"แรคำ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกวันตรุษจีน
เรื่องราวแปลกประหลาดและน่าระทึกขวัญนี้ เกิดขึ้นเมื่อราว 10 ปีมาแล้ว แต่ดิฉันและคนในครอบครัวยังจดจำได้แม่นยำ ไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิตเลยค่ะ
เดือนกุมภาพันธ์ปีนั้น ภาคกลางตอนล่างไม่ว่าสิงห์บุรี ชัยนาท มาถึงสุพรรณบุรี และอ่างทอง มีน้ำค้างแรงมาก บางวันตกราวฝนโปรยอ่อนๆ ยอดหญ้าชุ่มฉ่ำ อากาศก็สลัวมัวไปด้วยกระไอหมอก ราวกับเป็นม่านบังท้องฟ้าให้ครึ้มตลอดเวลา
จนกระทั่งราวๆ ครึ่งวัน หรือเที่ยงเศษๆ จึงจะเห็นดวงอาทิตย์สาดแสงอย่างเต็มที่
วันนั้นเป็นวันตรุษจีน เป็นวันปีใหม่ของจีนนะคะ!
พวกเราก็เป็นลูกเชื้อสายจีนอยู่เช่นกัน ประกอบกับบรรพชนเคยกระทำพิธีกรรม "ไหว้เจ้า" มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เมื่อเราเติบโตมาก็เห็นเช่นนั้นแล้ว ครั้นจะเลิกราปาทิ้งไปก็เกรงใจวิญญาณบรรพชนท่านจะตำหนิเอาได้
ฉะนั้น พวกเราก็ต้องการความเจริญก้าวหน้าเป็นมิ่งขวัญมงคลแก่ตน จึงได้ไหว้เจ้าต่อมาเป็นประจำ...เรื่องนี้มีผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนเคยยั่วเย้าว่า
"ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน!"
พวกเราไม่ถือสาหรอกค่ะ ไหว้เจ้าเสร็จก็แจกเป็ดไก่ หัวหมู แกงวุ้นเส้นใส่หน่อไม้จีน (คนไทยเรียก แกงร้อน) กับขนมเข่งและขนมเทียนให้เพื่อนบ้านที่เป็นคนไทยคนมอญที่ไม่ได้ไหว้เจ้าอย่างพวกเรา
ถึงจะต่างเชื้อชาติหรือแม้แต่ศาสนา แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย เกิดในแผ่นดินแม่เหมือนกัน ควรจะรักใคร่ปรองดองกันดีกว่าทะเลาะเบาะแว้ง เข่นฆ่ากันอย่างไม่ปรานีปราศรัยจริงไหมคะ?
ตอนนั้นลูกชายคนโตของดิฉันอายุราว 5-6 ขวบ แกช่วยจับฉวยทุกอย่างที่นำไปไหว้ แม้แต่การจุดธูปก็ต้องขอเป็นคนจุดเอง
ในวันนั้นได้ไปไหว้ทั้งที่บ้านและที่สวนค่ะ!
ในการไปไหว้ที่สวนนั้นต้องปูเสื่อกับพื้นหญ้า แล้วจึงวางข้าวของสังเวยต่างๆ ลงไป การวางของอย่างนี้เคยมีปัญหามาแล้วครั้งหนึ่ง คือสุนัขละแวกนั้นจำแลงตนเป็นเจ้าเสียเอง...ทำให้ลูกช้างอดเครื่องสังเวย แถมไม่ได้ร่องรอยว่าสุนัขเจ้ากรรมนั่นหลบหนีไปทางใด
ไม่มีใครเห็นชัดเจนจนถึงยืนยันได้ว่าเป็นสุนัขหรอกค่ะ เราก็ได้แต่สันนิษฐานไปเองเท่านั้นแหละ
เช้ามืดวันนั้น อากาศค่อนข้างสลัวและเยือกเย็น น้ำค้างยังเปียกชุ่มอยู่ตามยอดไม้ใบหญ้า แต่ครั้งนี้ให้ลูกชายอยู่เฝ้าของไว้อย่างใกล้ชิด แกเองก็เต็มใจรับอาสา ส่วนเราเดินกลับมาบ้านเพื่อเตรียมข้าวของสำหรับไหว้ตอนสว่างต่อไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ประมาณธูปไหม้ราวครึ่งดอก ลูกชายก็วิ่งตาตื่น ท่าทางตกใจละล่ำละลักว่า...เห็นคนแก่มายืนฉีกไก่กิน!
พวกผู้ใหญ่มองหน้ากันงงๆ เพราะในสวนบ้านเราไม่มีบ้านเรือนคนอื่น และไม่น่าจะมีใครผ่านเข้ามาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนั้น...ดิฉันถามลูกว่ารู้จักไหม แกก็ส่ายหน้า ยืนยันว่า...ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
จนกระทั่งได้เวลาไป "ลาของเจ้า" สังเกตว่าลูกชายที่ขอตามไปด้วยมีอาการหวาดๆ เหลียวซ้ายแลขวาแทบจะไม่หยุดหย่อน...เมื่อไปถึงแกก็ชี้ตำแหน่งที่เห็นคนแก่มายืนกินไก่ต่อหน้าต่อตา แต่ดิฉันดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นใครหนอ? ทั้งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองสักครั้งเดียว!
เมื่อเรื่องนี้จางๆ ลงไป ลูกชายมีหมาตัวหนึ่งซึ่งรักมาก ไปไหนไปด้วยกันเสมอ วันหนึ่งแกพาหมาออกไปเที่ยวทุ่งที่อยู่รอบๆ สวน ทั้งคนทั้งหมาดูเหมือนจะมีความสุขอย่างยิ่ง...เหนื่อยนักก็เดินมาพักที่สวน
ที่สวนนั้นเอง แกเห็นคนแก่คนเดิมที่มายืนกินไก่นั่นแหละ มาด้อมๆ มองๆ ในร่องสวนถัดไป ครั้นจะเดินไปดูให้รู้แน่ คนแก่แปลกหน้านั้นก็หายไปแล้ว แต่พอไม่ตั้งใจมองหรือเล่นกับหมาเพลินๆ ก็จะเห็นคนแก่ผู้นั้นแว้บๆ ทั้งน่าระแวงและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
แม้แต่หมาเองก็มองเห็นเช่นกัน เพราะมันมีอาการขนตั้งชัน ส่งเสียงเห่าป้องกันเจ้านายเห็นได้อย่างชัดเจน จนแกเห็นท่าไม่ดีเลยพาหมากลับบ้าน และเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
ลูกชายไม่ได้โกหกแน่! ส่วนดิฉันได้แต่ถามตัวเองอย่างงุนงง...ใครหนอ? คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกจริงๆ ค่ะ
วันหนึ่ง ดิฉันพาลูกชายไปพบที่ป้าน้าอาที่บ้านเกิด มีการทำบุญบำเพ็ญกุศลให้แก่บรรพชนตามประเพณีฤดูตรุษไทย เมื่อจัดข้าวของเตรียมถวายพระ ลูกชายก็เข้าช่วยเช่นเคย หยิบโน่นฉวยนี่ตามอัธยาศัย
ทันใดนั้นเอง ลูกชายก็เข้ามาสะกิดให้มองไปข้างฝา พลางบอกอย่างแน่ใจ
"คนนี้แหละแม่ ใช่แน่ๆ คนแก่ที่หนูเห็นตอนนั้น!"
ดิฉันอ้าปากค้าง ขนลุกซ่า...ก็รูปถ่ายก๋งของเราเอง หรือ "ทวด" ของลูกชาย!
วันนั้นดิฉันปากคอแห้งผาก ขนลุกตลอดเวลาที่ทำบุญ ขณะกรวดน้ำได้อธิษฐานจิต อุทิศส่วนกุศลให้ก๋งอย่างเต็มจิตใจ ขอบคุณที่ก๋งห่วงหลานเหลน ติดตามเฝ้าดูแล คอยปกป้องโพยภัยให้หน่อเนื้อเชื้อสาย...สมแล้วที่เรายังไหว้ตรุษจีนให้บรรพชนสืบไปค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 กันยายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น