31 มกราคม 2559

ระเบียงอาถรรพณ์

"กสิณา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากดินแดง

ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์สยองขวัญ ติดหูติดตามาหลายปี ทุกวันนี้ก็ยังจดจำภาพเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ น่าขนลุกขนพองเหมือนกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งอุบัติขึ้นสดๆ ร้อนๆ ไม่ช้าไม่นานมานี้เอง

ก่อนอื่น ดิฉันขอยืนยันว่าขณะที่ประสบเหตุการณ์สยองนั้น ตัวเองไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ จะว่าเกิดจากสติสัมปชัญญะเลอะเลือนเพราะฤทธิ์สุรา หรือเพราะความอ่อนเพลียทำให้ตาฝาด เกิดจินตนาการว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วตัวเองก็พลอยหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะไปด้วย

ร่างกายและจิตใจเข้มแข็งเป็นปกติทุกอย่างค่ะ!

เพื่อตัดปัญหาที่อาจจะติดตามมาภายหลัง ขอบอกแต่เพียงว่าดิฉันอยู่ที่เขตดินแดงระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนซูเปอร์ไฮเวย์ มีถนนและตรอกเล็กซอยน้อยแผ่กระจายเหมือนใยแมงมุม...เหตุการณ์ขนหัวลุกอุบัติขึ้นที่หน้าบ้านดิฉันนั่นเอง

ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวหลายหลัง มีซอยเล็กๆ คั่นเกือบทุกหลัง ขนาดรถแล่นเข้าได้ก็มี ขนาดเป้นทางเดินแคบๆ ก็มี ตึกแถวก็มีทั้งเรียงรายราว 4-5 ห้อง กับมีแค่ 2 ห้องที่ทะลุถึงกัน แต่ทุกวันนี้เป็นตึกร้างไปแล้ว

มองจากระเบียงบ้านดิฉันไป คือตึกแถว 5 ห้องที่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของชำและร้านเสริมสวย อีก 2 ห้องริมซอยเล็กๆ เป็นที่อยู่อาศัย...มีรถราแล่นผ่านไปมาขวักไขว่ตอนกลางวัน ผู้คนก็เดินเข้าออกหนาตา บางคนเงยขึ้นมาร้องทักทาย บางคนดิฉันก็ทักลงไป...ล้วนแต่คุ้นๆ หน้ากันทั้งนั้น

มอเตอร์ไซค์ทั้งส่วนตัวและรับจ้างแล่นกระหึ่ม แต่ส่วนมากจะระมัดระวังอันตรายกันพอสมควร...เสียแต่ไม่ค่อยชอบสวมหมวกนิรภัยกันเสียเลย

ขนาดออกไปถนนใหญ่ก็ยังไม่สวมหมวกกันน็อก เห็นแล้วน่าหวาดเสียวแทนตำรวจก็ไม่ค่อยสนใจจะจับกุม หรือว่ากล่าวตักเตือนหรอกค่ะ รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายเหลือเกิน ถ้าสวมหมวกจะช่วยป้องกันได้มากทีเดียว

เพราะเหตุนี้เอง เรื่องสยองขวัญจึงอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง!

วันเกิดเหตุเป็นบ่ายวันอาทิตย์ ดิฉันไปนั่งที่ม้ายาวริมระเบียงพร้อมกับหลานชาย...มองดูรถราและผู้คนที่เดินเข้าออกแทบไม่ขาดระยะ ร้านเสริมสวยมีลูกค้าหนาตาเป็นพิเศษ เพราะมาสระผมไดร์ผมสำหรับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น...

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจนไม่น่าสนใจ แต่แล้วคล้ายจะมีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ดิฉันหันไปมองทางก้นซอยโดยไม่ได้ตั้งใจ

รถเครื่องสีแดงเลือดนกแล่นลิ่วออกมาจากก้นซอย คนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัยตามเคย! เสื้อวินสีเขียวทำให้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...มีการเคลื่อนไหวทางขวามือ ดิฉันหันไปมองก็ชาวาบไปทั้งตัวในบัดดล

เด็กชายวัย 10 กว่าขวบกำลังวิ่งออกมาจากซอยเล็ก...ตาอั้น! แม่ของแกกำลังรอคิวทำผมอยู่ในร้าน...มอเตอร์ไซค์กับเด็กชายที่กำลังจะพบกันตรงหัวมุมตึกแถว แต่ต่างฝ่ายต่างก็มองไม่เห็นกันหรอกค่ะ...เหมือนภาพสโลว์โมชั่นที่น่าสยดสยองสิ้นดี!

รถสีแดงพุ่งเข้าชนเด็กชายเสียงโครม! ทั้งรถทั้งคนกระเด็นลงไปกลิ้งบนพื้นถนนตามด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนเข้าไปถึงหัวใจ ผู้คนวิ่งถลาออกมามุงดู ดิฉันเองก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียงมองลงไป เห็นแต่หัวดำๆ กับเสียงพูดเซ็งแซ่...เลือดแดงฉานไหลนองอยู่บนพื้นถนนจนดิฉันรู้สึกปวดมวนในช่องท้อง ภาพต่างๆ พร่าเลือนไปชั่วขณะ...

ตั้งแต่เกิดมา ดิฉันไม่เคยเห็นภาพสุดสยองแบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ทรุดร่างลงนั่งแปะตามเดิมเสียงหลานชายซักถามอะไรดังแว่วๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงแทบกระทบโพรงอก มือเท้าเย็นชืดไปหมด...ได้ข่าวว่าเด็กชายสลบคาที่ คนขับมอเตอร์ไซค์ก็ศีรษะแตก...ดูเหมือนแหลกยับเยินเพราะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย

ไปตายที่โรงพยาบาลทั้งคู่เลยค่ะ!

เวลาผ่านไปเกือบเดือน มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายราย...ชายบ้านแทบจะลืมเหตุการณ์สยองขวัญวันนั้นไปเกือบหมด แต่ดิฉันยังจำได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นชื่อนายชิต บ้านอยู่แถวตลาดใกล้ๆ กัน กับตาอั้น-เด็กน้อยวัย 10 ขวบที่ต้องมาตายก่อนกำหนด

ดิฉันยังออกไปนั่งเล่นกับหลานชายที่ระเบียงบ้านเสมอ นึกถึงเหตุการณ์สยองวันนั้นแล้วไม่วายขนลุก...ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกเลย!

เย็นนั้น กลับจากทำงานมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ชวนหลานไปกินขนมที่ระเบียงไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้นึกถึงนายชิตกับตาอั้นผู้ล่วงลับไปแล้ว

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากก้นซอย ดิฉันไปมองก็เห็นเสื้อกั๊กสีเขียวของรถรับจ้าง..แต่เมื่อหันไปทางขวาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งออกจากซอยเล็กเร็วจี๋...

คุณพระช่วย! ภาพสโลว์โมชั่นแสนสยองอุบัติขึ้นอีกแล้วค่ะ!

มอเตอร์ไซค์คันนั้น...นรกเป็นพยาน! คนขับคือนายชิต...ส่วนเด็กชายก็คือตาอั้น! ทั้งสองคล้ายจะนัดพบกันตรงจุดเดิม! ดิฉันได้ยินเสียงโครมสนั่น ร่างตาอั้นกระเด็นไปพร้อมๆ กับรถนายชิตล้มคว่ำระเนระนาด...ดิฉันลุกพรวดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียงจ้องมองด้วยหัวใจเต้นระทึกแทบจะแตกสลายไป

ไม่มีเสียงหวีดร้อง ไม่มีใครมามุงดูเหมือนคราวนั้น...รถราและผู้คนยังขวักไขว่ไปมาตามปกติ ดิฉันขยี้ตาจ้องมองอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพสยองอะไรเลย ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันคิดว่าตัวเองหมกมุ่นจนตาฝาดไปแน่ๆ

หรือก็ไม่พลัดหลงเข้าไปในแดนสนธยาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ก็เล่นเอาขนหัวลุก...เข็ดหลาบระเบียงบ้านไปหลายนานเชียวค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2551

30 มกราคม 2559

วิญญาณเฮี้ยน

"หนุ่มบางโพ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสวน

เพลง "สาวบางโพ" ฮิตมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ยังได้ยินได้ฟังจากวิทยุกับทีวีอยู่เลยครับ ทำให้ผมนึกถึงความหลังที่เคยอยู่บางโพมาหลายปี ตะลอนๆ ไปยันพระรามหก เตาปูน วงศ์สว่าง ทางใต้ก็ไปถึงตรอกโอ่ง เกียกกายและบางกระบือ

สมัยวัยรุ่นสนุกมากครับ มีเดฟ-นักรบ กับม็อด-นักรัก พวกหลังนี่ใส่เสื้อแขนลีบ นุ่งกางเกงขากระดิ่ง บนหัวก็โปะตันโจทั้งครีมและแท่งจนผมตั้ง แถมแข็งโป๊กอีกต่างหาก! ผมกับเพื่อนซี้อีก 2-3 คนอยู่ประเภทหลัง ไม่ใช่ว่าเกิดมาไม่สู้คนนะครับ แต่ไม่อยากหาเรื่องเจ็บตัวน่ะ แฮ่ะๆ

วันดีคืนร้ายก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

คิดอีกทีก็เป็นความผิดของเราเอง เพราะความคะนองปนห่ามของวัยรุ่นแท้ๆ ทำให้ชอบคุยเรื่องผี ท้าให้ผีมาหลอกซึ่งหน้าๆ แหม! เกิดมายังไม่เคยโดนผีหลอกซักที อยากรู้นักว่าพวกภูตผีปีศาจ หรืออสุรกายทั้งหลายแหล่น่ะ จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง? ประเภทเห็นหัวกะโหลกขาวแหงแก๋ ตากลวงโบ๋ หรือหน้าตาเละเทะสุดๆ จมูกแฟบ เหงือกรั้นจนเห็นฟันเหยินนัยน์ตาหลุดลงมาห้อยร่องแร่งอยู่ข้างแก้ม ต่ำลงมาไม่มีซี่โครง แต่กลับเป็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง แผดเสียงหัวเราะแหบโหยชวนให้ขนลุกขนพองสิ้นดี

อย่างเก่งผมก็ได้ฟังแต่เรื่องผี กับดูหนังผีตามงานวัด ไม่ว่าวัดเขมาฯหรือวัดสร้อยทอง แต่หนังผีไทยๆ เราน่ะ พอถึงฉากผีปรากฏตัวออกมา เล่นเอาคนดูหัวเราะงอหาย ท้องคัดท้องแข็งไปตามๆ กัน

ดาวตลกวิ่งหนีผีตกน้ำตกท่า ผีโดดน้ำตาม ดาวตลกตกใจจนลอยลิ่วขึ้นมาฝั่งได้...ใครจะไม่ขำกลิ้งล่ะครับ?

อย่างที่เขาพูดๆ กันว่า ถ้าคนเราต้องการอะไรมากๆ หมกมุ่นถึงสิ่งนั้นแทบจะทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ช้าก็เร็วต้องสมประสงค์เข้าจนได้

ไอ้ยู้ - เพื่อนผมเป็นเด็กวัดประดู่ มันเคยบอกว่าหลังวัดบ้านมันน่ะผีดุชะมัดยาดคนแถวนั้นโดนหลอกมาหลายรายแล้ว ยิ่งข้ามคูน้ำหลังป่าช้าเข้าไปในสวนเปลี่ยว รับรองว่าดูไม่จืดจริงๆ เอ้า!

คืนหนึ่งก็เจอดีเข้าจังเบอร์!

คืนนั้น ผมหิ้วเหล้าไปหาไอ้ยู้ถึงบ้าน ซื้อลาบเจ๊ป้อมที่หน้าวัดติดมือไปด้วย พอดีเพื่อนเกลอไอ้ยู้จากสะพานสูงชื่อหน่อยแวะมาหาเหมือนกัน กำลังตั้งวงกันที่นอกชาน...บอกว่า คิดถึงไอ้ยู้เลยเดินลุยสวนมาหา...

บรรยากาศในสวนริมคลองบางซื่อตอนนั้นมีแต่ความเงียบเชียบ ชวนให้วังเวงใจน่าดู ต้นไม้น้อยใหญ่ร่มครึ้ม ดวงจันทร์ลอยอ้างว้างอยู่กลางหาว สายลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ บางทีมีเสียงพายกระทบน้ำจ๋อมๆ จากเรือที่ออกมาล่างูเหลือมทุกค่ำคืน

มึนๆ เข้าไปหน่อยก็เริ่มคุยเรื่องผี เล่าเรื่องผีกันน้ำลายแตกคอไปเลย!

ไอ้ยู้เล่าเรื่องผีเก่าๆ ที่ศาลาหลังวัดประดู่นั่นแหละครับ คือมีคนเดินผ่าศาลาข้ามคูที่มีต้นมะพร้าวพาดแทนสะพาน คืนหนึ่งเห็นผู้ชายนั่งกอดเข่าสูบยาแดงวาบๆ หันมองก็เห็นใบหน้าดำเกรียม มีผ้าขาวม้าเก่าๆ คลุมหัว กลิ่นเหม็นสาบสางสะดุดจมูก...พอจ้องดูให้แน่ใจก็เห็นหมอนั่นแสยะยิ้มน่าขนหัวลุก...

รีบเดินจ้ำอ้าวไปถึงฝั่งสวน หันมองอีกทีก็ไม่ปรากฏวี่แววชายผู้นั้นเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวน เยือกเย็นจับใจ

"วิ่งแหกสวนจนตกน้ำตกท่า ร้องโว้ยๆ จนชาวบ้านสะดุ้งตื่นไปตามๆกัน" ไอ้ยู้ลงเอยก่อนจะหันไปทางเจ้าหน่อย "เอ้า! ตานี้มึงเล่ามั่ง"

"ได้เลย มึงเตรียมขนหัวลุกก็แล้วกัน!"

เจ้าหน่อยบ้านเดิมอยู่หนองแค สระบุรี เล่าเรื่องผีโลดโผนโจนทะยานเหลือเชื่อ มันบอกตอนเด็กๆ ออกไปตีกบกับพี่น้อง โดนผีหลอกที่ดงตาลกลางนา วิ่งหนีกันแทบเป็นแทบตาย ไอ้ยู้ถามว่าหลอกยังไง เจ้าหน่อยก็เล่าเป็นฉากๆ ว่า ตอนแรกไม่รู้ว่าผี...จนกระทั่งเห็นต้นตาลขยับขาได้ เงยหน้าขึ้นไปดูถึงได้ร้องจ๊ากไปตามๆ กัน

ผีหรือเปรตก็ไม่ทราบ ทำไมตัวมันสูงปรี๊ดยังงั้น แถมก้มหน้ามองเห็นนัยน์ตาแดงจ้าปานแสงไฟ แลบลิ้นออกมายาวเฟื้อย แหกอกควาก! พวกเด็กๆ ถึงกับผงะหงายก้นจ้ำเบ้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดทุกคน

"วิ่งซีวะ" เจ้าหน่อยเล่าด้วยเสียงตื่นเต้น "ได้ยินเสียงมันก้าวสวบสาบเข้ามาหา พอหันไปดูก็เห็นมันกระชากหัวตัวเองออกมาโยนใส่ โอ้โห! หัวใหญ่ขนาดพร้อมกลิ้งหลุนๆ ตามมาติดๆ โอ๊ย...พวกกูวิ่งหนีแทบจะขาดใจตาย รุ่งขึ้นจับไข้ไป 2-3 คนเลยว่ะ"

ไอ้ยู้มองสบตาผมแล้วส่ายหน้าดิก...โธ่เอ๊ย! ไม่เห็นจะน่ากลัวซักนิดเดียว ผีแบบนี้น่ะเขาเรียกว่าผีหลอกเด็กโว้ย!

เจ้าหน่อยถอนใจเฮือก หน้าตาที่กระทบแสงไฟดูเศร้าๆ จนผมเอะใจ...ทันใดนั้น มันก็คอตก คางจดอก พึมพำว่า...กูคิดถึงมึงจนเดินลุยสวนมาหา เลยโดนงูเห่ากัดตายห่...อยู่กลางทางนั่นเอง มึงช่วยไปดูศพกูด้วยแล้วกัน!

ไอ้ยู้ร้องเฮ้ย! ผมผงะหน้า...ขาดคำไอ้ยู้ก็มีลมแรงพัดฮือเข้ามากะทันหัน ร่างของเจ้าหน่อยลอยละลิ่วตามสายลม...พลัดหล่นจากนอกชานหายวับไปในแสงจันทร์เยือกเย็นสิ้นดี

โลกแตกเปรี้ยง ไอ้ยู้พุ่งพรวดขึ้นก่อนจะล้มฟาดลงกับพื้น...สรรพสิ่งหมุนคว้างจนผมได้ยินตัวเองแผดร้องสุดเสียง ก่อนจะสิ้นสติสมประดีไปในบัดดล...เรามารู้ตัวเอาตอนสายวันรุ่งขึ้น...ได้ข่าวว่าเจ้าหน่อยโดนงูกัดตายกลางสวนจริงๆ เล่นเอาขนหัวลุกเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2551

29 มกราคม 2559

ชั้น 3 สยอง!

"พิมพ์บุญ" เล่าเรื่องสยองขวัญจากบ้านผีดิบ

ดิฉันเขียนเรื่องนี้จากคำบอกเล่าของ "แสง" เด็กสาววัย 16 ปี ชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาทำงานรับจ้างเป็นคนใช้ที่บ้านของเศรษฐีท่านหนึ่งในกรุงเทพมหานครนี่เอง

เธอพบกับเหตุการณ์ขนหัวลุกจนอยู่บ้านนั้นไม่ได้ ขืนอยู่ต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ เลยลาออก ซึ่งพอดีกับที่บ้านเรากำลังต้องการคน ดิฉันเลยรับเธอเข้ามาทำงาน โดยมีบัตรคนต่างด้าวเรียบร้อยค่ะ

แสงเป็นเด็กที่อ่อนไหวมากเอาการอยู่ ดูทีแรกก็เหมือนคนไม่เต็มเต็ง เธอเหลียวซ้ายแลขวา หันหน้าหันหลังอยู่ตลอดเวลา ผวาก็ง่าย จนดิฉันต้องแอบถามมาลี - คนข้างบ้านที่พาเด็กคนนี้มาให้เรา

"มันไม่ได้เป็นอะไรหรอกคุณ แค่ขวัญอ่อนไปหน่อย มันเจอเรื่องไม่ดีมา ลองถามดูซิคะ"

มาลีให้คำตอบที่ทำให้ดิฉันต้องไปต่อยอด ถามเอากับเจ้าตัวตรงๆ แล้วก็ได้ความว่า...แสงเพิ่งเข้ามาอยู่เมืองไทยได้ 2 ปี ทีแรกเธออยู่กับแม่ที่ทำงานเป็นคนเลี้ยงเด็ก แม่อายุ 35 ปีเท่านั้นเองค่ะ และเลี้ยงเด็กเก่งมาก แสงก็รับหน้าที่พี่เลี้ยงเช่นกัน น้องที่แสงเลี้ยงอายุ 2 ขวบ แสงเอาไม่อยู่เพราะแกซนมาก แสบมากด้วย จนในที่สุดแสงก็ได้ไปอยู่บ้านเศรษฐีแถวสุขุมวิท

ตอนนั้นแสงคิดว่าตัวเองโชคดี เพราะบ้านเจ้านายคนใหม่ช่างใหญ่โตราวกับปราสาท แถมยังมีต้นไม้ต้นไร่ร่มรื่นไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นมะม่วงที่มีผลห้อยระย้าดูพราวตาเชียว...

บ้านนี้มีคนรับใช้ตั้ง 4 คนแน่ะค่ะ! คนครัว คนกวาดบ้านถูบ้าน คนซักรีดและคนสวน แสงรับหน้าที่ช่วยเขาไปหมดทุกอย่าง คือตื่นเช้าต้องรดน้ำต้นไม้ พอสายหน่อยก็ช่วยกันกวาดถู หลังจากนั้นก็ต้องตามคนครัวไปตลาด เพื่อช่วยถือของ กลับมาก็ต้องช่วยทำกับข้าว ตอนค่ำรีดผ้า และเอาเสื้อผ้าไปเก็บในห้องของคุณๆ

บ้านนี้หลังใหญ่โต มีตั้ง 3 ชั้น แสงรู้สึกวังเวงและอึดอัดทุกครั้งที่ขึ้นไปบนชั้น 3

ที่นั่นมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำและห้องพระ แสงไม่รู้หรอกค่ะว่านายคนไหนอยู่ห้องนี้ เท่าที่รู้ บ้านนี้มีคุณปู่ คุณย่า คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงและคุณมิ้น ลูกสาวอายุ 18 เท่านั้น

ทุกคนนอนที่ชั้น 2 ของบ้าน!

เอ....แล้วห้องนอนบนชั้นที่ 3 นี่ของใครหนอ?

พี่แตงขึ้นไปกวาดถูทุกวัน และแสงต้องตามขึ้นไปด้วย หากไม่เห็นตัวแสงละก็พี่แตงจะร้องเสียงหลงเชียว...แหม! ก่อนแสงมาพี่แตงทำยังไงล่ะ? พี่แตงบอกว่า มีเด็กคนหนึ่งชื่อโอ คอยช่วย แต่โอลาออกแล้ว แสงถึงได้มาแทนไง!

ค่ำวันหนึ่งราวทุ่มเศษ คุณๆ ทั้งหลายรับประทานอาหารและคุยกันอยู่ชั้นล่าง พี่มน-คนรีดผ้าใช้ให้แสงถือตะกร้าเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บในตู้ห้องนอนชั้น 3

นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งละ! เสื้อผ้าไม่ใช่ของคุณมิ้นแน่ๆ ไม่เคยเห็นคุณมิ้นใส่เลย มันเป็นเสื้อของใครนะ? สวยๆ ทั้งนั้น อย่างวันนี้น่ะมี 3 ชุด คือชุดกระโปรงอยู่บ้านลายดอกกุหลาบ ชุดเสื้อสีขาวเป็นผ้าลูกไม้ กับกระโปรงพลีตสีดำ อีกชุดหนึ่งก็เป็นชุดกระโปรงเหมือนกัน

แสงขึ้นไปชั้น 2 ซึ่งปิดไฟมืด เปิดดวงเดียวตรงเหนือบันได แสงมองขึ้นไปที่บันไดอีกอันที่ตรงไปยังชั้น 3 มันมืดสนิท แสงเลยกดสวิตช์และก้าวขา...ทันใดนั้นมีลมเย็นๆ พัดวูบมา แสงรู้สึกเยือกๆ แต่ยังเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงห้องนอนที่เปิดแง้มไว้นิดๆ มีแสงไฟสีเหลืองสลัวๆ แอร์เย็นจัด...

แสงผลักประตูเข้าไป และทันเห็นหลังไวๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ...เธอผมยาวถึงเอว ตัวเล็กบอบบางแบบเด็กรุ่นๆ คงอายุเท่าๆ กับแสงนี่ละค่ะ

เมื่อคุกเข่าลงเก็บผ้าเรียบร้อย แสงก็อ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่ จริงๆ แล้วเธออยากรอดูนายสาวผู้ลึกลับ และก็ได้เห็นจริงๆ ด้วย

เด็กสาวที่แสงคิดว่าต้องสวยแน่ๆ เดินสะบัดผมออกจากห้องน้ำ เดินผ่านแสงแค่เอื้อม แต่ไม่ทักทายอะไรสักคำ ท่าทางหยิ่งน่าดู! เธอเดินเข้าไปในม่านที่อยู่ลึกทางด้านในสูดของห้อง ม่านนั้นเป็นสีแดงเลือดหมู ขลิบชายเป็นสีทอง ดูหนาและหนัก

ม่านอะไรนะ มากั้นทำไมเอ่ย? ห้องนี้น่าจะกว้างขวางถ้าไม่มีม่านนั่น...

แสงคุกเข่าอยู่นาน ไม่รู้เพราะอะไรถึงยังไม่ยอมออกจากห้อง มันอยากรู้จัก อยากพูดกับนายสาวคนนี้หน่อย...ประจบ! ว่างั้นเถอะ

แต่เอ๊ะ...ทุกอย่างมันเงียบจริงๆ แสงชักหนาวมากแล้วซิ...จะลุกไปละนะ!

บางสิ่งบางอย่างทำให้แสงเอะใจมากขึ้นๆ และแล้ว แสงก็ย่องไปที่ม่าน เอานิ้วค่อยๆ เปิดดู...ภาพหลังม่านทำให้แสงตาลายพร่า สมองลั่นเปรี๊ยะ หวีดร้องเสียงหลง หงายหลังก้นกระแทกกับพื้น

โลงศพค่ะ! โลงสีทองตั้งแอบไว้หลังม่าน และมีรูปถ่ายหน้าศพวางอยู่ข้างๆ เป็นรูปเด็กสาวผมยาวตาโต...จ้องมองตรงมาด้วยแววยิ้มๆ

นอกจากแสงกับโลงศพที่น่าพรั่นพรึงนั่นแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในนั้นเลย!

แสงลาออกวันนั้นทันที เธอร้องไห้ให้แม่มารับกลับด่วน

เรื่องของเรื่องคือ เด็กคนนั้นที่อยู่ในโลงอายุ 16 ปี ตอนที่เธอตายไปเมื่อ 5 ปีก่อน เธอเป็นพี่สาวคุณมิ้น และเป็นที่รักจนคุณปู่คุณย่าไม่ยอมเผา...คิดว่าจะเก็บไว้เผาพร้อมๆ กันค่ะ

ใครๆ ก็รู้ว่าเธอยังอยู่ และจะปรากฏตัวออกมาเป็นครั้งเป็นคราว

นี่ละค่ะ ประสบการณ์ที่ทำให้แสงขวัญผวา จิตอ่อนมาจนถึงทุกวันนี้! บรื๋ออ....

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 29 มกราคม 2551

28 มกราคม 2559

ผีตาเผื่อน

"ไผ่เขียว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสวนบางพลัด

สมัยเด็กผมอยู่ในสวนแถวๆ หลังวัดบางอ้อ ก่อนไปทางบางพลัด ถนนจรัญสนิทวงศ์ตัดมาหลายปีแล้วละครับ ความเจริญมาถึงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านจะไปมาหาสู่กันต้องเดินตัดสวนกันเป็นเทือกก็มีถนนให้เดินสบายๆ

ผมมีเพื่อนรุ่นเดียวมากมาย ไปถึงบางกรวย พระรามหก ข้ามฟากไปฝั่งถึงวัดสร้อยทอง วัดเขมาฯ ฝั่งนี้ก็มีแถววัดเทพนารี วัดเทพากร เลยไปวัดสิงห์ วัดรวกโน่นแน่ะครับ...เขาว่ากันว่า สวนฝั่งธนบุรีนี่ผีดุกว่าฝั่งกรุงเทพฯ เป็นไหนๆ ยิ่งแถววัดระฆัง วัดอรุณฯ น่ะ บรื๋อส์...ผีดุอย่าบอกใครเชียว

สมัยนั้น ตกค่ำถนนหนทางก็ชักจะเปล่าเปลี่ยวแล้วละคุณ ไม่ต้องไปพูดถึงตามตรอกตามซอยทั้งสองฟากฝั่งก็ยังได้ ยอดไม้ยืนทะมึน ลมพัดมาตะละทีทำให้กิ่งใบไหวซู่ซ่า เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนใหญ่ แต่บางทีก็คล้ายกับเสียงสะอึกสะอื้น ร่ำไห้ด้วยความทุกข์โศกอย่างเหลือประมาณ บรรยากาศเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจจริงๆ ครับ!

จนกระทั่งพวกเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เลือดเนื้อแตกตื่น ใจคอคึกคัก มีแต่ความกล้าแบบบ้าบิ่น อยากรู้อยากเห็นไปหมด โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงนี่แหม...ขอเปิดอกพูดเลยว่าทำให้ตื่นเต้น ตะครั่นตะครอเนื้อตัว ชอบคิดอะไรเพ้อเจ้อ เห็นใครสวยๆ หุ่นดี อกพุ่งตะโพกผายเข้าหน่อยก็เล่นเอาปากคอแห้งผากไปได้ง่ายๆ

ผมมีเพื่อนหลายคนอย่างที่ว่า ประเภทบ้านอยู่ใกล้กัน สนิทกันมากก็เจ้าโก๋ ที่สนิทรองลงไปอยู่ที่วัดเทพนารีชื่อเจ้าเป๋กับเจ้านุ้ย เรามักไปมาหาสู่กันเป็นประจำ พอริอ่านซดสุราตามรอยรุ่นพี่ ผมกับเจ้าโก๋ก็มักจะหลบไปที่นั่น...

อ๋อ! หลบสายตาพ่อแม่ผมกับพ่อแม่เจ้าโก๋น่ะซีครับ ที่ปากซอยหลังวัดเทพนารีหรือซอย 68 สมัยนี้มีร้านชำ ขายสุรากาแฟพร้อมสรรพ เราซื้อไปดวดกันในสวนเป็นโขยงน้ำแข็งซื้อเป็นมือๆ ทุบตุนใส่ลังเอาไว้เลย ยกเว้นเหล้าหรือแกล้มหมดถึงจะย่ำต๊อกออกไปซื้ออีกรอบสองรอบ

เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้นะครับ เพราะราวสองทุ่มเขาก็ปิดร้านแล้ว แหม...สมัยนั้นรถรายังน้อย นานๆ จะแล่นผ่านไปมาซักคัน ถนนก็ยังมีแค่สองเลนเท่านั้นเอง

ก๊วนเราจะยึดดงมะพร้าวเป็นที่เสพสุราฮะกึ๋นกันเป็นประจำ

จากปากซอยเข้าไปหน่อยก็เลี้ยวขวา ตรงไปก็จะถึงดงมะพร้าวที่ว่า ตะละต้นสูงโด่เหมือนเปรตไม่มีผิด มีอยู่ราว 6-7 ต้น แถมขึ้นห่างๆ กันด้วย...ถ้าเลี้ยวซ้ายอีกทีเริ่มเข้าหมู่บ้านทางขวา ป่าช้าอยู่ทางซ้าย...ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงศาลาท่าน้ำ มีโป๊ะสำหรับผู้โดยสารเรือข้ามฟากไปฝั่งสามเสน ใกล้ๆ วัดปราสาทฯ ไงครับ

ผมโดนผีหลอกที่หลังวัดนั่นแหละคุณเอ๋ย หวิดจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันเชียว

ค่ำนั้น เราล้อมวงกันตั้งแต่เย็น กับแกล้มเพียบ เจ้าเป๋เอาห่อหมกพุงปลามาถึง 2 ห่อแน่ะ บอกว่าแม่มันทำเอง รองด้วยผักกาดอ่อนๆ รับรองว่าไม่ใช่ใบยอที่พวกเราเบ้หน้าไปตามๆ กัน เจ้านุ้ยเอาเนื้อเค็มมาหลายมัด ไหนจะข้าวเกรียบกุ้งกับถั่วลิสงคั่ว แถมแหนมห่อเล็กๆ อีกหนึ่งพวง...มีตะเกียงรั้วกับยากันยุงชนิดแท่งพร้อมที่รองเรียบร้อย

เวลาผ่านไป วงสุราของเราก็ยิ่งครึกครื้นขึ้นทุกที!

เรื่องที่พูดคุยกันไม่พ้นเรื่องบู๊กับเรื่องหญิง ว่าใครจะเก่งกว่ากันก็มี...ใครประกอบวีรกรรมด้วยการไปดักดูสาวๆ นุ่งกระโจมอกอาบน้ำตามตีนท่าบ้าง กระทำการ "ถ้ำมอง" เขามั่ง ผลัดกันเล่า ผลัดกันโม้ จบเรื่องทีเฮกันตึง สมัยนี้ต้องบอกว่าขำกลิ้งไปตามๆ กัน

จู่ๆ ไอ้โก๋เพื่อนผมก็หลุดปากว่า...แถวนี้ผีดุจริงมั้ยวะ?

หัวเราะกันครืน เจ้าเป๋บอกว่าเกิดที่นี่จนแตกเนื้อหนุ่ม รู้จักผีทุกตัว ไม่ว่าจะเผาจะฝังเคยไปดูมาทั้งนั้น คอยแย่งเงินที่เขาโปรยทานไงล่ะ รับรองว่าไม่กลัวผีแน่ๆ

แทบจะไม่ขาดคำก็มีเสียงดังตุ้บๆ เฉียดวงเหล้าไปนิดเดียว เล่นเอาพวกเราสะดุ้งโหยง หันขวับ ไอ้นุ้ยบอกว่ามะพร้าวมันหล่นน่ะ...แต่ทำไมมองไม่เห็นซักลูก? ไอ้โก๋ลงทุนลุกไปก้มๆ เงยๆ มองหา แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ จะว่าหูแว่วก็ได้ยินกันทุกคน

ทันใดนั้น ยอดมะพร้าวไหวซ่าเหมือนถูกมือยักษ์จับเขย่า ทั้งๆ ที่บนพื้นดินไม่มีวี่แววว่าจะมีลมพัดแม้แต่น้อย ตามด้วยเสียงตุ้บ! อีกสองครั้งติดๆ กัน

"เฮ้ย! อะไรวะ?" เจ้าเป๋โดดผึง กระชากเสือซ่อนเล็บออกมาทันที เจ้านุ้ยก็ดึงดิ้วยางมาเตรียมพร้อม...คราวนี้สรรพสิ่งเงียบเชียวเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง! ผมชักสังหรณ์ใจพิกลเลยฉุดแขนไอ้โก๋ให้ลุกขึ้นยืน

ไม่มีลูกมะพร้าวตามเคย แล้วมันเสียงนรกจกเปรตอะไรล่ะ?

"พวกเอ็งหาอะไรกันวะ..." เสียงแหบแห้งดังขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปมองเห็นชายชราผมขาว หน้าตาเหี่ยวย่นกำลังใช้มือป้องตามองมา...รู้สึกผิดสังเกตอะไรบางอย่าง แต่พิษเหล้าทำให้พร่ามึนจนนึกไม่ออกว่าคืออะไรแน่...นอกจากจะรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งตัวขึ้นมาดื้อๆ

"ผีหลอกมั้ง ตาเผื่อน" ไอ้โก๋หันขวับมาตอบห้วนๆ มือยังกำเสือซ่อนเล็บไว้ทั้งสองด้าน เจ้านุ้ยเพิ่งจะหันมามองเป็นคนสุดท้าย นัยน์ตาเหลือกลานบัดดล

"เฮ้ย! ตาเผื่อนตกน้ำตายเมื่อวานนี้เองนี่หว่า" ขาดคำมันก็เรอเอิ๊ก ดิ้วร่วงจากมือทรุดฮวบลงไปนั่งแผละ ผมรู้สึกขนหัวลุกตั้งเมื่อเพิ่งนึกออกว่าชายชราผู้นั้นเปียกโชกไปทั้งตัว...ไอ้เป๋ร้องจ้า โยนเสือซ่อนเล็บทิ้ง วิ่งไปทางท้ายวัดไม่เหลียวหลัง ไอ้โก๋ยืนขาสั่นพั่บๆ น้ำตาไหลพราก ผมรวบรวมสติคว้าข้อมือเพื่อน ม่านตาลายพร่า ชนผีตาเผื่อนวิ่งกระเซอะกระเซิงไปทางปากซอยโดยไม่คิดชีวิต

เสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังมาติดๆ เราสองคนวิ่งมาหมดแรงหน้าร้านชำที่เขาปิดไปแล้ว ทิ้งตัวลงหอบฮั่กๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย...เข็ดหลาบตั้งแต่คืนนั้นจนถึงทุกวันนี้เลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 มกราคม 2551

25 มกราคม 2559

บ้านอาถรรพณ์

"พิษณุ" เล่าประสบการณ์จากซอยเปลี่ยว

ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้งเดียว ทั้งๆ ที่ชาวบ้านเขาลือว่าซอยบ้านเราผีดุจะตายชัก ไหนจะผีเจ้าที่เจ้าทางสมัยที่นนทบุรียังมีสวนทุเรียนมากที่สุดในเมืองไทย ไหนจะผีตายโหงสารพัดรูปแบบที่ล้มตายกันในซอยและบ้านสองฟากถนนอีกล่ะ

ผีเจ้าที่ชักจะซาๆ ไปเมื่อความเจริญรุกล้ำเข้ามา ตึกรามบ้านเรือนชักจะคับคั่ง แต่ผีตายโหงชักจะหนาตามาแรงกว่าผีเจ้าที่ตั้งพะเรอ!

ว่าแต่ตายโหงแบบไหนมั่งล่ะ? ส่วนมากรถชนกันครับ ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์...ผมเองยังแทบไม่อยากเชื่อว่าสองฟากถนนซอยที่มีต้นไม้ร่มครึ้ม จะกลายเป็นบ้านช่อง ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ แม้กระทั่งหอพักก็ยังผุดขึ้นทีละแห่งสองแห่งแทบจะไม่รู้ตัว

มาสังเกตอีกที...อ้าว? เขาทยอยขายสวนกันทีละเจ้าสองเจ้า ต้นไม้ร่มครึ้มยังอยู่แม้ว่าจะบางตาไปกว่าเดิมมากโข ปีก่อนยังมีที่ว่าง 3-4 แปลง มาถึงตอนนี้ไม่มีเหลือเลยสักแปลงเดียว!

แหม! เกือบลืมเล่าไปว่า นอกจากโดนรถชนตาย แล้วยังมีฆ่าแกงกันอีก พวกนักเลงในซอยมั่ง พวกเมาเหล้าแล้วเห็นช้างเท่าหมู นิสัยเกะกะเกเร ชักมีดชักปืนเป็นว่าเล่น...ไปนอนป่าช้าก็มี ไปนอนในลูกกรงก็มี น้อยคนนักที่จะรอดตัวมาได้

ผีพวกนั้นแหละครับ ที่เขาลือกันว่าชอบออกมาเพ่นพ่านตอนดึกๆ เล่นเอาร้องโหวกโหวย วิ่งแหกป่าแหกสวน แทบจะจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กัน

ไหนจะบ้านที่มีเรื่องมีราวจนฆ่าฟันกันตายอีกล่ะ? บ้านที่เกิดเหตุร้ายมี 2-3 หลัง แต่ขอตัดทอนมาเล่าแค่บ้านอาถรรพณ์ หรือบ้านผีสิง แค่หลังเดียวแล้วกันครับ เหตุผลก็เพราะผมไปเจอดีเข้าที่บ้านหลังนั้นน่ะซี ไม่ช็อกตายคาที่ก็บุญเหลือหลายแล้ว คุณเอ๋ย...

บ้านหลังนั้นอยู่ค่อนไปทางปลายซอย ก่อนจะถึงบ้านผมราว 5-6 หลัง...ตอนแรกน่ะผัวแทงเมียตายเพราะความหึงหวง แล้วเตลิดหนีหายไปจนป่านนี้ น่าเวทนาแต่เมียสาวที่กระเสือกกระสนเข้าหาลูกเล็กๆ อายุราว 2 ขวบที่ร้องไห้จ้า กอดลูกขาดใจตายอยู่ข้างเตียงนั่นเอง...เด็กกอดศพแม่ร่ำไห้ตลอดคืน!

ญาติๆ เขาปล่อยให้เช่า...คราวนี้มีผัวเมียคู่หนึ่งย้ายมาอยู่กับลูกอายุราว 5-6 ขวบ มีลูกจ้างเป็นเด็กสาวหน้าตาหมดจด รูปร่างบึ้บบั้บจนมีวัยรุ่นเดินผ่านมาเป่าปากเปี๊ยวป๊าวเชียว

อยู่ได้ปีเดียวก็บ้านแตก เมื่อสาวใช้เกิดท้องโย้ขึ้นมา...ตัวการไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือพ่อบ้านนั่นเองที่มุดมุ้งสาวใช้ แถมไม่รู้จักคุมกำเนิด หรือสาวใช้จะจับนายจ้างก็ไม่ทราบแน่ชัด...ที่แน่ๆ คือทะเลาะกันแทบบ้านช่องแตก สาวใช้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหน้าบ้าน

ครอบครัวย้ายออกไปไม่นาน...ได้ข่าวว่าเขาขายนะครับ คนมาอยู่ใหม่เป็นผัวเมียวัย 40 เศษ มีลูกชายวัยรุ่นหน้าตาดีคนหนึ่ง ไม่ช้าก็ช็อกตายคาบ้านเพราะเสพยาอย่างแรง!

มีคนเวียนเข้าเวียนออก เหมือนบ้านจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ หรือว่าที่อยู่แบบบ้านราคาถูกหายากก็ไม่รู้...น่าแปลกอยู่อย่างที่ไม่เคยมีใครเล่าว่าโดนผีหลอกในบ้านนั้น แต่อยู่ไม่นานก็มีเรื่องร้ายๆ จนต้องย้ายหนีกันทั้งนั้น...อาถรรพณ์ของบ้านนี้จะดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าโดนผีหลอกซะละมั้ง?

คืนหนึ่งผมก็เจอดีเข้าจนได้!

เลิกงานกลับบ้านตอนค่ำๆ ผมก็เดินย่ำต๊อกเข้าซอย เสียดายค่าตุ๊กตุ๊ก 20 บาทหรือค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง 10 บาท...ผมถือคติว่า "ไม่จ่าย 10 บาทก็เท่ากับเรามีรายได้ 10 บาท"

ถึงแม้อากาศในเดือนธันวาคมจะเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ ขนลุกง่ายๆ แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะเดินเข้าออกมาเกือบ 30 ปีแล้ว บ้านทุกหลังปิดประตูรั้วหมด แต่ส่วนมากยังเปิดไฟอยู่ข้างใน เสียงทีวีจากบ้านบางหลังก็ดังแว่วออกมา

ผ่านกลางซอยที่เป็นตึกแถวร้านค้าไปแล้ว...พอดีมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินบิดสะโพกอยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะทอดน่องแบบเอ้อระเหยชอบกล...

ผมเดินไปทันเธอใต้ร่มมะขามเฒ่าที่มีกิ่งก้านยื่นล้ำมาจากริมรั้ว กลางวันให้ร่มเงากันแดดกันฝนดี ตอนกลางคืนก็ทำให้มืดครึ้มจนบังแสงจากเสาไฟฟ้า...ผมหันไปมองหน้าเธอในความสลัว เธอก็หันมามองสบตาเดี๋ยวเดียวก็พ้นร่มมะขามมาสู่แสงไฟเหลืองรัวเยือกเย็น...

"บ้านอยู่ไหนน่ะ พี่เดินเป็นเพื่อนมั้ย?"ผมถามขณะที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งแล่นผ่านเราไป เธอก็หันมายิ้มอายๆ ก่อนจะชี้มือไปข้างหน้า...ผมพลอยโล่งใจไปด้วย ก่อนที่เธอจะเดินไปที่ประตูเล็กที่อยู่ในประตูใหญ่ เอื้อมมือไปจับลูกบิดพลางหันมายิ้ม...

ยอดไม้ไหวซ่า...เสียงมอเตอร์ไซค์ดังมาจากก้นซอย ผมมองแสงไฟจ้าก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นเธอหายเข้าไปในประตูเรียบร้อย ออกเดินไปได้หน่อยก็เจอเงาไม้ข้างหน้าอีก...เอ๊ะ! ต้นมะม่วงนี่นา

มอเตอร์ไซค์จอดพรืดจนผมสะดุ้ง หันขวับไปมองก็พบคนคุ้นๆ หน้ากัน เขาถามว่าเมื่อตะกี้คุณคุยกับใคร? ผมก็บอกว่าผู้หญิงบ้านนั้น...พลางชี้มือให้ดู เขามองตามแล้วหน้าเสียถามเสียงแหบพร่าว่า...บ้านต้นมะม่วงที่เคยมีผู้หญิงผูกคอตายใช่มั้ย? ผมหันมองอีกทีก็นึกขึ้นได้

"ใช่! ย้ายเข้าย้ายออกกันบ่อยนะ นี่รายใหม่มาอยู่เมื่อไหร่"

"ไม่มีใครมาอยู่หร้อก" เขาตอบหน้าตาเฉย "ผมขับรถผ่านทุกวันทำไมจะไม่รู้...บ้านผีสิงนั่นยังเป็นบ้านร้างอยู่แท้ๆ ผมไปส่งคุณเอามั้ย?"

"ไม่เป็นไร ขอบใจนะพี่" ผมฝืนยิ้ม ก้าวเดินช้าๆ จนได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นไปทางปากซอยแล้วถึงได้จ้ำอ้าว...ขาหนักเหมือนกลายเป็นท่อนเหล็ก เย็นสันหลังวาบๆ ก่อนรวบรวมสติโกยแน่บไม่เหลียวหลัง...

ผีสาวใช้ท้องโย้ผูกคอตายไปตั้งหลายปีเพิ่งจะได้โอกาสมาหลอกหลอนเอาคืนนี้เอง หรือเธอจะมาขอส่วนบุญก็ไม่รู้...แต่ขนลุกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2551

24 มกราคม 2559

ชีวิตหลังตาย

"อนินทิตา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยี่ยม

โลกหลังความตายจะมีสภาพเป็นอย่างไรนั้น ดิฉันเองก็สุดรู้ แต่เชื่อค่ะว่ามีจริงแน่ๆ ลองฟังจากเรื่องราวที่ดิฉันประสบมาซิคะ

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดิฉันยังเป็นนักศึกษาปี 2 มีพี่สาวที่เพิ่งจบปริญญาและเข้าทำงานในบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง พี่อ้อยเป็นคนสวยมากค่ะ ไม่ทันไรเธอก็ได้เพื่อนใหม่ทั้งหญิงทั้งชาย พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พี่วิ" ซึ่งเป็นผู้หญิงสุดเก๋ ดิฉันชอบมาก

พี่วิมาบ้านเราบ่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ก็ว่าได้...และแล้ววันหนึ่งพี่วิก็ชวนเราไปเที่ยวบ้านของเธอที่นครนายก เราวางแผนจะไปเที่ยวน้ำตกกันด้วย

วันนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว คือเสาร์ อาทิตย์ จันทร์...เราเดินทางไปเที่ยวและค้างคืนที่บ้านพี่วิ วันแรกสนุกมากค่ะ เราไปกัน 5 คน คือ ดิฉัน พี่อ้อย พี่วิ และผู้ชายอีก 2 คน คือพี่แมน น้องชายพี่วิ และพี่โอ๊ต แฟนของพี่วิค่ะ

ต้องขอบอกหน่อยว่า พี่แมนกับดิฉันปิ๊งกันมาก่อน!

คราวที่พี่แมนมากับพี่วิเมื่อราว 2-3 เดือนที่แล้ว เรื่องนี้พี่อ้อยกับพี่วิดูออก แต่ไม่ได้ห้ามปรามอะไร กลับชอบอกชอบใจด้วยซ้ำ ฉะนั้นการไปเที่ยวคราวนี้ดิฉันจึงรู้สึกแช่มชื่นมากเชียวละ...

วันอาทิตย์เรานั่งรถพี่วิไปน้ำตกกัน มีดิฉันนั่งข้างคู่กับคนขับ ซึ่งก็คือพี่โอ๊ต หลังเบาะคือพี่อ้อย ที่วิและพี่แมนนั่งชิดหน้าต่างหลังคนขับ ดิฉันรู้สึกหน้าร้อนผ่าวตลอดเวลา เพราะพี่แมนแทบไม่วางตาจากดิฉันเลย...ตอนนั้นโลกเป็นสีชมพู ไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่าอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าโลกจะกลายเป็นสีเลือด!

อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ในจังหวะที่เราเผลอ เราไม่เคยคิดหรอกค่ะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา พริบตาเดียวทุกอย่างพลิกผันหมดสิ้น

ดิฉันจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น จำได้แต่ว่าเพลงจากซีดีที่เปิดในรถยนต์เป็นเพลงโปรดของดิฉัน...และนาทีนั้นดิฉันกำลังหันไปคุยหยอกล้อกับพี่แมน เสียงหัวเราะของเราถูกแทรกด้วยเสียงร้องอย่างตกใจของพี่โอ๊ต ดิฉันหันกลับโดยสัญชาตญาณ...แล้วโลกก็พังทลายในพริบตานั้นเอง!

ดิฉันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ คือไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย...

เท่าที่จำได้ก็คือเสียงกึกก้องกัมปนาท โลกมืดวูบ แล้วเป็นสีแดงวาบ ตัวเองถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจับเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาล ใบหน้ากระแทกกับบางสิ่งบางอย่าง ไม่เจ็บเลยค่ะ...ไม่เจ็บจนนิดเดียว! ดิฉันรับรู้แต่แรงกระแทก แล้วสติก็ดับไปวูบหนึ่ง

เมื่อลืมตาขึ้น ดิฉันกำลังซบหน้าอยู่กับแผงคอนโซล อยากขยับตัวแต่ก็ขยับแทบไม่ได้ อยากร้องเรียกพี่อ้อยแต่เสียงมันไม่ออกมา...มับตีบตันอยู่ที่ลำคอ แล้วดิฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าจุกแน่นจนหายใจแทบไม่ออก...

ในที่สุดก็ยกมือขึ้นแตะหน้าตัวเอง ใบหน้าด้านซ้ายบวมมาก ชาหนึบ และมีของเหลวเหนียวๆ อุ่นๆ...เลือดน่ะซีคะ!

แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันแทบหมดสติไปอีกครั้ง คือภาพที่พี่โอ๊ตถูกอัดติดกับพวงมาลัย ใบหน้าเขาตะแคงไปทางขวาง ลำตัวมีแต่เลือด...เลือดแดงฉานส่งกลิ่นคาวคลุ้ง รถทางซีกคนขับทั้งแถวยับเยินอย่างหนัก ดิฉันเหลียวไปมองเห็นพี่แมนนอนหงายกับเบาะ ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้าถึงหน้าอกแหลกเหลว...มองเกือบไม่ออกว่าร่างนี้เคยเป็นมนุษย์!

อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดจากรถกระบะวิ่งสวนทางเกิดเบรกแตก ถลาถาโถมเข้ามาชนกับรถของเรา พี่โอ๊ต พี่แมนเสียชีวิตทันที พี่อ้อยและพี่วิต่างบาดเจ็บกันไม่มากนัก ดิฉันหนักหน่อย...แทบไม่น่าเชื่อว่าเรา 3 คนจะรอดมาได้อย่างหวุดหวิด

ดิฉันมีแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและใบหน้า ซี่โครงหัก 2 ซี แขนซ้ายหัก พี่อ้อยแค่หัวโน และฟกช้ำดำเขียวเช่นเดียวกับพี่วิ ดิฉันเป็นคนเดียวที่ต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อรักษาตัวและดูอาการ เพราะมันบอบช้ำไปหมด

วันแรกดิฉันแทบไม่รู้ว่าตัวเองเจ็บตรงไหนบ้าง แต่วันต่อมามันก็ปวดร้าวไปทั้งตัว และง่วงงุนตลอดเวลา แทบไม่รู้ว่ามีใครต่อใครเข้ามาเยี่ยมกันบ้าง

ดวงหน้าของพ่อแม่ลอยเข้ามาหาแล้วก็ถอยออกไป...พี่อ้อยชะโงกเข้ามาพูดจาแล้วก็เลือนหาย...จากนั้นก็เป็นเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย ดิฉันไม่รู้อันไหนจริงอันไหนฝัน?

และนั่น...พี่โอ๊ตกับพี่แมน เขาก็มาเยี่ยมดิฉันด้วย!!

เขาทั้งคู่ยังไม่ตายเหรอ? งั้นสภาพร่างไร้วิญญาณที่แหลกเหลวนั่นดิฉันก็คิดไปเองซิคะ? ดูซิ! พี่โอ๊ตยิ้ม...พี่แมนก็ยิ้มด้วย นัยน์ตาพราวเชียว

ดิฉันเห็นเขาทั้งคู่ยืนอยู่ข้างเตียง ขณะที่คุณพ่อคุณแม่และพี่อ้อยก็ยืนอยู่ด้วย...คนตายยืนกับคนเป็นได้อย่างไรกัน? ดิฉันคิดอยู่เช่นนั้นแล้วก็หลับไปอีกครั้ง...เป็นการหลับไหลที่ยาวนาน...และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งดิฉันก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ

พี่อ้อยกับพี่วิเล่าถึงการตายของพี่โอ๊ตกับพี่แมน พี่วิเศร้ามาก เธอรักน้องชายเธอมากนี่คะ พี่โอ๊ตก็เป็นคนรักของเธอ บางทีพี่วิจะน้ำตาไหลพราก เหม่อซึมเลื่อนลอย

ดิฉันจับมือเธอขึ้นมา และเล่าว่าอย่าโศกเศร้าทรมานใจไปเลย พี่โอ๊ตกับพี่แมนมาหาดิฉันในสภาพปกติ และดูมีความสุขทั้งคู่! พี่อ้อยกับหลายๆ คนที่มาเยี่ยมดิฉันยืนยันปรากฏการณ์นั้นได้ พวกเขาไม่ได้เห็นวิญญาณแต่ต่างก็บอกว่าได้กลิ่น...บางคนได้กลิ่นเลือด บางคนได้กลิ่นโคโลญจ์ผู้ชาย

ดิฉันเชื่อสนิทว่าพวกเขามาหา และดิฉันไม่กลัวเลย กลับสบายใจที่รู้ว่าโลกหลังความตายมีจริง...ชีวิตยังมีอยู่ ถึงแม้ว่าร่างกายจะแหลกสลาย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 มกราคม 2551

23 มกราคม 2559

ตายทั้งกลม

"นฤพนธ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทางสามแพร่ง

คืนนั้นเป็นคืนวันศุกร์ แต่จะศุกร์ที่ 13 หรือเปล่าผมก็จำไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นเมื่อราว 10 ปีก่อน ผมยังหนุ่มฟ้อ เข้าทำงานใหม่ๆ และแน่ล่ะ! เป็นคนหัวสมัยใหม่ยุคไอที ที่ไม่เชื่อเรื่องผีสักนิดเดียว

แต่นับจากคืนนั้น ผมเชื่อสนิทว่าผีมีจริง!

วันสุดสัปดาห์ปลายเดือน เพื่อนๆ ที่สนิทกันมาตั้งวง แต่พวกผมไม่ได้ไปกินกันตามผับตามบาร์หรอกนะครับ เราพากันไปที่ร้านลุงอึ่ง ที่อยู่แถวบางแคโน่น มันได้บรรยากาศดีเหลือเกิน

ลุงอึ่งผู้นี้เป็นพนักงานขับรถคนเก่าแก่ของบริษัทเรา ถึงแม้แกจะถ่อมตัวว่าต่ำต้อย แต่เราก็นับถือเพราะลุงคุยสนุก อารมณ์ดี และมีเรื่องเล่าไม่รู้จักหมดสิ้น...เป็นเรื่องเล่าสมัยเก่าๆ ที่น่าสนใจ จนผมอยากให้แกรวบรวมเขียนเป็นเล่มพ็อกเกตบุ๊ก...รับรองขายดีแน่

แต่ที่สำคัญ ลุงอึ่งทำกับแกล้มอร่อยเลิศรส แกน่าจะไปเปิดร้านอาหารมากกว่ามาขับรถอยู่แบบนี้นะครับ

พวกเรา คือเพื่อนๆ ในบริษัทกลุ่มใหญ่ มักจะไปบ้านลุงอึ่งเป็นประจำ อย่างเช่นปลายสัปดาห์แบบนี้ ผมจะบอกกับทางบ้านว่าไม่ต้องห่วง ผมอยู่ที่บ้านลุงอึ่ง ขอดื่มและคุยกันให้สบายอารมณ์ หากกลับบ้านไหวก็จะกลับ ถ้าไม่ไหวก็จะขอนอนที่ชายชาลาบ้านนั้น แล้วค่อยขับรถกลับตอนสายๆ

คืนนั้นจำได้ว่าเดือนหงายแจ่มเชียว...

บ้านลุงอึ่งเป็นบ้านไม้ปลูกง่ายๆ หน้าบ้านมีแคร่ไม้ไผ่อยู่นอกรั้ว เป็นที่ให้เรานั่งกินกันอยู่ใต้ร่มแคอย่างสนุกสนาน ลุงแกเป็นคนดังในถิ่นนี้ บางทีก็มีเพื่อนบ้านมาร่วมวง บางคนเดินผ่านก็ทักทายกันอย่างมีอัธยาศัยไมตรี

บ้านลุงอยู่ใกล้ๆ ทางสามแพร่งครับ ตอนหัวค่ำยันดึกจะมีคนเดินกันเยอะ สาวๆ ก็มีนะ เท่าที่ดูเห็นมีน่ารักหลายคนเชียวล่ะ เวลาผ่านเราพวกเธอจะทำเขินเอียงอาย บางคนยังหันมาชม้ายตามอง

ตีสอง...ดึกมากแล้ว!

สาวๆ เข้านอนกันหมด ผู้คนก็นานๆ จะมาสักที ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มๆ ที่ไปเที่ยวกลับมา ยิ่งดึกบรรยากาศก็ยิ่งดี เดือนหงายส่องแสงสว่างไปทั้งบาง หริ่งหรีดเรไรร้องระงม อยู่ในเมืองไม่ได้ยินเสียงอย่างนี้หรอกครับ

แต่ทันใดนั้น เสียงหมาเจ้ากรรมก็เริ่มโก่งคอหอนดังมาจากที่ไกลๆ พริบตาเดียว มันก็ส่งเสียงประสานรับกัน เหมือนหมาทุกๆ ตัวแถวนี้พร้อมใจกันหอนรับอะไรสักอย่างที่มนุษย์อย่างเราๆ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้...

"เออ! อยากเห็นผีว่ะ" เสียงห้าวๆ ดังขึ้น ไอ้หยอง-เพื่อนผมเองแหละ มันเป็นหนุ่มตัวล่ำบึ๊ก สูงใหญ่ หน้ากลมแป้น ไว้ผมหยิกฟู เราเลยเรียกว่าไอ้หยอง

พวกเรา 6-7 คน รวมทั้งลุงอึ่งถึงกับชะงักกึก หันไปมองมันอย่างฉุนๆ ปากทำด้วยอะไรเนี่ย...ดันพูดออกมาได้ท่ามกลางเสียงหมาหอน!

ชะรอยไอ้หยองจะรู้ตัวว่ากำลังเป็นจุดสนใจ มันเลยพูดต่อแก้ขวย

"อ้าว? อยากเห็นจริงๆ นะผีน่ะ! ขอดูเป็นบุญตา เกิดมายังไม่เคยเห็นสักตัว!"

พวกเราเงียบกริบ ลุงอึ่งซดเหล้าอั้ก ทำหน้าตาไม่สบายใจ

"เฮ้ย!" เพื่อนอีกคนร้องสะดุ้ง มองไปทางสามแยก พวกเราหันตามไป...

เชื่อไหมครับ เราทุกคนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนคล้ายรอใครอยู่ที่นั่น ผมยังจำติดตาได้จนบัดนี้...หล่อนไม่ใช่คนสวย รูปร่างท่วมๆ เตี้ย ผมดัดยาวประบ่า ยืนหันข้างให้เรา...หล่อนก้มหน้าคางชิดอก นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดแขนกุดลายขวาง สีขาวสลับแดง...จุดเด่นคือตรงพุงของหล่อนยื่นป่องเหมือนคนท้องสัก 6 เดือน

"ใช่ผีไหมวะนั่น?" ไอ้หยองยังมองดูอยู่ ตอนที่เอียงหน้ามาถามผมเบาๆแต่เราก็ได้ยินกันทุกคน

เมื่อไม่มีใครตอบ มันก็ขยับตัวลุกขึ้น เดินส่ายอาดๆ จากแคร่หน้าบ้านลุงอึ่ง ตรงไปที่ทางสามแพร่งนั่น

"ไปตามมา!" ลุงอึ่งเอ็ดเบาๆ เหมือนกลัวสาวคนนี้จะได้ยิน แต่สายเสียแล้วผมว่าไอ้หยองมันเริ่มเมา ลูกบ้าเลยบังเกิด!

พวกเรายังไม่มีใครคิดหรอกครับ ว่านั่นเป็นผีหรือไม่ใช่ผี เราเห็นหล่อนมีเนื้อมีหนังเป็นคนธรรมดา แต่ท่าและน้ำเสียงลุงอึ่งทำให้ผมเอะใจยังไงอยู่...หันขวับไปมองไอ้หยองด้วยใจระทึก มันถึงตัวสาวคนนั้นแล้ว...

สาวเสื้อลายยืนท่าเดิม ครั้นไอ้หยองเข้าไปใกล้หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมอง

ผมเห็นถนัดตาว่าไอ้หยองผงะ ตัวแข็งทื่อก่อนแหกปากลั่น พวกเราแตกฮือทันใด เสียงแคร่ดังโครม ลุงอึ่งเผ่นเข้าบ้านเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันพริบตาเดียวจริงๆ ครับ

ลุงอึ่งบอกว่าจำผู้หญิงคนนั้นได้ หล่อนเป็นคนในหมู่บ้านนี้ ผูกคอตายทั้งกลมประชดผัวไปเมื่อ 3 เดือนก่อน

ไอ้หยองยืนตัวแข็งเป็นอนุสาวรีย์อยู่ตรงทางสามแพร่งตั้งนาน จนผมไปลากตัวออกมา...ซึ่งตอนนั้นผีสาวหายตัวไปกลางแสงจันทร์แล้ว

มันเป็นเรื่องประทับใจที่พวกเราเล่าทีไรก็ฮากันทุกที...เป็นตลกโหดจริงๆ ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 มกราคม 2551

22 มกราคม 2559

วิญญาณผูกพัน

"หลานมิวท์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณป้าศรี

ดิฉันไม่ใช่คนขวัญอ่อน แถมไม่กลัวผีด้วยค่ะ แต่ก็ไม่คิดจะไปลองดีหรือลองของที่ไหนนะคะ คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ กรุงเทพฯ ทุกวันนี้มีคนเข้ามาแออัดอยู่ตั้ง 12-13 ล้านคนแล้ว ถ้ารวมเขตปริมณฑลกับพวกคนต่างด้าวเข้าไปด้วยคงจะเกือบ 20 ล้านคนก็ได้

ผู้คนขนาดนี้ก็ต้องแก่งแย่งกันทำมาหากินเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ ไหนจะครอบครัวโดยเฉพาะลูกเต้าตาดำๆ อีกล่ะ?

ดิฉันยังไม่มีครอบครัวหรอกค่ะ แต่ก็ก้มหน้าทำงานมาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยจนจบ ทั้งเก็บเงินเก็บทองไว้เพื่อสร้างอนาคตตัวเอง ไม่อยากหวังความช่วยเหลือจากคนอื่น

ถ้าไม่จนตรอกจนถึงกับจะขาดใจตายจริงๆ ก็ไม่ขอบากหน้าไปเบียดเบียน หรือรบกวนใคร เพราะรู้ดีว่าคนทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระให้แบกรับจนหนักอึ้งด้วยกันทั้งนั้น

ดิฉันทำงานที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งแถวประตูน้ำ เป็นเพื่อนคุยของแขกที่ว้าเหว่หงอยเหงา แต่ไม่ได้ขายตัวนะคะ อย่าเข้าใจผิด...ดิฉันตั้งใจทำงานและเรียนเพิ่มเติมทั้งภาษาจีน และคอมพิวเตอร์ มั่นใจว่าความรู้จะเป็นสมบัติติดตัวที่ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ตลอดกาล

"ป้าศรี" เป็นคนที่ให้บทเรียนแก่ดิฉันโดยแกไม่รู้ตัว!

หญิงชราอายุ 60 เศษ มาช่วยทำงานในร้านอาหารใกล้ๆ ทั้งล้างถ้วยล้างชามและเก็บกวาด ส่งอาหารที่เขาสั่งจากร้านข้างๆ ราวสองยามเศษปิดร้านแล้ว แกถึงจะได้นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับห้องเช่าเปล่าเปลี่ยวที่เจริญผล

ป้าศรีตัวคนเดียว ผัวตาย ลูกเต้าหายหน้าไป...แกไม่อยากเล่าเรื่องนี้นักหรอกค่ะ พอใครถาม ใบหน้าซูบซีดเหี่ยวแห้งก็มักจะเบือนหนี บางทีดิฉันยังเห็นน้ำตาป้าศรีไหลลงมาตามร่องแก้มเหี่ยวย่นเป็นทางยาว

เราถูกชะตากันเป็นพิเศษ บางคืนแกก็เอาอาหารมาส่งเรา มักจะมีขนมหรือผลไม้มาฝากดิฉันเสมอ..พึมพำว่าเห็นแล้วนึกถึงลูกสาว!

ดิฉันเองก็คอยหยิบยื่นให้แกทีละห้าสิบบาทร้อยบาท รู้สึกเหมือนป้าศรีเป็นญาติคนหนึ่ง ชีวิตแกทำให้นึกสะท้อนใจว่า...ถ้าแก่ตัวลงไปต้องตกอยู่ในสภาพนี้ก็ขอตายดีกว่า

ที่ทำงานดิฉันมีคนชื่อคล้ายๆ กันถึง 3 คน คือ...มินต์, มิลล์และดิฉันเอง...มิวท์! พอป้าศรีเอาข้าวราดหน้ากะเพราไข่ดาว ซึ่งเป็นของโปรดมาส่งดิฉัน แกมักจะพูดดังๆ ว่าของมิวท์นะ ไม่ใช่ของมินต์หรือของมิลล์ แต่สองชื่อหลังแกพูดไม่ชัด ออกเสียงเป็น "มิ้น" เหมือนกันทุกครั้ง

ป้าศรีมักจะนุ่งผ้าถุงดำ สวมเสื้อสีขาว บางทีก็สีเทา แค่มองเห็นร่างผายผอมใบหน้าซูบซีด นัยน์ตาช้ำแทบไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นคนเจ้าทุกข์...ทั้งพบผ่านและแบกรับความทุกข์ระทมมาชั่วชีวิต

ไม่มีใครชอบความทุกข์ แต่คนเราก็มักจะหนีมันไม่พ้น!

ป้าศรีเป็นทั้งเบาหวาน ความดันสูงและลิ้นหัวใจรั่ว แกเล่าว่าบางคืนแน่นหน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก นึกว่าตายเสียแล้ว...แต่พญามัจจุราชก็ยังมองเมินเหมือนไม่เคยเห็นแกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยนิด

"เห็นมินท์แล้วป้าคิดถึงลูกสาว..." แกเคยหลุดปากกับดิฉันครั้งหนึ่งเมื่อเอาอาหารมาส่ง "ไม่ได้เห็นมันมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง?"

ป้าศรียกผ้าขึ้นซับน้ำตา ดิฉันนิ่ง...บางครั้งความเงียบก็เป็นการช่วยปลอบอกปลอบใจเพื่อนมนุษย์ได้ดีกว่าคำพูดด้วยซ้ำ! ป้าศรีบีบมือดิฉัน มองสบตาแล้วพยักหน้า ฝืนยิ้ม ถามว่า อยู่คนเดียวจริงๆ หรือ? ดิฉันก็ยืนยันว่าเช่าห้องอยู่คนเดียวที่มักกะสันเหมือนแกนั่นเอง

"ก็คงเหงาเหมือนป้าละนะ...ถ้าคิดจะมีคู่ก็เลือกคนที่เขาดีๆ ไม่กินเหล้าเจ้าชู้ ข้อสำคัญให้รักเราจริงๆ ก็แล้วกัน"

ดิฉันยิ้มให้...สงสัยว่าป้าศรีคงมีผัวที่เมาเหล้าและเจ้าชู้ แถมไม่ค่อยรักใคร่หรือรับผิดชอบแกเท่าไหร่...ทำให้บั้นปลายชีวิตของป้าศรีต้องมาลงเอยอย่างน่าสังเวชแบบนี้

คืนเกิดเหตุขนหัวลุก ดิฉันหยุดงานพอดีค่ะ!

ไปเรียนคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม ตกเย็นเข้าฟิตเนส ก่อนกลับก็แวะหาซื้อหนังสือที่ให้ความรอบรู้ต่างๆ ส่วนมากเป็นหัวนอก...ดิฉันไม่แตะต้องบุหรี่ สุราและการพนันเด็ดขาด แม้แต่สลากกินแบ่งก็ไม่ซื้อ! ถ้าคนสวนมากคิดอย่างนี้ ปัญหาเรื่องลอตเตอรี่ขายเกินราคาขนาดใบละ 116 บาทอย่างที่เขาว่ากัน คงจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน

กลับถึงห้องพักก็อาบน้ำ เปิดตู้เย็น เอาสลัดผักสำเร็จรูปออกมากินกับขนมปังกรอบ ดื่มนม แล้วเปิดไฟอ่านหนังสือที่มีคอลัมน์ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ...

"มิวท์...มิ้วท์..." เสียงเรียกดังมาจากเฉลียงด้านหลัง...เสียงป้าศรีชัดๆ ทันใดนั้นเองก็นึกขึ้นได้ว่าตากผ้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายก่อนจะออกไปข้างนอก...รีบเปิดประตู เก็บผ้ามองลงไปที่ความมืดสลัวด้านล่าง ดูลิบๆ เพราะดิฉันอยู่ถึงชั้นห้า

พอกลับมานอนอ่านหนังสือก็เอาอีกแล้ว...มิวท์! มิวท์...เอ๊ะ! ยังไงกันแน่?

เงี่ยหูฟังสักพักก็ได้ยินเสียงเรียกชื่ออีก คราวนี้ชักระแวง เพราะพ้นระเบียงออกไปก็คือความโล่งว่าง เวิ้งว้างน่าใจหายสำหรับคนกลัวความสูง...เสียงที่เรียกน่ะเป็นเสียงป้าศรีจริงๆ แต่แกจะมาเรียกที่นั่นได้ยังไง? คืนนั้นก็รู้สึกเหมือนป้าศรีมาวนเวียนอยู่ในท้องทั้งคืน

รุ่งขึ้นไปทำงานก็ได้ข่าวว่า ป้าศรีตายเมื่อเย็นวานนี้เองด้วยโรคหัวใจ เพื่อนข้างห้องได้ยินเสียงล้มโครมครามก็เข้าไป...ป้าศรีขาดใจตายเสียแล้ว! ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ ป้าศรี อย่ามาหามิวท์อีกเลยนะคะ กลัวจริงๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2551

21 มกราคม 2559

คืนเขย่าขวัญ

"ปารณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในแท็กซี่ยามดึก

เรื่องผีๆ สางๆ นี่ผมยังไม่กล้าฟันธงว่ามีจริงหรือไม่? แต่ถ้าถามถึงความเชื่อก็พอจะบอกได้ว่า 50-50 ครับ คือใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าผีมีจริง เพราะโลกเราเจริญขนาดนี้แล้วนี่นา แต่อีกใจก็ยังหวาดๆ เวลาอยู่ในที่เปลี่ยวๆ ตอนกลางคืน

บางคนบอกว่า เพราะเรากลัวความมืด เราจึงกลัวผี!

แต่บางคนก็บอกว่า ผีเกิดจากมโนคติหรือจิตใต้สำนึกของตัวเองต่างหาก คนเราส่วนมากจะมีจินตนาการเรื่องผี ในที่สุดก็สร้างผีขึ้นมา ทำให้ตัวเองเชื่อว่าผีมีจริง

ทั้งหลายทั้งปวงก็แล้วแต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหน? แต่ผมเองได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดสุดๆ ในตอนดึกคืนหนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอะเจอเข้าอย่างจังๆ จะเป็นภูตผีปีศาจ หรือว่าสมองฟั่นเฟือน ขาดสติสัมปชัญญะไปชั่วครู่เพราะเกิดอุบัติเหตุ

คืนนั้น ผมไปงานวันเกิดเพื่อนที่อยู่บริษัทเดียวกัน ที่ร้านอาหารริมถนนตัดใหม่ใต้ทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา

น่าแปลกอย่างที่เพื่อนๆ ดื่มเหล้าไปแค่ 2-3 แก้วก็จับบทคุยเรื่องผีกันแล้วครับ

วิชิตอยู่แถวธัญญะ เล่าถึงกระสือที่วัดพญาปลาว่ามีตัวตนจริงๆ ตอนกลางคืนลอยมากินไก่ชาวบ้านจนเขาดักรอกัน พอเห็นมีดวงไฟเหลืองๆ ลอยมาที่ใต้ถุนบ้านแล้วกลายเป็นคนผิวดำๆ ผมยาวสยาย ก็ช่วยกันล้อมจับ แต่ผีกระสือไวมากจนแหวกวงล้อมไปได้

เพื่อนบ้านคนหนึ่งคว้าได้ท่อนไม้ก็ขว้างใส่ โดนขาจนมันแผดร้องเสียงโหยหวนก่อนจะหนีเตลิดไป...รุ่งขึ้นจึงเห็นหญิงชราผู้หนึ่งเดินลากขามาซื้อของที่ร้านชำ ใครถามก็บอกว่าหกล้มเมื่อคืน แต่ไม่มีใครเชื่อ ยืนยันว่าแกเป็นผีกระสือที่ดอดมากินเป็ดกินไก่ชาวบ้านเป็นประจำ...ในที่สุดก็ขับไล่แกออกไปจากหมู่บ้านจนได้!

ต่อจากวิชิต คนอื่นๆ ก็ผลัดกันเล่าเรื่องผีกันอย่างสนุกสนาน...สมานอยู่พระโขนงเล่าว่ามีคนโดนรถชนตายในซอยเมื่อเดือนก่อน...อีกไม่กี่วันก็มีคนเห็นร่างโชกเลือดเดินเปะปะอยู่แถวนั้น หมาหอนโหยหวนทุกคืนจนพากันขนลุกขนพองไปตามๆ กัน หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีหลอกชนิดเต็มตา...ผีที่ตายเพราะโดนรถชนยังเดินวนเวียนอยู่ในซอยหลายวันกว่าจะหายไป

บ้านผมอยู่หลังไทยอินเตอร์ มีถนนคดเคี้ยวกับบ้านช่องเยอะแยะ ไม่มีอะไรน่ากลัว แถมยังมี

วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ บ้านอีกด้วย

ราวสองยามก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมนั่งแท็กซี่ก็มานึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ ที่เพิ่งได้ฟังมาหยกๆ ถ้าเราไปเจอร่างโชกเลือดในที่เปลี่ยวก็คงสยองน่าดูเหมือนกัน...พอดีรถเข้าซอย...เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตามที่ผมบอก ถนนโล่งว่างอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น...

ทันใดนั้นเอง ร่างดำๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากข้างทาง!

"เฮ้ย! ไอ้เห้..." คนขับแท็กซี่ร้องลั่น หักรถหลบวูบแต่คงไม่พ้น เพราะได้ยินเสียงโครม! ผมกระเด็นไปฟาดประตูรถด้านซ้ายเต็มแรง...แสงสว่างดับวูบ โลกทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิดราวกับขุมนรกอเวจีในบัดดล

สรรพสิ่งเงียบเชียบ...เงียบเหลือเกิน ผมคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่มีความเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว! ผมพยายามเบิ่งตามองฝ่าความมืดออกไป...แปลก! ไม่ยักมืดมิดเหมือนตอนแรกหรอก แต่เห็นแสงเหลืองๆ จากเสาไฟฟ้าส่องลงมาเยือกเย็น ร่างผมนอนเค้เก้อยู่ในพงหญ้าริมทาง ใกล้ๆ กับรั้วบ้านใครก็ไม่รู้...

อ้าว? แท็กซี่คันนั้นล่ะ หายไปไหนแล้ว?

เพิ่งนึกออกว่ามีคนตัดหน้า เสียงโครม...รถคงชนหรือไม่ก็หักหลบไปชนเสาไฟฟ้าก็ไม่รู้ เพราะผมหมดสติไปก่อน...ว่าแต่ร่างที่ตัดหน้าไปไหน? คงจะไม่โดนชนละมั้ง? ว่าแต่แท็กซี่คันนั้นน่าจะอยู่ใกล้ๆ ผมนะ ทำไมถึงได้พลอยหายเงียบไปด้วย?

ทั้งเงียบเชียบและเปล่าเปลี่ยวเหมือนตกอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

ผมพยุงกายลุกขึ้นยืน...เอ๊ะ! ไม่ได้เจ็บปวดหรือเป็นอะไรมากนี่นา หัวไม่ได้แตกแข้งขาก็ไม่ได้หัก มองเห็นมะขามใหญ่จากที่ว่างแผ่กิ่งก้านสาขาออกมานอกรั้ว...คลุมมาถึงเพิงแท็กซี่ในหมู่บ้านที่ผมจำได้ดี

ปกติเคยเห็นพวกวินมอเตอร์ไซค์จับกลุ่มคุยกัน รถที่จอดอยู่ก็มีหมวกกันน็อกสีขาวทุกคัน แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย รถราก็ไม่เหลือแม้แต่คันเดียว

อ้อ! ดึกดื่นป่านนี้แล้วนี่นา...ผมเดินไปที่เพิ่งร้าง ดูเปล่าเปลี่ยวและเงียบเชียบว่าจะนั่งพักเอาแรง กำลังสำรวจร่างกายให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ พลางนึกถึงแท็กซี่คันนั้น...

ให้ตายเถอะ! เขาไม่น่าจะทิ้งผู้โดยสารไว้ข้างถนนแบบนั้นนี่นา ใจดำชะมัดเลย!

แต่...นรกเถอะ! นั่นอะไรที่อยู่บนเพิงไม้เตี้ยๆ แคบๆ มีผ้าใบเก่าๆ คลุมเป็นหลังคาอยู่ใต้กิ่งใบมะขามร่มครึ้มน่ะ?

ถึงแม้จะเป็นภาพสลัวๆ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงชายคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างลืมตัวลืมตาย...ผมชะงัก เกือบเป็นพริบตาเดียวกับที่ร่างทั้งสองลุกพรวดพราดขึ้นมาหันมองจนผมตกใจ ผงะหน้า ร้องอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว

คราวนี้โลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เมื่อมองเห็นใบหน้าแหลกยับเปรอะเลือดของหญิงชายคู่นั้น ตามลำคอและทรวงอกก็เต็มไปด้วยเลือด...เลือด และเลือดทั้งนั้น!

"เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมร้องตะโกนสุดเสียง ม่านตาลายพร่าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พลันได้ยินเสียงปนหัวเราะ...ไม่เป็นไร ผมหลบไอ้บ้านั่นทันพอดี!

คราวนี้กะพริบตาถี่ๆ มองเห็นคนขับแท็กซี่หันมายิ้มฟันขาว...ผมตกตะลึงไปหมด เหลียวซ้ายแลขวางุนงงก็พบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ตามเดิม...แสงไฟส่องลงมาเห็นเพิงว่างเปล่าใต้ร่มเงามะขามพอดี

ลงจากแท็กซี่หน้าบ้าน ขาสั่นระริกพอๆ กับหัวใจที่ยังเต้นระทึก...ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นผีจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2551

18 มกราคม 2559

คืนขวัญหาย

"หนูกิ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านป้าอ๋อย

หนูชื่อกิ่งกาญจน์ เรียกง่ายๆ ว่ากิ่งก็ได้ค่ะ ตอนนี้กิ่งอายุ 15 ปี กำลังเรียนอยู่ม.4 ผลการเรียนปานกลาง บ้านกิ่งก็มีฐานะปานกลางเหมือนกัน เรามีด้วยกัน 4 คนพ่อแม่ลูก...ซึ่งลูกก็คือกิ่งกับน้องชายไงคะ บ้านเราเป็นตึกแถวหน้าตลาด ชั้นล่างขายของชำ ชั้น 2 เก็บของ ชั้น 3 เป็นที่พัก... บ้านเราไม่มีผีหรอกค่ะ กิ่งไปโดนผีหลอกที่บ้านคุณป้า แต่พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ!

เมื่อช่วงปีใหม่เรามีวันหยุดหลายวันใช่ไหมคะ ป้าอ๋อยที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของแม่กิ่งน่ะ ยกทีมไปเที่ยวหัวหินกันทั้งบ้านตั้ง 5 วันแน่ะ...เขาจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่บ้านที่เตาปูนไม่มีใครเฝ้า

จริงๆ แล้วเขาฝากตำรวจค่ะ แต่ก็ยังอยากให้มีคนไปนอนเฝ้า และใครคนนั้นก็คือกิ่งเองแหละ...กิ่งอาสาเขาเองเพราะว่างค่ะ โรงเรียนกิ่งมี 3 เทอม ตอนนี้เป็นช่วงหยุดยาวพอดี เปิดอีกทีก็วันที่ 7 มกราคมแน่ะ

ตอนที่อาสาจะไปค้างบ้านป้าอ๋อย แม่ก็ถามว่าไหวเรอะคนเดียว?

โอ๊ย! สบายมากค่ะ กิ่งเคยไปนอนค้างบ้านนั้นมาแล้วตั้งหลายหน โอ๋-ลูกสาวป้าอ๋อยน่ะเกิดปีเดียวกับกิ่ง นอกจากจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว เรายังเป็นเพื่อนสนิทกันด้วย...ที่จริงโอ๋ชวนให้กิ่งไปหัวหินกับเขา แต่กิ่งไม่อยากไป

บ้านป้าอ๋อยกับบ้านกิ่ง จริงๆ แล้วอยู่ไม่ไกลกันเลย ห่างกันราวกิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้น เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง แต่เหนื่อยหน่อย

เป็นอันว่ากิ่งไปเฝ้าบ้านให้ป้าอ๋อยนะคะ และไม่ได้อยู่คนเดียวด้วยล่ะ! ทีแรกนึกว่าคนเดียว แต่มีป้านุ-ลูกจ้างของป้าอ๋อยมาอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืน ก็เลยไม่มีอะไรน่ากลัว

ตอนกลางวันกิ่งจะไปช่วยแม่ขายของที่บ้าน พอตกเย็นก็เอาชุดนอน เสื้อผ้าใส่ถุงเดินเรื่อยๆ มาถึงบ้านป้าอ๋อย จากนั้นกิ่งกับป้านุจะนั่งดูทีวีกัน ดูกันจนดึกๆ ป้านุก็นอนที่ห้องนั่งเล่น บนโซฟาหน้าทีวี ส่วนกิ่งขึ้นไปนอนห้องนอนโอ๋ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ...

คืนแรกๆ ไม่มีอะไรเลย แต่เรื่องมาเริ่มต้นเอาคืนที่สาม!

กิ่งนอนๆ อยู่ก็มีเสียงกุกกักบนหลังคา เสียงเล็บขูดเหนือฝ้าเพดาน ซึ่งกิ่งว่ามันเป็นแมวนะ! แมวมันชอบมุดเข้าไปใต้หลังคาบ้าน ไปจับหนู และบ้านของป้าอ๋อยมีต้นมะม่วงอยู่ข้างๆ บ้านตั้งสองต้น กิ่งมะม่วงยื่นมาระหลังคา...ทั้งหนู ทั้งกระรอกและแมวต่างก็จับจองพื้นที่ระหว่างหลังคากับฝ้าเพดานเป็นที่วิ่งไล่จับกันจีบกัน...เอะอะน่าดู

นั่นไง! เสียงขูดเล็บแกรก...แกรก...แล้วก็วิ่งหนักๆ ไปทางมุมห้อง กิ่งมองตามในความมืด...ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าฝ้าเพดานมันรับน้ำหนักเจ้าตัวซนไม่ไหว มันจะร่วงทะลุลงมาให้ขวัญหนีดีฝ้อน่ะค่ะ

รุ่งขึ้น กิ่งมาบ่นกับป้านุเรื่องแมวหรือกระรอกก็ไม่รู้ ไปวิ่งไล่กันบนฝ้าเพดาน?

คืนนั้นเองป้านุก็ไม่อยู่ ขอลาหนึ่งคืนเพราะจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ กิ่งนอนคนเดียวก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก...ตอนใกล้จะหลับ กิ่งต้องสะดุ้งเพราะมีเสียงหนักๆ ดังตึง! บนฝ้าเพดานเหนือที่นอนพอดิบพอดี แล้วมันก็กลิ้งขลุกๆ ไปทางมุมห้องด้านทิศใต้ จากนั้นก็กลิ้งขลุกๆ มาทางทิศเหนือ...เอ๊ะ! ตัวอะไรมันกลิ้งแบบนี้?

แหม! มันไม่หยุดเลยค่ะ กลิ้งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ กิ่งเริ่มสงสัย จากความสงสัยก็กลายเป็นความกลัว เลยชักผ้านวมมาคลุมถึงใต้คาง นอนจ้องเพดานด้วยใจระทึก...

ความรู้สึกบอกว่าเจ้าสิ่งนั้นมันลุกขึ้นยืน แล้วก็ออกวิ่ง!

มันวิ่งจากเหนือมาใต้ ใต้ไปเหนือ ทแยงจากตะวันตกไปตะวันออก มันวิ่งแรงมากจริงๆ จนบ้านสะเทือน เพดานทำท่าเหมือนจะพังทลาย! กิ่งแผดเสียงร้องกรี๊ด...ยกมืออุดหูแล้วลุกขึ้นเผ่นพรวดเดียวถึงประตูห้อง เสียงนั้นหยุดชะงักไปนิดนึง กิ่งก็หยุดฟัง...และแล้วมันก็กระทืบเท้าแรงๆ จนกิ่งกรี๊ดอีก แล้วกระชากประตูวิ่งโครมๆ ลงบันไดที่มืดสลัว มายืนหลบอยู่ข้างล่าง ตาก็จ้องมองบันได...

เหนือขึ้นไปนั้น ยังเห็นประตูห้องนอนเปิดอ้า บ้านทั้งหลังปิดไฟ แต่เปิดไฟนอกบ้านไว้ แสงมันเลยส่องเข้ามาพอเห็นอะไรต่อมิอะไร

เสียงนั้นดังโครมๆ มันดังออกมาจากห้องนอน แล้วกิ่งก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ!

ผีมันจะลงบันไดมาแล้ว...ความกลัวสุดขีดแล่นปลาบไปทั่วร่าง กิ่งตกใจจนสั่น วิ่งแทบไม่ออก ทุกก้าวมันหนักและฝืดเหมือนผีมันเอื้อมมือมาฉุดไว้ อย่างไรก็ตาม กิ่งกระเซอะกระเซิงไปเปิดล็อกประตูกระจก แล้วกระโจนออกจากบ้านทันที

กิ่งวิ่งไปที่ประตูรั้ว แล้วมองขึ้นไปบนหลังคา...เหมือนเงาคนดำๆ ใจหนึ่งคิดว่าขโมย อีกใจหนึ่งคิดว่าขโมยบ้าอะไรมันจะมาวิ่งให้เจ้า ของบ้านแตกตื่น?

มือสั่นเทาของกิ่งพยายามจะเปิดประตูรั้ว แต่คุณพระช่วย! มันล็อก...กุญแจอยู่ในบ้าน! ไม่รู้ล่ะ กิ่งไม่อยู่แล้วนะ...กิ่งปีนล่ะนะ! ปีน ประตูรั้ว กะแล้วก็หล่นตุ้บมานอกบ้าน...มองไปตลอดซอยมันเงียบมาก ว่างเปล่าวังเวง... ผู้คนหายไปไหนหมดนะ เพิ่งจะสองยามกว่าๆ เอง

...กิ่งเข้านอนตอนสองยามพอดี ตอนใกล้หลับก็โดนผีหลอกจนวิ่งเผ่นออกมานี่...บ้านทุกหลังปิดเงียบเหมือนเมืองร้าง น่ากลัวที่สุด!

กิ่งเริ่มวิ่งเท้าเปล่า...จะไปไหนเรอะคะ? กลับ บ้าน กิ่งน่ะสิ

พอออกมาหน้าปากซอยก็เห็นรถวิ่ง แม้นานๆ จะผ่านมาสักคันแต่ก็ยังดี กิ่งเดินกึ่งวิ่งเหมือนไม่รู้จบ แต่ก็มาถึงบ้านจนได้ กิ่งกดออด แม่ก็ลงมาเปิดประตู...กิ่งโผกอดแม่ร้องไห้โฮเลยค่ะ

หลังจากคืนนั้น กิ่งไม่กล้ากลับไปที่บ้านป้าอ๋อยอีกเลย ป้านุก็พลอยกลัวไปด้วย แต่ช่างเถอะ ป้าอ๋อยฝากบ้านไว้กับคุณตำรวจแล้วนี่นา หวังว่าคุณตำรวจคงจะไม่โดนผีหลอก นะคะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2551

17 มกราคม 2559

ไปเซาน่า

"นายจ้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเอกมัย

บรรดาชุมทางผีดุในกรุงเทพฯ ที่ร่ำลือกันน่ะ ส่วนมากใครอยู่ย่านไหนก็มักจะบอกว่าย่านนั้นผีดุที่สุด ถ้าจะพูดถึงแหล่งดังๆ ก็ต้องวัดสระเกศกับวัดสุทัศน์นะครับ เพราะทั้งสองวัดนี่ไม่ได้มีแต่ภูตผีอย่างเดียว แต่เขาว่ามีเปรตด้วยแน่ะ

นอกจากนั้นก็ยังมีที่ท้องสนามหลวงกับสวนลุมพินี สถานที่พักผ่อนหย่อนใจชื่อดังนั่นแหละครับ กลางวันก็ดูร่มรื่น น่าสบายตาสบายใจดีหรอก แต่พอตกกลางคืนเข้าเท่านั้น...บรื๋อ! ผีดุอย่าบอกใครเชียว

ตามวัดตามโรงพยาบาลก็เชื่อว่ามีผีสิง คอยหลอกหลอนผู้คนอยู่เป็นประจำ!

ตามถนนหนทางก็เหมือนกัน ไมว่าพหลโยธิน หรือสุขุมวิทไปยันเพชรเกษม...สาเหตุมาจากรถราชนกันวินาศสันตะโร จะเพราะประมาทหรือเมามายก็ตามที แต่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายกันมานับไม่ถ้วน คราวละ 2-3 ศพ จนถึงตูมเดียวปาเข้าไปตั้ง 5-6 ศพก็มี

ขนาดในตรอกในซอยก็ยังไม่วายมีพวกตีนผีชนกันตายมั่ง เล่นงานผู้คนเดินถนนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มั่ง...ยังงี้จะไม่ทำให้เกิดผีหลอกวิญญาณหลอนได้ยังไงล่ะคุณ?

ผมเป็นคนเอกมัย ขอเล่าเรื่องผีในย่านนี้สู่กันฟังแก้เหงา อ่านแล้วจะขนลุกขนพองหรือเปล่าไม่ทราบนะครับ แต่ผมเองน่ะเจอะเจอเอาประสบการณ์ที่ทำให้ขนแขนสแตนดŒอัพ หัวใจหวิดล่มสลายละกัน

สมัยก่อนซอยเอกมัยเงียบๆ เหงาๆ ปลายซอยมีวัดภาษีโดดเดี่ยว พวกผู้ใหญ่เล่าว่าผีดุนักหนา เพราะที่นั่นเคยเป็นลานนักโทษประหาร ที่ใช้วิธีตัดหัว ฆาตกรนามบุญเพ็ง หีบเหล็ก เป็นรายสุดท้ายที่โดนประหารด้วยคมดาบ ก่อนจะกลายเป็นใช้ปืนกลแบล็กมันด์ประหารนักโทษในคุกบางขวางเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว

ตอนเย็นๆ ค่ำๆ พวกคนหาปลาในคลองกับพวกทำสวนผัก เดินผ่านวัดจะกลับบ้าน เห็นใครนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่แถวประตูวัด พอจ้องมองให้ถนัดถึงกับร้องจ้า...ร่างนั้นไม่ได้ก้มหน้าหรอกครับ แต่ว่าไม่มีหัวต่างหากล่ะ!

วิ่งตะโพงกันไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องโว้ยๆๆ ไปด้วยเพราะโดนผีหลอกเข้าจังเบอร์

บางทีเห็นใครเดินออกมาจากวัดเทิ่งๆ เอ๊ะ! รูปร่างพิกลแฮะ...จนใกล้เข้ามาถึงได้ตาเหลือก จะไม่พิกลยังไงล่ะ ในเมื่อร่างนั้นเป็นผีหัวขาด แถมหิ้วหัวติดมือมาอีกต่างหาก

ระยะหลังๆ ความเจริญย่างกรายเข้ามา ตึกรามบ้านช่องผุดสะพรั่ง รถราขวักไขว่จนติดขัด ผู้คนคึ่กๆ มีแต่ความสับสนอลหม่านทั้งกลางวันกลางคืน ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กลายเป็นแหล่งบาร์ ไนต์คลับ โรงแรมม่านรูดหนาตา โรงอาบน้ำ หรือเรียกกันว่าโรงนวดโผล่ขึ้นมาเรียงรายสองฝั่งถนน มากมายที่สุดในกรุงเทพฯ

ไม่มีซอยเอกมัยแล้ว แต่กลายเป็นถนนเอกมัย มีร้านค้าใหญ่น้อยเต็มไปหมดทั้งสองฝั่งถนน โดยเฉพาะบาร์กับค็อกเทลเลานจ์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด...กลายเป็นถนนที่เจริญสุดๆ มีซอยเล็กซอยน้อยแยกออกไปเป็นสิบๆ ซอย รถราคับคั่งขนาดติดเป็นแพก็แล้วกัน

ผีหัวขาดหายไปแล้ว...อาจจะกลัวผีตายโหงที่โดนรถชนตายก็ได้นะครับ!

รถยิ่งเยอะ คนโดนเฉี่ยวโดนชนก็ยิ่งมากขึ้นทุกที...บ้านผมอยู่แถวๆ ร้านเนื้อวัวสุดดัง ย่านนั้นมีแยกหลายแยก เกิดอุบัติเหตุบ่อย โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ซิ่งกันน่าดู ต่อให้รถติดก็ซิกแซ็กไปได้ พลาดพลั้งตูมตามเข้าตะละที ส่วนมากไปเกิดใหม่ทั้งนั้นแหละ

คืนเกิดเหตุ เฮียหลงคนข้างบ้านเกิดถูกหวยมาหลายหมื่น เลยชวนพวกเราไปเที่ยวฉลองกันหน่อย...มีผมกับเจ้าช้วนที่ว่างพอดี ส่วนเจ้าฮ้อขอช่วยเตี่ยเก็บร้านก่อน เฮียหลงก็บอกให้ตามไปสมทบที่เซาน่าละกัน!

เราสามคนตีต๊อกไปที่สีลมเซาน่า...อ๊ะ! อย่านึกว่าผมเพี้ยนจนถึงกับเดินจากเอกมัยไปสีลมนะครับ ไปสีลมเซาน่าจริงๆ เพราะเขาย้ายจากสีลมมาอยู่เอกมัยหลายปีแล้ว แต่ยังใช้ชื่อเดิม...เฮียหลงไปผลัดผ้าหน้าล็อกเกอร์พร้อมกับคนอื่นๆ แต่ผมกับเจ้าช้วนส่ายหน้า ไม่อยากจะไปเป็นชีเปลือยกับพวกไม้ป่าเดียวกัน เลยขอนั่งซดเบียร์รออยู่ด้านหน้า

แหม! เฮียหลงอุตส่าห์โทร.ไปสั่งเกาเหลาเครื่องในสดกับเนื้อเปื่อยจากร้านดัง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาให้เราแกล้มเบียร์จนถึงสีลมเซาน่าเชียวละคุณ

ราวๆ ครึ่งชั่วโมงเจ้าฮ้อก็ตามมาสมทบ...ตอนนั้นราว 2 ทุ่มกว่า มีแต่เราโต๊ะเดียวที่นั่งซดเบียร์กัน เพราะแขกส่วนมากเขามาอบเซาน่า...เพื่อลดความอ้วนบ้าง เพื่อให้เหงื่อออกเป็นการรีดไขมันบ้าง เฮียหลงแกว่าทำให้เลือดลมฉีดแรงดี กระปรี้กระเปร่าหายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง

แสงไฟเหลืองๆ จากเพดานชวนให้วังเวงใจพิกล...คนที่อบตัวเสร็จก็ทยอยออกมา เจ้าฮ้อซดเบียร์อั้กๆ คงจะเหน็ดเหนื่อยจากการช่วยเตี่ยขายของมาทั้งวัน พอดีเฮียหลงแต่งตัวเสร็จโบกไม้โบกมือมาจากข้างใน

เฮียหลงจ่ายเงิน เราลุกจากโต๊ะพร้อมกัน เจ้าฮ้อออกเดินนำหน้า...ถนนเฉอะแฉะเพราะฝนตกหนักตอนเย็น เจ้าช้วนร้องว่า "ไอ้ฮ้อหายไปไหน?"

ผมมองไปอีกทีก็ไม่เห็นเหมือนกัน เฮียหลงถามว่าไอ้ฮ้อมาแล้วรึ? ทำไมข้าเห็นแต่เอ็งสองคนเท่านั้นล่ะ? ผมชักเอะใจ รีบจ้ำออกไปถึงปากทางแล้วเหลียวซ้ายแลขวา...แต่ไม่เห็นไอ้ฮ้อแม้แต่เงา...เจ้าช้วนควักโทรศัพท์ขึ้นมา ผมเห็นมันพูดจาอะไรได้เดี๋ยวเดียวก็อ้าปากค้าง หน้าซีดเหมือนศพทันใด

"จริงหรือเตี่ย? โธ่..." เจ้าช้วนคราง โทรศัพท์ร่วงผล็อยลงอย่างสิ้นเรี่ยวแรง...

เตี่ยไอ้ฮ้อบอกว่า อารามรีบร้อนทำให้ไอ้ฮ้อโดนรถปิกอัพชนตูมที่หน้าร้าน...ไปนอนโคม่าอยู่ที่โรงพยาบาล เจตภูตหรือวิญญาณของมันก็ไม่รู้ที่ไปหาเรา...ซดเบียร์กันเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าฮ้อสิ้นใจตายคืนนั้นเองครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2551

16 มกราคม 2559

วิญญาณแฝง

"ประคอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสาวใช้คนใหม่

เด็กรับใช้ที่มาอยู่กับดิฉันได้เดือนกว่าๆ นี้ท่าทางจะเก่งพอตัว กวาดบ้านถูเรือนได้สะอาด ซักรีดเสื้อผ้าได้เป็นที่ถูกใจ แถมยังทำกับข้าวกับปลาได้เข้าท่าเชียวละ...เสียอย่างเดียว เจ้าหล่อนมีพฤติกรรมบางอย่างที่เห็นแล้วน่าขนลุกชะมัดเลย!

เอ๋-มาจากเมืองน้ำดำ กาฬสินธุ์ค่ะ หล่อนอายุแค่ 18 ปี เรียนถึงม.3 ก็ออกจากโรงเรียนเพราะแม่หล่อนบอกว่าเรียนมากไปก็เท่านั้น มาช่วยแม่ทำนาดีกว่า

แหม! เอ๋ไม่ชอบเรื่องเรียนอยู่แล้วก็เลยดีใจใหญ่ แต่ทำนาปีกว่าๆ ก็ไม่ไหว รูปร่างเจ้าหล่อนบอบบางเหลือเกิน ไหนจะกลัวตัวดำ หน้าเป็นฝ้าซะอีก ผลก็คือต้องมาทำงานหาเงินในกรุงเทพฯ ประจวบเหมาะกับที่ดิฉันกำลังต้องการคนรับใช้แทนคนเก่าที่ลาไปแต่งงาน

สาวใช้ข้างบ้านที่เป็นญาติห่างๆ กับเอ๋ ก็เลยพาเธอมาฝากทำงานกับดิฉัน

สัปดาห์แรกผ่านไป ดิฉันเอ่ยปากชมกับลี-สาวใช้ข้างบ้านที่พาเอ๋มา ว่าเอ๋ทำงานดี หน้าตายิ้มแย้ม มีอัธยาศัย ดิฉันพอใจมาก

หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีอะไรแปลกๆ เมื่อสังเกตว่าเอ๋มักจะชอบพูดพึมพำคนเดียวอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น ขณะกวาดบ้าน เธอก้มหน้าก้มตากวาด บางครั้งก็ย่อตัวลงไปเพื่อกวาดใต้โต๊ะ ใต้ตู้ ส่วนปากก็จะพูด ...และพูดไม่หยุด เหมือนกำลังคุยกับใครสักคนอย่างเพลิดเพลิน!

"เอ๋ คุยอะไรน่ะ? เห็นคุยอยู่คนเดียวตั้งนาน" ดิฉันถามยิ้มๆ หล่อนหัวเราะกิ๊กเหมือนขบขันเต็มประดา

"แหม...คุณเห็นรึคะ? ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูเล่นละครกับตัวเองน่ะ แก้เหงา! แล้วทำงานไม่เหนื่อยด้วย สนุกดีออกค่ะ"

มันน่าจะส่งไปสมัครเป็นดาราละครวิทยุนัก แบบนี้เรียกว่ามีแววใช่ไหมคะ?

แต่การคุยเล่นกับตัวเองของเอ๋มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกค่ะ หลังจากวันที่ดิฉันไปทักเข้าเอ๋ก็ระวังตัวมากขึ้น หล่อนจะชำเลืองหางตาเวลาก้มหน้าก้มตากวาดบ้านถูบ้าน ถ้าเห็นดิฉันอยู่แถวๆ นั้นหล่อนก็จะเงียบ บางทีก็ทำเสียงจุ๊ๆ เบาๆ คล้ายจะห้ามใครบางคนให้หยุดพูด...

ใครบางคนผู้ไม่มีร่างกาย!

ลองเป็นขนาดนี้ ดิฉันชักจะกังวลเรื่องสภาพจิตของหล่อนแล้วสิ คุณคงนึกออกนะคะ ว่าถ้ามีคนสติไม่ดีอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราเพลินๆ อยู่ตามลำพังในบ้านของเราเองน่ะ มันน่าหวาดผวาแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ดิฉันจะขอทนดูพฤติกรรมของหล่อนอีกสักพักก็แล้วกัน เอ๋ยังดูไม่เป็นอันตรายอะไร ที่สำคัญก็คืองานดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่ลักขโมย ไว้ใจได้เลยค่ะเรื่องเงินๆ ทองๆ

ระยะเวลาไม่ถึงสิบวัน อาจจะเร็วไปที่จะตัดสินใจว่าใครซื่อสัตย์ แต่ดิฉันเคยให้แบงก์ใบละพันไปซื้อของหลายครั้ง หล่อนก็ทอนมาครบทุกบาททุกสตางค์เสมอ

ดิฉันไม่ใช่คนเดียวในบ้านที่เห็นเอ๋คุยกับลมกับแล้งแบบนี้ ป้ามา-คนครัวของเราก็เห็น แกเล่าว่า เวลากินข้าวเอ๋จะไม่กินพร้อมคนอื่นๆ แต่จะตักเข้าไปกินในห้อง มีจานข้าว ถ้วยกับข้าว ใส่ถาดเป็นสำรับอย่างดี

ห้องของป้ามาอยู่ติดกับห้องเอ๋ แกได้ยินบ่อยๆ ที่เอ๋พูดว่า "มาสิ...มากินด้วยกันนะ! นี่...อันนี้อร่อยมากเลย กินเยอะๆ"

เอาล่ะสิ! สงสัยเจ้าหล่อนจะเลี้ยงผีซะละมั้งนี่?

ป้ามากับพวกสาวรับใช้ที่เป็นพี่เลี้ยงหลานดิฉัน แอบมาปรึกษาว่าท่าทางน้องเอ๋ของเราจะบ้า หรือก็เป็นพวกหลงใหลไสยศาสตร์!

มีเรื่องแปลกอีกอย่างเกิดขึ้นค่ะ...

เช้าวันหนึ่งดิฉันตื่นลงมา อากาศเย็นสบายเชียว เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า...ขณะเดินลงบันไดก็เห็นเอ๋กวาดบ้าน และมีเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบนัวเนียอยู่ไม่ห่าง แต่พอลงมาถึงชั้นล่างก็ไม่เห็นใคร นอกจากเอ๋...ที่หยุดเล่นละครพูดแล้วหันมามองยิ้มๆ

ดิฉันคงจะตาฝาดไปเอง...แต่ถึงยังไงก็ยังมั่นใจว่าเห็นเด็กผู้ชาย! คิดไปคิดมาก็ขนลุกซู่เลยค่ะ นี่แปลว่าเอ๋เลี้ยงผีจริงๆ อาจจะเป็นกุมารทองก็ได้...น่ากลัวจังเลย

เมื่อสงสัยหนักๆ เข้า ดิฉันก็หาโอกาสไปถามลีว่ารู้ไหมว่าเอ๋มีอะไรแปลกๆ ลีทำหน้างงงัน ดิฉันก็เลยเล่าว่าหล่อนพูดคนเดียวเป็นคุ้งเป็นแคว มิหนำซ้ำยังชวนลมชวนแล้งกินข้าวด้วยกันทุกมื้อ!

พอเล่าถึงตรงนี้ ลีร้องอ๋อ...แล้วหล่อนก็เล่าความเป็นมาให้ฟังอย่างหมดเปลือก...

"เอ๋ไม่ได้บ้าหรอกค่ะคุณ ไม่ได้เลี้ยงผีด้วย สบายใจเถอะค่ะ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีถึงจะโง่ๆ ไปหน่อย" ลีเกริ่นนำ ก่อนจะบอกต่อ "แต่เมื่อ 2-3 ปีก่อนน้องชายคนเล็กของเอ๋ชื่อเอก ตกน้ำตาย เอ๋รักน้องมากๆ รับไม่ได้เลยค่ะ คนที่บ้านน่ะรู้กันทั้งนั้นว่าเอ๋ชอบคุยคนเดียว แต่สำหรับเอ๋แล้ว ...มันคุยกับน้องมันค่ะคุณ!"

ถ้างั้นดิฉันก็ไม่ได้ตาฝาด เด็กชายที่เห็นคงเป็นเอกแน่ๆ ดิฉันรีบเล่าให้ลีฟัง หล่อนร้องอุทานแล้วยกแขนให้ดู...ขนลุกเกรียวไปหมด

ใจหนึ่งดิฉันก็กลัวผี อีกใจก็สงสารและซาบซึ้งความรักระหว่างพี่น้อง...เป็นอันว่า ดิฉันเข้าใจแล้วถึงอาการแปลกๆ ของสาวใช้คนนี้ ทำอย่างไรได้ล่ะคะ จะไล่ออกก็เสียดาย คนยิ่งหายากอยู่

ตั้งแต่นั้นดิฉันก็อยู่กับเอ๋ได้สบายดี ขึ้นเงินเดือนให้หล่อน และแอบภาวนาว่าอย่าให้เอกมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 16 มกราคม 2551

14 มกราคม 2559

วิญญาณสยอง

"ไปรผดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรีสอร์ตผีสิง

คนเราแทบจะทั่วโลกล้วนแต่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง แม้ว่าร่างกายจะสูญสลาย เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา กลายเป็นดินสู่ดิน เถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี....แต่วิญญาณอมตะก็ยังอยู่! วิญญาณที่มีพลังรุนแรงจนไม่อาจจะมีสิ่งใดมาเผาผลาญ หรือทำลายให้แตกดับไปง่ายๆ

โดยเฉพาะวิญญาณอันเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน ระคนกับเคียดแค้น อาฆาตจองเวรต่อผู้ที่ทำร้าย...ทำลายชีวิตของตนเอง!

วูบสุดท้ายของลมหายใจ วิญญาณโลดลิ่วออกจากร่างอย่างเป็นอิสระ

วิญญาณที่ร้องไห้ด้วยความปวดแสนสาหัส ดังวู่หวิวมาตามสายลม วิญญาณที่สะอึกสะอื้นคร่ำครวญอยู่ตามยอดไม้...หวีดหวิวอยู่ในความว่างเปล่า เยือกเย็น สิงสู่วนเวียนอยู่ในแดนตายของตน...ไม่ยอมไปผุดไปเกิดจนกว่าจะสิ้นเวร

ดิฉันกับเพื่อนสนิทสองคนไปพบเหตุการณ์สยอง เมื่อปีกลายนี้เองค่ะ

อ้อมกับแป๋วเป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกัน ปกติก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้วตามประสาสาวโสด กิน เที่ยว เปิดหูเปิดตาให้โลกทัศน์ของตัวเองกว้างขวางขึ้น เมื่อมีโอกาสก็ชวนกันไปเที่ยวทะเล หัวหิน พัทยา หรือใกล้ๆ แค่บางแสนก็ยังดี...แต่คราวนี้เราเลยไปถึงระยองเพราะได้หยุดงานติดกันถึง 3 วัน

รีสอร์ตที่อ้อมจองไว้อยู่ใกล้ๆ ชายหาด ดูสภาพค่อนข้างเก่าแต่เขาตกแต่งจนดูหรูและสะอาดสะอ้าน มีแอร์เย็นฉ่ำทั้งสองห้องนอน

อ้อมกับแป๋วนอนด้วยกันในห้องใหญ่ ส่วนดิฉันนอนคนเดียวในห้องเล็กติดๆ กัน พอไปถึงก็ผลัดผ้าลงเล่นน้ำจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า...ออกไปเดินชมตลาด หาอะไรกิน แล้วก็กลับที่พัก ดูทีวี กินขนม...จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่าก็แยกย้ายกันเข้านอน

ดิฉันไม่อิจฉาเพื่อนที่ได้นอนคุยกัน เย้าแหย่กันจนกว่าจะหลับ เพราะตัวเองชอบนอนคนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร...ปกติถ้าแปลกที่ก็จะหลับยากหน่อย แต่คืนนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอดับไฟห่มผ้า หนังตาก็หนักอึ้ง นึกได้ว่าลืมสวดมนต์ก็ขอแค่พนมมือพึมพำ...แล้วก็ผล็อยหลับไป

คล้ายกับจะมีอะไรบางอย่างรอคอยโอกาสนี้อยู่แล้ว...ความรู้สึกจมดิ่งเข้าภวังค์รวดเร็ว...หลับสนิทอย่างที่เรียกว่าหลับลึก แล้วเริ่มต้นฝันเห็นภาพนั้นทันที!

ในห้องน้ำที่สว่างโพลงด้วยแสงไฟ บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ดิฉันเองคล้ายไม่มีตัวตน แต่มองเห็นชายกลางคนผิวคล้ำ ร่างใหญ่ คิ้วดก ปากหนานัยน์ตาพองอยู่ในชุดแรกเกิด กำลังกอดปล้ำเด็กสาวในชุดวันพีช เธอต่อสู้ดิ้นรนสุดเหวี่ยง สะบัดหน้าร้องโวยวายตลอดเวลา...คุณพระช่วย! ดิฉันไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย ไม่ว่าเสียงหอบหายใจของฝ่ายชายหรือเสียงร้องของฝ่ายหญิงที่กำลังดิ้นรน...เหมือนกับเรากำลังดูหนังใบ้ไม่มีผิด...

ภาพที่รุนแรงแต่ไร้เสียงโดยสิ้นเชิง ทำให้ดิฉันหวาดกลัวจนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ!

ชายหญิงคู่นี้คงเพิ่งจะขึ้นจากทะเล มาอาบน้ำด้วยกันหรือจะตามกันเข้าไปก็ไม่ทราบ แต่ฝ่ายชายคงจะลวนลามล่วงเกิน เมื่อฝ่ายหญิงไม่ยินยอมก็ถึงกับปลุกปล้ำหมายจะข่มขืนตามอำนาจตัณหาหน้ามืดมันบงการ!

ว่าแต่คนที่ไม่ยอมพร้อมใจกัน จะมาพักอยู่ด้วยกันทำไม?

ปัญหานั้นไม่สำคัญอีกแล้ว เมื่อเด็กสาวใช้เล็บตะกายใบหน้าของชายบ้ากามจนผงะ เลือดซึมวาบแดงฉานตามรอยเล็บ เขาร้องด่า ตวัดหลังมือตบหน้าจนเด็กสาวกระเด็นไปก้นจ้ำเบ้าที่ประตู เธออ้าปากหวีดร้อง เขาแช่งด่า เธอคลานหนีหัวซุกหัวซุน เขากระโจนตามอย่างบ้าคลั่งมาทางปลายเตียง จิกผมเธอขึ้นมาแล้วตบซ้ำจนเธอล้มลงไปนอนหงาย นัยน์ตาเหลือกลาน

ร่างอุบาทว์โถมเข้าใส่อย่างดุร้าย ฝ่ามือเทอะทะทั้งสองข้างกดพรวดเข้าที่ลำคอของเด็กสาว เธอดิ้นรนสุดเหวี่ยง มือทั้งสองคว้าแขนเขาเพื่อจะดึงออกแต่ก็ไร้ผล ชายร่างใหญ่ยิ่งหน้าตาบิดเบี้ยว ปากขยับคล้ายแช่งด่าไม่หยุดหย่อน

สองมือบีบเค้นลงไปจนนัยน์ตาเธอเหลือกกลับ แขนทั้งสองตกลงข้างตัว ...แน่นิ่งไป ทั้งที่นัยน์ตายังลืมค้าง เบิกโพลงอยู่เช่นนั้น!

"ว้าย...." ดิฉันเพิ่งได้ยินเสียงตัวเองทำลายความเงียบขึ้นเป็นครั้งแรก ชายใจโหดหันขวับ นัยน์ตาขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต ดิฉันคิดว่าตัวเองคงหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว ก่อนจะกรีดร้องติดๆ กันหลายครั้ง...ตามด้วยเสียงทุบประตูสนั่นหวั่นไหว

พุ่งพรวดออกไปเปิดในพริบตา เกือบพร้อมๆ กับที่อ้อมกับแป๋ววิ่งเข้าชนดิฉันจนเซถลาเข้ามาในห้อง กรีดร้องทั้งคู่จนแสบแก้วหู ดิฉันยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชี้ไปที่ปลายเตียงที่มีเด็กสาวนอนตายกับฆาตกรที่มันรู้ว่าดิฉันเห็นการกระทำของมัน! แต่แล้ว...

"อะไรกัน?" ดิฉันครางเมื่อไม่มีทั้งเหยื่อและฆาตกร อ้อมกับแป๋วมองตามมือแล้วร้องว้าย! ไขว่คว้ากันชุลมุนจนขึ้นไปนั่งหอบกันอยู่บนเตียง

ความฝันเท่านั้นเอง! ถึงจะโหดเหี้ยมแค่ไหนมันก็เป็นเพียงความฝัน...แต่เพื่อนสาวของดิฉันกำลังสะอึกสะอื้นจนน้ำตาไหลพรากทั้งคู่...เธอเห็นคาตาพร้อมๆ กันว่าขณะนอนคุยกันบนเตียงก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากเพดาน จนต้องเงยหน้าขึ้นมอง...

โลกแตกทลายในพริบตา เมื่อร่างของผู้หญิงในชุดวันพีชกำลังไหลรูดลงมาช้าๆ จนเห็นใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาโปนถลน เนื้อตัวพองอืด น้ำเหลืองส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง...ช็อกคาที่ทั้งคู่ ก่อนจะแข่งกันร้องแสบแก้วหูขณะโจนพรวดออกจากห้องปานลมพัด

รุ่งเช้า พวกเราก็รีบเช็กเอาต์ทันที ไม่อยากรู้เห็นอะไรทั้งนั้น...

สิ่งที่เราฝันและมองเห็นตรงกัน...ได้แต่เดาว่าเมื่อฆาตกรฆ่าเด็กสาวแล้วคงจะซ่อนศพไว้บนเพดาน ก่อนจะหลบหนีไป...เราไม่เคยได้ข่าวเรื่องนี้มาก่อนเลย คงจะเป็นเพราะดวงตกพลัดหลงเข้าไปในแดนสนธยาพร้อมๆ กัน...ขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 15 มกราคม 2551

11 มกราคม 2559

น้อยหน่าที่รัก

"ชมพู่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเพื่อนมาหา

สมัยเด็ก ดิฉันอยู่ในหมู่บ้านริมคลองประปาแถวประชาชื่น เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่นับร้อยๆ หลังคาเรือน ผู้คนนับแล้วเป็นพันคนเห็นจะได้ค่ะ

บ้านช่องมีทั้งเล็กและใหญ่ ขนาดคฤหาสน์ก็มี เป็นกระท่อมซอมซ่อพอกันแดดคุ้มฝนได้ก็มี ไม่นับตึกแถวและทาวน์เฮาส์ที่ปนเปกัน ร้านค้า แผงลอยมีหมด รถเข็นก็มีทั้งขายสินค้ากับซาเล้ง ผู้คนส่วนมากแปลกหน้าทั้งนั้น ต่างคนก็ต่างอยู่ไม่ค่อยสุงสิงกัน

บ้านดิฉันอยู่ค่อนซอย เรารู้จักมักจี่แต่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน และอยู่กันมานานตั้งแต่สมัยคุณยายยังสาวทั้งนั้น พวกเด็กๆ รุ่นเดียวกันก็กลายเป็นเพื่อนเล่นกันแทบทุกคน

สมัยนั้นรถรายังไม่พลุกพล่านหรอกค่ะ ตอนเย็นๆ โรงเรียนเลิกเราโยนกระเป๋าหนังสือเข้าบ้าน กินขนมนิดหน่อยก็ออกมาเล่นกันที่ถนนหน้าบ้าน เด็กผู้ชายก็เล่นล้อต๊อก ทอยกอง เด็กผู้หญิงก็เล่นกระโดดเชือก ซ่อนแอบ บางทีก็เล่นไล่จับกันจนส่งเสียงเกรียวกราวไปครึ่งค่อนซอย

เด็กผู้หญิงที่พ่อแม่เข้มงวดก็มักเข้าไปเล่นในบ้านเพื่อน ทั้งเล่นตุ๊กตา มอญซ่อนผ้า บางวันก็ล้อมวงเล่นหมากเก็บบ้าง เล่นอีตักบ้าง สนุกเพลิดเพลินตามประสาเด็กจนกว่าจะเย็นค่ำพ่อแม่ถึงมาตามตัวกลับบ้าน

เพื่อนสนิทของดิฉันมี 2 คนคือเปียกับน้อยหน่า ทั้ง 2 คนนั่นบ้านรั้วติดกับบ้านดิฉันซ้ายขวาเลยค่ะ ไม่ว่าจะตอนเย็นวันธรรมดา หรือวันเสาร์อาทิตย์ เปียกับน้อยหน่าจะวิ่งเข้ามาเล่นในบ้านดิฉันเป็นประจำ โต๊ะหินใต้ร่มชมพู่ริมรั้ว ใกล้ๆ ศาลพระภูมิเป็นจุดนัดพบที่เรากินขนมกัน คุยกัน ผลัดกันเล่านิทานแบบเด็กๆ สู่กันฟัง

ดิฉันกับเปียจำนิทานที่แม่เล่าก่อนนอนมาเล่าต่อ แต่น้อยหน่ามีนิทานที่เจ้าตัวบอกอย่างภูมิใจว่า...แต่งเองค่ะ!

น้อยหน้าอ้วนขาว แก้มยุ้ย ปากแดง ผมหยิกฟู นัยน์ตาดำโต ขนตางอนหยับเชียว

เธอเป็นเด็กช่างคิดช่างฝันเกินวัย อาจจะเป็นเพราะมีน้องๆ อีกตั้ง 2 คนแถมคนเล็กเพิ่ง 3 ขวบ กำลังช่างพูดช่างฉอเลาะจนพ่อแม่หลง น้อยหน่าที่อายุ 10 ขวบเลยดูเป็นส่วนเกิน ต้องอาบน้ำแต่งตัวเองมา 2-3 ปีแล้ว ตอนกลางคืนก็เล่าว่าพ่อแม่มัวแต่โอ๋น้องจนลืมน้อยหน่าไปเลย

"ก่อนนั้นแม่เคยกอดนอน เล่านิทานให้ฟังทุกคืน พอมีน้องอีก 2 คน..น้อยหน่าต้องเล่านิทานให้ตัวเองฟังทุกคืน..." เธอเคยบอกดิฉันขณะนั่งแกว่งขาเล่นที่ม้าหิน "น้อยหน่าอยากเป็นลูกคนเดียวเหมือนเธอกับเปียจังเลย!"

ถึงแม้จะสงสารเพื่อน แต่เราก็ไม่รู้จะปลอบยังไงหรอกค่ะ

ตอนค่ำๆ แม่ของเปียจะมาเกาะข้างรั้วร้องเรียกลูก แต่น้อยหน่าไม่มีใครมาเรียกหรือมาตาม จนแม่ดิฉันออกจากบ้านมาเรียกให้เข้าไปอาบน้ำกินข้าว

"อ้าว?" น้อยหน่าทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะลูก เดี๋ยวคุณแม่ก็เป็นห่วงแย่หรอก"

ดิฉันลุกขึ้นยืนมองดูเพื่อนอย่างเห็นใจ น้อยหน้ายิ้มเศร้าๆ ก่อนจะลุกเดินก้มหน้าออกจากประตูรั้วไป...ดิฉันรู้สึกเงียบเหงาและวังเวงใจแทนน้อยหน่าอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะวิ่งตื๋อเข้าบ้านที่มีแม่ยืนรอ...

ตอนปิดเทอมปลาย พ่อแม่น้อยหน่ามักจะพาลูกๆ ไปเยี่ยมปู่ย่าที่ลพบุรี...หลังสงกรานต์ปีนั้นก็เช่นกัน!

ถนนในหมู่บ้านโชกชุ่มมาหลายวัน เด็กๆ หลายคนถึงกับเป็นไข้เพราะเล่นสาดน้ำกันขนาดหนัก เปียเข้ามาเล่นหมากเก็บกับดิฉันแค่สองคน บรรยากาศยามเย็นดูเงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก...เล่นไปสักพักก็เบื่อ ว่าจะเล่านิทานสู่กันฟังก็พอดีเปียเอ่ยถึงน้อยหน่าขึ้นมา

"เมื่อไหร่จะกลับก็ไม่รู้ สงสัยจะเล่นเพลินอยู่ที่ลพบุรีแล้วละมั้ง?"

แทบจะไม่ขาดคำด้วยซ้ำ ดิฉันก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อชัดหู...ชมพู่! เปีย!

"เอ๊ะ! น้อยหน่านี่นา...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"

เปียร้อง ส่วนดิฉันหันขวับ เบิกตากว้างด้วยความดีใจเมื่อเห็นน้อยหน่ายืนอยู่หน้าประตูรั้ว นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว สวมเสื้อยืดสีชมพู ผมที่เคยหยิกสลวย ฟูเต็มหัว กลับเปียกลู่...เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าของเธอก็เปียกโชกเช่นกัน

"เล่นสงกรานต์ไม่เลิกอีกเหรอ?" เปียหัวเราะร่วนพร้อมกับกวักมือ "เข้ามาซี่! เราคิดถึงเธอจะตายแล้วรู้มั้ย?"

ดิฉันเห็นน้อยหน่ายกมือขึ้นกอดอก ร่างสั่นสะท้าน ส่ายหน้าช้าๆ

"ไม่ได้...เข้าไปไม่ได้..."

"ทำไมล่ะ?" ดิฉันย่นคิ้ว น้อยหน่าก็ชี้มือไปที่ศาลพระภูมิ...ดิฉันมองตามมือเธอไปก็ขนลุกซ่าขึ้นมาเฉยๆ ลมพัดจนยอดชมพู่แก้มแหม่มสะบัดใบเกรียวกราว...พอหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นน้อยหน้าแล้วค่ะ

"เอ๊ะ! น้อยหน่าหายไปไหนนะ?" เปียร้อง หันไปทางบ้านเพื่อนก็เห็นปิดประตูหน้าต่างเงียบเชียบ...เธอหน้าเสีย อ้าปากค้างก่อนจะอุทานว่า...น้อยหน่า!

แทบไม่ขาดคำก็ลุกขึ้นวิ่งตื๋อออกจากบ้าน มีดิฉันตามติด...ไม่มีวี่แววของน้อยหน่าเลย ผู้คนยังเดินกันคึ่กๆ ประตูรั้วก็ปิดสนิท...จู่ๆ เหมือนน้อยหน่าจะหายตัวไปเลย ทั้งที่เธอเพิ่งมายืนคุยกับเราที่หน้าประตูหยกๆ

พ่อแม่เธอยังไม่กลับจากลพบุรีหรอกค่ะ จะว่าเราตาฝาดก็ไม่ใช่เพราะเห็นพร้อมๆ กันทั้งสองคน...จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น พ่อแม่น้อยหน่าก็กลับมาพร้อมกับข่าวร้าย...น้อยหน่าตกน้ำตายที่หน้าบ้านปู่ย่านั่นเอง ขณะที่พ่อแม่ของเธอกำลังเล่นกับลูกชายคนเล็กอย่างเพลิดเพลิน

ไม่เคยมีใครเห็นน้อยหน่าอีกเลย เปียเองก็ยกมือท่วมหัว บอกว่า...รีบไปผุดไปเกิดเถอะน้อยหน่า อย่ามาให้เราเห็นอีกเลย แค่นี้ก็กลัวผีจนนอนไม่หลับแล้วล่ะค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 มกราคม 2551

09 มกราคม 2559

จองเวร

"นายหมึก" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากห้วยขวาง

ขึ้นชื่อว่าดงผีดุซะอย่าง บ้านผมที่ห้วยขวางใกล้ๆ กับถนนสุทธิสารนี่ถือว่าไม่เป็นสองรองใครหรอกครับ เผลอๆ อาจจะเป็นชุมทางปีศาจสุดยอดของกรุงเทพฯ ก็เป็นได้ อย่าทำล้อเล่นกับผู้ไม่มีร่างกายไปเชียว

ถนนรัชดาภิเษกใกล้ๆ บ้านผมก็มีเรื่องผีเยอะแยะอย่าบอกใคร!

ตอนดึกๆ ตามข้างถนนน่ะไม่ใช่มีแต่แสงไฟคึกคัก ผู้คนครึกครื้น หรือรถราขวักไขว่ตลอดทางนะครับ บางแห่งก็มืดครึ้ม เปล่าเปลี่ยวน่าเสียวสันหลังไม่หยอก เรื่องผีหลอกก็ประเภทเห็นใครมายืนโบกรถอยู่ข้างหน้า แต่พอชะลอเข้าไปหากลับไม่เห็นใครสักคน แถมบางแห่งเป็นศาลเจ้าก็มี

บางคนก็บอกว่าขับรถดีๆ ดันผ่ามีคนวิ่งตัดหน้าเฉยเลย หักหลบทันก็มี เสียหลักพรวดพราดขึ้นไปบนเกาะกลางถนน หรือบนฟุตปาธก็มี! ที่ค่อนข้างซวยไม่เสร็จก็ตรงที่หักรถหลบไม่พ้น เสยตูมเข้าจังเบอร์ ดังสนั่นปานเสียงฟ้าผ่า กระเด็นลงไปแอ้งแม้งที่กอหญ้าริมทางเห็นๆ แต่เมื่อจอดรถลงไปดูกลับไม่เห็นใครสักคนเดียว...

ผีหลอกแล้ว!!

อย่าไปเล่าเรื่องที่อื่นให้เสียเวลาดีกว่าครับ มาเล่าเรื่องดงผีดุที่บ้านผมดีกว่า...มันดุสาหัสซะจนอดสงสัยไม่ได้ ว่าที่นี่มันเป็นที่อยู่ของมนุษย์มนาทั่วๆ ไป หรือว่ากลายเป็นที่อยู่อาศัยของภูตผีปีศาจกันแน่หนอ?

ตามถนนรนแคม หรือว่าในตรอกซอยคดเคี้ยว อุดมดื่นไปด้วยอู่แท็กซี่หลายสิบแห่ง ตะละแห่งมีรถหลายสิบคัน ขนาดร้อยกว่าคันยังมีเลยครับคุณ...ตอนกลางวันก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นเวลาของคน แต่พอตะวันตกดินไปแล้วนี่ซี แสงไฟสว่างไสวหลายๆ แห่ง แต่บางแห่งก็มืดสลัว บรรยากาศวังเวงอย่างบอกไม่ถูก

คราวนี้ละครับ ไม่รู้ว่าผีหรือคนที่ออกมาปะปนกันคลาคล่ำ พูดไปก็เหมือนโกหก ถ้าไม่เชื่อลองมาย่ำต๊อกทัศนาดูซีครับ แล้วจะเจอดีเข้าเอง!

ลุงแร่มคนสุรินทร์ขับแท็กซี่หากินมาสิบกว่าปีแล้ว ฐานะค่อนข้างดีเชียวเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เพราะแกมีบ้านช่องของตัวเอง ที่ทางพร้อมสรรพ ลูกชาย 2 คนกำลังแตกเนื้อหนุ่มเรียนหนังสือทั้งคู่ ช่วยพ่อแม่ทำงานตัวเป็นเกลียว ไม่เกะกะเกเรเห็นแล้วน่าชื่นใจแทนแก

"ผมสอนลูกมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว" ลุงแร่มเคยเล่าในร้านลาบตาเหลือ "อยากสูบบุหรี่ หรือกินเหล้าพ่อไม่ว่า ขออย่างเดียวอย่าริอ่านเล่นยาบ้าเด็ดขาด มันเสียผู้เสียคนจริงๆ"

ฟังแล้วต้องยอมรับกว่าแกใจกว้างน่าดู แต่ลูกชายแกก็ดีที่ไม่มีอบายมุขใดๆ จะว่าลุงแร่มโชคดีก็ไม่ถนัดปาก เพราะคืนหนึ่งแกโดนวิญญาณร้ายเล่นงานเอาอย่างจังๆ

ที่เรียกว่าวิญญาณร้ายก็เพราะไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณใครน่ะซีคุณ!

คืนนั้นลุงแร่มเกิดปวดหัวตัวร้อนชอบกล ปกติเคยกลับบ้านสองยามตีหนึ่ง แต่พอถึงสี่ทุ่มกว่าก็ทนไม่ไหว...ผ่านแยกเหม่งจ๋ายแล้วก็หักรถเข้าซอยทันที เกือบพร้อมๆ กับที่ร่างดำๆ โผล่พรวดเข้ามาหารถในพริบตา

"เฮ้ย! ไอ้ชาติม้า...ไอ้ผีห่..." ลุงแรมด่าโขมง เสียงตูมตามเหมือนเกิดรถชนกัน ร่างนั้นลอยละลิ่วลงไปหล่นพลั่กในพงหญ้าใกล้ๆ เสาไฟ โชเฟอร์แท็กซี่วัย 50 เศษรีบจอดรถลงไปดู แต่ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว...ผลุนผลันขึ้นรถได้ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน...ไอ้ผีเปรต! มาหลอกหลอนกูได้ คอยดูนะกูจะเอาน้ำเยี่...มาราดหัวมึงให้เข็ดเชียว!

คืนต่อมา ขณะที่ขับรถมาถึงบริเวณนั้น กลิ่นเหม็นหึ่งเหมือนศพเน่าก็คละคลุ้งไปทั้งรถจนลุงแร่มเอะใจ ขนหัวลุกซ่าเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้...แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้วเมื่อมองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา

...ร่างของซากอสุภเน่าเฟะที่นั่งปร๋ออยู่เคียงข้าง หันมาหัวเราะแหบโหย...น้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากเบ้าตากลวงโบ๋ ปากอ้าปะหงับๆ คล้ายจะขบขันเต็มประดา

"มึงขับรถชนกูแล้วยังจะเอาเยี่..มารดกูอีกหรือวะ? ฮ่าๆ ๆ"

ลุงแร่มรู้สึกเหมือนโลกกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แผดร้องเอาเสียงเป็นเพื่อน ห้อรถตะบึง...โชคดีที่ไม่ได้ชนอะไรเข้าอย่างจังๆ ไม่งั้นมีหวังไปอยู่ร่วมโลกกับปีศาจตนนั้นแน่นอน

วันรุ่งขึ้น ลุงแร่มต้องใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็แล้วกัน

ในซอยมีทั้งเสียบกันตาย รถชนตาย หลายศพแล้วครับที่ตายซับตายซ้อน ผมถึงได้บอกว่าไม่รู้เป็นวิญญาณใครกันแน่...แต่ภูตผีนิรนามก็คอยเล่นงานผู้คนอย่างไม่หยุดยั้ง

มอเตอร์ไซค์ซิ่งกันบรื้นๆ ยังกะเสียงนรก วันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้ายเข้าจนได้!

คืนหนึ่ง เสียงบึ่งมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมา เดี๋ยวเดียวก็มีเสียงโครมสนั่น ชาวบ้านออกไปดูก็เห็นเด็กราวสิบขวบที่อยู่ในซอยแยกนอนคว่ำ ใบหน้าตะแคง เลือดท่วมตัว นัยน์ตาเบิกโพลง บ่งบอกว่าโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนจนตายตรงปากทางซอยแยกนั่นเอง

นักซิ่งตีนผีหรือมือนรกนั่นหายไปแล้ว!

อีกราว 3-4 คืนต่อมา มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์กำลังแล่นไปทางปากซอย จู่ๆ ก็มีเสียงร้องเฮ้ยๆๆ โอ๊ยๆๆ ตามด้วยเสียงโครมคราม...ปรากฏว่าเป็นพี่ลือ-ขาซิ่งประจำซอยกำลังนอนแอ้งแม้ง ขาหักแขนหัก โชคดีที่สวมหมวกนิรภัย ไม่งั้นคงไปเกิดใหม่เรียบร้อย

ออกจากโรงพยาบาลมาได้ พี่ลือก็เล่าเรื่องสยองขวัญให้ฟัง

ขณะที่บึ่งรถอยู่ดีๆ ก็รู้สึกท้ายยวบ มีอะไรมารัดเอว...พอหันไปเห็นเข้าก็นรกแตกทันใด เพราะนั่นคือเจ้าเด็กที่โดนรถชนตายกำลังนั่งซ้อนท้าย จ้องเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อจนแกสติแตก แผดร้องเสียงหลง รถพุ่งเข้าชนรั้วบ้านจนแขนขาหักอย่างที่เห็น

ชาวบ้านลือกันว่า พี่ลือนั่นเองที่ขับรถชนเด็กตายแล้วหนีไป ผีเด็กก็เลยตามมาแก้แค้น ดุร้ายขนาดพอรถแล่นผ่านก็กระโดดกอดเอวหมับซะเลย...รายการนี้ต้องถือว่าไม่ใช่ปีศาจนิรนามแล้วล่ะครับ จะว่าพี่ลือตาลายก็ชอบกล เพราะแกเลิกเป็นนักซิ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 9 มกราคม 2551

08 มกราคม 2559

เจตภูต

"ใบไผ่" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อเจตภูตมาเยือน

ดิฉันทำงานที่บริษัทใหญ่โตมากๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ถ้าเอ่ยชื่อออกไปรับรองว่าทุกท่านต้องร้อง อ๋อ....แน่ๆ เลยค่ะ!

เป็นงานเกี่ยวกับโทรคมนาคม สถานที่ทำงานของเราอยู่ในตึกใหญ่ มีหลายสิบชั้นหลายแผนก ดิฉันเป็นเลขาฯ ของผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่ง ท่านต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก แทบจะทุกเดือนก็ว่าได้

ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ก็เกิดเรื่องประหลาดที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้

เวลานายไม่อยู่ ดิฉันก็ไม่ใช่จะว่าง นั่งตีพุงสบายอารมณ์หรอกนะคะ ถึงยังไงก็ต้องติดต่อประสานงานกับแผนกอื่น เพื่อไม่ให้งานชะงักหรือติดขัด นายจะสั่งงานมาจากเมืองนอกเสมอๆ ท่านเป็นคนขยันมากค่ะ

เมื่อต้นปีที่แล้ว นายต้องไปประชุมที่ยุโรป....

คราวนี้ไปหลายวันเชียวล่ะค่ะ เกือบสองสัปดาห์แน่ะ ดิฉันจัดเตรียมเอกสาร ติดต่อเรื่องตั๋วและที่พักจนเรียบร้อย...เหนื่อยแต่ก็สนุกนะคะ พอนายออกเดินทางไปแล้ว ดิฉันอยู่ทางนี้ ยังต้องร่วมประชุมกับแผนกอื่นหลายครั้ง จริงๆ แล้วบรรดาเลขาฯ ทั้งหลายต่างรู้จักกันดี และให้ความร่วมมือกันอย่างน่าประทับใจ

วันนั้นดิฉันจำได้ มันเป็นวันที่นายใกล้จะเดินทางกลับมาแล้ว...

ดิฉันย้ำกับคนรถประจำตำแหน่งของท่าน เรื่องวัน-เวลา ที่ต้องไปรับท่านที่สนามบิน จากนั้นก็นั่งเตรียมหมายกำหนดการและเอกสารการประชุมครั้งต่อไป...ขณะนั้นเองจุ๋งก็เดินเปิดประตูเข้ามา แล้วทำหน้าตาเป๋อเหลอเชียว

"จุ๋ง" เป็นเลขาฯ ของผู้บริหารอีกแผนกหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดลงไปจากชั้นที่ดิฉันอยู่ถึง 3 ชั้น

"อ้าว? ท่านไปไหนเสียแล้วล่ะ?"

เธอถามเบาๆ ทำเอาดิฉันต้องเหลียวซ้ายแลขวาบ้าง ก่อนจะย้อนถามกลับไปว่า "ท่านไหน?"

"ก็...นายของพี่ไงล่ะ! คำตอบของเธอทำให้ดิฉันมึนไม่น้อย

"ท่านยังอยู่ที่ฝรั่งเศสแน่ะ พรุ่งนี้ถึงจะกลับ จำไม่ได้เรอะ?"

จุ๋งทำหน้าแปลกๆ มองดิฉันด้วยแววตางุนงง ก่อนจะพูดโพล่งด้วยเสียงมั่นใจ

"ท่านมาแล้ว! เมื่อกี้จุ๋งยังคุยกับท่านเลย"

เอาละซิ! ดิฉันวางปากกา นั่งตัวตรงขึ้นทันที แล้วยังเผลอหลุดปากอุทานว่า...เฮ้ย!...มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ เออ...หรือจุ๋งจะล้อเล่น

"อำพี่ละซิจุ๋ง แหม...ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วเหรอ ว่างมากหรือจ๊ะ?"

"อำอะไรล่ะพี่?" จุ๋งพูดเสียงหนักแน่น "เมื่อกี้ท่านเจอกับจุ๋งที่ลิฟต์ชั้นสอง"

ดิฉันแน่ใจว่าเธอจำคนผิด หรือไม่ก็ฝันกลางวัน แต่จุ๋งยืนยันได้พบท่านจริงๆ ยังยืนคุยกันตั้งนานขณะรอลิฟต์

...ท่านสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมลายฟ้าอ่อน หน้าตาสดใส และคุยว่าที่ฝรั่งเศสหนาวมาก...พอลิฟต์มาถึงก็ปรากฏว่าคนเต็ม ท่านเลยก้าวเข้าไปคนเดียว ส่วนจุ๋งจะรอเที่ยวต่อไป แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด ท่านบอกว่าให้จุ๋งขึ้นมาหาดิฉันหน่อย เพื่อประสานงานเรื่องประชุม

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ เพราะจุ๋งพูดอย่างจริงจังมาก และทำท่าว่ามีพยานรู้เห็น...อย่างน้อยก็คนในลิฟต์พวกนั้น!

เป็นไปไม่ได้! ดิฉันงงมาก โทรศัพท์ไปถามคนรถ เขาก็ไม่รู้เรื่องว่าท่านมา บอกว่างงพอๆกับดิฉัน และเมื่อสอบถามไปที่บ้านของท่าน สาวใช้ก็บอกว่าท่านยังไม่กลับ

จุ๋งเห็นใครๆ? ถ้าเธอเห็นนายดิฉันจริง...ป่านนี้ท่านเป็นอะไรไปหรือเปล่า?

ดิฉันพยายามต่อโทรศัพท์ไปหาท่าน แต่ท่านปิดมือถือซะนี่!

จุ๋งยืนยันว่าไม่ได้หลอก เธอเห็นจริงๆ เห็นเป็นตัวเป็นตน ยืนคุยกันเหมือนคนธรรมดา แถมต่อหน้าคนอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครเห็นอย่างจุ๋ง

รุ่งขึ้นตอนค่ำ เครื่องบินก็ลงตามเวลา และนายของดิฉันก็กลับมาตามปกติ ดิฉันถอนใจโล่งอกที่ท่านไม่ได้เป็นอะไร

เช้าต่อมา ท่านมาทำงานอย่างสดชื่น ไม่มีอาการเหนื่อยอ่อน จุ๋งแอบขึ้นมาดูท่านแล้วก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

"จุ๋งไม่ได้บ้าหรือประสาทหลอนนะพี่! จุ๋งเห็นท่านมาจริงๆ"

จนป่านนี้ ดิฉันไม่กล้าปริปากเล่าเรื่องนี้ให้นายฟัง เราได้แต่วิจารณ์กันในหมู่เพื่อนฝูง และพยายามคิดกันหัวแทบแตกว่า...ที่จุ๋งเห็นนั้นคืออะไรกันแน่?

เป็นไปได้ไหมคะ ว่านายของดิฉันห่วงงานจนกระแสจิตก่อรูปเป็นตัวตน และมาคุยกับจุ๋งเป็นคุ้งเป็นแคว โดยที่นายตัวจริงไม่รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด!

แบบนี้เขาเรียกว่า "เจตภูต" ได้หรือเปล่าคะ?

แต่ที่แน่ๆ มันทำให้พวกดิฉันสยองไม่น้อยเลย โดยเฉพาะจุ๋ง เธอกลายเป็นคนขวัญอ่อน แอบมองนายดิฉันอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจยังไงชอบกล

บอกตรงๆ นะคะ ตอนแรกดิฉันคิดว่าจะเป็นลางตายของนาย...คือเครื่องบินตกหรือเกิดอุบัติเหตุสยองเมื่อกลับถึงเมืองไทย! แต่เวลาผ่านไปเกือบปีแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ถึงยังไงก็อดขนหัวลุกไม่ได้หรอกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 8 มกราคม 2551

07 มกราคม 2559

ข้างเมรุลอย

"แสนคม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากที่ราบสูง

คนกรุงเทพฯ ส่วนมากชอบกล่าวหาว่า คนบ้านนอกโง่เง่า เปิ่น เชย อย่างที่เคยมีสำนวนสมัยก่อนว่า "เปิ่นเทิ่นมันเทศ" อันหมายถึง "บ้านนอกขอกตื้อสะดือจุ่น" ไม่เฉลียวฉลาดหรือคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนคนกรุงเทพฯ

หนักกว่านั้น ก็คือหาว่าคนบ้านนอกงมงาย นับถือบูชาสิ่งไร้สาระ เช่น ทุ่งนาป่าเขา ต้นไม้ แม่น้ำ กับเชื่อมั่นในเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีอยู่จริงๆ แถบบันดาลโชคเคราะห์ต่างๆ ให้ได้อีกต่างหาก

เรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกก็คือ...คนกรุงเทพฯ ที่ว่าน่ะส่วนหนึ่งมีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ที่ต่างจังหวัดแท้ๆ

ผมเป็นคนบ้านนอกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ จบแล้วก็ทำงานอยู่ที่นี่แหละ แต่ไม่ลืมบ้านเกิดเหมือนพี่น้องหมู่เฮาคนอื่นๆ ตรุษทีสงกรานต์ทีได้พักยาวก็แห่กันกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ พี่น้อง ได้เห็นหน้ากันก็ดีอกดีใจ สนุกสนานกันในหมู่ญาติมิตร...จนกว่าจะหมดเวลา ต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ต่อไป

พวกผมเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ครับ!

ภาคอีสานหน้าหนาวน่ะมันหนาวจริงๆ ใครไม่เคยอยู่ตามหมู่บ้านชนบทอย่างผมน่ะไม่รู้หรอก ยิ่งตอนกลางคืนลมหนาวมันกรูเกรียวมาจากป่าเขา ซอกซอนเข้ามาตามร่องเล็กรูน้อยของฝาบ้าน เหมือนจะล่อนกระดูกออกมานอกเนื้อ หลายๆ บ้านต้องลงมาก่อไฟกันที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่ตกเย็นก็มี

ไม่มีหนังมีละคร ไม่มีบาร์คาราโอเกะ อย่างดีก็วิทยุหรือทีวีเก่าๆ พอแก้เซ็ง แต่ถ้าหนาวนักก็ทิ้งมันลงมาหากองไฟดีกว่า

หนาวจนแข็งตายก็มีนะครับ อย่าทำล้อเล่นกับความทุกข์ของคนไกลกรุงไปเชียว

พวกคนแก่กับเด็กๆ มักจะตกเป็นเหยื่อ เพราะร่างกายอ่อนแอ...อ้าว? ใครถามถึงผ้าห่มกันหนาวขึ้นมา แถมบ่นว่าทำไมต้องแจกกันทุกปี หนาวทีแจกที! ที่แจกเมื่อปีกลายปีก่อนหายไปไหนหมด? กินผ้าห่มต่างข้าวรึไง?

บาปปาก! อย่าลืมว่าเมื่อหนาวมากกว่าภาคกลาง ก็ต้องอาศัยผ้าห่มแก้หนาว บางบ้านน่ะทั้งพ่อแม่กับลูกๆ ต้องเข้าไปขดงอก่ออยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน คนนั้นดึงทีคนนี้ดึงที จะไม่ให้ผ้าห่มเปื่อยขาดเร็วกว่าพวกท่านๆ ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำได้ยังไง?

ได้รับแจกบ้านละผืนมาห่มได้ทั้งปีก็บุญกุศลเหลือหลายแล้วละครับ

เพราะอากาศหนาวมาก กับผ้าห่มมีน้อยนี่เอง ที่ทำให้ผมต้องประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

เมื่อต้นปี 2550 นี้เอง ลมหนาวโหมกระหน่ำหนักกว่าตอนเดือนธันวาคมด้วยซ้ำ ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเทศกาลปีใหม่ กะว่าจะกลับอยู่แล้วเชียว พอดีได้ข่าวว่าเจ้าขาบ-ลูกชายป้าคำหนาวตายอยู่ข้างๆ กองไฟหน้าบ้านนั่นเอง

ป้าคำอายุต้น 40 แต่หน้าตาเหมือนคนใกล้จะ 60 ปี ผัวแกไปรับจ้างทำงานที่โคราชแล้วพลัดตกจากรถกระบะขนสินค้าลงมาตาย...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ "ตายในหน้าที่" แต่บ้านเมืองเราไม่ค่อยสนใจไยดีเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยิ่งไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ ไม่มีประกันสังคม ก็อย่างที่เขาพูดๆ กันน่ะแหละ

"คนจนตายไปคนก็เหมือนตายไปตัวหนึ่ง ใครเขาจะสนใจล่ะ?"

เถ้าแก่ใจดีมาก เพราะมอบเงินทำศพให้ป้าคำมาตั้งหนึ่งหมื่นบาท ผู้คนสรรเสริญเยินยอกันทั้งนั้น...แถมออกเงินค่าขนศพกลับไปเผาที่บ้านเกิดอีกต่างหาก ป้าคำก็ได้อาศัยเงินก้อนนั้นใช้หนี้เขากับเลี้ยงดูเจ้าขาบ-ลูกชายคนเดียววัย 4-5 ขวบมาได้เกือบปี

เงินทองใกล้จะหมด ป้าคำเที่ยวหารับจ้างใครก็ไม่ค่อยได้ เพื่อนบ้านส่วนมากก็ชักหน้าไม่ถึงหลังกันทั้งนั้น...ทั้งบ้านมีผ้าห่มผืนเดียว สองแม่ลูกสู้ลมหนาวไม่ไหว ต้องลงมาก่อไฟผิงกันหน้ากระต๊อบ

คืนเกิดเหตุ พวกเราที่มาจากกรุงเทพฯ เอาอาหารกับขนมไปให้สองแม่ลูก บางคนก็ควักให้คนละร้อยครึ่งร้อย บ้านไหนมีเสื้อผ้าเก่าๆ ก็แบ่งปันกันไป เจ้าขาบได้เสื้อยืดสีแดงปกปิดหน้าอกผอมกงโก้...แต่ตกกลางคืนก็สู้หนาวไม่ไหว ต้องลงมาผิงไฟกันตามเคย

รุ่งเช้า ป้าคำพบว่าลูกชายนอนตัวแข็งทื่อที่อยู่ในอ้อมอกแกเสียแล้ว!

แกคงร้องไห้มาตั้งแต่ผัวตายจนหมดแรง ได้แต่กอดศพลูกน้ำตาไหลรินเงียบๆ จนหลายคนเบือนหน้าหนี แว่วเสียงเครือพร่าปนสะอื้น...อยู่กับแม่นะขาบเอ๊ย! มาหาแม่มา...ฟังแล้วเล่นเอาขนหัวลุกไปตามๆ กัน

กระทั่งเพื่อนบ้านช่วยกันหาโลงมาใส่ศพป้องกันอุจาด กับนิมนต์พระมาสวดศพให้เจ้าขาบไปสู่สุคติ...แล้วออกไปที่ลานโล่งหลังโบสถ์ใกล้ป่าละเมาะ ช่วยกันขนฟืนมาก่อเมรุลอยเพื่อเผาศพเด็กน้อยตามมีตามเกิด

เปลวไฟโชติช่วงร้อนแรง ควันสีเทาลอยโขมงก่อนโดนสายลมแรงจนหมุนวน...กระจัดกระจายไปในท้องฟ้ามัวครึ้ม เช่นเดียวกับชาวบ้านก็ทยอยกันกลับ แม่ผมไปฉุดป้าคำที่นั่งเหม่ออยู่กับพื้นดิน แกก็ลุกขึ้นมาอย่างงุนงง มีญาติ 2-3 คนช่วยประคองออกเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับบ้าน

ทันใดนั้นเอง ป้าคำก็หันขวับ...พวกเราหันตามเพราะรู้ดีว่าแกยังอาลัยอาวรณ์ลูกชายที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เห็นป้าคำเบิกตา ยิ้มแป้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจ้าขาบตาย!

"มาหาแม่มา...ขาบเอ๊ย! กลับบ้านกันเถอะลูก...โธ่! แม่นึกว่าเอ็งจะปล่อยให้แม่กลับบ้านคนเดียวซะแล้วซี"

เสียงพูด เสียงหัวเราะเริงร่าของป้าคำดังบาดลึกไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน...แถมขนลุกเกรียวกราวไปทั้งตัว!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 มกราคม 2551

04 มกราคม 2559

ห้องป้าน้อย

"โด่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเพื่อน

เพื่อนผมบอกว่าบ้านมันมีผีสิง! ฟังแล้วน่าตื่นเต้นนะครับ แบบนี้ผมต้องหาโอกาสไปดูสักครั้ง คงจะสนุกกว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงตามสวนสนุกแน่ๆ เผลอๆ ผมอาจได้เห็นของจริงก็ได้

ในที่สุด โอกาสนั้นก็มาถึง!

ผมขออนุญาตพ่อแม่ว่าต้องไปทำรายงานกลุ่ม ผมไม่ได้โกหกครับ เราต้องใช้เน็ตค้นคว้าหาข้อมูล และพอดีเน็ตบ้านผมมันเจ๊ง ทางที่ดีที่สุดคือไปใช้ที่บ้านของเจ้าป๊อบ ผมไปเย็นวันศุกร์ ค้างคืนถึง 3 คืนแน่ะ เช้าวันจันทร์เราก็ไปโรงเรียนพร้อมกัน

ปีนี้ต้องขยันหน่อย เพราะปีหน้าจะขึ้น ม.4 แล้ว ผมกะจะอยู่แผนกวิทย์

คิดๆ แล้วตลกนะครับ คนที่ชอบวิทยาศาสตร์และคำนวณอย่างผมน่ะ ดันมาสนใจเรื่องผีๆ สางๆ กับเขาด้วย!

ในความรู้สึกของผม เรื่องผีนี่น่าสนใจที่สุด มันอาจเป็นความลึกลับของชีวิต ที่วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง ผมไม่ตำหนิคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีหรอกครับ เพราะมันหาข้อพิสูจน์ไม่ได้เอาเลย ประสบการณ์ผีหลอกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับประสาททั้ง 5 ของคนที่ถูกหลอกเท่านั้นเอง

บ้านของเจ้าป๊อบมีเนื้อที่กว้างขวาง ด้านหน้าเป็นสนามใหญ่ขนาดเตะบอลได้สบายๆ ตัวตึกสองชั้นไม่ใหญ่โตนักแต่โอ่อ่าน่าอยู่ ป๊อบบอกว่าเป็นบ้านที่ปลูกมาตั้งแต่พ่อของป๊อบยังเป็นเด็กโน่นแน่ะ

ห่างจากตึกไปทางด้านหลังสัก 10 เมตร เป็นที่จอดรถ เรือนคนใช้ และโรงครัว ลักษณะเป็นห้องแถวยาว ข้างบนเป็นไม้ มีห้องนอนคนรับใช้ 3 ห้อง ด้านล่างแบ่งเป็นที่จอดรถและครัว ส่วนห้องน้ำสร้างต่างหาก อยู่ด้านหลังริมรั้วมี 2 ห้อง เวลาคนรับใช้จะเข้าห้องน้ำต้องเดินจากชั้นบนลงบันไดที่อยู่นอกเรือน

จากห้องนอนชั้นบนของป๊อบนั้น ถ้าเปิดหน้าต่างออกมาจะประจันหน้ากับเรือนคนรับใช้พอดี...ที่นี่ละครับที่มันเล่าว่ามีผี แถมดุมาก! เป็นผีแม่ครัว-คนเก่าคนแก่ที่ตายไปนานแล้ว แกชื่อป้าน้อย!

ตำแหน่งคนครัวนี่ก็ประหลาดครับ อย่าทำประมาทไปเชียว มันเป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลอย่างเหลือเชื่อ ยิ่งมีฝีมือดีๆ ทำอาหารอร่อยอย่างป้าน้อยละก็...หายห่วง! เพราะมีแต่นายจ้างจะง้อและเอาอกเอาใจ

ป้าน้อยเป็นคนรับใช้ของคุณย่าป๊อบ ถ้าแกอยู่ป่านนี้ก็อายุ 80 กว่าเข้าไปโน่น แกเก่งมาก ทำอาหารไทย จีน ฝรั่ง ได้อย่างเข้าท่า นี่ผมฟังจากที่แม่ป๊อบเล่านะครับ ว่าสมัยนี้หาอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เวลาแขกไปใครมา ป้าน้อยจะทำอาหารว่างไว้รับรอง เป็นที่ชิดหน้าชูตา

ข้อเสียของป้าน้อยก็คือ แกมีอิทธิพลมากเกินไปน่ะซี!

คุณย่าให้เงินค่ากับข้าวเป็นรายเดือน ให้แกถือไว้ใช้ตามสบาย แถมมันเป็นจำนวนสูงมากด้วย ลือกันว่าแกกินเงินค่ากับข้าว! แล้วยังเบียดบังเอาเครื่องแก้วเจียระไน ช้อนส้อม มีดเงิน ของมีค่าประดามีที่เก็บไว้ในห้องใต้ดิน ให้น้องเขยที่อยู่ต่างจังหวัดมาขนไปทีละเล็กทีละน้อยจนเกลี้ยง

คุณย่าไม่เคยลงไปดูเองนี่ครับ ท่านมอบให้อยู่ในความดูแลของป้าน้อย และช่วงหลังๆ ที่บ้านก็ไม่ได้จัดงานเลี้ยงอะไรเลย ท่านจึงไม่ทราบว่าเขาขนไปหมดแล้ว

คุณย่าไปสวรรค์ก่อนป้าน้อยเกือบ 10 ปี ป้าน้อยแก่มาก แต่แกตัวคนเดียว น้องสาวน้องเขยไม่ได้ให้แกไปอยู่ด้วย อ้างว่าแกเป็นคนดุ ลูกหลานไม่กล้าเข้าใกล้ แกจึงอยู่ที่บ้านป๊อบจนตายไปเมื่อราว 5 ปีก่อน...

ช่วงหลังๆ ป้าน้อยไม่ได้ทำงานอะไร แกอยู่เฉยๆ เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

ป้าน้อยตายที่โรงพยาบาล เล่ากันว่า ช่วงสุดท้ายแกเหงา เศร้ามาก แกพูดไม่ได้ แต่นัยน์ตาส่องถึงความสำนึกผิด ...บ้านนี้ดีกับแกเหลือเกิน ทั้งที่แกโกงและยักยอกสารพัด

พอแกตาย ศพที่มอบให้โรงพยาบาลไว้ให้นักเรียนแพทย์ศึกษา แต่เชื่อไหมครับ...วิญญาณแกกลับมาอยู่ที่ห้องเดิม มาวนเวียนไม่ยอมจากไปไหน 5 ปีแล้วละ

ป๊อบเห็นแกอยู่ในห้องของแกเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ทีแรกมันกลัวแทบตาย แต่ตอนหลังก็ชินแล้วละครับ ห้องป้าน้อยอยู่ทางริมด้านใน ทุกวันนี้ไม่มีคนอยู่ ใช้เป็นห้องเก็บของจริงๆแล้วห้องข้างๆ ก็ว่างเหมือนกัน มีแต่เด็กพม่า - คนรับใช้ใหม่ 2 คนนอนรวมกันที่อีกห้องหนึ่ง

ทั้งคู่ยืนยันว่าไม่กลัวผีเลย!

เคยมีขโมยปีนเข้าบ้านครั้งหนึ่ง มันร้องโวยวายแทบตาย เพราะเห็นหญิงแก่ร่างท้วม นุ่งผ้าถุง สวมเสื้อคอกระเช้า ยืนแลบลิ้นยาว ตาพอง....

คืนที่ผมมาค้างบ้านป๊อบนี่ ป้าน้อยก็มาต้อนรับครับ!

คือตอนสองยาม ไฟห้องแกเปิดสว่างจ้าขึ้นมาเฉยๆ แล้วก็ดับวูบลง 2-3 ครั้งอย่างน่าฉงน แถมสักตี 2 เห็นจะได้ ผมได้ยินเสียงประตูเปิดดังแอ๊ดดด...เจ้าป๊อบหลับสนิท ผมแอบย่องไปเปิดม่านดูอยู่นานก็ไม่เห็นอะไร นอกจากประตูที่เปิดอ้าคล้ายลมพัด แล้วก็ปิดเองเรียบร้อย...

ปิดอย่างสนิทเหมือนลงกลอนจากข้างในซะด้วย

ปรากฏการณ์ต่างๆ อันเป็นอิทธิฤทธิ์ของบ้านป้าน้อยหรือเปล่า ก็ตอบไม่เต็มปาก แต่ผมว่ามันผิดธรรมชาติ เลยเห็นเป็นเรื่องแปลก ครั้นจะไปเฝ้าดูถึงห้องแก ผมก็กลัว...แค่มองไปที่ห้องป้าน้อยผมก็ขนลุกแล้วครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 4 มกราคม 2551

03 มกราคม 2559

เสียงสยอง

"ม่วงแดง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากร้านสะดวกซื้อ

คุณเคยได้ยินไหมครับ เสียงสัญญาณเรียกให้รับโทรศัพท์มือถือ ที่ร้องเป็นเสียงผู้หญิงวิงวอนว่า "ช่วย...ด้วย! ช่วย...ด้วย!....."

ผมเคยได้ยินมาแล้ว...ฮู้ย! มันน่าขนลุกชะมัดเลย คิดได้ยังไงไม่รู้เนี่ย?

คืนนั้น ตอนตีหนึ่งแล้วละครับ ผมเดินออกมาหน้าปากซอยเพราะน้องมันเกิดอยากกินไอติมรอบดึก ผมเองก็หิวบะหมี่ มาซื้อที่ร้านเซเว่นนี่แหละ ทีแรกก็ไม่นึกกลัวอะไรหรอก ผมเดินมาบ่อย ดึกๆ อย่างนี้ละครับ

ในซอยเงียบสงบเชียว ชาวบ้านเขาหลับกันหมดแล้ว แต่เด็กๆ สมัยนี้รับรองยังไม่หลับหรอก ยิ่งวันศุกร์วันเสาร์ละก็อยู่ถึงเช้าได้สบายมาก

ขณะกำลังรอเงินทอน เสียงเย็นๆ น่าขนหัวลุกก็ดังขึ้น!

"ช่วย...ด้วย...."

"ผมมองหน้ากับพนักงานที่กำลังส่งเงินทอนพร้อมแสตมป์เงิน แสตมป์เพชรมาให้ พนักงานสาวสวยหน้าซีดเผือด ส่วนผมเหลียวซ้ายแลขวา เสียวสันหลังวูบๆ วาบๆ อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน...

และแล้ว ก็...นั่นเอง.....

คุณพี่วินมอเตอร์ไซค์ร่างยักษ์ หยิบมือถือขึ้นมารับสาย พอพูดธุระเสร็จเขาก็หันมาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะเห็นผมกับพนักงานสาวกำลังจ้องมอง

"นี่ถ้ากำลังนอนๆ อยู่แล้วโทรศัพท์มันดังแบบนี้ พี่ไม่กลัวเรอะ?" คุณเธอถามอย่างหวาดๆคุณพี่ท่านนั้นยิ่งหัวเราะใหญ่

"ไม่กลัวหรอก ไม่เคยโดนผีหลอกนี่นา" เขาตอบขำๆ

"แต่หนูเคย...แบบนี้เลยละ" พนักงานหน้าหวานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง...คราวนี้ผมกับพี่วินมอเตอร์ไซค์หูผึ่งทั้งคู่

"จริงอ่ะ..." ผมเผลอหลุดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมก็คือ เราได้ฟังเรื่องผีในบรรยากาศที่เป็นใจ...ยามดึกดื่นที่แม้จะมีแสงสว่าง แต่ก็เยือกเย็นเพราะแอร์คอนดิชั่น แหม! ได้อารมณ์จริงๆ นะครับ

"หนูเช่าห้องอยู่กับพี่สาว" เธอเริ่มเรื่อง "บางคืน พี่สาวที่เป็นนางพยาบาลต้องไปเข้าเวรดึก หนูก็นอนคนเดียวซิ คืนหนึ่ง...ได้ยินเสียงร้องว่า ช่วย...ด้วย...ดังมาจากห้องข้างๆ ฝาห้องมันก็เป็นปูนนะพี่ แต่เสียงมันลอดออกมาได้ยินชัดเลย...อูย! พูดแล้วขนลุก..."

เธอลูบแขนตัวเอง ก่อนจะเล่าต่อว่า...

จริงๆ แล้ว ห้องนั้นไม่มีใครมาเช่าอยู่ มันเป็นห้องว่าง เธอก็รู้ดี ฉะนั้น...เท่าที่ทำได้ก็คือ ตะกายลุกขึ้นไปเปิดไฟ ใจเต้นตึ้กตั้ก ระทึกขวัญอยู่เพียงลำพังกลางดึกสงัด จากนั้นก็มานอนคลุมโปง ฟังเสียงสยองที่ไม่รู้จะดังขึ้นอีกเมื่อไหร่....

ระหว่างรอก็เหงื่อแตกพลั่ก มือไม้เย็นเฉียบ แต่จนแล้วจนรอด ทุกอย่างก็เงียบกริบ...เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นกระหน่ำในโพรงอก

ขณะกำลังเคลิ้ม เสียงนั้นก็แว่วมาปลุก "ช่วย...ด้วย..."

มันทำให้เธอสะดุ้งตื่น ผวาลุกขึ้นนั่ง ใจริกๆ อยากจะเปิดประตูหนีออกจากห้อง แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน...เผลอๆ ผีมายืนอยู่หน้าห้องจะทำไง?


ทางที่ดีที่สุดคือต้องนอนนิ่งๆ และสวดมนต์! ซึ่งแน่ละ...ใครจะไปนึกออกว่าขึ้นต้นลงท้ายยังไง? ปากก็ได้แต่พึมพำเสียงสั่นเครือว่า นะโม...นะโม...

เสียงเรียกให้ช่วยดังมาอีกแล้ว!

คราวนี้มีเสียงกลิ้งขลุกๆ มากระแทกผนังดังตึง! ทีเดียวไม่พอ เสียงกลิ้ง...เสียงดิ้นมากระแทกฝาดังไม่หยุด จนเธอต้องอุดหูแน่น ม่านตาพร่าพราย น้ำตาไหลพรากด้วยความกลัวสุดขีด ...จะหลอกจะหลอนกันไปถึงไหน?

"ถ้ามันหลุดทะลุผนังมาเข้าห้องคุณ จะว่าไง?" พี่วินมอเตอร์ไซค์ถามยิ้มๆ

"ก็นั่นน่ะซิ หนูกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น เลยหลับหูหลับตาเผ่นออกนอกห้อง วิ่งลงมาชั้นล่าง ร้องกรี๊ดๆ จนคนเช่าหอห้องอื่นๆ ตกอกตกใจ เปิดประตูออกมาดูเป็นแถว! โธ่! หนูน่ะช็อกแทบตาย"

ปรากฏว่า ข้างห้องนั้นเคยมีผู้หญิงดื่มยาฆ่าแมลง ดิ้นทุรนทุราย...ตายอนาถ! วันที่เธอมาหลอกหลอน คือวันครบรอบสามปีที่เธอตาย!

ผมฟังแล้วมันแห้งไปหมดทั้งปากและคอ จนต้องกระเดือกน้ำลายสองครั้งซ้อนๆ

"พี่ว่างใช่ไหม?" ผมหันไปถามพี่วินมอเตอร์ไซค์ "ขับไปส่งผมหน่อยนะ ผมอยู่ตรงกลางๆซอยน่ะ"

สิบบาทคุ้มครับ ดีกว่าเดินเสียวสันหลังวาบๆ กลับบ้านคนเดียว!

...พอจอดส่งผมเสร็จ เราก็หัวเราะกัน ผมเลยแซวว่าประเดี๋ยวมันก็คงดังขึ้นอีกหรอก เสียง "ช่วย...ด้วย" ...ของโทรศัพท์พี่น่ะ เล่นเอาเขาหัวเราะเสียงแห้งแล้งชอบกล พลางพยักหน้าอย่างเห็นพ้องด้วย

"เออ...เสียวไส้เหมือนกันนะ สงสัยต้องเปลี่ยน เอ...จะเอาเสียงไก่ขันหรือแพะร้องดีล่ะ?"

เราหัวเราะทิ้งท้ายให้กัน ก่อนเขาจะบึ่งมอเตอร์ไซค์จากไป ส่วนผมก็กลับเข้าสู่แสงสว่างอบอุ่นในบ้านผมเอง...สงสัยแต่พนักงานสาวสวยคนน่ะซี เธอยังทนนอนอยู่ในห้องติดๆ กับห้องผีสิงได้ยังไงก็ไม่รู้ จริงมั้ยครับ?


ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 3 มกราคม 2551