"ทิดทุม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อออกไปตีกบ
สมัยเด็กผมอยู่อำเภอเสนา อยุธยานี่เอง หลวงพ่อปานท่านโด่งดังทางคาถาอาคมแค่ไหน ใครๆ ก็ย่อมรู้จักกันดีทั่วบ้านทั่วเมือง เอ่ยถึงเรื่องหลวงพ่อปานสั่งให้ชาวบ้านทำขนมจีนเลี้ยงเปรตกลางวันแสกๆ ดังระเบิดอย่าบอกใคร
พวกผมเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่ากับการเล่นสนุกไปวันๆ วันไหนฝนตกหนัก คืนนั้นก็เป็นอันว่ายกโขยงออกไปตีกบกันครึกครื้นไป
คืนนั้น นักล่ากบก็มุ่งหน้าออกท้องทุ่งอันเฉอะแฉะ สะพายข้องถือไฟฉายส่องวูบวาบ...ตอนออกจากหมู่บ้านน่ะยกโขยงกันมาหนาตาละครับ แต่ไม่ช้าก็แยกย้ายกันไปตามเสียงร้องอ๊บๆ อ๊บๆ ฟังแล้วยั่วน้ำลายพิลึก
ท้องฟ้าหนาทึบ บางครั้งก็มีแสงแลบวูบวาบ คำรามครืนครัน ถึงจะคุ้นๆ ก็ไม่วายเสียวสันหลังว่าจะโดนผ่าโครมครามน่ะซี มีหวังดำปี๋เหมือนตอตะโกเชียวละคุณเอ๋ย บรื๋อส์....
ลมทุ่งพัดกรูเกรียวเล่นเอาหนาวสะท้าน แต่เสียงกบร้องคือมนต์ขลังที่ทำให้หายหนาวหายกลัวไปจนหมดสิ้น มองไปรอบๆ ตัวก็เห็นแต่แสงไฟวูบๆ วาบๆ กับทิวไม้ปลายนาที่ดูมืดทะมึน ต้นตาลยืนโด่เด่ ลมพัดมากระทบใบแก่ๆ เกิดเสียงแกรกกรากน่าขนลุกไม่หยอก
"ฮะแอ้ม! ได้กบเยอะมั้ยวะ?"
เสียงกระแอมใกล้ๆ หูทำให้ผมสะดุ้งโหยง หันขวับไปเจอะไอ้จุกแปลกหน้าเปลือยอกผอมๆ กำลังจ้องมองเขม็ง...จังหวะนั้นเองที่ทำให้ผมลื่นพรวด หงายหลังลงไปตีแปลงกับพื้นดินเฉอะแฉะ มองเห็นดาวสะพรั่งฟ้าทันที ที่เขาว่า "เห็นดาว" น่ะมันเป็นยังงี้นี่เอง!
ผมหลับตา กลืนน้ำลาย...สงสัยว่าตัวเองจะมีปัญญาลุกขึ้นมาได้หรือเปล่าละหนอ?
คล้ายๆ กับจะเคลิ้มหลับไปเนิ่นนานเชียวละครับ ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจ้าจุกเอื้อมมือมาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นมาปัดดินโคลนออกจากเนื้อตัว...มันบอกว่าไปพักที่บ้านข้าก่อน! ยายข้าใจดีโว้ย ไปเถอะ...
ผมเดินตามเด็กแปลกหน้าต้อยๆ ไปตามคันนาเหมือนถูกสะกด ครู่เดียวก็มาถึงกระท่อมเก่าแก่โย้เย้อยู่ตรงหน้า...พอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ตามหลังเจ้าจุกไปก็ถึงกับตะลึงงันคาที่
หญิงเฒ่าร่างร้ายเหมือนแม่มดในนิทานกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมกระท่อม แสงสว่างจากตะเกียงกระป๋องนมสะบัดเปลววูบวาบตามสายลม ทำให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่น จมูกงุ้ม ปากยุบ แก้มบุ๋มเพราะไม่มีฟันฟางเหลืออยู่เลย ผมเผ้าสีขาวโพลนเป็นกระเซิงดูสกปรกสิ้นดี พอๆ กับสภาพในกระท่อมที่มีแต่กระเบื้องถ้วย กะลาแตก กับผ้าขี้ริ้ว 2-3 ผืนกองอีเหละเขละขละน่าขยะแขยงเต็มที
กลิ่นเหม็นหืนระคนกับสาบๆ สางๆ อวลกรุ่นมาเข้าจมูกจนผมต้องทำเสียงฟุดฟิดก่อนจะหันไปพบนัยน์ตาลุกวาว จมอยู่ในเบ้าของแม่มดจำแลงคนนั้น กำลังจ้องมาเขม็ง
"เอ็งพาเพื่อนมาหายายหรือไอ้จุก?" จู่ๆ เสียงแหบแห้งก็ดังโพล่ง แล้วแกก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะแหบโหย "ดีวะ! เหอๆๆ ไอ้นิลก็จะมาหาข้าคืนนี้พอดี"
แทบจะไม่ขาดคำ ไอ้จุกก็ผวาไปที่หน้าต่างแบบใช้ไม้ค้ำ ชี้มือชี้ไม้ไปกลางทุ่งแล้วหันมาร้องว่า...นั่นไง! น้านิลมาแล้ว! เล่นเอาผมต้องแล่นออกไปชะโงกหน้ามองดูมั่ง
...ท่ามกลางความมืดสลัวของราตรี ผมเห็นใครคนหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับชูคบไฟลุกโชน...ข้างหลังมีชายกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คนกำลังเดินตาม ท่าทางเหมือนกับหอบหิ้วอะไรมาด้วย...ยายเฒ่าลุกพรวดพราดขึ้นด้วยท่าทางปราดเปรียว เดินเหมือนกระโดดไปที่หน้ากระท่อม
"มาแล้วโว้ย! ไอ้นิลมาแล้ว คราวนี้มึงจะหนีไปไหนพ้น เหอๆๆ"
จนกระทั่งชายกลุ่มนั้นมาถึง ผมมองเห็นเต็มตาก็ตะลึงไป!
คุณพระช่วย! ชายร่างใหญ่กำยำที่ถือคบนำหน้านุ่งผ้าหยักรั้งผืนเดียว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน...แต่ว่าพวกมันกำลังช่วยกันหามโลงผีขึ้นมาบนกระท่อมอย่างหน้าตาเฉย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเต้นแร้งเต้นกาของยายเฒ่า...ยกมันขึ้นมาโว้ย! ยกไอ้นิลขึ้นมาหาข้าเร็วๆ เหอๆๆ
โครม! โลงศพทิ้งโครมลงบนพื้นจนกระท่อมแทบพัง ชายพวกนั้นผละออกไปนั่งพิงฝา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยน่าดู ส่วนผมอ้าปากค้าง ตะลึงงันอยู่ว่าพวกมันจะหามโลงผีมาทำไม?
และแล้ว...คำตอบก็มาถึง เมื่อยายเฒ่ารูปร่างกาลีปราดเข้าไปกระชากฝาโลงจนหล่นโครมคราม ผมผงะหน้าเมื่อเห็นศพของชายหนึ่งลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมานั่ง...ใบหน้าเละเทะเปรอะเลือดน่าสยดสยอง จนผมต้องผงะหน้าหนี แต่ยายเฒ่ากลับหัวเราะร่า...เงื้อมือขึ้นสูงจนเห็นมีดขาววับ จ้วงแทงเข้าที่ทรวงอกของศพเจ้านิลไม่ยับยั้ง!
"โอ๊ย!..." ผมแผดร้องสุดขีดคลั่ง กระโจนพรวดออกจากกระท่อมอุบาทว์ในพริบตา ไอ้จุกเผ่นเข้าขวางแต่ผมก็ชนมันกระเด็นไป...วิ่งเตลิดลุ้มลุกคลุกคลานไม่คิดชีวิต จนล้มฮวบลงเป็นครั้งสุดท้าย...
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังนอนจมโคลนอยู่ที่เดิม ฟ้าแลบวาบจนเห็นตาลยืนเด่นอยู่ตรงหน้า...ผมตะลีตะลานลุกมาพร้อมกับไฟฉาย เผ่นอ้าวกลับบ้าน เลิกไปตีกบตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น