"หลานมิวท์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณป้าศรี
ดิฉันไม่ใช่คนขวัญอ่อน แถมไม่กลัวผีด้วยค่ะ แต่ก็ไม่คิดจะไปลองดีหรือลองของที่ไหนนะคะ คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ กรุงเทพฯ ทุกวันนี้มีคนเข้ามาแออัดอยู่ตั้ง 12-13 ล้านคนแล้ว ถ้ารวมเขตปริมณฑลกับพวกคนต่างด้าวเข้าไปด้วยคงจะเกือบ 20 ล้านคนก็ได้
ผู้คนขนาดนี้ก็ต้องแก่งแย่งกันทำมาหากินเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ ไหนจะครอบครัวโดยเฉพาะลูกเต้าตาดำๆ อีกล่ะ?
ดิฉันยังไม่มีครอบครัวหรอกค่ะ แต่ก็ก้มหน้าทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยจนจบ ทั้งเก็บเงินเก็บทองไว้เพื่อสร้างอนาคตตัวเอง ไม่อยากหวังความช่วยเหลือจากคนอื่น
ถ้าไม่จนตรอกจนถึงกับจะขาดใจตายจริงๆ ก็ไม่ขอบากหน้าไปเบียดเบียน หรือรบกวนใคร เพราะรู้ดีว่าคนทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระให้แบกรับจนหนักอึ้งด้วยกันทั้งนั้น
ดิฉันทำงานที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งแถวประตูน้ำ เป็นเพื่อนคุยของแขกที่ว้าเหว่หงอยเหงา แต่ไม่ได้ขายตัวนะคะ อย่าเข้าใจผิด...ดิฉันตั้งใจทำงานและเรียนเพิ่มเติมทั้งภาษาจีน และคอมพิวเตอร์ มั่นใจว่าความรู้จะเป็นสมบัติติดตัวที่ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ตลอดกาล
"ป้าศรี" เป็นคนที่ให้บทเรียนแก่ดิฉันโดยแกไม่รู้ตัว!
หญิงชราอายุ 60 เศษ มาช่วยทำงานในร้านอาหารใกล้ๆ ทั้งล้างถ้วยล้างชามและเก็บกวาด ส่งอาหารที่เขาสั่งจากร้านข้างๆ ราวสองยามเศษปิดร้านแล้ว แกถึงจะได้นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับห้องเช่าเปล่าเปลี่ยวที่เจริญผล
ป้าศรีตัวคนเดียว ผัวตาย ลูกเต้าหายหน้าไป...แกไม่อยากเล่าเรื่องนี้นักหรอกค่ะ พอใครถาม ใบหน้าซูบซีดเหี่ยวแห้งก็มักจะเบือนหนี บางทีดิฉันยังเห็นน้ำตาป้าศรีไหลลงมาตามร่องแก้มเหี่ยวย่นเป็นทางยาว
เราถูกชะตากันเป็นพิเศษ บางคืนแกก็เอาอาหารมาส่งเรา มักจะมีขนมหรือผลไม้มาฝากดิฉันเสมอ..พึมพำว่าเห็นแล้วนึกถึงลูกสาว!
ดิฉันเองก็คอยหยิบยื่นให้แกทีละห้าสิบบาทร้อยบาท รู้สึกเหมือนป้าศรีเป็นญาติคนหนึ่ง ชีวิตแกทำให้นึกสะท้อนใจว่า...ถ้าแก่ตัวลงไปต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็ขอตายดีกว่า
ที่ทำงานดิฉันมีคนชื่อคล้ายๆ กันถึง 3 คน คือ...มินต์, มิลล์และดิฉันเอง...มิวท์! พอป้าศรีเอาข้าวราดหน้ากะเพราไข่ดาว ซึ่งเป็นของโปรดมาส่งดิฉัน แกมักจะพูดดังๆ ว่าของมิวท์นะ ไม่ใช่ของมินต์หรือของมิลล์ แต่สองชื่อหลังแกพูดไม่ชัด ออกเสียงเป็น "มิ้น" เหมือนกันทุกครั้ง
ป้าศรีมักจะนุ่งผ้าถุงดำ สวมเสื้อสีขาว บางทีก็สีเทา แค่มองเห็นร่างผายผอมใบหน้าซูบซีด นัยน์ตาช้ำแทบไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นคนเจ้าทุกข์...ทั้งพบผ่านและแบกรับความทุกข์ระทมมาชั่วชีวิต
ไม่มีใครชอบความทุกข์ แต่คนเราก็มักจะหนีมันไม่พ้น!
ป้าศรีเป็นทั้งเบาหวาน ความดันสูงและลิ้นหัวใจรั่ว แกเล่าว่าบางคืนแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก นึกว่าตายเสียแล้ว...แต่พญามัจจุราชก็ยังมองเมินเหมือนไม่เคยเห็นแกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยนิด
"เห็นมินท์แล้วป้าคิดถึงลูกสาว..." แกเคยหลุดปากกับดิฉันครั้งหนึ่งเมื่อเอาอาหารมาส่ง "ไม่ได้เห็นมันมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง?"
ป้าศรียกผ้าขึ้นซับน้ำตา ดิฉันนิ่ง...บางครั้งความเงียบก็เป็นการช่วยปลอบอกปลอบใจเพื่อนมนุษย์ได้ดีกว่าคำพูดด้วยซ้ำ! ป้าศรีบีบมือดิฉัน มองสบตาแล้วพยักหน้า ฝืนยิ้ม ถามว่า อยู่คนเดียวจริงๆ หรือ? ดิฉันก็ยืนยันว่าเช่าห้องอยู่คนเดียวที่มักกะสันเหมือนแกนั่นเอง
"ก็คงเหงาเหมือนป้าละนะ...ถ้าคิดจะมีคู่ก็เลือกคนที่เขาดีๆ ไม่กินเหล้าเจ้าชู้ ข้อสำคัญให้รักเราจริงๆ ก็แล้วกัน"
ดิฉันยิ้มให้...สงสัยว่าป้าศรีคงมีผัวที่เมาเหล้าและเจ้าชู้ แถมไม่ค่อยรักใคร่หรือรับผิดชอบแกเท่าไหร่...ทำให้บั้นปลายชีวิตของป้าศรีต้องมาลงเอยอย่างน่าสังเวชแบบนี้
คืนเกิดเหตุขนหัวลุก ดิฉันหยุดงานพอดีค่ะ!
ไปเรียนคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม ตกเย็นเข้าฟิตเนส ก่อนกลับก็แวะหาซื้อหนังสือที่ให้ความรอบรู้ต่างๆ ส่วนมากเป็นหัวนอก...ดิฉันไม่แตะต้องบุหรี่ สุราและการพนันเด็ดขาด แม้แต่สลากกินแบ่งก็ไม่ซื้อ! ถ้าคนสวนมากคิดอย่างนี้ ปัญหาเรื่องลอตเตอรี่ขายเกินราคาขนาดใบละ 116 บาทอย่างที่เขาว่ากัน คงจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน
กลับถึงห้องพักก็อาบน้ำ เปิดตู้เย็น เอาสลัดผักสำเร็จรูปออกมากินกับขนมปังกรอบ ดื่มนม แล้วเปิดไฟอ่านหนังสือที่มีคอลัมน์ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ...
"มิวท์...มิ้วท์..." เสียงเรียกดังมาจากเฉลียงด้านหลัง...เสียงป้าศรีชัดๆ ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นได้ว่าตากผ้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายก่อนจะออกไปข้างนอก...รีบเปิดประตู เก็บผ้ามองลงไปที่ความมืดสลัวด้านล่าง ดูลิบๆ เพราะดิฉันอยู่ถึงชั้นห้า
พอกลับมานอนอ่านหนังสือก็เอาอีกแล้ว...มิวท์! มิวท์...เอ๊ะ! ยังไงกันแน่?
เงี่ยหูฟังสักพักก็ได้ยินเสียงเรียกชื่ออีก คราวนี้ชักระแวง เพราะพ้นระเบียงออกไปก็คือความโล่งว่าง เวิ้งว้างน่าใจหายสำหรับคนกลัวความสูง...เสียงที่เรียกน่ะเป็นเสียงป้าศรีจริงๆ แต่แกจะมาเรียกที่นั่นได้ยังไง? คืนนั้นก็รู้สึกเหมือนป้าศรีมาวนเวียนอยู่ในท้องทั้งคืน
รุ่งขึ้นไปทำงานก็ได้ข่าวว่า ป้าศรีตายเมื่อเย็นวานนี้เองด้วยโรคหัวใจ เพื่อนข้างห้องได้ยินเสียงล้มโครมครามก็เข้าไป...ป้าศรีขาดใจตายเสียแล้ว! ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ ป้าศรี อย่ามาหามิวท์อีกเลยนะคะ กลัวจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น