21 ธันวาคม 2558

รอริมซอย

"ลุงพัฒน์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง

ซอยบ้านผมก็คงเหมือนกับตรอกซอยอื่นๆ ทั่วไปในกรุงเทพฯ!

กลางวันมักจะมีรถราขวักไขว่ ผู้คนคึกคัก โดยเฉพาะตอนเย็นและค่ำอันเป็นเวลาเลิกงาน บ้างก็แวะหาอาหารใส่ปากใส่ท้องที่ร้านรวงหรือแผงลอย บ้างก็แวะซื้อผัดซื้อแกงใส่ถุงไปกินกับครอบครัว ไม่ต้องเสียเวลาซื้อกับข้าว ทำกับข้าวให้ยุ่งยากเปล่าๆ

ตกค่ำก็เปิดทีวีดูข่าว ดูหนังดูละครหรือรายการต่างๆ ตามใจชอบ ราว 4-5 ทุ่มก็เข้านอนเพื่อเอาแรงไว้สู้กับงานในวันรุ่งขึ้นต่อไป

บ้านช่องส่วนใหญ่ปิดเงียบตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้วครับ บ้านใครบ้านมัน น้อยนักที่จะมีเวลา หรือหาโอกาสพบปะพูดคุยกับบ้านใกล้เรือนเคียง เป็นแบบฉบับของชาวกรุงคล้ายๆ กันทั้งโลก มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยกันทั้งนั้น

เลยสองยามไปแล้ว ตรอกซอยส่วนใหญ่มักตกอยู่ในความเงียบเชียบ อ้างว้างและวังเวงอยู่ในแสงไฟเยือกเย็นสิ้นดี!

ผู้คนเงียบหาย รถราแทบจะไม่มี ยกเว้นแต่ที่จอดดับไฟมืดอยู่ข้างกำแพงรั้ว เรียงรายกันเป็นตับเพราะในบ้านไม่มีที่จอดแล้ว...ส่วนมากมักจะเป็นรถเก๋งหรือ รถกระบะเก่าๆ ที่เจ้าของคงจะปลงใจได้ ถ้าเกิดรุ่งเช้าไม่ปรากฏร่องรอยของรถเจ้ากรรมกันนั้นเสียแล้ว

คนเราก็เหมือนเข็มนาฬิกาที่เดินไม่หยุด วนเวียนซ้ำซากแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กิน, นอน, ทำงาน, พักผ่อน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นความเคยชิน ใกล้จะถึงจุดจบเข้าไปทุกที เหมือนนาฬิกาที่ต้องหมดสภาพเข้าจนได้

หัวใจอ่อนล้า เข็มไม่กระดิก ในที่สุดก็หยุดเต้น...หยุดเดิน!

รถที่จอดนิ่งอยู่ข้างรั้วในซอยบ้านผมก็เช่นกัน...ครั้งหนึ่งเคยเป็นรถใหม่ป้ายแดงเวลาผ่านไปก็มักเปลี่ยนมือ ส่วนมากจะซื้อ-ขายกันต่อๆ มาจากญาติมิตรบ้าง จากเต็นท์รถมือสอง จนปาเข้าไป 10-15 ปี คนที่ซื้อมาต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก ขายต่อจนขายไม่ได้ ถ้าไม่เอามาปลูกสะระ แหน่ก็ต้องขายเป็นเศษเหล็กเท่านั้นเอง

ผมเลิกงานตอนเย็นย่ำ โหนรถเมล์มาลงใกล้ๆ ปากซอย เดินเข้าบ้านตอนค่ำคืนระยะทางราว 200 เมตร วินมอเตอร์ไซค์อยู่ถัดไปทางหน้าตลาด ค่ารถตุ๊กตุ๊กก็ไม่ต่ำกว่า 20 บาท ถือโอกาสเดินทอดน่องออกกำลังดีกว่า ไม่เกิน 15 นาทีก็มาถึงบ้านเรียบร้อย

ปากซอยยังคึกคัก สว่างไสว มีร้านขายยา ขายสุราอาหารและร้านซ่อมจักรยาน...คุณยายวัยใกล้ 80 ปีสองคนพี่น้องช่วยกันเข็นรถมาติดเตาขายผัดไทย ที่ปากทาง มีโต๊ะแบบพับได้ตัวเดียวไว้รับรองลูกค้า ส่วนมากเป็นขาประจำที่ มักซื้อใส่ถุงไปกินที่บ้าน...คนพี่ผัดก๋วยเตี๋ยว คนน้องคอยห่อใส่ใบตองรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์

ผมเดินผ่านแกไป...รถเข็นขายลูกชิ้นปิ้ง เนื้อย่างกับส้มตำเก็บของไปตั้งแต่ตอนเย็น...บอกตัวเองว่าอีกไม่ช้าหญิงชราคู่นั้นก็คงพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้ว...

เข้าซอยไปราว 30 เมตร ไม่มีความคึกคักพลุกพล่านเหมือนก้าวเข้าไปในโลกใหม่อันเงียบเชียบและเยือกเย็น...รถเก่าๆ เริ่มจอดเรียงรายกันที่นั่น!

ส่วนมากเป็นรถญี่ปุ่นสีซีดๆ กับทึมๆ ชวนให้หดหู่หม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก...บางคันมีรอยครูดข้างรถ บางคันกันชนโค้งงอ บางคันบังโคลนยุบ บางคันกระจกส่องหน้าแตกหัก...มีคันหนึ่งติดราคาขาย 45,000 บาทตั้งเดือนสองเดือนกว่าจะขายได้

บ้านไม้เก่าๆ ปลูกติดรั้วระแนงหรือสังกะสี บางบ้านอย่าว่าแต่จะเอารถยนต์เข้าไปจอดเลยครับ แค่มอเตอร์ไซค์ก็ทำท่าว่าจะไม่มีที่จอดซะด้วยซ้ำไป

เข้าไปเกือบ 100 เมตร มีร้านกาแฟและอาหารตามสั่ง ลูกค้านั่งซดเบียร์ในแสงไฟหน้าร้าน...ถัดไปก็มีรถเก่าๆ จอดเรียงรายริมรั้วบ้านด้านซ้าย แม้ว่าจะไม่ใช่รถของบ้านนั้นๆ แต่ก็ไม่อาจจะห้ามปรามใครได้เพราะถือว่าเป็นทางสาธารณะ

ดูเผินๆ รถเก่าคร่ำเหล่านั้นช่างเหมือนสัตว์ร้ายที่หมอบตะคุ่มอยู่ในเงามืด ผมเห็นภาพแปลกๆ ระคนน่ากลัวพอดูมาหลายครั้งจนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว...

คืนหนึ่ง ก่อนจะถึงร้านกาแฟราว 20 เมตรก็เหลือบไปเห็นรถกระบะคันหนึ่งดูสะดุดตาชอบกล หลังพวงมาลัยมีชายนั่งแหงนหน้าตัวแข็งทื่อ...คงจะเมามากจนลงจากรถไม่ไหว ครั้นก้าวเข้าไปดูก็เป็นจังหวะเดียวกับร่างนั้นล้มฮวบเข้ามาหาในบัดดล!

ผมร้องเฮ้ย! ผงะหน้าทันที ร่างนั้นลุกพรวดพราดมายื่นหน้ามองก่อนจะยิงฟันขาว เหมือนกับจำผมได้ว่าอยู่ซอยเดียวกัน...เขานั่งหลับจนเสียหลักล้มตึงลงมาพอดี

ครั้งต่อมา เลยร้านกาแฟไปไม่ไกล รถเก๋งสีทึบมีภาพเคลื่อนไหวชุลมุนอยู่ในที่นั่งตอนหน้า นึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว...เพ่งมองอีกครั้งจึงถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นหนุ่มสาวกำลังกอดจูบกันขวักไขว่... รีบเดินผละห่างพลางนึกค่อนอยู่ว่าน่าจะติดฟิล์มกันแสงเข้มๆ กว่านี้ซักหน่อยนะ! ไอ้หนุ่มเอ๊ย...

กระทั่งคืนหนึ่งก็เห็นภาพสยองเข้าอย่างถนัดตา!

ใกล้จะถึงบ้านแล้ว แสงจากเสาไฟฟ้าส่องลงมาตามทางเดินเปล่าเปลี่ยว บ้านช่องสองข้างปิดเงียบ รถราด้านซ้ายมือจอดตะคุ่มๆ เรียงรายตามเดิม...ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโอบกอดกันอย่างมีความสุข...เกือบจะออกเดินต่อไปแล้วแต่คนทั้งคู่หันขวับ มาพอดี

ชายหญิงนั่งเคียงคู่กัน ใบหน้าเหวอะหวะ... เลือดแดงฉานไหลย้อยจากหน้าผากลงมาช้าๆ นัยน์ตาแดงฉานไม่ผิดกับเปลวไฟจ้องเขม็ง... ผมยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป หัวใจคงจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาพร่าพรายเห็นแต่สีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายราวสายรุ้ง... นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง แต่ภาพของหนุ่มสาวคู่นั้นจางหาย...สลายไปต่อหน้าต่อตา

ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผมลงจากรถเมล์ ก็จะยืนเตร่ดูคุณยายสองคนช่วยกันขายผัดไทย รอจนได้ตุ๊กตุ๊กว่างนั่งเข้าซอย...ขืนเห็นภาพอุบาทว์อีกครั้งมีหวังช็อกตายคาที่แน่ๆ เลยครับคุณ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 ธันวาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น