สมัยหนุ่ม ผมเรียนมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาสารคามปี 4 เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด เพราะมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูง พวกเราดำเนินกิจกรรมต่างๆในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มใจ
บรรดารุ่นน้องล้วนให้ความไว้วางใจในทุกกิจกรรม เนื่องจากคณะของพวกเราทำงานกันจริงจัง แถมประกันคุณภาพได้ รวมไปถึงการให้บริการแก่รุ่นน้องด้วยครับ
ข้อสำคัญก็คือพวกเราทั้งรักและสามัคคีกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ราคาคุยเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ให้ฝึก "การตรวจสอบอากาศ" ตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องเก็บข้อมูลตอนกลางคืน จะปลีกตัวไปไหนไม่ได้เด็ดขาด แต่แทนที่จะลำบากลำบน ที่ไหนได้กลับมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์มาก เพราะรุ่นน้องๆ ทุกชั้นปีที่ผ่านมาจะมีอาหารคาวหวานติดมือมาฝากพวกเราอย่างมากมายแทบไม่น่าเชื่อ
และนั่น..เป็นช่วงที่น่าภาคภูมิใจมากจริงๆ ครับ
เขาว่าความสุขย่อมมีความทุกข์รอคอยอยู่ข้างหน้าเป็นสัจธรรม เหตุการณ์กลับพลิกขาวเป็นดำไปซะฉิบ เมื่อนักศึกษาพิเศษ (ศึกษาธิการ) สมทบ เกิดไม่พอใจในอาจารย์คณิตศาสตร์ ถึงกับเดินขบวนประท้วงยกใหญ่ แยกขั้วระหว่างนักศึกษากับอาจารย์อย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวนี้รุนแรงและร้าวฉานถึงขั้นปิดการเรียน จนทบวงมหาวิทยาลัยฯ ต้องมาเป็นท้าวมาลีวราชตัดสินให้ "ผิดทั้งคู่ ถูกทั้งคู่"
อาจารย์ถูกย้าย! นักศึกษาให้ย้ายตามใจปรารถนา!!
ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงต้องรีบเดินทางเข้ากทม.เพื่อส่งข่าวให้เพ็ญโฉม เพื่อนสาวคนหนึ่ง แต่ปรากฎว่าแม่เพื่อนสาวคนนี้เธอกลับทางไปมหาสารคามซะแล้ว..เรียกว่าสวนทางกันเฉยเลน
เมื่อมาถึงบ้านพี่สาวของเธอที่บางแค ผมก็ไม่มีทางไปไหนได้อีกแล้วละครับ..พี่ของเพ็ญโฉมเลยชวนผมค้างคืนที่บางแคเสียก่อน รุ่งขึ้นถึงค่อยเดินทางกลับบ้านที่อ่างทอง
หลังจากกินข้าวเย็นก็ดูทีวี พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบ รวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ พอหอมปากหอมคอ ผมก็ขอตัวพี่สาวเพื่อนผู้เมตตา ช่วยจัดที่นอนให้ผมไว้ชั้นบนตรงเลยบันไดขึ้นไปหน่อยเดียว
ก่อนนอน ผมไหว้พระตามความเคยชินที่กระทำทุกวันตลอดมา!
คืนนั้นแปลกมาก ความคิดผมสับสนฟุ้งซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามข่มตาหลับเท่าไรก็ไม่หลับได้สักที คงเป็นเพราะใจพะวงคิดถึงเพ็ญโฉมว่า เมื่อไปถึงมหาสารคามแล้วเธอจะไปค้างที่ไหน เพราะหอพักมหาวิทยาลัยปิดหมดแล้ว
เพื่อนสาวของผมจะกลับมาในคืนนี้หรือเปล่าหนอ..
จิตเริ่มเข้าสู่ภวังค์ เคลิ้มๆ ไป ก็พอดีได้ยินเสียงลมกรรมโชกยอดไม้ข้างบ้านดังกราวใหญ่ อากาศหนาวเย็นผิดปกติจนน่าหวาดระแวง
ทันใดนั้น ผมก็เห็นเงามืดดำคล้ำเคลื่อนมาทางปลายเท้าด้านบันได ใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่งค่อยๆ มาข้างมุ้ง แน่ใจว่ามันจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลาขณะเคลื่อนมาทางหัวนอน..
ใจเต้นครึกโครม ปากคอแห้งผากไปหมด ผมพยายามจ้องมองเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม..ร่างประหลาดนั้นเป็นใครกันแน่? ทำไมแอบเข้ามาในตอนดึกดื่นแบบนี้ล่ะ?
และแล้วผมก็ได้เห็นร่างนั้นสมใจนึก!
มันเป็นร่างผ่ายผอม ผิวหนังดำเกรียมกระดำกระด่างคล้ายไฟไฟม้ แต่ยังไม่เห็นหน้าชัดเจนนัก ต้องอาศัยแสงไฟที่ลอดมาทางช่องแสงของหน้าต่าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี..
คุณพระช่วย! ร่างนั้นเอื้อมมือเข้ามาใกล้ ทำท่าจะเปิดมุ้งเข้ามาให้ได้ เล่นเอาผมนอนตัวแข็งทื่อ เหงื่อหยดเผาะเพราะความหวาดกวัว..เสียงลมคร่ำครวญมาจากภายนอก กับภาพสยองนั้นทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า..มันไม่ใช่คนเป็นๆ อย่างเรา!
อะไรนั่น..มือที่เอื้อมมาจะเปิดมุ้งต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหดกลับด้วยอาการหวาดสะดุ้งเห็นได้ชัด..คุณพระคุณเจ้าที่เรากราบไหว้อยู่ต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน
ผมรวบรวมจิตให้เป็นสมาธิ ท่องบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณให้แม่นยำ แล้วน้อมจิตรำลึกถึงหลวงปู่ (หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่) ปรากฏว่าร่างดำมืดน่ากลัวนั่นค่อยๆ เคลื่อนออกไปทางฝาบ้าน แล้วก็เลือนหายไปในที่สุด
คืนนั้นผมตาแข็ง ไม่ได้หลับนอนทั้งคืน คิดแต่ว่าเราจะรับสถานการณ์ได้อีกไหม? ถ้าเกิดร่างอุบาทว์คล้ายไฟไหม้นั่นย้อนกลับมาอีก แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดซ้ำขึ้นอีกเลย
จนกระทั่งเช้ามืดก็ได้ยินเสียงแท็กซี่มาจอด เสียงเพ็ญโฉมเรียกพี่สาวให้เปิดบ้าน..เธอเดินทางจากมหาสารคามมาถึงบ้านแล้ว แต่ผมซิยังต่อสู้กับความหวาดกลัวของตัวเองในมุ้งอยู่เลย..เพ็ญโฉมเข้ามาปลุกเก็บมุ้งพับผ่าห่มให้แล้วถามว่า..นอนไม่หลับเลยหรือไง?
ผมพยักหน้า เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยก็เลยเล่าเรื่องสยองให้ฟัง พี่สาวย่นคิ้วนิดๆ พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจสาเหตุ บอกว่า..บ้านนี้มีเสาตกน้ำมันอยู่ต้นหนึ่ง จะพาไปดู!
แปลกแต่จริง..ที่เสาด้านริมมีน้ำมันไหลเยิ้มเป็นทาง ผมลองเขี่ยมาดมดู ปรากฏว่ามีกลิ่นเหมือนน้ำมันยางที่ใช้ผสมชันยาเรือไม่มีผิด..เขาเล่าว่าคนแปลกหน้าเคยเจอแบบผมมาก่อน ไม่ว่าใครก็ตามที่มาค้างบ้านนี้มักจะเจอดีทั้งนั้น แต่เจ้าของบ้านกลับไม่เคยเจอะเจอเลยสักครั้ง
คราวนี้ผมเลยเล่ารายละเอียดถึงรูปลักษณ์ที่เห็นเมื่อคืนให้ฟัง พร้อมทั้งกิริยาท่าทีต่างๆ โดยละเอียด เพ็ญโฉมกับพี่สาวถึงกับทำตาโตอ้าปากค้าง..
เอาละซี..ทีนี้เจ้าของบ้านถึงกับขนหัวลุกซะเองเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น