28 กันยายน 2558

วิญญาณแม่

"บูรณี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณพเนจร

ตั้งแต่เกิดจนโต ดิฉันอาศัยอยู่ในบ้านที่พรั่งพร้อมทั้งคุณปู่คุณย่า พ่อแม่และน้องๆ เราอยู่กันอย่างอบอุ่นเป็นครอบครัวใหญ่ และคิดว่าจะอยู่กันเช่นนี้ตลอดไป เพราะบ้านเรากว้างขวางใหญ่โตจริงๆ แม้เมื่อดิฉันแต่งงานแล้ว ลูกๆ สามคนของเราก็เกิดที่นี่

ทว่า เมื่อลูกสาวคนเล็กของดิฉันได้เจ็ดขวบ น้องชายก็มีลูกๆ ตามมาอีกสองคน ดิฉันก็เริ่มเห็นว่าบ้านเราชักจะคับแคบเสียแล้วซิคะ

ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันและสามีเผอิญเห็นบ้านหลังหนึ่งกำลังประกาศขาย มันเป็นบ้านที่น่าอยู่ ขนาดไม่ใหญ่เท่าบ้านเรา เนื้อที่ก็แคบกว่า แต่เอาเถอะ..ดูแลง่ายดี แถมยังอยู่ในซอยใกล้ๆ นี่เอง เป็นอันว่าตกลงซื้อบ้านหลังนี้ ตกแต่งทาสีใหม่ ทำสนามหญ้าที่มีอยู่เดิมให้ดูดีขึ้น แล้วปลูกต้นไม้ ดอกไม้หอมๆ ให้สะพรั่งไปเลยเชียว

เรามาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าแล้วค่ะ และมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกือบต้องย้ายออกมาแล้วครั้งหนึ่ง...มันเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย

ดิฉันเป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ประเภทมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ และเคยเห็น เคยได้ยินพวกภูตผีวิญญาณมาบ้าง นานๆ ครั้ง..แต่ถึงอย่างนั้นดิฉันก็ไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ

เมื่อแรกเริ่มที่เห็นบ้านหลังที่มาซื้อนี่ ขนาดตอนนั้นยังดูโทรมๆ ดิฉันก็นึกถูกชะตาทันที ไม่รู้สึกถึงพลังด้านลบแต่อย่างใด...ไม่มีเลยสักนิดเดียว!

ดิฉันเคยไปสถานที่ราชการบางแห่ง และสัมผัสได้ว่ามีผีสิง! ผีดุเสียด้วย...เมื่อถามคนที่อยู่ที่นั่น พวกเขาก็ยอมรับว่ามีจริง ในที่บางที่เราจะรู้สึกได้ทันที บางทีก็ขนลุก บางทีก็ถึงกับหวาดผวา ไม่สบายใจ

..แต่บ้านหลังนี้ดูโปร่ง ใสสว่าง มีพลังด้านดีด้วยซ้ำ และดิฉันก็ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าของเดิม ซึ่งน่ารักมาก เธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน มีลูกผู้หญิงสองคน เธอขายบ้านนี้เพราะเธอได้รับมรดกเป็นที่ดินที่เชียงใหม่ เธอบอกว่าตั้งใจจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข..เห็นไหมคะว่าบ้านนี้ "สะอาด" จริงๆ

คุณกุลธิดา-เจ้าของเดิมบอกว่าอยู่กันมาอย่างมีความสุขตั้งแต่เธอยังเด็กๆ เหมือนดิฉันกับบ้านหลังเก่าเลย คุณกุลเสียดายที่ต้องขาย..แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ

วันแรกๆ ที่เข้าอยู่ ดิฉันสัมผัสถึงพลังความอบอุ่นที่อวลอยู่ในบรรยากาศ..

บ้านหลังนี้มีหน้าต่างสูงๆ มากมาย ทำให้สว่างไสวและอากาศถ่ายเทได้ดีมาก

ดูเหมือนบางสิ่งบางอย่างจะรอให้ดิฉันตายใจ และเมื่อเราเพลิดเพลินจำเริญใจจนหมดความระแวงระวัง...สิ่งนั้นก็ปรากฏออกมา!

ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ก็คือ เราไม่ได้อยู่ลำพังในบ้านหลังนี้ มีใครบางคนอยู่กับเรา แต่เราไม่เห็นตัวเขา! บางทีเขามายืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังเวลาที่ดิฉันทำกับข้าว...ทีแรกนึกว่าสามีมาหยอก แต่พอหันไปจะยิ้มให้ก็ต้องยิ้มค้าง เพราะทั้งห้องครัวว่างเปล่า

แม้จะรู้สึก แต่ก็รู้ว่า "เขา" ไม่น่ากลัว คือดิฉันไม่มีความรู้สึกกลัวผีเลยค่ะ เหมือนเราอยู่ด้วยกันได้ แต่..ต่างคนต่างอยู่แล้วกันนะ!

แต่แล้ววันหนึ่ง หลังจากมาอยู่ได้เดือนกว่าๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง...

มันเป็นเสียงทารกที่ยังอุแว้ๆ ร้องมาจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านนี้แหละ เวลาบ่ายโมงกว่าๆ ดิฉันอยู่บ้านคนเดียว สามีไปทำงาน ลูกๆ ไปโรงเรียน แอ๋มคนรับใช้ไปจ่ายตลาด ดิฉันเดินหาเสียทั่วบ้าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสียงทารกนั่นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆ

แกร้องอยู่นานมากเลยค่ะ! ยิ่งกว่านั้น มีใครบางคนที่ดิฉันไม่เห็นตัว กำลังพลุ่งพล่านเดินตามหาเด็กเหมือนดิฉันนี่แหละค่ะ!

ปรากฏการณ์นั้นเป็นๆ หายๆ อยู่หลายชั่วโมง พอลูกๆ และสามีดิฉันกลับมาถึงบ้าน ทุกอย่างก็เป็นปกติ

ถึงวันเสาร์ ลูกอยู่บ้าน สามีไปงานสัมมนา ลูกสาวคนโตได้ยินเสียงทารก! เธอเดินหาและมาถามดิฉัน...ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบไป เลยไม่มีใครสนใจต่อไปอีก

วันจันทร์ตอนสิบโมงกว่า ดิฉันอยู่บ้านคนเดียว กำลังจัดชั้นหนังสือ ก็รู้สึกมีใครมายืนข้างหลัง พอหันไปดิฉันก็ปล่อยหนังสือหลุดมือ ตัวชาวาบ ขนลุกซู่...

เขามาปรากฏตัวให้เห็นเต็มๆ เป็นผู้หญิงค่ะ แต่งชุดแบบสาวใช้ คือนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อยืดคอกลม เธอตัวผอม หน้าซูบ ปากดำปี๋ ท่าทางกระวนกระวาย...เธอปรากฏตัวเพียงไม่กี่วินาทีก็หายไป

ดิฉันยังมีเบอร์คุณกุลธิดาอยู่ในสมุดโทรศัพท์ จึงรีบโทร.ไปเล่า และถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่? ผู้หญิงที่ดิฉันเห็นเป็นใคร?

คุณกุลธิดาอึ้งไปนาน เธอยืนยันว่าไม่มีใครตายในบ้านหลังนี้ แต่เมื่อหลายปีก่อนเธอมีสาวใช้คนหนึ่งที่ตั้งท้องกับแฟนหนุ่ม ซึ่งไม่รับว่าเป็นพ่อเด็ก สาวใช้นั่นคลอดลูกที่นี่...แล้ววันหนึ่งเธอก็หนีหายไปจากบ้าน ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างใด

จากนั้น คุณกุลธิดาก็ติดต่อไปทางบ้านสาวใช้ เล่าเรื่องให้เขาฟัง และแม่ของสาวใช้หรือยายของเด็กก็มารับเอาเด็กไปเลี้ยงดูเรียบร้อยแล้ว...เรื่องมีแค่นี้จริงๆ

เราช่วยกันปะติดปะต่อ แล้วเดาเหตุการณ์ว่า สาวใช้ของคุณกุลธิดาคงทิ้งลูกหนีไป แล้วเธอคงเสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ วิญญาณยังห่วงหาก็กลับมาดูลูก เพราะคิดว่าลูกยังอยู่ที่นี่

งานนี้ไม่ต้องเรียกหมอผีหรอกค่ะ ดิฉันนิมนต์พระมาทำสังฆทาน และเมื่อรู้สึกถึงพลังวิญญาณ ดิฉันก็บอกเธอง่ายๆ ว่าลูกเธอปลอดภัย กลับไปอยู่บ้านนอกกับยายนานแล้ว...ตั้งแต่นั้นบ้านก็สงบ ไม่มีผีและวิญญาณใดๆ อีกเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  28 กันยายน 2550

27 กันยายน 2558

พระกินเณร

"ประสงค์ ลี้สุวรรณ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ

วันนี้ผมมีเรื่องสยองขวัญที่มีหลักฐานแน่นหนา ปรากฏชัดเจนมาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่อำเภอวิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง

ถ้าท่านมองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสุดๆ

จะแปลกอย่างไร โปรดพิจารณา...

ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!

ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก

ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน

กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที

....และยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!

มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...

เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำอะไรแน่

จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น

จากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่า สามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?

ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น

เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!

ต่างก็เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...

พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!

เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล

นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง

ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า

"พระทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"

จากปากสู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุกวันนี้!

ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง

...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่าหวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  27 กันยายน 2550

26 กันยายน 2558

กรวดเปื้อนเลือด

"อุรณา" เล่าเรื่องขนหัวลุกของวิญญาณผีตายโหง

นี่เป็นเรื่องราวของเด็กสาวผู้แก่นแก้วเกินเหตุ เธออยากพิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือไม่? ก็เลยหยิบก้อนกรวดเปื้อนเลือดเม็ดหนึ่ง มาจากสถานที่ที่มีคนถูกยิงตาย แล้วเอากลับมาบ้านเฉยเลย...ที่สำคัญ บ้านนั้นไม่ใช่บ้านของเธอ แต่เป็นบ้านดิฉันค่ะ!

"แจง" เป็นลูกสาวคนเดียวของนวล คนรับใช้เก่าแก่ของเรา นวลเป็นคนต่างจังหวัดมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุ 14 คือเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เธออ่อนกว่าดิฉัน 2-3 ปีเท่านั้น แต่นิสัยดี คุณแม่รักมากเชียวล่ะ นวลเองก็รับใช้เรามาตลอดไม่ยอมไปไหน จนกระทั่งพ่อแม่บังคับให้กลับไปแต่งงาน

นวลจากเราไปแค่ 2 ปีก็ขอกลับมาอยู่ใหม่ พร้อมกับลูกสาวตัวน้อยที่ชื่อแจงคนนี้แหละ นวลเลิกกับผัวขี้เมาอย่างเด็ดขาด เธอผูกพันกับเรามาก และตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินให้ลูกเรียนหนังสือ...นวลอยู่ใต้ชายคาเราอย่างอบอุ่น! เธอว่าอย่างนั้น...

ทุกวันนี้นวลก็เหมือนญาติคนหนึ่งล่ะค่ะ!

เวลาปิดเทอมราวเดือนตุลาคมของทุกปี ดิฉันจะยกโขยงไปพักที่หัวหิน น้องชายมีคอนโดฯ อยู่ที่นั่นไงคะ เราไปทีเป็นอาทิตย์ๆ แน่ะ บางทีดิฉันกลับมาดูแลงาน ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวเราเอง

เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีก็กลับไปหัวหิน พอเบื่อก็มากรุงเทพฯ ชีวิตนี้สนุกมากค่ะ

ราว 2-3 ปีก่อน เราก็ไปอยู่หัวหินกัน แต่ไม่นานหรอกค่ะ แค่สิบกว่าวัน แจงก็ไปกับพวกเราด้วย โดยปล่อยแม่ของเธอเฝ้าบ้านที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นแจงอายุ 16 ปีเท่านั้นเอง

เธอเป็นคนขยัน สวยและมีการศึกษา ดูเผินๆ ก็ระดับเดียวกับหลานๆ ดิฉัน เราไม่ได้เห็นเธอเป็นลูกคนใช้ แต่แจงก็ไม่เห่อเหิม เธอเรียกเราว่าคุณทุกคน...และคอยดูแลรับใช้เราอย่างดี เสียอย่างเดียวเท่านั้นเอง...เธอแก่นแก้วเหลือเกิน นิสัยห้าวและซนมาก!

วันหนึ่ง ขณะซ้อนมอเตอร์ไซค์คนงานที่หัวหินของเราคนหนึ่ง เขาก็ชี้ให้เธอดูกองเลือดริมถนน บอกว่ามีคนยิงกันตายตรงนั้น! แปลกมากที่รอยเลือดยังอยู่ ทั้งๆ ที่มีฝนตกหนักมาหลายวันแล้ว

คนงานเล่าว่า คนตายเป็นหนุ่มหน้าตาดี เชื่อกันว่า...เขาถูกฆ่าเพราะไปรักผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้ว!

ไม่รู้อะไรมาดลใจให้แจงเกิดซาบซึ้งในเรื่องนี้ เธอขอให้เขาจอดรถลงไปดูรอยเลือดใกล้ๆ แล้วเธอก็ก้มหยิบก้อนกรวดเปื้อนเลือดก้อนหนึ่งมาใส่กระเป๋ากางเกง

ตอนแรกไม่มีใครรู้หรอกว่าแจงทำอะไรลงไป แต่ตอนที่ขับรถกลับกรุงเทพฯ ทุกคนได้กลิ่นเหม็นเน่าในรถ ทำให้ต้องโทษกันวุ่นวายว่าใครเก็บอะไรมา...หลานคนเล็กของดิฉันอายุแค่ 10 ขวบ เด็กผู้ชายค่ะ ซนเอาเรื่องเชียว...หนก่อนเก็บปูเสฉวนตัวโตใส่ถุงพลาสติกมาแล้วมันตาย โอย...เหม็นอย่าบอกใคร คราวนี้ก็สงสัยจะเก็บมาอีก แต่แกยืนยันว่าแกเปล่านะ!

กลิ่นเน่าดังกล่าว เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป...คือจู่ๆ ก็ได้กลิ่น แต่อึดใจต่อมาก็ไม่มี ราวกับดับสวิตช์ไฟอย่างนั้นแหละ

รถกลับถึงบ้าน กลิ่นเน่าหายไป แต่แล้วมันก็ก่อตัวขึ้นอีกในห้องของนวลตอนกลางดึก มันเหม็นมากจนนวลต้องออกมานอนนอกห้อง มานั่งที่โต๊ะหินริมสนาม...และแล้วเธอก็เห็นภาพที่ทำให้ต้องตกใจสุดขีด

ชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าห้องที่เธอนอนกับลูกสาว!

นวลคิดทันทีว่าเป็นขโมย! เธอเล่าว่าตัวชาเพราะความกลัว...กลัวว่าเขาจะหันมาเห็นเธอเข้า กลัวว่าเขาจะเข้าไปทำร้ายลูกสาวที่นอนอยู่คนเดียว

กลิ่นเน่ารุนแรงเหมือนมีใครเอาศพมาทิ้ง นวลไม่กล้าขยับตัว เธอนั่งอยู่ในเงามืด ส่วนชายที่เธอเห็นนั้น มีแสงไฟจากถนนส่องถึง...

เวลาผ่านไปอึดใจ นวลเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ...เขายืนตัวแข็งทื่อผิดมนุษย์มนา อีกทั้งลักษณะร่างกายก็ดูแบนๆ เหมือนเอาตุ๊กตากระดาษขนาดเท่าคนจริงมาตั้งไว้...จะว่าไปแล้วก็เหมือนโปสเตอร์โฆษณาตามร้านขายยา หรือโรงหนังนั่นล่ะค่ะ นอกจากนั้นยังมีเสียงไหลจ๊อก...คล้ายคนเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ให้น้ำไหลเป็นเส้นลงมากระทบพื้นซีเมนต์

นวลค่อยๆ เขยิบและจ้องมอง แล้วเธอก็ต้องร้องกรี๊ดสุดเสียง...แต่เปล่าหรอก ไม่มีเสียงออกมาจากลำคอของเธอแม้แต่น้อย!

...ศรีษะของร่างนั้นแหว่งหายไปเป็นแถบ มันสมองหลุดเผละมาอยู่ตรงไหล่...ไหลลงมาตามร่างกาย ดวงตาของเขาเบิกโพลง แข็งทื่อ ปากอ้าค้าง ร่างนั้นแบนเป็นสองมิติเท่านั้น...มันเหมือนภาพคัดเอาต์ที่ทำจากกระดาษแข็งไม่มีผิด แต่มันเหม็นมาก มีกลิ่นเน่า...และมีเสียงครางโหยหวนเบาๆ จากร่างนั้นด้วย

นวลสลบไปจนเช้า ป้านิดแม่ครัวมาพบเข้าก็ตกใจกันใหญ่ สวนแจงนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น แต่พอรู้เรื่องจากปากแม่ผู้ยังสั่นเทา เธอก็เอามืออุดปากอย่างตกใจสุดขีด

คราวนี้แจงจอมซนรู้แล้วว่าผีมีจริง!

เขามากับก้อนกรวดเปื้อนเลือดตรงจุดที่ถูกยิงตายอย่างทารุณ...มาเพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง มันอาจเป็นความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมที่แสนเศร้า หรือมาขอส่วนบุญอย่างที่โบราณเล่ากันก็ได้

แจงต้องนั่งรถทัวร์ไปหัวหินกับนวล เอากรวดไปไว้ที่เดิม และทำบุญให้วิญญาณนั้น เธอเข็ดแล้วค่ะ แต่ยังบอกดิฉันว่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง...น่าจะถูกแม่ตีเสียให้เข็ดจริงๆ นะคะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  26 กันยายน 2550

25 กันยายน 2558

สุ่มหัวผี

"แพรว โพธิ์ทอง" เล่าเรื่องขนหัวลุกของนักสุ่มปลาสร้อย

เส้นเลือดแห่งการยังชีพของชาวจังหวัดอ่างทอง ที่นอกเหนือจากแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ยังมีแม่น้ำน้อยอีกสายหนึ่งที่ชาวโพธิ์ทองและชาววิเศษชัยชาญ ได้อาศัยลำน้ำน้อยหล่อเลี้ยงการยังชีพตลอดมา

ในแต่ละรอบขวบปีจะมีวัฏจักรของการยังชีพริมฝั่งแม่น้ำน้อยคล้ายคลึงกัน และก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว

อาม้าไน้ (อาม้าชื่อไน้) เล่าว่า ถ้าเริ่มเดือนอ้าย น้ำเริ่มถอยลง จากลำแม่น้ำที่เคยกว้างใหญ่ก็จะแคบลงมา คงทิ้งร่องรอยแห่งดินตะกอนให้เห็น ชายฝั่งแถบใดเป็นที่เนินลาดชาวบ้านจะปลูกพืชผักสวนครัว อาทิ มะเขือ แตงกวา บวบ แฟง ฯลฯ กันไว้กินแทบทุกบ้าน

สาเหตุเพราะต้นไม้ล้มลุกเหล่านี้อายุสั้น ใช้พื้นที่ไม่มากนัก และก็ชอบดินตะกอนทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ดีมาก

ถ้าบริเวณใดเป็นหาดลาดเทก็จะมีหญ้าขึ้นงอกงาม...

โดยเฉพาะชายหาดหน้าบ้านอาม้าจะมีหญ้าขึ้นพอสมควร ไม่ถึงกับรกรุงรังอะไรนัก ต้นหญ้าเหล่านี้พอถึงฤดูหัวน้ำขึ้น น้ำจะท่วมยอดหญ้า...ลักษณะน้ำท่วมเช่นนี้เองเป็นเหตุให้ปลาสร้อย ปลาซ่า เข้ามาหากินและผสมพันธุ์กัน

...ที่นั่นเอง จะมีปลาขึ้นเป็นคู่ๆ จนกลายเป็นฝูงขนาดใหญ่ ชาวบ้านจะแอบมาสุ่มปลากันตอนกลางคืนเป็นประจำ

ถ้าอาม้าดับตะเกียงเมื่อไหร่ สักครู่ใหญ่ๆ เท่านั้น จะมีมือสุ่มค่อยๆ ดุ่มออกจากดงโสม โคนกอไผ่ กอลำเจียก กับเป็นทิวแถว...ลงไปล่าเหยื่ออย่างเงียบเชียบ รับรองว่าครอบสุ่มลงไปต้องได้ปลาสร้อยปลาซ่าไม่ต่ำกว่า 20 ตัว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเครื่องล่อใจใครต่อใครหลายคน ต่างมุ่งดิ่งตรงมายังชายน้ำหน้าบ้านอาม้าเหมือนนัดแนะกันไว้

จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุสยองขวัญ!

ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสุ่มปลาซ่าอย่างลืมตัว ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงมือสุ่มคนหนึ่งคือ ทิดยม ร้องอุทานอย่างตะหนกตกใจสุดขีด พร้อมกับเหวี่ยงสิ่งหนึ่งที่ติดมือแต่ยังอยู่ในสุ่ม ซึ่งไม่สามารถลอดหัวสุ่มออกมาได้...คนอื่นๆ หันไปมองเหมือนนัดกันไว้

อารามตกใจบวกกับความหวาดกลัว ทำให้ทิดยมวิ่งไปทั้งๆ ที่สุ่มยังติดมือ!

นักสุ่มคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์พลอยตระหนกตกใจไปตามๆ กัน ต่างคนต่างวิ่งตามเพื่อนไปเป็นกลุ่มจนน้ำกระจาย จนกระทั่งไปทันกันที่ชายตลิ่ง...ทิดยมหอบฮั่กๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย

"เป็นอะไรวะ? หนีอะไร" เสียงถามแซ่แซด ทิดยมทำหน้าสยองเต็มที่ ก่อนจะตอบเสียงขาดเป็นห้วงๆ ทั้งเหนื่อยและตกใจแทบเสียสติ

"ข้า...ข้าสุ่มเอาหัวผีเข้าน่ะซีวะ! โอย..."

"ฮ้า?" คนอื่นๆ ผงะหน้า "เอ็งสุ่มหัวผีเข้าหรือวะ?"

"เออ...ไม่รู้ใครตัดหัวผีมาทิ้งไว้ ยังมีผมเผ้าติดอยู่เลย! โอย...ข้ากลัวสุดขีดเลยว่ะ! พูดแล้วขนลุก...."

คนที่ได้ยินคำยืนยันล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน...ปากต่อปาก ข่าวแพร่สะพัดราวกับจุดไฟเผาทุ่งปานนั้น!

วันพรุ่งรุ่งขึ้น เป็นที่โจษขานกันทั่วคุ้งคลอง ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ไม่เป็นที่ยุติเสียที...มีอยู่คนเดียวที่หัวเราะร่าเหมือนมีอารมณ์ขันทั้งวันทั้งคืน...เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่?

อาม้านั่นเองที่หัวเราะอย่างมีสุข เพราะไม่มีใครมารบกวนการหลับนอนของแกในยามค่ำคืน...ไม่มีเสียงหมาเห่ากระโชกให้หนวกหูอีกต่อไป!

ข้อสำคัญที่สุด อาม้าก็เอาลอบดักปลาไปวาง จะได้ปลาสร้อยปลาซ่ามากมาย แทนที่จะเป็นเหยื่อของชาวบ้าน

ว่าแต่ต้นตอของเรื่องนี้มาจากอะไรกันแน่?

เมื่ออาม้าไน้อารมณ์ดี ว่างจากการพ่ายเรือขายของ ดิฉันลองถามดูว่าอาม้าเชื่อหรือไม่ว่าเป็นหัวผีที่ทิดยมแกสุ่มเจอเข้า เล่นเอาขนลุกขนพองไปตามๆ กัน จนไม่มีใครกล้ามาลักลอบสุ่มปลาที่นั่นอีกต่อไป

อาม้าได้ฟังคำถามถึงกับหัวเราะปากกว้าง น้ำหมากกระเซ็นทีเดียว ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า...

"เรื่องมันบังเอิญน่ะ อั๊วไม่ได้ตั้งใจหรอกว่ะ ว่าแต่ลื้อฟังแล้วต้องเงียบๆไว้ อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครรู้นะ...ขอร้อง"

เรื่องของเรื่องก็คือ อาม้าเอามะพร้าวกร้อนทิ้งไว้ชายตลิ่ง นานๆ เข้าขุยมะพร้าวมันก็ชักหายไป เหลือแต่ใยมะพร้าวติดกับลูก...เมื่อหญ้าขึ้นปกคลุมทำให้มองไม่เห็นลูกมะพร้าว พอคนมาสุ่มปลา ครอบลงไปเพื่อควานหาปลา เจอะเจอมะพร้าวเจ้ากรรมเข้าก็ตกใจสุดขีดแทบสติแตกทันที

นั่นคือ คิดว่าเป็นหัวคนที่มีเส้นผมติดอยู่ ไม่ว่าจะนึกว่าผีหลอกหรือเป็นผีหัวขาดจริงๆ ก็เกือบช็อกตายทั้งนั้นแหละ...แค่นึกถึงภาพก็น่าขนหัวลุกแล้ว จริงไหมคะ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  25 กันยายน 2550

24 กันยายน 2558

สามล้อเมืองคอน

"ไข่นุ้ย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพระอิศวร

ผมเป็นเด็กตลาดแขก อยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ปีนี้บ้านผมเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาแห่งชาติ บรรยากาศที่ซบเซาลงไปหน่อยตอนเดือนกรกฎาฯ-สิงหาฯ ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งในเดือนกันยายน

ถึงจะสู้นักกีฬาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ ตามมาระดับที่ 4 ที่ 5 ก็ดีถมไปแล้วละน่า

จังหวัดผม หรือที่พวกเราเรียกสั้นๆ ว่า "เมืองคอน" ที่นี่มีตำช้าตำนานเยอะครับ

ไหนจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในคาบสมุทรไทยมาตั้ง 1,700 ปี เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ มีชื่อต่างๆ เช่น ตามพรลิงค์, ตั้งหมาหลิ่ง, โลแค็ก, ศรีธรรมาโศกราชศิริธรรมนคร, นครดอนพระ และลิกอร์ เป็นต้น

นครศรีธรรมราช มีความหมายว่า "นครอันงามสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม"

สมัยผมเด็กๆ มีเรื่องขำขันเล่าว่า ขอทานตาบอดแถวตลาดแขกแกนั่งร้องโนราอยู่ข้างถนน แม่สาวชาวกรุงกลุ่มหนึ่งผ่านก็วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากว่า แหม...ขอทานคนนี้แกเสียงดีไม่เบานะ แม่เพื่อนสาวทำเสียงดูหมิ่นว่า...โธ่เอ๊ย! เสียงดีแต่ว่าตาบอดย่ะ!

เท่านั้นแหละครับ เหมือนไปสะกิดต่อมยัวะชายเนตรพิการเข้าจังๆ แกขยับลูกคอขึ้นมาทันใด "ถึงหน่วยตาพี่บอด แต่ยอดตาพี่ยัง จะลองดูมั่งก็เป็นไร!"

เล่าเรื่องนี้ที่ไหน รับรองว่าฮากระจายที่นั่น

ภาษาใต้ของพวกผมค่อนข้างแตกต่างกันไปตามท้องที่นะครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังซะเลย เช่น ผลไม้เป็นต้น คนนครเรียก "ฝรั่ง" ว่า "ชมพู่กัว" แต่คนสมุยหรือ "เกาะหมุย" เรียกว่า "ยามูร์" ออกเสียงเป็น "หญ้าหมู" เพราะเป็นภาษามลายูน่ะซีครับ

อะไรก็ไม่ตลกเท่ากับ "มะม่วงหิมพานต์" ตามชื่อที่คนกรุงเทพฯ เขาเรียก

บ้านผมเรียก "ยาร่วง" แต่คนสมุยเรียก "ม่วงเล็ดล่อ" ตาเทียบ-คนท่าวังนิสัยครึกครื้นขี้เล่น ค่อนข้างเจ้าบทเจ้ากลอน แกเรียกว่า "นารีเยี่ยมห้อง" ตอนแรกก็ยังงงๆ พอรู้ความหมายเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่พวกผู้หญิงน่ะค้อนควักตาคว่ำตาหงายเชียวครับ

ตาเทียบแกอ้างว่า...ทีลูก "นารีพิศวง" หรือ "นารีรำพึง" ยังพลิกลิ้นเรียก "รำเพย" ได้นี่นา "รักเร่" ก็เรียก "รักแรง" "แห้ว" ก็กลายเป็น "สมหวัง" แล้วทำไมมะม่วงหิมพานต์ที่มีเม็ดแผล็มออกมานอกเนื้อจะเรียก "นารีเยี่ยมห้อง" ไม่ได้ละวะ? จะไม่ให้หนุ่มๆ ฟังแล้วหัวเราะจนน้ำตาเล็ดได้ไง?

คนที่เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มรักก็ตาเทียบนี่เอง!

สมัยหนุ่มๆ แกปั่นสามล้อหากิน ส่วนมากจะปักหลักอยู่หน้าสถานีรถไฟ คอยรับนักท่องเที่ยวไปโรงแรมต่างๆ ไม่ว่าใกล้ไกล อย่างมณเฑียร, เพชรไพลิน, หรือแกรนปาร์ค, นครการ์เดน ไปยันทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซค์หนาตาแทบเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ ตาเทียบจึงหากินได้คล่องๆ

บ่ายนั้น ฟ้าครึ้มฝนชอบกล ตาเทียบแวะเข้าไปโจ้ขนมจีนถาดใหญ่ที่ร้าน "พานยม" จนอิ่มแปล้ เพราะมีทั้งแกงน้ำยา, น้ำพริก, น้ำยาป่า, แกงต่างๆ มาให้ราดขนมจีนกินได้ตามใจชอบ แถมผักอีกกระจาดใหญ่

ตาเทียบถีบรถเอื่อยๆ อย่างมีความสุข จนเห็นคนแต่งชุดขาวกลุ่มใหญ่อยู่ข้างหน้า พอใกล้เข้าไปก็เห็นเสาชิงช้ากับหอพระอิศวร ตรงข้ามกับพอพระนารายณ์พอดี!

ลมแรงพัดวูบมาเย็นซ่า...ฟ้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเทวดาจะเทฝนห่าใหญ่ลงมาเมื่อใด...พอดีเห็นชายผิวดำในชุดขาว นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาว ห่มผ้าสไบเฉียง...ขาวโพลนไปหมด ยกเว้นใบหน้าและนัยน์ตาดำขลับที่จ้องมอง โบกมือเป็นสัญญาณให้จอดรับ

ดูๆ ก็ไม่น่าแปลกประหลาดอะไร เพราะเมืองนครศรีฯ ได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของหลายศาสนา ทั้งพุทธ, คริสต์, อิสลาม, พราหมณ์, ขงจื๊อ...ไม่ว่าโบสถ์หรือสุเหร่า ศาลเจ้า วัดแขก โบสถ์ฝรั่งมีทั้งนั้นแหละครับ

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คนไทยเหมือนกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สงบสุขตั้งแต่สมัยโบราณมาถึงทุกวันนี้!

พอสามล้อจอดปุ๊บ ร่างสูงใหญ่ในชุดขาวก็ก้าวขึ้นมานั่ง เล่นเอารถยุบฮวบ...ผู้โดยสารรายนี้คงมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมแน่ๆ บอกเสียงแหบว่า...ไปวัดมเหยงคณ์!

ตาเทียบถีบรถไม่เร่งร้อนเพราะเป็นทางตรง...ผ่านวัดเสมา สนามหน้าเมือง...เลยหน้าสถานีตำรวจ พ้นสี่แยกไปหน่อยก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

ท้องฟ้าชักมืดครึ้มลงทุกที....

เสียงดนตรีแปลกๆ ล่องลอยมากระทบหู ตามด้วยเสียงสวดงึมงำ สูงๆ ต่ำๆ ดังมาจากไหนไม่รู้ กลิ่นกำยานหอมเอียนๆ อวลซ่านมากระทบจมูก เล่นเอาตาเทียบชักปากคอแห้งผาก เย็นวาบๆ ที่แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ...รู้สึกว่าน้ำหนักท้ายรถชักจะเพิ่มมากขึ้นจนน่าเอะใจ

"เข้าวัดหรือเปล่าคร้าบ...?" ตาเทียบถามเมื่อมองเห็นประตูวัดอยู่เบื้องหน้า นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นพราหมณ์จะเข้าวัดไปทำไมกัน...แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ แกเลยหันกลับไปมอง

ไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลังเลย! เล่นเอาสารถีร่างผอมกะหร่องเบรกรถกึก ร้องเฮ้ย! ออกมาอย่างลืมตัว ขนลุกซ่า...รีบปั่นสามล้ออ้าวๆ ผ่านเทศบาลไปหมดแรงที่หน้าไทยโฮเต็ล ทั้งที่รถเบาหวิวขึ้นพะเรอ

ตาเทียบเลิกอาชีพขี่สามล้อแต่นั้นมา พวกเรายั่วว่าแกขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ไหวเพราะแก่แล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ตาเทียบทำตาเขียวเข้าใส่...กูขี่ไหว แต่ถ้าเกิดมีใครมาซ้อนท้ายกูแล้วหาย ตัวไปอีก มิช็อกตายคาที่เรอะ? บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  24 กันยายน 2550

21 กันยายน 2558

ก๋งมาเยี่ยม

"แรคำ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกวันตรุษจีน

เรื่องราวแปลกประหลาดและน่าระทึกขวัญนี้ เกิดขึ้นเมื่อราว 10 ปีมาแล้ว แต่ดิฉันและคนในครอบครัวยังจดจำได้แม่นยำ ไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิตเลยค่ะ

เดือนกุมภาพันธ์ปีนั้น ภาคกลางตอนล่างไม่ว่าสิงห์บุรี ชัยนาท มาถึงสุพรรณบุรี และอ่างทอง มีน้ำค้างแรงมาก บางวันตกราวฝนโปรยอ่อนๆ ยอดหญ้าชุ่มฉ่ำ อากาศก็สลัวมัวไปด้วยกระไอหมอก ราวกับเป็นม่านบังท้องฟ้าให้ครึ้มตลอดเวลา

จนกระทั่งราวๆ ครึ่งวัน หรือเที่ยงเศษๆ จึงจะเห็นดวงอาทิตย์สาดแสงอย่างเต็มที่

วันนั้นเป็นวันตรุษจีน เป็นวันปีใหม่ของจีนนะคะ!

พวกเราก็เป็นลูกเชื้อสายจีนอยู่เช่นกัน ประกอบกับบรรพชนเคยกระทำพิธีกรรม "ไหว้เจ้า" มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เมื่อเราเติบโตมาก็เห็นเช่นนั้นแล้ว ครั้นจะเลิกราปาทิ้งไปก็เกรงใจวิญญาณบรรพชนท่านจะตำหนิเอาได้

ฉะนั้น พวกเราก็ต้องการความเจริญก้าวหน้าเป็นมิ่งขวัญมงคลแก่ตน จึงได้ไหว้เจ้าต่อมาเป็นประจำ...เรื่องนี้มีผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนเคยยั่วเย้าว่า

"ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าดีกว่า กลับมาได้กิน!"

พวกเราไม่ถือสาหรอกค่ะ ไหว้เจ้าเสร็จก็แจกเป็ดไก่ หัวหมู แกงวุ้นเส้นใส่หน่อไม้จีน (คนไทยเรียก แกงร้อน) กับขนมเข่งและขนมเทียนให้เพื่อนบ้านที่เป็นคนไทยคนมอญที่ไม่ได้ไหว้เจ้าอย่างพวกเรา

ถึงจะต่างเชื้อชาติหรือแม้แต่ศาสนา แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนไทย เกิดในแผ่นดินแม่เหมือนกัน ควรจะรักใคร่ปรองดองกันดีกว่าทะเลาะเบาะแว้ง เข่นฆ่ากันอย่างไม่ปรานีปราศรัยจริงไหมคะ?

ตอนนั้นลูกชายคนโตของดิฉันอายุราว 5-6 ขวบ แกช่วยจับฉวยทุกอย่างที่นำไปไหว้ แม้แต่การจุดธูปก็ต้องขอเป็นคนจุดเอง

ในวันนั้นได้ไปไหว้ทั้งที่บ้านและที่สวนค่ะ!

ในการไปไหว้ที่สวนนั้นต้องปูเสื่อกับพื้นหญ้า แล้วจึงวางข้าวของสังเวยต่างๆ ลงไป การวางของอย่างนี้เคยมีปัญหามาแล้วครั้งหนึ่ง คือสุนัขละแวกนั้นจำแลงตนเป็นเจ้าเสียเอง...ทำให้ลูกช้างอดเครื่องสังเวย แถมไม่ได้ร่องรอยว่าสุนัขเจ้ากรรมนั่นหลบหนีไปทางใด

ไม่มีใครเห็นชัดเจนจนถึงยืนยันได้ว่าเป็นสุนัขหรอกค่ะ เราก็ได้แต่สันนิษฐานไปเองเท่านั้นแหละ

เช้ามืดวันนั้น อากาศค่อนข้างสลัวและเยือกเย็น น้ำค้างยังเปียกชุ่มอยู่ตามยอดไม้ใบหญ้า แต่ครั้งนี้ให้ลูกชายอยู่เฝ้าของไว้อย่างใกล้ชิด แกเองก็เต็มใจรับอาสา ส่วนเราเดินกลับมาบ้านเพื่อเตรียมข้าวของสำหรับไหว้ตอนสว่างต่อไป

เวลาผ่านไปไม่นาน ประมาณธูปไหม้ราวครึ่งดอก ลูกชายก็วิ่งตาตื่น ท่าทางตกใจละล่ำละลักว่า...เห็นคนแก่มายืนฉีกไก่กิน!

พวกผู้ใหญ่มองหน้ากันงงๆ เพราะในสวนบ้านเราไม่มีบ้านเรือนคนอื่น และไม่น่าจะมีใครผ่านเข้ามาตั้งแต่เช้าตรู่แบบนั้น...ดิฉันถามลูกว่ารู้จักไหม แกก็ส่ายหน้า ยืนยันว่า...ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย

จนกระทั่งได้เวลาไป "ลาของเจ้า" สังเกตว่าลูกชายที่ขอตามไปด้วยมีอาการหวาดๆ เหลียวซ้ายแลขวาแทบจะไม่หยุดหย่อน...เมื่อไปถึงแกก็ชี้ตำแหน่งที่เห็นคนแก่มายืนกินไก่ต่อหน้าต่อตา แต่ดิฉันดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นใครหนอ? ทั้งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองสักครั้งเดียว!

เมื่อเรื่องนี้จางๆ ลงไป ลูกชายมีหมาตัวหนึ่งซึ่งรักมาก ไปไหนไปด้วยกันเสมอ วันหนึ่งแกพาหมาออกไปเที่ยวทุ่งที่อยู่รอบๆ สวน ทั้งคนทั้งหมาดูเหมือนจะมีความสุขอย่างยิ่ง...เหนื่อยนักก็เดินมาพักที่สวน

ที่สวนนั้นเอง แกเห็นคนแก่คนเดิมที่มายืนกินไก่นั่นแหละ มาด้อมๆ มองๆ ในร่องสวนถัดไป ครั้นจะเดินไปดูให้รู้แน่ คนแก่แปลกหน้านั้นก็หายไปแล้ว แต่พอไม่ตั้งใจมองหรือเล่นกับหมาเพลินๆ ก็จะเห็นคนแก่ผู้นั้นแว้บๆ ทั้งน่าระแวงและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

แม้แต่หมาเองก็มองเห็นเช่นกัน เพราะมันมีอาการขนตั้งชัน ส่งเสียงเห่าป้องกันเจ้านายเห็นได้อย่างชัดเจน จนแกเห็นท่าไม่ดีเลยพาหมากลับบ้าน และเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

ลูกชายไม่ได้โกหกแน่! ส่วนดิฉันได้แต่ถามตัวเองอย่างงุนงง...ใครหนอ? คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกจริงๆ ค่ะ

วันหนึ่ง ดิฉันพาลูกชายไปพบที่ป้าน้าอาที่บ้านเกิด มีการทำบุญบำเพ็ญกุศลให้แก่บรรพชนตามประเพณีฤดูตรุษไทย เมื่อจัดข้าวของเตรียมถวายพระ ลูกชายก็เข้าช่วยเช่นเคย หยิบโน่นฉวยนี่ตามอัธยาศัย

ทันใดนั้นเอง ลูกชายก็เข้ามาสะกิดให้มองไปข้างฝา พลางบอกอย่างแน่ใจ

"คนนี้แหละแม่ ใช่แน่ๆ คนแก่ที่หนูเห็นตอนนั้น!"

ดิฉันอ้าปากค้าง ขนลุกซ่า...ก็รูปถ่ายก๋งของเราเอง หรือ "ทวด" ของลูกชาย!

วันนั้นดิฉันปากคอแห้งผาก ขนลุกตลอดเวลาที่ทำบุญ ขณะกรวดน้ำได้อธิษฐานจิต อุทิศส่วนกุศลให้ก๋งอย่างเต็มจิตใจ ขอบคุณที่ก๋งห่วงหลานเหลน ติดตามเฝ้าดูแล คอยปกป้องโพยภัยให้หน่อเนื้อเชื้อสาย...สมแล้วที่เรายังไหว้ตรุษจีนให้บรรพชนสืบไปค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  21 กันยายน 2550

20 กันยายน 2558

ผีเสียงหมู

"ครูประสงค์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอำเภอวิเศษชัยชาญ

สมัยเด็กๆ ผมได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดกันถึงเรื่องผีๆ สางๆ สารพัดชนิด ไม่ว่าผีป่าผีไพร ผีบ้านผีเรือน รวมทั้งผีตามทุ่งไร่ทุ่งนา แม้แต่แม่น้ำลำคลองก็มีผีสิงสู่ คอยหลอกหลอนผู้คนไม่หยุดหย่อน เคยเจอะเจอจนวิ่งป่าราบมานับไม่ถ้วน

โดยเฉพาะตามวัดวาอารามยิ่งมีภูตผีชุกชุม ถ้าใครเอ่ยถึงป่าช้าตอนกลางคืน คนฟังเป็นขนหัวลุกไปตามๆ กัน...กลัวผีน่ะซีครับ!

มาถึงสมัยนี้กลับตรงกันข้าม...

นั่นคือ ภูตผีปีศาจที่เคยคึกคะนองเกลื่อนกลาด จะค่อยๆ ลดน้อยลงตามความเจริญของบ้านเมือง คือเมื่อมีผู้คนเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายเท่าไหร่ บรรดาผีสางก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาดื้อๆ จนต้องล่าถอยออกไปเรื่อยๆ ว่ากันว่า...พวกมนุษย์น่ะล้วนแต่หลอกหลอนน่ากลัวยิ่งกว่าผีหลอกด้วยซ้ำไป

วันนี้ผมมีเรื่องผีที่แปลกประหลาดที่สุดมาเล่าให้ฟัง รับรองว่าไม่ซ้ำซากกับเรื่องผีที่คุณๆ เคยได้ยินได้อ่านมาแน่นอน แถมน่าสยองขวัญจนหัวใจแทบจะล่มสลายอีกต่างหาก!

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์สมัยวัยเด็กของผมเองจริงๆ ครับ

ที่บ้านคลองสำโรง ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ได้พบกับเรื่องราวสยองขวัญเข้าอย่างจัง แต่ด้วยความคึกคะนองตามประสาเด็ก จึงทำให้เหตุการณ์นั้นดูเหมือนจะสนุกสนานไปด้วยซ้ำ

บ่ายวันนั้น ผมกับพี่เลี้ยงที่คล้ายกับเพื่อนๆ อีก 2 คน ชวนกันไปเก็บผักบุ้งเลี้ยงหมูกลางทุ่งทางหลังบ้าน...ฟ้าครึ้มเพราะเมฆบังแสงแดด ทำให้ไม่ร้อนน่ารำคาญเช่นทุกๆ วัน

ขณะที่เดินคุยกันไปเก็บผักบุ้งที่กำลังแตกกอก้านสาขาคราฤดูฝน เดี๋ยวพบตรงนั้นกอหนึ่ง ตรงนี้กอหนึ่ง...เราช่วยกันเอาเสียมแซะอย่างสนุกสนาน

ผมเองใช้เวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ เก็บเปลือกหอยโข่งซึ่งมีเกลื่อนกลาด เพื่อเตรียมตัวเอาไว้เล่นกับเพื่อนฝูงในวันพรุ่งนี้...ผมเก็บหอยโข่งเพลิดเพลินจนทำให้แตกกลุ่มจากพี่ทั้ง 2 คนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

เมื่อไกลออกไปได้ไม่นาน เสียงแปลกๆ ก็พลันดังมากระทบหู เล่นเอาผมชะงักกึก หวิดสะดุ้งแน่ะเพราะไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ต้องเงี่ยหูฟังจนแน่ใจ....

นั่นคือ เสียงแม่หมูเรียกลูกหมู กะว่าอาจจะมีลูกประมาณ 5-6 ตัวเป็นแน่...จากเสียงที่ดังแว่วๆ ก็ดูเหมือนจะดังขึ้น...ดังขึ้นทุกที คาดคะเนว่าต้องอยู่ประมาณกอขนากข้างหน้าเป็นแน่...

ผมค่อยๆ ย่องเข้าไป...ใกล้เข้าไปๆ ก็กลับไม่เห็นมีอะไรเลย

ทันใดนั้น เสียงแม่หมูก็กลับไปร้องเรียกลูกหมูที่กอขนากถัดไปดื้อๆ

อารามดีใจว่าน่าจะเป็นหมูของใครมาหลงเป็นแน่ ผมจึงรีบวิ่งไปหาพี่เลี้ยงทั้ง 2 คน แล้วบอกให้มาช่วยกันต้อนหมู...หนูได้ยินเสียงร้องที่กอขนากโน่นแน่ะ!

พวกเราต่างตื่นเต้นดีใจ ทิ้งหาบผักบุ้งแล้วชวนกันจ้ำอ้าวไปทันที พี่เลี้ยงทั้งคู่บอกว่าได้ยินเสียงเช่นเดียวกับผมเหมือนกันครับ

เราต่างแยกย้ายกันโอบล้อมกอขนากที่ได้ยินเสียง เมื่อใกล้เข้าไปก็ลองเอาก้อนดินปาไปที่กอขนาก แต่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย...หน็อยแน่ะ! เสียงแม่หมูกลับไปดังต่ออีกทางโน้น...ใกล้ๆ กับบ่อร้างกลางทุ่ง

พี่เลี้ยงผมชะงักกึก มองหน้ากัน ดูท่าทางลังเลยังไงชอบกล ก่อนจะคว้ามือผมจูงกลับไปที่หาบผักบุ้ง แล้วเดินดิ่งชนิดที่เรียกว่า "ตีนขวิด" กลับบ้านทันที!

เมื่อมาถึงบ้าน ผมเห็นพี่เลี้ยงทั้งคู่อยู่ในอาการตกใจ ตาตื่น ปากคอสั่น ...เล่าเรื่องนี้ให้เตี่ยกับแม่ฟัง แม้ว่าจะเล่ารายละเอียดตะกุกตะกัก แต่ยังอุตส่าห์แย่งกันเล่า หน้าตาซีดเซียวแสดงว่าหวาดกลัวสุดขีดจนแทบไม่รู้เรื่อง

เตี่ยผมไปเอาน้ำมนต์ในขันลงหินมาให้ดื่มทั้ง 2 คน ครู่เดียวก็ถอนใจเฮือกใหญ่...ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้เป็นปกติ...เตี่ยนั่งสูบยาแล้วก็พูดเสียงขรึมๆ ว่า

"อีแล่ม(แฉล้มมั้ง) มึงแผลงฤทธิ์อีกแล้ว!"

ไม่มีใครถามอะไร ส่วนเตี่ยก็นั่งสูบยาเงียบๆ มองไปทางชายทุ่ง แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย!

วันต่อมา ผมเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นเตี่ยว่างก็เลยมานอนใกล้ๆ แล้วถามว่า "อีแล่ม" ที่เตี่ยเปรยเมื่อเย็นวานนั้นเป็นใครกัน ทำไมผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยล่ะ?

เตี่ยยิ้มนิดๆ ก่อนจะเล่าให้ผมฟัง...

"อีแล่ม" คือคนในหมู่บ้านสมัยที่ผมยังเด็กมาก เมื่อมันคลอดลูกออกมาแล้วลูกตาย ชาวบ้านเลยเอาไปฝังแบบโบราณที่บ่อกลางทุ่งแห่งนั้น ต่อมาเลือดลมมันทำพิษจนอีแล่มพลอยตามลูกไปอีกคน

เมื่อนำศพไปเผาที่วัดแล้ว ไม่นานนักก็มีคนต่างถิ่นเดินผ่านแถวบ่อกลางทุ่ง ที่เคยเป็นป่าช้าฝังศพทารกมาก่อน...คนพวกนั้นจะได้ยินเสียงแม่หมูร้องเรียกลูกๆ แบบที่ผมได้ยินมาเมื่อวันวานนี้เอง

เตี่ยกับแม่ก็เคยได้ยินมาก่อน แต่เตี่ยมีคาถาอาคมที่เคยเรียนรู้จากอาจารย์มาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ จึงตวาดด้วยอาคมจนปีศาจเงียบหายไปนาน นี่เพิ่งจะแสดงอิทธิฤทธิ์มาหลอกหลอนผู้คนอีกครั้ง

"เอ็งไม่ต้องกลัวหรอกลูก วันนี้เตี่ยไปตวาด (สะกดด้วยอาคม) มันมาแล้ว คงจะหมดฤทธิ์ไปอีกนานเชียวละ"

เฮ้อ...โล่งอกไปที! เป็นอันว่าไม่ต้องกลัวผีอีแล่มอีกต่อไป แต่ทำไมผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขนหัวลุกซู่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พับผ่าเถอะเอ้า!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  20 กันยายน 2550

19 กันยายน 2558

ผีเรือน

"นายหนุ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในห้องนอน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุแค่ 7 ขวบเท่านั้นเอง แต่จำได้ว่ามันเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต!

ตั้งแต่เกิดมา ผมมีความสุขจนกระทั่งย่างเข้า 7 ขวบนั่นแหละครับ พ่อผมเป็นหมอทำงานโรงพยาบาล ตอนเย็นก็เปิดคลินิกที่บ้าน แม่เป็นพยาบาล ทั้งสวยและใจดี พ่อกับแม่มีลูกคนเดียวคือผมนี่เอง ใครๆ ก็มักจะชมว่าผมฉลาดและแสบน่าดู

แน่ละ! พ่อแม่ตามใจทุกอย่าง ไหนจะคุณย่าคุณยายอีกล่ะ....

แต่แล้ว เค้าลางของเมฆร้ายก็คืบคลานเข้ามา มันมาในรูปผู้หญิงคนใหม่ของพ่อเธอชื่อ วนิดา ผมไม่มีวันลืม! ทีแรกที่รู้จักกันเธอก็ใจดีขี้เล่น หัวเราะเสียงดัง ร่าเริงแจ่มใสชอบชวนแม่ไปช็อปปิ้ง อยู่ไปอยู่มา อ้าว? พ่อเริ่มทะเลาะกับแม่...แม่ร้องไห้ ย้ายข้าวของออกไปบอกว่าจะไปอยู่กับคุณยาย ให้ผมอยู่กับพ่อ

ผมไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรอกครับ ตอนแม่ไปจากบ้าน ผมเกาะประตูดูตาแป๋ว คิดว่าไปเดี๋ยวเดียวแม่ก็กลับมา

คืนนั้น ผมต้องนอนคนเดียวเป็นคืนแรกในชีวิต!

ตั้งแต่เกิดมาผมนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ครับ ไม่พ่อก็แม่จะกอดผมไว้กับอก...มันอบอุ่นมาก และทำให้ผมนอนหลับฝันดีมาตลอด

จนกระทั่ง วนิดาเข้ามาในชีวิตของผม วันที่แม่ขนของออกไป เธอเข้ามาอยู่หน้าตาเฉย แล้วย้ายหมอนกับผ้าห่มของผมไปไว้อีกห้องหนึ่ง ความจริงห้องนี้พ่อก็ทำไว้ให้ผมนี่แหละ แต่ไม่เคยมีใครเข้าไปอยู่ ทิ้งว่างไว้เฉยๆ มีเตียงมีตู้พร้อม

"หนุ่มโตมากแล้ว นอนคนเดียวนะจ๊ะคนเก่ง" วนิดาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน

คืนนั้นผมนอนร้องไห้...ยังไม่พร้อมที่จะนอนคนเดียวนี่ครับ มันกะทันหันจริงๆ แม่ไปค้างบ้านคุณยาย จะไปกี่คืนก็ไม่รู้ ผมไม่คิดเลยว่าแม่ไปแล้วจะไม่กลับมาที่บ้านนี้อีก แต่ผมก็คิดถึงแม่อย่างแรง

เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ กว่าผมจะเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพใหม่

วนิดากลายมาเป็นผู้ช่วยพ่อ แม่มารับผมไปเที่ยว ไปบ้านคุณยายเสมอ บ้านคุณย่าบ้าง แล้วก็จะกลับมาส่งที่บ้านพ่อ

เวลาแม่กับพ่อคุยกัน วนิดาจะโกรธมากทุกครั้ง ผมได้ยินเธอทะเลาะกับพ่อแรงๆ เธอกลัวพ่อจะคืนดีกับแม่น่ะครับ

คืนหนึ่ง ผมเข้านอนตามปกติ จำได้ว่าวันนั้นอบอ้าวพิกล แอร์ก็ไม่เย็น...ผมรู้สึกคล้ายจะไม่สบาย มันอึดอัดมาก ในห้องมืดสนิทเพราะดับไฟแล้วและนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง ...สักพักก็ถีบผ้าห่มออก เหงื่อแตกซิก

ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้! มันดังอยู่ในห้องผมนี่แหละ ตรงมุมห้องติดๆ กับตู้เสื้อผ้า!

และแล้ว ก็มีเสียงเขียวเรืองๆ เหมือนพรายน้ำในนาฬิกา มันปรากฏขึ้นพร้อมกับมีร่างของผู้หญิงตัวเขียวๆ ผมปรกหน้าปรกตา นั่งกอดเข่าและเงยหน้ามองผมอย่างเชื่องช้า...

ผมแหกปากลั่น กระโจนลงจากเตียงไปทุบห้องพ่อ...พ่อเพิ่งจะเข้านอน หน้าตายู่ยี่ ออกมาถามผมว่าเป็นอะไร? ผมเล่าว่ามีผีในห้องผม แต่เล่ายังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดอย่างโกรธๆ ว่าผมคิดไปเอง ไม่มีอะไรหรอก พ่อหันไปบอกเธอว่าให้ผมนอนด้วยเถอะเพราะดูกลัวจริงๆ

วนิดาโมโหใหญ่ เธอเกรี้ยวกราดว่าผมโตแล้ว แถมต่อว่าพ่อว่าตามใจลูกจนเสียเด็ก พอถูกหลอกว่าผีหลอกแค่นี้ก็ยอมแพ้ รับเอาผมมานอนด้วย!

"เนี่ยนะ...แม่สอนมาแหงๆ ให้มาเป็นก้างขวางคอ!"

พ่อปิดประตูใส่หน้าผม...เมื่อโตขึ้นผมจึงเข้าใจว่าพ่อไม่อยากให้ผมได้ยินคำนั้น พ่อไม่ได้ตั้งใจทำร้ายความรู้สึกของลูกหรอกครับ แค่ปิดประตูไม่ให้คำพูดแสบร้อนมาเข้าหูลูก....แต่จากนาทีนั้น วนิดาคงโผเข้าจิกข่วนและทะเลาะกับพ่อจนเปิดประตูออกมาหาผมไม่ได้อีก

มืดก็มืด กลัวผีก็กลัว...ผมวิ่งลงมาข้างล่าง ไปทุบประตูห้องพี่ทองดีกับป้าสม ขอนอนด้วยเพราะผีหลอก!

ใครๆ หาว่าผมฝันร้าย ...คืนต่อมาป้าสมต้องขนที่นอนหมอนผ้าห่มมานอนกับผมทั้งคืน...แต่ผลปรากฏว่าป้าสมก็เห็นผีผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน แกถูกอำขณะผมหลับสนิท

วนิดาได้ยินคนในบ้านเล่าเรื่องผี เธอโมโหและท้าว่าจะนอนในห้องนั้นพิสูจน์สักคืน ถ้าไม่มีอะไรละก้อ...น่าดู!

ได้เลยครับ วนิดาเข้านอนในห้องผม โดยผมไปนอนกับพ่อ...กลางดึกคืนนั้นเราก็ได้ยินเธอกรีดเสียงร้องลั่น พอวิ่งไปดู เธอโผเข้ากอดพ่อตัวสั่นงันงก...ตั้งแต่นั้นมาเธอไม่เหมือนเดิมอีกเลย เพราะกลายเป็นคนผวาง่ายๆ ซึมเศร้าและอารมณ์เสียบ่อยมาก

บางคืนเธอส่งเสียงเอะอะกลางดึกว่ามีผู้หญิงมาดึงขาบ้าง มายืนขวางทางบ้าง

ตัวผมน่ะ พอมีเรื่องแม่ก็เอาไปอยู่ด้วยที่บ้านคุณยาย แล้วผมก็อยู่กับแม่มาตั้งแต่นั้นจนบัดนี้...แม่มีผม และยังครองตัวอยู่คนเดียว ไม่ได้แต่งงานใหม่ พ่อส่งเงินเลี้ยงผมกับแม่ให้อยู่อย่างสุขสบาย แม้พ่อกับแม่ไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ยังเป็นเพื่อนกัน ...พ่อแต่งงานใหม่ แต่ไม่ใช่กับวนิดาคนนั้น...

แม่จอมแสบกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ ต้องไปอยู่บ้านต่างจังหวัด ได้ข่าวตอนหลังว่าเธอกินยาฆ่าหญ้าตายเสียแล้ว

จนป่านนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าผีผู้หญิงที่มาหาในห้องผมเป็นใคร? แต่คุณย่าคุณยายเคยบอกว่า คงเป็นเจ้าที่เจ้าทางท่านหมั่นไส้ยายวนิดาน่ะครับ...ซ้าธุ!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  19 กันยายน 2550

18 กันยายน 2558

บ้านตาดาว

"สุนิศา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านจอมเจ้าชู้

สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร ซอยอุดมสุข บางนา ที่ปากซอยมีทั้งโรงแรมและบังกะโลสุขใจ ส่วนปลายซอยมีสโมสรธนาคารกรุงเทพ สองข้างทางมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวจนน่ากลัว ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

น่าแปลกที่บ้านเรือนกลับไปหนาตาทางก้นซอยมากกว่าค่ะ...แต่ยังไม่คับคั่งหนาตาเหลือเชื่อเหมือนปัจจุบัน

พ่อแม่ทำงานรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ แม้ว่าจะอยู่ไกลถึงคลองเตยก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เพราะมีรถบัสขององค์การมารับ-ส่งพนักงานทุกคนถึงหน้าซอยต่างๆ ในหมู่บ้าน ส่วนเด็กๆ ก็เดินไปโรงเรียนที่เขาสร้างไว้พร้อมๆ กับบ้านจัดสรรค่ะ

บ้านตรงข้ามกับเราอยู่กันแค่สองคนผัวเมีย คือลุงดาวกับป้าลำยอง

"ลุงดาว" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพ่อดิฉัน เคยได้ยินกิตติศัพท์มานานว่าแกเจ้าชู้ขนาดหนัก ชนิดที่ขุนแผนเรียกพี่ก็แล้วกัน!

ความจริงลุงดาวไม่ถึงกับหล่อเหลาหรอกค่ะ รูปร่างสูงโปร่งผิวขาว หน้าตาติดยิ้มแบบคนอารมณ์ดี คุยสนุก เพื่อนๆ ล้วนแต่ชอบพอกันทั้งนั้น พวกผู้ชายที่ชื่นชมว่าแกเก่ง ส่วนผู้หญิงก็ชอบพูดว่า...รู้ก็รู้ว่าเขามีเมียแล้ว อยากไปรักไปชอบเขาเองนี่นา

แม่ดิฉันเรียกแกลับหลังว่า "นายดาว" บ้าง "ตาดาว" บ้าง ทั้งๆ ที่แกอายุราว 40 ปี แก่กว่าพ่อแม่ดิฉันราว 3-4 ปีเท่านั้น

ผัวเจ้าชู้กับเมียขี้หึงคงเป็นของคู่กันนะคะ!

เราได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งบ่อยๆ ป้าลำยองต่อว่าไปร้องไห้ไป บางครั้งก็บอกว่า...ถ้าอยากมีลูกจริงๆ จะไปขอเขามาเลี้ยงก็ได้! แม่บอกว่าเมียลุงดาวเป็นหมันค่ะ ฝ่ายผัวชอบอ้างว่าอยากมีลูก จนต้องจำใจมีเมียเล็กเมียน้อยแต่ไม่เห็นลูกสักที...ลุงดาวอาจจะเป็นหมันก็ได้

ไม่ช้าป้าลำยองก็ยอมแพ้ หอบผ้าผ่อนแยกทางไปอยู่กับญาติที่คลองตัน ได้ข่าวว่าลุงดาวไปเยี่ยมเยียนเสมอแบบคนมีน้ำใจ ถึงจะเลิกร้างกันไปแล้วก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนฝูงกันอยู่...

แม่บอกว่าตาดาวแกก็ชอบไปเท่านั้นเอง เพราะจะได้สำเริงสำราญกับสาวๆ อีกหลายคนได้อย่างเต็มที่ มาหากันถึงบ้านช่องได้สะดวกมาก

ในซอยแยกบ้านเราเป็นบ้านสองชั้นอยู่ติดทางเดิน มีต้นมะขามเทศเป็นรั้วแต่ไม่มีประตู ทำให้เข้าออกได้ง่าย ชั้นล่างเป็นห้องครัวกับห้องน้ำ ด้านหน้าลาดซีเมนต์โล่งๆ บางบ้านก็ตั้งโต๊ะกินข้าว แต่มักจะตั้งวงกันที่ระเบียงแคบๆ ติดกับหัวบันไดที่ติดลูกกรงกันสุนัขเข้าบ้านมากกว่าค่ะ

ช่วงนั้นยังมีที่ว่างเหลืออยู่หลายแปลง เพราะซื้อแต่ที่ดินไว้โดยคิดจะปลูกบ้านเองทีหลัง ทำให้บ้านเรือนในซอยแยกค่อนข้างจะห่างกันพอสมควร มีทั้งต้นแค ต้นมะละกอ ให้คนในซอยเก็บกินได้ตามใจชอบ หน้าฝนมีดอกโสนเหลืองสะพรั่งแทบทุกแปลง

ตอนค่ำๆ ลุงดาวจะมายืนเกาะลูกกรงระเบียงสูบบุหรี่แดงวาบๆ บางคืนก็มีผู้หญิงมาค้างด้วย เห็นเงาที่ม่านหน้าต่างห้องนอนอยู่เป็นประจำ...ลุงดาวคงอยากจะให้ใครเห็น พอมีสาวมาหาก็พาเข้าห้องนอนเงียบ... ชาวบ้านเห็นเสียจนไม่อยากจะเห็น

ผู้หญิงมาหาแกเอง ใครจะไปว่าอะไรแกได้เต็มปากล่ะคะ?

บางวันมีผู้หญิงมาหาลุงดาวถึงสองคน แม่บอกว่าทำงานอยู่ด้วยกันทั้งคู่...ไม่ช้าก็มีเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังขึ้น ดิฉันได้ยินแต่เสียงผู้หญิงเกรี้ยวกราดไม่ลดราวาศอก ลุงดาวคอยร้องห้าม พ่อบอกว่า...นี่ไง รถไฟชนกัน!

คืนเกิดเหตุตรงกับวันเสาร์

ดิฉันเห็นลุงดาวยืนเกาะราวลูกกรงสูบบุหรี่แดงวาบๆ ในห้องนอนปิดไฟเงียบ...แม่บอกว่าผู้หญิงที่มาเมื่อคืนวันศุกร์ หรือวันที่ "เงินวีกออก" กลับไปแต่เช้า...คืนนี้ตาดาวคงนัดแฟนใหม่มาอีกคน! พ่อพูดปนหัวเราะว่า นึกๆ ก็น่าอิจฉาพี่ดาวเหมือนกันนะ ถ้าไม่มีรถไฟมาชนกันโครมครามเหมือนอย่างคืนนั้นอีกน่ะ

แม่ค้อนให้ ชวนกินข้าวกันที่ระเบียงจนอิ่มหนำ เราช่วยกันยกถ้วยชามลงไปล้างในครัว ลมพัดแรง ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนมาจากก้นซอย รับกันเป็นทอดๆ มาถึงหน้าบ้านเราไปถึงถนนใหญ่...อากาศหนาวสะท้านจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว

คืนนั้นแม่เข้านอนก่อน เพราะพรุ่งนี้ว่าจะไปตลาดนัดท้องสนามหลวง ...เรานั่งรถสองแถวไปถึงปากซอยอุดมสุขก็ขึ้นรถเมล์สาย 2 บางนา- ปากคลองตลาดไปถึงจุดหมายได้เลย

ดิฉันนั่งฟังวิทยุกับพ่อที่ระเบียง มองเห็นลุงดาวยังสูบบุหรี่แดงวาบๆ อยู่ที่เดิมพ่อก็หันไปมอง ร้องตะโกนว่า...แฟนยังไม่มาหรือพี่ดาว? แกชูมือขึ้นโบกให้เราแล้วทำท่าคล้ายกวักมือเรียก ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินหายเข้าไปในห้องนอนใหญ่

เราไม่สนใจหรอกค่ะ ฟังวิทยุกันต่อ แต่เสียงสุนัขเห่าหอนน่ารำคาญ แถมอากาศเย็นยะเยือกลงทุกที พ่อเลยชวนดิฉันเข้านอน...พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า!

ตอนที่ลุกเดินตามพ่อเข้าห้อง ดิฉันยังเห็นลุงดาวกลับมายืนสูบบุหรี่แดงวาบๆ ตามเดิม แกอาจจะรอแฟนอยู่จริงๆ ก็ได้...คืนนั้นน่าแปลกที่เสียงหมาหอนดังระงมแทบตลอดคืน

วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านที่ผ่านมาแวะหาลุงดาว เห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่เลยขึ้นบันไดไปดู...ลุงดาวกลายเป็นศพอยู่บนเตียง หน้าอกถูกแทงเกือบสิบแผล มีเลือดแดงฉานแห้งกรัง ผู้คนแห่มามุงดูแทบหมดหมู่บ้าน...ตำรวจบอกว่าแกตายมาตั้งแต่คืนวันศุกร์ อย่างช้าก็เช้ามืดวันเสาร์ สงสัยว่าผู้หญิงที่มาหาจะเป็นฆาตกร หรือไม่ก็มีคู่รักของฝ่ายหญิงตามมาฆ่าเพราะความหึงหวง ก่อนจะหลบหนีไป

พ่อแม่ดิฉันหน้าตาซีดเซียวเต็มที ได้ยินเสียงพ่อครางว่า...ที่พี่ดาวโบกมือเรียกก็คงจะให้เราไปดูศพของแกน่ะซี! อย่างนี้คงไม่เรียกโดนผีหลอก แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่ทราบค่ะ?!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  18 กันยายน 2550

17 กันยายน 2558

เปรตวัดสุทัศน์

"นายแป๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเสาชิงช้า

ผมเคยเป็นอารามบอยตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกจนนมขึ้นพาน สาเหตุเพราะพ่อแม่มีลูกเยอะแยะปานนิ้วมือ ทำมาหากินสายตัวแทบขาดก็ยังไม่พอเลี้ยงลูก เคยได้ยินพ่อบอกกับแม่ว่าพวกลูกๆ น่ะมันกินเก่งกันเหมือนยัดพลุแน่ะ!

จากชุมพร "ประตูภาคใต้" มาสู่วัดสุทัศน์ ที่มีเสาชิงช้าโดดเด่นเป็นสง่า ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ พอๆ กับพระปรางค์วัดอรุณนั่นแหละครับ

จุดหมายก็คือมาเรียนหนังสือ อยู่กับหลวงลุงของผมที่คณะ 3 ชุมทางยอดเซียนที่ดอดเล่นหยอดหลุม ทอยกองเป็นประจำ ชีวิตราบรื่นชื่นบานมาหลายปีจนแตกเนื้อหนุ่ม เคยเห็นรุ่นพี่เขาไปเที่ยวตอนกลางคืน กลับมาหัวเราะคิกคักกัน ซุบซิบกันว่าคืนต่อไปจะไปเที่ยวซอยนั้นบ้านโน้น ...แถวหลังโบสถ์พราหมณ์นี่คือชุมทางนักเที่ยวเชียวละคุณ

ซอยหมอกหยก กับ บ้านประตูเหล็ก กำลังดังไม่หยอก จะบอกให้

ก็...แหม! พูดตรงๆ ก็คือไปเที่ยวซ่องตามประสาวัยรุ่นวัยคะนอง จนพวกผมต้องอาฆาตไว้ว่า...โตเมื่อไหร่จะไปเที่ยวล้างแค้นให้จงได้

พวกรุ่นพี่ที่ว่าเป็นนักเที่ยวน่ะไม่ใช่เกเรเสเพลอะไรนะครับ เรียนอาชีวะก็มี เรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่น้อย บางคนมีเงินทองใช้ฟุ่มเฟือย ทั้งเที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ เข้าโรงนวด ไปเล่นสนุ้กแถวสะพานมอญก็มี ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ไม่ใช่ว่าร่ำรวยอะไร

กระทั่งรุ่นผมเติบใหญ่ขึ้นจึงได้รู้ความลับสำคัญ!

พวกเราเที่ยวตามบ้านตาม(หลัง) โบสถ์จนปรุ ขนาดต้องกินยาฉีดยาไปตามๆ กัน สมัยนั้นกินยาก็หาย ถ้าหนักหน่อยต้องพึ่งกาน่าซักเข็มสองเข็ม ส่วนมากมักไปหาหมอสำเริงที่หน้าโรงหนังเฉลิมกรุง หมอดูปุ๊บก็สั่งให้ขึ้นนอนคว่ำบนเตียงปั๊บ

เจ็บนะครับ แต่ไม่น่าหวาดเสียวเหมือนเอดส์สมัยนี้หรอกน่า ติดโรคมหากาฬนี่มาเมื่อไหร่ก็นับถอยหลังได้เลย อย่าลืม "ยืดอก พกถุง" ไม่งั้นตายกับตายลูกเดียว!

อ๋อ...ความลับที่ว่าพวกรุ่นพี่มีเงินใช้เหลือเฟือน่ะหรือครับ? ไม่มีอะไรมากหรอก เที่ยวโรงนวด เที่ยวบาร์ จนได้แฟนเป็นหมอนวด เป็นพาร์ตเนอร์ คุณเธอหลงรักแฟนหนุ่มรูปหล่อ หรือไม่ก็ปากหวานจนมดตอมปาก นอกจากจะให้เงินให้ทองไว้ใช้คล่องๆ แล้ว หลายรายยังอุตส่าห์ส่งเสียให้เล่าเรียนจนรับปริญญาด้วยซ้ำ

ที่รู้ประวัติก็เพราะรุ่นผมมีผู้เจริญรอยตามรุ่นพี่หลายคนเหมือนกันครับ แต่ฝ่ายชายก็มีทั้งทิ้งขว้างไปหาคนใหม่ที่คิดว่าเหมาะสมกว่า ลืมหมดสิ้นถึงบุญคุณของสาวราตรี กับมีทั้งอยู่กินด้วยกันจนมีลูกมีเต้า...ถือซะว่าดวงใครดวงมันละกัน

อ้าว? เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกไปจนได้

เสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์นั่นแหละครับ ผีดุอย่าบอกใครเชียว!

ผมอยู่วัดตั้งแต่เด็กจนแตกเนื้อหนุ่มน่ะ ได้ข่าวว่าวัดในกรุงเทพฯ ที่มีเปรตสิงสู่มีอยู่แค่ 2 วัด คือวัดสระเกศกับวัดสุทัศน์นี่เอง

คำว่า "เปรตวัดสุทัศน์" มักจะเล่าตรงกันว่าตอนดึกๆ เคยเห็นเดินโย่งเย่ง ส่งเสียงหวีดร้องกรี๊ด...กรี๊ด...เสียงแหลมเล็กโหยหวนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ พอเงยหน้ามองเห็นก็ตกใจแทบจะสิ้นสติไปตามๆ กัน

คือเปรตอสุรกายที่ว่าน่ะตัวสูงปรี๊ดยิ่งกว่าเสาชิงช้าซะอีกแน่ะ!

ลองคิดๆ ดูทีหลังก็เห็นว่าเข้าเค้า คือเล่าให้คนฟังเห็นภาพว่า...เสาชิงช้าสูงลิบลิ่วปานนั้น แต่เปรตยังสูงกว่า! คิดดูละกันว่าเปรตวัดสุทัศน์จะสูงแทบเสียดฟ้าขนาดไหน?

คนที่เจอเปรตเข้าจังๆ น่ะไม่มีใครหยุดพินิจพิจารณาหรอกครับ ว่าปากมันจะเล็กเท่ารูเข็มเพราะบาปกรรมที่ด่าพระ ด่าพ่อแม่ หรือมือทั้งสองจะโตเท่าใบตาลเพราะเคยตบตีผู้ให้กำเนิดหรือเปล่า? มีแต่เผ่นหนีกระเจิดกระเจิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน

อกเขาอกเรานะครับ เป็นผมเจอเปรตเข้าจังๆ ไม่ว่าเปรตวัดไหน ผมก็คงวิ่งหน้าตั้งปานจะเย้ยนักวิ่ง 100 เมตรให้ได้อายเหมือนกันแหละเอ้า!

วันดีคืนร้ายก็ต้องวิ่งปอดอ้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เจ้าโทน คนท่าแซะที่ถือว่าบ้านเดียวกัน ชวนผมไปดูหนังมันๆ รอบคำที่มูลไลต์ฉาย 2 เรื่องควบ...กว่าจะหนังเลิก ออกมาหาผัดไทยกินก็ห้าทุ่มกว่า...เดินโต๋เต๋ตามฟุตปาธกลับอาราม พลางคุยกันถึงดาราสาวสวย ไม่ว่านางเอก นางรอง หรือดาวยั่ว กันอย่างออกรสออกชาติ ทำนองว่า ...ทำไมคุณเธอถึงชอบล่อนจ้อน ผ้าผ่อนหลุดง่ายนักก็ไม่รู้...

มองเห็นเสาชิงช้าสูงตระหง่านเบื้องหน้า ท้องฟ้าคืนแรมมีแต่แสงดาวระยิบระยับ ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รถราดูบางตาลงทุกที

จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กล่องลอยอยู่ในอากาศ ฟังเหมือนเสียงใครเป่านกหวีดไกลๆ ผมยังไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากจะเดินเร็วขึ้นเพราะอากาศเย็นยะเยือกยามดึกชวนให้คิดถึงที่นอนอบอุ่นเต็มประดา

"ปะ...ปะ...เปรต" เจ้าโทนครางกระเส่า แหงนหน้าเถ่อ เล่นเอาผมชะงักกึกพลอยเงยหน้ามองตามมันไปโดยไม่รู้ตัว...

ตอนแรกก็เห็นแต่เสาชิงช้าโดดเด่น แต่เอ...ทำไมคืนนี้มีหลายเสาจัง แถมสองเสายังขยับไปมาได้...เท่านั้นแหละครับ เหมือนฟ้าถล่มโครมลงมา เจ้าโทนร้องว่า "วิ่งโว้ย" พริบตาเดียวก็กลับได้ยินเสียงมันร้องจ้า "รอด้วย ไอ้แป๊ะ...รอกูด้วย!"

ไม่ได้รอหรอกครับผม เผ่นอ้าวเข้าวัดไปนอนคลุมโปงครางฮือๆ ไอ้โทนตะกายเข้ามาแย่งผ้าห่มจนต้องมุดอยู่ในโปงเดียวกันไปตลอดคืน

เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เป็นอารามบอยเกือบ 30 ปีแล้วครับ แต่ได้ข่าว กทม.สร้างเสาชิงช้าขึ้นใหม่ จะจัดพิธีตรียัมปวาย "โล้ชิงช้า" ในปีหน้า หลังจากเลิกโล้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ทำให้นึกถึงเรื่องขนหัวลุกที่เสาชิงช้าในอดีตน่ะซี...บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  17 กันยายน 2550

14 กันยายน 2558

ผีไฟไหม้

"ประสงค์ ลี้สุวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเสาตกน้ำมัน

สมัยหนุ่ม ผมเรียนมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาสารคามปี 4 เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด เพราะมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูง พวกเราดำเนินกิจกรรมต่างๆในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มใจ

บรรดารุ่นน้องล้วนให้ความไว้วางใจในทุกกิจกรรม เนื่องจากคณะของพวกเราทำงานกันจริงจัง แถมประกันคุณภาพได้ รวมไปถึงการให้บริการแก่รุ่นน้องด้วยครับ

ข้อสำคัญก็คือพวกเราทั้งรักและสามัคคีกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ราคาคุยเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ให้ฝึก "การตรวจสอบอากาศ" ตลอด 24 ชั่วโมง จึงต้องเก็บข้อมูลตอนกลางคืน จะปลีกตัวไปไหนไม่ได้เด็ดขาด แต่แทนที่จะลำบากลำบน ที่ไหนได้กลับมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์มาก เพราะรุ่นน้องๆ ทุกชั้นปีที่ผ่านมาจะมีอาหารคาวหวานติดมือมาฝากพวกเราอย่างมากมายแทบไม่น่าเชื่อ

และนั่น..เป็นช่วงที่น่าภาคภูมิใจมากจริงๆ ครับ

เขาว่าความสุขย่อมมีความทุกข์รอคอยอยู่ข้างหน้าเป็นสัจธรรม เหตุการณ์กลับพลิกขาวเป็นดำไปซะฉิบ เมื่อนักศึกษาพิเศษ (ศึกษาธิการ) สมทบ เกิดไม่พอใจในอาจารย์คณิตศาสตร์ ถึงกับเดินขบวนประท้วงยกใหญ่ แยกขั้วระหว่างนักศึกษากับอาจารย์อย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวนี้รุนแรงและร้าวฉานถึงขั้นปิดการเรียน จนทบวงมหาวิทยาลัยฯ ต้องมาเป็นท้าวมาลีวราชตัดสินให้ "ผิดทั้งคู่ ถูกทั้งคู่"

อาจารย์ถูกย้าย! นักศึกษาให้ย้ายตามใจปรารถนา!!

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงต้องรีบเดินทางเข้ากทม.เพื่อส่งข่าวให้เพ็ญโฉม เพื่อนสาวคนหนึ่ง แต่ปรากฎว่าแม่เพื่อนสาวคนนี้เธอกลับทางไปมหาสารคามซะแล้ว..เรียกว่าสวนทางกันเฉยเลน

เมื่อมาถึงบ้านพี่สาวของเธอที่บางแค ผมก็ไม่มีทางไปไหนได้อีกแล้วละครับ..พี่ของเพ็ญโฉมเลยชวนผมค้างคืนที่บางแคเสียก่อน รุ่งขึ้นถึงค่อยเดินทางกลับบ้านที่อ่างทอง

หลังจากกินข้าวเย็นก็ดูทีวี พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบ รวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ พอหอมปากหอมคอ ผมก็ขอตัวพี่สาวเพื่อนผู้เมตตา ช่วยจัดที่นอนให้ผมไว้ชั้นบนตรงเลยบันไดขึ้นไปหน่อยเดียว

ก่อนนอน ผมไหว้พระตามความเคยชินที่กระทำทุกวันตลอดมา!

คืนนั้นแปลกมาก ความคิดผมสับสนฟุ้งซ่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามข่มตาหลับเท่าไรก็ไม่หลับได้สักที คงเป็นเพราะใจพะวงคิดถึงเพ็ญโฉมว่า เมื่อไปถึงมหาสารคามแล้วเธอจะไปค้างที่ไหน เพราะหอพักมหาวิทยาลัยปิดหมดแล้ว

เพื่อนสาวของผมจะกลับมาในคืนนี้หรือเปล่าหนอ..

จิตเริ่มเข้าสู่ภวังค์ เคลิ้มๆ ไป ก็พอดีได้ยินเสียงลมกรรมโชกยอดไม้ข้างบ้านดังกราวใหญ่ อากาศหนาวเย็นผิดปกติจนน่าหวาดระแวง

ทันใดนั้น ผมก็เห็นเงามืดดำคล้ำเคลื่อนมาทางปลายเท้าด้านบันได ใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่งค่อยๆ มาข้างมุ้ง แน่ใจว่ามันจ้องมองผมอยู่ตลอดเวลาขณะเคลื่อนมาทางหัวนอน..

ใจเต้นครึกโครม ปากคอแห้งผากไปหมด ผมพยายามจ้องมองเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม..ร่างประหลาดนั้นเป็นใครกันแน่? ทำไมแอบเข้ามาในตอนดึกดื่นแบบนี้ล่ะ?

และแล้วผมก็ได้เห็นร่างนั้นสมใจนึก!

มันเป็นร่างผ่ายผอม ผิวหนังดำเกรียมกระดำกระด่างคล้ายไฟไฟม้ แต่ยังไม่เห็นหน้าชัดเจนนัก ต้องอาศัยแสงไฟที่ลอดมาทางช่องแสงของหน้าต่าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี..

คุณพระช่วย! ร่างนั้นเอื้อมมือเข้ามาใกล้ ทำท่าจะเปิดมุ้งเข้ามาให้ได้ เล่นเอาผมนอนตัวแข็งทื่อ เหงื่อหยดเผาะเพราะความหวาดกวัว..เสียงลมคร่ำครวญมาจากภายนอก กับภาพสยองนั้นทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า..มันไม่ใช่คนเป็นๆ อย่างเรา!

อะไรนั่น..มือที่เอื้อมมาจะเปิดมุ้งต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหดกลับด้วยอาการหวาดสะดุ้งเห็นได้ชัด..คุณพระคุณเจ้าที่เรากราบไหว้อยู่ต้องคุ้มครองอย่างแน่นอน

ผมรวบรวมจิตให้เป็นสมาธิ ท่องบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณให้แม่นยำ แล้วน้อมจิตรำลึกถึงหลวงปู่ (หลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่) ปรากฏว่าร่างดำมืดน่ากลัวนั่นค่อยๆ เคลื่อนออกไปทางฝาบ้าน แล้วก็เลือนหายไปในที่สุด

คืนนั้นผมตาแข็ง ไม่ได้หลับนอนทั้งคืน คิดแต่ว่าเราจะรับสถานการณ์ได้อีกไหม? ถ้าเกิดร่างอุบาทว์คล้ายไฟไหม้นั่นย้อนกลับมาอีก แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดซ้ำขึ้นอีกเลย

จนกระทั่งเช้ามืดก็ได้ยินเสียงแท็กซี่มาจอด เสียงเพ็ญโฉมเรียกพี่สาวให้เปิดบ้าน..เธอเดินทางจากมหาสารคามมาถึงบ้านแล้ว แต่ผมซิยังต่อสู้กับความหวาดกลัวของตัวเองในมุ้งอยู่เลย..เพ็ญโฉมเข้ามาปลุกเก็บมุ้งพับผ่าห่มให้แล้วถามว่า..นอนไม่หลับเลยหรือไง?

ผมพยักหน้า เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยก็เลยเล่าเรื่องสยองให้ฟัง พี่สาวย่นคิ้วนิดๆ พยักหน้าคล้ายจะเข้าใจสาเหตุ บอกว่า..บ้านนี้มีเสาตกน้ำมันอยู่ต้นหนึ่ง จะพาไปดู!

แปลกแต่จริง..ที่เสาด้านริมมีน้ำมันไหลเยิ้มเป็นทาง ผมลองเขี่ยมาดมดู ปรากฏว่ามีกลิ่นเหมือนน้ำมันยางที่ใช้ผสมชันยาเรือไม่มีผิด..เขาเล่าว่าคนแปลกหน้าเคยเจอแบบผมมาก่อน ไม่ว่าใครก็ตามที่มาค้างบ้านนี้มักจะเจอดีทั้งนั้น แต่เจ้าของบ้านกลับไม่เคยเจอะเจอเลยสักครั้ง

คราวนี้ผมเลยเล่ารายละเอียดถึงรูปลักษณ์ที่เห็นเมื่อคืนให้ฟัง พร้อมทั้งกิริยาท่าทีต่างๆ โดยละเอียด เพ็ญโฉมกับพี่สาวถึงกับทำตาโตอ้าปากค้าง..

เอาละซี..ทีนี้เจ้าของบ้านถึงกับขนหัวลุกซะเองเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  14 กันยายน 2550

13 กันยายน 2558

วิญญาณเจ้าที่

"เจื้อยแจ้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรือนหอ

นกแต่งงานกับโจ้เมื่อสองเดือนที่แล้วนี่เอง เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน...งานแต่งงานที่หรูหราอลังการจัดที่เรือนหอของเธอแถวพุทธมณฑล เป็นเรือนหอที่สวยงามน่าอยู่มากแต่คู่บ่าวสาวใช้เป็นวิมานดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ได้ไม่ถึง 3 วันก็ต้องเผ่น!

คืนนั้นดิฉันจำได้...กลางดึกของคืนวันเสาร์เกือบตี 2 แล้วค่ะ แต่ดิฉันยังไม่ทันเข้านอนเพราะกำลังดูวิดีโอเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงบีบแตรลั่น...เสียงรถของนกแน่ๆ บ้านพ่อแม่นกหรืออีกนัยหนึ่งคือคุณลุงคุณป้าของดิฉันที่อยู่บ้านติดกับเรา

อะไรกันล่ะ...แต่งกันไม่ทัน 3 วันเกิดเรื่องแล้วเรอะ?

เสียงคุยเอะอะทำให้ดิฉันลงไปดู ปรากฏว่านกกับโจ้กำลังแย่งเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้พ่อแม่ของเธอฟัง นกตื่นเต้นตกใจ ตาโต หน้าซีด ปากสั่นเชียว

ไม่ได้ทะเลาะกันหรอกค่ะ ยังรักกันจี๋ แต่โดนผีหลอกมาน่ะ!

ดิฉันหัวเราะเพราะไม่เชื่อเรื่องผี...ขอสรุปอย่างรวบรัดนะคะว่า ดิฉันเองแหละรับอาสาไปนอนเฝ้าบ้านให้นก เพราะข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ยังอยู่ที่นั่นครบครัน พวกเขาเป็นห่วงบ้านแต่ไม่กล้าไปอยู่! ดูเอาเถอะ กลัวอะไรก็ไม่รู้...เป็นเอามากซะด้วย

สายๆ วันอาทิตย์ นกกับโจ้ขับรถนำหน้ารถดิฉันไปที่บ้านนั้นเพื่อขนเสื้อผ้าออกมา แล้วพูดเปรยๆ ว่า ยกบ้านให้ดิฉันอยู่ตามสบาย

"พี่แจ้ว...พี่จะอยู่คนเดียวได้เรอะคะ?" นกถามอย่างเกรงใจ น้ำเสียงดูหวาดหวั่นไม่น้อย ดิฉันตอบว่า ได้สิ ผีจะไม่มาหลอกคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีจริงมั้ย? ขอให้นกห่วงข้าวของในบ้านดีกว่า พี่จะเฝ้าให้! อีกอย่างคือจะพิสูจน์ให้นกเห็นด้วยว่า จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรน่ากลัว

ดิฉันกับโจ้และนกคุยกันนาน แต่คุยที่นอกบ้านนะคะ นกน่ะไม่ยอมนั่งในบ้านนานเกินความจำเป็น เธอหวาดระแวงไปทุกอย่าง...อะไรจะขนาดนั้น!

ทั้งคู่จำต้องสวัสดี บ๊ายบายกลับไปเมื่อดิฉันรับรองอย่างแข็งขันว่า อยู่ได้แน่ และไม่ต้องห่วงเรื่องงานการด้วย เพราะดิฉันทำงานอิสระ ไม่จำเป็นต้องไปออฟฟิศทุกวันอยู่แล้ว

เมื่อนกกับโจ้กลับไป ดิฉันก็รู้สึกสบายๆ ยามบ่ายนั้นแสงแดดเจิดจ้า ดิฉันเปิดแอร์ และเอาเครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาดบ้าน

คู่แต่งงานใหม่คู่นี้ จ้างคนมาทำความสะอาดแบบมาเช้ากลับเย็น เฉพาะวันจันทร์ พุธ ศุกร์เท่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นดิฉันจึงครองบ้านอย่างเสรี ดูดฝุ่นไปก็เปิดเครื่องเสียงซะลั่นบ้าน

ขณะดูดฝุ่นเพลินๆ ไฟก็ดับ เครื่องเสียงและเครื่องดูดฝุ่น รวมทั้งแอร์คอนดิชั่นหยุดทำงานไปชั่วขณะ สรรพสิ่งเงียบกริบลงฉับพลัน ดิฉันชะงักงันไม่ถึงอึดใจไฟก็มา...เครื่องไฟฟ้าทุกอย่างกระตุกเล็กน้อยเพื่อเดินเครื่อง ก่อนทำงานของมันต่อไป

ตกใจนิดๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่อดนึกไม่ได้ว่า...นี่หรือเปล่านะ ปรากฏการณ์ผีหลอกที่นกกลัว? ไฟอาจจะดับๆ ติดๆ ทำให้เธอผู้ขวัญอ่อนผวา แต่ไม่ใช่เราแน่!

ตอนเย็น ดิฉันขับรถฉิวไปจ่ายตลาด ไม่ไกลจากบ้านนัก ทุกอย่างสะดวกดี พอถึงบ้านก็จัดการทำอาหารฝรั่งกินเอง...สเต๊กเนื้อสันกินกับสลัดผัก แต่เอ๊ะ...ไม่ได้ทอดปลาเค็มสักหน่อย ทำไมมีกลิ่นเหมือนปลาเค็มไหม้ๆ เหม็นอบอวล...มันคลุ้งอยู่ในบ้านจนต้องเปิดหน้าต่างประตูโล่งโจ้ง แถมเปิดพัดลมไล่กลิ่น

ใกล้ค่ำก็ดูทีวี...มีจังหวะหนึ่งที่หันไปขยับหมอนอิง มันมีเงาดำๆ ผ่านจากด้านซ้ายไปด้านขวา เหมือนมีใครเดินผ่านดวงไฟเปิดอยู่ทำให้เกิดเงาขึ้น

ดิฉันหันขวับ ไม่ได้คิดว่าเป็นผีหรอกค่ะ แต่เมื่อหันไปแล้วก็ไม่เห็นใคร ในที่สุดก็เดินดูรอบๆ บ้านรวมทั้งชั้นบน ว่าเราอยู่ลำพังจริงๆ เมื่อแน่ใจแล้วก็ล็อกกลอนประตูทุกด้านบ้านนี้มีหลายห้องซะด้วย...นึกว่าถ้าเลี้ยงหมาเล็กๆ สักตัวไว้เป็นเพื่อนก็คงจะดี

ไฟดับอีกแล้วค่ะ!!

ดิฉันกำลังยืนคว้างกลางห้อง ตามืดบอดไป 2-3 วินาทีก็ชินกับความมืด และแล้วไฟก็ติด สว่างจ้า...มันกะพริบๆ ทุกดวงในบ้าน ทำให้บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว...หลังจากกะพริบวูบๆ วาบๆ อยู่พักหนึ่งมันก็เปล่งแสงสว่างจ้า

...จ้าขึ้น จ้าขึ้นจนน่ากลัวว่าหลอดจะระเบิด แต่แล้วมันก็หรี่ลงสู่ระดับปกติ

เสียงน้ำในครัวเปิดซ่า! เดินไปดูก็เห็นมันเปิดอยู่จริงๆ ค่ะ สงสัยก๊อกหลวม แต่พอลองเปิดมันก็ดีนี่คะ ดิฉันเปิดปิด ลองใหม่อีกที มันก็ปกติดีทุกอย่างเลย...

ไฟดับวูบขณะที่ยังจับก๊อกอยู่ ดิฉันกลั้นใจรอ...เดี๋ยวมันก็คงติด! แต่ไม่ติดค่ะ ไฟดับคราวนี้นานเหมือนกัน ดิฉันเช็ดมือกับผ้าขนหนูที่แขวนไว้ข้างๆ น้ำจากก๊อกทำเอาเปียกไปหมด...ทันใดนั้น ดิฉันรู้สึกว่ามีอะไรแกว่งอยู่ใกล้ๆ หัวไหล่ พอหันไปดูก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตา...ภาพที่ทำให้หวิดช็อกคาที่

สิ่งที่เขี่ยอยู่แถวไหล่ มันเป็นเท้าคนค่ะ! เท้าที่ลอยอยู่ในอากาศทั้งสองข้างนั้น ดูซีดขาวจนน่ากลัว...มองไล่ขึ้นไปเป็นขา มันกำลังแกว่งไปมาน่าสยดสยองสิ้นดี

นี่มันขาคนผูกคอตายชัดๆ นี่นา!!

ไม่ต้องรออะไรแล้ว ดิฉันเผ่นออกนอกบ้านได้ยังไงไม่รู้ วิ่งไปบ้านข้างๆ ร้องเรียกให้เขาช่วย ผู้คนตกอกตกใจกันใหญ่ แต่ก็มาช่วยเหลืออย่างเต็มใจ เป็นเพื่อนไปหยิบกุญแจรถในบ้าน และปลอบให้หายตกใจอยู่ตั้งนาน กว่าดิฉันจะขับรถกลับบ้านตัวเองได้

ทุกวันนี้บ้านที่เป็นเรือนหอนั่นยังปิดอยู่ค่ะ เราย้ายของออกมาหมดแล้ว ยังไม่รู้จะทำยังไงดี...บ้านน่ะสร้างใหม่ แต่ที่ดินนี้เป็นที่ผืนเก่าที่เคยมีเจ้าของเดิมอยู่อาศัย พ่อของนกซื้อต่อด้วยราคาไม่แพง

...ขาที่ดิฉันเห็นก็คงเป็นพวกเจ้าของที่ดินคนก่อนแหละค่ะ บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  13 กันยายน 2550

12 กันยายน 2558

หลอนสุดขีด

"พรรณราย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องอาถรรพณ์

เขาว่าคนกลัวผีมักจะถูกผีหลอกง่ายกว่าคนไม่กลัวผี ดิฉันยอมรับว่าตัวเองกลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว คิดว่าไม่น่าอับอายหรอกค่ะ เพราะผู้ชายอกสามศอกหลายๆ คนก็ยืดอกรับสารภาพว่ากลัวผีอย่างแรงเช่นกัน

ดิฉันยังไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อน นอกจากจะหวาดระแวงไปเองตามประสาคนกลัวผี เชื่อว่าคนหัวอกเดียวกันคงเข้าใจดีนะคะ

จะเข้าห้องน้ำก็เคยระแวงว่าจะเห็นใครอยู่ในนั้น! จะนอนก็เคยนึกหวาดว่าจะเห็นใครนอนอยู่บนเตียง...ลองคิดซิคะว่าถ้าเราเห็นตัวเองกำลังนอนจ้องมองมาเขม็ง จะเป็นภาพที่น่าสยองขวัญสั่นประสาท จนทำให้หัวใจอาจล่มสลายได้ง่ายดายเพียงไร?

แต่แล้วก็ต้องโดนผีหลอกอย่างดุเดือด ฉกาจฉกรรจ์ที่สุด...

ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์น่าสยองขวัญสุดขีดในชีวิต ชนิดที่ไม่เคยคาดฝัน ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ว่าจะมีเรื่องน่าอกสั่นขวัญหายสุดขีดขนาดนี้ ...น่าสะพรึงกลัวจนเคยสงสัยว่าตัวเองทำไมไม่หัวใจวาย หรือช็อกตายไปเสียก่อน

ประสบการณ์สุดสยองเกิดขึ้นในโรงแรมที่อุดรธานีค่ะ เมื่อเรา...คือดิฉันกับเบญจาเพื่อนที่ทำงานไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ จุดหมายคืออีสานตอนบนกับข้ามโขงไปเที่ยวลาว...

คืนแรกนั่นเองที่กลายเป็นคืนอุบาทว์ของชีวิต! ดิฉันขอข้ามถึงการเดินทางและการแวะเที่ยว รวมทั้งการชมบ้านเมือง แต่ขอเข้าจุดหมายเมื่อเรากินอาหารเสร็จก็เข้าพักในโรงแรมระดับสี่ดาว ค่อนข้างใหม่และสะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยค่ะ เพราะมีทั้งล็อกและโซ่คล้องประตู เตียงใหญ่กว้างชนิดนอนได้สามคนอย่างสบาย

ราวสี่ทุ่ม เรากำลังจะเข้านอน เบญจาเกิดมีปัญหาเรื่องรอบเดือนเร็วกว่ากำหนด ตัวเองก็ไม่ได้นำผ้าอนามัยมาด้วย เลยบอกว่าจะลงไปซื้อที่ร้านใกล้ๆ โรงแรมนั่นเอง

ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าน่าจะโทร.ไปบอกโอปะเรเตอร์ของโรงแรม เพื่อขอความสะดวกเรื่องนี้ แต่เบญจาก็ออกไปราวห้านาทีมาแล้ว

จัดการล็อกประตูแล้วคล้องโซ่ เปิดไฟสว่างทั้งห้องน้ำและห้องนอน แถมเปิดทีวีเอาเสียงเป็นเพื่อน ก่อนจะขึ้นเตียง...เพียงแต่ซุกร่างเข้าไปใต้ผ้าห่มเท่านั้น แสงไฟก็หรี่วูบลงจนดิฉันผงกหัวขึ้นอย่างลืมตัว ก่อนที่จะสว่างไสวตามเดิม

ถอนใจโล่งอก แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อภาพในจอทีวีดำมืด ก่อนจะกลายเป็นฝ้าขาวๆ ส่งเสียงซ่า...สะท้านเข้าไปถึงหัวใจจนดิฉันนอนตัวแข็งทื่อ

พริบตานั้นเอง แสงไฟทั้งห้องก็ดับวูบลงอีกครั้ง!

ได้ยินเสียงตัวเองร้องเบาๆ ด้วยความตกใจ หันไปมองทางหน้าห้องน้ำก็มืดสลัวเช่นกัน...ไฟเสีย! ดิฉันถอนใจยาว ใจคอชักไม่ค่อยดี แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงใครหัวเราะครืนมากระทบหู

คุณพระช่วย! เสียงจากจอทีวีนั่นเอง ภาพของหญิงชรากลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงดื่มเหล้า หัวเราะเริงร่า ทั้งๆ ที่ไฟฟ้ายังดับมืดทั่วห้อง แต่ทีวีกลับเปิดโร่...ดิฉันหลับตา ถอนใจยาวนึกว่าตัวเองคงจะฟั่นเฟือนไปชั่วคราว...จะว่าแพ้ยาก็ไม่ได้กินยาอะไรนี่นา ร่างกายยังแข็งแรงเช่นเดียวกับคนอายุต้นสามสิบทั่วๆ ไป

เสียงหัวเราะดังก้อง คล้ายกับถาโถมเข้ามาทุกทิศทุกทาง...ลืมตาขึ้นมองทีวีให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพที่จะติดหูติดตาไปชั่วชีวิต!

ใบหน้าของชายหญิงในจอหันขวับมาจ้องมองเย้ยหยัน หัวเราะร่า สะท้อนสะท้านเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ! ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้องแสบแก้วหู โลกทั้งโลกกำลังแหลกสลายลงแล้ว ณ บัดนี้! กระโดดผลุงลงจากเตียง...ไฟสว่างพรึ่บ แต่ทีวีกลับดับวูบไปดื้อๆ

ช่างเถอะ! ไม่ขอแยแสอะไรอีกแล้ว นอกจากจะเผ่นออกจากห้องอุบาทว์นี่ให้เร็วที่สุด...ถอดโซ่มือไม้สั่น หมุนล็อกกระชากประตู...แต่มันไม่ขยับเขยื้อนราวกับกลายเป็นประตูเหล็กแน่นหนาที่กักขังดิฉันไว้ตลอดกาล!

คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด! ดิฉันน้ำตาไหลพรากอาบหน้า ตัวสั่นงันงกไม่ผิดกับลูกนกต้องลมหนาว...ทำไมเบญจาไม่กลับมาเสียทีหนอ?

มือถืออยู่ไหน? ต้องเรียกเธอมาช่วย...แต่สมองเลอะเลือนจนจำหมายเลขไม่ได้แล้ว...โทร.หาโอปะเรเตอร์ไงล่ะ! ขอความช่วยเหลือให้เปิดประตู แต่ขาทั้งสองหนักอึ้งจนขยับเขยื้อนไม่ไหว...นี่มันอะไรกัน? เกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้น? หรือว่าเรากำลังตกอยู่ในความฝัน...ฝันร้ายสุดสยองสิ้นดี!

"พรรณ! พรรณ..." เสียงแว่วๆ ของเบญจานั่นเอง ดิฉันหอบหายใจฮั่กๆ ยิ้มทั้งน้ำตา...เพื่อนมาแล้ว! กลับมาเสียที! แต่ว่าเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้นล่ะ?

เสียงเคาะประตูแรงๆ ถี่เร็วขึ้น ดิฉันร้องสุดเสียงให้ช่วย...พยายามดึงประตู ขณะที่เบญจาก็พยายามผลักเข้ามา แต่เราก็สิ้นหวังทั้งคู่...ขณะที่อากาศเย็นยะเยือกจนหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ ไฟดับวูบอีกครั้ง ความมืดถาโถมเข้าใส่ คราวนี้ดิฉันปล่อยโฮ ทรุดร่างลงกองกับพื้นซบหน้าลงกับท่อนแขน ร้องไห้จนตัวโยนสลับกับร่ำร้อง...ช่วยด้วย! ใครก็ได้โปรดช่วยดิฉันด้วยเถิด!

"พรรณ! ทำไมมานอนที่นี่?" เสียงเบญจาดังแว่วๆ มากระทบหู ดิฉันลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าเพื่อนชะโงกมาหา กรีดร้องอีกครั้งก่อนจะโถมเข้ากอดรัด ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวสั่นเทา...รุ่งขึ้นเราก็ขอตัวบินกลับกรุงเทพฯ ทันที

ดิฉันโดนผีหลอกหรือฝันร้ายสุดขีด? แม้จะหาคำตอบไม่ได้จนถึงวันนี้ แต่ดิฉันก็ขอสาปส่งห้องพักโรงแรมไปจนชั่วชีวิตจริงๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  12 กันยายน 2550

11 กันยายน 2558

วิญญาณที่ห่วงหา

"อภิชาติ" เล่าถึงสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอ

น้องชมพู่ เป็นเด็กหญิงวัยสี่ขวบ ตัวเล็กกระจ้อยร่อยเหมือนตุ๊กตา และช่างพูดช่างจาน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร เธออยู่ข้างบ้านผมเองครับ ทุกเช้าทุกเย็น จะมีเสียงเล็กๆ ใสแจ๋วแว่วลอยลมข้ามรั้วมาเข้าหูเรา และทุกครั้งที่ได้ยินก็จะอดอมยิ้มไม่ได้

พ่อกับแม่ของชมพู่หน้าตาดี ผิวพรรณดี และยังดูเหมือนวัยรุ่นมากๆอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบต้นๆ หรอกครับ เห็นแล้วนึกถึงนิยายรักเศร้าเคล้าน้ำตา แบบที่พระเอกกับนางเอกหนีตามกันมากัดก้อนเกลือกิน

พวกเขาน่าจะกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่พราวแม่ของชมพู่สมัครทำงานในร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยหน้าตลาด ส่วนโอ๊ต พ่อของชมพู่นั้น ทำงานเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์อยู่ร้านใกล้ๆ กัน ตัวชมพู่เองได้เข้าโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ห่างจากตลาดไปแค่สองป้ายรถเมล์

ทุกเช้าตรู่พราวจะพาลูกเดินไปโรงเรียน ตกบ่ายก็จะไปรับมาอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชมพู่จะเล่นง่วนกับเด็กๆ แถวนั้นจนถึงค่ำๆ ก็กลับบ้านพร้อมแม่

บ้านที่พวกเขาอยู่กันเป็นบ้านเช่าครับ พราวกับโอ๊ตมาเช่าอยู่ได้เกือบสองปีแล้วละ มันเป็นบ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ ของป้าน้อย เพื่อนบ้านผู้ล่วงลับของผม เมื่อป้าน้อยตาย ลูกหลานก็กลัวผีกันใหญ่ เพราะแกล้มในห้องน้ำตายที่นี่ จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าอยู่ เลยบอกเช่า มันกลายเป็นบ้านเช่ามาสิบกว่าปี มีผู้เช่าผลัดกันมาอยู่และถึงเวลาอันสมควรก็ย้ายไป

ไม่มีผีป้าน้อยหรอกครับ ทุกรายอยู่ได้สบายดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของบ้านเก่าเคยนอนตายเลือดไหลนองพื้นอยู่ตรงนี้

ครอบครัวของหนูชมพู่ก็อยู่กันอย่างสงบสุขตามอัตภาพมาตลอดเวลาที่เช่าอยู่ พวกเขาเงียบๆ เรียบร้อยเป็นมิตรกับทุกคน แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตัวเอง ชาวบ้านแถวนี้ถึงแม้จะชอบสอดรู้ เอ้ย! ชอบเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องของคนอื่น แต่กลับไม่มีใครกล้าล้วงลึก สัมภาษณ์ถึงเบื้องหลังชีวิตของสามคนพ่อแม่ลูก ต่างได้แต่คาดเดาว่า นี่ต้องเป็นลูกผู้ดีหนีตามกันมาแน่ๆ พวกเขาอยู่กันตามลำพังจริงๆ ตลอดเวลาเกือบสองปีไม่เคยมีใครไปมาหาสู่ ผมไม่เคยเห็นปู่ย่าตายายของชมพู่ทั้งๆ ที่แกน่ารักน่าทะนุถนอมเหลือเกิน

เวลาคอมพ์ที่บ้านเสียผมมักจะตามโอ๊ตมาซ่อมจนเราค่อนข้างสนิทกันดีทีเดียว โอ๊ตไม่ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ไม่สูบบุหรี่ เขารักษาสุขภาพ

"ผมเป็นห่วงพราวกับชมพู่น่ะครับ" โอ๊ตบอกผมอย่างนี้เสมอ

เด็กดีอย่างโอ๊ต ถ้าได้เป็นน้องชายหรือลูกชาย เราคงภูมิใจน่าดู

คุณเคยคิดอย่างผมไหมครับ ว่าชีวิตคนเรานี้สั้นนัก ยิ่งคนดีก็มักจะตายเร็วอย่างน่าใจหาย สวรรค์รับเขากลับเร็วเกินไป

วันหนึ่ง ผมต้องการตัวโอ๊ตมาช่วยซ่อมคอมพิวเตอร์ แต่ปรากฏว่าพราวบอกว่าโอ๊ตไม่สบายมากอยู่ที่วชิระ และบ่ายวันรุ่งขึ้นเขาก็เสียชีวิต

ความตายของโอ๊ตเป็นเรื่องกะทันหันมาก และมันเปิดเผยเรื่องราวให้เราเห็นว่า สิ่งที่ชาวบ้านแถวนี้ทุกคนคิดไว้นั้นเป็นความจริง พ่อแม่ของโอ๊ตร่ำรวยแต่โกรธเกรี้ยวและอับอายที่โอ๊ตกับพราวชิงสุกก่อนห่าม เมื่อโอ๊ตตายพราวต้องบอกพ่อกับแม่ของเขา ผมค่อนข้างสบายใจแม้จะเศร้าเสียดายแต่ก็คิดว่าต่อไปนี้ พราวกับชมพู่คงจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกเธอคงจะกลับไปอยู่กับผู้ใหญ่ พราวอาจศึกษาต่อไม่ต้องเป็นเด็กขายก๋วยเตี๋ยว เธออาจได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาด้วยซ้ำ

ทว่าพราวเย่อหยิ่งเกินไป เธอใจแข็ง ดื้อดึง ผู้ใหญ่ให้อภัยเธอแต่เธอยังเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมกลับไปสู่อ้อมอกของพวกเขา

ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากงานศพโอ๊ต ผมกลับจากที่ทำงานตอนพลบค่ำ ขณะที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ผมได้ยินเสียงแจ้วๆ กังวานใส ดังข้ามรั้วมา

"แม่!" ชมพู่ตะโกน "แม่เข้ามาเถอะ เข้ามาสิ ไม่มีอะไรหรอก แม่!"

เธอตะโกนซ้ำซากอยู่อย่างนั้นตั้งนาน นานจนมีแววสะอื้นในน้ำเสียง

ผมลุกขึ้นไปดู ไม่ใช่แค่ยืนที่ระเบียงนะครับ แต่เปิดประตูรั้วออกไปเลยเชียวล่ะ

พราวดูตัวเล็กบอบบาง ซีดเซียวในชุดดำ เธอยืนอยู่หน้าบ้าน ใต้ไฟถนน น้ำตาอาบแก้มและมีทีท่าตื่นตระหนกกระวนกระวาย เมื่อผมถามเธอก็ตอบว่า "พี่โอ๊ตอยู่ในบ้าน หนูไม่กล้าเข้าไป"

ผมมองไปในบ้านไม้เก่าๆ ที่มืดสนิท ชมพู่ตัวน้อยยืนเกาะบันได พราวขอให้ผมไปอุ้มเธอออกมาให้หน่อย ถึงจะหนาวเยือกในสิ่งที่เธอพูด แต่ผมก็ทำใจแข็งเดินเข้าไปรับชมพู่

จังหวะที่กำลังเอื้อมแขนจะอุ้มเด็กน้อย ผมก็เหลือบมอง

ข้างประตูห้องชั้นบนริมบันได มีร่างที่คุ้นตานั่งชันเข่าอยู่ ผมมือไม้อ่อน รีบรวบตัวชมพู่ออกมาส่งให้พราว และบอกให้พราวมาอยู่ที่บ้านผมก่อน คืนนี้เธออยู่บ้านนั้นไม่ได้แน่

โอ๊ตปรากฏร่างให้ลูกเมียและชาวบ้านเห็นจนเป็นที่ร่ำลือและหวาดผวา

ในที่สุด พราวกับชมพู่จำต้องกลับไปอยู่กับพ่อแม่ของพราว

ใช่แล้วครับ โอ๊ตเห็นว่านั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด เมื่อพราวยังดื้อเขาก็ยังห่วง แม้ว่าจะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม!

วันนี้บ้านนั้นมีคนมาเช่าต่อ ไม่มีผีแล้วล่ะครับ โอ๊ตหมดห่วงและไปสู่สุคติแล้วล่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  11 กันยายน 2550

10 กันยายน 2558

น้ำชาเมืองคอน

"ไข่ ปากคอน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนครศรีธรรมราช

"เราชาวนครอยู่เมืองพระ มั่นอยู่ในสัจจะศีลธรรม กอปรกรรมดี มีมานะพากเพียร ไม่เบียดเบียนทำอันตรายผู้ใด"

ไม่ต้องบอกก็คงรู้แล้วนะครับ ว่าเป็นคำขวัญของจังหวัดนครศรีธรรมราช พวกเรา "ชาวคอน" หรือ "คนคอน" สุดจะภาคภูมิใจในบ้านเมืองของตัวเองว่าเป็นชุมชนเก่าแก่ก่อนประวัติศาสตร์ มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดเป็นพันปีมาแล้ว

คนจังหวัดอื่นๆ มักจะหาว่าพวกเราเป็นคนดุ ขอยืนยันยันว่าไม่ใช่หรอกครับ แต่ยอมรับว่าเป็นคนรักพวกพ้อง ไม่รังแกใครก่อน แต่ไม่ยอมให้ใครมาหยามง่ายๆเด็ดขาด

เรียกว่าเป็นคนจริงใจสุดๆ ละกัน!

แหม! พวกผมน่ะคนเมืองพระ เมืองกวีนะครับ ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนซะที่ไหน

วัดนางพระยา วัดพระมหาธาตุโด่งดังสุดๆ เพราะเป็นแหล่งกำเนิดองค์พ่อจตุคามรามเทพ ใครๆ ก็รู้กันอยู่ ไม่ใช่ว่ามาโฆษณาหรือประกาศสรรพคุณ "ราชันย์ทะเลดำ" หรอกครับ ท่านดังทั่วทั้งประเทศและต่างประเทศมาเป็นปีแล้ว เมืองคอนบ้านผมที่เคยสงบมาช้านานเลยคึกคักเหลือเชื่อ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวบูมระเบิดไปเลย

ถ้าพูดถึงกวีก็อย่างท่าน "ศรีปราชญ์" ในอดีต ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ และท่านภิญโญ ศรีจำลองไงครับ ...ขอยกตัวอย่างกลอนประจำถิ่น เห็นว่าทั้งให้ความรู้และอารมณ์ขันดีไม่หยอกจะบอกห้าย...เอ๊ย! จะบอกให้

"อยากเป็นครูต้องอยู่วัดโพธิ์

อยากกินขนมโคต้องอยู่วัดวัง

อยากเป็นช่างต้องอยู่วัดจันทร์

อยากเป็น "จันหวัน" ต้องอยู่วัด..."

"จันหวัน" หมายถึงคนเกะกะเกเร ไม่เอาไหน หรือ "ไม่เอาถ่าน" ส่วนที่ต้องใส่จุดๆๆ ไว้เพราะโยนไปวัดไหนล้วนแต่โบกไม้โบกมือร้องเสียงหลง "ม้ายฉ่าย...ม่ายฉ่าย" กันทั้งนั้นแหละครับ...ขืนฟันธงโครมครามไปจริงๆ เดี๋ยวชาวบ้านแถววัดนั้นเขาจะเกลียดขี้หน้าผมซะเปล่าๆ ไม่ใช่อะไร

วันนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!

ผมเจอะเจอมาด้วยตัวเองกับเพื่อนชื่อไอ้นุ้ย ตอนแรกผมนึกว่าตาฝาดไป ที่ไหนได้ล่ะ เพื่อนมันก็เห็นเหมือนกัน ทั้งๆ ที่อยู่ในร้านน้ำชาริมถนน ผู้คนคึ่กๆ แสงไฟสว่างไสวแท้ๆ ขอบอก

พวกวัยรุ่นบ้านผมน่ะไม่เกะกะเกเร สร้างปัญหาเดือดร้อนให้ใครๆ หรอกครับ สาเหตุเพราะเป็นคนเมืองพระอย่างที่ว่า

ตกค่ำไม่ค่อยชอบกินเหล้ากินเบียร์ให้หมดเปลืองเงินทอง แถมทำให้เสียสุขภาพอีกต่างหาก พอกินข้าวกินปลาอิ่มหนำแล้ว พวกเราก็จะไปพบกันที่ร้านน้ำชา กินโรตีจิ้มนมกับน้ำตาลทราย ซดชาร้อนหอมกรุ่น ล้างปากล้างคอด้วยชาจีน...แสนสุขซะไม่มี!

ถ้าใครยังไม่ได้กินข้าวมาก่อน หรือเกิดหิวก็จะมีข้าวปลาอาหารขายในร้านน้ำชานั่นแหละคุณ ข้าวมันไก่ ข้าวหมกไก่ มีทั้งนั้น

กินกันไปคุยกันไป ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องการบ้านการเมือง ขนาดคนขี่สามล้อยังวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้อร่อยเหาะเลยครับ นับประสาอะไร อ้อ! มีฟุตบอลนัดสำคัญๆ อย่างในตอนนี้ พวกเราก็ดูทีวีจอใหญ่กันสนุกสนานครึกครื้น ส่วนมากดูเอามันมากกว่าจะเล่นพนันนะครับ

จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์หรือเดินกลับบ้าน เพราะตอนกลางคืนหาสามล้อยากหน่อย ไม่เหมือนกับตอนกลางวัน ถ้าดึกก็หารถยากเอาการ แต่เดินกลับบ้านที่ไม่ไกลนักก็ช่วยย่อยอาหารดีไม่หยอกจะบอกให้

คืนเกิดเหตุผมขี่มอเตอร์ไซค์ให้ไอ้นุ้ยซ้อนท้ายออกจากบ้านไปร้านน้ำชาเจ้าประจำ!

ร้านนี้คนแน่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมกินมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น โรตียัง 5 บาท จนมาถึง 12 บาท ไม่ว่าจะใส่ไข่หรือไม่ใส่ก็ราคาเดียวกัน เพราะใส่ไข่ได้โรตีแผ่นเดียว

แหม! ฟุตบอลในทีวีด้านในกำลังมัน คนแน่นทุกโต๊ะ ส่วนมากคุ้นหน้ากันทั้งนั้น เราต้องนั่งโต๊ะหน้าร้านตรงข้ามกับหนุ่มหน้าเข้มอีกสองคน ใกล้ๆ กับพี่บังกำลังทอดโรตีมือเป็นระวิงทางซ้ายมือ ไอ้นุ้ยช่างพูดก็ยิ้มแย้มพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ

ลูกค้ามาออกันหน้าร้าน โต๊ะว่างเมื่อไหร่ก็ได้เข้าไปนั่ง เรารอจนได้โรตีใส่ไข่มากินกับชาร้อน...กินกันไปคุยกันไป นึกถึงสมัยก่อนที่เคยมากัน 4-5 คน เดี๋ยวนี้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ จบแล้วก็ทำงานทำการ ได้ลูกได้เมียที่นั่น นานๆ จะกลับบ้านซะทีจนทำให้ห่างเหินกันไป ได้เพื่อนฝูงใหม่ๆ ที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ผมมองดูผู้คนและรถราที่ผ่านไปมา ใครรอไม่ไหวก็เร่ไปกินร้านข้างๆ หรือไม่ก็ฝั่งตรงข้าม...พอดีเหลือบเห็นเพื่อนเก่ามายืนรออยู่หน้ากระทะโรตี คงจะรอโต๊ะว่าง พอดีโต๊ะเราก็นั่งกันเต็ม ผมหันไปถามไอ้นุ้ยว่านั่นไอ้ปื๊ดใช่มั้ย? เพื่อนหันไปมองก็พยักหน้า...มันคงเพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมบ้าน!

ทันใดนั้นเองผมก็เย็นวาบไปทั้งตัว ขนลุกซ่าเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ หลุดปากว่า...ไอ้ปื๊ดมันตายเพราะรถคว่ำที่ขนอมมาตั้ง 2 ปีก่อนแล้วนี่นา! ไอ้นุ้ยอ้าปากค้าง...จริงของมึง....ก่อนที่จะหันขวับไปพร้อมๆ กัน

ไม่มีไอ้ปื๊ดยืนอยู่ที่นั่นแล้ว...เรารีบจ่ายเงินบึ่งรถกลับบ้านทันที พูดตรงกันว่าโชคดีที่ไม่ได้นึกออกตอนเห็นหน้าไอ้ปื๊ดว่ามันตายแล้ว ไม่งั้นอาจจะช็อกคาที่ก็ได้ จริงมั้ยครับ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  10 กันยายน 2550

07 กันยายน 2558

ห้องนี้มีวิญญาณ

"อมรา" เล่าถึงเจ้าของห้อง ผู้ซึ่งตายไปแล้ว เกือบยี่สิบปีก่อน

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ดิฉันกับคุณแม่ไปงานแต่งงานที่อยุธยา เจ้าสาวผู้น่ารักเป็นลูกพี่ลูกน้องของดิฉันเอง งานนี้จัดที่บ้านของเธอซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่หลังใหญ่มีบริเวณกว้างขวาง

ตอนเด็กๆ ดิฉันมาที่นี่บ่อย อยุธยาใกล้กับกรุงเทพฯ นิดเดียวเอง เจ้าของบ้านคือป้าอ้วน พี่สาวแท้ๆ ของแม่

ป้าอ้วนมีลูกสาวสามคน "สามใบเถา" ที่แสนสวย ที่มีชื่อไล่เรียงกันคือ อ้น อ้อม และอุ้ม อ้นเป็นคนโตอายุ 32 ปีเท่าดิฉัน และเราต่างก็ยังเป็นโสดสนิทเหมือนกันเปี๊ยบ อ้อมคือเจ้าสาวในวันนี้ ส่วนอุ้มเหลืออยู่แต่ความทรงจำและรูปภาพในอัลบั้ม เพราะเธอตกน้ำตายไปเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว เธอเป็นน้องนุชสุดท้องที่น่ารักน่าเอ็นดูนักหนา ถ้าเธออยู่จนถึงป่านนี้เธอจะมีอายุ 24 ปี กำลังเป็นสาวสะพรั่งทีเดียว

ดิฉันจำได้ว่าตอนที่เราเป็นเด็กๆ ด้วยกัน อุ้มรักดิฉันมาก เวลามาที่บ้านป้าอ้วนนี้ อุ้มจะติดดิฉันแจ และร้องไห้แงๆ เมื่อดิฉันลากลับ

บ้านนี้ดิฉันไม่ได้มาเกือบสิบปีแล้วได้มั้ง เวลาผ่านไปเราโตขึ้นและมีภารกิจการงานมากขึ้น ถึงจะห่างเหินกันไปนาน แต่ความรักความสนิทสนมระหว่างครอบครัวดิฉันกับครอบครัวป้าอ้วนก็ยังคงเหมือนเดิม รวมทั้งบ้านหลังนี้ด้วย ดูมันไม่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่เลย ต้นไม้ยังร่มครึ้ม ตัวบ้านยังสง่างามและอบอุ่น

มาคราวนี้ เรามาค้างด้วยค่ะ ค้างคืนเดียวแหละ แขกเหรื่อมากันเป็นร้อย และญาติๆ บางคนก็มาค้างเช่นเดียวกับเรา บ้านป้าอ้วนมีห้องหับพอเพียง

คืนนั้น คุณแม่นอนกับป้าอ้วน ดิฉันนอนห้องริมสุดกับอ้นและญาติผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสองคน

ห้องนี้เป็นห้องที่พี่น้องสามใบเถา อ้น อ้อม อุ้ม นอนด้วยกันเมื่อยังเล็กๆ ทุกวันนี้เป็นห้องของอ้น เธอให้ดิฉันนอนบนเตียง ส่วนเธอกับอีกสองคนปูฟูกนอนกับพื้น

พอเอาเข้าจริง เราแทบไม่ได้นอนกันหรอกค่ะ เจ้าบ่าวจะแห่ขันหมากมาตอนตีห้าครึ่ง เจ้าสาวต้องแต่งตัวสวยสะไว้รอท่า พวกเราตื่นเต้นน่าดู ใครจะไปนอนหลับได้ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสาว

ดิฉันเองก็รู้สึกสนุกครึกครื้นพอกับคนอื่นๆ แต่ออกจะโชคร้ายสักหน่อยที่เผลอไปกินขนมจีบที่ใส่กุ้งเข้า ดิฉันแพ้กุ้งค่ะ นึกว่าขนมจีบนั้นเป็นหมูล้วนๆ เอ้า! พอกินได้สักพักก็ได้เรื่องเลย ลมพิษขึ้นซิคะ ปากบวมเจ่อต้องกินยาแก้แพ้ พอกินยาตัวนี้เข้าแป๊บเดียวก็พลันง่วง ดิฉันเลยต้องขอปลีกตัวไปนอนคนเดียว ปล่อยให้คนอื่นๆ อยู่สังสรรค์กันไปอย่างสนุกสนาน

ตอนดิฉันเข้านอนน่ะห้าทุ่มแล้วละค่ะ คิดว่าพอนอนจนถึงตีสี่ก็จะตื่นมาแต่งเนื้อแต่งตัว และช่วยป้าอ้วนกับน้องๆ เตรียมงาน

ในห้องนอนไม่ได้เปิดแอร์ค่ะ เปิดหน้าต่างและเปิดพัดลมก็สบายเหลือเกินแล้ว ดิฉันนอนฟังเสียงคนอื่นๆ คุยกัน หัวเราะกันอยู่ที่ชั้นล่าง สรุปว่าที่ชั้นบนนี้มีดิฉันอยู่เพียงลำพัง อีกด้านหนึ่งของตัวบ้านแม่กับป้าอ้วนก็คงเข้านอนเช่นกัน แต่จะหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ซิ

ขณะคิดโน่นคิดนี่เพลินๆ ดิฉันก็เข้าภวังค์แล้วก็ฝันไป

ในฝันดิฉันเห็นน้องอุ้ม เธอเป็นเด็กหญิงอายุ 4 ขวบเท่าตอนตาย เราดีใจมากที่เจอกัน ในความฝันนั้นดิฉันไม่ใช่เด็กแต่เป็นผู้ใหญ่เหมือนความเป็นจริง ทว่าขณะคุยกันเล่นกัน น้องอุ้มก็โตขึ้น สาวขึ้น มันเหมือนกับเราดูภาพยนตร์อยู่น่ะค่ะ และในที่สุดดิฉันก็ได้เห็นน้องอุ้มเป็นสาวสะพรั่ง

แปลกจัง ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้หรอก อุ้มตายตอน 4 ขวบ เธอผู้น่าสงสารไม่มีวันได้เติบโตเป็นสาวอย่างพวกเรา

ดิฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นเพราะมันหนาวมาก อากาศในห้องไม่น่าจะหนาวยะเยือกขนาดนี้ ดิฉันสะท้านตัวสั่นระริก แต่ยังบังคับตัวเองให้ตื่นเต็มที่ไม่ได้

ทันใดนั้นมีร่างหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เตียง ดิฉันนอนตะแคงอยู่ร่างนั้นทรุดตัวลงนอนแนบชิดแผ่นหลังดิฉัน เธอเป็นสาวเนื้อตัวอบอุ่นนุ่มนิ่ม เธอกอดและเอาใบหน้าซุกลงกับอกดิฉัน

เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอคือสาวอุ้มที่ดิฉันเห็นในฝัน

ความรู้สึกดำดิ่งสู่ความมืดมน พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะใสๆ ของเธอ

ดิฉันตื่นอีกที นาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาตีสี่ ความฝันยังติดตา ดิฉันรู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความโหยหาและอาวรณ์

ลมพิษหายเป็นปลิดทิ้ง ปากหายบวมเจ่ออย่างไม่น่าจะหายเร็วแบบนี้

ดิฉันเล่าความฝันให้ป้าอ้วนและใครต่อใครฟัง ป้าอ้วนพูดว่ายังไงรู้มั้ยคะ? เธอว่า "อุ้มยังอยู่กับเราเสมอ"

เป็นประสบการณ์ผีหลอกที่ช่างหวานเศร้า เสียนี่กระไร

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  7 กันยายน 2550

06 กันยายน 2558

วิญญาณอยู่ที่นี่

"เด็กแนว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านร้าง

เรื่องผีที่ผมลืมไม่ลงตลอดชีวิตนี้ เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีก่อน ไม่น่าเชื่อเลยครับ ว่าคนที่ตายไปแล้วจะยังมีวิญญาณสิงสู่อยู่บนโลกนี้ และปรากฏตัวให้ผมเห็นได้ราวกับคนเป็นๆ

ตอนนั้น ผมกับเพื่อนๆ เรียน จบ ป.6 ที่โรงเรียนเดิม จากนั้นเราต้องแยกย้ายกระจายกันไปสอบเข้า ม.1 ที่โรงเรียนอื่นๆ น้อยคนที่จะได้เรียนโรงเรียนใหม่ด้วยกัน แต่ความเป็นเพื่อนของเรามันเข้มข้น โดยเฉพาะกลุ่มเราที่มี 7 คนรวมทั้งผมด้วย

เราหาโอกาสพบกันเสมอ และพบกันบ้างในวันหยุดสุดสัปดาห์

เมื่อปิดเทอมกลางเดือนตุลาคม พอดีเป็นวันเกิดของก้อง บ้านอยู่ปากเกร็ด เราอยากไปปาร์ตี้กันก็เลยขออนุญาตพ่อแม่ไปค้างบ้านมันคืนหนึ่ง

เรื่องตกน้ำตกท่าไม่ต้องห่วง (บ้านก้องอยู่ติดแม่น้ำ) พวกเราว่ายน้ำเป็นทุกคน แถมพวกเราไม่คิดลงเล่นน้ำกันหรอกครับ มีอะไรให้ทำตั้งเยอะอย่างเล่นกีตาร์หรือเกมคอมพิวเตอร์

เราไปถึงบ้านก้องแต่เช้า ขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไม่ได้ออกไปไหน พอราวๆ ห้าโมงเย็น แดดร่มเหมือนใกล้พลบเพราะเป็นช่วงฤดูหนาว เราไปเล่นเตะบอลกันที่สนามหลังบ้านสนุกมากครับ บ้านก้องมีเนื้อที่กว้างขวางจนเตะบอลได้มันส์น่าดู

กำแพงบ้านเป็นอิฐบล็อกสีเทา พวกเราจะเตะบอลให้มันเด้งกลับมาแรงๆ

ผมชะแง้มองดูบ้านหลังที่อยู่กำแพงเดียวกัน เพราะนึกเกรงใจที่เราเล่นเอะอะ บางทีก็เตะบอลอัดกำแพงดังปังๆ ก้องบอกว่าไม่เป็นไร

"เล่นเต็มที่เลย บ้านนั้นไม่มีใครอยู่หรอกว่ะ เจ้าของบ้านผูกคอตายไปเมื่อเดือนก่อนนี่เอง!"

อ้าว? มันเรื่องอะไรกันล่ะ น่ากลัวจริงๆ แถมน่าเศร้าด้วย...ก้องไม่รู้รายละเอียดนักหรอกครับ เด็กผู้ชายไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้หรอก มันรู้แค่ว่าเจ้าของบ้านเป็นสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ

มิน่าละ เรือนหอหลังนี้ถึงได้ดูไม่เก่าเลย!

พวกเขาเข้าอยู่กันได้ไม่ทันไรก็ทะเลาะกันทุกคืน ก้องบอกว่าเสียงดังแว่วมาประจำแล้ววันหนึ่งผู้หญิงก็ผูกคอตายที่บันได ตั้งแต่วันนั้นฝ่ายผู้ชายก็ไปอยู่ที่อื่น คนใช้ก็เผ่นไปด้วย

สรุปว่าเรือนหอหลังนี้ถูกทิ้งร้างไปร่วมเดือนแล้วเพราะกลัวผีกันมาก

ไม่จริงมั้ง? เมื่อตะกี้ผมมองขึ้นไปชั้นบนยังเห็นผู้หญิงผอมๆ ผมยาวๆ ใส่เสื้อยืดสีชมพูลายการ์ตูน ยืนพิงหน้าต่างมองลงมา เธอสาวมาก ดูเหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป...พอก้องบอกว่าบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ ผมก็เหลือบตาขึ้นดู...เธอยังมองผม ยิ้มให้และโบกมือนิดๆ ราวจะทักทายแบบเพื่อนฝูง

ใจผมน่ะคิดว่า ก้องคงไม่รู้ว่ามีคนมาอยู่แล้ว ผู้หญิงที่ผมเห็นอาจจะเป็นน้องสาวเจ้าของบ้านที่ตายหรืออาจจะเป็นคนที่มาเช่าอยู่ต่อก็เป็นได้

ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องผีเลยครับ

นึกเอาว่าคนที่ผูกคอตายน่าจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผู้หหญิงที่ผมเห็นตรงหน้าต่างแน่ๆ

บรรยากาศมืดลงเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว หน้าหนาวแบบนี้หกโมงกว่าก็มืดสนิทแล้วละครับ แต่เรายังสนุกกันอยู่ เดี๋ยวเตะบอลเบื่อแล้ว เราอาจจะเอากีตาร์มานั่งเล่นที่สนามนี้ทั้งคืนก็ได้ อากาศดีออกจะตาย...

ทันใดนั้น พวกเราคนหนึ่งก็เตะซัดลูกบอลเต็มแรง มันลอยหวือเป็นแนวโค้งข้ามรั้วไปตกบ้านโน้น...เห็นแล้วใจหายยังไงไม่รู้ซิ

"ใครจะไปเก็บล่ะวะ?" ก้องร้องขำๆ แล้วบอกว่ามันเป็นบ้านผีสิง เราผลักกันไปผลักกันมา เกี่ยงว่าใครจะกล้าไปเก็บบอล...มันเป็นอารมณ์สนุก คึกคะนองของวัยรุ่นอย่างเราไปอีกแบบ

ในที่สุด ผมก็บอกว่าจะไปเก็บให้เอง ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน...มันบอกว่ามันกลัว!

การเล่นบอลของเรายุติลงไปโดยปริยาย มืดแล้วด้วย หลายคนเดินเข้าบ้าน ก้องพาผมเดินออกประตูรั้วบ้านมันไปที่บ้านข้างๆ ผมต้องปีนรั้วเตี้ยๆ เข้าไป เพราะประตูบ้านเขามีโซ่คล้องไว้ และล็อกกุญแจแน่นหนา

ใจผมไม่กลัวสักนิด เพราะคิดว่าในบ้านมีคนอยู่!

เด็กสาวที่ผมเห็นอาจจะไปทำอะไรอยู่หลังบ้านก็ได้...

ผมเดินลุยหญ้าที่ขึ้นสูงๆ ไปหยิบบอล...พอเงยหน้าขึ้นก็เห็น "เธอ" พอดี!

ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ด้านในประตูกระจกบานใหญ่หน้าบ้าน เธอกวักมือเรียก ผมก็เดินเข้าไปหา ในใจไม่คิดอะไรเลย...เธอเหมือนคนธรรมดามาก แต่แปลกที่เธอไม่เปิดไฟ ภายในบ้านดูมืดมากด้วย...

เสียงก้องเรียกอย่างตกใจที่เห็นผมเดินเข้าบ้านที่น่ากลัว มันมองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นอย่างผมนี่ครับ ขืนเห็นมันคงเผ่นกระเจิงเป็นการรับขวัญวันเกิดไปแล้ว

ผมไปเกาะประตูกระจกที่เปิดแง้มนิดๆ เด็กสาวเดินไปหยุดที่บันได ผมเห็นเธอรางๆ กลางความมืดสลัว เธอชี้มือไปที่บันไดแล้วชี้คอตัวเอง!

เอ...ผมรู้สึกพิกลๆ ว่ามันชักไม่เข้าท่าซะแล้วซีครับ

พอคิดอย่างนั้นผมก็เลยหันหลังออกวิ่ง เห็นก้องยืนรออย่างกระวนกระวาย ส่วนผมรีบปีนรั้วแข้งขาสั่นออกมา

เมื่อเล่าสิ่งที่ผมเห็น ทุกคนรวมทั้งแม่ของก้องก็ตื่นเต้นมากๆ แม่ก้องบอกว่า...นั่นละ! คนที่ตาย! เธอยังดูเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ บอบบาง...และเธอตายในชุดเสื้อยืดชมพูลายการ์ตูน

ไม่น่าเชื่อว่าผมเห็นผีอย่างจัง เธอเหมือนคนปกติ เพียงแต่มีพฤติกรรมที่น่ากลัว...เรื่องนี้ประทับใจผมมาตลอด และทำให้เชื่อสนิทว่าวิญญาณมีจริง...บรื๋อส์!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  6 กันยายน 2550

05 กันยายน 2558

ห่วงน้อง

"เบญจพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณรุ่นพี่

พี่นัท-เป็นเพื่อนทำงานของดิฉัน เขาอายุ 27 ปีค่ะ นี่ถ้าหน้าตาดี ไม่อ้วนดำจนเพื่อน ล้อว่าเป็นหมีละก็ ดิฉันคงใจอ่อนยอมเป็นแฟนเขาแน่ๆเพราะรู้ว่าเขาสนใจดิฉันมาก พี่นัทดีที่ไม่จีบไม่เกี้ยวหรือทำอะไรรุ่มร่าม ทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดี คอยดูแลห่วงใยเสมอมา

เมื่อเขาถึงแก่กรรม ดิฉันจึงเสียใจมาก...

ความตายของพี่นัทช่างกะทันหันเหลือเกิน เขาติดเชื้อขึ้นสมอง! ไม่มีใครคิดว่าพี่นัทจะจากไปรวดเร็วแบบนี้ ในที่ทำงานของเรา คนที่เหงาและเศร้าที่สุดก็คงจะเป็นดิฉันนี่ล่ะค่ะ

ทุกเช้าเวลามาที่บริษัท ดิฉันคิดว่าตัวเองมาเช้าแล้ว แต่พี่นัทเช้ากว่า เขามักจะเป็นคนแรกเสมอที่เข้านั่งประจำที่ เมื่อดิฉันมาถึงเราก็จะคุยกันเรื่องสัพเพเหระ จากนั้นต่างคนก็ต่างทำงาน พี่นัทคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนไม่ยอมสนใจอะไรนอกจากงานตรงหน้า...แต่เมื่อดิฉันมีปัญหา เขาจะเป็นคนแรกที่ปราดมาถึงตัว ช่วยแก้ไขจนลุล่วงไปด้วยดี

ตอนเย็นๆ ก็เช่นกัน!

พี่นัทจะเดินเป็นเพื่อนไปยังที่จอดรถซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว บางทีงานเขายังไม่เสร็จก็ยังอุตส่าห์มาส่งดิฉันจนขับรถออกจากที่นั่น ก่อนจะกลับขึ้นไปทำงานต่อ หรือถ้าดิฉันอยู่จนค่ำมืด เขาก็จะคอยไม่ว่าดึกดื่นแค่ไหน ถ้าช่วยได้ก็จะช่วยทุกอย่าง และเดินมาที่จอดรถด้วยกัน

เราต่างขับรถของตัวเองออกจากบริษัท แยกย้ายกันไป...

ก่อนเสียชีวีตไม่ถึงสัปดาห์ พี่นัทมานั่งตรงหน้าโต๊ะและมองหน้าดิฉันนิ่งๆ ทั้งที่ไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน จนดิฉันชักอึดอัดและเขินๆ พิกล แต่ไม่ได้โกรธนะคะ พอถามเข้าว่ามองทำไม? เขาก็ตอบว่า "เป็นห่วง!"

มันเหมือนเป็นลางสังหรณ์ เพราะพอรุ่งขึ้นวันเสาร์ พี่นัทก็ไปเมืองกาญจน์กับพ่อ แม่ และพี่น้องอย่างที่เคยไปบ่อยๆ

วันจันทร์พี่นัทมาทำงานด้วยหน้าตาอ่อนระโหย ตอนบ่ายก็มีไข้สูงมากจนเพื่อนๆ ต้องพาไปหาหมอ อาการเขาไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรุดหนักลงๆจนสิ้นใจในอีกสามวันต่อมา

งานฌาปนกิจพี่นัทผ่านไปแล้ว ดิฉันยังแต่งชุดดำ คิดว่าจะไว้ทุกข์สักร้อยวัน...พี่นัทคงรับรู้ เขามาหาดิฉันทุกวัน...มาเป็นกลิ่นดอกไม้หอม บางวันก็ได้กลิ่นดอกซ่อนกลิ่นค่ะ! ดิฉันเคยบอกเขาว่าเป็นดอกไม้ที่ดิฉันชอบ

คนเราถึงจะดีต่อกันอย่างไร รักกันขนาดไหน เมื่อฝ่ายหนึ่งตายไป คนที่เหลืออยู่ก็ต้องกลัวผีเป็นธรรมดา...ดิฉันเองก็กลัวผีพี่นัทไม่น้อยเลยนะคะ บอกตามตรง

ด้วยความกลัว ดิฉันมักจะให้เพื่อนลงลิฟต์ไปส่งถึงที่จอดรถ ถ้าไม่มีใครไปเป็นเพื่อนจะรู้สึกหวาดระแวงมาก มันน่ากลัวนะคะที่เราจะลงลิฟต์คนเดียว แล้วเดินต๊อกๆ ไปในที่จอดรถที่ไม่มีใครซักคน!

...อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าประตูลิฟต์เปิดออกแล้วเห็นพี่นัทยืนมองมายิ้มๆ จะทำยังไง?

ดิฉันคิดว่าวิญญาณพี่นัทยังห่วงดิฉันเหมือนเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่!

บางครั้งขณะทำงานเพลินๆ อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ ดิฉันเห็นเขาเดินผ่านโต๊ะไปแวบหนึ่ง พอนึกได้ว่าพี่นัทตายไปแล้วเล่นเอาขนลุกเกรียว

จริงๆ แล้วตั้งแต่พี่นัทตาย ดิฉันไม่ยอมออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้ายเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง อ๋อย-เพื่อนร่วมงานยังทำงานไม่เสร็จค่ะ น่าโมโหจริงๆ เธอมัวแต่เม้าธ์ทั้งวันนี่คะ แล้วก็ต้องตาหูเหลือกเพราะงานนี้ต้องเสนอนายพรุ่งนี้แต่เช้า...อ๋อยขอร้องให้ดิฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอด้วย ดิฉันไม่ขัดข้องหรอกค่ะ

แต่...สามทุ่มก็แล้ว สี่ทุ่มก็แล้ว งานยังไม่เสร็จซะที!

สี่ทุ่มสิบนาที มีกลิ่นแปลกๆ โชยมา อ๋อยหน้าเสีย เธอเงยขึ้นกวาดสายตาไปรอบห้องที่มีแต่โต๊ะคอมพิวเตอร์...และไร้ผู้คน! บรรยากาศน่ากลัวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรานึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ แถมกลิ่นแบบปลาเค็มเน่าคลุ้งแรงขึ้นๆ

"พี่นัทแน่ๆ" อ๋อยคราง...พูดแบบไม่น่าพูด มันช่างผิดกาลเทศะจริงๆดิฉันเองรู้ทั้งรู้ว่าพี่นัทไม่มาให้ดิฉันกลัวแน่ๆ แต่ยังอดสยองไม่ได้...ใจหนึ่งตระหนักว่าเขาโกรธ...โกรธอ๋อยที่เหลวไหลจนดิฉันพลอยเดือดร้อนไปด้วย

อ๋อยคงคิดแบบเดียวกัน เธอรีบทำงานมือไม้สั่นจนเสร็จค่ะ

"สี่ทุ่มครึ่ง...พี่ไปส่งอ๋อยหน่อยนะ" เธอพูดเร็วปรื๋อ จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะบ้านอ๋อยอยู่คนละทิศกับดิฉัน แถมไกลมากด้วย...จำเป็นต้องขับไปส่งให้ถึงบ้าน

ตลอดทางอ๋อยบ่นว่า...ได้แต่กลิ่นเน่า!

บ่นทำไมไม่รู้ ดิฉันพลอยกลัวไปด้วย...คนปากเสียนี่ชอบพูดอะไรไม่คิด ! อย่าลืมนะว่าดิฉันต้องขับรถกลับบ้านตามลำพังในยามค่ำคืน ไหนจะมีอันตรายสารพัดชนิดให้ต้องระมัดระวังตัว...ไหนจะมีกลิ่นสยองในรถ ที่ไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้สำเร็จ

พออ๋อยลงจากรถ ดิฉันรู้สึกปากคอแห้งผากไปหมด ใจเต้นโครมครามเลยค่ะ

...ไม่ต้องคิดมากแล้ว ดิฉันยกมือไหว้ ด้วยสังหรณ์ใจว่ากลิ่นเหม็นสุดฤทธิ์นั่นคงเป็นพี่นัทแน่ๆ

คุณพระช่วย! ฉับพลันทันใดนั้นเอง เพียงแต่อ๋อยเดินห่างออกไป กลิ่นนั้นก็กลายเป็นกลิ่นหอม...หอมมากค่ะ แล้วจางหายไป แต่ก็กลับมาอีกเป็นระยะๆ จนดิฉันขับรถถึงบ้านโดยปลอดภัย

ฝ่ายอ๋อยนั้น พอรุ่งเช้าก็เล่าว่าพี่นัทมาเข้าฝันทั้งคืน เขาโกรธเพราะเธอทำให้ดิฉันเดือดร้อน...

โธ่! พี่นัท...ตายแล้วยังไม่วายห่วงอีกนะ! เขาไม่ยอมไปไหน ดิฉันทำได้แต่ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลและอธิษฐานให้เขาไปสู่สุคติ อย่าห่วงดิฉันเลย...กลัวหัวใจวายน่ะซีคะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  5 กันยายน 2550

04 กันยายน 2558

ไปลองของ

"ดำ-แดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านร้าง

ฝนตกพรำตลอดคืน ท้องฟ้าแดงฉานน่ากลัว มันช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะเจาะกับการไป "ลองของ" จริงๆ

ใช่แล้วครับ คืนนั้น...ผมกับเพื่อนพาน้องๆ ปีหนึ่งที่เพิ่งเข้าใหม่ ไปทดสอบความสามารถในบ้านที่มีการฆ่ากันตาย

ก่อนอื่น ต้องขอบอกว่าอย่าทำตามนะครับ มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเลย สถานที่แบบนี้มันอันตราย และพวกเราก็ไปกันเองโดยไม่มีการรักษาความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น...ถ้าผมรู้ว่าผลของมันเป็นอย่างไรละก็ พวกผมคงไม่ยอมทำกันแน่...

มันเป็นครั้งเดียวในชีวิตของพวกเรา!

ผมกับเพื่อนอีก 5 คนเป็นนักศึกษาปีสอง เราต้องดูแลน้องปีหนึ่ง...ที่จริงทางคณะจัดกิจกรรมรับน้องใหม่ไปตั้งนานแล้ว แต่เรา - หมายถึงกลุ่มผมยังไม่สะใจ..เราอยากทำอะไรให้น้องๆ จำไปตราบนานเท่านาน

ผมเองเป็นคนเสนอแนวคิด ให้ไปทดสอบความกล้ากันในสถานที่จริง ซึ่งก็คือบ้านร้างกลางซอยบ้านผมเอง!

ประวัติของที่นี่ก็คือ เมื่อ 10 ปีก่อน สาวใช้ของบ้านนี้พาคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันบนรถทัวร์มาค้างด้วยที่บ้าน แถมเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี คนที่เธอพามานั้นเป็นสองผัวเมียที่มาหางานทำในกรุงเทพฯ คนข้างบ้านที่เห็นเมื่อตอนค่ำยังเตือนเธอ แต่เธอไม่ฟังใคร บอกว่าคุยกันมาถูกคอบนรถทัวร์

รุ่งเช้า สาวซื่อผู้นี้ก็กลายเป็นศพ...หัวกับตัวแยกกันไปคนละทางเพราะเพื่อนใหม่มัน ตัดคอเธอเพื่อเอาสร้อยทองตั้งหนึ่งบาทที่เธอสวมอร่ามเรือง ผู้ร้ายมันแทงเธอตั้งหลายแผล มีร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้ เลือดสาดกระจายไปทั่วห้องเลยครับ

น่าแปลกที่คนข้างบ้านไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเลย! เขาว่ากันว่า แผลแรกที่โดนแทงคือที่คอหอย คมมีดตัดเส้นเสียงเธอจึงร้องไม่ออก

แหม! เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้ง 10 ปีมาแล้ว ใครจะคิดล่ะว่าผีจะยังอยู่!

ที่จริงบ้านหลังนี้เคยให้เช่า แต่คนเช่าอยู่ไม่ทนสักราย เจ้าของเลยทิ้งร้างไว้เฉยๆ ซึ่งก็น่าแปลกที่บ้านไม่ทรุดโทรมเท่าไร บานประตูหน้าต่างยังอยู่ครบ ทั้งๆ ที่น่าจะมีขโมยมาถอดมันไป รอบๆ บริเวณถึงจะรกเรื้อแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นป่า เพราะรู้สึกต้นไม้จะตายหมด เหลือแต่กอและหญ้าแห้งๆ ดูแกร็นๆ โกร๋นๆ พิกล

คืนนั้น เรานัดแนะกันมาที่บ้านผม แต่ไม่ได้เข้าบ้านนะครับ กลัวพ่อแม่รู้จะห้ามปรามจนหมดสนุก

พวกผม 5 คนกับรุ่นน้องอีก 3 คน มารวมตัวกันตอน 5 ทุ่ม พอสองยามเราก็ออกไปที่บ้านหลังนั้น ทั่วทั้งซอยมืดและเงียบ มีแต่ไฟถนน พ่อแม่ผมนอนตั้งแต่ 4 ทุ่มเพราะต้องไปทำงานแต่เช้า น้องผมจะขอมาด้วยแต่ ผมไม่ยอม มันเองก็ขี้กลัวด้วยแหละ

เที่ยงคืนตรง เราเดินเข้าไปในบริเวณบ้านอย่างง่ายดาย จะพูดไปอีกทีเราก็มีกันตั้ง 8 คน จะไปกลัวอะไรจริงไหมครับ?

ผมเล่าประวัติบ้านให้น้องใหม่ฟัง เพื่อนผมก็ฟังด้วย...บอกตรงๆ ว่าพวกเรากลัวผีก็จริง แต่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีหรอกน่า!

ป๋องเป็นคนแรกที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ในบ้านคนเดียว พวกเรารออยู่ตรงริมรั้วหน้าบ้าน...น่าหัวเราะสิ้นดี! ไม่ถึง 10 นาทีมันก็หน้าซีดเผ่นออกมาแล้ว จากนั้นเป็นเอก-น้องใหม่รายที่สอง ซึ่งก็เดินน้ำตาไหลออกมาหลังจากเข้าไปอยู่ได้แค่ไม่กี่อึดใจ

อะไรวะ มันขี้ขลาดกันจริงๆ

ผมชักมัน กับอยากอวดให้น้องใหม่เห็นว่าลูกผู้ชายตัวจริงต้องบึกบึน กล้าหาญ...เป็นอันว่าผมอาสาเข้าไปในบ้านนั้นตามลำพัง และถ้าผมอยู่ครบชั่วโมง พวกมันต้องเลี้ยงผม! ทุกคนตกลง ขณะที่ป๋องกับเอกพยายามล้มเลิกโครงการและชวนเรากลับ

ผมเข้าไปในบ้าน ขนลุกเหมือนกันแฮะ บ้านทั้งหลังมืดและเงียบ วังเวงมาก...มันไม่ได้มืดสนิทหรอกครับ แต่มีแสงสลัวๆ จากไฟถนนหน้าบ้าน ผมเดินเข้าไปสำรวจพักหนึ่ง แว่วเหมือนคนเดินตาม แต่พอหันดูก็ไม่มีใคร กระนั้นผมก็ยอมแพ้...ต้องเดินลิ่วออกจากบ้านเมื่อเวลาผ่านไปแค่ 15 นาที!

คนที่ 4 อ้างว่าจะอยู่ครบชั่วโมงคือเจ้าอาร์ต เพื่อนผมเอง...มันเดินหายเข้าไปในห้องมืดๆ ของบ้านสยองขวัญ!

เวลายืนรอมันอยู่ข้างนอกนี่ตื่นเต้นดีไม่หยอก ฟ้ายังแดงฉาน ฝนยังลงเม็ดเปาะแปะๆ เราเปียกแต่ไม่ถึงกับโชก รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ขอบอกว่าในบ้านเย็นมากๆ

10 นาทีผ่านไป ผมมองขึ้นไปชั้นบน...เอ๊ะ! นั่นเงาใคร? สงสัยเป็นเจ้าอาร์ตจริงๆ ด้วย มันมาที่ระเบียง ท่าทางซวนเซคล้ายคนเมา โบกไม้โบกมือร้องไม่เป็นภาษา พอจับความได้ว่า "มารับกูที..."

มันร้องซ้ำๆ แล้วหันไปด้านหลัง ก่อนจะพุ่งหลาวลงมาดื้อๆ

อาร์ตขาหักและม้ามแตก ต้องไปนอนโรงพยาบาลนานน่าดู พวกเราถูกดุยกใหญ่

อาร์ตเล่าว่า มันเดินไปทั่วบ้านและขึ้นบันได รู้สึกมีใครตามหลังเลยหันมอง...เจอผู้หญิงสวมผ้าถุง เสื้อยืดคอกลมสีขาวเปรอะเลือดเดินตามมา มันวิ่งหนีมาที่ระเบียง จะหันกลับก็ไม่ได้เพราะผีผู้หญิงยืนอืดตัวพองคับประตู...มันกลัวสุดขีดจน กระโจนลงจากระเบียง

นอกจากถูกดุแล้ว เราต้องไปขอขมา ไปทำบุญและสัญญาว่าจะบวช 7 วันตอนปิดเทอม

เข็ดจริงๆ ครับ ผีจะมีจริง หรืออาร์ตประสาทหลอนเห็นไปเองก็ไม่รู้ละ แต่ที่แน่ๆ พวกผมไม่เล่นอย่างนี้อีกแล้วครับ...บรื๋อออ....

 ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 4 กันยายน 2550

03 กันยายน 2558

วิญญาณสยอง

"อวภาส์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพบภูตพเนจร

ดิฉันมีคอนโดฯ อยู่สุขุมวิท เป็นห้องชุดที่สวยมากเทียบเท่ากับห้องสวีตในโรงแรม 5 ดาวเลยละ ปกติดิฉันอยู่คนเดียวค่ะ สบายมาก ไม่เคยกลัวอะไรเลย เพราะที่นี่มีบริการรักษาความปลอดภัยที่วางใจได้ พวกขโมยขโจรจะเข้ามาน่ะยากเอาการอยู่

ส่วนเรื่องผีสางนางไม้ก็ไม่รู้จะกลัวไปทำไม เกิดมายังไม่เคยเห็นซักตัว!

แต่แล้วเมื่อสามเดือนนี้เอง ชีวิตและความเชื่อมั่นก็ต้องเปลี่ยนไป...สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นจนทำให้กลัวแทบตาย...กลัวจนอยู่คนเดียวไม่ได้อีกเลยค่ะ

เจ้าหลานชายวัยรุ่นนั่นแหละ ตัวดี...

ตอนนั้นดิฉันต้องไปดูงานที่ฝรั่งเศส ไปแค่สิบกว่าวันเท่านั้นเอง ระหว่างนั้นเจ้าดู๋-หลานชายสุดเลิฟขอมาอยู่เพื่อใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตของดิฉันทำรายงานกลุ่มของมหาวิทยาลัย...แหม! หลานแท้ๆ และไม่สำมะเลเทเมาเรื่องเหล้ายา ไว้ใจได้

12 วันของการดูงานผ่านพ้นไปด้วยดี ดู๋มารับที่แอร์พอร์ต ช่วยกุลีกุจอตัวเป็นเกลียว น่ารักมาก พอกลับคอนโดฯ ก็พอใจ และนึกชมเชยที่หลานดูแลให้อย่างดี ไม่มีรกเลอะเทอะ ทุกอย่างดูเนี้ยบเหมือนเดิม ทั้งที่เขาบอกว่าพาเพื่อน 4-5 คนมาทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันตั้งหลายวัน

หลังจากช่วยยกสัมภาระ พอดิฉันกลับเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ดู๋ก็กลับบ้านไปพร้อมกับของฝากที่ถูกอกถูกใจอย่างล้นเหลือ...ดิฉันเชื่อภาษิตจีนค่ะ

"เดินทางไกลมีขนนกมาฝากอันเดียว นับว่ามีน้ำใจ"

เมื่ออยู่ตามลำพังก็รู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก อยู่คนเดียวก็ดีอย่างนี้แหละค่ะ มันเป็นความเป็นส่วนตัวที่แสนสุขใจ...ดิฉันเปิดน้ำอุ่นจนเต็มอ่างน้ำ แล้วโรยเกลือหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ลงไป ก่อนจะนอนแช่ให้ร่างกายคลายความเมื่อยล้า...

ขณะหลับตา ปล่อยใจให้ล่องลอยในความสุขสงบ ดิฉันรู้สึกเหมือนว่ามีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น เอะใจจนต้องผงกหัวขึ้นมานั่งฟัง...นั่นไง! เสียงเดิน...เสียงนั่งลงบนโซฟาชัดๆ

เอ๊ะ! เป็นไปได้ยังไง...เราล็อกประตูเรียบร้อยแล้วนี่นา!

ด้วยความงงงันผสมกับรู้สึกกลัวนิดๆ ดิฉันรีบลุกจากอ่างน้ำ คว้าเสื้อคลุมผ้าขนหนูให้มิดชิดแล้วค่อยๆ ย่องออกไปดู...

ทั่วบริเวณห้องชุดของดิฉันสว่างไสว และไม่มีใครอยู่สักคนเดียว ต้องเดินสำรวจดูทุกห้องจนมั่นใจ สงสัยว่าเราจะหูฝาดหรือไม่ก็ประสาทหลอน

ดิฉันแต่งตัวเป็นเสื้ออยู่บ้าน ไม่แช่ต่อแล้วค่ะน้ำอุ่นน่ะ ปล่อยทิ้งลงท่อไปเลย แล้วหันไปคว้าสลัดผักในตู้เย็นออกมานั่งกินบนโซฟาหน้าทีวี ดูทีวีไปกินไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...ดีนะที่ดู๋จัดการซื้อผัก ผลไม้และอาหารกล่อง รวมทั้งน้ำส้ม นมสด มาใส่ตู้เย็นไว้ให้ในวันก่อนที่ดิฉันจะกลับมานี่

นั่งอยู่หลายชั่วโมง เหลือบดูนาฬิกาเกือบตี 3 แล้ว! เข้านอนดีกว่า พรุ่งนี้ตื่นสายได้ไม่ต้องไปทำงาน ขอพักให้สบายตลอดวัน

ดิฉันปิดทีวี แสงไฟในจอดับวูบเหลือแต่จอพลาสม่าว่างเปล่า ความเงียบคล้ายจะถาโถมเข้ามา...ทันใดนั้น เงาสะท้อนก็ปรากฏขึ้นเหมือนเราส่องกระจก ดิฉันเห็นตัวเองและแบ๊กกราวน์ข้างหลังทั้งหมดในห้อง และที่น่าตกใจคือมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ชิดกับหลังดิฉัน...เธอโผล่หน้ามาครึ่งๆ ราวกับกำลังหลบข้างหลังแล้วแอบมองยังงั้นแหละค่ะ

ดิฉันตกใจจนเสียหลัก จากท่านั่งหงายลงไปนั่งแผละกับพื้น...

ไม่มีใครเลยจริงๆ ดิฉันอยู่ลำพังตัวคนเดียวแท้ๆ

ขนลุกเกรียว อากาศในห้องดูจะหนาวเยือกพิกล...นี่มันอะไรกัน? ดิฉันบอกตัวเองว่าคงตาฝาด แต่ในใจเริ่มหวาดระแวง

เป็นอันว่าคืนนั้นเปิดไฟห้องข้างนอกไว้ แล้วตัวเองก็เข้าห้องนอน ดับไฟมืด ล็อกประตูแน่นหนา...ดิฉันนอนเปิดไฟไม่ได้ค่ะ แสงไฟมันแยงตา

ตอนนั้นแค่หวาดๆ ยังไม่กลัวอะไรมากมาย ก็เลยหลับผล็อยไปง่ายๆแต่แล้วก็ต้องตื่นเพราะมีเสียงร้องไห้อยู่นอกห้อง...ดิฉันลืมตาตื่นเต็มที่ เสียงนั้นก็ยังอยู่ มันดังที่ประตูห้องนอนนี่เอง!

พอมองที่ช่องใต้ประตูก็เห็นมีเงาเหมือนมีใครนั่งพิงอยู่ ดิฉันขยับ...เงานั้นก็เคลื่อนไปอีกด้านหนึ่งคล้ายจะลุกหลีกทางให้ ดิฉันมือเย็นเฉียบ เอาหูแนบบานประตู มือหนึ่งก็จับลูกบิด แล้วตัดสินใจเปิดแง้ม...

ทันทีที่เปิดประตู มีผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะเปียกโชกทั้งตัวยืนประจันหน้า! ที่จำได้ติดตาที่สุดคือ...เธอไม่มีลูกตาค่ะ! ปากสีดำเผยอนิดๆ มีน้ำใสๆ ไหลรินออกมาช้าๆ

สติดิฉันพลันดับวูบ!!

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็รุ่งเช้า ดิฉันยังนอนกองอยู่กับพื้น...

เรื่องของเรื่องก็คือ ตอนดิฉันไปฝรั่งเศสดู๋พาเพื่อนมาทำงานกลุ่มหนึ่งที่นี่ พอเซ็งๆ พวกเขาก็เล่นผีถ้วยแก้วกัน...เขาเชิญวิญญาณ และวิญญาณที่มาเข้าบอกว่าเป็นผู้หญิงจมน้ำตายใกล้ๆ กับที่นี่ ด้วยความตกใจเพื่อนบางคนปล่อยมือจากถ้วย...และถ้วยแก้วก็ล้มหงาย...

ไม่มีการเชิญวิญญาณกลับ ฉะนั้นเขาก็อยู่ที่นี่เลยน่ะซีคะ!

ดิฉันขอให้เพื่อนที่เชื่อเรื่องแบบนี้พา "อาจารย์" มาทำพิธี ไม่รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้ดิฉันต้องให้น้องสาวเข้ามาอยู่ด้วย และบางวัน...เจ้าดู๋ตัวดีนั่นแหละที่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนดิฉัน น่าโมโหจริงๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่  3 กันยายน 2550

01 กันยายน 2558

อาการผีอำ

อาการผีอำ หรือ Hag Attack' hag

ขอเล่าสาเหตุที่โพสต์เรื่องนี้ก่อนนะคะ คือ ในตอนช่วงเย็นที่ผ่านมา แอดมินได้เผลองีบไปสักพัก พอตื่นขึ้นมา ก็มีอาการผีอำ หรือเรียกว่าอาการ Sleep paralysis ค่ะ พอเกิดอาการนี้ปุ๊บ ก็ทำให้นึกย้อนไปในช่วงที่แอดมินเรียนปี2อยู่ค่ะ ว่าเคยเรียนเรื่องนี้เหมือนกันในวิชา Physiological Psychology และเคยนำเสนอเรื่องนี้ไปครั้งนึงแล้ว แต่ดันหาไม่เจอ เลยคิดว่าน่าจะนำเสนอเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ

อาการผีอำ ไม่ได้เป็นเรื่องราวของไสยศาสตร์ เรื่องหลอนๆนะคะ แต่เป็นอาการทางร่างกายที่เกิดมาจากสมองกับร่างกายตื่นไม่พร้อมกัน ในอาการผีอำ คือ สมองยังไม่ตื่น (สารที่ควบคุมไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหวยังคงทำงาน) แต่ร่างกายเราตื่นแล้ว(รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับตัวได้)

ซึ่งลักษณะอาการผีอำ คือ เมื่อเราตื่น รู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว แต่เราทำได้เพียงกลอกสายตาไปมาๆ แต่ไม่สามารถลุกขึ้นได้ ยกแขนยกขาไม่ได้ รู้สึกว่ามีผีหรืออะไรหนักๆมานั่งทับบนตัว เวลาจะตะโกนออกเสียงร้องให้คนช่วย ก็ไม่สามารถออกเสียงได้ ร้องไม่ออกนั่นเอง ในวินาทีนั้น เราก็จะรู้สึกตกใจ คิดไปเอาเองว่า เรากำลังโดนผีอำ แล้วสมองของเราจะจินตนาการเรื่องราวที่น่ากลัวให้ผสมกับความรู้สึกที่มีอยู่ บางคนมีอาการประสาทหลอนขึ้นมา เช่นอาจเห็นภาพหลอนหรือได้ยินเสียงต่างๆ ทำให้รู้สึกหลอนๆ หวาดกลัวเต็มที่ แล้วจากนั้นสักพัก พอความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาเยอะๆ เราก็จะเริ่มสวดมนต์เพื่อให้ผีออกไป พอสวดมนต์ไปสักพัก ก็คิดว่าสงสัยผีคงกลัวเสียงสวดมนต์ ทำให้อาการเราดีขึ้น และเริ่มขยับตัวได้ค่ะ

แต่ในความจริงแล้ว ที่ร่างกายเริ่มขยับตัวได้ เป็นเพราะว่าสมองของเราได้เริ่มหยุดการหลั่งฮอร์โมน(Growth hormone)ออกมาค่ะ ซึ่งฮอร์โมนที่ว่านี้จะยับยั่งไม่ให้ร่างกายทำงานในขณะที่ฝันอยู่ค่ะ เพื่อป้องกันการขยับของร่างกายเมื่อเรากำลังฝัน หากฮอร์โมนตัวนี้ ไม่ทำงาน ก็จะทำให้เราเกิดอาการละเมอค่ะ กล่าวคือ ขณะที่เราหลับหรือฝันอยู่ เมื่อฮอร์โมนไม่ทำงาน จะทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว อาจก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเราเองได้ค่ะ

ซึ่งอาการผีอำส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อเราหลับในช่วงระยะ REM (Rapid eyes movement)ค่ะ เป็นระยะที่2ของการนอนหลับ และระยะที่เราใกล้ตื่น ซึ่ง2ระยะนี้เป็นระยะของการเกิดความฝันค่ะ แต่ถ้าเรานอนหลับสนิทหรือหลับลึกเลย เราจะไม่มีความฝันค่ะ พอเราได้หลับสนิท ตื่นมาร่างกายก็จะสดชื่น สดใส เพราะได้หลับอย่างเต็มที่ค่ะ

อาการผีอำนี้ จะพบได้ทุกวัยนะคะ สาเหตุที่เกิดอาการผีอำมีหลายสาเหตุเช่น
1.อดหลับอดนอน
2.นอนหลับไม่สนิท
3.การใช้สารเสพติด
4.เป็นโรคลมหลับ(Narcolepsy) > โรคง่วงนอนตลอดเวลา

วิธีดูแลตัวเองไม่ให้เกิดอาการนี้นะคะ
1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้เรานอนหลับได้สนิทค่ะ
2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนเยอะเกินไป
3.พยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด
4.นอนหลับให้เป็นเวลา

แต่หากมีอาการบ่อย ก็ควรที่จะไปพบแพทย์ หวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้เข้าใจสาเหตุและอาการผีอำนะคะ จะได้ไม่ตกใจ และหลอน เมื่อมีอาการนี้ขึ้นมาค่ะ

ที่มา: แนะแนวจิตวิทยา Facebook Page