"ยิหวา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเช่า
ดิฉันได้พบกับเรื่องแปลกประหลาด แถมยังน่าสยองที่สุดในชีวิต ทั้งๆที่ไม่เคยเชื่อเรื่องผีหรือเรื่องโชคลางอาถรรพณ์ต่างๆ แต่ศรัทธาในวิทยาศาสตร์และเรื่องที่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนเท่านั้นเอง
คนที่เล่าว่าถูกผีหลอก หรือพบกับเรื่องแปลกๆ เหลือเชื่อคงจะเป็นพวกคิดมากชอบเพ้อฝัน ถูกปลูกฝังให้เชื่อเรื่องเหลวไหลมาตั้งแต่เด็กๆ
หรือไม่ก็เป็นพวกประสาทอ่อนมากๆ น่ะค่ะ!
เรา - หมายถึงดิฉันเพื่อนชื่ออ้อม ทำงานบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งย่านสีลม เช่าบ้านอยู่ด้วยกันแถวเชิงสะพานตากสิน การไปมาถือว่าสะดวกสบายพอสมควร อาหารการกินเรามักจะฝากท้องไว้นอกบ้าน อ้อมเป็นคนจังหวัดเดียวกันที่มาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ ได้สิบกว่าปีแล้ว เรื่องการกินอยู่ค่อนข้างง่ายๆ เหมือนกับดิฉัน
บ้านเช่าชั้นเดียวของเรามี 2 ห้องนอนกับห้องน้ำที่เข้าได้ทั้งสองด้าน ส่วนห้องรับแขกกว้างหน่อย มีม่านกั้นเป็นห้องครัวเล็กๆ เฟอร์นิเจอร์พร้อมค่ะ
เราแยกกันนอนคนละห้อง ดูข่าวจบก้มักจะแยกย้ายกันเข้าห้องเปิดแอร์ อ้อมชอบฟังเพลงส่วนดิฉันชอบอ่านหนังสือเงียบๆบางคืนอ่านจบหลับไปเลยก็มี...ถือว่าชีวิตสงบสุขตามอัตภาพ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรที่เกินฝัน
อยู่บ้านเช่าค่อนข้างสงบเงียบมาได้ปีเศษ จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น เมื่ออ้อมเกิดล้มป่วยกะทันหัน ตอนแรกก็บ่นปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้รุมๆ แต่อาการยังไม่น่าวิตกนัก
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ อ้อมไม่สบายตอนบ่าย กินยาแล้วก็นอนซม ดิฉันเข้าไปดูเพื่อนก็เห็นหน้าขาวซีด ปากแห้งเกราะแดงระเรื่อ ไม่ยอมกินอาหารนอกจากนมกล่อง...ตกค่ำก็ยังไม่ดีขึ้น ดิฉันขอให้ไปคลินิกที่ปากซอยก็ไม่ยอมไป บอกแต่ว่ากินยาแล้วนอนห่มผ้าหนาๆอีกสักครู่ก็คงหาย
ดิฉันปิดแอร์ให้แล้วบอกว่าจะดูทีวีอยู่ข้างนอก มีอะไรให้เรียกได้เลย
คงจะเป็นเพราะห่วงเพื่อนทำให้พลอยกินอะไรไม่ลงไปด้วย...ปกติเธอเป็นคนแข็งแรง ไม่เจ็บไข้หรือเป็นอะไรง่ายๆ ดิฉันเสียอีกที่เป็นภูมิแพ้ ต้องกินยาลดน้ำมูกทุกวัน
ดูทีวีก็ไม่รู้เรื่องแต่เดินเข้าเดินออกในห้องอ้อมบ่อยๆ เห็นเธอนอนหลับบ้างลืมตาโพลงบ้าง ราวสามทุ่มไปแตะหน้าผากก็ตกใจเพราะร้อนจี๋เชียว บอกให้ไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย แต่อ้อมส่ายหน้าลูกเดียว ยืนยันว่าเป็นไข้ธรรมดา
"ถ้าไม่หายจริงๆ พรุ่งนี้ค่อยไป"
ดิฉันออกมานั่งกลุ้มอยู่คนเดียว...เราอยู่ในกรุงเทพฯ แท้ๆ ไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้เลย สงสัยแต่อ้อมเป็นอะไรนะ? จู่ก็เป็นไข้อาการหนักผิดสังเกต...ถ้าเผื่อเธอเป็นอะไรไปล่ะ จะทำยังไงดี? ควรโทร.ไปบอกทางบ้านที่ต่างจังหวัดไหม? หรือจะตื่นตูมเกินไป?
"ถ้าไม่หายจริงๆ พรุ่งนี้ค่อยไป"
ดิฉันออกมานั่งกลุ้มอยู่คนเดียว...เราอยู่ในกรุงเทพฯ แท้ๆ ไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้เลย สงสัยแต่อ้อมเป็นอะไรนะ? จู่ๆ ก็เป็นไข้อาการหนักผิดสังเกต...ถ้าเผื่อเธอเป็นอะไรไปล่ะ จะทำยังไงดี? ควรโทร.ไปบอกทางบ้านที่ต่างจังหวัดไหม? หรือจะตื่นตูมเกินไป?
สองยามเศษ...ทำไมเวลาช่างเชื่องช้าเหลือเกิน...
สรรพสิ่งเงียบเชียบ...เงียบไปหมด...เงียบจนน่าใจหาย ชวนให้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...รู้สึกสังหรณ์ใจวูบ ดิฉันแล่นปราดเข้าไปในห้องเพื่อนอีกครั้ง เห็นหลับตาสนิท หน้าขาวซีดอยู่ในแสงไผ น่าเอะใจพิกุลเลยเอาหลังมือแตะหน้าผากเธอ...
เกือบจะกรีดร้องสุดเสียง เพราะสัมผัสความเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง!
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย! อ้อมสิ้นลมหายใจแล้วค่ะ อาจจะตั้งชั่วโมงมาแล้วหรือเมื่อสักครู่นี้เองก็ไม่ทราบ...ดิฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เหตุการณ์น่าขวัญหายนี่มันกะทันหันเกินไป จะโทร.ไปหาตำรวจหรือโรงพยาบาล? โทร.ไปทำไม? บอกเขาว่ายังไง?
ทั้งจับชีพจร เอาหลังมือรอจมูก แตะเส้นเลือดที่ลำคอ...ทุกสิ่งยืนย้นว่าอ้อมตายแล้ว...ดิฉันจะทำยังไงดี?
ห่มผ้าให้เธอแค่คอ ไม่กล้าคลุมใบหน้า...ออกมาหายาระงับประสาทกิน! ทำไมมาเป็นอะไรเอาตอนนี้นะอ้อม...โธ่! ตอนนั้นดิฉันคิดจนสมองแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไง? จะให้โทร.ไปบอกเพื่อนบอกญาติที่ไหนว่าอ้อมตายแล้ว...ช่วยด้วย! ช่วยทีเถอะ! นอกจากไม่มีใครช่วยได้แล้ว พวกเขายังอาจจะหาว่าดิฉันบ้าด้วยซ้ำ
คงต้องรอพรุ่งนี้จริงๆ แหละ...ว่าแต่คืนนี้จะนอนได้ยังไง?
ไม่มีทางหลับได้ลงแน่ๆ ภาพใบหน้าของอ้อม...ศพที่ขาวซีดน่าสยอง! โธ่! ทำไม ถึงมาตายใส่เพื่อนน่ะ?
จะให้ไปนอนเป็นเพื่อนศพน่ะหรือคะ? ไม่มีทาง!!
นั่งกอดอกหนาวสะท้านอยู่ในห้องรับแขก ใจเต้นโครมๆทั้งกลัวทั้งสงสารเพื่อน คิดแต่ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องโทร.ไปบอกพ่อแม่ของเธอก่อน แล้วโทร.ไปบอกที่บริษัท...ส่วนใครจะทำยังไงไม่รู้จริงๆ บอกมาเถอะนะคะ จะทำทุกอย่าง
เสียงอะไรดังแอ๊ดดด...ดังชัดเจนอยู่ในความเงียบ หันขวับไปก็ต้องทะลึ่งพรวดขึ้นทั้งตัว...อ้อมยืนเด่นอยู่ที่นั่น! โลกทั้งโลกกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆสมองตัวเองก็พลอยระเบิดไปด้วยได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเอง...ช่วด้วย!
แล้วสติสัมปชัญญะดับวูบลง
ดิฉันฟื้นในมาวันรุ่งขึ้น อ้อมนั่นเองที่คอยดูแล...เธอไม่ได้เสียชีวิตอย่างที่ดิฉันเห็นหรอกค่ะ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? พอถึงวันจันทร์เธอก็หายไข้ และไปทำงานได้ตามปกติ
...แต่ที่ทำให้ดิฉันขนหัวลุกมาถึงเดี๋ยวนี้ก็คือ อาทิตย์ต่อมา อ้อนก็หัวใจวายในลิฟต์ที่ทำงานนั่นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น