"บังอร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโลกคนตาย
ดิฉันไม่ควรไปดูศพป้าแจ่มเลย ตัวเองเพิ่งอายุได้แค่ 7-8 ขวบเท่านั้น เพราะความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กแท้ๆ แต่ภาพน่าสยองนั้นติดหูติดตามาตลอดชีวิต ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนมาทำให้มันลืมเลือนไปได้เสียที?
ตั้งแต่เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดิฉันเคยเห็นศพอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนอนรับการรดน้ำอโหสิกรรม จนถึงนอนสงบนิ่งในโลง...ยิ่งอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคนก็ยิ่งเห็นศพในรูปแบบต่างๆ นานา ของญาติมิตรอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งศพที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุและฆาตกรรม
น่าแปลกที่ไม่มีศพไหนจะติดตา ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเหมือน "ศพป้าแจ่ม" เลยแม้แต่รายเดียว อาจจะเป็นเพราะวัยเด็กก็ได้ค่ะ ที่ทำให้คนเราจดจำเหตุการณ์และภาพที่สะเทือนใจ ก่อให้เกิดจินตนาการไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องราวที่น่าขนลุกขนพองสิ้นดี
ดิฉันจะเล่าให้ฟัง!
ป้าแจ่มเป็นคนข้างบ้านที่หลังตลาดสัตหีบนี่เอง ดิฉันได้ยินเสียงไอโขลกๆ มาเกือบปีแล้ว บางวันก็ไออยู่ในบ้าน แต่บางวันออกมายืนเกาะประตูไอจนตัวโก่งตัวงอ ร่างผ่ายผอมผิวขาวซีดจนเกือบจะเหลืองสั่นสะท้าน ทำท่าเหมือนจะม้วนลงมากองกับพื้น...ดิฉันเคยเห็นเลือดสดๆ พุ่งพรวดออกมาจากปากแกด้วยค่ะ
ลุงฮวดกับลูกๆ โชคดีที่ไม่ติดโรคร้ายจากแก แต่คนบ้านนี้ก็ผ่ายผอมกันทุกคน...
ชาวบ้านซุบซิบกันว่าป้าแจ่มท้อแท้กับชีวิตจนเคยขว้างยาทิ้ง ร้องเสียงแหบๆ ว่า...อั๊วจะกินไปทำไม อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว! บางครั้งแกจะไปเดินวนเวียนอยู่หน้าวัดหลวงพ่ออี๋ หมดแรงก็นั่งพักที่โคนต้นไม้ ไอโขลกๆ จนเลือดกระเซ็น ผู้คนเห็นเข้าก็รีบเดินหนีไปตามๆ กัน
ในที่สุด ป้าแจ่มก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบบนเตียงชั้นล่างเมื่ออายุสี่สิบเศษ...เพื่อนบ้านไปช่วยตั้งแต่ตอนที่สัปเหร่อนำร่างของแกใส่โลงเลยค่ะ...ดิฉันกับเด็กอื่นๆ ก็ไปมุงดูเพราะไม่เคยเห็นศพในโลงมาก่อน...
ภาพนั้นเองที่ติดหูติดตาดิฉันมาตลอดชีวิต!
ดูเหมือนว่าเขาจะให้ญาติผู้ตายได้ดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าขาวซีดที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ผมหงอกประปราย ในมือที่ถูกมัดด้วยสายสิญจน์มีดอกไม้และธูปเทียน เหมือนจะให้พนมมือไหว้พระหรือเทพเจ้าในโลกหน้าก็ไม่ทราบค่ะ...มีเสียงใครถอนใจยืดยาว ตามด้วยเสียงพึมพำ...ชีวิตคนเราก็เท่านี้แหละนะ...
เหนื่อยยากมานานแล้ว แจ่มเอ๊ย! ไหนจะทนทุกข์ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอีกล่ะ...คราวนี้จะได้พักผ่อนนอนหลับให้เต็มอิ่ม หมดเวรสิ้นกรรมเสียที!
ดูเหมือนว่าจะเคยได้ยินคำพูดอย่างปลงอนิจจัง หรือปลอบขวัญผู้ตายทำนองนี้มานานแล้ว แต่ใจดิฉันมักคอยค้านว่า ไม่จริง! ไม่มีใครอยากตายหรอกค่ะ ทุกคนล้วนแต่อยากมีชีวิต มีลมหายใจกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือทุกข์ร้อนแค่ไหนก็ตาม...ไม่งั้นคงจะไม่วิ่งเต้นหายามากิน ไปหาหมอให้ช่วยรักษาเพื่อยืดชีวิตให้ยืนยาวต่อไป
ไหนจะรักตัวเอง ไหนจะห่วงใยคนที่อยู่หลังอีกเล่า...
ฝาโลงปิดสนิท ตามด้วยเสียงตอกตะปูโครมคราม...แต่ภาพใบหน้าของศพและสองมือเหี่ยวแห้งที่พนมอยู่หว่างอกแบนแฟบนั้น ยังติดตรึง ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเด็กๆ อย่างดิฉันตลอดไป!
แม้ว่างานศพป้าแจ่มจะผ่านไปนับปี แต่ดิฉันก็ยังนึกถึงภาพนั้นอยู่เสมอ พลางคิดฟุ้งซ่านไปตามประสาเด็กว่า...เมื่อสัปเหร่อปิดโลงแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับร่างที่สงบนิ่งอยู่ในความมืดแสนจะอุดอู้น่ากลัวนั้นเพียงเดียวดาย...
ถ้าป้าแจ่มเกิดลืมตาขึ้นมาล่ะคะ?
เคยมีเรื่องเล่าว่าคนตายแล้วฟื้น ญาติได้ยินเสียงกุกกักในคืนสวดศพ...ถ้าป้าแจ่มฟื้นขึ้นแต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัว สุ้มเสียงก็แหบแห้งจนไม่มีใครได้ยิน แกคงหวาดกลัวแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังแน่นอน!
คุณพระช่วย! ถ้าแกเกิดฟื้นขึ้นมาตอนที่อยู่ในกองไฟ ต่อให้ดิ้นรนแค่ไหนก็จะไม่มีใครคิดว่าแกยังไม่ตาย...ลองนึกถึงภาพคนที่ถูกเผาทั้งเป็นซีคะ ว่าจะน่าสมเพชเวทนาแค่ไหน?
ถึงป้าแจ่มเสียชีวิตแน่นอนก็เถอะค่ะ...ว่าแต่วิญญาณมีจริงหรือ?
คงจะจริงกระมังคะ ถึงให้แกนำดอกไม้ธูปเทียนไปในโลกหน้า มีการเอาเงินใส่ปากให้แกไปซื้อที่ซื้อทางด้วย...วิญญาณแปลกหน้าโดดเดี่ยว หวั่นกลัวจนตัวสั่นงันงก เหลียวซ้ายแลขวาอย่างอกสั่นขวัญหาย รอบๆ กายมีแต่ความมืดมน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ภูตวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวย่างเข้ามารายล้อม ขู่คำรามผู้แปลกหน้าในอาณาจักรคนตาย...
เนิ่นนานปานใดหนอกว่าจะสิ้นเวรแท้จริง? ในวัยใกล้จะหกสิบปี ดิฉันยิ่งนึกถึงภาพที่นอนสงบนิ่งโลงเด่นชัดขึ้นทุกที...น่าขนลุกขนพองเพราะเป็นภาพใบหน้าของดิฉันเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น