30 ธันวาคม 2559

ควันมฤตยู

"แพร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเหยื่อควันพิษ

"เยาวชนรุ่นใหม่ต้านภัยบุหรี่!"

นั่นคือคำขวัญขององค์การอนามัยโลก ที่ดิฉันได้ยินทางวิทยุ และทีวีบ่อยๆ เนื่องใน "วันงดสูบบุหรี่โลก" ประจำปีนี้ บ้านเราก็มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่กันทุกรูปแบบ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรจะสนับสนุนกันมากๆ ค่ะ

บุหรี่ไม่มีอะไรดีเลย นอกจากพิษร้ายแรงล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ทราบดี แต่ทำไมจึงยอมเสียเงินเสียทองไปหาซื้อควันพิษมาใส่ตัวเองก็ไม่ทราบ

ถ้าเป็นอันตรายกับพวกขี้ยาเท่านั้นก็ยังดี แต่พิษสงของบุหรี่ทำให้คนใกล้เคียงต้องเดือดร้อน รับเคราะห์ไปด้วยน่ะซีคะ เช่นพ่อบ้านสูบบุหรี่ ขี้ยาที่เดินสูบตามข้างถนนหรือยืนสูบหน้าตาเฉยที่ป้ายรถเมล์ ใครมองแล้วเบือนหน้าหนี หรือแม้แต่ยกมือปัดควันพิษไม่ให้เข้าจมูกคนพวกนี้ก็กลับทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้

ไม่ทราบว่ามีจิตสำนึกของคนปกติหรือเปล่าคะ?!

ดิฉันได้ข่าวว่าการเผยแพร่พิษร้ายของบุหรี่ ทำให้คนไทยที่ตกเป็นทาสมันได้ฉุกคิดเลิกเสียเงินซื้อความตายผ่อนส่งมาใส่ตัวได้ราวปีละสองแสนคน แต่น่าเสียใจที่มีคนรุ่นใหม่ริอ่านติดบุหรี่ถึงปีละสองแสนห้าหมื่นคนแน่ะค่ะ

ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น หลงผิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งโก้เก๋ คาบบุหรี่แล้วดูเท่มาก!

เท่าที่ทราบ ผู้ที่ติดบุหรี่แต่อยากเลิกสูบมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่ถอนตัวไม่สำเร็จเพราะแพ้ใจตัวเอง ถ้ายอมรับความหงุดหงิด ไม่สบายใจในช่วงวันแรกๆ ได้แล้ว ก็คงจะไม่หันไปหาเจ้าบุหรี่ตัวนิดๆ แต่อันตรายใหญ่หลวงได้สำเร็จ

สามีดิฉันเคยติดบุหรี่งอมแงมขนาดตื่นมาต้องคว้าบุหรี่ เข้าห้องน้ำก็ต้องสูบ กินอาหารเสร็จก็ต้องสูบ ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่กาแฟก็ต้องมีบุหรี่อยู่ใกล้มือตลอด...ตอนที่ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ สามีใช้วิธี "หักดิบ" ค่ะ!

ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากหยิบบุหรี่ ไลเตอร์ และที่เขี่ยบุหรี่โยนลงถังขยะทั้งหมด แล้วลืมไปเลยว่าโลกนี้มีบุหรี่!

เอาชนะใจตัวเองด้วยเรื่องแค่นี้ไม่สำเร็จ จะไปเอาชนะใครหรืออะไรได้เล่าคะ?

ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนๆ รุ่นพี่ของดิฉันล้มตายเพราะพิษสงของบุหรี่หลายคนแล้วล่ะค่ะ เป็นมะเร็งปอด หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย ฯลฯ ส่วนที่ยังนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาลและที่บ้านด้วยโรคถุงลมโป่งพองก็มี...ไปเยี่ยมแล้วเห็นภาพที่นอนแซ่ว รอคอยความตายอย่างทนทุกข์ทรมาน...รู้สึกหดหู่เกินจะบรรยาย ได้ค่ะ

แม้จะพูดไม่ได้ แต่สายตาเศร้าๆ ที่มองมา บ่งบอกว่าเสียใจและขอโทษลูกเมียที่เขาก่อกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา...

ญาติมิตรที่ตายไปอย่างทุรนทุราย วิญญาณไม่มีวังสงบหรือไปสู่สุคติได้เด็ดขาด! บางรายก็มาเข้าฝัน ร้องห่มร้องไห้ขออภัยที่ต้องจากลูกเมียไปก่อนเวลาอันควร บางรายก็มาสะอึกสะอื้นคร่ำครวญในยามราตรี ทำให้สะดุ้งผวาไปตามๆ กัน

ดิฉันเคยประสบกับตัวเองเมื่อน้องสะใภ้ชื่อจิตราต้องตายจากไปเพราะควันบุหรี่

จิตราไม่ได้สูบเองหรอกค่ะ แต่เธอเปิดร้านอาหารที่มีดนตรีย่านซอยอารีย์ มีทั้งโต๊ะที่สนามและทั้งห้องแอร์ด้านใน...เมื่อราวสิบปีก่อน ยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องห้ามสูบบุหรี่ ลูกค้าที่เป็นคอสุราและเบียร์ก็พ่นควันโขมงแทบทุกโต๊ะ

น้องชายดิฉันไม่สูบบุหรี่ แต่จิตราได้รับควันพิษแทบจะทั้งวันทั้งคืนก็ว่าได้ เธอเคยบ่นตอนแรกๆ ต่อมาก็คงชิน...จนกระทั่งซูบผอม ซีดเซียว ไอแห้งๆ มีเลือดปนเสมหะ...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ได้ราวสองเดือนก็เสียชีวิต

วิญญาณจิตราคงไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยกลับไปที่ร้านอาหารของเธอ!

ระหว่างนั้นมีน้าแหวน-ญาติห่างๆ มาคอยดูแลร้านแทน จนกระทั่งเสร็จงานศพจิตรา น้าแหวนก็รับอาสาจัดการเรื่องร้านให้ น้องชายดิฉันมีลูกคนเดียว บอกว่าหมดกะจิตกะใจจะทำร้านต่อแล้ว ปล่อยให้น้าแหวนดูแลทั้งหมด...เรื่องเงินทองไว้ใจได้ค่ะ

เรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นเมื่อเผาจิตราได้ไม่กี่วัน เพื่อนบ้านก็เห็นจิตราเดินเข้าเดินออกที่ร้าน แม้แต่พนักงานเก่าๆ ก็เห็นผู้หญิงเดินวับๆ แวมๆ แถวห้องครัวบ้าง แถวโต๊ะในห้องแอร์บ้าง...ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไปรับแขกที่โต๊ะสนามด้วย!

ความสยองรุนแรงเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ใกล้จะปิดร้านแล้ว น้าแหวนกำลังนั่งเช็กบิลลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิตราผลักประตูเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา!

แม้ว่าจะเป็นร่างที่มีเลือดเนื้อเหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อรู้ดีว่านั่นคือผู้ที่ตายไปแล้ว น้าแหวนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องกรี๊ดๆ จนคนในร้านนึกว่าไฟไหม้...วันรุ่งขึ้นก็ยอมแพ้ น้องชายเลยได้โอกาสปิดร้านตั้งแต่นั้น ต่อมาก็ไม่มีใครเห็นจิตราอีกเลยค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2551

29 ธันวาคม 2559

ทารกอสูร

"อนุพันธ์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเด็กปีศาจ

เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุได้ 13 ปี มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์เพราะพ่อเป็นสถาปนิกที่มีฐานะมั่นคง ผมมีน้าแท้ๆ ชื่อน้าพน บ้านอยู่ในซอยเดียวกัน ห่างไปแค่ไม่กี่หลัง แต่ชีวิตความเป็นอยู่แทบจะตรงข้ามกับบ้านผมราวฟ้ากับดิน

น้าพนเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือนไม่สูงนัก แต่ต้องใช้จ่ายมากมายเพราะน้าพนมีลูกๆ ถึง 4 คนแน่ะครับ...คนโตเพิ่งจะอยู่ ป.6 ส่วนคนเล็กกำลังจะเข้าอนุบาล 1

ชะตาชีวิตของคนเราก็เล่นตลกแปลกๆ นะคุณ ทีพ่อผมร่ำรวยมากๆ กลับมีลูกคนเดียว คือผมนี่แหละ ส่วนบ้านน้าพนจนแทบตาย มีลูกยังกับกระต่าย 4 คน ยังไม่พอ ลูกคนที่ 5 กำลังจะลืมตาดูโลกเร็วๆ นี้ คนที่เป็นห่วงเป็นใยและสงสารน้าพนมากที่สุดก็คือยายของผมเอง!

คุณยายอยู่บ้านเดียวกับผม ดูแลผมเวลาที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงาน ท่านใจดี ทำอาหารอร่อยมาก แม่จะให้เงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอย แต่คุณยายเก็บเงินไม่อยู่หรอกครับ...ไม่ใช่ว่าเอาไปฟุ่มเฟือยอะไร แต่เงินที่ได้มาน่ะ คุณยายเอาไปให้บ้านน้าพนซะเกือบหมด

ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ได้ยินแม่ต่อว่าต่อขานคุณยายที่หมดเปลืองไปกับครอบครัวน้าพน!

ที่จริงแม่ผมก็ดูแลน้องชายอยู่แล้วละครับ ไม่ใช่ว่าจะใจไม้ไส้ระกำซะที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนน้าพนจะไม่พอซะที พอผมโตขึ้นถึงได้รู้ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ที่น้าตุ๊ เมียน้าพนนั่นเอง! เธอไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้านเฉยๆ เพราะไม่ได้จ้างคนรับใช้ เธอเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง

ในความเป็นจริง น้าตุ๊เป็นผู้หญิงอวบขาว สวย ตาโต ช่างแต่งตัว แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมบ้านนั้นกับคุณยาย ก็มักจะเห็นเธอนอนไขว่ห้างอ่านนิยายอย่างสบายอารมณ์ ลูกๆ ก็เล่นกันมอมแมม ไอ้ที่ไปโรงเรียนก็เดินไปเองกลับเอง ไม่เห็นเธอไปรับไปส่ง ส่วนกับข้าวกับปลาน่ะ คุณยายจัดปิ่นโตไปให้ทุกวัน

คิดแล้ววันๆ น้าตุ๊แทบไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว!

ท้องน้าตุ๊ใหญ่มาก และใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ในที่สุดก็ถึงกำหนดคลอด...

ลูกคนที่ 5 เป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก น้าตุ๊เบ่งไม่ออก หมอต้องผ่าแต่ปรากฏว่าเด็กตายครับ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น คุณยายเล่าว่าศพเด็กน่ะตัวเขียว มีเลือดออกจากจมูกและปาก ตาลืมค้าง คออ่อนคอพับเหมือนกับว่ามันหักจนหมุนได้รอบ

เด็กตายไปแล้ว และไม่มีการสอบสวนว่าเพราะอะไร หรือใครต้องรับผิดชอบ...น้าตุ๊เสียใจนิดหน่อย ผมไม่เห็นเธอร้องไห้ฟูมฟายอะไรนัก กลับสบายดีด้วยซ้ำ เธออยู่โรงพยาบาลตั้งสัปดาห์ โดยมีแม่ผมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แถมยังให้ลออ-เด็กรับใช้ของเราคนหนึ่งไปดูแลที่บ้านน้าพนด้วย

คราวนี้น้าตุ๊ยิ่งสบาย เป็นคุณนายชี้นิ้วไปเลยละครับ แต่ไม่กี่วันคนของเราก็เผ่นกลับ ไมใช่เพราะน้าตุ๊...แต่เพราะลูกที่ตายไปแล้วของน้าตุ๊ต่างหากล่ะ! ลออเล่าปากคอสั่นว่า ในบ้านที่มืดสลัวของน้าตุ๊น่ะ มีเสียงทารกลึกลับมาร้องอุแว้ๆ ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ

บ้านน้าตุ๊ปิดม่าน ปิดหน้าต่าง เพราะน้าตุ๊กลัวแดดจะส่องเข้าไปทำลายผิวของเธอ บ้านนั้นจึงมักอับชื้นเสมอๆ ยิ่งหลังคลอด แทนที่จะเปิดให้อากาศระบายถ่ายเท น้าตุ๊ยิ่งปิดทึบกว่าเดิมด้วยซ้ำ อ้างว่าเธอหนาวสะท้าน

เมื่อกลับมาอยู่บ้าน น้าตุ๊ก็โดนผีลูกตัวเองหลอกหลอนเช่นกัน...นอนหลับฝันหวานยามบ่ายอยู่ดีๆ เกิดมีเสียงทารกร้องครวญคราง ทีแรกเธอนึกว่าแมว แต่มันเป็นเสียงทารกจริงๆ มาร้องอยู่ทั้งวัน!

น้าตุ๊เองก็เริ่มกลัว รวมไปถึงลูกๆ ทั้ง 4 คนนั่นด้วย

ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ชื่อพลอยเล่าว่า...คนทั้งบ้านแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยเพราะเสียงร้องประหลาดนั่น เด็กทุกคนนั่งกอดกันกลมแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน! ส่วนพิม-ลูกคนเล็กสุดอายุ 3 ขวบกว่า พูดอย่างไร้เดียงสาว่าเห็นน้องคลานไปมาอยู่ทั่วบ้านและน้องที่ว่านี่มีขนาดตัวโตเท่าแม่แน่ะ!

ฟังแล้วผมขนหัวลุกเลยครับ ไม่กล้าไปบ้านนั้นอีก...บอกตรงๆ ว่า พอเข้าไปมันจะมีกลิ่นแปลกๆ น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

น้าตุ๊อาการหนักกว่าเพื่อน ทำท่าเหมือนคนประสาทเสีย สะดุ้งผวาง่าย...ไม่นานเธอก็ไม่สบาย เป็นไข้หนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล อยู่ได้ 2 สัปดาห์ก็เสียชีวิต! คุณหมอบอกว่าติดเชื้อ แต่พวกเราพูดกันว่าลูกที่ตายมาเอาไป เพราะตั้งแต่นั้นบ้านก็สงบ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย

ทุกวันนี้ลูกๆ ของน้าพนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีอาชีพการงานมั่นคง น้าพนตายไปหลายปีแล้ว บ้านนั้นก็ขายและมีคนอื่นมาอยู่...เหลือไว้แต่ความหลังสุดสยองครับ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม 2551

28 ธันวาคม 2559

วิญญาณพเนจร

"แต๋ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชะอำ

โบราณท่านเตือนว่า ถ้าเห็นอะไรวูบวาบผิดสังเกตในยามวิกาล ห้ามทำปากไวไปทักทายเข้าเชียว เดี๋ยวสิ่งไม่ดีมันจะเข้าตัว หรือถ้าเป็นผีก็จะตามเรามา!

อันหลังนี่หนูไม่แน่ใจนะคะว่าท่านบอกไว้หรือเปล่า แต่หนูเจอมากับตัวไม่ได้มั่วนิ่ม หนูก็เลยเขียนมาเล่าให้ฟัง จะได้ไม่พลาดพลั้งอย่างพวกหนู เรื่องที่หนูเจอมานี่น่ากลัวมากค่ะ

ก่อนเปิดเทอมนี้ พวกเราที่กำลังจะขึ้น ม.6 ก็นัดไปเที่ยวทะเลกัน เพื่อนชื่อกุ้งมีคอนโดฯ อยู่ที่ชะอำ เรารวบรวมเพื่อนๆ ได้ตั้งสิบคนแน่ะ ถ้ารวมพี่เก้า-พี่ชายกุ้งด้วยก็เป็นสิบเอ็ดคนพอดี...พี่เก้าต้องเป็นคนขับรถตู้พาพวกเราเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ

หนูเน้นเรื่องรถตู้เพราะเรื่องสยองนี้มีจุดเริ่มต้นบนรถตู้คันนี้ลˆะค่ะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นรถผีสิงนะคะ คุณพ่อของกุ้งซื้อมาใหม่เอี่ยม นั่งสบายมากๆ

เราออกเดินทางเย็นวันศุกร์ แวะซื้อขนมนมเนยกันเพียบจากปั๊มเจ็ท จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงดิ่งสู่ชะอำ ซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมง

คณะของเรามีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงหกคน ขอบอกก่อนว่าไม่มีใครเป็นแฟนใครเลยนะ เราเป็นเพื่อนเฮฮากันของแท้ แหม...คนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล โตมาด้วยกัน ความรู้สึกเหมือนพี่น้องกันจริงๆ แต่พวกผู้ชายห้องหนูนี่น่ะ มันทโมนสุดฤทธิ์เชียวค่ะ

ราวทุ่มเศษเราก็เลี้ยวเข้าชะอำ สองข้างทางมีไฟถนนส่องสว่างพอสมควร

ทันใดนั้นท่ามกลางแสงไฟ หนูมองเห็นผ้าสีขาวผืนใหญ่ปลิวอยู่เหนือพุ่มไม้ ผ้าขาวผืนขนาดผ้าปูที่นอนออกมาแผ่กางเต็มที่ ร่อนเหมือนค้างคาวตัวใหญ่อยู่อย่างนั้นได้ไง?

หนูเห็นแล้วก็เงียบซะ ถึงแม้จะตกใจไม่น้อยเลย หนูหุบปากนิ่ง ใจหายพิกลมือเย็นเฉียบเลยลˆะค่ะ

ขณะที่กำลังสะกดใจ เม้มปากแน่น เสียงเจ้าเพื่อนตัวดีก็ดังลั่น เจ้าปั้มสิคะมันโวยวาย "นั่นอะไรน่ะ?" ชี้ไม้ชี้มือจนคนอื่นๆ หันไปดูเป็นตาเดียว...พวกเราทุกคนเห็นสิ่งประหลาดนั้น และพวกผู้ชายไม่ยอมเก็บอาการ ไม่ยอมสงบปากคำเลย แถมพูดว่า ซูเปอร์แมนมั้ง? ใครคนหนึ่งโพล่งว่า ผีหรือเปล่า?

อีกคนก็ท้าทาย...เป็นผีจริงตามมาซีวะ! หนูยิ่งฟังยิ่งใจฝ่อ

เราผ่านจุดที่เห็นผ้าขาวผืนนั้นมาแล้ว ใจหนูเต้นตึ๊กๆ เสียวสันหลังวาบๆ พยายามเหลียวไปมอง ยิ่งตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวผืนนั้นมันร่อนตามรถเรามา เห็นอยู่ลิบๆ โน่น

พอรถถึงคอนโดฯ เราก็ขนของขึ้นห้อง หนูลงจากรถ ลมเย็นเยือกพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นสาบๆ น่าคลื่นไส้มาเตะจมูก...เพื่อนปากพล่อยยังดันพูดขึ้นมาอีก...พูดเป็นเชิงคะนองปากว่า...ผีข้างถนนมันตามมาแล้ว!

สาบานได้เลยค่ะว่าลมเย็นๆ ผิดปกติ กับกลิ่นสาบๆ นั่นตามเรามาถึงห้อง...และแล้วตกดึกคืนนั้นก็ได้เรื่อง...

หนูรู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรอย่างหนึ่งที่น่าสยดสยองเข้ามาอยู่ในห้องกับพวกเรา หางตาหนูจะเห็นอะไรบางอย่างคล้ายศพมัดตราสังมายืนอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง

แน่ใจว่าเพื่อนๆ หนูสองสามคนก็เห็นสิ่งนั้นเหมือนกับที่หนูเห็น!

โดยเฉพาะกุ้ง-เพื่อนซี้ที่เป็นเจ้าของห้อง เธอบ่นกับหนูว่ามีบางอย่างที่น่าขนลุกอยู่ใกล้ๆ นี้ และยืนยันว่าห้องนี้ไม่เคยมีผีสิง...อย่าว่าแต่ห้องนี้เลย ทั้งคอนโดฯ นี่แหละ รับรองว่าเป็นที่สะอาด ปราศจากภูตผีวิญญาณ...แต่นี่มันมาจากไหนล่ะ

ระหว่างที่เราซุบซิบกัน กลิ่นเน่าๆ ก็แรงขึ้นๆ ตกลงเป็นอันว่าคืนนั้นเราลากที่นอนมาปูรวมกันและเปิดไฟไว้ทั้งคืน...แต่ในห้องผู้ชายสิคะ เกิดเรื่องใหญ่

ราวๆ ตีสามเจ้าปั้มแหกปากร้องลั่นไม่เป็นภาษาคน เปิดประตูพรวดออกมามีเพื่อนที่นอนรวมกันในห้องนั้นวิ่งตาหูเหลือกตามออกมาด้วย

มันเล่าว่านอนอยู่ดีๆ มีมือแข็งๆ สากๆ มาจับหมับที่ข้อเท้าแล้วเขย่าเอาเป็นเอาตาย มันตกใจมาก แต่ทีแรกคิดว่าเพื่อนแกล้ง กำลังจะด่าอยู่แล้วเชียว พอลืมตามองก็แทบหัวใจวาย... เพราะสิ่งที่มาเขย่าขาเป็นผีในผ้าตราสัง ที่ฉีกผ้าที่ปิดหน้าไว้ ทำให้เห็นหน้าที่เน่าเฟะ น่าสยดสยองสุดขีด!

เราสรุปว่า เป็นเพราะปั้มเป็นคนแรกที่ปากเสีย เห็นผ้าขาวร่อนอยู่ข้างทางแล้วพูดจาไม่ดีออกไป แถมยังไปท้าทายเขาอีก เขาเลยตามมาน่ะซี

วันรุ่งขึ้น แทนที่จะได้เที่ยวสนุก เรากลับต้องไปวัดที่หัวหินให้พระท่านช่วย ท่านก็ใจดี เมตตาเรา อุตส่าห์มาที่คอนโดฯ เพื่อนำวิญญาณเร่ร่อนนั้นออกไป

เข็ดซีคะทีนี้ หนูถึงเขียนมาเล่าว่าเวลาเห็นอะไรอย่าไปทักนะคะ เชื่อโบราณไว้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม 2551

27 ธันวาคม 2559

ควันมรณะ

"เวทิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาสวดศพ

วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก!

ทุกประเทศรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่โดยพร้อมเพรียงกัน เพราะควันบุหรี่คือยาพิษที่สูบเข้าไปก็ทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแทบทุกส่วนได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคร้ายถึง 40 ชนิด ตั้งแต่ ปาก คอ ทางเดินหายใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน หัวใจวายได้ง่ายๆ และมะเร็งเกือบทุกชนิดมีสาเหตุมาจากควันบุหรี่

ทุก 6 วินาทีมีคนตายเพราะบุหรี่ทั่วโลกวันละ 1 คน เมืองไทยตายชั่วโมงละ 6 คน วันละ 144 คน ปีละสี่หมื่นห้า-ห้าหมื่นคน!

คนไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันพิษจากคนใกล้เคียง เช่น พ่อ แม่ สามี และเพื่อน เรียกกันว่า สูบบุหรี่มือสอง ต้องรับเคราะห์รุนแรงกว่าคนสูบเอง สาเหตุมาจากควันจากปลายบุหรี่มีพิษสงรุนแรงมากกว่าควันที่อัดเข้าปอดถึง 2 เท่า

สมัยก่อนสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่ว่าในโรงเรียน โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงหนัง ศูนย์การค้า รถเมล์ รถไฟ และรถแท็กซี่ เครื่องบินโดยสารที่เคยจัดที่นั่งสำหรับขี้ยาไว้ตอนท้ายๆ เครื่อง แล้วค่อยๆ ลดที่นั่งลง ห้ามสูบในสายการบินในประเทศหรือช่วงสั้นๆ เท่านั้น คนที่ไม่สูบบุหรี่ก็ต้องกล้ำกลืนสูดควันพิษเข้าปอดโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง

เดี๋ยวนี้ห้ามสูบบุหรี่ตามสถานที่ดังกล่าวโดยสิ้นเชิง!

ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ห้ามสูบบุหรี่ แม้แต่ในผับ บาร์ โรงแรม และสถานบันเทิงต่างก็ห้ามสูบบุหรี่ทั้งนั้น

ป้ายรถเมล์ ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอยก็ห้ามสูบ เรียกว่า "ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ" ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2,000 บาท แต่ก็เห็นสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่มีใครไปปรับไปจับกุมสักครั้ง ถูกมองอย่างรังเกียจก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าไปทักท้วงก็จะอ้างน้ำขุ่นๆ ว่าห้ามสูบบุหรี่ทั้งที่สาธารณะและที่บ้าน แล้วจะให้ไปสูบที่ไหน?

เท่ากับการสูบบุหรี่ผิดกฎหมาย แล้วทำไมยังมีบุหรี่ขายได้ล่ะ?

"พี่เลิศ" เป็นหัวหน้าในแผนกของเรา ตกเป็นเหยื่อของบุหรี่อย่างน่าเศร้า ทั้งที่อายุเพียง 50 เศษๆ เท่านั้น ต้องล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด จนเสียชีวิตในโรงพยาบาล

พี่เลิศเคยสูงใหญ่กำยำ นิสัยใจคอกว้างขวาง เป็นกันเองกับลูกน้องจนพวกเรารักใคร่แกทุกคน สูบบุหรี่จัดแทบจะเป็นมวนต่อมวน...วันละไม่ต่ำกว่า 3 ซองแล้วกัน

ในระยะหลังๆ มีการห้ามสูบบุหรี่แพร่หลาย พี่เลิศที่ร่วมวงกับพวกเราทุกอาทิตย์ก็ต้องดื่มเหล้าไปบ่นไปที่เขาห้ามสูบบุหรี่ในร้าน...บอกว่าตอนไหนก็สูบบุหรี่ไม่อร่อยเท่าตอนซดเหล้า! อดรนทนไม่ไหวก็ต้องขอตัวไปอัดควันพิษหน้าร้าน

เพื่อนผมมีทั้งคนเลิกบุหรี่ได้แล้วกับพยายามเลิกสูบ ยอมรับว่าจริงของพี่เลิศที่ดื่มเหล้าแล้วอยากบุหรี่มากที่สุด

บางคนใจแข็งก็ไม่สูบ คนใจอ่อนก็ต้องตามพี่เลิศออกไปอัดควันพิษด้วยกัน!

ระยะหลัง พี่เลิศดูซูบผอมลงไปเรื่อยๆ มีไอแห้งๆ บ่อยครั้ง เจ้าตัวบอกว่าคงเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด ทำให้ระคายคอ มีเสมหะมาก ต้องขากต้องกระแอมบ่อยๆ ขนาดอยู่ที่บ้านก็ต้องลดบุหรี่ลงเพราะภรรยาขอร้อง ถ้าอยากจริงๆ ก็ต้องออกไปสูบที่สนามหน้าบ้าน

"รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นควันพิษ อยากจะเลิกเหมือนกันแต่ยังเลิกไม่ได้ว่ะ" พี่เลิศพูดเหมือนปรับทุกข์ "อย่างว่านะ...ไอ้เรามันสูบมาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว คงจะเลิกยากเอาการ ลงทุนมาเยอะแล้วนี่หว่า"

มารู้ทีหลังว่าพี่เลิศเบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ ไอจนตัวโก่งตัวงอ จนกระทั่งไอเป็นเลือด ภรรยาเคี่ยวเข็ญให้ไปพบแพทย์...ผลก็คือมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

ในงานศพพี่เลิศที่วัดแถวบางเขน พวกเราไปฟังสวดอภิธรรมในศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศตั้งแต่คืนแรก จนกระทั่งถึงคืนสุดท้ายมีเพื่อนชื่อสุนทร ไม่รู้นึกขลังอะไร เอาบุหรี่ยี่ห้อโปรดของพี่เลิศแกะซองไปวางใส่พานไว้หน้าโลง พูดดังๆ ว่า...สูบให้สมอยากนะพี่เลิศนะ!

ในขณะที่พระกำลังสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผมก็ได้กลิ่นควันบุหรี่อวลกรุ่นมาเข้าจมูกทั้งๆ ที่ในศาลามีป้ายติดไว้เด่นชัดว่า "ห้ามสูบบุหรี่"

เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ติดกันเอียงหน้าเข้ามาถามว่า ใครสูบบุหรี่วะ? แต่เมื่อเราเหลียวมองไปทั่วศาลาก็ไม่เห็นมีใคร สุนทรที่มีนิสัยขี้เล่นพูดขึ้นว่า...หรือพี่เลิศแกจะสูบบุหรี่ที่อั๊วเอาไปไว้ให้จริงๆ

ขาดคำ พวกเราก็หันขวับไปทางโลงศพที่มีรูปถ่ายพี่เลิศที่ยิ้มละไมอยู่หน้าโลง...ขณะที่กลิ่นควันบุหรี่ยิ่งรุนแรงคล้ายจะอบอวลไปทั้งศาลา

ภาพถ่ายของพี่เลิศยิ้มเศร้าๆ ให้พวกเรา เหมือนจะยอมรับในชะตากรรมที่เกิดจากควันบุหรี่ และตักเตือนพวกเราให้ถอนตัวจากควันมรณะก่อนที่จะสายเกินไป!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม 2551

22 ธันวาคม 2559

วิญญาณบอกเหตุ

"จินดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเพื่อนถูกผีเข้าที่ตลาดประแจจีน

เรื่องผีเป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง นอกจากจะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อแล้ว คนที่เชื่อเรื่องผีๆสางๆ แม้ว่าจะไม่เคยถูกผีหลอก แต่ก็กลัวผีจับจิตจับใจ เอาแต่หวาดระแวงว่าจะถูกผีหลอกเข้าสักวัน จนแทบจะไม่อันเป็นทำอะไร มัวแต่กลัวผีอย่างเดียว

สำหรับดิฉันยอมรับว่า 50-50 ค่ะ เพราะเกิดมาจนอายุเกือบขึ้นเลข 5 แล้ว แม้ว่าจะไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าโลกเราอาจจะมีผีอยู่จริงๆ ก็ได้ ไม่งั้นจะมีเรื่องผีมาตั้งแต่สมัยโบราณได้ยังไง?

พูดถึงเรื่องผี ต้องยอมรับว่าทุกชาติทุกภาษาก็เชื่อว่าผีมีจริง ไม่ว่าในเอเชียหรือยุโรป แม้แต่อเมริกาที่ถือว่าเจริญทางเทคโนโลยีสุดขีด ก็ยังมีเรื่องภูตผีปีศาจไม่น้อยหน้าชาติไหน

ในที่สุด ดิฉันก็มีประสบการณ์กับเรื่องแปลกประหลาดเข้ากับตัวเองจนได้ล่ะค่ะ!

สมัยก่อน ย่านอุรุพงษ์เจริญมาก มีภัตตาคารชื่อดังหลายแห่ง มีโรงหนังโคลีเซี่ยมที่ถือว่าใหญ่โต มีที่นั่งมากที่สุดในประเทศไทย ดูเหมือนจะเกือบสองพันที่นั่งแน่ะค่ะ ตลาดประแจจีนมีผู้คนพลุกพล่านแทบทั้งวัน ตกเย็นก็มีรถเข็นและแผงขายอาหารมาเปิดกันบนฟุตปาธคึกคักน่าสนุกเหมือนมีงานทุกคืน

ในตลาดที่เข้าไปถึงภัตตาคารและโรงหนัง ตอนบ่ายๆ เย็นๆ จะมีเด็กๆ วิ่งเล่นกันเกรียวกราว ดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น มีเพื่อนวัยสิบขวบเล่นไล่จับบ้าง เขย่งเกงกอยบ้าง บางทีก็เล่นกระโดดเชือกหนังยางกันอย่างสนุกสนาน

เย็นหนึ่ง ขณะที่วิ่งเล่นกันอยู่ดีๆ "หลิน" ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของเราก็สะดุดขาตัวเองหกล้ม แน่นิ่งอยู่กับที่เหมือนจะสลบไปเลย

พวกผู้ใหญ่ตกอกตกใจไม่แพ้เด็กๆ วิ่งกรูกันเข้ามาช่วยอุ้มขึ้น แต่แล้วก็ต้องผงะหน้าเมื่อร่างเล็กๆ ผอมๆ ของหลินสะบัดแขน สะบัดหน้าจนผมม้ากระจาย เหลือกตาขุ่นขวางเหมือนคนบ้า จ้องมองไปรอบๆ ตัว

"รู้ไหมว่ากูเป็นใคร? ไม่รู้จักกูรึ?"

เสียงนั้นแหบห้าวเหมือนเสียงผู้ชาย ดิฉันงงงันไปหมด ผู้คนเริ่มถอยหลัง มีเสียงพึมพำว่า "ผีเข้า" คนหนึ่งบอกให้ไปตามพ่อแม่หลินที่ขายของอยู่ในร้านหน้าตลาด แต่หลินก็เค้นหัวเราะเสียงกร้าว

"ไปเอาเหล้ามาให้กูกินเดี๋ยวนี้! พวกมึงปล่อยให้กูอดอยากมานานแล้ว"

คราวนี้ต่างคนต่างมองหน้ากันลอกแลก ลุงผาย-คนกวาดตลาดทำหน้าพยัดพเยิดร้องว่า "เอาซีวะ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะจริงมั้ย?"

ว่าแล้วแกก็ไปเอาเหล้าโรงมาเทใส่แก้ว ท่ามกลางสายตาของผู้คนหลายสิบ...ดิฉันเห็นหลินรับแก้วมาจ่อปาก หงายหน้าขึ้นดื่มอั๊กๆ จนหมด เล่นเอาหลายๆ คนครางฮือ เพราะขนาดผู้ใหญ่คอเหล้ายังไม่ดื่มรวดเดียวมากถึงขนาดนี้

"เอายามาให้กูสูบด้วยโว้ย" หลินขว้างแก้วเหล้าแตกกระจาย หันไปจ้องหน้าคนนั้นคนนี้ ก่อนจะหยุดที่ลุงผาย "เร้ว! ไปเอายามาให้กูสูบไวๆ"

"ได้จ้ะได้..." คราวนี้คนกวาดตลาดเสียงสั่น เพราะแน่ใจว่ามีวิญญาณร้ายมาสิงสู่เด็กหญิงหลินแน่ๆ หาไม่เด็กวัยสิบขวบคงจะไม่ดื่มเหล้าโรงแก้วใหญ่จนหมดแน่นอน

เมื่อได้บุหรี่ใบตองมาสูบควันโขมง หลินก็หัวเราะด้วยเสียงน่ากลัว เล่นเอาดิฉันขนลุกซู่...ยังไงๆ ก็ไม่ใช่เสียงหลินแน่ๆ ก่อนที่เธอจะหันมาพูดเร็วปรื๋อคล้ายภาษาแขก ที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่องแม้แต่คนเดียว

"ภาษาเทพน่ะ" ลุงผายบอก พร้อมกับยกมือไหว้ปลกๆ ผู้คนยิ่งเข้ามามุงดูหนาแน่น ดิฉันทั้งตกใจและเป็นห่วงเพื่อน หันไปมองที่ปากทางก็ยังไม่เห็นพ่อแม่ของหลินจะโผล่เข้ามาซักที

เสียงหัวเราะแหบห้าวดังก้องขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะบอกกล่าวด้วยภาษาไทยชัดเจน

"พวกมึงระวังตัวไว้ให้ดี ไม่ช้าจะเกิดไฟไหม้!!" ว่าแล้วหลินก็กระดกลิ้นเป็นภาษาเทพออกมาอีก ก่อนจะล้มฮวบลงหงายหลังตึง แน่นิ่งคาที่ เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่พ่อแม่ของเธอวิ่งแหวกผู้คน หน้าตาตื่นเข้ามา

เมื่อฟื้นขึ้นตามเดิม หลินบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะกำลังวิ่งเล่นอยู่ดีๆ ก็เห็นเงาดำๆ โถมเข้าใส่ ความรู้สึกวูบหายเหมือนหลับสนิท...ว่าแล้วก็กอดแม่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ แสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา

แต่ที่แน่ๆ ก็คือเชื่อสนิทใจว่าเด็กหญิงหลินถูกผีร้ายเข้าสิง!

เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้คนก็ลืมเลือนเรื่องนี้เสียสนิท...จนกระทั่งเกิดไฟไหม้ที่ห้องแถวหลังตลาด ตรงตามคำพูดของหลินในวันนั้น เคราะห์ดีที่ไม่ถึงกับรุนแรงอะไรนัก แต่คนที่รู้เห็นเหตุการณ์วันนี้หลินโดนผีสิง บอกว่าขนลุกขนพองกันทุกคน

เดี๋ยวนี้ไม่มีโรงหนังโคลีเซี่ยมแล้ว แต่คนเก่าๆ ยังจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 22 พฤษภาคม 2551

21 ธันวาคม 2559

คืนหมาหอน

"ปั้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อตามไปดูที่มาของเสียงสยอง

พวกผมเป็นเด็กนอนดึก หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่นอนเลยทั้งคืน! ก้อ...ตอนกลางคืนมันสบายนี่ครับ บรรยากาศสงบแบบประหลาดๆ พ่อแม่ดุจนเลิกดุไปเอง แถมพูดประชดอีกว่า...ดี! ไม่ต้องเปลืองยามเฝ้าบ้าน!

เรามีด้วยกัน 4 คน อยู่บ้านเดียวกันนี่เอง ผม-นายปั้ม เป็นผู้นำทีม อีกคนชื่อหมีอายุเท่ากัน เรียนม.3 เหมือนกัน แต่อยู่คนละโรงเรียน เป็นลูกชายลุงจวบคนขับรถพ่อ ส่วนอีก 2 คนเป็นสาวต่างชาติครับ ชื่อวิกับแอ้ มาจากพม่าและเป็นญาติกัน

สาวรับใช้คู่นี้ทำให้บ้านเรามีชีวิตชีวามากเลยครับ ตอนกลางวันพวกเธอจะง่วงเหงาหาวนอน พอแม่เผลอเธอก็นอนจริงๆ นอนทั้งวัน พอแม่เรียกปลุกขึ้นมาให้ช่วยจ่ายกับข้าวทำกับข้าว เธอทั้งคู่ก็จะงงอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นึกว่ายังอยู่ในพม่าโน่นแน่ะ!

ช่วงปิดเทอมใหญ่เราชุมนุมกันที่โต๊ะหินทุกคืน บางทีก็จุดเทียน บางทีก็อยู่กันมืดๆ คุยเรื่องผีกัน ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์ยิ่งสนุกเพราะเราจะฟังรายการเดอะช็อคของพี่ป๋องอย่างได้บรรยากาศ...แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่คาใจเราเหลือเกิน นั่นคือพอได้เวลาตี 2 ของทุกคืน เราจะได้ยินเสียงหมาตัวหนึ่งโก่งคอหอนโหยหวนเป็นเสียงนำ ตามมาด้วยเสียงหมาอีกเป็นฝูง หอนรับกันเกรียว...ฟังเหมือนมีผู้หญิงกรีดท้องแทรกมาด้วยไกลๆ

ด้วยความสงสัยว่า หมาบ้านใครนะหอนได้หอนดี คืนหนึ่งเรา 4 คนจึงพากันเดินออกจากบ้าน ลัดเลาะตามซอกซอยไปเรื่อยๆ ละแวกบ้านเรามีซอกเล็กซอกน้อยราวกับรังมดรังปลวกอยู่กลางกรุงเทพฯ

หมามันหอนมาจากทิศไหน เราก็มุ่งไปทางทิศนั้น แต่ตอนนี้เพิ่งตี 1 ครึ่งยังไม่ทันจะตี 2 ดี อย่าลืมว่าหมามันเริ่มโก่งคอเปล่งเสียงตอนตี 2 เป๊ะ เหมือนใครตั้งนาฬิกาปลุกไว้ให้มันบรรเลงยังงั้นละครับ

ทันใดนั้นเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาอยู่ในสถานที่ที่ผมไม่เคยย่างกรายเข้ามาก่อน!

ความจริงมันไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่เคยมีธุระปะปังอะไรแถวๆ นี้เพราะที่นี่มีแต่บ้านคน ไม่มีร้านค้า ร้านชำหรือร้านขายก๋วยเตี๋ยวส้มตำใดๆ ทั้งสิ้น

ผมมองไปรอบๆ พบว่าบ้านแถวนี้ทุกบ้านมีต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างมะม่วง มะขาม สาเก มันดูทะมึนไปทั่ว แสงไฟถนนถูกแมกไม้บดบังแทบจะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ มันกลายเป็นแสงเรืองๆ ที่มีเงาไม้วูบวาบเหมือนภาพหลอน

"นั่น! ดูซิ...บ้านร้างรึเปล่า?" หมีกระทุ้งแขนผมจนต้องหันขวับไปดู...จากแสงไฟถนน ผมเห็นป้ายที่แขวนไว้ริมรั้วได้ถนัดตา "ขายด่วน!" และมีเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อไว้ด้วย

ประตูรั้วไม่ได้ปิดแฮะ!! ผมชะเง้อดูในบ้าน หน้าต่างประตูปิดมิดชิด หญ้าในสนามเล็กๆ หน้าบ้านก็ขึ้นสูงเอาการ บรรยากาศน่ากลัวพิลึก...วิกับแอ้จับมือกัน ก่อนจะหันมาถามว่าลองเดินเข้าไปสำรวจมั้ย? ผมลังเล เจ้าหมีคะยั้นคะยอว่าลองเข้าไปดูเถอะ สนุกดี

ผมดันประตูเบาๆ มันเปิดออกง่ายๆ พวกเราก้าวเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เราเดินดูรอบบ้านเลยครับ ไม่มีใครอยู่เลย เงียบมาก น่าแปลกที่อากาศเย็นเหมือนมีลมพัดออกมาจากห้องแอร์ แต่ไม่ใช่หรอกครับ ทุกอย่างเงียบกริบ

จู่ๆ มีเสียงก๊อกแก๊กๆ คล้ายคนกำลังทำครัว...จริงด้วย เรามาหยุดที่หน้าต่างบานเกล็ดของห้องครัว แสงสลัวๆ ทำให้เราพอมองออกว่า มีตู้กับข้าว ตู้เย็น โต๊ะ และหม้อไหกระไชชอนแขวนอยู่...ที่น่าขนลุกคือเราเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งตัวเล็กๆ ผมยาวรวบเป็นหางม้าที่ท้ายทอยลักษณะกิริยาเหมือนกำลังหยิบโน่นหยิบนี่ ทำกับข้าวอยู่คนเดียวมืดๆ

"มาทำไมกัน" เธอส่งเสียงทัก เราสะดุ้ง งงงันจนพูดไม่ออก หญิงคนนั้นเดินมาจ้องหน้าเราผ่านบานเกล็ด "ว่าไง...เข้ามาดูอะไรในนี้มั้ย?"

เป็นคำชวนที่กระด้างๆ แปลกๆ เจ้าหมีอึกอักขอโทษที่รุกล้ำเข้ามา ขณะที่หญิงคนนั้นจ้องเขม็ง แอ้กับวิร้องกรี๊ดเบาๆ พลางถอยกรูด วินาทีนั้น หมาเจ้ากรรมก็เริ่มหอน...มันเป็นหมาข้างบ้านนั่นเอง!

ตี 2 แล้วเรอะเนี่ย? หมาตัวอื่นโก่งคอรับ วิร้องไห้จ้า วิ่งพรวดพราดสติแตกออกไปทรุดฮวบอยู่นอนถนนโน่น พวกเราที่เหลือวิ่งตามแน่บ...วิหารใจหอบอยู่นาน น้ำตาไหลพราก ชี้มือบอกว่าผู้หญิงคนนั้นตาโบ๋!

แค่นั้นแหละครับ เราวิ่งออกจากตรงนั้นด้วยความตกใจสุดขีด

รุ่งขึ้นตอนกลางวัน เราไปที่นั่นอีก พอดีพบกับสาวใช้บ้านข้างๆ ก็เลยคุยกัน ถึงได้รู้ว่า บ้านนั้นบอกขายเพราะเจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ คนใช้ของเขาลื่นหกล้มหัวฟาดพื้น หมดสติไปตายที่โรงพยาบาล แต่วิญญาณไม่ยอมไปไหน

เข็ดแล้วครับ พวกเราเปลี่ยนมาใช้ชีวิตกลางวันเหมือนคนปกติ ไม่เคยอยู่กันตลอดคืนอีกเลย...กลัวผีครับ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้เวลาตี 2 ที่หมาพวกนั้นมาหอน! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 พฤษภาคม 2551

20 ธันวาคม 2559

ดวงผีหลอก

"แก้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่หนีไม่พ้น

เขาว่าคนกลัวผีมักจะถูกผีหลอกมากกว่าคนไม่กลัวผี ทำไมพวกผีถึงไม่ชอบไปหลอกคนที่เขาไม่กลัวก็ไม่ทราบนะคะ ดิฉันเป็นคนกลัวผีค่ะ ยอมรับว่ากลัวมากๆ ด้วย ไม่ยอมเสี่ยงไปไหนมาไหนที่อาจจะโดนผีหลอกได้อย่างเด็ดขาด

ไม่ไปงานศพ ไม่ไปโรงพยาบาล ตัวเองไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอาการหนัก พ่อแม่ก็ยังแข็งแรงดี ถ้ามีญาติสนิทมิตรสหายต้องไปนอนโรงพยาบาล ถึงรู้ข่าวก็ไม่ไปเยี่ยมหรอก แต่จะรอจนเขาหายดีแล้ว หรือไม่ก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ดิฉันจะรีบไปเยี่ยมพร้อมกับตะกร้าผลไม้หรือดอกไม้ช่อโตๆ เลยค่ะ

คนที่สนิทๆ กันไม่มีใครว่าอะไร บางคนยังพูดจาให้โล่างใจเสียอีก

บอกว่าเจ็บไข้จนต้องนอนแซ่วน่ะไม่อยากให้ใครๆ มาเยี่ยมหรอก รู้ทั้งรู้ว่าเขาหวังดี แต่ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นสภาพคนเจ็บผมกระเซิง หน้าตาซูบซีดอิดโรยเพราะไม่ได้เมกอัพเอาไว้...บางคนโผล่เข้ามาเห็นหน้านึกว่าเข้าห้องผิดก็มี!

ที่ทรมานสุดๆ คือต้องเล่าอาการเจ็บไข้ซ้ำๆ ซากๆ คนมาเยี่ยมสิบรายก็ต้องเล่าสิบหน คิดดูเถอะว่าแสนจะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแค่ไหน? แทนที่จะได้หลับนอนพักผ่อนก็จำเป็นต้องตื่นมารับแขก! เฮ้อ...

นอกจากนี้ ดิฉันยังไม่ยอมไปวัดด้วยค่ะ ยกเว้นงานบุญสำคัญๆ เช่น บวชนาค เป็นต้น ถ้าเป็นสวดศพ เผาศพ...รับรองว่าไม่ยอมเฉียดกรายไปร่วมงานเด็ดขาด ช่วยทำบุญวันหลังเอา

แค่นี้ยังไม่พอสำหรับการป้องกันถูกผีหลอกนะคะ!

แล้วผีตามถนนหนทางล่ะ จะหลบหลีกหรือป้องกันยังไงดี?

ดิฉันขับรถเองก็จริง แต่ไม่ยอมเที่ยวเตร่ตอนกลางคืน เช้าไปทำงานแถวสุขุมวิท เย็นกลับบ้านที่เพชรบุรีตัดใหม่ห่างกันแค่คืบ กลางวันแสกๆ    นะคะ อย่างช้าก็เพิ่งจะพลบค่ำ แสงไฟสว่างไสว รถราคึกคักผู้คนพลุกพล่านจอแจ ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอเรื่องขนหัวลุกหรอกค่ะ

เรื่องถนนผีดุ โค้งผีสิง สี่แยกร้อยศพ ฯลฯ อะไรพวกนี้อย่าหวังเลยว่าจะมีโอกาสมาหลอกหลอนกันง่ายๆ เมินซะ!

ผีตามโรงแรมดุนักหรือ? อ๋อ...ดิฉันไม่ยอมไปเที่ยวเตร่ต่างจังหวัดเพียงลำพังเด็ดขาด ถ้าไปก็ต้องมีเพื่อนเป็นโขยง ไปกับพ่อแม่และพี่น้อง จะนอนก็เปิดไฟไว้ทั้งคืน จะเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนเฝ้า...ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะใครๆ ก็รู้จักกิตติศัพท์เรื่องกลัวผีที่สุดของดิฉันดีอยู่แล้ว

ซอยนี้ผีดุนักหนา ใครๆ ก็โดนหลอกกันมาทั้งนั้น เพราะเป็นซอยเปลี่ยว มีคนฆ่ากันตาย ถูกรถชนตาย ผูกคอตาย แถมคนแก่เดินมาดีๆ ก็เป็นลมตายกลางซอยดื้อๆ ยังงั้นเอง!

ขอโทษ...ดิฉันไม่ไปเดินตามถนนหรือในซอยเปลี่ยวๆ หรอกค่ะ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แหม! ไม่รู้จะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม...โง่เหรอ?

ขนาดหาทางป้องกัน ระวังอันตราย ไม่เปิดโอกาสให้ภูตผีปีศาจมาข้องแวะกับดิฉัน ถึงขนาดนี้ โอย...ยังไม่วายโดนผีหลอกเข้าจนได้เลยค่ะ

วันนั้นฤกษ์ไม่ดีมาตั้งแต่ค่อนคืนแล้ว ดิฉันฝันร้ายที่สุดในชีวิต!

ในฝันนั้น ดิฉันไปนั่งพนมมือฟังสวดศพในวัดแห่งหนึ่ง บรรยากาศแสนจะน่าวังเวงสิ้นดี...เสียงสวดเยือกเย็น โลงศพสีทองโดดเด่นอยู่ในช่อดอกไม้ กลิ่นธูปควันเทียนอวลกรุ่นมากระทบจมูก...เจ้าประคุณเอ๋ย! กลัวแสนจะกลัว ทำไมเราต้องมานั่งเหงื่อหยดเผาะๆ ด้วยความอกสั่นขวัญแขวนอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้?

ค่อยๆ เหลือบตามองซ้ายขวา หวังจะหาเพื่อนพอประโลมใจได้บ้าง แต่แลหาก็ได้แต่แลหา...ไม่มีใครเลย! ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว! แล้วเรามานั่งฟังสวดอยู่ได้ยังไงคนเดียว?

ถ้าเผื่อศพในโลงเป็นห่วงว่าเราจะเหงา แล้วลุกขึ้นมาเป็นเพื่อนล่ะ?!

คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย! เสียงฝาโลงเลื่อนครืดดด...แล้วศพในโลงก็โผล่พรวดขึ้นมา หันขวับมาหา...แต่ดิฉันสติแตกไปแล้ว หลับหูหลับตาแผดร้องจนสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่กท่วมตัว ยกมือกุมอกที่หัวใจเต้นโครมๆเหมือนจะพังทลายออกมา

เช้านั้น ขับรถไปทำงานอย่างสุดเซ็ง อดนึกไม่ได้ว่า...ผีหาทางหลอกเราไม่ได้ก็เลยมาหลอกในฝัน...เสียง "โครม!" สนั่นอยู่ข้างหน้าในบัดดล!

รถเก๋งสีแดงพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าเหมือนเสียงฟ้าผ่า รถราจอดกันเป็นตับใกล้ๆ บริษัท...ได้ยินว่าหักหลบมอเตอร์ไซค์! โชคดีที่ดิฉันออกมาเช้าหน่อย ไม่งั้นมีหวังเจอรถติดจนไปทำงานสายแน่ๆ

ลางไม่ดีจริงๆ โผล่เข้าไปที่ทำงานเห็นเพื่อนโผล่มาแค่คนเดียว แถมถามว่าวันนี้จะไปฟังสวดอ๋อยมั้ย? ไม่อยากตอบได้แต่ค้อนให้...นั่งแผละแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ หันไปหาคนถามแต่ไม่เห็นแม้เงา...ทำไมไม่ช็อกตายก็ไม่รู้ซี เพราะคนที่ถูกก็คืออ๋อยที่ฝันเห็นเมื่อคืนนี้ไงคะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 พฤษภาคม 2551

19 ธันวาคม 2559

ใครอยู่ในตู้?

"อาทร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนพิชัย

สมัยหนุ่มผมอยู่ในซอยสันติสุข ใกล้ๆ กับสี่แยกพิชัย ซึ่งอยู่ระหว่างศรีย่านกับราชวัตร แถวนั้นเป็นดงอาหารครับ ของอร่อยเยอะแยะไปหมด ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แสงไฟสว่างไสว ผู้คนคึกคักเหมือนมีงานรื่นเริงทุกคืน

นอกจากรถเข็นแล้วยังมีร้านดังๆ ไม่ว่าปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวมันไก่ หมูตั้ง ไหนจะร้านไก่ย่างส้มตำเจ้าอร่อย คือร้านจั๊กหน่อย อาหารอีสานเพียบ ไม่ว่าลาบ ก้อย ตับหวาน ต้มป่าปลาหมอ เนื้อเค็ม เนื้อแดดเดียวมีหมด ถูกอกถูกใจคอเหล้าอย่าบอกใครเชียว

ตกเย็นคอเหล้าขาประจำก็ทยอยกันเข้ามา ไม่ช้าร้านขนาดสองคูหาก็เต็มทุกโต๊ะ ใครมาช้าก็ต้องนั่งโต๊ะบนฟุตปาธหน้าร้าน พวกที่ทนรอโต๊ะว่างไม่ไหวก็จัดการสั่งซื้อสรรพอาหารรสแซบใส่ถุงไปกินบ้านละกัน ถ้าไม่อร่อยจริงๆ จะมายืนรอให้เมื่อยแข้งเมื่อยขาไปทำไม

อ้อ! ร้านอาหารอร่อยๆ ที่ว่าน่ะอยู่แถวถนนพิชัยนะครับ ไปทะลุออกถนนสามเสนก็ได้ ออกถนนพระราม 5 ก็ได้...ถนนกว้างขวาง ไปมาสะดวก ร้านไหนอร่อยจริงๆ รับรองว่าลูกค้าแน่นตรึม...แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาด ค่อนข้างจะอัศจรรย์ด้วยซ้ำก็คือตู้โทรศัพท์ครับ

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ถนนสั้นๆ สายนี้มีตู้โทรศัพท์มากมายที่สุดในกรุงเทพฯ!

ทั้งสองฝั่งถนนเห็นแต่ตู้โทรศัพท์แดงๆ โดดเด่นอยู่ใต้ต้นไม้ร่มครึ้ม เคยมีคนลองเดินนับดู เบ็ดเสร็จมีตั้ง 14-15 ตู้แน่ะครับ

องค์กรโทรศัพท์คงจะเห็นว่าบ้านเรือนหนาแน่น แต่ถนนพิชัยไม่มีรถเมล์ผ่านเลยเอาตู้โทรศัพท์มาตั้งเป็นว่าเล่น เดี๋ยวตู้ๆ ที่เคยนับไว้อาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ที่อื่นไม่ยักหนาตาเหมือนแถวบ้านผม

คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนๆ ที่โรงพิมพ์ย่านบางพลัด ชักชวนกันมาดวดดื่มที่ร้านจั๊กหน่อย...ตอนนั้นส้มตำปูเพิ่งขึ้นราคาจากจานละ 3 บาท เป็น 5 บาท ไม่ใช่จานละ 20-30 บาท เหมือนตอนนี้หรอกครับ เล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน หาว่าตลก...ปั้ดโธ่!

เรามาถึงราว 6 โมงเย็น หน้าหนาวค่ำเร็วครับ...โต๊ะในร้านน่ะอย่าไปหวัง ได้โต๊ะบนฟุตปาธ ห่างเตาย่างไก่ไปทางขวา แค่นี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องยืนแขวนรอโต๊ะว่าง

เจ้าผ่อนอยู่บางโพ เจ้าโก๋อยู่สะพานควาย...ถือว่ามาหากินใกล้ถิ่นหน่อย ผมโชคดีกว่าเพื่อนตรงที่เดินตีต๊อกกลับบ้านใกล้ๆ ได้สบายมาก

เหล้าแบนโซดาสอง ลาบ ก้อยตับ แหนมห่อ ส้มตำปูใส่ปลาร้า อ้อ! น้ำแข็งอีกหนึ่งกระติก...แค่นี้ก็ทำให้หายเมื่อยขบ หูตาสว่างไสว มองเห็นโลกโสภาสถาพรขึ้นมาทันใด

แบนที่สองและที่สามตามติดมาอย่างรวดเร็ว คงเพราะอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวทำให้เมาช้า มีเนื้อเค็มกับซุบหน่อเพิ่มเติมขึ้นมา อย่าลืมข้าวเหนียวสามกระติ๊บ จะได้ไม่ต้องแย่งกันจกใส่ปาก...พูดคุยเฮฮาไร้สาระ จนกระทั่งถึงแบนที่สี่

เอาละ! พอกันที เจ้าผ่อนสั่งต้มป่าปลาหมอ เจ้าโก๋สั่งส้มตำปูมาเปลี่ยนรสชาติซะมั่ง...ไม่ต้องบอกก็รู้กันในทีว่าแบบนี้เป็นแบบสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะเพื่อน!

มึนๆ กำลังดี ซดต้มป่าปลาหมอโฮก...หูตาสว่างจ้าขึ้นมาทันตาเห็น ถ่านในเตาไก่ย่างดับมอดแล้ว ลูกค้าบางตาลง ที่เหลือก็ทยอยกันกลับ เราช่วยกันจ่ายเงินก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง...

ไฟถนนสว่างโพลงดูเยือกเย็น ผมเดินไปตามบาทวิถีโล่งว่าง ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามาจนทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะจางหาย...ก่อนจะเหลือบไปมองตู้โทรศัพท์ข้างหน้าพอดี

ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ มือถือกระบอกโทรศัพท์แนบกับใบหู...ผมเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส จนกระทั่งมองเห็นตู้สีแดงตั้งโดดเด่นอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น...

ผู้ชายยืนอยู่ในตู้ คราวนี้สังเกตว่าสวมเสื้อขาว...หันไปมองด้านขวามือโดยไม่ได้ตั้งใจ อ้าว? ตู้โทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ว่างเหมือนกัน! มิน่าล่ะ เขาถึงได้ตั้งตู้ไว้ให้หนาตาเชียว...พอดีชายในตู้หันมา หน้าขาวๆ กำลังพูดโทรศัพท์พะงาบๆ ดูคล้ายๆ กำลังแยกเขี้ยว...จ้องมองผมด้วยแววตาพิลึกจนน่าเสียวสันหลัง

ตู้สีแดงโดดเด่นอยู่ข้างหน้าอีกแล้ว น่าแปลกที่ไม่เห็นมีรถราแล่นผ่านเลย ทั้งที่ยังไม่ห้าทุ่มด้วยซ้ำ...ผู้ชายสวมเสื้อขาวกำลังก้มหน้าก้มตาพูดใส่กระบอก แถมพยักหน้าหงึกหงัก...ผมหันไปมองฝั่งตรงข้ามก็เห็นผู้ชายในตู้โทรศัพท์เช่นกัน

หันกลับมาเห็นชายคนนั้นเงยหน้าซีดขาวขึ้นมอง...สะดุดใจวูบเมื่อจำได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน สมองที่พร่ามึนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้คิดช้า แต่แล้วก็นึกออกว่าเป็นชายคนเดียวในตู้โทรศัพท์ที่เพิ่งเดินผ่านมานั่นเอง!

ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มองเห็นหัวมุมถนนอยู่ไม่ไกล ตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปฝั่งโน้นตรงกับตู้โทรศัพท์พอดี...ผู้ชายหน้าขาวซีดคนเดิมกำลังถือหูโทรศัพท์ แต่จ้องมองผมเขม็ง

ราวกับโลกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมเผ่นอ้าวไปไม่คิดชีวิตจนถึงถนนนครไชยศรี...วิ่งเตลิดเข้าซอยบ้านราวคนบ้า...สิ่งที่ผมเจอะเจอน่ะถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะครับ? บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 พฤษภาคม 2551

16 ธันวาคม 2559

ไทรสยอง

"ตอง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากต้นไทรกินเด็ก

ดิฉันเชื่อว่าโลกเรานี้มีหลายมิติ และมีอะไรอีกมากมายที่ตาเรามองไม่เห็น หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่สามารถมองทะลุมิติออกไปได้ ยกเว้นในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง และบางทีโลกต่างมิติก็อาจจะบังเอิญเชื่อมสู่กันได้ จนทำให้เกิดเหตุการณ์น่าขนหัวลุก

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน ไม่มีใครให้คำอธิบายได้ ไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ

คุณยายของดิฉันเป็นผู้หญิงที่แสนเศร้า ชาวบ้านซุบซิบกันว่าท่านเป็นบ้าด้วยซ้ำไปสาเหตุก็คือลูกสาวสุดที่รักของท่านคนหนึ่งหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

แม่ของดิฉันเป็นลูกสาวคนโตของคุณยาย น้าต้อยเป็นคนที่สอง และน้าใบเตยเป็นลูกสาวคนสุดท้อง

แม่เล่าว่า น้าใบเตยเกิดมาเป็นทารกที่น่ารักน่าเอ็นดูมากที่สุด เธอสวยเหมือนรูปปั้น ยิ่งโตยิ่งสวยจับจิตจับใจ ชาวบ้านร้านช่องต่างรักใคร่ชื่นชม ให้ขนมให้ของเล่น แม่รักน้องคนนี้มาก ส่วนคุณยายไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ น้าใบเตยเป็นแก้วตาดวงใจของท่าน

บ้านของคุณยายอยู่ที่อยุธยา ไม่ไกลจากวัดกษัตราธิราช ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม ดิฉันเคยไปเยี่ยมบ่อยๆ และแทบทุกครั้งก็จะเห็นท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไทรขนาดใหญ่ ท่านนั่งพิงต้นไทรและหลับตานิ่งอยู่นานๆ บางทีก็มีน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม...

คุณยายร้องไห้เงียบๆ โดยไม่มีใครมารบกวน...พวกเราชินตากับภาพนั้นเสียแล้ว

ตอนที่น้าใบเตยอายุขวบกว่าๆ วันหนึ่งคุณยายอุ้มเธอกลับบ้าน ซึ่งต้องเดินผ่านต้นไทร คุณยายได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ พอหันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร

คืนนั้น คุณยายฝันว่า เดินลงจากบ้านมืดๆ กลางดึกสงัด มุ่งตรงไปที่ต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปราวร้อยเมตรกว่าๆ เท่านั้น...เดินไปเหมือนมีใครมาเรียก พอไปถึงก็เห็นว่าต้นไทรเป็นบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง สวยมาก ผมยาวเลยบั้นเอวไปอีก เธอนุ่งผ้าถุงสีน้ำตาล ห่มสไบสีเขียวเข้มเกือบดำ ปากเคี้ยวหมาก ดวงตาสดใส เป็นประกายแก่กล้า

หญิงสาวลึกลับเรียกให้คุณยายตามเธอขึ้นกระไดไม้ที่พาดอยู่กับต้นไทรนั้น! คุณยายเดินขึ้นไปอย่างง่ายดาย...

กระไดนั้นนำท่านไปสู่สวนที่เป็นกิ่งก้านสาขาและใบหนาที่ดกทึบ แต่มันไม่ใช่เป็นต้นไม้ธรรมดาอย่างที่เราเห็นยามกลางวัน มันกลายเป็นเรือนใหญ่ที่แสนสบาย ลมพัดเย็น มีเสียงนกร้องและหอมกลิ่นดอกไม้

คุณยายเห็นนกต่างๆ หลากสีหลายพันธุ์ มันเป็นนกที่คงจะอาศัยร่มไทรนี้อยู่ แต่ยามนั้นมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาอย่างที่เรารู้จัก...มันพูดภาษาคนได้! และทำตัวเหมือนเป็นคน คือฉลาดมีความ

คิดอ่าน และเป็นบริวารของแม่หญิงต้นไทร!

นอกจากนกแล้วยังมีกระรอก ค้างคาวและแมลง รวมทั้งงูด้วย...ทุกอย่างรู้ภาษา และมีหน้าที่ต่างๆ กัน สัตว์ทุกตัวเป็นมิตรต่อกัน ไม่กินกันเอง

แม่หญิงต้นไทรชวนให้คุณยายนั่งลงดื่มน้ำและกินขนม กินผลไม้ จากนั้นเธอก็เอ่ยปากขอลูกสาวคุณยาย...ลูกสาวคนเล็กที่งดงามราวเทพธิดามาจุติ!

คุณยายตกใจ ลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่แม่หญิงต้นไทรยึดข้อมือไว้แน่น คุณยายตะโกนว่า...ไม่ให้! แล้วดิ้นรน หลับหูหลับตาหวดซ้ายป่ายขวา จนกระทั่งตกมาจากต้นไทรนั้น...

มันเป็นฝันร้ายที่เหมือนจริงที่สุด ตั้งแต่นั้นคุณยายก็รู้สึกเสมอว่าเวลาผ่านต้นไทรจะมีใครคนหนึ่งมองตามอย่างคาดคั้น

น้าใบเตยมักมีอากัปกิริยาแปลกๆ เธอมองต้นไทรและหัวเราะด้วย เหมือนเห็นใครบางคนที่รู้จักมักคุ้นกันดี...จนกระทั่งสามขวบ น้าใบเตยชอบไปเล่นที่ต้นไทร คุยกะหนุงกะหนิงอยู่คนเดียว

แม่เล่าว่า คนเผลอเป็นไม่ได้เชียว น้าใบเตยจะเดินไปที่นั่นเองเหมือนมีคนเรียก!

วันหนึ่ง คุณยายไม่เห็นน้าใบเตยอยู่บนบ้าน ก็รีบตรงไปที่ต้นไทรและเรียกแม่ไปด้วย ปรากฏว่าทั้งคู่มองเห็นน้าใบเตยนั่งเล่นอย่างเพลิดเพลิน พอเงยหน้าเห็นแม่กับพี่สาว เธอก็ลุกขึ้นไปแอบหลังต้นไม้ แม่กับคุณยายเรียกให้กลับบ้าน และไล่จับกันรอบต้นไทรนั้น...

ลมพัดมาวูบ ไทรไหวซู่ แล้วน้าใบเตยก็หายไปเฉยๆ หายไปเลยตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้!

คุณยายเป็นลมล้มพับและไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย ชาวบ้านเชื่อว่าน้าใบเตยถูกลักพาตัว บางคนก็เชื่อเรืองที่คุณยายเล่า แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร หาคนทรงก็แลัว หาพระก็แล้ว คุณยายไม่ได้ตัวน้าใบเตยคืนมา...อย่างมากที่จะทำได้ก็แค่ไปนั่งใต้ต้นไทร เพราะเชื่อว่านั่นคือการได้อยู่ใกล้กับลูกรัก

ดิฉันเชื่อท่าน สงสารท่าน...และเชื่อในเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2551

15 ธันวาคม 2559

เสียงสยอง

"วัลลภ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากองครักษ์

เขาว่าถึงฆาตน่ะไม่ต้องไปไหนมาไหน ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่างๆ นานา ต่อให้อยู่ในบ้านแท้ๆ ยังตายโหงได้ละกัน เช่น โดนโจรห้าร้อยมันบุกเข้าไปยิงทิ้งจนด่าวดิ้นสิ้นใจ ไม่ว่าตายเดี่ยวหรือตายยกครัว ยังกับบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปแน่ะ

หนักหนาสาหัสกว่านั้นก็คือ โดนรถพุ่งเข้าชนตายคาบ้าน หรือไม่เครื่องบินลอยอยู่บนฟ้าแท้ๆ ดันเครื่องขัดข้อง หล่นตูมตามลงมาตายหมู่ทั้งคนในเครื่องบินกับคนในบ้านที่นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นแท้ๆ

ยังงี้เขาบอกว่า "ซวยเรียกพี่" ครับ!

อย่าว่าแต่คนถึงฆาต ดวงกุดดวงขาดอะไรเลยครับ แม้แต่คนที่บทจะโดนผีหลอกน่ะ ไม่ต้องขึ้นรถลงเรือ ไปเหนือล่องใต้หรอกคุณ...นอนเล่นอยู่ในบ้านยังโดนผีหลอกเอาก็ยังมี

ประเภท บ้านผีดุ ห้องผีสิง วิญญาณพเนจร อะไรนั่นแหละครับ สมัยผมเด็กๆ อยู่ที่ถนนองครักษ์ด้านใน ค่อนไปเกือบถึงวัดประชาระบือธรรม มีคนข้างบ้านเผ่นกระเจิงออกจากบ้านตัวเองกลางวันแสกๆ มาแล้วครับ

บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงอยู่เยื้องๆ บ้านผม สมัยนั้นใช้ไม้ระแนงกั้นรั้วก็โก้แล้วครับ ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นสังกะสี หรือรั้วเหล็กจนถึงอิฐบล็อกหนาทึบอย่างเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้

บ้านที่ว่าปลูกก่อนผมเกิดราว 2-3 ปี ครอบครัวเล็กๆ มาซื้ออยู่กัน ปรเภทผัวหนุ่มเมียสาว หรือมีลูกเต้าแค่คนสองคนกำลังดี มีสองห้องนอน กับระเบียงแคบๆ และบันไดที่ทอดอยู่นอกบ้าน ส่วนใต้ถุนตั้งโต๊ะใหญ่บนพื้นราดซีเมนต์ เป็นทั้งโต๊ะรับแขก โต๊ะทำงานและโต๊ะนั่งเล่น ตกเย็นค่ำตั้งอาหารเข้าก็กลายเป็นโต๊ะกินข้าวได้ทันใด

น่าแปลกอย่างที่อยู่กันไม่ค่อยทน แค่เดือนสองเดือนก็ขายต่อกันแล้วครับ เขาลือกันว่าบ้านนั้นผีดุนักหนา

ผีที่ว่าดุๆ น่ะยังไม่มีใครเห็น หรือเอามาเล่าว่าน่าสยดสยองแค่ไหน? พวกผู้ใหญ่เขาบอกว่า...โอ๊ย! ไม่ต้องเห็นตัวหรอกวะ แค่ได้ยินเสียงก็ขี้หดตดหายไปตามๆ กันแล้วโว้ย

บอกตรงๆ ว่าเด็กอย่างผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนกระทั่งเจ้าของบ้านรายสุดท้ายยอมแพ้ ย้ายไปอยู่ที่อื่น...ว่ากันว่า จะอยู่ก็ทนผีหลอกไม่ไหว แต่จะขายก็เสียดาย เลยหาทางออกด้วยการให้เขาเช่าซะ...ดีกว่าปิดทิ้งเป็นบ้านร้างเปล่าๆ

ลุงเหน่กับป้าเอียดพาลูกสาววัยรุ่นชื่อพี่ต้อยมาเช่าอยู่เป็นรายแรก!

เช้าก็ออกไปทำงานกับไปโรงเรียน ให้กุญแจเฝ้าบ้านก็พอเพราะขโมยยังไม่ชุมนัก วันนั้นลุงเหน่ไม่ค่อยสบายเลยหยุดงาน จนตอนบ่ายแก่ๆ ก็ว่าจะไปหาซื้อยากับหาอะไรกินที่ตลาดบางกระบือ...พอลงบันไดก็ได้ยินเสียงอะไรกุกกักมาจากในห้องที่เพิ่งใส่กุญแจหยกๆ

ลุงเหน่นึกว่ามีหนูมาวิ่งเล่น แต่พอเดินไปถึงห้องครัวที่ติดกับห้องน้ำ ดันมีเสียงตึงตังอยู่เหนือหัวจนแกเงยขวับ ร้อง "อะไรวะ?" อย่างลืมตัว

เสียงเขย่าขวัญหายไปแล้ว...เพิ่งลงมาจากบ้านหยกๆ ไม่มีใครบ้าคิดว่าเป็นขโมยหรอกครับ ว่าแต่มันเป็นเสียงอะไรกันแน่? จะว่าข้าวของโดนลมพัดล้มก็ไม่ใช่ เพราะแกจำได้ว่าปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมา แถมตอนนั้นก็ไม่มีลมพายุรุนแรงอะไรเลย

"เอี๊ยด...เอี๊ยดดดด..." เสียงกระดานลั่นตามด้วยเสียงถอนใจยืดยาว "เฮ้อออ..."

ลุงเหน่ยังไม่วิ่งแม้ว่าจะเย็นวาบไปทั้งตัว สงสัยว่าหูเหืองคงจะไม่ค่อยดีเพราะความชรา เลยต้องเงยหน้ามองให้แน่ใจ...

และแล้ว แกก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพของกระดานที่ระเบียงหน้าห้องนอนกำลังยุบเป็นจังหวะ เหมือนมีคนร่างใหญ่กำลังเดินช้าๆ ทำให้กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ราวกับตอนที่แกก้าวเดินอยู่ข้างบนไม่มีผิด!

คราวนี้ลุงเหน่เล่าว่า...หัวใจข้าตกตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ต้องอาศัยตีนหมาโกยอ้าวไม่คิดชีวิตไปหาเพื่อนบ้าน...ร้องแต่ว่า "ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย"

ผมเองก็เพิ่งรู้รายละเอียดพร้อมๆ ลุงเหน่นี่เอง...ได้ความว่าเจ้าของบ้านคนเดิมอายุเลยกลางคนแล้ว รูปร่างสูงใหญ่อ้วนท้วนไม่ต่ำกว่า 120 กิโลกรัม ชอบออกมาเดินเล่นที่ระเบียงทุกเย็น วันหนึ่งเกิดล้มโครมครามลงจนลูกๆ วิ่งออกมาดู แต่คนชะตาขาดก็หัวใจวายตายไปแล้ว

ต่อมาพวกลูกๆ ได้ยินเสียงเดินที่ระเบียงบ่อยๆ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน...ใส่บาตรให้ก็แล้ว ทำสังฆทานให้ก็แล้วแต่เสียงกระดานลั่นก็ยังดังอยู่ตามเดิม...จนทนไม่ขายต่อๆ กันมา 2-3 รายแล้วเพราะเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดๆ มันบาดหูบาดใจเหลือทน...จนกระทั่งรายสุดท้ายเปิดให้เล่าก็มีลุงเหน่กับลูกเมียนี่แหละที่มาเช่าอยู่เป็นรายแรก

"ยังอยู่ไม่ถึงเดือนเลยว่ะ" ลุงเหน่ครางอ่อยๆ "วันแรกๆ น่ะข้าหลับเป็นตาย แต่ลูกเมียเขาได้ยินคนเดินที่หน้าห้อง ลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร...ข้ายังดุเอาเลยว่าหูหาเรื่อง! ชะช้า...มาเจอกับตัวเองกลางวันแสกๆ เต็มภิกขา! ข้าไม่อยู่ก็ได้โว้ย"

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2551

14 ธันวาคม 2559

คุณยายสำอาง

"แพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเยี่ยมไข้คุณยายของเพื่อน

ดิฉันยอมรับว่าเป็นคนกลัวผีระดับมากๆ คนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อนเลยก็ตาม แต่ถ้าไปที่เปลี่ยวหรือตกอยู่ในที่มืดๆ ทำไมถึงเกิดความหวาดระแวงก็ไม่รู้ซีคะ...เหลียวซ้ายแลขวาตลอดจนกว่าจะได้อยู่ที่สว่าง

เมื่อต้นเดือนเมษายนนี่เอง ดิฉันได้พบกับเรื่องสยองขวัญเข้ากับตัวเอง ทั้งๆ ที่คอยระมัดระวัง ไม่ไปที่เปลี่ยว ไม่ยอมไปงานศพ หรือเข้าวัดคนเดียว ตกกลางคืนอยู่ในห้องนอน ก็จะตรวจตราทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าประตูหน้าต่าง ในตู้และใต้เตียง ห้องน้ำก็ไม่ไว้ใจหรอกค่ะ

เตรียมใจไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ หรือถูกผีหลอกนะคะ จะร้องให้ลั่นห้องจนพ่อแม่ที่นอนห้องข้างๆ แทบแก้วหูกระดิกเชียว

"เปิ้ล" เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกับดิฉันมากที่สุดในบริษัท กับคนอื่นๆ ที่รักใคร่กันดี แต่เราสองคนสนิทใจกันมากกว่าคนอื่น ไว้เนื้อเชื่อใจกันทุกอย่าง มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังได้ แทบจะเรียกว่าไม่มีความลับระหว่างกันเลย

เราไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง เปิ้ลอยู่กับพ่อแม่และยายวัยแปดสิบเศษ บ้านช่องแถววัดแค นางเลิ้ง เป็นบ้านตึกครึ่งไม้สองชั้น อยู่กันมาตั้งแต่คุณยายยังสาว...ดิฉันสนิทสนมกับบ้านเพื่อนเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เปิ้ลได้พบพ่อแม่ดิฉันสองสามครั้งก็บอกว่าเคารพรักเหมือนเป็นพ่อแม่แท้ๆความสัมพันธ์ของเราราบรื่น...แต่ก็คงเหมือนกับคำเตือนเก่าๆ นั่นแหละนะคะ

"หลังความสงบจงระวังพายุใหญ่"

พ่อแม่ดิฉันเกิดอุบัติเหตุรถชนกันตอนกลับบ้าน ถึงแม้อาการไม่สาหัสแต่ก็ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดิฉันแทบไม่เป็นอันกินอันนอน เช้า-เย็นต้องแวะไปเยี่ยมพ่อแม่แล้วถึงจะไปทำงาน ตกเย็นก็มีเพื่อนสนิทๆ กันตามมาเยี่ยมด้วย...แต่ที่ดิฉันพบหน้าทุกวันทั้งตอนเช้าที่โรงพยาบาล ทั้งตอนเย็นที่ไปเยี่ยมพ่อแม่ดิฉันด้วยก็คือเปิ้ลนี่เองค่ะ

วันที่หมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ เปิ้ลก็มารับพร้อมกับดิฉัน ...ถึงบ้านแล้วแม่ดิฉันถึงกับกอดเปิ้ลน้ำตาคลอ ขอบอกขอบใจไม่ขาดปากจนดิฉันรู้สึกตันในคอไปหมด

และแล้ว ก็ถึงคราวคุณยายของเปิ้ลล้มเจ็บบ้าง ดิฉันก็ไปเยี่ยมทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน เปิ้ลออกตัวว่ายายเป็นโรคคนแก่เท่านั้น สังขารร่วงโรยไปตามอายุขัย ทรุดโทรมอ่อนล้าทั้งหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน แต่สังเกตว่าเปิ้ลกับยายรักและผูกพันกันมาก...ช่วงหลังๆ เปิ้ลหน้าตาซีดเซียว ผ่ายผอมลงไปเห็นได้ชัด

ยายสำอางของเธอนอนอยู่ห้องชั้นล่าง ติดกับห้องรับแขกและห้องกินข้าว เปิ้ลยอมรับว่าตอนกลางคืนยายร้องกรี๊ดๆ หรือโหยหวนจนต้องวิ่งลงมาดู เดี๋ยวก็ชักเดี๋ยวก็อาเจียนจนพูดจาไม่รู้เรื่อง พ่อแม่ต้องนำส่งโรงพยาบาลด่วน

หมอให้น้ำเกลืออยู่สอง-สามวันก็กลับมานอนแซ่วที่บ้านตามเดิม

ในที่สุด เปิ้ลต้องย้ายลงมานอนห้องเดียวกับยาย โดยปูที่นอนบนพื้นข้างๆ เตียงนั่นแหละค่ะ...ดิฉันไปเยี่ยมคุณยายบ่อยครั้งพร้อมกับของฝาก จนเปิ้ลห้ามไว้บอกว่ายายกินอะไรไม่ลงแล้ว จะให้ไปอยู่ร.พ.ก็ไม่ยอม ...ที่พาไปได้ก่อนหน้านั้นก็ตอนที่ไร้สติเท่านั้น

เวลานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงคุณยายสำอาง ไม่ว่าใครก็ต้อรู้สึกสลดหดหู่ทั้งนั้นแหละค่ะ ยิ่งมองดูใบหน้าขาวซีด เหี่ยวย่น เต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราและกระดำๆ ทั้งขมับและสองข้างแก้มยุบเป็นหลุม ปากบุ๋มเพราะถอดฟันปลอมออก ผมขาวโพลนปลิวไสวด้วยแรงพัดลมตั้งโต๊ะ ...นัยน์ตาสีน้ำข้าวจมอยู่ในเบ้าดูว่างเปล่า เหม่อลอยราวร่างไร้วิญญาณ!

กลิ่นอับๆ น่าอึดอัดลอยกรุ่น กลิ่นยา กลิ่นอาหาร กลิ่นอายของชีวิตและความตายอวลกรุ่นอยู่ในห้องนั้น...

เย็นหนึ่ง ดิฉันบอกเปิ้ลว่าจะไปเยี่ยมยายด้วย เธอพยักหน้าเหม่อๆ หน้าตาซีดเซียวเพราะการอดหลับอดนอนมาหลายคืนเต็มที...เมื่อถึงบ้าน พ่อแม่ยังไม่กลับจากทำงาน เปิ้ลนำหน้าไปที่ห้องยายแต่แล้วก็หยุดชะงัก...เอ๊ะ! ปิดประตูทำไม? ป้าเขียวไปไหน?

เสียงแม่บ้านขานรับมาจากในครัว เปิดรีบถลาไปกระชากประตูห้องออก ดิฉันก็โผล่เข้าไปเห็นภาพสยองเต็มตา

คุณพระช่วย! ร่างของคุณยายสำอางนอนหงายแผ่เหยียดยาว หลับตาแน่นิ่งไม่ผิดกับร่างไร้วิญญาณ พริบตานั้นเอง ใบหน้าขาวซีดก็หันขวับ นัยน์ตาเหลือกโพลงก่อนจะลุกพรวดขึ้นมานั่งห้อยขา จ้องมองเราเขม็ง เปิ้ลร้องว้าย...เราผงะหน้าอ้าปากค้าง ตกตะลึงตัวแข็งทื่อเกือบพร้อมๆ กับซากชีวิตเดินโยกเยกเข้ามาหาเรา

เสียงกรีดร้องดังระงมไปหมด ป้าเขียวกรี๊ดๆ อยู่ข้างหลังเรา...ดิฉันเห็นแต่สีแดงจ้าแตกกระจายเต็มหน้า เข่าอ่อนจนต้องเกาะเอวเปิ้ลไว้ ก่อนที่สติจะกลับคืนมา

คุณยายสำอางนอนสิ้นใจอย่างสงบอยู่บนเตียง...แม้จะคิดในแง่ดีว่าคุณยายลุกมาอำลาเราเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่วายขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2551

13 ธันวาคม 2559

พบกันที่ศาลเจ้า

"จำลอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลเจ้าแถวคลองประปา คนเราเกิดมาทั้งทีกว่าจะแก่ชราหรือเจออุบัติเหตุจนต้องกลายเป็นศพ หรือเป็นผีก่อนอายุขัยน่ะ เชื่อว่าจะต้องโดนผีหลอกกันทุกคน ไม่ว่าจะยอมรับว่ากลัวผีจริงๆ หรือปากแข็งยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เคยกลัวผีก็ตาม

บ้านผมอยู่แถวๆ คลองประปานี่เองครับ แต่ไม่ได้อยู่ถนนด้านใน เป็นซอยจากริมถนน ฝั่งข้ามกับคลองประปา จุดที่มองจากถนนเห็นเด่นชัดก็คือศาลเจ้าไงครับ

จากเตาปูนมุ่งหน้าไปบางซ่อน จะเห็นศาลเจ้าเก่าๆ หลังใหญ่อยู่ซ้ายมือ ด้านหน้าติดถนนมีป่าละเมาะเตี้ยๆ รกครึ้ม สมัยก่อนเคยเป็นลานกว้างขวาง ด้านซ้ายติดกับซอยเล็กๆ ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กจนจะเลยวัยหนุ่มไปแล้ว

ตอนเด็กๆ เคยแห่กันออกมาเล่นกับเพื่อนฝูงแถวนั้นเจี๊ยวจ๊าวไปหมด บางวันก็เล่นกันจนค่ำมืดพ่อแม่ต้องออกมาตาม แต่อาแปะเฝ้าศาลเจ้าใจดีครับ มีขนมแจกเด็กๆ อยู่เสมอ...นึกไม่ออกว่ากลายเป็นสนามรกร้างไปเมื่อไหร่? อาแปะเครายาวสีขาวใจดีคนนั้นแกหายไปไหน?

เพื่อนผมสมัยเด็กยังจำได้ว่ามีเจ้าอึ่ง เจ้าเลี้ยบ เจ้าแบนและเจ้าเอียง...ที่จำได้ก็เพราะชื่อแปลกๆของมันนี่เอง ส่วนอีกหลายๆ กาลเวลานับสิบๆ ปีที่ส่วนมากแยกย้ายกันไปเรียน ไปทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แทบจะไม่ได้พบปะกันเลยก็ว่าได้...ทำให้ค่อยๆ ลืมเลือนชื่อกับหน้าตาไปหลายคน บางคนก็ถึงกับนึกหน้าไม่ออก

ผมมาเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าถนัดใจเมื่อตอนต้นปีนี่เอง!

คืนนั้นมีเพื่อนรุ่นน้องแต่งงานที่สโมสรทหารบกแถวสี่เสา งานมงคลแบบนี้ย่อมขาดเหล้าเบียร์ไม่ได้อยู่แล้ว เพิ่มความครึกครื้นจนเป็นที่สนุกสนานเฮฮา...ขากลับราวสี่ทุ่มเศษผมติดรถเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เจ้ามิตรนี่มีน้ำจิตน้ำใจขนเพื่อนมาถึง 3 คน แวะส่งที่ราชวัตรกับเตาปูน...พูดไปอีกทีก็ทางเดียวกันแท้ๆ

แต่บ้านเจ้ามิตรอยู่ถึงแจ้งวัฒนะโน่นแน่ะ คืนนั้นฟ้าครึ้ม เมฆหนาลอยต่ำ เสียงฟ้าดังครืนๆ มาแต่ไกล สังเกตว่ารถราชักจะแล่นหนีฝนกันเร็วปรื๋อ ผมบอกให้เจ้ามิตรจอดส่งที่ปากซอย แต่เพื่อนยืนกรานจะไปส่งถึงบ้านในซอยให้ได้

"อั๊วไม่อยากให้ลื๊อเจอฝนกลางทางว่ะ" ผมยืนยันเหตุผล "ถนนเปียก ทางลื่นน่ะ มันอันตรายแค่ไหนใครก็รู้...เอ้า! จอดโว้ย!"

เจ้ามิตรยอมแพ้ เบรกรถที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่าก่อนถึงปากซอยนั่นเอง ผมขอบอกขอบใจเพื่อนแล้วลงมาโดนลมดึกกระโชกวูบ มองท้ายรถเจ้ามิตรแล่นห่างออกไป พร้อมกับก้าวยาวๆ เลี้ยวซ้ายเข้าซอย...

ฟ้ามืดทึบเป็นสีหมึก ทันใดก็ปรากฏแสงขาวจ้าแลบวาบเป็นทางยาว เหมือนมีงูตัวใหญ่กำลังเลื้อยปราดอยู่บนฟ้า ก่อนที่เสียงเปรี้ยงปร้างจะตามติดมาจนแก้วหูแทบสะเทือน

จากแสงฟ้าแลบนั่นเอง ที่ทำให้ผมมองเห็นศาลเจ้าเก่าแก่หลังนั้นโดดเด่น สว่างโพลงอยู่เต็มม่านตา...เสียงฟ้าจางหายแต่มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังขึ้นแทนที่ เล่นเอาผมชะงักเท้า หันไปจ้องมองเหมือนถูกมนต์สะกด...

เด็กๆ กลุ่มใหญ่กำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะเริงร่าดังก้องไปในอากาศและแสงสว่าง...แม้ว่าแสงจากฟ้าจะหายไปแล้ว แต่คงมีแสงจากเสาไฟเข้ามาแทนที่

คุณพระช่วย! ไอ้เลี้ยบ ไอ้แบน ไอ้อึ่ง...ที่วิ่งไปทางศาลเจ้าแล้ววนกลับมาก็คือใบหน้ากลมแป้นของไอ้เอียงนั่นเอง!

นอกจากนั้นยังมีเพื่อนๆ ที่ผมเคยคิดว่าจำหน้าไม่ได้แล้ว กำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนลานกว้างราบเรียบ ไม่มีหญ้าขึ้นรกและป่าละเมาะรกเรื้ออีกต่อไป...อาแปะยืนลูบเครามองมายิ้มๆ

พิษเหล้าแน่ๆ ที่ทำให้ผมมองตาลาย จนเห็นภาพของเพื่อนเก่ากำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ...สรรพสิ่งเลือนหายเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำ มีแต่เด็กๆ กลุ่มใหญ่วัยสิบขวบที่วิ่งเล่นกันครืนๆ อยู่ในแสงไฟ

ผมขยี้ตาเพ่งมอง...อ้าว? ไอ้แบนหายไปไหนแล้ว? อ๋อ! มันวิ่งหันหลังให้ แต่พอหันกลับมาก็เล่นเอาผมผงะหน้า เบิกตาโพลง...ไอ้แบนกลายเป็นผมในพริบตานั้นเอง!

เด็กๆ กลุ่มนั้นยังวิ่งเล่นเฮๆ กันต่อไป แต่ชักเหลือน้อยลงทุกทีราวครึ่งต่อครึ่ง...ไม่ช้าไอ้เลี้ยบก็หายไปอีกคน แต่คราวนี้ไม่มีใครมาแทน...ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวคึกคะนองเหล่านั้นจะค่อยๆ ช้าลง...ช้าลงทุกที...จนกระทั่งเด็กทุกคนและตาแป๊ะเคราขาวหันมายืนนิ่ง จ้องมองผมอย่างเยือกเย็นเป็นตาเดียวกัน...ก่อนที่ภาพต่างๆ จะเลือนรางจางหาย กลายเป็นความว่างเปล่าที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกเรื้ออยู่หน้าศาลเจ้าตามเดิม

ผมเดินเซซังกลับบ้าน...พร่ำบอกตัวเองว่าพิษเหล้าแท้ๆ ที่ทำให้ผมตาลายไปได้ถึงปานนั้น...จิตใต้สำนึกต่างหากที่ทำให้ผมเห็นภาพที่อยากเห็น ไม่ใช่ผีสางอะไรหรอก...แต่ทำไมนึกถึงแล้วขนลุกซ่าก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2551

12 ธันวาคม 2559

คืนสุดท้าย

"ระริน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่า

ดิฉันเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับหอพักผีสิงมานับไม่ถ้วน รวมทั้งได้รับรู้รายละเอียดที่คล้ายคลึงก็มี แตกต่างกันไปก็ไม่น้อย ส่วนมากมักจะเป็นผู้เช่าคนก่อนๆ ล้มตายอยู่ในห้อง ทั้งตายเองตามธรรมชาติ และโดนฆาตกรรมสุดสยอง

ใครไม่รู้เรื่องแล้วไปเช่าอยู่ต่อ มักจะโดนหลอกจนแทบเป็นบ้าเป็นบอไปตามๆ กัน ขนาดคนที่ทำงานในหอพักหรือห้องเช่ายังโดนหลอกกระเจิงเลยค่ะ

พูดถึงการโดนหลอกก็มีแบบต่างๆ น่าสนใจไม่น้อยนะคะ

ส่วนมากมักจะเป็นตอนกลางคืน ที่เชื่อกันว่าผีจะมีพลังมาก เช่น มาเคาะประตูเรียก แต่เมื่อไปเปิดดูก็ไม่เห็นใคร โดนบ่อยๆ จนมั่นใจว่าถูกผีหลอกแน่เลย! มีทั้งทีวีเปิด-ปิดเองบ้าง บางเรื่องก็ได้ยินเสียงใครอาบน้ำซ่าๆ ทั้งที่ในห้องนั้นมีตัวเองนอนหลับอยู่คนเดียวแท้ๆ

บางทีก็มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ดังแว่วอยู่ในห้องมืดสลัวและเยือกเย็น ที่ร้ายกว่านั้นก็คือมองเห็นร่างตะคุ่มๆ นั่งซุกอยู่มุมห้อง แต่นัยน์ตาจ้องเขม็งบ้าง เดินเหมือนลอยเข้ามาถึงเตียงจนสะดุ้งตื่นบ้าง หลายๆ รายก็ฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีน่ากลัวมาหลอกหลอนจนอยู่ไม่ไหวก็มี

แต่เรื่องขนหัวลุกที่ดิฉันประสบมานั้น ค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าเรื่องต่างๆ ดังกล่าว...แถมน่าสยดสยองพองขนจนแทบจะพูดได้เต็มปากว่า ไม่มีใครเคยโดนผีหลอกชนิดสาหัสสากรรจ์อย่างดิฉันแน่นอนเลยค่ะ!

พวกเราเป็นนักศึกษาปีแรกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถวรังสิต หอพักที่นั่นเต็มหมด ดิฉันกับแต้วซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.ต้น มาเข้าเรียนที่เดียวกัน บ้านอยู่แถวคลองเตยกับพระโขนง เลยตัดสินใจไปเช่าห้องพักอยู่ที่ตลาดใหม่ ดอนเมือง ถือว่าไม่ไกลจากที่เรียนมากนัก

บอกตามตรงว่าเรากลัวผีทั้งคู่ เช่าห้องอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ช่วยกันแชร์ค่าห้องก็ถือว่าแฟร์ดีแล้วนะคะ

เราถือกุญแจห้องคนละดอก จะได้ไม่มีปัญหาเวลากลับไปไม่พร้อมกัน ส่วนมากจะเป็นแต้วที่มีนัดกับเพื่อนๆ ทั้งหญิงและชาย บางคืนก็กลับห้องพัก แต่บางคืนก็โทร.มาว่าจะไปค้างบ้านเพื่อน ไม่ต้องเป็นห่วง

ถ้าคืนไหนเธอไม่บอกว่าจะค้างที่อื่น ดิฉันจะใส่กลอนหลังจากล็อกประตูแล้ว ถ้าแต้วกลับเร็วก็แล้วไป แต่ถ้ากลับช้าก็ต้องมาเคาะเรียก...ดิฉันไม่อยากเสี่ยงค่ะ

จนกระทั่งคืนเกิดเหตุ ตรงกับวันศุกร์ต้นเดือน!

แต้วออกไปกับเพื่อนๆ ตามเคย ดิฉันหาอะไรกินก่อนขึ้นห้องที่อยู่ชั้นสาม...อาบน้ำแล้วก็เปิดทีวีดูข่าว ดูสารคดีอยู่จนราวสี่ทุ่ม นึกถึงแต้วว่าคงจะเฮ้วๆ อยู่กับเพื่อนที่อาร์ซีเอกว่าจะกลับปาเข้าไปตีสองตีสาม ดับไฟเข้านอนดีกว่า...

ไม่ทราบว่าอ่อนเพลียหรืออะไรแน่ แต่รู้สึกว่าหัวถึงหมอนก็หลับผล็อยไปเลย...มารู้สึกตัวว่าแต้วเข้าห้องมาก็ดึกมากแล้วค่ะ ไม่ได้ลืมตาดูนาฬิกา สักพักก็ได้ยินเสียงอาบน้ำซู่ๆ เตียงไหวยวบ ดิฉันเลยหลับต่อจนรุ่งเช้า...

แต้วไม่ได้อยู่ในห้องหรอกค่ะ นึกถึงประตูก็ใจหาย รีบถลาไปดูก็เห็นแค่ล็อกไว้อย่างเดียว...ตายจริง! เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนดิฉันง่วงนอนจนลืมใส่กลอน โชคดีนะที่ไม่มีใครใช้กุญแจผีไขเข้ามาน่ะ!

ว่าแต่แต้วหายไปไหนแต่เช้า? ไม่บอกกล่าวกันซักคำ

นึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ โทร.ลงไปถามพนักงานข้างล่างว่ามีใครมาส่งแต้วหรือเปล่า? ไม่อยากถามว่าแต้วมาตอนไหนเพราะฟังดูพิกลๆ ก็ได้คำตอบว่าไม่เห็นแต้วกลับมาเลย

โธ่! เพิ่งนึกได้ว่าโทร.เข้ามือถือเพื่อนง่ายที่สุด แต่เกิดปิดเครื่องซะอีก! ดิฉันเลยจัดการลงไปซักผ้า กินแซนด์วิชทูน่ากับนมสดเป็นอาหารเช้า ดูทีวีเพลิดเพลิน นึกถึงแต้วขึ้นมาเลยโทร.เข้าไปอีกครั้ง...บ้าจัง! ปิดเครื่องตามเคย

จนเย็นก็ยังติดต่อไม่ได้ ตัดสินใจโทร.ไปบ้านแต้ว ได้รับคำตอบว่าไม่ได้กลับบ้านหรือโทร.หาใครเลย...เกิดอะไรขึ้น? แต้วเป็นอะไรไปหรือเปล่า?

พ่อแม่เธอโทร.หาดิฉันตลอด บอกว่าไปแจ้งความแล้ว วันจันทร์ไปเรียนก็ไม่เห็นแต้ว เพื่อนๆ ที่แต้วไปด้วยบอกว่าแต้วเจอเพื่อนเก่าเลยแยกทางไป...ไม่รู้หายสาบสูญไปไหนกัน?

คืนนั้นเธอกลับมานอนกับดิฉันนี่นา! หรือว่า...

ดิฉันขนหัวลุกเมื่อจดจำได้อย่างแม่นยำแล้ว คืนนั้นดิฉันทั้งล็อกประตูและใส่กลอน ทำแบบนี้ทุกครั้งถ้าแต้วยังไม่กลับ...แน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงเรียก เสียงเคาะประตูและไม่ได้ลุกไปถอดกลอนให้แต้วอย่างแน่นอน!

แล้วใครเล่าที่เข้าห้องมาอาบน้ำ มานอนบนเตียง ก่อนจะสาบสูญไปเมื่อตอนเช้า?

เรื่องยังเป็นความลับมาปีเศษแล้ว ดิฉันย้ายหอพักตั้งแต่แน่ใจว่าแต้ว-เพื่อนรักคงจะมาล่ำลาดิฉันไปตลอดกาล...ทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบเธอเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 พฤษภาคม 2551

08 ธันวาคม 2559

ผีดิบในบ้าน

"ลินดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อรับผีดิบมาอยู่ด้วย

คนรับใช้สมัยนี้หายากยังกะงมเข็มในมหาสมุทร เรียกเงินเดือนสูง ทำงานไม่คุ้ม เล่นตัว เอะอะก็ขู่จะลาออกตะพึด! คนรับใช้ดีๆ ก็ยิ่งยากเข้าไปอีกร้อยเท่าพันทวี มิหนำซ้ำตอนนี้ใครๆ ก็แจ้นกลับบ้านนอกไปทำนาดีกว่า เพราะข้าวราคาเหมือนทองคำเข้าไปทุกวัน!

เฮ้อ...ไม่อยากจ้างก็ไม่ต้องจ้างสิ แต่ดิฉันจำเป็นค่ะ บ้านของดิฉันที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณพ่อนี่ค่อนข้างใหญ่โตเอาการ พ่อกับแม่อายุเกือบ 90 ปียังอยู่ทั้งคู่ แถมสบายดีและไม่ขี้บ่นหรือทำตัวยุ่งยาก นอกจากนั้นยังมีสามีและลูกชายวัยรุ่นอีกสามคน หมาอีกสามตัว แถมด้วยนกและกระต่ายที่ลูกชายซื้อมาเลี้ยง แต่จริงๆ แล้วดิฉันนี่แหละเลี้ยง

พูดตรงๆ ว่าไม่ไหวค่ะ คนเดียวรับทั้งบ้าน! ตั้งแต่กวาดถู ซื้อกับข้าว ทำกับข้าว เก็บกับข้าว ล้างถ้วยชาม ซักผ้า...ยังสาธยายไม่หมด นี่ล่ะ...ดิฉันเลย! ขอมีลูกมือสักคน...เมื่อก่อนเคยมี ชื่อป้านิดหน่อย เป็นคนร้อยเอ็ด ตอนนี้ขอไปทำนาซะแล้ว ทิ้งให้ดิฉันต้องลุยงานบ้านทุกอย่างเองอยู่สามเดือนเต็มๆ น้ำหนักลดไปหลายกิโล แต่โรคความดันพาลเล่นงาน

ในที่สุด คนรับใช้ข้างบ้านก็มาบอกข่าวดีว่าได้คนมาแล้ว!

"คุณจะเอาไหม? มันเป็นเด็กไทยใหญ่ ยังไม่ได้ทำบัตร เพิ่งได้มาเนี่ย"

ฟังเงินเดือนที่เสนอขอมาแล้วก็ใจวูบเหมือนกัน แต่เอาเถอะ พอทนได้ และต้องบอกไม่ให้ออกไปไหน เดี๋ยวโดนจับ ! ดิฉันจะจ่ายตลาดเอง รอว่าเมื่อไหร่ทางการเขาเรียกให้ทำบัตรก็จะพาไปทำ

วันรุ่งขึ้น น้องมด-คนรับใช้ข้างบ้านก็พาเด็กสาวคนหนึ่งมากดออดหน้าบ้าน พอเห็นเข้าดิฉันก็ถึงกับสะดุ้ง

เจ้าหล่อนผอมมาก สูงชะลูด ที่จริงก็คงจะประมาณร้อยหกสิบกว่าๆ แต่ความผอมทำให้ผมดูเก้งก้าง แขนขาเหมือนกิ่งไม้เล็กๆ แห้งๆ ดำๆ ทว่า ใบหน้าเธอกางแทบจะเป็นสี่เหลี่ยม เกือบจะกลมยังไงพิกล จมูกแบน คิ้วบางแทบไม่มีเลย ตาขายมีแววแข็งๆ หัวแบนแต๋ ผมน้อย เส้นเล็กๆ แห้งๆ

แบบนี้จะทำงานไหวหรือเนี่ย? แต่ดิฉันไม่มีทางเลือกนี่คะ!

เจ้าหล่อนคนนี้ชื่อ "เปิ้ง" เธออยากให้เรียกเธอว่า "โฟว์" แต่ดิฉันบอกว่าเป็น "เปิ้ล" แล้วกัน เธอเลยเรียกตัวเองว่า "น้องเปิ้ล"

นังเปิ้ลนี่อายุแค่สิบห้า พูดน้อย เสียงแหบๆ ต่ำๆ ฟังไม่ชัด ดิฉันต้อง "อะไรนะ" อยู่ตลอดเวลา แถมพูดภาษาไทยไม่ได้มากเท่าไหร่ ต้องค่อยๆ สอนกันไป งานก็ไม่ดีหรอกค่ะ...ก็ค่อยยังชั่วที่มีคนมาช่วยกวาดบ้านถูบ้าน แต่เผลอไม่ได้นะคะ บางวันเธอคว้าผ้ามาถูบ้านโดยไม่ได้กวาดซะก่อนก็มี

อีกอย่างที่น่าโมโหคือ เธอเอาแต่นอน...นอนทั้งวัน! ถูบ้านตอนเช้าเสร็จก็เข้าห้องปิดประตูนอนเลย ชอบนอนกับดูทีวี และคุยมือถือเหมือนมันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในกายเธอ

วันหนึ่ง ดิฉันต้องการเรียกให้มาช่วยรีดผ้า เธอหลับสนิท ห่มผ้า หันหน้าเข้าข้างฝา ดีแต่ว่าไม่ได้ล็อกประตู ดิฉันเดินถึงตัวแล้วก็เอื้อมมือไปเขย่า แต่พอก้มตัวลงไปก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาคล้ายกลิ่นศพแห้งๆ ยังไม่ทันไรเธอก็พลิกตัวหันมา หน้าตาเธอเหมือนศพจริงๆ บอกไม่ถูก แต่มันสยองจนดิฉันขนลุก

เธออยู่ได้เดือนกว่าๆ คนในซอยนี้ก็เริ่มซุบซิบว่า บ้านดิฉันมีผี!

จริงๆ แล้วก็คือน้องเปิ้ลนี่ล่ะค่ะ ที่ชอบเดินท่อมๆ ตอนดึกๆ ตีสองตีสาม บางทีก็ยืนเบิ่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ริมรั้วที่เป็นเหล็กโปร่งๆ คนเดินกลับจากไปเที่ยวดึกๆ ผ่านมาเห็นเข้าก็สะดุ้งสิคะ

มีคนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มๆ กลับจากบ้านเพื่อนตอนตีสอง เดินเข้าซอยคนเดียว พอผ่านบ้านดิฉันเขาได้ยินเสียงแหบๆ ก็หันไปมอง เห็นร่างผอมๆ สูงๆ ยืนริมรั้วใต้ต้นมะม่วงกำลังเพ่งมองเขาแบบขำๆ ไฟถนนที่ส่องสว่างทำให้เห็นชัดว่าเจ้าหล่อนค่อยๆ แลบลิ้นยาวออกมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงหน้าอก...เขาตกใจซะไม่มี เผ่นแน่บ!

ทีแรกดิฉันคิดว่าเปิ้ลนอนกลางวันมากไป กลางคืนเลยไม่หลับ แต่ปรากฏว่าการที่ชอบไปยืนหลอกผู้คนอยู่ริมรั้วเป็นกิจวัตรที่เธอชอบมาก

พ่อแม่ สามีและลูกชายดิฉันก็เห็นพฤติกรรมน่าขนหัวลุกของเธอเสมอ โดยเฉพาะกลิ่นเน่าแปลกๆ และการที่นก กระต่าย กับพวกหมาๆ แสดงอาการหวาดกลัวเธอเป็นประจำ

พอถามคนที่พาเธอมาก็ได้ความว่า เปิ้ลคนนี้เคยตายแล้วฟื้น! เธอตายไปได้วันเต็มๆ เขาจะเผาแล้ว...ดันฟื้น! อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม่ของเธอเองยังกลัวแทบตาย กลัวจนอยู่ด้วยไม่ได้ ผลก็คือเอาตัวมาทำงานกรุงเทพฯ ดีกว่า ได้เงินด้วย ห่างตัวด้วย ไม่ต้องลุ้นว่ามันจะแหกอกให้ดูวันไหน?

ลงแบบนี้ดิฉันเลยขอคืนตัวเธอไป จะไปอยู่ที่ไหนก็เรื่องของเธอ ดิฉันยอมเหนื่อยจนกว่าจะหาคนใหม่ได้ ดีกว่ามีคนใช้เป็นผีดิบ! จริงมั้ยคะ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2551

ของฝากจากวิญญาณ

"ใหม่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลาดพร้าว

ผมเป็นคนลพบุรีก็จริง แต่มาเติบโตที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่จำความได้ จนกลายเป็นคนกรุงเทพฯ เต็มตัว สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก พี่สาวพ่อกับสามีไร้บุตรเลยขอผมเป็นลูกบุญธรรม ตั้งแต่แรกเกิดจนเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้ว

บ้านเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ กันหรอกครับ ไม่ว่าลุงใหญ่หรือป้าเพ็ญ อาจจะเป็นเพราะเรียนหนังสือสูงๆ จนได้ปริญญาทางบัญชีมาทั้งคู่ เรียกว่าทำงานทางบัญน้ำบัญชีจนมีสิทธิ์เป็น "ผู้สอบบัญชี" ของบริษัทห้างร้านทั่วไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็แล้วกัน

ผมถือว่าตัวเองก็มีการศึกษาได้การ ปีหน้าจะได้บัณฑิตทางวิศวะอยู่แล้ว เลยพลอยไม่กลัวผีไปอีกคน...ข้อสำคัญก็คือบ้านที่อยู่แถวลาดพร้าวน่ะผู้คนคึกคัก รถราคลั่กๆ จนผีเผ่นอ้าวไปหมดแล้วละมั้ง?

เรื่องขนหัวลุกนี่เกิดเมื่อหลังสงกรานต์หยกๆ นี่เองครับ!

ลุงใหญ่กับป้าเพ็ญเพิ่งเกษียณได้ 2-3 ปีมานี้เอง ลุงบอกว่าเหนื่อยมานานแล้วขอพักผ่อน อยากมีเวลาปลูกต้นไม้ต้นไร่ให้สบายใจ ป้าเพ็ญบอกว่าไม่อยากอยู่เฉยๆ ยังไม่เจ็บไข้ กินได้อยู่ได้ก็ต้องทำงานด้วย คนเราไม่ควรจะอยู่ไปวันๆ หรือหายใจทิ้งไปเปล่าๆ

"งานคือศักดิ์ศรีของมนุษย์!" ป้าเพ็ญชอบพูดติดปาก อาจจะเจตนาสั่งสอนผมทางอ้อมก็ได้ โดยรับ "สอบบัญชี" ที่บ้าน ดูเหมือนจะเรียกว่า "งบดุลบัญชีรับ-จ่ายประจำปี" มีลูกค้าที่เป็นบริษัทตรวจบัญชีมากมาย พอหลังตรุษจีนก็ทยอยกันมาแล้ว ยิ่งเมษาฯ - พฤษภาฯ ใกล้จะหมดเวลายิ่งหอบกันเป็นปึกๆ จนถึงลังๆ และหลายลังมาส่งถึงบ้าน

ทุกรายล้วนแต่ขอร้องให้รีบๆ ทำให้ทันเวลาด้วยกันทั้งนั้น!

เวลาที่ว่าคือ 5 เดือนครับ นับจากวันที่ 1 มกราคม หมดเขตสิ้นเดือนพฤษภาคม ไม่งั้นโดนปรับหน้าแก่จริงๆ ด้วยเอ้า อย่าทำล้อเล่นไปเชียว

อ้อ! กระทรวงพาณิชย์นะครับที่นับ 5 เดือน แต่กระทรวงการคลังไม่อยากเอาอย่างเลยมีกฎเกณฑ์เป็นนับ 150 วัน ยิ่งปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน...ยิ่งต้องรีบกันน่าดู

ป้าเพ็ญทำคนเดียวไม่ไหวหรอกครับ ต้องจ้างผู้ช่วยมา 2 คน ตั้งโต๊ะเข้าที่ห้องรับแขกนั่นแหละ แฟ้มหนาๆ กับเอกสารกองท่วมหัว ก้มหน้าก้มตาอยู่ที่คอมพ์ กับโต๊ะหนังสือแทบทั้งวันก็ว่าได้

ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ตอนมีนาคม - เมษายน งานชุกขึ้นเรื่อยๆ จังหวะที่ผมหยุดเรียนพอดีแม้ว่าจะไม่ถนัดเรื่องบัญชีก็ช่วยป้าเพ็ญเรื่องรับแขก ส่วนมากก็มาส่งเอกสารบ้าง เอาของฝากพวกขนมและผลไม้มาบ้าง พอถึงเมษายนก็ทยอยกันมาส่งงาน ยิ่งพฤษภาคมด้วยแล้ว ยิ่งต้องเร่งกันจ้าละหวั่น ใครมาก่อนได้ก่อน บางรายมารับงาน - ส่งเงิน แบบยื่นหมูยื่นแมวก็มี

บางคนแยะเอาของฝากมาให้แล้วถือโอกาสพูดคุยกับป้าเพ็ญ บางคนไม่ว่างมาก็วานลูกหลานบึ่งรถมาส่งงาน - รับงาน ส่งเงิน มักมีของฝากติดไม้ติดมือเป็นประจำ

เดือนเมษายน - พฤษภาคม นี่ของฝากเยอะครับ ส่วนมากจะเป็นขนมอร่อยๆ จากเมืองเพชรเพราะเขาไปเที่ยวหัวหินกัน หรือไม่ก็เป็นผลไม้พวกส้ม, มังคุด, ลองกอง, ทุเรียน ฯลฯ จากเหล่าลูกค้าที่เพิ่งกลับจากเที่ยวภาคตะวันออก

วันนั้นฟ้าครึ้มฝนมาตั้งแต่บ่าย ลุงใหญ่คงจะดูทีวีอยู่ชั้นบน ไม่อยากรบกวนสมาธิป้าเพ็ญกับลูกน้องที่กำลังทำงานกันอย่างคร่ำเคร่ง ผมหลบมาอ่านข่าวสงกรานต์ที่เฉลียงหน้าบ้านอันร่มรื่น... พลอยตื่นเต้นไปกับการ "นับศพ" ที่สูสีพอๆ กับปีกลาย...พอดีเสียงจักรยานยนต์แล่นมาจอดหน้าประตูรั้ว

"เมฆ" หนุ่มรุ่นน้องผมนั่นเอง...รีบลุกไปเปิดประตูเล็ก เมฆ ถอดหมวกนิรภัยออกหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ส่งถุงใส่ส้มโอขนาด เบ้งๆ กับลิ้นจี่ถุงใหญ่ บอกว่า "พี่นุช" หนึ่งในลูกค้าที่สนิทกับป้าเพ็ญไปเที่ยวแม่กลองเพิ่งจะกลับ เลยให้เอาลิ้นจี่กับส้มโอมาฝาก

"ผมไปก่อนละพี่ เดี๋ยวหนีฝนไม่ทัน!"

เมฆล่ำลา ผมขอบอกขอบใจเขา กำชับให้ขี่รถระวังด้วย ตอนนี้กรุงเทพฯ รถแน่นถนนพอๆ กับก่อนสงกรานต์แล้ว...ปิดประตูเอาของฝากไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร บอกป้าเพ็ญว่าพี่นุชให้เมฆเอาส้มโอกับลิ้นจี่จากแม่กลองมาฝาก ป้าเพ็ญบอกลูกน้องทั้งสองให้แบ่งลิ้นจี่ไปกินกัน

แทบไม่ขาดเสียง พี่นุชก็โทร.มาบอกข่าวร้ายว่าเมฆเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน คอหักตายคาที่! ป้าเพ็ญตกใจมาก บอกว่าไม่น่าให้เมฆเอาของฝากมาให้ตอนนี้เลย ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้น...แต่พี่นุชกลับตกใจมากกว่า ถามว่าป้าผมรู้ได้ยังไงในเมื่อเมฆถูกรถชนตอนเพิ่งออกจากปากซอยบ้านนี่เอง! แต่ถุงผลไม้หายไปไหนก็ไม่ทราบ

คุณพระช่วย! วิญญาณของเมฆมุ่งมั่นบึ่งรถนำของฝากมาถึงบ้านเราจนได้...ลูกน้องป้าเพ็ญรู้เรื่องก็หน้าขาวซีด ไม่มีใครยอมรับลิ้นจี่ซักคน!

วันรุ่งขึ้น ป้าเพ็ญแก้ปัญหาด้วยการแบ่งของฝากเป็นถุงๆ ใส่บาตรพระทั้งหมดเลยครับ ผมเองได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ทีไรก็ใจหายอยู่หลายวัน กลัวเมฆจะโผล่มาหาอีกน่ะซีครับ! บรื๋ออออ....

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 พฤษภาคม 2551

07 ธันวาคม 2559

ห้องผีอยู่

"ต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่า

ผมเป็นคนหนึ่งละครับที่กลัวผีสุดๆ ยอมรับกันอย่างลูกผู้ชายอกสามศอก วัยเบญจเพส มีการศึกษาปานกลางคือจบมาทางด้านชีวะ จะว่าเกี่ยวกับการศึกษาคงไม่ใช่ เพราะคนจบ ป.4 แต่ไม่ยักกลัวผีก็มีถมเถไป ส่วนคนจบปริญญายังสังกัดบริษัทตาแหกก็มีตั้งหลายคน

บ้างก็ว่าคนกลัวผีเพราะไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่? จะมาหลอกหลอนเอาซึ่งๆ หน้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมอาจจะมาหลอกโดยที่มองไม่เห็นตัวอีกต่างหาก เช่นมาแต่เสียงแปลกๆ เช่น เสียงดิน เสียงสะอึกสะอื้น แม้แต่เสียงถอนใจเฮือกใหญ่อยู่ข้างหู

บางทีก็มาหลอกด้วยกลิ่น เช่นตอนกลางคืนได้กลิ่นเหม็นเน่าล่องลอยเข้ามาในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อย หรือไม่ก็เป็นกลิ่นธูปควันเทียน โดยเฉพาะกลิ่นน้ำอบไทยเย็นๆ โชยกรุ่นน่าขนลุกอย่าบอกใครเชียว

บ้างก็บอกว่าคนเรากลัวผีเพราะกลัวความมืดต่างหากล่ะ!

สาเหตุเพราะไม่รู้ว่าในความมืดจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง ถ้าเปิดไฟสว่างจ้าก็จะหายกลัวทันที! เรื่องนี้ก็เข้าเค้านะครับ เพราะส่วนมากมีแต่คนโดนผีหลอกตอนกลางคืนทั้งนั้นแหละ ตอนกลางวันแดดสว่างโร่ยังไม่ได้ข่าวว่ามีใครถูกผีหลอก

ผีคงกลัวแสงอาทิตย์เหมือนกันทั้งโลก ดูอย่างผีดิบแดร๊กคิวล่าซีครับ พอรุ่งอรุณจะรีบมุดหัวเข้าโลงปิดฝาแน่น ไม่ยอมโผล่ออกมาจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ในหนังฝรั่งจะเห็นหมอผีหลอกล่อพวกผีดิบให้จำเป็นต้องขึ้นจากโลง โดนแดดเผาจนกลายเป็นฝุ่นมานับไม่ถ้วน

ผมเองน่ะกลัวผีเพราะต้องอยู่คนเดียวน่ะซีครับ!

ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาก แค่นึกภาพว่าต้องนอนคนเดียวในห้องเช่าที่ห้วยขวางใกล้ๆ กับย่านสุทธิสารก็ขนลุกแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีตึกรามบ้านช่องเยอะแยะ ผู้คนคลั่กๆ ก็จริง แต่ต่างคนต่างอยู่นี่นา...ใครที่ต้องเช่าห้องอยู่เดียวดายเหมือนผมคงจะซาบซึ้งดี ว่ามันมีทั้งความหงอยเหงากับวังเวงใจจนกลัวผีแค่ไหน?

ห้องเช่าแคบๆ แค่ตั้งเตียงกับตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้งกับโต๊ะเก้าอี้แบบพับได้...แค่นี้ก็เกือบเต็มห้องแล้วครับ ยังดีที่ไม่ต้องใช้ห้องน้ำรวม

ตอนกลางวันผมไปทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ มีเวลาอยู่ในห้องเช่าก็เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นแหละ เรื่องเพื่อนข้างห้องน่ะผมไม่คบหากับใคร เพราะแทบไม่เจอหน้ากัน ตื่นเช้าก็เผ่นออกไป ค่ำมืดกลับมาก็หมดเรี่ยวแรง อยากจะอาบน้ำทุ่มตัวขึ้นเตียงเพราะเมื่อยล้ามาทั้งวัน

ระยะหลังๆ ผมชักสงสัยว่าจะมีผีผู้หญิงอยู่ในห้องผมด้วย!

สาเหตุเพราะผมมักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อยๆ คล้ายกับมีใครมาเดินวนเวียนอยู่ข้างเตียง บางทีก็ชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ บางคืนก็มีเสียงสะอื้นมากระทบหู ลืมตาตื่นขึ้นมองไปรอบๆ ห้องก็ไม่เห็นอะไร

บางคืนก็ฝันเห็นผู้หญิงผมยาว หน้าขาวซีดยืนอยู่หน้าประตูห้อง...ตาสบตาเขม็งก่อนจะลอยช้าๆ เข้ามาหาจนผมตกใจสะดุ้งตื่นแต่ก็ไม่เห็นอะไรตามเคย

ก่อนจะประสาทเสียผมก็ตัดใจว่า...คนอยู่ส่วนคน ผีอยู่ส่วนผี อย่ามาหลอกหลอนกันเลย ผมยิ่งเป็นคนกลัวผีอยู่ด้วย...แต่กลับฝันแปลกๆ บ่อยขึ้น บางคืนฝันว่าได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากตู้เสื้อผ้า หันไปมองก็เห็นผู้หญิงผมยาวนั่งกอดเข่าเบือนหน้ามามองผมอย่างวิงวอน...

ในที่สุดก็หมดความอดทน ต้องไปเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟัง...เจ้าหน่ำมองหน้าผมอย่างสมเพช ยืนยันว่าผมกลัวการอยู่คนเดียวไม่ใช่กลัวผี! แล้วออกปากว่าจะไปอยู่กับผมซักพักหนึ่งเพื่อพิสูจน์ว่าผีไม่มีจริง

คืนแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปาเลยครับ!

เรากลับมาที่ห้องพักราวห้าทุ่มเศษ อิ่มหนำจากสุราอาหารที่ผมเลี้ยงดูเพื่อนชนิดไม่อั้น แถมหิ้วเบียร์มาต่อกันอีกเพราะรุ่งขึ้นวันเสาร์ไม่ต้องไปทำงาน ผมเอาโต๊ะเก้าอี้ออกมากางนั่งซดเบียร์กันจนลืมเรื่องผีๆ สางๆ ซะสนิทสนม

ทันใดนั้นเอง เสียงกุกกักก็ดังแว่วมากระทบหูจนเจ้าหน่ำย่นคิ้ว เหลียวมองไปรอบๆ ห้องที่สว่างไสว...พิษเหล้าทำให้ประสาทช้า กว่าจะแน่ใจว่าเสียงนั้นดังมาจากตู้เสื้อผ้า

"ผีอยู่นี่เอง!" เจ้าหน่ำหัวเราะร่า ลุกปราดไปเปิดประตูตู้ผาง...แต่นอกจากเสื้อผ้าของผมแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย "สงสัยว่าหูแว่วไปเองว่ะ" ว่าแล้วก็กลับมายกกระป๋องเบียร์แหงนหน้าดื่มอั๊กๆ...แทบจะสำลักพรวดเมื่อเสียงสะอื้นเบาๆ ขาดเป็นห้วงๆ ดังขึ้นมาในบัดดล!

"อะไรวะ?" เจ้าหน่ำหันขวับไปพร้อมๆ กับผม ผู้นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป....ภาพที่เห็นคือผู้หญิงผมยาวนั่งกอดเข่าอยู่ในตู้ หันหน้ามาจ้องมองด้วยนัยน์ตาแดงก่ำปานแสงไฟ

เจ้าหน่ำกระเด้งขึ้นทั้งตัว พรวดเดียวไปถึงประตูห้องแต่มือสั่นจนถอดกลอนไม่ถูก ผมเผ่นตามไปช่วยจัดการจนสำเร็จ วิ่งกันแบบคนสติแตก...ผมต้องย้ายที่อยู่ ส่วนเจ้าหน่ำจับไข้ไปสามวัน ตอนนี้มันยอมรับกลัวผียิ่งกว่าผมด้วยซ้ำไป!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 พฤษภาคม 2551

06 ธันวาคม 2559

ฝันมรณะ

"แข่งแข" เล่าความฝันสยองที่กลายเป็นความจริง

คนเราเชื่อถือโชคลางมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว รวมทั้งความเชื่อถือทางไสยศาสตร์ ตั้งแต่การเสกน้ำล้างหน้า จะทำอะไรก็ต้องดูฤกษ์ดูยามทุกอย่าง ขนาดจะออกจากบ้านยังต้องสังเกตลมหายใจเลยค่ะว่าคล่องซ้ายหรือคล่องขวา จะได้ก้าวเท้านั้นออกไปก่อน

กระจกเงาแตกถือว่าโชคร้าย ได้ยินเสียงแปลกๆ ตอนกลางคืนห้ามทัก ถ้ามีแมวดำหรืองูเลื้อยผ่านหน้า จะไม่ออกจากบ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องไปก็จะต้องระมัดระวังอย่างมากที่สุด

สมัยนี้คนเรามีความจำเป็นต้องขวนขวายทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว จนกลายเป็นการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันมากขึ้นทุกที ไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องโชคลาง หรือสังหรณ์ต่างๆ อีกแล้ว... แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น แถมทำให้เกิดความวิตกกังวลได้อีกต่างหาก

นั่นคือ ความฝันไงคะ!!

ความฝันก็เหมือนโทรศัพท์ น้อยนักที่จะมีข่าวดีให้สบายใจกัน

มีท่านผู้รู้อธิบายความฝันไว้ว่าเกิดจากสาเหตุต่างๆ ทั้งความวิตกกังวล จิตใต้สำนึก โดยเฉพาะเป็นลางบอกเหตุ บางครั้งความฝันก็กลายเป็นความจริง เช่น มีผู้ฝันว่าเครื่องบินที่เดินทางไปวันรุ่งขึ้นจะเกิดอุบัติเหตุ เกิดความกลัวจึงยกเลิกการเดินทางเที่ยวนั้น...ปรากฏว่าเครื่องบินตก คนตายหมดทั้งลำ!

มีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดคนอื่นๆ ที่จะต้องขึ้นเครื่องบินมรณะลำนั้นจึงไม่ได้ฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเช่นนั้นบ้าง?

ดิฉันเองเคยมีความฝันน่าสยดสยองที่สุดมาเล่าสู่กันฟังค่ะ...

เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตไล่เลี่ยกันเพราะโรคหัวใจกับเบาหวาน ดิฉันกับพี่ๆ น้องๆ ไม่ได้ฝันถึงเลย มีคนพูดว่าท่านไปดีแล้วบ้าง ไปอยู่ในปรโลกที่ห่างไกลจากพวกเราบ้าง! แต่หลังจากนั้นราวปีเศษ ดิฉันก็ฝันเห็นพ่อแม่นั่งคุยด้วยที่ห้องรับแขก...ในฝันนั้นไม่รู้ว่าท่านเสียไปแล้ว! จนกระทั่งตื่นขึ้นมาจึงนึกได้ว่าเพิ่งจะฝันถึงพ่อแม่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ท่านตายจากไป

เมื่อเล่าให้พี่ๆ น้องๆ ฟังก็ปรารภกันว่า หลังจากทำบุญ 100 วันกับครบรอบหนึ่งปีแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำบุญให้พ่อแม่อีก อาจจะเป็นเพราะความคิดถึงที่อยู่ลึกๆ ที่เรียกว่าจิตใต้สำนึกก็เป็นได้ จึงได้เห็นพ่อแม่ในความฝันชัดเจน

ตกลงว่าพี่น้องร่วมมือกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อแม่และบุพการีทั้งปวง

อีกราว 3-4 วันต่อมา ดิฉันก็เกิดอุบัติเหตุ มีรถจักรยานยนต์วิ่งตัดหน้า หักรถยนต์หลบไปชนเสาไฟฟ้าริมทาง สลบคาที่ ต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันกว่าจะกลับมาพักฟื้นที่บ้านเกือบครึ่งเดือนจึงไปทำงานได้เป็นปกติ

พี่น้องมาเยี่ยมและพูดจาตรงกันว่า พ่อแม่ไม่ได้ขอส่วนบุญกุศลอะไรหรอก แต่มาเตือนให้ระวังตัวเท่านั้น!

ล่าสุด ดิฉันฝันเห็นน้องชายที่รับราชการอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้...

ภาพในความฝันเป็นเวลากลางวัน แม้จะไม่มีแสงแดดแต่ท้องฟ้าก็สว่างไสว อีกาฝูงหนึ่งกำลังบินว่อน...ดิฉันใจหายวาบเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน...อีกาเป็นสัตว์ที่กินซากศพ จึงเป็นสัญลักษณ์ของความตาย!

ทันใดนั้นเอง น้องชายดิฉันในชุดพรางก็วิ่งตรงเข้ามาหาเหมือนเป็นภาพในจอทีวี ใบหน้าบิดเบี้ยวที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด เสียงปืนดังกระหน่ำจนแก้วหูแทบแตก แต่ดิฉันกลับไม่สะดุ้งตื่น แถมยังเบิกตากว้างจ้องมองภาพสยองเบื้องหน้า...รู้อยู่เต็มอกว่าภาพของนรกจกเปรตอะไรที่กำลังจะอุบัติขึ้นมา?

น้องชายวิ่งเข้ามาหาช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น ตาต่อตาสบกัน เขายื่นมือมาข้างหน้าคล้ายจะตะเกียกตะกาย ไขว่คว้าขอความช่วยเหลือ ดิฉันได้แต่จับมือน้องชายเอาไว้แน่น

"พี่แข...ช่วยด้วย!!"

ไม่ทราบว่าเป็นเสียงดังตามธรรมชาติ หรือว่ามันมาดังกึกก้องอยู่ในจิตใจของดิฉันกันแน่? แต่เสียงปืนโหดร้ายก็ดังกระหน่ำเหมือนฟ้าผ่าติดๆ กันหลายครั้ง พวกฆาตกรกลุ่มหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาทางด้านหลัง ปืนในมือของพวกมันกระหน่ำยิงจนเห็นแสงไฟสีแดงพุ่งเป็นสายใส่ร่างน้องชายจนเลือดสาดกระจาย ปากอ้าค้าง นัยน์ตาเหลือกลาน เบิกโพลง บ่งบอกว่าชีวิตวิญญาณโบยบินออกจากร่างไปแล้วสิ้นเชิง

ดิฉันกรีดร้องเรียกชื่อน้องชายสุดเสียง...ลุกพรวดพราดขึ้นมาซบหน้าร้องไห้ สามีถามว่าฝันร้ายหรือ? ยังตอบอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้า ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น...เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาจนเรียบร้อย

อยากจะโทรศัพท์ถึงน้องสะใภ้ก็ไม่กล้า ใจเต้นโครมๆ อยู่ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์จากฝ่ายนั้นมาบอกข่าวร้าย...ทุกสิ่งเกิดขึ้นตรงกับความฝันสยดสยองของดิฉันทุกอย่าง แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านไปเป็นปีแล้ว แต่นึกถึงครั้งใดยังขนหัวลุกทุกครั้งเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 พฤษภาคม 2551

04 ธันวาคม 2559

เด็กจากสนธยา

"หนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในยามดึกเปลี่ยว

คืนนั้น ผมโทร.บอกแม่แล้วว่าติดฝน จะต้องค้างบ้านเพื่อนที่พุทธมณฑล แม่ไม่ต้องเป็นห่วง....ผมขับรถไปบ้านเจ้าพี-เพื่อนผมตั้งแต่ตอนเย็น....

ไปเป็นที่ปรึกษา เพราะมันสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกหน เจ้าพีเรียนที่เก่าไม่ไหวครับ ส่วนผมน่าจะขึ้นปีสองแล้วละ...เราคุยกันเพลินแล้วก็เล่นเน็ต เผลอแป๊บเดียวสี่ทุ่มแน่ะ มองออกนอกหน้าต่างเห็นฝนมาเต็มฟ้า ลมก็แรง ฟ้าแลบน่ากลัว เจ้าพีเลยชวนนอนค้าง

ว่าแล้วมันก็ไปขนเบียร์พ่อมาเลี้ยงผม ตัวมันน่ะซัดเข้าไปตั้ง 4-5 กระป๋อง ผมยังดื่มกระป๋องแรกไม่หมดเลย แต่ดูท่าเจ้าพียังไม่สะใจ ฝนตกแล้วมันเป็นบ้ารึไงก็ไม่รู้ ไปคว้าว็อดก้าของพ่อมาดื่มอั๊กๆ บอกว่าดื่มอยู่กับบ้านปลอดภัยกว่าไปตามผับตามบาร์ตั้งพะเรอ

ว่าแล้วมันก็เมา นอนแผ่หงายผลึ่ง สลบไสลฟิวส์ขาดไปตอนตีหนึ่งครึ่ง!

เอ...ผมกลับบ้านดีกว่า ฝนที่ตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนซาเม็ดแล้วนี่ ผมลงจากห้องเพื่อนไปลาพ่อที่ยังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง รบกวนให้ท่านเปิดประตูรั้ว พ่อเจ้าพีใจดีมากครับ ถามผมด้วยความเป็นห่วงว่าดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถได้หรือ? ผมตอบว่าดื่มไปแค่กระป๋องเดียวเอง ไม่มึนไม่เมา กลับบ้านที่เตาปูนได้สบายมาก

พ่อเพื่อนกำชับว่าถ้าถึงบ้านแล้วโทร.บอกด้วยนะ จะได้หายห่วง

ผมขับรถออกมาราวสามร้อยเมตรก็ถึงปากทาง ยามดึกสงัดนี่ดูเปลี่ยววังเวงกว่าปกติ อ้าว? รถผมดันเครื่องดับซะงั้น! สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด...แย่ละสิ! ผมนึกหวั่นๆ มองไปรอบๆ ก็กลัวอยู่เหมือนกัน บรรยากาศมันเหมือนฉากหนังสยองขวัญไม่มีผิด!

ไฟตัดหมอกสีเหลืองส้ม ส่องลงมาบนผิวถนนที่ยังเปียกฝน เห็นทางม้าลาย เกาะกลางถนน ฟุตปาธ ต้นไม้ใบหญ้า...ทุกอย่างดูสงบนิ่ง ทั่วบริเวณมีผมคนเดียวเอง

สูดลมหายใจยาวๆ แล้วทำใจกล้า เปิดประตูรถลงมา เฮ้อ! น่ากลัวชะมัด กลัวทั้งคนทั้งผี! ผมไม่ได้แขวนสร้อยพระมาด้วยซิครับ ในรถก็ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย ผมเชื่อว่าพระอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราทำดีทำกุศลก็คุ้มครองเราได้

ผมไม่ใช่คนประเภทตื่นเช้า ใส่บาตร สร้างพระ สร้างโบสถ์ หรือแม้แต่เข้าวัดเข้าวา ผมแค่ทำดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนอกจากตบยุง ถึงแม้ไม่เคยบริจาคเงินก้อนโตๆ ผมก็ชอบหยอดเหรียญหรือแบงก์ยี่สิบลงตู้บริจาคสำหรับเด็กกำพร้า เด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสอยู่เสมอ....

"รถเป็นอะไรฮะพี่?" ผมสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเล็กๆ แหบๆ ดังอยู่ระดับเอว ผมหันขวับไปดู...คนพูดเป็นเด็กตัวนิดเดียว หัวเกรียนกลมทุย ตาแป๋ว นุ่งกางเกงสีกากี สวมเสื้อยืดขาวๆ อายุคงราว 7-8 ขวบ...เด็กตัวแค่นี้มาทำอะไรบนถนนเปลี่ยวตอนเกือบจะตีสอง?!

ผมเพ่งให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผี แล้วตอบว่า "รถเสียน่ะสิ แล้วเรามาทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ ไม่นอนเรอะ? แม่ห่วงแย่ เป็นเด็กเป็นเล็กตัวกะเปี๊ยก"

"เข้าบ้านไม่ได้..." เสียงอ่อยน่าสงสาร ผมย่นคิ้วมอง "อ้าว? ทำไมล่ะ ไปทำอะไรเข้า โดนแม่โกรธเรอะ? กลับบ้านเถอะ แม่ไม่ว่าหรอกน่า"

"ไม่ช่ายยย..." เสียงลากยาวน่าเวทนา แต่ท่าจะดื้อน่าดูเอาการ

"บ้านอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวแก้รถได้แล้วพี่จะไปส่ง แล้วชื่ออะไรล่ะเราน่ะ?"

เด็กชี้มือไปทางซอยที่ผมเพิ่งออกมา ครั้นมองตามไปยังแนวไม้ที่เห็นมืดทะมึนอยู่ลิบๆ จริงๆ แล้วมันก็บ้านเจ้าพีนี่แหละครับ

"อยู่โน่น...ชื่อกอล์ฟ หลานยายดวง..." แน่ะ! บอกละเอียดเชียว....ผมพยายามแก้เครื่องยนต์ จับโน่นจับนี่ เอาโซแน็คซ์มาฉีดพ่นก็ยังสตาร์ตไม่ติด ตลอดเวลามีหนูกอล์ฟป้วนเปี้ยนเฝ้าดูอย่างสนใจ

"ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อน พี่กำลังกลัวๆ"

"พี่ไม่ต้องกลัว ผมมีเพื่อนแยะ..."

น่าขนลุกนะครับ ที่พอขาดคำก็มีเด็กเล็กๆ ราว 5-6 คนโผล่ออกมา แต่ละคนปั่นจักรยานออกมาจากความมืดในซอย มีเด็กผู้หญิงด้วย...เด็กพวกนี้มามุงดูผมเป็นกลุ่มเลย ในบรรยากาศเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นใต้ผืนฟ้าดำทะมึนยามดึกสงัด

ไม่กี่อึดใจรถยนต์ก็สตาร์ตติด เฮ้อ...โล่งอก! เด็กๆ ตบมือดีใจด้วย ผมจะไปส่งกอล์ฟที่บ้านตามสัญญา แต่แกยิ้มจนตาหยี แล้ววิ่งเล่นไปกับกลุ่มเพื่อนที่พากันขี่จักรยานคันเล็กๆ หายลับเข้าไปในซอย...

ผมกลับบ้านอย่างปลอดภัย แล้วโทร.หาคุณพ่อเจ้าพี เล่าว่าที่กลับบ้านช้าเพราะรถเสียที่ปากซอย...เล่าเรื่องกอล์ฟ-หลานยายดวงให้ฟัง พ่อเพื่อนอึ้งไปเลย

กอล์ฟหลานยายดวงน่ะตายไปเมื่อเดือนก่อน เป็นไข้แล้วปอดบวม ส่วนเด็กๆ กลุ่มนั้น คุณพ่อของพีเชื่อว่าบางคนตกน้ำตาย บางคนถูกรถชนตายแถวนั้น...อาจจะตายมานานแล้ว แต่วิญญาณยังวนเวียนไม่ไปไหน

คุณเชื่อไหมครับ? ผมเจอมาเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมบอกตัวเองว่า..เราเจอผีที่น่ารักและมีน้ำใจมากที่สุดในโลกเข้าให้แล้ว!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 2551

02 ธันวาคม 2559

เงือกสาวที่แม่ปิง

"คนเมือง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากดอยเต่า

เรื่องผีดุนี่ผมเคยได้ยินเขาโอ้อวดกันมานานแล้วละครับ ว่าวัดใกล้บ้านตัวเองมีภูตผีดุร้ายสาหัสกว่าวัดอื่นๆ หรือไม่ก็ที่ถนนหน้าบ้านมั่ง ซอยบ้านมั่ง ผีดุฉกาจฉกรรจ์ยิ่งกว่าถนนอื่นหรือซอยอื่นตั้งหลายเท่า

ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมถือโอกาสคุยซะเลย แม่น้ำปิงผีดุสุดยอด...สาเหตุเพราะไหลผ่านป่าดง ขุนเขาลำเนาไม้ มาจนถึงบ้านเมืองน้อยใหญ่ กลายมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยานั่นปะไร

ผมเคยเล่าเรื่องนักท่องเที่ยววัยชรามายืนชมวิวที่ชายหาดดอยเต่า ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังช็อกเพราะโรคหัวใจกำเริบในแพโน่นแน่ะ...พอเห็นเขานำตัวจากแพไปขึ้นรถพยาบาลถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นน่ะเป็นเจตภูตคนเป็นเท่านั้นเอง...ได้ข่าวว่าแกรอดตาย แต่เล่นเอาขนหัวลุกละครับ

ลำน้ำปิงไม่ได้มีแต่ภูตผีปีศาจเท่านั้น แต่มีเงือกสิงสู่อยู่อีกต่างหาก!

ไม่ใช่เรื่องเล่าขานเลื่อนลอยนะครับ แต่มีคนเห็นหลายราย ที่น่าแปลกคือเป็นเงือกสาว ไม่ใช่เงือกแก่ อาจจะเป็นเพราะวงจรชีวิตไม่ยืนยาวก็เป็นได้?

เดี๋ยว! อาจจะมีผู้คัดค้านว่าเงือกไม่ใช่ผีนี่นา!! แต่ว่าจัดอยู่ในประเภท "อมนุษย์" ตัวเป็นคน หางเป็นปลา อาศัยอยู่ในถ้ำหรือ "วัง" ลี้ลับจนเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ จะด้นดั้นไปถึง แต่ถ้าจู่ๆ ใครเห็นเงือกโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก็คงตกใจไม่ต่างกับโดนผีหลอก เผลอๆ ก็แทบจะหัวใจล่มสลายได้ง่ายๆ

คนดอยเต่าเคยเห็นเงือกมาเล่นน้ำตอนเช้ามืดบ้าง ตอนโพล้เพล้บ้าง บางคนเล่าว่าตอนแรกๆ ก็นึกว่าผู้หญิงมาอาบน้ำเล่นน้ำ แต่ที่ไหนได้ พอดำผลุบก็มีหางปลาโผล่ขึ้นมา! เล่นเอาหงายตึง ก้นจ้ำเบ้าไปเลย

เจ้าแก้วเพื่อนผมออกไปหาปลากับพ่อตอนกลางคืนเจอเงือกเข้าเต็มเปา!

คืนนั้นเดือนหงายสรรพสิ่งเงียบเชียบ มีแต่สายลมพัดวู่หวิวไปตามท้องน้ำกับดงไม้ชายฝั่ง จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังแว่วมากระทบหูคล้ายจะร้องเพลง แต่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไรแน่ เจ้าแก้วเหลียวซ้ายแลขวา แต่พ่อมันจุ๊ปากเป็นสัญญาณให้เงียบๆ ไว้ก่อน

ทันใดนั้นเอง เจ้าแก้วก็เหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งเงยหน้าอยู่บนชะง่อนหิน ใบหน้ากับทรวงอกเต่งตึงโดดเด่นอยู่ในแสงจันทร์ที่เจ้าหล่อนกำลังเพลินมอง...ดูเผินๆ ก็ไม่ต่างกับคนทั่วๆ ไป แต่ท่อนล่างของหล่อนเป็นปลา!!

"เงือก! เจ้าแก้วหลุดปากอย่างลืมตัว ใบหน้านั้นหันขวับมามองอย่างตกใจ ก่อนจะพุ่งพรวดลงน้ำท่วมกลางความตกตะลึงของสองพ่อลูก เจ้าแก้วเล่าว่าพ่อของมันพร่ำแต่ว่า...เงือก! เงือกจริงๆ กูนึกว่าพ่ออุ้ยแม่อุ้ยเล่านิทานให้ฟังซะอีก โอย...ทีนี้กูเชื่อแล้วว่ามีเงือกอยู่จริงๆ

ชาวเรือชาวแพก็เคยเห็นเงือกหลายคน แต่ที่น่ากลัวสุดๆ คือรายพี่อินแปง คนจอมทองที่มาหากินเป็นลูกจ้างชาวแพโดยสารประจำแม่ปิง

คืนนั้นเดือนเต็มดวง ลำน้ำและราวป่าอาบแสงจันทร์ขาวโพลน...

เรือยนต์ลากแพออกจากเหนือเขื่อนภูมิพลตอนเช้า ผ่านถ้ำโยคีผาแดงและพระธาตุแก่งสร้อย...จนเลยครึ่งคืนจึงได้หยุดพัก ผู้โดยสารหลับนอนเรียงรายกันเกือบหมดแล้ว ไฟดับมืดยกเว้นตอนท้ายแพ...อินแปงก็เตรียมจะนอนเอาแรงเพราะต้องตื่นก่อนไก่โห่เพื่อทำงาน

ขณะนั้นเอง เหมือนมีอะไรดลใจให้มองไปทางท้ายแพ!

สาวร่างเล็กนั่งห้อยขาอยู่ที่นั่น เงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ลอยอ้างว้างอยู่กลางหาว พลางเอียงหน้าสางผมยาวสยายถึงกลางหลังเปล่าเปลือย...

อินแปงยืนตัวชาดิกอยู่กับที่ ท่อนขาหนักอึ้งจนไม่อาจขยับเขยื้อน ปากคอแห้งผากแทบจะเป็นผุยผง นัยน์ตาเบิกโพลงจ้องมองดูร่างเล็กๆ แต่สมส่วนขาวโพลนอยู่ในแสงจันทร์ท่ามกลางเสียงลมพัดวู่หวิวมาตามยอดไม้ ฟังคล้ายเสียงใครกระซิบกระซาบความลับต่อกันจนชวนให้วังเวงใจสิ้นดี

...จากแสงสว่างขาวนวลนั่นเองที่ทำให้อินแปงมองเห็นหวีในมือของเธอได้ชัดเจน...มันคือก้างปลาขาวๆ ที่สาวประหลาดใช้ต่างหวี!

ราวกับมีอะไรดลใจ...ทำให้หญิงสาวที่กำลังนั่งชมจันทร์พลางสางผมอย่างเพลิดเพลินหยุดชะงัก ชั่วขณะนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน เธอค่อยๆ เบือนหน้ามาทางอินแปงอย่างเชื่องช้า...หันมา...หันมาจนเห็นเสี้ยวหน้าที่มีขนอุยสีขาวค่อนข้างยาว...จนกระทั่งหันมาสบตากัน!

ใบหน้าเล็กๆ ค่อนข้างกลมเหมือนงบน้ำอ้อย ปากแดงสด แต่นัยน์ตากลมโตดำขลับคล้ายก้อนหินใสๆ พริบตานั้นเอง เธอก็ทิ้งตัวลงน้ำหายลับไป อินแปงร้องสุดเสียงก่อนล้มฟาดลงสลบคาที่

พี่อินแปงฟื้นขึ้นมาก็อำลาอาชีพชาวแพเด็ดขาด บอกผมว่า...ถ้ายังทู่ซี้ทำงานต่อไป คืนไหนตื่นขึ้นมาเห็นเงือกสาวนอนยิ้มอยู่ข้างกายที่ท้ายแพ มีหวังขาดใจตายคาที่จริงๆ เอ้า!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 พฤษภาคม 2551

01 ธันวาคม 2559

โลกวิญญาณ

"บังอร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโลกคนตาย

ดิฉันไม่ควรไปดูศพป้าแจ่มเลย ตัวเองเพิ่งอายุได้แค่ 7-8 ขวบเท่านั้น เพราะความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กแท้ๆ แต่ภาพน่าสยองนั้นติดหูติดตามาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนมาทำให้มันลืมเลือนไปได้เสียที?

ตั้งแต่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดิฉันเคยเห็นศพอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนอนรับการรดน้ำอโหสิกรรม จนถึงนอนสงบนิ่งในโลง...ยิ่งอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคนก็ยิ่งเห็นศพในรูปแบบต่างๆ นานา ของญาติมิตรอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งศพที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุและฆาตกรรม

น่าแปลกที่ไม่มีศพไหนจะติดตา ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเหมือน "ศพป้าแจ่ม" เลยแม้แต่รายเดียว อาจจะเป็นเพราะวัยเด็กก็ได้ค่ะ ที่ทำให้คนเราจดจำเหตุการณ์และภาพที่สะเทือนใจ ก่อให้เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องราวที่น่าขนลุกขนพองสิ้นดี

ดิฉันจะเล่าให้ฟัง!

ป้าแจ่มเป็นคนข้างบ้านที่หลังตลาดสัตหีบนี่เอง ดิฉันได้ยินเสียงไอโขลกๆ มาเกือบปีแล้ว บางวันก็ไออยู่ในบ้าน แต่บางวันออกมายืนเกาะประตูไอจนตัวโก่งตัวงอ ร่างผ่ายผอมผิวขาวซีดจนเกือบจะเหลืองสั่นสะท้าน ทำท่าเหมือนจะม้วนลงมากองกับพื้น...ดิฉันเคยเห็นเลือดสดๆ พุ่งพรวดออกมาจากปากแกด้วยค่ะ

ลุงฮวดกับลูกๆ โชคดีที่ไม่ติดโรคร้ายจากแก แต่คนบ้านนี้ก็ผ่ายผอมกันทุกคน...

ชาวบ้านซุบซิบกันว่าป้าแจ่มท้อแท้กับชีวิตจนเคยขว้างยาทิ้ง ร้องเสียงแหบๆ ว่า...อั๊วจะกินไปทำไม อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว! บางครั้งแกจะไปเดินวนเวียนอยู่หน้าวัดหลวงพ่ออี๋ หมดแรงก็นั่งพักที่โคนต้นไม้ ไอโขลกๆ จนเลือดกระเซ็น ผู้คนเห็นเข้าก็รีบเดินหนีไปตามๆ กัน

ในที่สุด ป้าแจ่มก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบบนเตียงชั้นล่างเมื่ออายุสี่สิบเศษ...เพื่อนบ้านไปช่วยตั้งแต่ตอนที่สัปเหร่อนำร่างของแกใส่โลงเลยค่ะ...ดิฉันกับเด็กอื่นๆ ก็ไปมุงดูเพราะไม่เคยเห็นศพในโลงมาก่อน...

ภาพนั้นเองที่ติดหูติดตาดิฉันมาตลอดชีวิต!

ดูเหมือนว่าเขาจะให้ญาติผู้ตายได้ดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าขาวซีดที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมหงอกประปราย ในมือที่ถูกมัดด้วยสายสิญจน์มีดอกไม้และธูปเทียน เหมือนจะให้พนมมือไหว้พระหรือเทพเจ้าในโลกหน้าก็ไม่ทราบค่ะ...มีเสียงใครถอนใจยืดยาว ตามด้วยเสียงพึมพำ...ชีวิตคนเราก็เท่านี้แหละนะ...

เหนื่อยยากมานานแล้ว แจ่มเอ๊ย! ไหนจะทนทุกข์ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอีกล่ะ...คราวนี้จะได้พักผ่อนนอนหลับให้เต็มอิ่ม หมดเวรสิ้นกรรมเสียที!

ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินคำพูดอย่างปลงอนิจจัง หรือปลอบขวัญผู้ตายทำนองนี้มานานแล้ว แต่ใจดิฉันมักคอยค้านว่า ไม่จริง! ไม่มีใครอยากตายหรอกค่ะ ทุกคนล้วนแต่อยากมีชีวิต มีลมหายใจกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือทุกข์ร้อนแค่ไหนก็ตาม...ไม่งั้นคงจะไม่วิ่งเต้นหายามากิน ไปหาหมอให้ช่วยรักษาเพื่อยืดชีวิตให้ยืนยาวต่อไป

ไหนจะรักตัวเอง ไหนจะห่วงใยคนที่อยู่หลังอีกเล่า...

ฝาโลงปิดสนิท ตามด้วยเสียงตอกตะปูโครมคราม...แต่ภาพใบหน้าของศพและสองมือเหี่ยวแห้งที่พนมอยู่หว่างอกแบนแฟบนั้น ยังติดตรึง ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเด็กๆ อย่างดิฉันตลอดไป!

แม้ว่างานศพป้าแจ่มจะผ่านไปนับปี แต่ดิฉันก็ยังนึกถึงภาพนั้นอยู่เสมอ พลางคิดฟุ้งซ่านไปตามประสาเด็กว่า...เมื่อสัปเหร่อปิดโลงแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างที่สงบนิ่งอยู่ในความมืดแสนจะอุดอู้น่ากลัวนั้นเพียงเดียวดาย...

ถ้าป้าแจ่มเกิดลืมตาขึ้นมาล่ะคะ?

เคยมีเรื่องเล่าว่าคนตายแล้วฟื้น ญาติได้ยินเสียงกุกกักในคืนสวดศพ...ถ้าป้าแจ่มฟื้นขึ้นแต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว สุ้มเสียงก็แหบแห้งจนไม่มีใครได้ยิน แกคงหวาดกลัวแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังแน่นอน!

คุณพระช่วย! ถ้าแกเกิดฟื้นขึ้นมาตอนที่อยู่ในกองไฟ ต่อให้ดิ้นรนแค่ไหนก็จะไม่มีใครคิดว่าแกยังไม่ตาย...ลองนึกถึงภาพคนที่ถูกเผาทั้งเป็นซีคะ ว่าจะน่าสมเพชเวทนาแค่ไหน?

ถึงป้าแจ่มเสียชีวิตแน่นอนก็เถอะค่ะ...ว่าแต่วิญญาณมีจริงหรือ?

คงจะจริงกระมังคะ ถึงให้แกนำดอกไม้ธูปเทียนไปในโลกหน้า มีการเอาเงินใส่ปากให้แกไปซื้อที่ซื้อทางด้วย...วิญญาณแปลกหน้าโดดเดี่ยว หวั่นกลัวจนตัวสั่นงันงก เหลียวซ้ายแลขวาอย่างอกสั่นขวัญหาย รอบๆ กายมีแต่ความมืดมน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ภูตวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวย่างเข้ามารายล้อม ขู่คำรามผู้แปลกหน้าในอาณาจักรคนตาย...

เนิ่นนานปานใดหนอกว่าจะสิ้นเวรแท้จริง? ในวัยใกล้จะหกสิบปี ดิฉันยิ่งนึกถึงภาพที่นอนสงบนิ่งโลงเด่นชัดขึ้นทุกที...น่าขนลุกขนพองเพราะเป็นภาพใบหน้าของดิฉันเอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2551

30 พฤศจิกายน 2559

ฝันสุดหลอน!

"อำนวยพร" เล่าประสบการณ์ของคนเกลียดกลัวงานศพ

หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินคำพูดนี้มาบ้าง นั่นคือ ไม่ไปงานศพเพราะกลัว "ดวงชงกัน" หมายถึงดวงของผู้พูดกับผู้ตายไม่ต้องโฉลกกันนั่นเอง!

หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ความเชื่อถือในโชคลางสังหรณ์น่าจะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว แต่สำหรับผมขอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนงมงาย หรือไร้เหตุผลแบบคนขวัญอ่อนแน่ๆ เพราะเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง

เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน ผมไปงานศพบิดาของผู้บังคับบัญชาที่วัดใหญ่โตแถวดอนเมือง คืนนั้นสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย เจ้าภาพเก็บศพไว้ร้อยวันจึงจะทำพิธีฌาปนกิจ...มีการเคลื่อนศพไปเก็บไว้ในฮวงซุ้ยด้านหลัง ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินตามกลุ่มญาติๆ เขาไปด้วย

คืนนั้นฝนตกพรำเป็นละอองบางๆ แสงไฟส่องสลัว ลมพัดลู่มาตามสุมทุมพุ่มไม้ ทำให้เยือกเย็นใจบอกไม่ถูก เสียงหมาหอนดังมาจากที่ไกลๆ ขบวนศพไปหยุดอยู่ที่ฮวงซุ้ยขาวโพลนใต้ร่มไม้ใกล้ๆ สระน้ำ

สัปเหร่อจัดการบรรจุโลงศพเข้าไป พวกลูกๆ หลานๆ ก็ควักเงินทองมาหย่อนใส่โลงคนละนิดละหน่อย บางคนก็บอกว่า...เอาไว้ซื้อที่ซื้อทางเขานะ พ่อ!

มีเสียงสะอื้นคร่ำครวญอาลัยผู้ตาย แล้วญาติมิตรก็ทยอยกันกลับ...

วันรุ่งขึ้น ลูกชายวัยสิบขวบของผมเป็นไข้เลือดออก วันต่อมาภรรยาไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้อาการไม่หนักแต่ก็ต้องเข้านอนโรงพยาบาลเดียวกับลูกอยู่หลายวัน...มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งทักว่าเป็นเพราะไปงานศพที่ "ดวงชงกัน" พอดี

บอกตามตรงว่าผมยังไม่อยากเชื่อถือนัก ไปงานศพญาติมิตรอีก 2-3 ครั้งก็ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งปีต่อมามีคนข้างบ้านเสียชีวิตเพราะโรคชรา ผมก็ไปฟังสวดในคืนแรกช่วยเงินเขาตามธรรมเนียม พร้อมกับขอตัวว่าคงไม่ได้ไปในวันเผาเพราะติดธุระที่ต่างจังหวัด

ผมไปกลับเรียบร้อยดี แต่ระหว่างที่ไม่อยู่บ้านก็โดนขโมยย่องเข้ากวาดทรัพย์สินไปได้มากพอดู...คราวนี้ผมเริ่มเชื่อแล้วว่า "ดวงชงกัน" มีจริง

ไม่มีใครรู้แน่ว่าดวงของเรากับของผู้ตายจะ "ชงกัน" หรือไม่?

อาจจะไม่เป็นอะไรเลย กับทำให้เคราะห์หามยามร้ายได้ง่ายๆ แล้วเราจะไปเสี่ยงเรื่องนี้ทำไมกัน? วิธีดีที่สุดคืองดเว้นการไปงานศพโดยสิ้นเชิง!

ความเชื่อดังกล่าวทำให้ผมหาทางหลบเลี่ยงงานศพมาได้หลายปี ใช้วิธีสั่งพวงหรีดให้บ้าง ส่งซองช่วยงานตั้งแต่รู้ข่าวบ้าง...จนในที่สุดก็กลายเป็นความหวาดระแวงลึกๆ และความ เคยชินที่จะไม่ยอมย่างกรายไปงานศพใดๆ อย่างเด็ดขาด

อาจจะเป็นเพราะความรังเกียจงานศพฝังจิตฝังใจ จนกลายเป็นจิตใต้สำนึกก็เป็นได้ ทำให้ผมฝันสยอง...ฝันว่าไปงาน ศพอย่างจำเป็นจำใจ!

ยามเย็นที่ฟ้าฉ่ำฝน ผมเดินผ่านวัดนั้นด้วยสาเหตุใดก็สุดรู้...จู่ๆ ก็มีสตรีวัยกลางคนปราดเข้ามายกมือไหว้ "คุณศรี" เพื่อนสนิทของภรรยาผมนั่นเอง เธอผ่านการร้องไห้มาจนนัยน์ตาบวมแดง บอกกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า...สวย-ลูกสาวคนเดียวของเธอตายเสียแล้วเพราะไข้ป่าที่ติดมาจากการไปเที่ยวต่างจังหวัด

จำได้ว่าผมขอตัวอย่างสุภาพ ไม่ได้เตรียมตัวมางานศพ โดยเฉพาะเสื้อผ้า...แต่คุณศรีผงะหน้า มองดูผม...ให้ตายเถอะ! ผมนุ่งกางเกงขายาวสีทึบ สวมเสื้อเชิ้ตขาวแถมผูกไทดำ!

"จำไม่ได้หรือคะว่าตอนที่ลูกเมียคุณไปนอนโรงพยาบาลตอนนั้นน่ะ ใครที่ไปเยี่ยมทุกวัน?" เธอเน้นเสียงอย่างมีอารมณ์ "นี่ขอแค่ไปฟังสวดศพลูกสาวฉันเท่านั้น"

ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย...และนั่นทำให้ผมต้องมานั่งพนมมือ ปากคอแห้งผากอยู่หน้าโลงศพ กลิ่นดอกไม้กับกลิ่นธูปเทียนโชยกรุ่น น่าขนลุกขนพองเสียนี่กระไร...พระสวดจบแรกแล้ว ผมหันไปหาคุณศรีเพื่อจะขอตัว...แต่ไม่ทราบว่าหายไปไหน

อ้าว? เธอกำลังยืนอยู่ข้างโลงศพลูกสาวนั่นเอง แถมเอื้อมมือเคาะโลงอีกต่างหาก

"ลูกไปขอบคุณอาพรหน่อยซีลูก คุณอาอุตส่าห์มางานศพสวยเห็นมั้ย?"

ผมผงะหน้า โลกทั้งโลกกำลังแตกสลายลงเมื่อฝาโลงเลื่อนครืดคราด...แล้วใบหน้าขาวซีดของเด็กสาวก็โผล่ขึ้นมา...หันมาหาผมช้าๆ พลางแสยะยิ้ม ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่รอบๆ ตัว

"โอ๊ย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่น ลุกพรวดพราดขึ้นมาหอบหายใจฮักๆ ใจเต้นโครมครามแทบจะพังทลายออกมานอกอก ภรรยาผมพลอยตื่นขึ้นมาดูด้วยความห่วงใย...ผมบอกแต่ว่าไม่มีอะไรหรอก แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง...

คุณศรีกับลูกสาวสบายดี ความฝันของผมไม่ได้เป็นลางบอกเหตุอะไรเลย

สาบานว่าต่อไปนี้ผมจะไปงานศพทุกงานที่มีผู้เชิญมา ผมจะเอาชนะความกลัวงานศพให้ได้...ความจริงคงจะไม่ร้ายกาจเท่ากับฝันสยองแน่ๆ นึกถึงแล้วขนหัวลุกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2551

29 พฤศจิกายน 2559

ผีกล่อมลูก

"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมน้ำป่าสัก

เรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าใครก็ทราบดีนะคะ ว่าแสนจะน่าเกลียดน่ากลัว น่าขนหัวลุกจนแทบสติแตกไปตามๆ กัน บางคนถูกผีหลอกจนช็อกคาที่ หัวใจล่มสลายไปเลยก็มีค่ะ

แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องหวาดเสียวอย่างเดียวเสมอไป เรื่องเศร้าแสนสะเทือนใจก็มีเหมือนกัน เช่น เรื่องแม่นากพระโขนงไงคะ!

ว่าก็ว่าเถอะค่ะ ในความเศร้าระคนกับความเสียวสยองนี่ ไม่ค่อยถูกโรคกับดิฉันเท่าไหร่ ถ้าโศกเศร้าอย่างเดียวยังพอว่า แต่ถ้ามีความหวาดเสียวเข้ามาผสมโรง โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ หรือผู้ไม่มีร่างกายด้วยแล้ว..ไม่ขอเจอะขอเจอจริงๆ เจ้าประคุณ

ดิฉันเคยประสบกับเรื่องเศร้าผสมขนหัวลุกเข้าอย่างเต็มเปาเชียวล่ะค่ะ

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่หนองบัว จังหวัดสระบุรี ขนาบด้วยทางรถไฟสายอีสานกับแม่น้ำป่าสัก เลยจากวัดเพรียวขึ้นไปพอสมควร หมู่บ้านเราอยู่บนตลิ่งริมแม่น้ำ อาชีพส่วนใหญ่ก็รับจ้าง กับเก็บผักหักฟืน ทอดแหหาปลาพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ

พ่อดิฉันได้ชื่อว่าเป็นประมงน้ำจืดมือดีประจำหมู่บ้าน!

เมื่อถึงหน้าน้ำหลาก ป่าสักจะขุ่นคลั่ก ไหลเชี่ยวน่ากลัว พัดพาฝูงปลาน้อยใหญ่จากทางเหนือมาให้พวกเราจับกินจับขายกันไม่หวาดไม่ไหว แถวบ้านดิฉันจับปลาได้มากๆ ก็จัดการคลุกเกลือคลุกรำ ทำเป็นปลาร้าไว้กินได้ตลอดปี

พอถึงหน้าแล้งน้ำน้อยลง ใสจนเขียว ไหลเอื่อยอ่อนเหมือนหยุดนิ่งเป็นน้ำในสระ ตลิ่งสูง หาดกว้าง เพิ่มที่ในการปลูกผักสวนครัว ตั้งแต่ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง พริกขี้หนู ตะไคร้ จนถึงแตงกวาแตงร้าน ใครขยันก็ทำค้างให้ถั่วพู บวบและน้ำเต้า ฟักเขียวก็มีค่ะ ตอนเย็นลงไปอาบน้ำที่ตีนท่าก็ถือโอกาสเก็บผัก รดน้ำ ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้อีกด้วย

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อดิฉันติดเรือหาปลาไปกับพ่อตอนบ่ายๆ ขึ้นเหนือไปเรื่อยเพราะแถวนั้นเปล่าเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คน พอเห็นทำเลเหมาะพ่อก็วาดหัวเรือเข้าไปในพงอ้อกอหญ้ารกทึบ บางแห่งก็เป็นแอ่งกรวดทรายแคบๆ พอที่จะเกยหัวเรือไว้ได้

พ่อควักกระป๋องออกมามวนยาสูบ ส่วนดิฉันตอนนั้นอายุราวสิบขวบก็ขึ้นไปเดินเล่น ชมนกชมไม้เพลิดเพลิน แกว่งไกวตะกร้าใบเล็กๆ ในมือไปด้วย โดยที่พ่อกำชับไว้ว่าอย่าไปเล่นไกล เดี๋ยวจะหาทางกลับเรือไม่ถูก

ด้านในมีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ กิ่งใบเบียดเสียดกันเหมือนจะกลายเป็นร่มยักษ์ที่มีด้ามหลายอัน จนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ทำให้พื้นดินแถวนั้นร่มครึ้ม เปียกชุ่ม ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกันส่งกลิ่นอับชื้น บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

เสียงลมพัดโชยวู่หวิว บางครั้งก็ซู่ซ่าอยู่เหนือหัวเหมือนเสียงใครกระซิบกระซาบความลับต่อกัน หรือไม่ก็เป็นเสียงหัวเราะครืนๆ ราวกับสนุกสนานเสียเต็มประดา

นกการ่อนร้องอยู่ตามกิ่งก้านหนาทึบ พวกมันอาจจะทำรังอยู่ที่นั่นก็เป็นได้นะคะ..

ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ดิฉันเดินเข้าไปในความร่มครึ้มใต้ร่มยักษ์ที่ว่า เห็นมีมะม่วงป่าหล่นกลาดเกลื่อน ดูคล้ายมะม่วงกะล่อนก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาหลายลูก ว่าจะเอาไปฝากแม่กับน้อง อยากรู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า?

ทันใดนั้น เสียงเพลงกล่อมลูกก็ดังแว่วมากระทบหู..

กำลังสอดส่ายสายตามองหามะม่วงต่อไปอยู่ดีๆ เล่นเอาชะงักกึก..เอ๊ะ! ใครมาร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ที่นี่? แถวนี้มีบ้านคนด้วยเหรอ?

ยืดตัวขึ้นมามองหาไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย หันไปทางแม่น้ำก็เห็นแสงแดดเหลืองอ่อนทาบอยู่ตามกอไม้..เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะ ทั้งอ่อนโยนและเยือกเย็น แต่ก็ทำให้ขนลุกซ่าไปทั้งตัว

ดวงอาทิตย์คล้อยลงที่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้ว..กลับดีกว่า! ดิฉันบอกตัวเอง แล้วหิ้วตะกร้าเดินออกจากพื้นดินเปียกชุ่มมาสู่พื้นหญ้า แวดล้อมด้วยป่าละเมาะ..ขณะนั้นเองดิฉันก็มองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา!

ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งนั่งพิงโคนไม้ ในอ้อมแขนเธอคือทารกตัวแดงๆ นอนนิ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ขยับแขนเบาๆ ไปมาพลางกล่อมเห่ลูกน้อยด้วยเสียงเยือกเย็นจับใจตามเดิม

โธ่! อยู่ที่นี่เอง..ดิฉันถอนใจออกมาได้อย่างโล่งอก ขณะนั้นเองเธอก็ค่อยๆ เบือนหน้ามามองอย่างเชื่องช้า..

ใบหน้าเรียวยาว ขาวซีด เผยอยิ้มนิดๆ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในร่มเงาอันสลัวรางก็เป็นได้ ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกๆ เดี๋ยวก็ชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนรางไป..ดิฉันยิ้มให้เธอแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อที่ชายน้ำทันที

ระหว่างทางกลับบ้าน ดิฉันเล่าเรื่องให้พ่อฟัง แต่พ่อกลับหัวเราะหึๆ บอกว่า..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย แม่เอื้อยเขาออกลูกตายที่นั่น! พ่อฟังเขากล่อมลูกมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที..ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ แต่ไม่ยอมลงเรือไปกับพ่อตั้งแต่นั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 เมษายน 2551

28 พฤศจิกายน 2559

คืนอุบาทว์

"ลุงเชื่อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนตก

ความเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มักจะแตกต่างกันไป เช่น เชื่อกันว่าผีมักจะชอบหลอกคนกลัวผี โดยเฉพาะเด็กๆ กับผู้หญิงจะโดนผีหลอกมากที่สุด ส่วนผู้ชายหรือคนสูงอายุมักจะไม่ถูกผีหลอก สาเหตุเพราะคนพวกนี้ไม่กลัวผี

แต่บางคนก็ยืนยันว่าคนจิตอ่อน เช่น เด็กกับคนแก่ รวมทั้งคนเจ็บไข้ ทำให้จิตใจอ่อนแอ เปิดช่องให้ภูตผีปีศาจปรากฏตัวหลอกหลอนได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่เชื่อมั่นกันอีกอย่างก็คือ คนที่ถึงแก่ความตายกะทันหัน วิญญาณเตลิดออกจากร่างเหมือนคนที่กระโจนหนีไฟไหม้บ้านด้วยอารามตกใจ แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว อาศัยพลังของความอยากมีชีวิต อยากอยู่ อยากเป็น...ปรากฏร่างให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะชัดเจนหรือเลือนรางก็จำได้ว่าเป็นร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคน แต่บัดนี้ได้ล้มหายตายจากไปแล้วนั่นเอง

ผมเคยประสบกับวิญญาณชนิดเช่นนี้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วครับ

สมัยวัยรุ่นผมอยู่ตรอกหมอ ถนนตก เป็นตรอกคดเคี้ยวและยืดยาว มีบ้านเล็กเรือนน้อยอยู่คับคั่งทั้งสองฟาก บ้านผมอยู่ลึกเข้าไปเกือบก้นซอย รู้จักมักคุ้นกับผู้คนในย่านนั้นเพราะเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้

วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยอง เมื่อลุงผัน-คนขับรถเมล์สายท่าเตียน-ถนนตก เลิกงานมาซื้อของกินที่หน้าโรงหนังช้างเผือก รีบร้อนเดินข้ามถนนจะเข้าตรอกบ้าน โดนรถกระบะเฉี่ยวชนจนกระเด็นไปหัวฟาดขอบฟุตปาธ กะโหลกแตกตายคาที่ รถมรณะคันนั้นก็ขับหนีไป

ลุงผันอายุเกือบ 50 ปี ร่างเล็ก ผิวดำ ผมขาว เมียตายไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น เมื่อปีกลายลุงผันได้เมียใหม่ชื่อดาหวัน เป็นแม่ค้าผลไม้อยู่ที่ยานนาวา อายุ 30 เศษ เป็นม่ายผัวตายมา 2 คนแล้ว...

เขาลือกันว่าน้าดาหวันเป็นคนกินผัว! ทำท่าว่าจะเป็นจริงเป็นจัง เพราะมาอยู่กินกับลุงผันได้ราว 3-4 เดือนก็ต้องกลายเป็นม่ายผัวตายถึง 3 คน!

น้าดาหวันเป็นคนผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ อวบอัดไปทั้งตัว พวกหนุ่มๆ ชอบมองเวลาแกเดินบิดสะโพกในโสร่งดอกหนา สวมเสื้อสีสวยๆ เข้ารูปจนอกพุ่งเป็นพะเนิน...ใครจะจ้องมองยังไงแกก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอคล้อยหลังพวกหนุ่มๆ ก็จะพูดถึงกันอย่างคะนองปาก

ไอ้แก่นเพื่อนผมที่อยู่กลางซอย เลยบ้านลุงผันไปหน่อย มันเล่าว่าลุงผันแกลุ่มหลงเมียสาวจนโงหัวไม่ขึ้น...อาจจะเข่าอ่อนตอนข้ามถนนเลยโดนรถชนก็เป็นได้

ตอนที่ลุงผันตายใหม่ๆ น้าดาหวันร้องห่มร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตาย เพื่อนบ้านต้องปลอบโยนกันยกใหญ่...นึกๆ ก็น่าเห็นใจที่แกต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้ใต้ถุนสูงไม่มีรั้ว...ขณะที่เริ่มมีเสียงพูดถึงวิญญาณเฮี้ยนของลุงผัน!

นั่นคือ ตอนกลางคืนมีคนเห็นแกเดินดุ่มๆ เข้าซอยมา พอหันขวับไปจ้องให้แน่ใจก็ไม่เห็นเสียแล้ว แต่หมูหมามักจะโก่งคอหอนเสียงเยือกเย็นจับใจอยู่เป็นประจำ

หลายๆ คนบอกว่า ลุงผันแกถึงแก่ความตายไม่รู้ตัว วิญญาณยังมุ่งมั่นที่จะกลับไปหาเมียสาวที่บ้านให้ได้...นึกๆ ก็ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าสงสารวิญญาณลุงผันที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที

เวลาผ่านไปราวเดือนเศษ เรื่องผีลุงผันค่อยๆ ซาไป...วันเกิดเหตุ ผมไปเที่ยวกับไอ้แก่นสองคนตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น แวะดูหนังที่สาทรรอบค่ำ กว่าจะนั่งรถมาถึงปากตรอกก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว...เราคุยเรื่องหนังเคาบอยที่ดูกันมาแทบไม่ขาดปาก

เสียงรองเท้ากระทบพื้นลูกระนาดดังกึกๆ ไปพร้อมกัน...จู่ๆ เสียงหมาหอนโจ๋ดังรับกันเป็นทอดๆ มาจากปากซอย เหมือนกับมีอะไรบางอย่างตามหลังเรามา...ไอ้แก่นหยุดกึกกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ด่าพึมว่าจะเห่าหาห่...อะไรวะ? แล้วหันไปมองข้างหลังพร้อมๆ กับผม

ชายคนหนึ่งเดินก้มหน้างุดๆ อยู่ห่างไปราวสัก 6-7 เมตร ผมบอกเพื่อนว่ารีบๆ เดินกันเถอะวะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านมึงแล้ว กูต้องไปคนเดียวอีกไกล...

แทบไม่ขาดคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลังดังใกล้เข้ามาทุกที ผมน้ำลายเหนียวไปหมดเมื่อเหลือบไปเห็นบ้านลุงผันโดดเด่นอยู่ข้างหน้า...ชายที่เดินมาข้างหลังก็มีรูปร่างคล้ายกับลุงผันจนรู้สึกเย็นหลังวาบๆ เพิ่งนึกได้ว่าชายผู้นั้นเท้าไม่ติดพื้น... พอดีไอ้แก่นร้องลั่นว่า...ลุงผัน!

เราหันขวับไปพร้อมๆ กันเหมือนถูกจับกระชาก

นรกเป็นพยาน! ใบหน้าดำเกรียมของลุงผันมีเลือดแดงฉานไหลย้อยลงมาจนเห็นชัดในแสงไฟ ไอ้แก่นด่าลั่น ผมโจนผึงไม่ฟังเสียง...พริบตาเดียวไอ้แก่นก็วิ่งแซงหน้าไปปานลมพัด ผมร้องตะโกนแต่ว่าผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...ล้มลุกคลุกคลานไปหอบฮั่กๆ ที่หน้าบ้าน

ไอ้แก่นหายไปแล้ว...มันจะหลบวูบเข้าบ้านตอนไหนก็ไม่รู้ แต่เสียงผมทำให้ชาวบ้านตื่นเกือบครึ่งซอย...ไอ้แก่นสลบคาที่อยู่แถวหน้าบ้านน้าดาหวันนั่นเอง! ร่างที่วิ่งแซงหน้าผมไปคงจะเป็น "เจตภูตคนเป็น" ของไอ้แก่นกระมังครับ?

แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ผมขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2551

25 พฤศจิกายน 2559

ทุ่งสนธยา

"เบิร์ด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุสานโบราณ

ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า กับไม่ได้ฝันร้ายใดๆ แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ หรือแดนสนธยา! ซึ่งในโลกของเราเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นกลับเนิ่นนานเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด

สถานที่ดังกล่าวก็คือ คาเฟ่แถวสนามเป้านั่นเอง!

ผมเป็นคนมักกะสันมาแต่อ้อนแต่ออก สมัยนั้นย่านประตูน้ำเพิ่งจะเป็นถิ่นเจริญได้ไม่นาน ขยายออกมาทางถนนราชปรารภถึงมักกะสัน และตัดผ่านหน้าวัดสะพาน ด้านซ้ายมือก็เป็นถนนศรีอยุธยาที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ ทุ่งพญาไทเป็นต้น...ถัดไปทางสนามเป้าที่เป็นกรมทหารนั้น แต่เดิมยังเปล่าเปลี่ยวอยู่มาก มีแต่สวนและไร่นา ตกเย็นก็แทบจะไม่มีคนเดินผ่าน...ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางถนนพหลโยธิน จากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!

เมื่อราว 20 ปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามผุดสะพรั่ง ไม่ว่ามักกะสันหรือสนามเป้า

สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ด้านทิศเหนือ ผู้คนพลุกพล่าน รถราคึกคัก มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูด สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง

ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์, ย้อนมาทางสนามเป้าอีก 2-3 แห่ง ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายจนเบื่อก็ลองไปย่านสนามเป้าบ้างคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ กว้างขวาง แถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!

คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนน แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งในโต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา

คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบเธอก็จะลงจากเวทีมานั่งพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริ๊งก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3

แต่คืนนั้นเราไปช้าหน่อย ตรงกับคืนวันศุกร์ด้วย เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้ด้านหลังสุด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร...เสียงดนตรีดังกระหึ่มคล้ายๆ งานวัด นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพก ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลาเรียกว่า "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว

ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น

ขณะนั้นราวตี 1 เศษ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไร หรือขาเกิดพันกันเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปไม่น้อย ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟที่ดับวูบทันที

ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครมานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก

เด็กๆ อายุราว 10 ขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น...โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!

ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...

นักร้องสาวสวมเสื้อคอกว้างเห็นเนินอกขาวแอร่มกำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นกระโปรงสั้นแต่อวดท่อนขาอวบอัดขาวอล่างอยู่ในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงบิดส่ายไม่หยุดหย่อน

หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...ผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเห็นเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาแต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง

"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?" เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา...มันว่าเห็นผมกำลังล้มลงพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...

ไม่มีหนุ่มสาว คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ...ตื่นเต้นแตกต่างกันไป..

เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงจะจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 เมษายน 2551

24 พฤศจิกายน 2559

วิญญาณที่ผูกพัน

"ปานจันทร์" เล่าเรื่องมหัศจรรย์จากโลกของวิญญาณ

ดิฉันมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟัง มันอาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณมีจริง และการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีแน่ๆ

ทุกวันนี้ดิฉันอายุ 52 ปีแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนดิฉันจะลืมตาออกมาดูโลกซะอีก..มันมาเปิดเผยขึ้นเมื่อดิฉันอายุได้ 12 ปี นั่นคือในวันสงกรานต์ปี พ.ศ. 2511

วันนั้นน้าชายของดิฉันมาหาเราที่บ้านแต่เช้าตรู่ และส่งรูปภาพในกรอบอย่างดีให้แม่..รูปภาพนั้นเป็นหญิงชรานุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้สวยสีขาว ผมเป็นทรงดอกกระทุ่ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคม ค่อนข้างดุ..สาวๆ คงสวยเฉียบไปเลยเชียว

พอดิฉันชะโงกมองภาพนั้นได้ถนัดตา ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ร้องอย่างตื่นเต้นยินดีว่า

"คุณทวดนี่คะเนี่ย!!"

แม่กับน้าหันมามองหน้าดิฉันพร้อมกัน แม่พูดพลางหัวเราะอย่างขันๆ ว่า "อือม์..เดาเก่งนี่ รู้ได้ไงจ๊ะแม่คนฉลาด?"

นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นภาพนี้ค่ะ!

เรื่องของเรื่องคือ คุณน้าไปพบอยู่ในหีบเก่าๆ ที่ห้องใต้เพดาน ก็เลยดีใจมากเพราะนี่เป็นรูปภาพใบเดียวที่คุณทวดถ่ายไว้ และนึกว่ารูปนี้หายสาบสูญไปเสียแล้ว เมื่อได้พบก็เลยนำไปอัดขยาย แล้วเอามาแจกพี่น้องไว้เป็นที่ระลึก จะได้ตั้งไว้เพื่อกราบไหว้ถึงท่านต่อไป

ปกติแม่กับน้าไม่ค่อยได้พูดกันถึงคุณทวด นอกจากทุกวันสงกรานต์จะนำโกศกระดูกของท่านมาพรมน้ำอบไทย พอแม่ถามว่าดิฉันรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรูปคุณทวด ดิฉันก็ตอบเสียงใสว่า

"อ้าว? ก็ตอนเล็กๆ หนูเคยไปหาคุณทวดกับแม่ไงคะ"

คราวนี้แม่กับน้าหัวเราะก๊ากเลย

"จะไปหาได้ยังไงจ๊ะ คุณทวดน่ะตายตั้งแต่ก่อนเราเกิดอีกนะ!"

ดิฉันงง แถมยังโมโหขึ้นมาหน่อยๆ ด้วยล่ะค่ะ เลยเถียงแม่คอเป็นเอ็นเชียว

"จริงๆ นะแม่! แม่จำผิดรึเปล่า? หนูไปกับแม่ไงล่ะ บ้านคุณทวดอยู่ริมแม่น้ำหนูจำได้แม่นเลย..วันนั้นคุณทวดนุ่งโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด ใส่เสื้อคอกระเช้า หนูยังเช็ดน้ำหมากให้คุณทวดด้วยนี่นา.."

ดิฉันหยุดคิด แล้วพูดต่ออย่างมั่นอกมั่นใจ

"เออ..จำได้! ผ้าเช็ดปากของคุณทวดเป็นลายตารางหมากรุกสีขาวแดง คุณทวดยังยิ้มกับหนู แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ เห็นมั้ยหนูจำได้ละเอียดเลย แม่เอาขนมวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อน คุณทวดกินตั้งหลายคำ แล้วก็หัวเราะอารมณ์ดี"

แม่เงียบกริบ มองหน้ากับน้าอย่างงงๆ

"เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงวะ" น้าเปรยออกมา และทำท่านึก "แต่ที่เราพูดออกมาน่ะพูดถูกยังกะตาเห็นแน่ะ"

"เป็นไปไม่ได้หรอก.." แม่ส่ายหน้าช้าๆ ย่นคิ้ว ก่อนจะมองสบตาดิฉันอย่างครุ่นคิด

"แต่ก็จริงละ คุณทวดอยู่บ้านริมน้ำ มีอยู่วันหนึ่ง แม่เอาวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อนคุณทวดจริงด้วย ผ้าเช็ดปากคุณทวดก็เป็นลายหมากรุก แต่ตอนนั้นหนูยังไม่มีตัวตนเลยนะลูก..หนูอยู่ในท้องแม่! แม่เพิ่งท้องได้สี่เดือน"

เราสามคนนิ่งอึ้ง ดิฉันจำแม่นราวกับการไปหาคุณทวดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน..ทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ..และยังชัดอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในวันนี้ที่ดิฉันอายุ 52 ปีแล้วก็ตาม!

วันนั้นเป็นวันสุดท้าย ที่แม่ได้ไปเยี่ยมคุณทวดซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ 90 ปี แก่หง่อมเต็มที แม่เล่าว่าท่านหลงแล้ว จำลูกหลานแทบไม่ได้และไม่พูดไม่จา ท่านชอบนั่งริมน้ำเคี้ยวหมากอยู่เงียบๆ สี่ห้าวันจากนั้นท่านก็ล้มป่วยและสิ้นลมอย่างสงบ เหมือนใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวจากกิ่งก้าน..

เป็นไปไม่ได้ที่ดิฉันจะได้เห็น ได้นั่งคุยกับคุณทวด เช็ดน้ำหมากให้ท่าน..และทำให้ท่านยิ้มอารมณ์ดีเช่นนั้น

มีทางเดียว..นั่นคือ ดิฉันอยู่ในสภาพดวงวิญญาณของเด็กตัวเล็กๆ ตัวจริงของดิฉันอยู่ในท้องแม่ และวิญญาณออกมาเล่นกับคุณทวดตามสายเลือดผูกพัน..ซึ่งท่านเป็นคนเดียวที่มองเห็นดิฉัน

แปลกไหมล่ะคะ ดิฉันได้พบคุณทวดก่อนที่ตัวเองจะเกิดซะอีกแน่ะ? แต่บางครั้งนึกถึงแล้วทำไมขนลุกซู่ไปทั้งตัวก็ไม่ทราบค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 21 - ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2551