28 มกราคม 2559

ผีตาเผื่อน

"ไผ่เขียว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสวนบางพลัด

สมัยเด็กผมอยู่ในสวนแถวๆ หลังวัดบางอ้อ ก่อนไปทางบางพลัด ถนนจรัญสนิทวงศ์ตัดมาหลายปีแล้วละครับ ความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านจะไปมาหาสู่กันต้องเดินตัดสวนกันเป็นเทือกก็มีถนนให้เดินสบายๆ

ผมมีเพื่อนรุ่นเดียวมากมาย ไปถึงบางกรวย พระรามหก ข้ามฟากไปฝั่งถึงวัดสร้อยทอง วัดเขมาฯ ฝั่งนี้ก็มีแถววัดเทพนารี วัดเทพากร เลยไปวัดสิงห์ วัดรวกโน่นแน่ะครับ...เขาว่ากันว่า สวนฝั่งธนบุรีนี่ผีดุกว่าฝั่งกรุงเทพฯ เป็นไหนๆ ยิ่งแถววัดระฆัง วัดอรุณฯ น่ะ บรื๋อส์...ผีดุอย่าบอกใครเชียว

สมัยนั้น ตกค่ำถนนหนทางก็ชักจะเปล่าเปลี่ยวแล้วละคุณ ไม่ต้องไปพูดถึงตามตรอกตามซอยทั้งสองฟากฝั่งก็ยังได้ ยอดไม้ยืนทะมึน ลมพัดมาตะละทีทำให้กิ่งใบไหวซู่ซ่า เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนใหญ่ แต่บางทีก็คล้ายกับเสียงสะอึกสะอื้น ร่ำไห้ด้วยความทุกข์โศกอย่างเหลือประมาณ บรรยากาศเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจจริงๆ ครับ!

จนกระทั่งพวกเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เลือดเนื้อแตกตื่น ใจคอคึกคัก มีแต่ความกล้าแบบบ้าบิ่น อยากรู้อยากเห็นไปหมด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงนี่แหม...ขอเปิดอกพูดเลยว่าทำให้ตื่นเต้น ตะครั่นตะครอเนื้อตัว ชอบคิดอะไรเพ้อเจ้อ เห็นใครสวยๆ หุ่นดี อกพุ่งตะโพกผายเข้าหน่อยก็เล่นเอาปากคอแห้งผากไปได้ง่ายๆ

ผมมีเพื่อนหลายคนอย่างที่ว่า ประเภทบ้านอยู่ใกล้กัน สนิทกันมากก็เจ้าโก๋ ที่สนิทรองลงไปอยู่ที่วัดเทพนารีชื่อเจ้าเป๋กับเจ้านุ้ย เรามักไปมาหาสู่กันเป็นประจำ พอริอ่านซดสุราตามรอยรุ่นพี่ ผมกับเจ้าโก๋ก็มักจะหลบไปที่นั่น...

อ๋อ! หลบสายตาพ่อแม่ผมกับพ่อแม่เจ้าโก๋น่ะซีครับ ที่ปากซอยหลังวัดเทพนารีหรือซอย 68 สมัยนี้มีร้านชำ ขายสุรากาแฟพร้อมสรรพ เราซื้อไปดวดกันในสวนเป็นโขยงน้ำแข็งซื้อเป็นมือๆ ทุบตุนใส่ลังเอาไว้เลย ยกเว้นเหล้าหรือแกล้มหมดถึงจะย่ำต๊อกออกไปซื้ออีกรอบสองรอบ

เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้นะครับ เพราะราวสองทุ่มเขาก็ปิดร้านแล้ว แหม...สมัยนั้นรถรายังน้อย นานๆ จะแล่นผ่านไปมาซักคัน ถนนก็ยังมีแค่สองเลนเท่านั้นเอง

ก๊วนเราจะยึดดงมะพร้าวเป็นที่เสพสุราฮะกึ๋นกันเป็นประจำ

จากปากซอยเข้าไปหน่อยก็เลี้ยวขวา ตรงไปก็จะถึงดงมะพร้าวที่ว่า ตะละต้นสูงโด่เหมือนเปรตไม่มีผิด มีอยู่ราว 6-7 ต้น แถมขึ้นห่างๆ กันด้วย...ถ้าเลี้ยวซ้ายอีกทีเริ่มเข้าหมู่บ้านทางขวา ป่าช้าอยู่ทางซ้าย...ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงศาลาท่าน้ำ มีโป๊ะสำหรับผู้โดยสารเรือข้ามฟากไปฝั่งสามเสน ใกล้ๆ วัดปราสาทฯ ไงครับ

ผมโดนผีหลอกที่หลังวัดนั่นแหละคุณเอ๋ย หวิดจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันเชียว

ค่ำนั้น เราล้อมวงกันตั้งแต่เย็น กับแกล้มเพียบ เจ้าเป๋เอาห่อหมกพุงปลามาถึง 2 ห่อแน่ะ บอกว่าแม่มันทำเอง รองด้วยผักกาดอ่อนๆ รับรองว่าไม่ใช่ใบยอที่พวกเราเบ้หน้าไปตามๆ กัน เจ้านุ้ยเอาเนื้อเค็มมาหลายมัด ไหนจะข้าวเกรียบกุ้งกับถั่วลิสงคั่ว แถมแหนมห่อเล็กๆ อีกหนึ่งพวง...มีตะเกียงรั้วกับยากันยุงชนิดแท่งพร้อมที่รองเรียบร้อย

เวลาผ่านไป วงสุราของเราก็ยิ่งครึกครื้นขึ้นทุกที!

เรื่องที่พูดคุยกันไม่พ้นเรื่องบู๊กับเรื่องหญิง ว่าใครจะเก่งกว่ากันก็มี...ใครประกอบวีรกรรมด้วยการไปดักดูสาวๆ นุ่งกระโจมอกอาบน้ำตามตีนท่าบ้าง กระทำการ "ถ้ำมอง" เขามั่ง ผลัดกันเล่า ผลัดกันโม้ จบเรื่องทีเฮกันตึง สมัยนี้ต้องบอกว่าขำกลิ้งไปตามๆ กัน

จู่ๆ ไอ้โก๋เพื่อนผมก็หลุดปากว่า...แถวนี้ผีดุจริงมั้ยวะ?

หัวเราะกันครืน เจ้าเป๋บอกว่าเกิดที่นี่จนแตกเนื้อหนุ่ม รู้จักผีทุกตัว ไม่ว่าจะเผาจะฝังเคยไปดูมาทั้งนั้น คอยแย่งเงินที่เขาโปรยทานไงล่ะ รับรองว่าไม่กลัวผีแน่ๆ

แทบจะไม่ขาดคำก็มีเสียงดังตุ้บๆ เฉียดวงเหล้าไปนิดเดียว เล่นเอาพวกเราสะดุ้งโหยง หันขวับ ไอ้นุ้ยบอกว่ามะพร้าวมันหล่นน่ะ...แต่ทำไมมองไม่เห็นซักลูก? ไอ้โก๋ลงทุนลุกไปก้มๆ เงยๆ มองหา แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ จะว่าหูแว่วก็ได้ยินกันทุกคน

ทันใดนั้น ยอดมะพร้าวไหวซ่าเหมือนถูกมือยักษ์จับเขย่า ทั้งๆ ที่บนพื้นดินไม่มีวี่แววว่าจะมีลมพัดแม้แต่น้อย ตามด้วยเสียงตุ้บ! อีกสองครั้งติดๆ กัน

"เฮ้ย! อะไรวะ?" เจ้าเป๋โดดผึง กระชากเสือซ่อนเล็บออกมาทันที เจ้านุ้ยก็ดึงดิ้วยางมาเตรียมพร้อม...คราวนี้สรรพสิ่งเงียบเชียวเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง! ผมชักสังหรณ์ใจพิกลเลยฉุดแขนไอ้โก๋ให้ลุกขึ้นยืน

ไม่มีลูกมะพร้าวตามเคย แล้วมันเสียงนรกจกเปรตอะไรล่ะ?

"พวกเอ็งหาอะไรกันวะ..." เสียงแหบแห้งดังขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปมองเห็นชายชราผมขาว หน้าตาเหี่ยวย่นกำลังใช้มือป้องตามองมา...รู้สึกผิดสังเกตอะไรบางอย่าง แต่พิษเหล้าทำให้พร่ามึนจนนึกไม่ออกว่าคืออะไรแน่...นอกจากจะรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัวขึ้นมาดื้อๆ

"ผีหลอกมั้ง ตาเผื่อน" ไอ้โก๋หันขวับมาตอบห้วนๆ มือยังกำเสือซ่อนเล็บไว้ทั้งสองด้าน เจ้านุ้ยเพิ่งจะหันมามองเป็นคนสุดท้าย นัยน์ตาเหลือกลานบัดดล

"เฮ้ย! ตาเผื่อนตกน้ำตายเมื่อวานนี้เองนี่หว่า" ขาดคำมันก็เรอเอิ๊ก ดิ้วร่วงจากมือทรุดฮวบลงไปนั่งแผละ ผมรู้สึกขนหัวลุกตั้งเมื่อเพิ่งนึกออกว่าชายชราผู้นั้นเปียกโชกไปทั้งตัว...ไอ้เป๋ร้องจ้า โยนเสือซ่อนเล็บทิ้ง วิ่งไปทางท้ายวัดไม่เหลียวหลัง ไอ้โก๋ยืนขาสั่นพั่บๆ น้ำตาไหลพราก ผมรวบรวมสติคว้าข้อมือเพื่อน ม่านตาลายพร่า ชนผีตาเผื่อนวิ่งกระเซอะกระเซิงไปทางปากซอยโดยไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังมาติดๆ เราสองคนวิ่งมาหมดแรงหน้าร้านชำที่เขาปิดไปแล้ว ทิ้งตัวลงหอบฮั่กๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย...เข็ดหลาบตั้งแต่คืนนั้นจนถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 มกราคม 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น