"อาทร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนพิชัย
สมัยหนุ่มผมอยู่ในซอยสันติสุข ใกล้ๆ กับสี่แยกพิชัย ซึ่งอยู่ระหว่างศรีย่านกับราชวัตร แถวนั้นเป็นดงอาหารครับ ของอร่อยเยอะแยะไปหมด ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แสงไฟสว่างไสว ผู้คนคึกคักเหมือนมีงานรื่นเริงทุกคืน
นอกจากรถเข็นแล้วยังมีร้านดังๆ ไม่ว่าปลาช่อนแป๊ะซะ ข้าวมันไก่ หมูตั้ง ไหนจะร้านไก่ย่างส้มตำเจ้าอร่อย คือร้านจั๊กหน่อย อาหารอีสานเพียบ ไม่ว่าลาบ ก้อย ตับหวาน ต้มป่าปลาหมอ เนื้อเค็ม เนื้อแดดเดียวมีหมด ถูกอกถูกใจคอเหล้าอย่าบอกใครเชียว
ตกเย็นคอเหล้าขาประจำก็ทยอยกันเข้ามา ไม่ช้าร้านขนาดสองคูหาก็เต็มทุกโต๊ะ ใครมาช้าก็ต้องนั่งโต๊ะบนฟุตปาธหน้าร้าน พวกที่ทนรอโต๊ะว่างไม่ไหวก็จัดการสั่งซื้อสรรพอาหารรสแซบใส่ถุงไปกินบ้านละกัน ถ้าไม่อร่อยจริงๆ จะมายืนรอให้เมื่อยแข้งเมื่อยขาไปทำไม
อ้อ! ร้านอาหารอร่อยๆ ที่ว่าน่ะอยู่แถวถนนพิชัยนะครับ ไปทะลุออกถนนสามเสนก็ได้ ออกถนนพระราม 5 ก็ได้...ถนนกว้างขวาง ไปมาสะดวก ร้านไหนอร่อยจริงๆ รับรองว่าลูกค้าแน่นตรึม...แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาด ค่อนข้างจะอัศจรรย์ด้วยซ้ำก็คือตู้โทรศัพท์ครับ
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ถนนสั้นๆ สายนี้มีตู้โทรศัพท์มากมายที่สุดในกรุงเทพฯ!
ทั้งสองฝั่งถนนเห็นแต่ตู้โทรศัพท์แดงๆ โดดเด่นอยู่ใต้ต้นไม้ร่มครึ้ม เคยมีคนลองเดินนับดู เบ็ดเสร็จมีตั้ง 14-15 ตู้แน่ะครับ
องค์กรโทรศัพท์คงจะเห็นว่าบ้านเรือนหนาแน่น แต่ถนนพิชัยไม่มีรถเมล์ผ่านเลยเอาตู้โทรศัพท์มาตั้งเป็นว่าเล่น เดี๋ยวตู้ๆ ที่เคยนับไว้อาจจะเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ที่อื่นไม่ยักหนาตาเหมือนแถวบ้านผม
คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนๆ ที่โรงพิมพ์ย่านบางพลัด ชักชวนกันมาดวดดื่มที่ร้านจั๊กหน่อย...ตอนนั้นส้มตำปูเพิ่งขึ้นราคาจากจานละ 3 บาท เป็น 5 บาท ไม่ใช่จานละ 20-30 บาท เหมือนตอนนี้หรอกครับ เล่าให้เด็กรุ่นหลังฟังเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน หาว่าตลก...ปั้ดโธ่!
เรามาถึงราว 6 โมงเย็น หน้าหนาวค่ำเร็วครับ...โต๊ะในร้านน่ะอย่าไปหวัง ได้โต๊ะบนฟุตปาธ ห่างเตาย่างไก่ไปทางขวา แค่นี้ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ไม่ต้องยืนแขวนรอโต๊ะว่าง
เจ้าผ่อนอยู่บางโพ เจ้าโก๋อยู่สะพานควาย...ถือว่ามาหากินใกล้ถิ่นหน่อย ผมโชคดีกว่าเพื่อนตรงที่เดินตีต๊อกกลับบ้านใกล้ๆ ได้สบายมาก
เหล้าแบนโซดาสอง ลาบ ก้อยตับ แหนมห่อ ส้มตำปูใส่ปลาร้า อ้อ! น้ำแข็งอีกหนึ่งกระติก...แค่นี้ก็ทำให้หายเมื่อยขบ หูตาสว่างไสว มองเห็นโลกโสภาสถาพรขึ้นมาทันใด
แบนที่สองและที่สามตามติดมาอย่างรวดเร็ว คงเพราะอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาวทำให้เมาช้า มีเนื้อเค็มกับซุบหน่อเพิ่มเติมขึ้นมา อย่าลืมข้าวเหนียวสามกระติ๊บ จะได้ไม่ต้องแย่งกันจกใส่ปาก...พูดคุยเฮฮาไร้สาระ จนกระทั่งถึงแบนที่สี่
เอาละ! พอกันที เจ้าผ่อนสั่งต้มป่าปลาหมอ เจ้าโก๋สั่งส้มตำปูมาเปลี่ยนรสชาติซะมั่ง...ไม่ต้องบอกก็รู้กันในทีว่าแบบนี้เป็นแบบสุดท้าย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะเพื่อน!
มึนๆ กำลังดี ซดต้มป่าปลาหมอโฮก...หูตาสว่างจ้าขึ้นมาทันตาเห็น ถ่านในเตาไก่ย่างดับมอดแล้ว ลูกค้าบางตาลง ที่เหลือก็ทยอยกันกลับ เราช่วยกันจ่ายเงินก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง...
ไฟถนนสว่างโพลงดูเยือกเย็น ผมเดินไปตามบาทวิถีโล่งว่าง ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามาจนทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะจางหาย...ก่อนจะเหลือบไปมองตู้โทรศัพท์ข้างหน้าพอดี
ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ มือถือกระบอกโทรศัพท์แนบกับใบหู...ผมเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส จนกระทั่งมองเห็นตู้สีแดงตั้งโดดเด่นอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น...
ผู้ชายยืนอยู่ในตู้ คราวนี้สังเกตว่าสวมเสื้อขาว...หันไปมองด้านขวามือโดยไม่ได้ตั้งใจ อ้าว? ตู้โทรศัพท์ฝั่งตรงข้ามก็ไม่ว่างเหมือนกัน! มิน่าล่ะ เขาถึงได้ตั้งตู้ไว้ให้หนาตาเชียว...พอดีชายในตู้หันมา หน้าขาวๆ กำลังพูดโทรศัพท์พะงาบๆ ดูคล้ายๆ กำลังแยกเขี้ยว...จ้องมองผมด้วยแววตาพิลึกจนน่าเสียวสันหลัง
ตู้สีแดงโดดเด่นอยู่ข้างหน้าอีกแล้ว น่าแปลกที่ไม่เห็นมีรถราแล่นผ่านเลย ทั้งที่ยังไม่ห้าทุ่มด้วยซ้ำ...ผู้ชายสวมเสื้อขาวกำลังก้มหน้าก้มตาพูดใส่กระบอก แถมพยักหน้าหงึกหงัก...ผมหันไปมองฝั่งตรงข้ามก็เห็นผู้ชายในตู้โทรศัพท์เช่นกัน
หันกลับมาเห็นชายคนนั้นเงยหน้าซีดขาวขึ้นมอง...สะดุดใจวูบเมื่อจำได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน สมองที่พร่ามึนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้คิดช้า แต่แล้วก็นึกออกว่าเป็นชายคนเดียวในตู้โทรศัพท์ที่เพิ่งเดินผ่านมานั่นเอง!
ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มองเห็นหัวมุมถนนอยู่ไม่ไกล ตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปฝั่งโน้นตรงกับตู้โทรศัพท์พอดี...ผู้ชายหน้าขาวซีดคนเดิมกำลังถือหูโทรศัพท์ แต่จ้องมองผมเขม็ง
ราวกับโลกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมเผ่นอ้าวไปไม่คิดชีวิตจนถึงถนนนครไชยศรี...วิ่งเตลิดเข้าซอยบ้านราวคนบ้า...สิ่งที่ผมเจอะเจอน่ะถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะครับ? บรื๋อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 พฤษภาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น