13 ธันวาคม 2559

พบกันที่ศาลเจ้า

"จำลอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลเจ้าแถวคลองประปา คนเราเกิดมาทั้งทีกว่าจะแก่ชราหรือเจออุบัติเหตุจนต้องกลายเป็นศพ หรือเป็นผีก่อนอายุขัยน่ะ เชื่อว่าจะต้องโดนผีหลอกกันทุกคน ไม่ว่าจะยอมรับว่ากลัวผีจริงๆ หรือปากแข็งยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เคยกลัวผีก็ตาม

บ้านผมอยู่แถวๆ คลองประปานี่เองครับ แต่ไม่ได้อยู่ถนนด้านใน เป็นซอยจากริมถนน ฝั่งข้ามกับคลองประปา จุดที่มองจากถนนเห็นเด่นชัดก็คือศาลเจ้าไงครับ

จากเตาปูนมุ่งหน้าไปบางซ่อน จะเห็นศาลเจ้าเก่าๆ หลังใหญ่อยู่ซ้ายมือ ด้านหน้าติดถนนมีป่าละเมาะเตี้ยๆ รกครึ้ม สมัยก่อนเคยเป็นลานกว้างขวาง ด้านซ้ายติดกับซอยเล็กๆ ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กจนจะเลยวัยหนุ่มไปแล้ว

ตอนเด็กๆ เคยแห่กันออกมาเล่นกับเพื่อนฝูงแถวนั้นเจี๊ยวจ๊าวไปหมด บางวันก็เล่นกันจนค่ำมืดพ่อแม่ต้องออกมาตาม แต่อาแปะเฝ้าศาลเจ้าใจดีครับ มีขนมแจกเด็กๆ อยู่เสมอ...นึกไม่ออกว่ากลายเป็นสนามรกร้างไปเมื่อไหร่? อาแปะเครายาวสีขาวใจดีคนนั้นแกหายไปไหน?

เพื่อนผมสมัยเด็กยังจำได้ว่ามีเจ้าอึ่ง เจ้าเลี้ยบ เจ้าแบนและเจ้าเอียง...ที่จำได้ก็เพราะชื่อแปลกๆของมันนี่เอง ส่วนอีกหลายๆ กาลเวลานับสิบๆ ปีที่ส่วนมากแยกย้ายกันไปเรียน ไปทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แทบจะไม่ได้พบปะกันเลยก็ว่าได้...ทำให้ค่อยๆ ลืมเลือนชื่อกับหน้าตาไปหลายคน บางคนก็ถึงกับนึกหน้าไม่ออก

ผมมาเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าถนัดใจเมื่อตอนต้นปีนี่เอง!

คืนนั้นมีเพื่อนรุ่นน้องแต่งงานที่สโมสรทหารบกแถวสี่เสา งานมงคลแบบนี้ย่อมขาดเหล้าเบียร์ไม่ได้อยู่แล้ว เพิ่มความครึกครื้นจนเป็นที่สนุกสนานเฮฮา...ขากลับราวสี่ทุ่มเศษผมติดรถเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน เจ้ามิตรนี่มีน้ำจิตน้ำใจขนเพื่อนมาถึง 3 คน แวะส่งที่ราชวัตรกับเตาปูน...พูดไปอีกทีก็ทางเดียวกันแท้ๆ

แต่บ้านเจ้ามิตรอยู่ถึงแจ้งวัฒนะโน่นแน่ะ คืนนั้นฟ้าครึ้ม เมฆหนาลอยต่ำ เสียงฟ้าดังครืนๆ มาแต่ไกล สังเกตว่ารถราชักจะแล่นหนีฝนกันเร็วปรื๋อ ผมบอกให้เจ้ามิตรจอดส่งที่ปากซอย แต่เพื่อนยืนกรานจะไปส่งถึงบ้านในซอยให้ได้

"อั๊วไม่อยากให้ลื๊อเจอฝนกลางทางว่ะ" ผมยืนยันเหตุผล "ถนนเปียก ทางลื่นน่ะ มันอันตรายแค่ไหนใครก็รู้...เอ้า! จอดโว้ย!"

เจ้ามิตรยอมแพ้ เบรกรถที่ป้ายรถเมล์ว่างเปล่าก่อนถึงปากซอยนั่นเอง ผมขอบอกขอบใจเพื่อนแล้วลงมาโดนลมดึกกระโชกวูบ มองท้ายรถเจ้ามิตรแล่นห่างออกไป พร้อมกับก้าวยาวๆ เลี้ยวซ้ายเข้าซอย...

ฟ้ามืดทึบเป็นสีหมึก ทันใดก็ปรากฏแสงขาวจ้าแลบวาบเป็นทางยาว เหมือนมีงูตัวใหญ่กำลังเลื้อยปราดอยู่บนฟ้า ก่อนที่เสียงเปรี้ยงปร้างจะตามติดมาจนแก้วหูแทบสะเทือน

จากแสงฟ้าแลบนั่นเอง ที่ทำให้ผมมองเห็นศาลเจ้าเก่าแก่หลังนั้นโดดเด่น สว่างโพลงอยู่เต็มม่านตา...เสียงฟ้าจางหายแต่มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังขึ้นแทนที่ เล่นเอาผมชะงักเท้า หันไปจ้องมองเหมือนถูกมนต์สะกด...

เด็กๆ กลุ่มใหญ่กำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะเริงร่าดังก้องไปในอากาศและแสงสว่าง...แม้ว่าแสงจากฟ้าจะหายไปแล้ว แต่คงมีแสงจากเสาไฟเข้ามาแทนที่

คุณพระช่วย! ไอ้เลี้ยบ ไอ้แบน ไอ้อึ่ง...ที่วิ่งไปทางศาลเจ้าแล้ววนกลับมาก็คือใบหน้ากลมแป้นของไอ้เอียงนั่นเอง!

นอกจากนั้นยังมีเพื่อนๆ ที่ผมเคยคิดว่าจำหน้าไม่ได้แล้ว กำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนลานกว้างราบเรียบ ไม่มีหญ้าขึ้นรกและป่าละเมาะรกเรื้ออีกต่อไป...อาแปะยืนลูบเครามองมายิ้มๆ

พิษเหล้าแน่ๆ ที่ทำให้ผมมองตาลาย จนเห็นภาพของเพื่อนเก่ากำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ...สรรพสิ่งเลือนหายเหมือนถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำ มีแต่เด็กๆ กลุ่มใหญ่วัยสิบขวบที่วิ่งเล่นกันครืนๆ อยู่ในแสงไฟ

ผมขยี้ตาเพ่งมอง...อ้าว? ไอ้แบนหายไปไหนแล้ว? อ๋อ! มันวิ่งหันหลังให้ แต่พอหันกลับมาก็เล่นเอาผมผงะหน้า เบิกตาโพลง...ไอ้แบนกลายเป็นผมในพริบตานั้นเอง!

เด็กๆ กลุ่มนั้นยังวิ่งเล่นเฮๆ กันต่อไป แต่ชักเหลือน้อยลงทุกทีราวครึ่งต่อครึ่ง...ไม่ช้าไอ้เลี้ยบก็หายไปอีกคน แต่คราวนี้ไม่มีใครมาแทน...ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวคึกคะนองเหล่านั้นจะค่อยๆ ช้าลง...ช้าลงทุกที...จนกระทั่งเด็กทุกคนและตาแป๊ะเคราขาวหันมายืนนิ่ง จ้องมองผมอย่างเยือกเย็นเป็นตาเดียวกัน...ก่อนที่ภาพต่างๆ จะเลือนรางจางหาย กลายเป็นความว่างเปล่าที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกเรื้ออยู่หน้าศาลเจ้าตามเดิม

ผมเดินเซซังกลับบ้าน...พร่ำบอกตัวเองว่าพิษเหล้าแท้ๆ ที่ทำให้ผมตาลายไปได้ถึงปานนั้น...จิตใต้สำนึกต่างหากที่ทำให้ผมเห็นภาพที่อยากเห็น ไม่ใช่ผีสางอะไรหรอก...แต่ทำไมนึกถึงแล้วขนลุกซ่าก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น