"เชอรี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโคกสำโรง
ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวสิบเจ็ดปีนี้ หมูเคยอ่านหนังสือและฟังผู้ใหญ่เขาเล่าเรื่องผีมาเยอะแยะ กลัวซีคะ ทำไมจะไม่กลัว! ขนาดผู้ใหญ่หลายคนยังพูดกันเลยว่ากลัวผี ขนาดบางคนไม่เคยถูกผีหลอกก็ยังบอกว่ากลัวผีที่สุด
บางคนบอกว่ากลัวตาย เพราะตายแล้วต้องกลายเป็นผี เมื่อเป็นผีก็ต้องไปอยู่กับผีนะซี เขากลัวผีถึงไม่อยากตาย แต่บางคนก็บอกว่ากลัวตายเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน? ถ้าจะต้องไปอยู่เมืองผี เป็นยังไงก็ไม่รู้? หนูก็นึกว่า อ้อ...เพราะไม่รู้ว่าโลกหน้าเป็นยังไงนี่เล่าคนเราถึงได้กลัวตายกัน
ไม่ว่าคนรวยคนจนล้วนแต่กลัวตายทั้งนั้น จริงไหมคะ?
สงสัยว่าคนฆ่าตัวตายนี่เขาคิดยังไงนะ? คงเป็นอารมณ์วูบเดียวแน่ๆ เลย วิญญาณคงเสียใจร้องไห้พะอืดพะอม เสียดายชีวิต! ใครๆ เขาก็ไม่อยากตาย ขนาดขอทาน หรือคนพิการแขนด้วนขาขาดยังรักชีวิตนี่นา
หลวงพ่อปัญญาท่านยังเคยเทศน์ว่า หมาขี้เรื่อนแท้ๆ มันยังไม่อยากตาย ไม่มีการฆ่าตัวตายซักคน เอ๊ย! ซักตัว แล้วคนเรากว่าจะเกิดยากจะตาย แต่อยู่ๆ มาคิดฆ่าตัวตายจะไม่อายมันมั่งหรือไง?
แถวบ้านหนูมีคนฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้วค่ะ!
พวกอกหัก รักคุดไม่ต้องพูดถึงนะคะ แต่ที่น่าสงสารและน่าเห็นใจก็มีเหมือนกัน เช่นตาผันแกเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นภาระแก่ลูกเมียที่ต้องดูแล ไหนจะเสียเงินทองค่าหมอค่ายา ตาผันเลยผูกคอตายให้หมดทุกข์ ใครๆ รู้ข่าวก็สงสารแกทั้งนั้น บางคนถึงกับหลุดปากว่า...ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอก
พี่จิรภาคนข้างๆ บ้านหนูอีกคน พวกเรารุ่นน้องเรียก "พี่จิ" ผู้ใหญ่เรียก "ไอ้จิ" เป็นคนสวยน่ารัก นิสัยใจคอรื่นเริง สนุกสนาน แต่ก็ต้องประสบเคราะห์มากมายแทบไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะ "ดวงซวย" อะไรได้ขนาดนั้น
พี่จิฆ่าตัวตายค่ะ....
หลายๆ คนพูดว่า...ถ้าเราเป็นไอ้จินะ สาบานว่าไม่อยู่ทนทุกข์ทรมานมาถึงป่านนี้หรอก คงตายไปนานแล้วละ!
พี่จิไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้น อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ แต่กลับมาเยี่ยมบ้านที่โคกสำโรงบ่อยๆ พี่จิยิ่งโตยิ่งสวย มาบ้านทีก็มีขนมมาฝากพวกเรา คุยเรื่องสนุกๆ ในกรุงเทพฯ ให้ฟังจนเราอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ยิ่งเรียนจบทำงานได้ พี่จิก็จะมีของฝากเป็นเสื้อผ้า ตุ๊กตา เครื่องสำอางมาให้พวกเรามากขึ้น
ไม่ว่าใครๆ ก็อยากไปเรียนกรุงเทพฯ อย่างพี่จิ สวยน่ารักเหมือนพี่จิกันทั้งนั้นเลย
บ้านพี่จิค้าขายอยู่ในตลาด พี่ชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยพ่อแม่ น่าแปลกอย่างที่พี่จิไม่ได้มีแฟนที่กรุงเทพฯ แต่กลับมีที่บ้านเกิดชื่อพี่โก้ พ่อแม่ค้าขายอยู่ใกล้ๆ กัน พี่โก้เรียนจบมาจากเชียงใหม่ รูปหล่อ พูดเก่ง ก็น่าให้พี่จิรักมากๆ หรอกค่ะ
เคราะห์กรรมมักจะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ!
วันหนึ่ง พ่อพี่จิถูกรถชนใกล้ๆ บ้านจนสลบคาที่ พี่จิรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาเยี่ยม แต่พ่ออยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายค่ะ พี่โก้มาช่วยงานศพเต็มที่ แม่พี่จิเอาแต่ร้องไห้ไม่เป็นอันทำอะไร พอเสร็จงานก็ล้มเจ็บ นอนแซ่วอยู่กับบ้าน...กว่าจะยอมให้ลูกชายพาไปโรงพยาบาลก็สายเสียแล้ว เพราะเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
เพิ่งเผาพ่อไปไม่ถึงปีก็ต้องมาเผาศพแม่! พี่ชายยอมแพ้ ปิดร้านเลิกค้าขาย เมามายไม่เป็นผู้เป็นคน พี่จิต้องไหว้วานญาติๆ มาช่วยดูแล...ไม่ช้าพี่ชายขี้เมาก็นอนตากน้ำค้างตาย หมอบอกว่าสาเหตุเพราะปอดบวม
ช่วงนั้น พี่จิต้องขับรถไปกลับระหว่างโคกสำโรงกับกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะมีพี่โก้คนเดียวที่เหลืออยู่ และเป็นกำลังใจให้สู้ชีวิตต่อไป
ชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ทับถมไม่รู้จักจบสิ้น!
เขาว่าความทุกข์ชนิดหนึ่ง ย่อมซ้ำเติมความทุกข์อีกชนิดหนึ่งให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นกว่าเดิม
พี่จิลาออกจากงานมาอยู่ที่บ้านเกิด เปิดร้านค้าขายอีกครั้ง...พี่โก้เคยไปๆ มาๆ ก็ชักจะห่างไป...ไม่ช้าก็แจกการ์ดแต่งงานกับลูกสาวข้าราชการคนหนึ่ง คนลือหึ่งทั้งอำเภอเลยค่ะ
ใครๆ ก็สงสารพี่จิกันทั้งนั้น มีคนมาชวนพูดคุยปลอบใจบ่อยๆ แต่พี่จิยังยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม นอกจากท่าทางดูจะเนือยๆ ลง นัยน์ตากลมโตที่เคยสดใสดูแห้งผากราวกับไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง...เช้ามาก็เปิดร้าน มีลูกจ้างผู้หญิงสองคน
พี่โก้แต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่เชียงใหม่ พี่จิดูผ่ายผอมผิดตา...สังเกตว่าขับรถไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ ลูกจ้างเธอมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่าพี่จิเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวค่ะ!
พวกผู้ใหญ่ล้วนแต่สงสารเธอทั้งนั้น แต่ไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง? ดูเหมือนเธออยากปกปิดด้วย หลายคนพูดตรงกันว่าโรคนี้ต้องใช้เงินทองมากมายเดือนละหลายหมื่น ไอ้จิจะไปหาเงินทองมาจากไหน?
"ถ้าเป็นเรานะ ขอตายดีกว่า!"
บางคนพูดตรงๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าพี่จิจะคิดยังไง...แต่หลังจากได้ข่าวว่าเธอเป็นโรคร้ายราวสองเดือน พี่จิก็เกิดอุบัติเหตุ ขับรถชนต้นไม้ข้างทางขณะกลับจากกรุงเทพฯ มาโคกสำโรงตอนกลางคืน...พวกเราไปงานศพเธอที่ดูเงียบเหงา บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจสิ้นดี
ไม่มีใครโดนผีพี่จิรภาหลอกหลอนเลยค่ะ แต่พวกเราก็ล้วนแต่ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เมื่อแน่ใจว่าพี่จิขับรถพุ่งเข้าชนต้นไม้เอง เธอจะได้หมดสิ้นเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์เสียที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น