"นายแป๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเสาชิงช้า
ผมเคยเป็นอารามบอยตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกจนนมขึ้นพาน สาเหตุเพราะพ่อแม่มีลูกเยอะแยะปานนิ้วมือ ทำมาหากินสายตัวแทบขาดก็ยังไม่พอเลี้ยงลูก เคยได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าพวกลูกๆ น่ะมันกินเก่งกันเหมือนยัดพลุแน่ะ!
จากชุมพร "ประตูภาคใต้" มาสู่วัดสุทัศน์ ที่มีเสาชิงช้าโดดเด่นเป็นสง่า ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ พอๆ กับพระปรางค์วัดอรุณนั่นแหละครับ
จุดหมายก็คือมาเรียนหนังสือ อยู่กับหลวงลุงของผมที่คณะ 3 ชุมทางยอดเซียนที่ดอดเล่นหยอดหลุม ทอยกองเป็นประจำ ชีวิตราบรื่นชื่นบานมาหลายปีจนแตกเนื้อหนุ่ม เคยเห็นรุ่นพี่เขาไปเที่ยวตอนกลางคืน กลับมาหัวเราะคิกคักกัน ซุบซิบกันว่าคืนต่อไปจะไปเที่ยวซอยนั้นบ้านโน้น ...แถวหลังโบสถ์พราหมณ์นี่คือชุมทางนักเที่ยวเชียวละคุณ
ซอยหมอกหยก กับ บ้านประตูเหล็ก กำลังดังไม่หยอก จะบอกให้
ก็...แหม! พูดตรงๆ ก็คือไปเที่ยวซ่องตามประสาวัยรุ่นวัยคะนอง จนพวกผมต้องอาฆาตไว้ว่า...โตเมื่อไหร่จะไปเที่ยวล้างแค้นให้จงได้
พวกรุ่นพี่ที่ว่าเป็นนักเที่ยวน่ะไม่ใช่เกเรเสเพลอะไรนะครับ เรียนอาชีวะก็มี เรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่น้อย บางคนมีเงินทองใช้ฟุ่มเฟือย ทั้งเที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ เข้าโรงนวด ไปเล่นสนุ้กแถวสะพานมอญก็มี ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ไม่ใช่ว่าร่ำรวยอะไร
กระทั่งรุ่นผมเติบใหญ่ขึ้นจึงได้รู้ความลับสำคัญ!
พวกเราเที่ยวตามบ้านตาม(หลัง) โบสถ์จนปรุ ขนาดต้องกินยาฉีดยาไปตามๆ กัน สมัยนั้นกินยาก็หาย ถ้าหนักหน่อยต้องพึ่งกาน่าซักเข็มสองเข็ม ส่วนมากมักไปหาหมอสำเริงที่หน้าโรงหนังเฉลิมกรุง หมอดูปุ๊บก็สั่งให้ขึ้นนอนคว่ำบนเตียงปั๊บ
เจ็บนะครับ แต่ไม่น่าหวาดเสียวเหมือนเอดส์สมัยนี้หรอกน่า ติดโรคมหากาฬนี่มาเมื่อไหร่ก็นับถอยหลังได้เลย อย่าลืม "ยืดอก พกถุง" ไม่งั้นตายกับตายลูกเดียว!
อ๋อ...ความลับที่ว่าพวกรุ่นพี่มีเงินใช้เหลือเฟือน่ะหรือครับ? ไม่มีอะไรมากหรอก เที่ยวโรงนวด เที่ยวบาร์ จนได้แฟนเป็นหมอนวด เป็นพาร์ตเนอร์ คุณเธอหลงรักแฟนหนุ่มรูปหล่อ หรือไม่ก็ปากหวานจนมดตอมปาก นอกจากจะให้เงินให้ทองไว้ใช้คล่องๆ แล้ว หลายรายยังอุตส่าห์ส่งเสียให้เล่าเรียนจนรับปริญญาด้วยซ้ำ
ที่รู้ประวัติก็เพราะรุ่นผมมีผู้เจริญรอยตามรุ่นพี่หลายคนเหมือนกันครับ แต่ฝ่ายชายก็มีทั้งทิ้งขว้างไปหาคนใหม่ที่คิดว่าเหมาะสมกว่า ลืมหมดสิ้นถึงบุญคุณของสาวราตรี กับมีทั้งอยู่กินด้วยกันจนมีลูกมีเต้า...ถือซะว่าดวงใครดวงมันละกัน
อ้าว? เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกไปจนได้
เสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์นั่นแหละครับ ผีดุอย่าบอกใครเชียว!
ผมอยู่วัดตั้งแต่เด็กจนแตกเนื้อหนุ่มน่ะ ได้ข่าวว่าวัดในกรุงเทพฯ ที่มีเปรตสิงสู่มีอยู่แค่ 2 วัด คือวัดสระเกศกับวัดสุทัศน์นี่เอง
คำว่า "เปรตวัดสุทัศน์" มักจะเล่าตรงกันว่าตอนดึกๆ เคยเห็นเดินโย่งเย่ง ส่งเสียงหวีดร้องกรี๊ด...กรี๊ด...เสียงแหลมเล็กโหยหวนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ พอเงยหน้ามองเห็นก็ตกใจแทบจะสิ้นสติไปตามๆ กัน
คือเปรตอสุรกายที่ว่าน่ะตัวสูงปรี๊ดยิ่งกว่าเสาชิงช้าซะอีกแน่ะ!
ลองคิดๆ ดูทีหลังก็เห็นว่าเข้าเค้า คือเล่าให้คนฟังเห็นภาพว่า...เสาชิงช้าสูงลิบลิ่วปานนั้น แต่เปรตยังสูงกว่า! คิดดูละกันว่าเปรตวัดสุทัศน์จะสูงแทบเสียดฟ้าขนาดไหน?
คนที่เจอเปรตเข้าจังๆ น่ะไม่มีใครหยุดพินิจพิจารณาหรอกครับ ว่าปากมันจะเล็กเท่ารูเข็มเพราะบาปกรรมที่ด่าพระ ด่าพ่อแม่ หรือมือทั้งสองจะโตเท่าใบตาลเพราะเคยตบตีผู้ให้กำเนิดหรือเปล่า? มีแต่เผ่นหนีกระเจิดกระเจิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
อกเขาอกเรานะครับ เป็นผมเจอเปรตเข้าจังๆ ไม่ว่าเปรตวัดไหน ผมก็คงวิ่งหน้าตั้งปานจะเย้ยนักวิ่ง 100 เมตรให้ได้อายเหมือนกันแหละเอ้า!
วันดีคืนร้ายก็ต้องวิ่งปอดอ้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เจ้าโทน คนท่าแซะที่ถือว่าบ้านเดียวกัน ชวนผมไปดูหนังมันๆ รอบคำที่มูลไลต์ฉาย 2 เรื่องควบ...กว่าจะหนังเลิก ออกมาหาผัดไทยกินก็ห้าทุ่มกว่า...เดินโต๋เต๋ตามฟุตปาธกลับอาราม พลางคุยกันถึงดาราสาวสวย ไม่ว่านางเอก นางรอง หรือดาวยั่ว กันอย่างออกรสออกชาติ ทำนองว่า ...ทำไมคุณเธอถึงชอบล่อนจ้อน ผ้าผ่อนหลุดง่ายนักก็ไม่รู้...
มองเห็นเสาชิงช้าสูงตระหง่านเบื้องหน้า ท้องฟ้าคืนแรมมีแต่แสงดาวระยิบระยับ ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รถราดูบางตาลงทุกที
จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กล่องลอยอยู่ในอากาศ ฟังเหมือนเสียงใครเป่านกหวีดไกลๆ ผมยังไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากจะเดินเร็วขึ้นเพราะอากาศเย็นยะเยือกยามดึกชวนให้คิดถึงที่นอนอบอุ่นเต็มประดา
"ปะ...ปะ...เปรต" เจ้าโทนครางกระเส่า แหงนหน้าเถ่อ เล่นเอาผมชะงักกึกพลอยเงยหน้ามองตามมันไปโดยไม่รู้ตัว...
ตอนแรกก็เห็นแต่เสาชิงช้าโดดเด่น แต่เอ...ทำไมคืนนี้มีหลายเสาจัง แถมสองเสายังขยับไปมาได้...เท่านั้นแหละครับ เหมือนฟ้าถล่มโครมลงมา เจ้าโทนร้องว่า "วิ่งโว้ย" พริบตาเดียวก็กลับได้ยินเสียงมันร้องจ้า "รอด้วย ไอ้แป๊ะ...รอกูด้วย!"
ไม่ได้รอหรอกครับผม เผ่นอ้าวเข้าวัดไปนอนคลุมโปงครางฮือๆ ไอ้โทนตะกายเข้ามาแย่งผ้าห่มจนต้องมุดอยู่ในโปงเดียวกันไปตลอดคืน
เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เป็นอารามบอยเกือบ 30 ปีแล้วครับ แต่ได้ข่าว กทม.สร้างเสาชิงช้าขึ้นใหม่ จะจัดพิธีตรียัมปวาย "โล้ชิงช้า" ในปีหน้า หลังจากเลิกโล้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ทำให้นึกถึงเรื่องขนหัวลุกที่เสาชิงช้าในอดีตน่ะซี...บรื๋อส์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 กันยายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น