"แพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากงานศพเพื่อนรัก
ความรักคือความทุกข์ เสียงหัวเราะที่มักจะลงเอยด้วยหยาดน้ำตา! ยกเว้นแต่จะยอมรับความจริง อย่างที่พระบรมศาสดาได้ตรัสไว้เมื่อเกือบสามพันปีก่อนว่า...คนเราย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักเสมอไป!
ดนยา-เพื่อนรักของดิฉันเองคือบทพิสูจน์คำว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ได้เป็นอย่างดีค่ะ
เพราะความรักนั่นเองที่ทำให้ดนยาต้องจบชีวิตในช่วงอายุต้น 20 ปี...วัยที่ผู้หญิงเรากำลังสะสวย เปล่งปลั่ง เต็มไปด้วยเลือดฝาดและความกระตือรือร้น ใบหน้าและแววตาแจ่มใสเปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานรับน้ำค้างและแสงแดดอย่างเต็มที่
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ความฝันทั้งปวงกำลังจะกลายเป็นความจริง ความสำเร็จสมหวังกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า ชีวิตที่มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าสดใส...ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่า มันจะลงเอยด้วยน้ำตา...และสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนเอง
ดนยาก็เช่นกัน!
พวกเราเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว การฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่น่าตื่นเต้น โลกนี้เปิดกว้างขึ้นไปอีก มีผู้คนมากมายที่ได้รับความสำเร็จในอาชีพ เป็นตัวอย่างและสร้างกำลังใจให้ดียิ่ง
ดนยากับเพื่อนๆ ไปฝึกงานที่โฮเต็ลหรูหราระดับ 4 ดาวแถวถนนสุขุมวิทนี่เอง
เชษฐ์คือคนรักที่เรียนต่างสถาบัน แต่คอยพะเน้าพะนอดนยาแทบทุกอย่าง รวมทั้งการขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับ-ส่งทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
ดนยาสะสวย อ่อนหวาน ร่าเริง เข้ากับคนง่าย รอยยิ้มอันสดใสและเปิดเผยของเธอเป็นเสน่ห์รุนแรง แม้แต่กับคนเพศเดียวกัน พวกเรายอมรับว่าดนยาเป็นคนสวยที่สุดและเสน่ห์แรงที่สุดในกลุ่ม...เชษฐ์เคยบอกว่าไม่เคยรักใครมาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าและรอยยิ้มของดนยาครั้งแรกก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น
คนทั้งสองรักใคร่กัน...แต่สังเกตว่าความรักของเชษฐ์มากมายจนออกนอกหน้ายิ่งกว่าความรักของดนยา!
ระยะหลังๆ ได้ข่าวว่าคนรักคู่นี้เริ่มมีปากมีเสียงกันบ่อยครั้ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดนยาคนสวยมีหนุ่มๆ มาใกล้ชิดติดพัน ตั้งแต่รุ่นเดียวกันจนถึงรุ่นพี่และรุ่นน้ารุ่นอา บางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ความสนิทสนมและการหัวเราะต่อกระซิกระหว่างดนยากับผู้ชายอื่นๆ เปรียบเหมือนหนามยอกอกเชษฐ์ ผู้จริงจังกับชีวิตจนเกินไป
ข่าวสุดท้ายก็คือ...เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งจากสุขุมวิทไปถึงบ้านที่สะพานขาว ดนยาท้าเลิก เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สติขาดผึง...เชษฐ์กระชากปืนพกออกมายิงใส่หน้าอกเธอ 5 นัดซ้อนๆ ก่อนจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อขมับตัวเอง...แล้วลั่นไก!
โศกนาฏกรรมรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะนึกฝัน...แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป ช่วยกันนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปฟังสวดพระอภิธรรมตั้งแต่คืนแรก รู้สึกสลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งในบรรยากาศเยือกเย็น ทั้งภาพของแม่ดนยากอดลูกๆร้องไห้ พ่อของเธอนัยน์ตาแดงก่ำนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น...เหม่อมองรูปถ่ายของลูกสาวที่ยิ้มระรื่นอยู่หน้าโลง กำลังมองตอบมาด้วยสายตาสดใสเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่
...มองตามสายตานั้นไป นัยน์ตาเราสบสานกันนิ่งๆ เหมือนโลกหยุดหมุน และกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แสงไฟในศาลาสวดพระอภิธรรมคงจะเป็นสาเหตุให้ดิฉันตาพร่า...มองเห็นริมฝีปากของดนยาในภาพถ่ายเผยอยิ้มมากขึ้น...มากขึ้นทุกที!
"ลาก่อน...ลาก่อน..."
ดิฉันขนลุกซ่า อ้าปากค้าง ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปในบัดดล หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะกระทบโพรงอก แต่นัยน์ตายังลืมโพลง จ้องมองภาพถ่ายของเพื่อนรักผู้จากไปตลอดกาล
คุณพระช่วย! ในแสงไฟเหลืองรัวเหมือนเป็นภาพในความฝัน ดิฉันเห็นดนยาในภาพถ่ายกะพริบตาครั้งหนึ่ง...แววตาของเธอแสนเศร้าราวกับจะสำนึกในชะตากรรม...ความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้เธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง...ได้แต่หันกลับมาดูด้วยความโหยหา อาลัยอาวรณ์อย่างสุดแสน แต่ไม่อาจจะเรียกร้องชีวิตให้กลับคืนมาได้อีกเลย!
ร่างกายที่แน่นิ่งอยู่ในโลงศพย่อมไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ ไม่ช้าก็จะถูกไฟแผดเผาให้มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน...จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า และจากธุลีกลับคืนสู่ธุลีตามเดิม
ดิฉันกระเดือกน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น กระซิบซาบอยู่ว่า...ลาก่อนเพื่อนรัก ขอให้ไปสู่ภพหน้าอย่างเป็นสุขๆ เถิด! น้ำตาดิฉันไหลรินลงมาตามร่องแก้มเงียบๆ ขณะนั้นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น