"วัลลภ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากองครักษ์
เขาว่าถึงฆาตน่ะไม่ต้องไปไหนมาไหน ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่างๆ นานา ต่อให้อยู่ในบ้านแท้ๆ ยังตายโหงได้ละกัน เช่น โดนโจรห้าร้อยมันบุกเข้าไปยิงทิ้งจนด่าวดิ้นสิ้นใจ ไม่ว่าตายเดี่ยวหรือตายยกครัว ยังกับบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปแน่ะ
หนักหนาสาหัสกว่านั้นก็คือ โดนรถพุ่งเข้าชนตายคาบ้าน หรือไม่เครื่องบินลอยอยู่บนฟ้าแท้ๆ ดันเครื่องขัดข้อง หล่นตูมตามลงมาตายหมู่ทั้งคนในเครื่องบินกับคนในบ้านที่นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็นแท้ๆ
ยังงี้เขาบอกว่า "ซวยเรียกพี่" ครับ!
อย่าว่าแต่คนถึงฆาต ดวงกุดดวงขาดอะไรเลยครับ แม้แต่คนที่บทจะโดนผีหลอกน่ะ ไม่ต้องขึ้นรถลงเรือ ไปเหนือล่องใต้หรอกคุณ...นอนเล่นอยู่ในบ้านยังโดนผีหลอกเอาก็ยังมี
ประเภท บ้านผีดุ ห้องผีสิง วิญญาณพเนจร อะไรนั่นแหละครับ สมัยผมเด็กๆ อยู่ที่ถนนองครักษ์ด้านใน ค่อนไปเกือบถึงวัดประชาระบือธรรม มีคนข้างบ้านเผ่นกระเจิงออกจากบ้านตัวเองกลางวันแสกๆ มาแล้วครับ
บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงอยู่เยื้องๆ บ้านผม สมัยนั้นใช้ไม้ระแนงกั้นรั้วก็โก้แล้วครับ ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นสังกะสี หรือรั้วเหล็กจนถึงอิฐบล็อกหนาทึบอย่างเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้
บ้านที่ว่าปลูกก่อนผมเกิดราว 2-3 ปี ครอบครัวเล็กๆ มาซื้ออยู่กัน ปรเภทผัวหนุ่มเมียสาว หรือมีลูกเต้าแค่คนสองคนกำลังดี มีสองห้องนอน กับระเบียงแคบๆ และบันไดที่ทอดอยู่นอกบ้าน ส่วนใต้ถุนตั้งโต๊ะใหญ่บนพื้นราดซีเมนต์ เป็นทั้งโต๊ะรับแขก โต๊ะทำงานและโต๊ะนั่งเล่น ตกเย็นค่ำตั้งอาหารเข้าก็กลายเป็นโต๊ะกินข้าวได้ทันใด
น่าแปลกอย่างที่อยู่กันไม่ค่อยทน แค่เดือนสองเดือนก็ขายต่อกันแล้วครับ เขาลือกันว่าบ้านนั้นผีดุนักหนา
ผีที่ว่าดุๆ น่ะยังไม่มีใครเห็น หรือเอามาเล่าว่าน่าสยดสยองแค่ไหน? พวกผู้ใหญ่เขาบอกว่า...โอ๊ย! ไม่ต้องเห็นตัวหรอกวะ แค่ได้ยินเสียงก็ขี้หดตดหายไปตามๆ กันแล้วโว้ย
บอกตรงๆ ว่าเด็กอย่างผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนกระทั่งเจ้าของบ้านรายสุดท้ายยอมแพ้ ย้ายไปอยู่ที่อื่น...ว่ากันว่า จะอยู่ก็ทนผีหลอกไม่ไหว แต่จะขายก็เสียดาย เลยหาทางออกด้วยการให้เขาเช่าซะ...ดีกว่าปิดทิ้งเป็นบ้านร้างเปล่าๆ
ลุงเหน่กับป้าเอียดพาลูกสาววัยรุ่นชื่อพี่ต้อยมาเช่าอยู่เป็นรายแรก!
เช้าก็ออกไปทำงานกับไปโรงเรียน ให้กุญแจเฝ้าบ้านก็พอเพราะขโมยยังไม่ชุมนัก วันนั้นลุงเหน่ไม่ค่อยสบายเลยหยุดงาน จนตอนบ่ายแก่ๆ ก็ว่าจะไปหาซื้อยากับหาอะไรกินที่ตลาดบางกระบือ...พอลงบันไดก็ได้ยินเสียงอะไรกุกกักมาจากในห้องที่เพิ่งใส่กุญแจหยกๆ
ลุงเหน่นึกว่ามีหนูมาวิ่งเล่น แต่พอเดินไปถึงห้องครัวที่ติดกับห้องน้ำ ดันมีเสียงตึงตังอยู่เหนือหัวจนแกเงยขวับ ร้อง "อะไรวะ?" อย่างลืมตัว
เสียงเขย่าขวัญหายไปแล้ว...เพิ่งลงมาจากบ้านหยกๆ ไม่มีใครบ้าคิดว่าเป็นขโมยหรอกครับ ว่าแต่มันเป็นเสียงอะไรกันแน่? จะว่าข้าวของโดนลมพัดล้มก็ไม่ใช่ เพราะแกจำได้ว่าปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้วก่อนจะออกมา แถมตอนนั้นก็ไม่มีลมพายุรุนแรงอะไรเลย
"เอี๊ยด...เอี๊ยดดดด..." เสียงกระดานลั่นตามด้วยเสียงถอนใจยืดยาว "เฮ้อออ..."
ลุงเหน่ยังไม่วิ่งแม้ว่าจะเย็นวาบไปทั้งตัว สงสัยว่าหูเหืองคงจะไม่ค่อยดีเพราะความชรา เลยต้องเงยหน้ามองให้แน่ใจ...
และแล้ว แกก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพของกระดานที่ระเบียงหน้าห้องนอนกำลังยุบเป็นจังหวะ เหมือนมีคนร่างใหญ่กำลังเดินช้าๆ ทำให้กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ราวกับตอนที่แกก้าวเดินอยู่ข้างบนไม่มีผิด!
คราวนี้ลุงเหน่เล่าว่า...หัวใจข้าตกตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ต้องอาศัยตีนหมาโกยอ้าวไม่คิดชีวิตไปหาเพื่อนบ้าน...ร้องแต่ว่า "ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย"
ผมเองก็เพิ่งรู้รายละเอียดพร้อมๆ ลุงเหน่นี่เอง...ได้ความว่าเจ้าของบ้านคนเดิมอายุเลยกลางคนแล้ว รูปร่างสูงใหญ่อ้วนท้วนไม่ต่ำกว่า 120 กิโลกรัม ชอบออกมาเดินเล่นที่ระเบียงทุกเย็น วันหนึ่งเกิดล้มโครมครามลงจนลูกๆ วิ่งออกมาดู แต่คนชะตาขาดก็หัวใจวายตายไปแล้ว
ต่อมาพวกลูกๆ ได้ยินเสียงเดินที่ระเบียงบ่อยๆ ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน...ใส่บาตรให้ก็แล้ว ทำสังฆทานให้ก็แล้วแต่เสียงกระดานลั่นก็ยังดังอยู่ตามเดิม...จนทนไม่ขายต่อๆ กันมา 2-3 รายแล้วเพราะเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดๆ มันบาดหูบาดใจเหลือทน...จนกระทั่งรายสุดท้ายเปิดให้เล่าก็มีลุงเหน่กับลูกเมียนี่แหละที่มาเช่าอยู่เป็นรายแรก
"ยังอยู่ไม่ถึงเดือนเลยว่ะ" ลุงเหน่ครางอ่อยๆ "วันแรกๆ น่ะข้าหลับเป็นตาย แต่ลูกเมียเขาได้ยินคนเดินที่หน้าห้อง ลุกไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร...ข้ายังดุเอาเลยว่าหูหาเรื่อง! ชะช้า...มาเจอกับตัวเองกลางวันแสกๆ เต็มภิกขา! ข้าไม่อยู่ก็ได้โว้ย"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น