24 กันยายน 2558

สามล้อเมืองคอน

"ไข่นุ้ย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพระอิศวร

ผมเป็นเด็กตลาดแขก อยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ปีนี้บ้านผมเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาแห่งชาติ บรรยากาศที่ซบเซาลงไปหน่อยตอนเดือนกรกฎาฯ-สิงหาฯ ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งในเดือนกันยายน

ถึงจะสู้นักกีฬาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ ตามมาระดับที่ 4 ที่ 5 ก็ดีถมไปแล้วละน่า

จังหวัดผม หรือที่พวกเราเรียกสั้นๆ ว่า "เมืองคอน" ที่นี่มีตำช้าตำนานเยอะครับ

ไหนจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในคาบสมุทรไทยมาตั้ง 1,700 ปี เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ มีชื่อต่างๆ เช่น ตามพรลิงค์, ตั้งหมาหลิ่ง, โลแค็ก, ศรีธรรมาโศกราชศิริธรรมนคร, นครดอนพระ และลิกอร์ เป็นต้น

นครศรีธรรมราช มีความหมายว่า "นครอันงามสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม"

สมัยผมเด็กๆ มีเรื่องขำขันเล่าว่า ขอทานตาบอดแถวตลาดแขกแกนั่งร้องโนราอยู่ข้างถนน แม่สาวชาวกรุงกลุ่มหนึ่งผ่านก็วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากว่า แหม...ขอทานคนนี้แกเสียงดีไม่เบานะ แม่เพื่อนสาวทำเสียงดูหมิ่นว่า...โธ่เอ๊ย! เสียงดีแต่ว่าตาบอดย่ะ!

เท่านั้นแหละครับ เหมือนไปสะกิดต่อมยัวะชายเนตรพิการเข้าจังๆ แกขยับลูกคอขึ้นมาทันใด "ถึงหน่วยตาพี่บอด แต่ยอดตาพี่ยัง จะลองดูมั่งก็เป็นไร!"

เล่าเรื่องนี้ที่ไหน รับรองว่าฮากระจายที่นั่น

ภาษาใต้ของพวกผมค่อนข้างแตกต่างกันไปตามท้องที่นะครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังซะเลย เช่น ผลไม้เป็นต้น คนนครเรียก "ฝรั่ง" ว่า "ชมพู่กัว" แต่คนสมุยหรือ "เกาะหมุย" เรียกว่า "ยามูร์" ออกเสียงเป็น "หญ้าหมู" เพราะเป็นภาษามลายูน่ะซีครับ

อะไรก็ไม่ตลกเท่ากับ "มะม่วงหิมพานต์" ตามชื่อที่คนกรุงเทพฯ เขาเรียก

บ้านผมเรียก "ยาร่วง" แต่คนสมุยเรียก "ม่วงเล็ดล่อ" ตาเทียบ-คนท่าวังนิสัยครึกครื้นขี้เล่น ค่อนข้างเจ้าบทเจ้ากลอน แกเรียกว่า "นารีเยี่ยมห้อง" ตอนแรกก็ยังงงๆ พอรู้ความหมายเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่พวกผู้หญิงน่ะค้อนควักตาคว่ำตาหงายเชียวครับ

ตาเทียบแกอ้างว่า...ทีลูก "นารีพิศวง" หรือ "นารีรำพึง" ยังพลิกลิ้นเรียก "รำเพย" ได้นี่นา "รักเร่" ก็เรียก "รักแรง" "แห้ว" ก็กลายเป็น "สมหวัง" แล้วทำไมมะม่วงหิมพานต์ที่มีเม็ดแผล็มออกมานอกเนื้อจะเรียก "นารีเยี่ยมห้อง" ไม่ได้ละวะ? จะไม่ให้หนุ่มๆ ฟังแล้วหัวเราะจนน้ำตาเล็ดได้ไง?

คนที่เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มรักก็ตาเทียบนี่เอง!

สมัยหนุ่มๆ แกปั่นสามล้อหากิน ส่วนมากจะปักหลักอยู่หน้าสถานีรถไฟ คอยรับนักท่องเที่ยวไปโรงแรมต่างๆ ไม่ว่าใกล้ไกล อย่างมณเฑียร, เพชรไพลิน, หรือแกรนปาร์ค, นครการ์เดน ไปยันทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซค์หนาตาแทบเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ ตาเทียบจึงหากินได้คล่องๆ

บ่ายนั้น ฟ้าครึ้มฝนชอบกล ตาเทียบแวะเข้าไปโจ้ขนมจีนถาดใหญ่ที่ร้าน "พานยม" จนอิ่มแปล้ เพราะมีทั้งแกงน้ำยา, น้ำพริก, น้ำยาป่า, แกงต่างๆ มาให้ราดขนมจีนกินได้ตามใจชอบ แถมผักอีกกระจาดใหญ่

ตาเทียบถีบรถเอื่อยๆ อย่างมีความสุข จนเห็นคนแต่งชุดขาวกลุ่มใหญ่อยู่ข้างหน้า พอใกล้เข้าไปก็เห็นเสาชิงช้ากับหอพระอิศวร ตรงข้ามกับพอพระนารายณ์พอดี!

ลมแรงพัดวูบมาเย็นซ่า...ฟ้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเทวดาจะเทฝนห่าใหญ่ลงมาเมื่อใด...พอดีเห็นชายผิวดำในชุดขาว นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาว ห่มผ้าสไบเฉียง...ขาวโพลนไปหมด ยกเว้นใบหน้าและนัยน์ตาดำขลับที่จ้องมอง โบกมือเป็นสัญญาณให้จอดรับ

ดูๆ ก็ไม่น่าแปลกประหลาดอะไร เพราะเมืองนครศรีฯ ได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของหลายศาสนา ทั้งพุทธ, คริสต์, อิสลาม, พราหมณ์, ขงจื๊อ...ไม่ว่าโบสถ์หรือสุเหร่า ศาลเจ้า วัดแขก โบสถ์ฝรั่งมีทั้งนั้นแหละครับ

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คนไทยเหมือนกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สงบสุขตั้งแต่สมัยโบราณมาถึงทุกวันนี้!

พอสามล้อจอดปุ๊บ ร่างสูงใหญ่ในชุดขาวก็ก้าวขึ้นมานั่ง เล่นเอารถยุบฮวบ...ผู้โดยสารรายนี้คงมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมแน่ๆ บอกเสียงแหบว่า...ไปวัดมเหยงคณ์!

ตาเทียบถีบรถไม่เร่งร้อนเพราะเป็นทางตรง...ผ่านวัดเสมา สนามหน้าเมือง...เลยหน้าสถานีตำรวจ พ้นสี่แยกไปหน่อยก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

ท้องฟ้าชักมืดครึ้มลงทุกที....

เสียงดนตรีแปลกๆ ล่องลอยมากระทบหู ตามด้วยเสียงสวดงึมงำ สูงๆ ต่ำๆ ดังมาจากไหนไม่รู้ กลิ่นกำยานหอมเอียนๆ อวลซ่านมากระทบจมูก เล่นเอาตาเทียบชักปากคอแห้งผาก เย็นวาบๆ ที่แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ...รู้สึกว่าน้ำหนักท้ายรถชักจะเพิ่มมากขึ้นจนน่าเอะใจ

"เข้าวัดหรือเปล่าคร้าบ...?" ตาเทียบถามเมื่อมองเห็นประตูวัดอยู่เบื้องหน้า นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นพราหมณ์จะเข้าวัดไปทำไมกัน...แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ แกเลยหันกลับไปมอง

ไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลังเลย! เล่นเอาสารถีร่างผอมกะหร่องเบรกรถกึก ร้องเฮ้ย! ออกมาอย่างลืมตัว ขนลุกซ่า...รีบปั่นสามล้ออ้าวๆ ผ่านเทศบาลไปหมดแรงที่หน้าไทยโฮเต็ล ทั้งที่รถเบาหวิวขึ้นพะเรอ

ตาเทียบเลิกอาชีพขี่สามล้อแต่นั้นมา พวกเรายั่วว่าแกขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ไหวเพราะแก่แล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ตาเทียบทำตาเขียวเข้าใส่...กูขี่ไหว แต่ถ้าเกิดมีใครมาซ้อนท้ายกูแล้วหาย ตัวไปอีก มิช็อกตายคาที่เรอะ? บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  24 กันยายน 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น