"มธุรดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของสาวใช้จากแดนไกล
"มีน" เป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน เธอสวยเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่น่าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็กแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ อายุใกล้จะ 30 แล้วและมีลูก 2 คน เธอก็ยังดูเหมือนเดิมค่ะ
ลูกคนโตของมีนเป็นผู้ชาย ชื่อน้องม่อน อายุ 2 ขวบกว่า กำลังซน ส่วนคนที่ 2 เพิ่งจะคลอดมาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน เป็นผู้หญิง ท่าทางจะสวยเหมือนแม่เพราะขาวผ่องเชียว มีนตั้งชื่อว่าน้องมด ตัวเธอเล็กนิดเดียว น่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
เมื่อน้องมดเกิดมา มีนก็ต้องหาคนเลี้ยงเด็กเพิ่ม มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้มีนจะอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำงาน ปล่อยให้คุณโชค - สามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวก็ตาม แต่ดังที่ได้บอกแล้วว่ามีนนั้นบอบบาง ทำงานบ้านไม่เป็น ถึงจะเลี้ยงลูกก็จริง แต่เธอหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก คุณป้าวลัย แม่ของเธอก็เป็นอัมพฤกษ์ ไม่สามารถจะมาช่วยเลี้ยงได้
ปกติมีนมีป้าจีบ - คนเก่าคนแก่ของคุณป้าวลัยมาช่วยเลี้ยงน้องม่อน และมีสาวไทยใหญ่เป็นคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง ชื่ออุ้ม - แบบนางเอกน่ะค่ะ
การหาพี่เลี้ยงเด็กที่ยากน่าดู มีนไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถ้าเอาเด็กจากศูนย์ก็จะต้องจ่ายแพง และรับประกันคุณภาพไม่ค่อยได้ สรุปแล้ว เธอตัดสินใจจ้างชาวต่างด้าวตามที่อุ้ม-สาวใช้คนโปรดนำเสนอ
วันที่เด้กใหม่เดินทางมาถึงบ้านมีนนั้น ดิฉันอยู่ด้วยพอดี!
พี่เลี้ยงคนใหม่มาจากชนบทอันไกลโพ้น...เธอข้ามมาจากพม่า แต่เป็นไทยใหญ่ อยู่บ้านเดียวกับอุ้ม หมู่บ้านที่อุ้มเคยเล่าฉอดๆ ว่ายากจน และผีดุจนเธอต้องหนีมาอยู่กรุงเทพฯ
เด็กใหม่นี่ผอม ดำ สูงราว 160 เซนติเมตร แต่ดูสูงมากเพราะผอมจนโย่งเย่งเก้งก้างพิกล หล่อนเดินหลังโก่ง ไหล่ห่อ ผมบางๆ ยาวเหยียดตรง และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยคิดรวบเกล้าให้เรียบร้อย ดิฉันมองหล่อนแล้วไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่...ไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณเห็นก็ต้องรู้สึกอย่างดิฉันเช่นกัน
ดิฉันจะบรรยายให้ฟังนะคะ
หล่อนมีใบหน้ากว้างเหมือนจะกลมแป้น แต่กลับมีเหลี่ยมที่ขากรรไกร โหนกแก้มสูง เห็นเป็นลูกคล้ายมีซาลาเปาอยู่ข้างใน ดั้งจมูกเหมือนแบนราบ แต่งอนตรงกลาย ดวงตาเล็กราวตาตัวตุ่น แต่มันมีแววจ้าแบบแปลกๆ
หล่อนจะมองหน้าเราแวบเดียวแล้วหลบลง มุมปากกระตุกยิ้มขันๆ เห็นแล้วน่าโมโห ไม่รู้จะขำอะไร?
อุ้มบอกว่าหล่อนเป็นคนข้างบ้าน กำลังอยากหางานทำ ให้เงินเดือนแค่สามพันก็อยู่ได้แล้ว และคงไม่ออกไปไหน...หนึ่งไม่ชอบเที่ยว สองยังไม่มีบัตร
ชื่อของหล่อนเหรอคะ? เรียกยากจริงๆ อุ้มออกเสียงคล้ายคำว่า "ซื่อ" แต่เป็นการพ่นลมขึ้นจมูก ลิ้นไทยๆ เราเรียกไม่ได้หรอกค่ะ ตกลงขอเรียกว่า "ส้ม" แล้วกัน ง่ายดี!
"เธอจะให้ยัยคนนี้เลี้ยงลูกเธอเรอะ?" ดิฉันกระซิบถามมีน เธอมองหน้า ทำตาบ๊องแบ๊ว ย้อนถามว่าจะให้ทำยังไงล่ะ?
มีนไม่ค่อยถูกชะตากับเด็กใหม่ และรู้สึกเช่นเดียวกับดิฉัน ..แต่หล่อนมาถึงนี่แล้วนี่คะ ถือถุงเสื้อผ้ามาใบเดียว ไม่ใช่กระเป๋านะคะ ข้อย้ำ! เป็นถุงพลาสติกก๊อกแก๊บ ดังนั้นจึงตกเป็นธุระของดิฉันหาเสื้อผ้ามาให้ และจัดการสัมภาษณ์ว่าเลี้ยงเด็กได้แน่ๆ ละหรือ? ถ้าเห็นท่าไม่ดีจะให้อุ้มเลี้ยงแทน และส้มไปทำงานบ้าน
บอกตามตรงว่า ถ้าหล่อนทำกับข้าวดิฉันคงกินไม่ลงแน่!
ส้มพูดไทยไม่ค่อยคล่อง แต่เธอยืนยันว่าเลี้ยงเด็กได้ เสียงพูดเธอเบาหวิวเหมือนลมพัดผ่านใบไม้
เด็กสาวมองน้องมด ตาวาวโรจน์...ดิฉันแน่ใจว่านั้นไม่ใช่แววรักเดด็ก เธอหันไปพูดกับอุ้ยเป็นภาษาพื้นเมือง และอุ้มพากษ์ไทยให้ฟัง
หล่อนพูดว่า...น่ากินจัง!!
นั่นไง! พอถึงตรงนี้ ดิฉันก็นึกออกว่าไอ้ที่ขุ่นๆ ใจอยู่น่ะ มันคืออะไร?
ดิฉันมองเด็กคนนี้ว่าเหมือนปอบค่ะ! บาปไม่บาปไม่รู้ล่ะ ดิฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ และไม่สบายใจเลยที่มีนให้หล่อนเลี้ยงน้องมด...
เวลาผ่านไปเกือบเดือน สิ่งที่ดิฉันเสียวสยองก็ชักจะเข้าเค้า!
น้องมดไม่ค่อยแข็งแรงอย่างแรกเกิด แกซูบซีดและโยเย พอพาไปหาหมอก็ปรากฏว่ามีอาการโลหิตจาง และตับก็มีปัญหา
อีกอย่างหนึ่งคือป้าจีบ ซึ่งเป็นไม้เบื้อไม้เมากับส้มก็เจ็บออดๆ แอดๆ ทั้งที่เคยสุขภาพแข็งแรง...แกเล่าให้ฟังว่า สงสัยยัยสัมคนนี้จะเป็นปอบ!?
ตรงนี้ดิฉันต้องยืนยันว่าไม่เคยเอ่ยคำนี้กับป้าจีบเลย แต่แกเกิดคิดตรงกับดิฉันขึ้นมาซะงั้น! และอุ้มเอง ทั้งที่เป็นคนเอาส้มมา อุ้มก็เริ่มกลัวๆ เหมือนกัน
มีนฟังเรื่องทั้งหมดอย่างไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้สามีฟัง แถมไม่กล้าไล่ส้มออกด้วย...เธอไล่ใครไม่เป็น กลัวเขาจะโกรธ อีกอย่างหนึ่งส้มทำงานเรียบร้อย ดูแลน้องมดได้ดี
เมื่อไม่สบายใจมากขึ้นๆ ทุกที ดิฉันก็คิดหาทางออก แต่ยังไม่ทันไร ส้มก็ชิงลากลับบ้าน...เราถอนใจอย่างโล่งอก ป้าจีบให้ความเห็นว่า ปอบมันรู้ว่าเรารู้แล้วก็เลยอยู่ไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ น้องมดดีขึ้นหายเป็นปกติ ป้าจีบก็เช่นกัน
เรื่องนี้เป็นอุธาหรณ์ว่า ถ้าคิดจะรับสาวใช้จากชนบทที่ห่างไกล เราต้องพิจารณาดูให้รอบคอบ เรื่องความสะอาด อนามัย และ...ดูให้ดีว่าเธอเป็นผีปอบหรือเปล่านะคะ?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 13 ธันวาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น