11 ตุลาคม 2558

หมอเมืองสิงห์

"ป้าแป้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอินทร์บุรี

ดิฉันเป็นเด็กเมืองสิงห์บุรีค่ะ ใครๆ เขาเล่าถึงประวัติเก่าๆ ของเมืองนี้มามากแล้ว จึงไม่ขอเล่าซ้ำ รวมทั้งเรื่องผีดุต่างๆ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน เกิดศึกสงครามก็มีการรบพุ่งจนผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นเบือมาตั้งแต่สมัยโบราณ

เรื่องผีดุต่างๆ ส่วนมากจะเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา...แหม! ผู้คนตายซับตายซ้อนทับถมกัน ส่วนมากก็ไม่มีใครทำพิธีให้ถูกต้อง เพราะเป็นยามศึกยามสงคราม วิญญาณนับพันนับหมื่นก็ต้องกระเสือกกระสนอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด หรือไปสู่สุคติตามความเชื่อทางศาสนา

เชื่อกันว่าเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญเขาไปวันๆ เพราะหิวโหยแสบไส้ แต่คนที่เห็นนึกว่าโดนผีหลอก เผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ไม่มีกะจิตกะใจจะนึกทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้หรอกค่ะ

ต่อมาภายหลังก็ชักจะจางๆ ลงแล้วนะคะ คงมีสาเหตุมาจากคนเกิดมากกว่าคนตาย หรือพูดง่ายๆ ว่าคนมากกว่าผีนั่นเอง

โธ่...ผีเขาก็กลัวคนเหมือนกันนะคุณ!

สมัยเด็กๆ บ้านดิฉันที่อินทร์บุรีก็ได้ชื่อว่าผีดุไม่เบาเหมือนกัน เป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แม่น้ำสายหลักน่ะแหละค่ะ ทำนาทำสวน และค้าขายตามถนัด ส่วนมากสืบเนื่องจากบรรพบุรุษ ทั้งเปิดร้านค้า ทั้งพายเรือไปขายของ พวกเงินทองมากก็รับซื้อของกินของใช้จากเรือที่ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ แล้วมาขายส่ง ขายปลีกอีกที

แถวบ้านดิฉันมีหมอรักษาริดสีดวงจมูกชื่อดัง ขนาดคนจากจังหวัดใกล้ๆ ได้ข่าวยังมารักษากันเลยค่ะ บางทีบ้านดิฉันก็มีญาติมาจากชัยนาทหรืออ่างทองมาค้างคืนเพื่อรักษาโรคนี้ เวรกรรมต้องมาตกที่ยายแป้น...คือตัวดิฉันนี่แหละค่ะ มีหน้าที่พาญาติไปหาหมอ

ทำไมถึงต้องบอกว่าเป็นเวรกรรม? โถ...คุณหมอคนเก่งน่ะจะเปิดรักษาเฉพาะตอนเย็นๆ ไปจนถึงค่ำมืด ต้องเดินออกหลังบ้านไปตามหัวคันนา ยอดตาลโดนลมพัดส่งเสียงซู่ซ่าๆ เล่นเอาหัวอกหัวใจเต้นโครมๆ ไหนจะต้องลดเลี้ยวเข้าทางเดินแคบๆ แสนจะร่มครึ้ม ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรซุกซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ สองข้างทาง

กว่าจะถึงบ้านหมอเล่นเอาอกอีแป้นแทบแตกจริงๆ เจ้าค่ะ!

ไม่ใช่ว่าปลอดภัยนะคะ ถึงจะรอดจากโดนผีหลอกก็ยังต้องผจญกับไอ้นิล-หมาเปรตอะไรก็ไม่รู้ มันดุเสียยิ่งกว่าดุ เห็นหน้ากันมานมนานก็ไม่ยอมคุ้นเคยด้วยซัครั้ง แยกเขี้ยวขาวๆ คำรามแฮ่...เล่นเอาต้องเกาะหางกระเบนคุณป้าคุณยายที่เราพาแกมาหาหมอ...บางทีแกยังถอยกรูดๆ เล่นเอาเราหวิดหกล้มซะอีกแน่ะ

ป้าเพี้ยนคนหันคานี่จำได้ว่าแกแสบมากๆ เลย ไอ้นิลแยกเขี้ยวเข้าใส่จนหัวใจดิฉันหวิดลงไปกองที่ตาตุ่ม ป้าเพี้ยนแกยังหันมาถามว่า...มันทำไหมอีหนู?

ความหมายก็คือ...มันจะกัดไหม? นั่นละค่ะ...ใครจะไปรู้ล่ะป้าจ๋า ปั้ดโธ่!

อ้อ! ขึ้นบ้านหมอแล้วยังต้องรอตามคิวอีกด้วย กว่าจะได้ฤกษ์ก็ค่ำมืด คุณหมอลงบันไดไปเด็ดใบพลูอ่อนๆ มาลูบไล้ตามจมูกคนไข้ ส่งเสียงท่องคาถาพึมพำ ตะเกียงกระป๋องนมก็วูบไปวูบมาจะดับมิดับแหล่ โอ๊ยๆ อยากจะกลั้นใจตายซะเลย

ทำไมไม่เด็ดใบพลูหลายๆ ใบมาเตรียมไว้ก็ไม่รู้...เรื่องมาก! ตะเกียงโป๊ะ ตะเกียงรั้วก็มีไม่รู้จักใช้ คงกลัวว่าเด็กๆ อย่างเราจะอกสั่นขวัญแขวนเพราะกลัวผียังไม่พอละมั้ง? เฮ้อ...

ลองดูบรรยากาศรอบๆ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงของคุณหมอก็ได้ค่ะ!

นอกจากเสียงคลื่นซัดฝั่ง ยอดไม้ไหวซู่ซ่าน่าสะดุ้ง แล้วยังมีเสียงกอไผ่ข้างบ้านเสียดสีกันดังออดแอด...สำหรับเด็กวัยสิบขวบอย่างยายแป้นตอนนั้นถือว่าสยองสุดๆ แล้วนะคะ

วันดีคืนร้ายก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

ย่าริ้วน้องสาวของย่ามาจากเดิมบางฯ สุพรรณบุรีโน่นแน่ะค่ะ แกเป็นริดสีดวงจมูกเรื้อรังมาหลายปี ได้ข่าวว่าที่นี่มีหมอเก่งก็เลยมาหา เวรกรรมก็ตกลงมาเต็มตักอีแป้นจนได้ แต่รายนี้ตัดใจค่ะ เพราะเราถูกชะตากันมานาน เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นอุ้มนั่งตักเชยชม บอกว่าสวยเหมือนย่า! อีกหน่อยโตเป็นสาวรับรองว่าสวยจนถึงลือทีเดียว

แหม! ใครจะไม่ชอบกินลูกยอล่ะเจ้าคะ เด็กหญิงแป้น (ในอดีต) ยิ้มแก้มบานเชียว ยอมรับว่าย่าริ้วยังมีร่องรอยของสาวสวยอยู่ไม่เบา สงสัยแต่ว่าทำไมถึงชื่อริ้ว มันแปลว่า "ขี้ริ้วขี้เหร่" ไม่ใช่หรือเล่า?

ย่าแฉล้มของดิฉันอธิบายให้ฟังว่าเมื่อสาวๆ น่ะย่าริ้วสวยไม่มีตัวจับ หนุ่มๆ ไม่รู้ว่ากี่บางมาติดกรอ ขนาดปลัดอำเภอยังขี่จักรยานมาหาบ่อยๆ ส่วนเรื่องริ้วน่ะเป็นธรรมเนียมของคนสมัยก่อน ถ้าใครเกิดมาหน้าตาดี พ่อแม่ก็จะตั้งชื่อให้ว่า หุ่น, วาด, เขียน ส่วนชื่อริ้วก็เพื่อหลอกผีให้เชื่อว่า ขี้ริ้วขี้เหร่ มันจะได้ไม่เอาเด็กไปเมืองผี

ทำนองเดียวกับที่เขาชมเชยเด็กเกิดใหม่ว่า "น่าเกลียดน่าชัง"

เย็นนั้น ดิฉันเดินนำหน้าพาย่าริ้วไปจนถึงบ้านหมอ...กว่าจะเสร็จพิธีก็ราวทุ่มเศษ ขากลับย่าริ้วขอบอกขอบใจหลานแป้นคนสวย ไม่ขาดปาก อิอิ! จนพ้นทางเดินใต้ร่มไม้มาออกทุ่งนาเพื่อลัดเข้าบ้านก็พอดีเห็นตาแก่เดินสักกะเท้าง่อนแง่นจากหัวคันนา กำลังจะสวนทางมา

ย่าริ้วทักถามว่าจะไปไหนมืดๆ ค่ำๆ คุณตาก็เงยหน้าเพราะหลังโกงบอกว่าจะไปหาหมอน่ะซี! แล้วเราก็เดินผ่านแกไป...

ก่อนจะก้าวขึ้นคันนาก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางคละคลุ้ง ทั้งๆ ที่ลมสงบ ย่าริ้วร้องเอ๊ะ ! เราหันขวับไปพร้อมๆ กัน แต่ไม่มีร่องรอยของตาแก่หลังโกงคนนั้นเลย อย่าว่าแต่แกใช้ไม้เท้าเลยค่ะ ต่อให้วิ่งได้ก็ไม่มีทางไปไหนพ้นสายตาเราแน่ๆ ยกเว้นแต่แกจะหายตัวได้...

แล้วอะไรจะหายตัวได้ล่ะเจ้าคะ นอกจากผี! บรื๋อส์...ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่ยอมพาใครไปหาหมออีกเลย เข็ดจนตายค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น