"ครูประสงค์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอำเภอวิเศษชัยชาญ
สมัยเด็กๆ ผมได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องผีๆ สางๆ สารพัดชนิด ไม่ว่าผีป่าผีไพร ผีบ้านผีเรือน รวมทั้งผีตามทุ่งไร่ทุ่งนา แม้แต่แม่น้ำลำคลองก็มีผีสิงสู่ คอยหลอกหลอนผู้คนไม่หยุดหย่อน เคยเจอะเจอจนวิ่งป่าราบมานับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะตามวัดวาอารามยิ่งมีภูตผีชุกชุม ถ้าใครเอ่ยถึงป่าช้าตอนกลางคืน คนฟังเป็นขนหัวลุกไปตามๆ กัน...กลัวผีน่ะซีครับ!
มาถึงสมัยนี้กลับตรงกันข้าม...
นั่นคือ ภูตผีปีศาจที่เคยคึกคะนองเกลื่อนกลาด จะค่อยๆ ลดน้อยลงตามความเจริญของบ้านเมือง คือเมื่อมีผู้คนเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเท่าไหร่ บรรดาผีสางก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาดื้อๆ จนต้องล่าถอยออกไปเรื่อยๆ ว่ากันว่า...พวกมนุษย์น่ะล้วนแต่หลอกหลอนน่ากลัวยิ่งกว่าผีหลอกด้วยซ้ำไป
วันนี้ผมมีเรื่องผีที่แปลกประหลาดที่สุดมาเล่าให้ฟัง รับรองว่าไม่ซ้ำซากกับเรื่องผีที่คุณๆ เคยได้ยินได้อ่านมาแน่นอน แถมน่าสยองขวัญจนหัวใจแทบจะล่มสลายอีกต่างหาก!
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์สมัยวัยเด็กของผมเองจริงๆ ครับ
ที่บ้านคลองสำโรง ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ได้พบกับเรื่องราวสยองขวัญเข้าอย่างจัง แต่ด้วยความคึกคะนองตามประสาเด็ก จึงทำให้เหตุการณ์นั้นดูเหมือนจะสนุกสนานไปด้วยซ้ำ
บ่ายวันนั้น ผมกับพี่เลี้ยงที่คล้ายกับเพื่อนๆ อีก 2 คน ชวนกันไปเก็บผักบุ้งเลี้ยงหมูกลางทุ่งทางหลังบ้าน...ฟ้าครึ้มเพราะเมฆบังแสงแดด ทำให้ไม่ร้อนน่ารำคาญเช่นทุกๆ วัน
ขณะที่เดินคุยกันไปเก็บผักบุ้งที่กำลังแตกกอก้านสาขาคราฤดูฝน เดี๋ยวพบตรงนั้นกอหนึ่ง ตรงนี้กอหนึ่ง...เราช่วยกันเอาเสียมแซะอย่างสนุกสนาน
ผมเองใช้เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ เก็บเปลือกหอยโข่งซึ่งมีเกลื่อนกลาด เพื่อเตรียมตัวเอาไว้เล่นกับเพื่อนฝูงในวันพรุ่งนี้...ผมเก็บหอยโข่งเพลิดเพลินจนทำให้แตกกลุ่มจากพี่ทั้ง 2 คนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
เมื่อไกลออกไปได้ไม่นาน เสียงแปลกๆ ก็พลันดังมากระทบหู เล่นเอาผมชะงักกึก หวิดสะดุ้งแน่ะเพราะไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ต้องเงี่ยหูฟังจนแน่ใจ....
นั่นคือ เสียงแม่หมูเรียกลูกหมู กะว่าอาจจะมีลูกประมาณ 5-6 ตัวเป็นแน่...จากเสียงที่ดังแว่วๆ ก็ดูเหมือนจะดังขึ้น...ดังขึ้นทุกที คาดคะเนว่าต้องอยู่ประมาณกอขนากข้างหน้าเป็นแน่...
ผมค่อยๆ ย่องเข้าไป...ใกล้เข้าไปๆ ก็กลับไม่เห็นมีอะไรเลย
ทันใดนั้น เสียงแม่หมูก็กลับไปร้องเรียกลูกหมูที่กอขนากถัดไปดื้อๆ
อารามดีใจว่าน่าจะเป็นหมูของใครมาหลงเป็นแน่ ผมจึงรีบวิ่งไปหาพี่เลี้ยงทั้ง 2 คน แล้วบอกให้มาช่วยกันต้อนหมู...หนูได้ยินเสียงร้องที่กอขนากโน่นแน่ะ!
พวกเราต่างตื่นเต้นดีใจ ทิ้งหาบผักบุ้งแล้วชวนกันจ้ำอ้าวไปทันที พี่เลี้ยงทั้งคู่บอกว่าได้ยินเสียงเช่นเดียวกับผมเหมือนกันครับ
เราต่างแยกย้ายกันโอบล้อมกอขนากที่ได้ยินเสียง เมื่อใกล้เข้าไปก็ลองเอาก้อนดินปาไปที่กอขนาก แต่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย...หน็อยแน่ะ! เสียงแม่หมูกลับไปดังต่ออีกทางโน้น...ใกล้ๆ กับบ่อร้างกลางทุ่ง
พี่เลี้ยงผมชะงักกึก มองหน้ากัน ดูท่าทางลังเลยังไงชอบกล ก่อนจะคว้ามือผมจูงกลับไปที่หาบผักบุ้ง แล้วเดินดิ่งชนิดที่เรียกว่า "ตีนขวิด" กลับบ้านทันที!
เมื่อมาถึงบ้าน ผมเห็นพี่เลี้ยงทั้งคู่อยู่ในอาการตกใจ ตาตื่น ปากคอสั่น ...เล่าเรื่องนี้ให้เตี่ยกับแม่ฟัง แม้ว่าจะเล่ารายละเอียดตะกุกตะกัก แต่ยังอุตส่าห์แย่งกันเล่า หน้าตาซีดเซียวแสดงว่าหวาดกลัวสุดขีดจนแทบไม่รู้เรื่อง
เตี่ยผมไปเอาน้ำมนต์ในขันลงหินมาให้ดื่มทั้ง 2 คน ครู่เดียวก็ถอนใจเฮือกใหญ่...ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้เป็นปกติ...เตี่ยนั่งสูบยาแล้วก็พูดเสียงขรึมๆ ว่า
"อีแล่ม(แฉล้มมั้ง) มึงแผลงฤทธิ์อีกแล้ว!"
ไม่มีใครถามอะไร ส่วนเตี่ยก็นั่งสูบยาเงียบๆ มองไปทางชายทุ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย!
วันต่อมา ผมเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นเตี่ยว่างก็เลยมานอนใกล้ๆ แล้วถามว่า "อีแล่ม" ที่เตี่ยเปรยเมื่อเย็นวานนั้นเป็นใครกัน ทำไมผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยล่ะ?
เตี่ยยิ้มนิดๆ ก่อนจะเล่าให้ผมฟัง...
"อีแล่ม" คือคนในหมู่บ้านสมัยที่ผมยังเด็กมาก เมื่อมันคลอดลูกออกมาแล้วลูกตาย ชาวบ้านเลยเอาไปฝังแบบโบราณที่บ่อกลางทุ่งแห่งนั้น ต่อมาเลือดลมมันทำพิษจนอีแล่มพลอยตามลูกไปอีกคน
เมื่อนำศพไปเผาที่วัดแล้ว ไม่นานนักก็มีคนต่างถิ่นเดินผ่านแถวบ่อกลางทุ่ง ที่เคยเป็นป่าช้าฝังศพทารกมาก่อน...คนพวกนั้นจะได้ยินเสียงแม่หมูร้องเรียกลูกๆ แบบที่ผมได้ยินมาเมื่อวันวานนี้เอง
เตี่ยกับแม่ก็เคยได้ยินมาก่อน แต่เตี่ยมีคาถาอาคมที่เคยเรียนรู้จากอาจารย์มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จึงตวาดด้วยอาคมจนปีศาจเงียบหายไปนาน นี่เพิ่งจะแสดงอิทธิฤทธิ์มาหลอกหลอนผู้คนอีกครั้ง
"เอ็งไม่ต้องกลัวหรอกลูก วันนี้เตี่ยไปตวาด (สะกดด้วยอาคม) มันมาแล้ว คงจะหมดฤทธิ์ไปอีกนานเชียวละ"
เฮ้อ...โล่งอกไปที! เป็นอันว่าไม่ต้องกลัวผีอีแล่มอีกต่อไป แต่ทำไมผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขนหัวลุกซู่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พับผ่าเถอะเอ้า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 20 กันยายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น