สึกสนุกที่ได้ไปอยู่เฝ้ายายที่โรงพยาบาลนั้น...เวลายายนอนหลับก็มักออกมาเดินเล่นแก้เหงาไปตามเรื่อง บางทีก็ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์เล่น แม่ให้เงินติดกระเป๋าไว้ซื้อขนมกิน คำเปิงมักจะหาเรื่องลงไปซื้อขนมนมเนยอยู่บ่อยๆ
บ่ายวันหนึ่ง เธอออกมากดลิฟต์เล่น วันนั้นผู้คนไม่รู้ไปไหนหมด ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมไข้เลย...คำเปิงกดมาลงที่ชั้น 3 ซึ่งเธอไม่เคยมาเดินชั้นนี้
ที่ชั้น 3 คนเงียบกว่าชั้นอื่นๆ คำเปิงพบตัวเองยืนอย่างเดียวดายอยู่ที่ช่องทางเดินอันยืดยาวและเวิ้งว้าง สองข้างทางเป็นห้องอะไรก็ไม่รู้ ปิดเงียบเชียว...ได้กลิ่นอับๆ ของเลือดและยาต่างๆ น่าขนหัวลุก
คำเปิงละล้าละลังอยู่แถวหน้าลิฟต์ มันเงียบจนน่าวังเวงใจสิ้นดี...
ทันใดนั้นเอง เธอได้ยินเสียงล้อฝืดๆ ของรถเข็นดังเอี๊ยดอ๊าดมาแต่ไกล พอหันไปดูก็พบบุรุษพยาบาลชุดขาวคนหนึ่ง กำลังเข็นเตียงคนไข้ใกล้เข้ามา มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินข้างๆ พอเตียงนั้นมาใกล้ๆ เธอก็เห็นร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง มีผ้าขาวคลุมมิดชิดตลอดตัว
เด็กหญิงตื่นเต้นขึ้นมาวูบหนึ่ง...ศพ! เธอคิด และชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เกิดมายังไม่เคยเห็นคนตายใกล้ๆ แบบนี้เลยนี่นา!
บุรุษพยาบาลกดเรียกลิฟต์...เธอเล่าว่าลิฟต์ที่นี่เป็นแบบเก่าที่มีช่องหน้าต่างกระจกสามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจน
นั่นไง! ลิฟต์เลื่อนขึ้นมาจอดแล้วประตูลิฟต์ก็เปิด บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมรณะเข้าไป มีนางพยาบาลยืนเคียงข้าง ประตูลิฟต์ปิด คำเปิงมองเห็นว่าในแสงนีออนข้าวจ้านั้น บุรุษพยาบาลและนางพยาบาลยืนตรงนิ่ง ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้น...
ฉับพลัน ร่างศพบนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งปิ๊ง!
ผ้าขาวเลื่อนหลุดออกจากหน้า เผยให้เห็นว่าเป็นหญิงสาว หน้าซีดเผือด หลับตาสนิท จมูกมีสำลีอุด ปากดำปี๋ ผมยาวเหยียดตรง
ที่หน้าประหลาดที่สุดคือ ทั้งบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลที่ยืนขนาบข้างนั้นไม่ขยับ หรือมีท่าทีรู้ว่าศพนั้นลุกขึ้นมานั่งเลย ทั้งคู่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย มองตรงราวกับหุ่นยนต์!
คำเปิงเห็นแค่นั้นลิฟต์ก็เลื่อนขึ้น เธอมองตามลิฟต์อย่างงุนงง...
เด็กหญิงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
จากนั้นเธอก็เล่าให้คนอื่นฟังอีก ทุกคนพูดอย่างเดียวกับแม่เปี๊ยบเลย จนในที่สุดคำเปิงเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเห็นอะไรแน่?
"แต่หนูเห็นอย่างนั้นจริงๆ นะคะ" เธอยืนยัน
ฟังแล้วขนลุกเลยนะเนี่ย...อากาศก็เย็นๆ พิกล ดิฉันเลยบอกเธอว่าจะไปนอนแล้วล่ะ ดึกมากเลย คำเปิงดับยากันยุง แล้วเดินเป็นเพื่อนดิฉันเข้าบ้าน ก่อนจะแยกตัวไปที่ห้องนอน
ดิฉันชะโงกเข้าไปดูสามีที่ห้องทำงาน...
ถ้าเขายังไม่นอน ดิฉันก็จะนั่งดูทีวีก่อน...ดึกดื่นแค่ไหนก็จะรอ เพราะไม่กล้านอนคนเดียว...ดิฉันเป็นคนกลัวผีมากๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550
26 พฤศจิกายน 2558
คืนปล่อยผี
"ลูกปลา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากร้านอาหาร
เมื่อปีก่อน ดิฉันเคยทำงานเป็นพนักงานเชียร์เหล้าและเบียร์ อยู่ในร้านอาหารตามชานเมืองมาหลายแห่ง แต่ลูกค้ามักชอบเรียกพวกเราว่า "สาวเชียร์เบียร์" ค่ะ พูดถึงรายได้ก็ไม่เลวนะคะ คือได้รับคืนละ 300 บาท ขายเหล้าก็ได้เปอร์เซ็นต์ขวดละ 20 บาท ถ้าขายเบียร์ได้ขวดละ 3 บาท คนสวยๆ พูดเก่งๆ หรือเจ๊าะแจ๊ะให้ลูกค้าถูกใจก็ขายเบียร์ได้คืนละ 100 กว่าขวดไหนจะค่าทิปอีกล่ะคะ
ส่วนมากจะได้ทิปจากโต๊ะที่เอาเหล้ามาเอง แต่เราก็แวะไปเสนอสินค้าของเรา ชวนพูดคุยบ่อยๆ คือวนไปวนมาให้เขาเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ถึงตอนจบจะไม่ซื้อเหล้าเบียร์ของเราก็อดมีค่าทิปติดมือไม่ได้แทบทุกราย
อ๋อ! เสื้อผ้าเราน่ะทางบริษัทเขาออกแบบให้ดูเซ็กซี่ โดยเฉพาะมียี่ห้อของสินค้าติดหรา สะดุดตาและสะดุดใจค่ะ!
พวกเราที่คิดว่ามีรายได้ประจำอย่างเดียวก็พอ ถือว่าคิดผิดนะคะ เพราะถ้าทำยอดขายไม่เข้าเป้า (แล้วแต่บริษัทจะกำหนดตามทำเล) สิ้นเดือนก็ต้องย้ายไปอยู่ตามร้านที่แขกน้อย ขายไม่ค่อยดี แล้วย้ายพวกที่มือเจ๋งกว่ามาแทนเราเฉยเลย
ไม่สู้ก็ต้องสู้ค่ะ งานนี้น่ะ!
ดิฉันไปเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่ร้านอาหารริมถนน ย่านถนนตัดใหม่เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราเข้าอย่างจังๆ
ร้านนี้ก็เหมือนร้านส่วนมากที่มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม คือชั้นล่างจัดโต๊ะและมีวงดนตรีขับกล่อม แต่แขกส่วนใหญ่มักชอบนั่งโต๊ะกลางแจ้งมากกว่า โดยเฉพาะโต๊ะริมติดกับฟุตปาธจะมีแขกเต็มก่อนเพื่อน
ตอนแรกๆ ก็มีปัญหากับคนร่วมอาชีพนิดหน่อย พวกเธอคิดว่าตัวเองเป็นรุ่นเก๋าต้องได้โอกาสก่อน แต่ดิฉันไม่แคร์! เห็นแขกมานั่งผู้ชายล้วนๆ ก็ปราดเข้าไปหา ยิ้มหวานทำหน้าที่โปรโมตสินค้าทันที...ต้องบอกว่าถึงจะใหม่ที่นี่ แต่เก๋ามาจากที่อื่น! ไม่งั้นจะย้ายมาอยู่ร้านทำเลดีๆ ได้ไงล่ะ? ปัญหาชิงดีชิงเด่นจิ๊บจ๊อยตามประสาผู้หญิงแหละค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะต่อมาก็เข้าใจกันเอง
แหม! ปัญหาขนหัวลุกนี่ซิคะ เรื่องใหญ่มากๆ เลย!
คืนเกิดเหตุเป็นวันศุกร์ต้นเดือนธันวาคม รถราติดขัดน่าดู แม้แต่ย่านนั้นที่เคยถนนโล่งๆ รถแล่นฉิว บางครั้งก็ยังติดยาวเชียว ตามร้านอาหารหรือสถานบริการยิ้มแป้นเพราะเป็นวันรับทรัพย์ ไม่ต้องห่วงว่าฝนจะเทลงมาให้งานกร่อย
เฉพาะด้านนอกที่มีราว 30 โต๊ะน่ะ พอ 2-3 ทุ่มก็เต็มหมดแล้วค่ะ ใครมาตอนนี้ต้องเข้าไปนั่งโต๊ะใน...คืนนั้นดิฉันฝันหวานว่าคงจะขายเหล้าได้ไม่ต่ำกว่า 20 ขวด เผลอๆ อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ เพราะแขกหมุนเวียนนี่คะ ไม่ใช่มานั่งแช่ตั้งแต่หัวค่ำจนร้านปิดซะที่ไหนล่ะ
บางคนก็ไปนวด ไปสปามาก่อน แล้วถึงยกโขยงมาต่อกันที่ร้านอาหาร
บางโต๊ะก็มาอุ่นเครื่องที่นี่ก่อน แล้วถึงไปสปา ไปโรงนวด หรือไม่ก็ไปต่อกันที่บาร์มีสาวโคโยตี้...มีห้องวีไอพีที่เต้นในชุดวันเกิดด้วยค่ะ! โหย...ไม่เคยไปดูหรอก ได้แต่ฟังพวกลูกค้าหนุ่มๆ (และแก่) เขาคุยกันน่ะค่ะ
เอ...ปล่อย "ของ" ไม่คล่องตามคาด จน 4 ทุ่มกว่าเพิ่งขายได้แค่ 5 ขวดเอง ส่วนมากแขกเอาเหล้ามาเอง แต่ชวนคุยเจ๊าะแจ๊ะ เราก็ต้องอ้อล้อ ตื๊อไปเรื่อยๆ ตามฟอร์ม ข้อสำคัญต้องหูตาว่องไวด้วยนะคะ เห็นแขกกลุ่มใหม่เข้ามาเราก็ต้องปราดเข้าไปให้ถึงเร็วที่สุดกว่าคนอื่น
เหล้าก็เยอะ เบียร์ก็แยะ...แต่เราก็ต้องสู้กันในเกม ใครดีใครได้!
ราว 5 ทุ่มเศษ ขายเหล้าได้อีกขวดเดียว พอดีเหลือบเห็นผู้ชาย 2 คนเดินจากลานจอดรถมา ท่าทางบอกว่าอุ่นเครื่องมาจากที่อื่นเรียบร้อย...ที่นี่คงเป็นสถานีสุดท้ายมั้ง?
ดิฉันปราดเข้าไปหาเมื่อพวกเขานั่งโต๊ะว่าง ใกล้ๆ กับประตูเข้าด้านในที่ดนตรีกำลังแผดเสียงออกมา เสนอวิสกี้สุดยอดแต่ราคาย่อมเยา จีบปากจีบคอจ๋อยๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทองด้วยความเคยชิน...บางทียังนึกขำตัวเอง
อากาศยามดึกหนาวเย็นขึ้นทุกที! เสื้อผ้าของเรายิ่งต้องโชว์ส่วนโค้งส่วนเว้าอยู่ด้วย...ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ
หนุ่มใหญ่ทั้ง 2 หันมามองยิ้มๆ คนหนึ่งมองหน้า อีกคนมองอก...จ้องมองราวจะแทงทะลุเข้าไปแน่ะ...ชินชาแล้วค่ะ ลูกค้าคนไหนไม่แยแสซิคะแปลก! แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน คนหนึ่งบอกว่า...อุดหนุนคนสวยซักขวดละกัน!
อารามดีใจทำให้รีบขอบคุณ ผลุนผลันไปเอาสินค้าจากด้านในมาให้ แต่พอกลับมาที่โต๊ะนั้นกลับมีชาย 4 คนนั่งอยู่ก่อน...แขกโต๊ะเก่านี่นา! สงสัยจะรีบร้อนจนไปผิดโต๊ะ ต้องเดินไปหาโต๊ะอื่น...
คุณพระช่วย! ทุกโต๊ะเต็มหมด แขกเก่าทั้งนั้นแหละค่ะ ดิฉันยืนอ้าปากค้าง กอดขวดเหล้าแน่น แข็งใจเดินดูอีก 2 รอบก็ไม่เห็นมีแขกใหม่ 2 คนนั่นเลย...วิ่งไปดูหน้าห้องน้ำชายก็ไม่มีวี่แวว! ต้องเดินเซ่อกลับมาพลางนึกว่าเราคงตาฝาด หรือประสาทหลอนไปเองละมั้ง?
ทันใดนั้น ดิฉันก็หันไปเห็นด้านหลังของชาย 2 คน เพิ่งเดินลงบันไดเตี้ยๆ ไปที่ลานจอดรถ...ขณะจ้องมองงงงันชายคู่นั้นก็หันมาหาช้าๆ เห็นรอยยิ้มแตกซ่านอยู่ในแสงไฟ...ใช่เลยค่ะ! ขยับจะวิ่งตามไปเรียกก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน
ร่างทั้ง 2 จางหายไปดื้อๆ ดิฉันรู้สึกแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ โลกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะล้มฮวบลงสิ้นสติไป...เลิกเป็นสาวขายเหล้าหรือสาวเชียร์เบียร์ตั้งแต่นั้นมาเลยค่ะ! บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
เมื่อปีก่อน ดิฉันเคยทำงานเป็นพนักงานเชียร์เหล้าและเบียร์ อยู่ในร้านอาหารตามชานเมืองมาหลายแห่ง แต่ลูกค้ามักชอบเรียกพวกเราว่า "สาวเชียร์เบียร์" ค่ะ พูดถึงรายได้ก็ไม่เลวนะคะ คือได้รับคืนละ 300 บาท ขายเหล้าก็ได้เปอร์เซ็นต์ขวดละ 20 บาท ถ้าขายเบียร์ได้ขวดละ 3 บาท คนสวยๆ พูดเก่งๆ หรือเจ๊าะแจ๊ะให้ลูกค้าถูกใจก็ขายเบียร์ได้คืนละ 100 กว่าขวดไหนจะค่าทิปอีกล่ะคะ
ส่วนมากจะได้ทิปจากโต๊ะที่เอาเหล้ามาเอง แต่เราก็แวะไปเสนอสินค้าของเรา ชวนพูดคุยบ่อยๆ คือวนไปวนมาให้เขาเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ถึงตอนจบจะไม่ซื้อเหล้าเบียร์ของเราก็อดมีค่าทิปติดมือไม่ได้แทบทุกราย
อ๋อ! เสื้อผ้าเราน่ะทางบริษัทเขาออกแบบให้ดูเซ็กซี่ โดยเฉพาะมียี่ห้อของสินค้าติดหรา สะดุดตาและสะดุดใจค่ะ!
พวกเราที่คิดว่ามีรายได้ประจำอย่างเดียวก็พอ ถือว่าคิดผิดนะคะ เพราะถ้าทำยอดขายไม่เข้าเป้า (แล้วแต่บริษัทจะกำหนดตามทำเล) สิ้นเดือนก็ต้องย้ายไปอยู่ตามร้านที่แขกน้อย ขายไม่ค่อยดี แล้วย้ายพวกที่มือเจ๋งกว่ามาแทนเราเฉยเลย
ไม่สู้ก็ต้องสู้ค่ะ งานนี้น่ะ!
ดิฉันไปเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่ร้านอาหารริมถนน ย่านถนนตัดใหม่เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราเข้าอย่างจังๆ
ร้านนี้ก็เหมือนร้านส่วนมากที่มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม คือชั้นล่างจัดโต๊ะและมีวงดนตรีขับกล่อม แต่แขกส่วนใหญ่มักชอบนั่งโต๊ะกลางแจ้งมากกว่า โดยเฉพาะโต๊ะริมติดกับฟุตปาธจะมีแขกเต็มก่อนเพื่อน
ตอนแรกๆ ก็มีปัญหากับคนร่วมอาชีพนิดหน่อย พวกเธอคิดว่าตัวเองเป็นรุ่นเก๋าต้องได้โอกาสก่อน แต่ดิฉันไม่แคร์! เห็นแขกมานั่งผู้ชายล้วนๆ ก็ปราดเข้าไปหา ยิ้มหวานทำหน้าที่โปรโมตสินค้าทันที...ต้องบอกว่าถึงจะใหม่ที่นี่ แต่เก๋ามาจากที่อื่น! ไม่งั้นจะย้ายมาอยู่ร้านทำเลดีๆ ได้ไงล่ะ? ปัญหาชิงดีชิงเด่นจิ๊บจ๊อยตามประสาผู้หญิงแหละค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะต่อมาก็เข้าใจกันเอง
แหม! ปัญหาขนหัวลุกนี่ซิคะ เรื่องใหญ่มากๆ เลย!
คืนเกิดเหตุเป็นวันศุกร์ต้นเดือนธันวาคม รถราติดขัดน่าดู แม้แต่ย่านนั้นที่เคยถนนโล่งๆ รถแล่นฉิว บางครั้งก็ยังติดยาวเชียว ตามร้านอาหารหรือสถานบริการยิ้มแป้นเพราะเป็นวันรับทรัพย์ ไม่ต้องห่วงว่าฝนจะเทลงมาให้งานกร่อย
เฉพาะด้านนอกที่มีราว 30 โต๊ะน่ะ พอ 2-3 ทุ่มก็เต็มหมดแล้วค่ะ ใครมาตอนนี้ต้องเข้าไปนั่งโต๊ะใน...คืนนั้นดิฉันฝันหวานว่าคงจะขายเหล้าได้ไม่ต่ำกว่า 20 ขวด เผลอๆ อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ เพราะแขกหมุนเวียนนี่คะ ไม่ใช่มานั่งแช่ตั้งแต่หัวค่ำจนร้านปิดซะที่ไหนล่ะ
บางคนก็ไปนวด ไปสปามาก่อน แล้วถึงยกโขยงมาต่อกันที่ร้านอาหาร
บางโต๊ะก็มาอุ่นเครื่องที่นี่ก่อน แล้วถึงไปสปา ไปโรงนวด หรือไม่ก็ไปต่อกันที่บาร์มีสาวโคโยตี้...มีห้องวีไอพีที่เต้นในชุดวันเกิดด้วยค่ะ! โหย...ไม่เคยไปดูหรอก ได้แต่ฟังพวกลูกค้าหนุ่มๆ (และแก่) เขาคุยกันน่ะค่ะ
เอ...ปล่อย "ของ" ไม่คล่องตามคาด จน 4 ทุ่มกว่าเพิ่งขายได้แค่ 5 ขวดเอง ส่วนมากแขกเอาเหล้ามาเอง แต่ชวนคุยเจ๊าะแจ๊ะ เราก็ต้องอ้อล้อ ตื๊อไปเรื่อยๆ ตามฟอร์ม ข้อสำคัญต้องหูตาว่องไวด้วยนะคะ เห็นแขกกลุ่มใหม่เข้ามาเราก็ต้องปราดเข้าไปให้ถึงเร็วที่สุดกว่าคนอื่น
เหล้าก็เยอะ เบียร์ก็แยะ...แต่เราก็ต้องสู้กันในเกม ใครดีใครได้!
ราว 5 ทุ่มเศษ ขายเหล้าได้อีกขวดเดียว พอดีเหลือบเห็นผู้ชาย 2 คนเดินจากลานจอดรถมา ท่าทางบอกว่าอุ่นเครื่องมาจากที่อื่นเรียบร้อย...ที่นี่คงเป็นสถานีสุดท้ายมั้ง?
ดิฉันปราดเข้าไปหาเมื่อพวกเขานั่งโต๊ะว่าง ใกล้ๆ กับประตูเข้าด้านในที่ดนตรีกำลังแผดเสียงออกมา เสนอวิสกี้สุดยอดแต่ราคาย่อมเยา จีบปากจีบคอจ๋อยๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทองด้วยความเคยชิน...บางทียังนึกขำตัวเอง
อากาศยามดึกหนาวเย็นขึ้นทุกที! เสื้อผ้าของเรายิ่งต้องโชว์ส่วนโค้งส่วนเว้าอยู่ด้วย...ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ
หนุ่มใหญ่ทั้ง 2 หันมามองยิ้มๆ คนหนึ่งมองหน้า อีกคนมองอก...จ้องมองราวจะแทงทะลุเข้าไปแน่ะ...ชินชาแล้วค่ะ ลูกค้าคนไหนไม่แยแสซิคะแปลก! แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน คนหนึ่งบอกว่า...อุดหนุนคนสวยซักขวดละกัน!
อารามดีใจทำให้รีบขอบคุณ ผลุนผลันไปเอาสินค้าจากด้านในมาให้ แต่พอกลับมาที่โต๊ะนั้นกลับมีชาย 4 คนนั่งอยู่ก่อน...แขกโต๊ะเก่านี่นา! สงสัยจะรีบร้อนจนไปผิดโต๊ะ ต้องเดินไปหาโต๊ะอื่น...
คุณพระช่วย! ทุกโต๊ะเต็มหมด แขกเก่าทั้งนั้นแหละค่ะ ดิฉันยืนอ้าปากค้าง กอดขวดเหล้าแน่น แข็งใจเดินดูอีก 2 รอบก็ไม่เห็นมีแขกใหม่ 2 คนนั่นเลย...วิ่งไปดูหน้าห้องน้ำชายก็ไม่มีวี่แวว! ต้องเดินเซ่อกลับมาพลางนึกว่าเราคงตาฝาด หรือประสาทหลอนไปเองละมั้ง?
ทันใดนั้น ดิฉันก็หันไปเห็นด้านหลังของชาย 2 คน เพิ่งเดินลงบันไดเตี้ยๆ ไปที่ลานจอดรถ...ขณะจ้องมองงงงันชายคู่นั้นก็หันมาหาช้าๆ เห็นรอยยิ้มแตกซ่านอยู่ในแสงไฟ...ใช่เลยค่ะ! ขยับจะวิ่งตามไปเรียกก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน
ร่างทั้ง 2 จางหายไปดื้อๆ ดิฉันรู้สึกแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ โลกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะล้มฮวบลงสิ้นสติไป...เลิกเป็นสาวขายเหล้าหรือสาวเชียร์เบียร์ตั้งแต่นั้นมาเลยค่ะ! บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)