"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมน้ำป่าสัก
เรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าใครก็ทราบดีนะคะ ว่าแสนจะน่าเกลียดน่ากลัว น่าขนหัวลุกจนแทบสติแตกไปตามๆ กัน บางคนถูกผีหลอกจนช็อกคาที่ หัวใจล่มสลายไปเลยก็มีค่ะ
แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องหวาดเสียวอย่างเดียวเสมอไป เรื่องเศร้าแสนสะเทือนใจก็มีเหมือนกัน เช่น เรื่องแม่นากพระโขนงไงคะ!
ว่าก็ว่าเถอะค่ะ ในความเศร้าระคนกับความเสียวสยองนี่ ไม่ค่อยถูกโรคกับดิฉันเท่าไหร่ ถ้าโศกเศร้าอย่างเดียวยังพอว่า แต่ถ้ามีความหวาดเสียวเข้ามาผสมโรง โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ หรือผู้ไม่มีร่างกายด้วยแล้ว..ไม่ขอเจอะขอเจอจริงๆ เจ้าประคุณ
ดิฉันเคยประสบกับเรื่องเศร้าผสมขนหัวลุกเข้าอย่างเต็มเปาเชียวล่ะค่ะ
สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่หนองบัว จังหวัดสระบุรี ขนาบด้วยทางรถไฟสายอีสานกับแม่น้ำป่าสัก เลยจากวัดเพรียวขึ้นไปพอสมควร หมู่บ้านเราอยู่บนตลิ่งริมแม่น้ำ อาชีพส่วนใหญ่ก็รับจ้าง กับเก็บผักหักฟืน ทอดแหหาปลาพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ
พ่อดิฉันได้ชื่อว่าเป็นประมงน้ำจืดมือดีประจำหมู่บ้าน!
เมื่อถึงหน้าน้ำหลาก ป่าสักจะขุ่นคลั่ก ไหลเชี่ยวน่ากลัว พัดพาฝูงปลาน้อยใหญ่จากทางเหนือมาให้พวกเราจับกินจับขายกันไม่หวาดไม่ไหว แถวบ้านดิฉันจับปลาได้มากๆ ก็จัดการคลุกเกลือคลุกรำ ทำเป็นปลาร้าไว้กินได้ตลอดปี
พอถึงหน้าแล้งน้ำน้อยลง ใสจนเขียว ไหลเอื่อยอ่อนเหมือนหยุดนิ่งเป็นน้ำในสระ ตลิ่งสูง หาดกว้าง เพิ่มที่ในการปลูกผักสวนครัว ตั้งแต่ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง พริกขี้หนู ตะไคร้ จนถึงแตงกวาแตงร้าน ใครขยันก็ทำค้างให้ถั่วพู บวบและน้ำเต้า ฟักเขียวก็มีค่ะ ตอนเย็นลงไปอาบน้ำที่ตีนท่าก็ถือโอกาสเก็บผัก รดน้ำ ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้อีกด้วย
เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อดิฉันติดเรือหาปลาไปกับพ่อตอนบ่ายๆ ขึ้นเหนือไปเรื่อยเพราะแถวนั้นเปล่าเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คน พอเห็นทำเลเหมาะพ่อก็วาดหัวเรือเข้าไปในพงอ้อกอหญ้ารกทึบ บางแห่งก็เป็นแอ่งกรวดทรายแคบๆ พอที่จะเกยหัวเรือไว้ได้
พ่อควักกระป๋องออกมามวนยาสูบ ส่วนดิฉันตอนนั้นอายุราวสิบขวบก็ขึ้นไปเดินเล่น ชมนกชมไม้เพลิดเพลิน แกว่งไกวตะกร้าใบเล็กๆ ในมือไปด้วย โดยที่พ่อกำชับไว้ว่าอย่าไปเล่นไกล เดี๋ยวจะหาทางกลับเรือไม่ถูก
ด้านในมีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ กิ่งใบเบียดเสียดกันเหมือนจะกลายเป็นร่มยักษ์ที่มีด้ามหลายอัน จนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ทำให้พื้นดินแถวนั้นร่มครึ้ม เปียกชุ่ม ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกันส่งกลิ่นอับชื้น บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เสียงลมพัดโชยวู่หวิว บางครั้งก็ซู่ซ่าอยู่เหนือหัวเหมือนเสียงใครกระซิบกระซาบความลับต่อกัน หรือไม่ก็เป็นเสียงหัวเราะครืนๆ ราวกับสนุกสนานเสียเต็มประดา
นกการ่อนร้องอยู่ตามกิ่งก้านหนาทึบ พวกมันอาจจะทำรังอยู่ที่นั่นก็เป็นได้นะคะ..
ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ดิฉันเดินเข้าไปในความร่มครึ้มใต้ร่มยักษ์ที่ว่า เห็นมีมะม่วงป่าหล่นกลาดเกลื่อน ดูคล้ายมะม่วงกะล่อนก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาหลายลูก ว่าจะเอาไปฝากแม่กับน้อง อยากรู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า?
ทันใดนั้น เสียงเพลงกล่อมลูกก็ดังแว่วมากระทบหู..
กำลังสอดส่ายสายตามองหามะม่วงต่อไปอยู่ดีๆ เล่นเอาชะงักกึก..เอ๊ะ! ใครมาร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ที่นี่? แถวนี้มีบ้านคนด้วยเหรอ?
ยืดตัวขึ้นมามองหาไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย หันไปทางแม่น้ำก็เห็นแสงแดดเหลืองอ่อนทาบอยู่ตามกอไม้..เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะ ทั้งอ่อนโยนและเยือกเย็น แต่ก็ทำให้ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ดวงอาทิตย์คล้อยลงที่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้ว..กลับดีกว่า! ดิฉันบอกตัวเอง แล้วหิ้วตะกร้าเดินออกจากพื้นดินเปียกชุ่มมาสู่พื้นหญ้า แวดล้อมด้วยป่าละเมาะ..ขณะนั้นเองดิฉันก็มองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา!
ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งนั่งพิงโคนไม้ ในอ้อมแขนเธอคือทารกตัวแดงๆ นอนนิ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ขยับแขนเบาๆ ไปมาพลางกล่อมเห่ลูกน้อยด้วยเสียงเยือกเย็นจับใจตามเดิม
โธ่! อยู่ที่นี่เอง..ดิฉันถอนใจออกมาได้อย่างโล่งอก ขณะนั้นเองเธอก็ค่อยๆ เบือนหน้ามามองอย่างเชื่องช้า..
ใบหน้าเรียวยาว ขาวซีด เผยอยิ้มนิดๆ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในร่มเงาอันสลัวรางก็เป็นได้ ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกๆ เดี๋ยวก็ชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนรางไป..ดิฉันยิ้มให้เธอแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อที่ชายน้ำทันที
ระหว่างทางกลับบ้าน ดิฉันเล่าเรื่องให้พ่อฟัง แต่พ่อกลับหัวเราะหึๆ บอกว่า..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย แม่เอื้อยเขาออกลูกตายที่นั่น! พ่อฟังเขากล่อมลูกมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที..ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ แต่ไม่ยอมลงเรือไปกับพ่อตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 เมษายน 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น