"ปั้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อตามไปดูที่มาของเสียงสยอง
พวกผมเป็นเด็กนอนดึก หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่นอนเลยทั้งคืน! ก้อ...ตอนกลางคืนมันสบายนี่ครับ บรรยากาศสงบแบบประหลาดๆ พ่อแม่ดุจนเลิกดุไปเอง แถมพูดประชดอีกว่า...ดี! ไม่ต้องเปลืองยามเฝ้าบ้าน!
เรามีด้วยกัน 4 คน อยู่บ้านเดียวกันนี่เอง ผม-นายปั้ม เป็นผู้นำทีม อีกคนชื่อหมีอายุเท่ากัน เรียนม.3 เหมือนกัน แต่อยู่คนละโรงเรียน เป็นลูกชายลุงจวบคนขับรถพ่อ ส่วนอีก 2 คนเป็นสาวต่างชาติครับ ชื่อวิกับแอ้ มาจากพม่าและเป็นญาติกัน
สาวรับใช้คู่นี้ทำให้บ้านเรามีชีวิตชีวามากเลยครับ ตอนกลางวันพวกเธอจะง่วงเหงาหาวนอน พอแม่เผลอเธอก็นอนจริงๆ นอนทั้งวัน พอแม่เรียกปลุกขึ้นมาให้ช่วยจ่ายกับข้าวทำกับข้าว เธอทั้งคู่ก็จะงงอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นึกว่ายังอยู่ในพม่าโน่นแน่ะ!
ช่วงปิดเทอมใหญ่เราชุมนุมกันที่โต๊ะหินทุกคืน บางทีก็จุดเทียน บางทีก็อยู่กันมืดๆ คุยเรื่องผีกัน ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์ยิ่งสนุกเพราะเราจะฟังรายการเดอะช็อคของพี่ป๋องอย่างได้บรรยากาศ...แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่คาใจเราเหลือเกิน นั่นคือพอได้เวลาตี 2 ของทุกคืน เราจะได้ยินเสียงหมาตัวหนึ่งโก่งคอหอนโหยหวนเป็นเสียงนำ ตามมาด้วยเสียงหมาอีกเป็นฝูง หอนรับกันเกรียว...ฟังเหมือนมีผู้หญิงกรีดท้องแทรกมาด้วยไกลๆ
ด้วยความสงสัยว่า หมาบ้านใครนะหอนได้หอนดี คืนหนึ่งเรา 4 คนจึงพากันเดินออกจากบ้าน ลัดเลาะตามซอกซอยไปเรื่อยๆ ละแวกบ้านเรามีซอกเล็กซอกน้อยราวกับรังมดรังปลวกอยู่กลางกรุงเทพฯ
หมามันหอนมาจากทิศไหน เราก็มุ่งไปทางทิศนั้น แต่ตอนนี้เพิ่งตี 1 ครึ่งยังไม่ทันจะตี 2 ดี อย่าลืมว่าหมามันเริ่มโก่งคอเปล่งเสียงตอนตี 2 เป๊ะ เหมือนใครตั้งนาฬิกาปลุกไว้ให้มันบรรเลงยังงั้นละครับ
ทันใดนั้นเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาอยู่ในสถานที่ที่ผมไม่เคยย่างกรายเข้ามาก่อน!
ความจริงมันไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่นัก แต่ผมไม่เคยมีธุระปะปังอะไรแถวๆ นี้เพราะที่นี่มีแต่บ้านคน ไม่มีร้านค้า ร้านชำหรือร้านขายก๋วยเตี๋ยวส้มตำใดๆ ทั้งสิ้น
ผมมองไปรอบๆ พบว่าบ้านแถวนี้ทุกบ้านมีต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างมะม่วง มะขาม สาเก มันดูทะมึนไปทั่ว แสงไฟถนนถูกแมกไม้บดบังแทบจะหาประโยชน์อะไรไม่ได้ มันกลายเป็นแสงเรืองๆ ที่มีเงาไม้วูบวาบเหมือนภาพหลอน
"นั่น! ดูซิ...บ้านร้างรึเปล่า?" หมีกระทุ้งแขนผมจนต้องหันขวับไปดู...จากแสงไฟถนน ผมเห็นป้ายที่แขวนไว้ริมรั้วได้ถนัดตา "ขายด่วน!" และมีเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อไว้ด้วย
ประตูรั้วไม่ได้ปิดแฮะ!! ผมชะเง้อดูในบ้าน หน้าต่างประตูปิดมิดชิด หญ้าในสนามเล็กๆ หน้าบ้านก็ขึ้นสูงเอาการ บรรยากาศน่ากลัวพิลึก...วิกับแอ้จับมือกัน ก่อนจะหันมาถามว่าลองเดินเข้าไปสำรวจมั้ย? ผมลังเล เจ้าหมีคะยั้นคะยอว่าลองเข้าไปดูเถอะ สนุกดี
ผมดันประตูเบาๆ มันเปิดออกง่ายๆ พวกเราก้าวเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เราเดินดูรอบบ้านเลยครับ ไม่มีใครอยู่เลย เงียบมาก น่าแปลกที่อากาศเย็นเหมือนมีลมพัดออกมาจากห้องแอร์ แต่ไม่ใช่หรอกครับ ทุกอย่างเงียบกริบ
จู่ๆ มีเสียงก๊อกแก๊กๆ คล้ายคนกำลังทำครัว...จริงด้วย เรามาหยุดที่หน้าต่างบานเกล็ดของห้องครัว แสงสลัวๆ ทำให้เราพอมองออกว่า มีตู้กับข้าว ตู้เย็น โต๊ะ และหม้อไหกระไชชอนแขวนอยู่...ที่น่าขนลุกคือเราเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งตัวเล็กๆ ผมยาวรวบเป็นหางม้าที่ท้ายทอยลักษณะกิริยาเหมือนกำลังหยิบโน่นหยิบนี่ ทำกับข้าวอยู่คนเดียวมืดๆ
"มาทำไมกัน" เธอส่งเสียงทัก เราสะดุ้ง งงงันจนพูดไม่ออก หญิงคนนั้นเดินมาจ้องหน้าเราผ่านบานเกล็ด "ว่าไง...เข้ามาดูอะไรในนี้มั้ย?"
เป็นคำชวนที่กระด้างๆ แปลกๆ เจ้าหมีอึกอักขอโทษที่รุกล้ำเข้ามา ขณะที่หญิงคนนั้นจ้องเขม็ง แอ้กับวิร้องกรี๊ดเบาๆ พลางถอยกรูด วินาทีนั้น หมาเจ้ากรรมก็เริ่มหอน...มันเป็นหมาข้างบ้านนั่นเอง!
ตี 2 แล้วเรอะเนี่ย? หมาตัวอื่นโก่งคอรับ วิร้องไห้จ้า วิ่งพรวดพราดสติแตกออกไปทรุดฮวบอยู่นอนถนนโน่น พวกเราที่เหลือวิ่งตามแน่บ...วิหารใจหอบอยู่นาน น้ำตาไหลพราก ชี้มือบอกว่าผู้หญิงคนนั้นตาโบ๋!
แค่นั้นแหละครับ เราวิ่งออกจากตรงนั้นด้วยความตกใจสุดขีด
รุ่งขึ้นตอนกลางวัน เราไปที่นั่นอีก พอดีพบกับสาวใช้บ้านข้างๆ ก็เลยคุยกัน ถึงได้รู้ว่า บ้านนั้นบอกขายเพราะเจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ คนใช้ของเขาลื่นหกล้มหัวฟาดพื้น หมดสติไปตายที่โรงพยาบาล แต่วิญญาณไม่ยอมไปไหน
เข็ดแล้วครับ พวกเราเปลี่ยนมาใช้ชีวิตกลางวันเหมือนคนปกติ ไม่เคยอยู่กันตลอดคืนอีกเลย...กลัวผีครับ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้เวลาตี 2 ที่หมาพวกนั้นมาหอน! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 พฤษภาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น