"ดำปลอด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทุ่งพระเมรุ
ผมกล้าสาบานได้เลยว่า...ผมเป็นคนไม่กลัวผี!!
ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อว่าผีมีจริงนะครับ อย่าเข้าใจผิด! รับรองว่าเชื่อเต็มร้อยว่าโลกเรามีภูตผีปีศาจอยู่จริงๆ เหมือนมีมนุษย์มากมายแทบจะล้นโลกอยู่รอมร่อ มีสัตว์หลากหลายสายพันธุ์ สารพัดชนิด คละระคนปนเปกันอยู่คลั่กๆ
ในเมื่อมีคน มีสัตว์ แล้วทำไมจะมีผีไม่ได้ล่ะครับ? เมื่อคนและสัตว์ตายไปก็ต้องเป็นผีวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง จริงมั้ยครับ?
แล้วทำไมผมไม่กลัวผี?
โธ่! ผีก็คือสิ่งที่ตายไปแล้ว ไม่มีลมหายใจซะอย่างจะต้องไปกลัวให้โง่ทำไมกัน?
คนที่เล่าว่าโดนผีหลอกจนร้องจ้า วิ่งหนีกระเซอะกระเซิง หรือแทบจะจับไข้หัวโกร๋นก็เพราะขวัญอ่อนแท้ๆ ถ้าเราไม่กลัวซะอย่าง อยากรู้นักว่าผีจะมาทำอะไรได้? อยากโผล่มาให้เห็นเรอะ...เชิญเลย! อยากมาร้องไห้คร่ำครวญนักหรือ? มาเถอะ...มาร้องให้พอ แต่ถ้ารำคาญนักก็ไล่ตะเพิดไปซะ!
เออ...ว่าแต่ทำไมถึงชอบเล่ากันว่าได้ยินเสียงผีร้องไห้ สะอึกสะอื้น ตามตรอกซอยเปลี่ยวๆ มีพงหญ้ารกครึ้ม หรืออย่างน้อยก็ที่นอกบ้าน แถวประตูหน้าต่างตอนค่ำคืน...ไม่ยักมีใครได้ยินเสียงผีหัวเราะ?
คนร้องไห้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว แล้วจะไปกลัวผีร้องไห้ทำไม จริงมั้ยครับ?
คืนนั้น ผมไปเจอผีร้องไห้เข้าอย่างจังๆ
ทุ่งพระเมรุยามดึกแสนจะเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวสิ้นดี แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างเยือกเย็น จิ้งหรีดกรีดปีกเสียงระงม ยอดมะขามกระซิบกระซาบพึมพำความลับต่อกัน...นานๆ จะมีรถแล่นผ่านไปมาสักคันแถวหน้าศาล ส่วนหน้าธรรมศาสตร์ที่เคยคึกคัก มีผู้คนทั้งหญิงและชายลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าหายหน้าหายตาไปไหนหมด...
หรือว่าดึกดื่นเกินไป จนพวกนักเที่ยวหมดเรี่ยวหมดแรง พวกสาวๆ ผีเสื้อราตรีที่คอยโฉบเข้าหาหน้าต่างรถยนต์ที่แวะจอด หรือชะลอเข้ามาหาคนถูกใจ...ก็เลยทยอยกันกลับรังนอนจนหมดสิ้น
ผมเดินทอดน่องจากหน้าโรงละครแห่งชาติไปเรื่อยๆ จนเสียงนั้นดังมากระทบหู!
เสียงสะอึกสะอื้นที่ล่องลอยมาตามลม...ตอนแรกผมนึกว่าเป็นเสียงยอดมะขามคร่ำครวญซะอีกแน่ะ แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นจนแน่ใจว่าไม่ใช่เสียงยอดไม้กับสายลมแน่ๆ แต่เป็นเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังสะอึกสะอื้น คร่ำครวญหวนไห้ด้วยความทุกข์โศกเหมือนหัวใจกำลังแตกสลายลง...
แล้วผมก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา!
ชายหญิงกลุ่มใหญ่นับสิบๆ กำลังนั่งทอดอาลัยตายอยาก บ้างก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นหญ้า...แสงไฟสีเหลืองรัวส่องให้เห็นภาพที่น่าสยดสยองสิ้นดี
ทุกๆ ร่างมีเลือดอาบแดงฉาน ใบหน้าเหวอะหวะก็มี แขนขาขาดก็มี บ้างก็มีแค่ท่อนบน เห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง...ราวกับบริเวณนั้นกลายเป็นขุมนรกสุดโหด คนขวัญอ่อนมาเห็นเข้ามีหวังช็อกตายคาที่ได้อย่างง่ายดาย
ผมเดินเข้าไปหาช้าๆ เหมือนถูกมนต์สะกด!
ภูตผีที่เคยเป็นมนุษย์ผู้มีลมหายใจ เคยสุขเคยทุกข์ เคยหัวเราะและร้องไห้มาก่อนเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่ความทุกข์โศกเดือดร้อนรุนแรงอะไรหนอ ที่ทำให้พวกเขาต้องปรากฏร่างในสภาพก่อนสิ้นลมปราณให้ผมได้พบเห็นอีกครั้ง...
ฉับพลัน เสียงพร่ำรำพันปนสะอื้นก็ดังแว่วมากระทบหู เพื่อหลั่งระบายความทุกข์ร้อนแสนสาหัสให้ผมฟัง!
"พวกเราเคยเป็นคน เคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะทุกข์สุขแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เราทนไม่ไหวอีกแล้ว! มันกลั่นแกล้งพวกเรา มันรังแกพวกเราเหลือเกิน..."
หนุ่มๆ อกพรุนด้วยรูกระสุนปืนเล่าว่าพวกตนถูกยิงตายกลางท้องสนามหลวง
ตาแก่ 4-5 คนบอกว่าถูกรถชนตาย กระเด็นขึ้นมาถึงโคนมะขาม
หญิงชรา 2-3 คนเล่าว่าแกเดินอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายที่นี่เอง!
"เราสิงสู่อยู่กันที่ที่มาช้านานแล้ว...มองดูทุ่งพระเมรุเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จากความเปล่าเปลี่ยวมาเป็นมุมมืดสำหรับหนุ่มสาวพร่ำพลอดกัน คนจรจัดมาทิ้งตัวนอนด้วยความอ่อนล้า บางคนก็มาเช่าเสื่อนอนตากน้ำค้าง ชมดาว พวกโสเภณีสาวๆ ก็ถูกแมงดาคุมมาหาเหยื่อที่โคนมะขาม ขึ้นรถไปโรงแรมกับแขก แมงดาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปคุม..."
อากาศยามดึกเย็นยะเยือก ผมเลยนั่งกอดเข่ามองดูเหล่าภูตผีที่กำลังร่ำไห้ฟายน้ำตา รู้สึกเวทนากึ่งรำคาญ
"อย่าบอกนะว่าพวกแกไม่ได้คอยหลอกหลอนผู้คนให้เขาขวัญหนีดีฝ่อไปน่ะ?"
ตาแก่ผมขาวทำตาพองจนแทบถลนออกมานอกเบ้า จมูกบานพะเยิบพะยาบด้วยความขุ่นเคือง แต่เมื่อเห็นผมจ้องตอบอย่างไม่พรั่นพรึงก็หลบตา กลืนน้ำลาย ก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ แทบไม่ได้ยิน
"ก็หลอก...แหม! เป็นผีมันก็ต้องหลอกคนซีคู้น! ไม่งั้นจะเป็นผีไปหาหอกอะไรล่ะ? ถามพิลึก"
"แล้วไง?" ผมสงสัยจริงๆ ด้วย "เดี๋ยวนี้ไม่มีใครโผล่มาให้หลอกหลอนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ร้องห่มร้องไห้กันอยู่นี่น่ะ?"
พวกผีกลุ่มใหญ่มองสบตากันก่อนจะมีเสียงตอบเศร้าๆ
"ก็พอมี...แต่พวกเราจะย้ายจากที่นี่ เร่ร่อนไปหาที่อยู่ใหม่ตามยถากรรมแล้ว! โธ่...ตอนค่ำๆ ไม่รู้ใครต่อใครมันยกโขยงมาตะโกนปาวๆ แทบแก้วหูแตกอยู่ทุกคืน...ไอ้เวรพวกนั้นมันหลอกเก่งจนพวกเราขนหัวลุก ใครจะไปทนไหวล่ะ! โธ่..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น