"หนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในยามดึกเปลี่ยว
คืนนั้น ผมโทร.บอกแม่แล้วว่าติดฝน จะต้องค้างบ้านเพื่อนที่พุทธมณฑล แม่ไม่ต้องเป็นห่วง....ผมขับรถไปบ้านเจ้าพี-เพื่อนผมตั้งแต่ตอนเย็น....
ไปเป็นที่ปรึกษา เพราะมันสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกหน เจ้าพีเรียนที่เก่าไม่ไหวครับ ส่วนผมน่าจะขึ้นปีสองแล้วละ...เราคุยกันเพลินแล้วก็เล่นเน็ต เผลอแป๊บเดียวสี่ทุ่มแน่ะ มองออกนอกหน้าต่างเห็นฝนมาเต็มฟ้า ลมก็แรง ฟ้าแลบน่ากลัว เจ้าพีเลยชวนนอนค้าง
ว่าแล้วมันก็ไปขนเบียร์พ่อมาเลี้ยงผม ตัวมันน่ะซัดเข้าไปตั้ง 4-5 กระป๋อง ผมยังดื่มกระป๋องแรกไม่หมดเลย แต่ดูท่าเจ้าพียังไม่สะใจ ฝนตกแล้วมันเป็นบ้ารึไงก็ไม่รู้ ไปคว้าว็อดก้าของพ่อมาดื่มอั๊กๆ บอกว่าดื่มอยู่กับบ้านปลอดภัยกว่าไปตามผับตามบาร์ตั้งพะเรอ
ว่าแล้วมันก็เมา นอนแผ่หงายผลึ่ง สลบไสลฟิวส์ขาดไปตอนตีหนึ่งครึ่ง!
เอ...ผมกลับบ้านดีกว่า ฝนที่ตกหนักเมื่อชั่วโมงก่อนซาเม็ดแล้วนี่ ผมลงจากห้องเพื่อนไปลาพ่อที่ยังนั่งดูทีวีอยู่ชั้นล่าง รบกวนให้ท่านเปิดประตูรั้ว พ่อเจ้าพีใจดีมากครับ ถามผมด้วยความเป็นห่วงว่าดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถได้หรือ? ผมตอบว่าดื่มไปแค่กระป๋องเดียวเอง ไม่มึนไม่เมา กลับบ้านที่เตาปูนได้สบายมาก
พ่อเพื่อนกำชับว่าถ้าถึงบ้านแล้วโทร.บอกด้วยนะ จะได้หายห่วง
ผมขับรถออกมาราวสามร้อยเมตรก็ถึงปากทาง ยามดึกสงัดนี่ดูเปลี่ยววังเวงกว่าปกติ อ้าว? รถผมดันเครื่องดับซะงั้น! สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติด...แย่ละสิ! ผมนึกหวั่นๆ มองไปรอบๆ ก็กลัวอยู่เหมือนกัน บรรยากาศมันเหมือนฉากหนังสยองขวัญไม่มีผิด!
ไฟตัดหมอกสีเหลืองส้ม ส่องลงมาบนผิวถนนที่ยังเปียกฝน เห็นทางม้าลาย เกาะกลางถนน ฟุตปาธ ต้นไม้ใบหญ้า...ทุกอย่างดูสงบนิ่ง ทั่วบริเวณมีผมคนเดียวเอง
สูดลมหายใจยาวๆ แล้วทำใจกล้า เปิดประตูรถลงมา เฮ้อ! น่ากลัวชะมัด กลัวทั้งคนทั้งผี! ผมไม่ได้แขวนสร้อยพระมาด้วยซิครับ ในรถก็ไม่มีเครื่องรางของขลังอะไรเลย ผมเชื่อว่าพระอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราทำดีทำกุศลก็คุ้มครองเราได้
ผมไม่ใช่คนประเภทตื่นเช้า ใส่บาตร สร้างพระ สร้างโบสถ์ หรือแม้แต่เข้าวัดเข้าวา ผมแค่ทำดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนอกจากตบยุง ถึงแม้ไม่เคยบริจาคเงินก้อนโตๆ ผมก็ชอบหยอดเหรียญหรือแบงก์ยี่สิบลงตู้บริจาคสำหรับเด็กกำพร้า เด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสอยู่เสมอ....
"รถเป็นอะไรฮะพี่?" ผมสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงเล็กๆ แหบๆ ดังอยู่ระดับเอว ผมหันขวับไปดู...คนพูดเป็นเด็กตัวนิดเดียว หัวเกรียนกลมทุย ตาแป๋ว นุ่งกางเกงสีกากี สวมเสื้อยืดขาวๆ อายุคงราว 7-8 ขวบ...เด็กตัวแค่นี้มาทำอะไรบนถนนเปลี่ยวตอนเกือบจะตีสอง?!
ผมเพ่งให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผี แล้วตอบว่า "รถเสียน่ะสิ แล้วเรามาทำอะไรอยู่แถวนี้ล่ะ ไม่นอนเรอะ? แม่ห่วงแย่ เป็นเด็กเป็นเล็กตัวกะเปี๊ยก"
"เข้าบ้านไม่ได้..." เสียงอ่อยน่าสงสาร ผมย่นคิ้วมอง "อ้าว? ทำไมล่ะ ไปทำอะไรเข้า โดนแม่โกรธเรอะ? กลับบ้านเถอะ แม่ไม่ว่าหรอกน่า"
"ไม่ช่ายยย..." เสียงลากยาวน่าเวทนา แต่ท่าจะดื้อน่าดูเอาการ
"บ้านอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวแก้รถได้แล้วพี่จะไปส่ง แล้วชื่ออะไรล่ะเราน่ะ?"
เด็กชี้มือไปทางซอยที่ผมเพิ่งออกมา ครั้นมองตามไปยังแนวไม้ที่เห็นมืดทะมึนอยู่ลิบๆ จริงๆ แล้วมันก็บ้านเจ้าพีนี่แหละครับ
"อยู่โน่น...ชื่อกอล์ฟ หลานยายดวง..." แน่ะ! บอกละเอียดเชียว....ผมพยายามแก้เครื่องยนต์ จับโน่นจับนี่ เอาโซแน็คซ์มาฉีดพ่นก็ยังสตาร์ตไม่ติด ตลอดเวลามีหนูกอล์ฟป้วนเปี้ยนเฝ้าดูอย่างสนใจ
"ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อน พี่กำลังกลัวๆ"
"พี่ไม่ต้องกลัว ผมมีเพื่อนแยะ..."
น่าขนลุกนะครับ ที่พอขาดคำก็มีเด็กเล็กๆ ราว 5-6 คนโผล่ออกมา แต่ละคนปั่นจักรยานออกมาจากความมืดในซอย มีเด็กผู้หญิงด้วย...เด็กพวกนี้มามุงดูผมเป็นกลุ่มเลย ในบรรยากาศเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นใต้ผืนฟ้าดำทะมึนยามดึกสงัด
ไม่กี่อึดใจรถยนต์ก็สตาร์ตติด เฮ้อ...โล่งอก! เด็กๆ ตบมือดีใจด้วย ผมจะไปส่งกอล์ฟที่บ้านตามสัญญา แต่แกยิ้มจนตาหยี แล้ววิ่งเล่นไปกับกลุ่มเพื่อนที่พากันขี่จักรยานคันเล็กๆ หายลับเข้าไปในซอย...
ผมกลับบ้านอย่างปลอดภัย แล้วโทร.หาคุณพ่อเจ้าพี เล่าว่าที่กลับบ้านช้าเพราะรถเสียที่ปากซอย...เล่าเรื่องกอล์ฟ-หลานยายดวงให้ฟัง พ่อเพื่อนอึ้งไปเลย
กอล์ฟหลานยายดวงน่ะตายไปเมื่อเดือนก่อน เป็นไข้แล้วปอดบวม ส่วนเด็กๆ กลุ่มนั้น คุณพ่อของพีเชื่อว่าบางคนตกน้ำตาย บางคนถูกรถชนตายแถวนั้น...อาจจะตายมานานแล้ว แต่วิญญาณยังวนเวียนไม่ไปไหน
คุณเชื่อไหมครับ? ผมเจอมาเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมบอกตัวเองว่า..เราเจอผีที่น่ารักและมีน้ำใจมากที่สุดในโลกเข้าให้แล้ว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น