28 พฤศจิกายน 2558

หนุ่มโฮสเตส

"หนุ่มโฮสฯ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเลดี้คลับ

ผมเคยเป็นหนุ่มโฮสเตสมาก่อน แต่เมื่อเรียนจบก็ไปทำงานตามวิชาชีพที่เล่าเรียนมา เหลือแต่ความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกครับ ถ้าไม่ได้ผ่านชีวิตแบบนั้นมาจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องขนหัวลุก! บรื๋อส์...นึกแล้วยังอกสั่นขวัญสยองไม่หายจริงๆ

"หนุ่มโฮสฯ" คือคำสั้นๆ ที่หมายถึงพวกผม คำเต็มก็ "หนุ่มโฮสเตส" เหมือนกับ "สาวโฮสเตส" น่ะแหละครับ หมายถึงผู้มีหน้าที่บริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ลูกค้าประทับใจบริการของเรา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ!

"หนุ่ม" คือน้องใหม่รูปหล่อ หุ่นดี ขาวสำอาง นิสัยค่อนข้างขี้อาย บอกว่าเพิ่งจะเคยมาทำงานแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นอย่าบอกใครเชียว! ผมก็ทำหน้าที่รุ่นพี่ปลอบใจว่าเป็นธรรมดา คนเราต้องมีครั้งแรกทุกอย่าง ถ้ามันผ่านไปแล้ว ครั้งที่ 2 ที่ 3 ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเอง

เลดี้คลับของเราค่อนข้างใหญ่โตหรูหรามาก ในย่านรัชดาฯ มีพนักงานตั้ง 50-60 คน หนุ่มเป็นน้องใหม่ที่ผ่านการอบรมจาก "พี่ก้อย" ว่าต้องทำและไม่ทำอะไรบ้าง เช่น ความสะอาดเรียบร้อย สุภาพ ไม่แตะต้องเนื้อตัวแขก เป็นต้น

หนุ่มได้รับเงินวันละ 200 บาท ไม่มีกำหนดวันทำงานหรือหยุดงานตายตัวเหมือนพวกรุ่นเก่า คือมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ แต่ได้ค่าดริงก์เท่ากันคือแก้วละ 300 บาท

ลูกค้าเราส่วนมากชอบสูบบุหรี่นะครับ บางคนสูบบุหรี่เกาหลีมวนเล็กๆ ขวาๆ แต่หลายคนก็ชอบบุหรี่มาเลเซียสีคล้ำๆ กลิ่นฉุนมาก ถึงหนุ่มจะสูบบุหรี่แต่ก็เคยบ่นกับผมว่าน่ารำคาญ เพราะมันเหม็นน่าดู แต่ไม่รู้จะทำยังไง?

"อดทน" ผมได้แต่สอนรุ่นน้อง ท่าทางขี้อายแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเกย์ ความรู้สึกค่อนข้างละเอียดอ่อน จนสงสัยว่าเลือกอาชีพผิดแล้วมั้ง?

"เราต้องมานั่งหน้าสลอนให้แขกเลือกเหมือนกับเป็นหมอนวด!"

เขาเคยระบายกับผม แต่ความที่เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน ผมก็เลยบอกหนุ่มไปว่า...คนเราล้วนแต่ถูกคนอื่น "เลือก" ทั้งนั้นแหละ จะไปทำงานที่ไหนก็ต้องมีคนคอยเลือกว่าจะรับหรือเปล่า? หรือไปจีบสาวก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะเลือกเราไหม?

"ขนาดสมัครส.ส.ยังต้องยกมือไหว้ปลกๆ ไหว้ชาวบ้านร้านตลาดดะไปหมด ไหว้หมูไหว้หมา ไหว้เสาไฟฟ้าก็ยังมีนี่นา พอได้เป็นส.ส.ก็ต้องวิ่งไปให้เขาเลือกเป็นรัฐมนตรีหรือเลขาฯ ก็ยังดี ยิ่งอยากจะเป็นนายกฯ ยังต้องไปหาคนนั้นคนนี้ ขอให้เขายกมือในสภาฯ หรือพูดตรงๆ ว่าไปขอให้เขาเลือกนั่นเอง"

ผมพูดซะจนหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้ หน้าตาดูสบายใจขึ้น...แต่แล้วก็ไม่วายมีปัญหาจนได้ เมื่อมีแขกสาวๆ ต้องการ "ออฟ" หนุ่มออกไปเที่ยว ไปหาความสุขกันข้างนอกในเวลาทำงาน

ค่าออฟน่ะ 10 ดริงก์เชียวนะครับ เท่ากับห้าพันบาทแน่ะ!

คนร่ำรวยเขาต้องการหาความสุข สาวไฮโซฯ แม่ม่าย หรือสามีบ้างานซะจนลืมให้ความสุข ความอบอุ่นกับภรรยา พวกเธอก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกันนี่นา

พวกคนดังๆ หรือลูกสาวเศรษฐีก็มีครับ มีทั้งเพื่อนชวนเที่ยวกับรักสนุกเอง พกเงินมาเป็นฟ่อนๆ ไม่นับบัตรเครดิตประเภท "รูดปื๊ดๆ" เอาแต่ใจตัวเอง คิดว่ามีเงินซะอย่าง จะเอาอะไรก็ต้องได้หมด ยกเว้นดาวกับเดือน

หลายๆ คนก็น่ากลัว เพราะมีบอดี้การ์ดมาคุม เราเรียกว่า "พวกชุดดำ" ถึงจะเข้ามาไม่ได้ก็รออยู่ข้างนอก ส่วนมากจะเป็นลานจอดรถ...พ่อแม่ให้เที่ยวตามใจ แต่ก็ส่งคนมาดูแลไม่ให้มีอันตราย มีเรื่อง ตามประสาเศรษฐีร้อยล้านพันล้านแหละครับ

เจ้าหนุ่มไม่ยอมให้แขกออฟ พูดจาบ่ายเบี่ยงว่าต้องไปเรียนตอนเช้าบ้าง ไม่ค่อยสบายบ้าง...คนเรานี่มีนิสัยยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุแทบทั้งนั้น ยิ่งออฟไม่ได้ยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น หนุ่มเคยมาเล่าว่าลูกค้าสวยๆ มาเสนอเงินให้ตั้ง 2-3 หมื่นบาทก็มี

"ผมขายบริการนะ ไม่ได้ขายตัว!" หนุ่มยืนยัน ลูกค้าที่อยากออฟอยากฟันหนุ่มมีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ บางคนก็ยอมแพ้ บางคนถึงกับอาฆาต แต่บางคนก็มาตื๊อ เสนอเงินล่อใจมากขึ้น แต่หนุ่มก็ใจแข็งมาตลอด

จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!

คืนวันพุธแขกน้อย พวกเราได้กันคนละ 2-3 ดริงก์ ยังดีที่ตอนดึกมีสาวบริการมาเที่ยวกลุ่มใหญ่ แยกย้ายกันราว 4-5 โต๊ะ ผมกับหนุ่มก็ถูกเลือกไปเป็นเพื่อนคุย...สาวหนึ่งกุมมือหนุ่มตลอด ทั้งเบียดทั้งซบ สั่งดริงก์ให้ไม่อั้น ชวนไปเที่ยวหรือออฟนั่นแหละครับ แต่หนุ่มก็ปฏิเสธตามเคย จากหมื่นสองหมื่นจนถึงกับ...ห้าหมื่นเอามั้ย?

คิดว่าจะใจอ่อน แต่หนุ่มส่ายหน้าเฉยเลย! เฮ้อ...

พวกเธอยอมแพ้ ส่วนผมน่ะไม่คิดอะไรมากก็เลยออกไปกับแขกอวบอึ๋มคนหนึ่งตอนเกือบตี 2 แล้ว...หนุ่มกับคนอื่นๆ ยังไม่เลิกงาน รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าหนุ่มโดนดักทำร้ายตอนตี 4 ทั้งมือและเท้าประเคนเข้าใส่จนสลบเหมือด ต้องนำส่งโรงพยาบาล...ไปขาดใจตายที่นั่นเอง

ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ สาวไฮโซฯ ที่มีพวกชุดดำมาคุ้มครองนั่นแหละ เธอแค้นหนุ่มที่ไม่ยอมให้ออฟ ความอายที่ทำให้โกรธของผู้หญิงนี่ร้ายกาจจริงๆ พวกเราเดาไม่ผิดแน่ๆ

อีกราว 3-4 คืนต่อมาก็มีคนเห็นหนุ่มนั่งเหงาๆ เศร้าๆ อยู่ที่โต๊ะว่างๆบางคนก็เห็นหนุ่มเดินหายลับไปทางห้องน้ำ ผมเองเคยเห็นแขกโต๊ะใหญ่กำลังเฮๆ กับหนุ่มโฮสฯ มีหนุ่มนั่งหน้าขาวซีดอยู่ที่โต๊ะนั่นด้วย!

ไม่ช้าผมก็ออกจากงานที่นั่น...กลัวว่าวันดีคืนดีเกิดเห็นหนุ่มเข้าจังๆ มีหวังหัวใจล่มสลายน่ะซีครับ! บรื๋อออออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550

27 พฤศจิกายน 2558

โรงพยาบาลสยอง

"ขวัญอ่อน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากโรงพยาบาล

"คำเปิง" เป็นสาวไทยใหญ่อายุ 18 ตัวเตี้ยๆ กลมๆ เหมือนโดเรมอน ช่างพูดช่างคุย ทำงานบ้านได้ดีน่าพอใจ เธอมาเป็นสาวใช้บ้านดิฉันได้ 2 ปีกว่าแล้วค่ะ มีบัตรแรงงานต่างด้าวเรียบร้อย...

เมื่อคืนนี้เธอเล่าเรื่องสยองขวัญให้ดิฉันฟัง!

4 ทุ่มกว่าแล้ว ลูกๆ และสามีดิฉันกินมื้อค่ำอิ่มหมีพีมัน คำเปิงช่วยเก็บโต๊ะ ล้างถ้วยล้างจาน ลมหนาวกลิ่นหอมสดชื่นโชยเข้ามาทางหน้าต่าง ดิฉันเลยออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินริมสนาม นั่งดูท้องฟ้าที่มีดาวเกลื่อนกลาด นี่เป็นคืนที่ฟ้าใส ต่างจากคืนอื่นๆ ที่มีเมฆฝนและหมอก...

ปลายฝนต้นหนาวก็แบบนี้ล่ะค่ะ ต้องระวังสุขภาพกันหน่อยนะคะ

ลูกๆ ทำการบ้าน ส่วนสามีก็หอบเอางานมาทำ ดิฉันเลยนั่งชมดาวตามลำพัง...แต่เพียงพักเดียว คำเปิงก็ถือขดยากันยุงเข้ามาหา เธอเห็นดิฉันอยู่มืดๆ ก็เลยกลัวว่ายุงจะมารุมกัด...ดูซิคะ! รู้จักเป็นห่วง มีน้ำใจดีซะด้วย

ดิฉันเรียกให้นั่งด้วยกันถ้ายังไม่ง่วง คำเปิงก็ดีใจรีบรับปากทันที เพราะเธอชอบคุย นี่คะ...และเรื่องที่มักจะคุยให้ดิฉันฟังเสมอๆ ก็คือเรื่องที่บ้านเดิมของเธอ ซึ่งอยู่เลยแม่สอดขึ้นไปไม่ไกลนัก

คำเปิงเล่าถึงลูกเห็บที่ตกลงมาเป็นเม็ดกลมๆ สีขาว พราวไปทั้งหมู่บ้าน...เธอบรรยายความเหน็บหนาว และการก่อไฟที่อบอุ่น คนในครอบครัวจะนั่งรอบกองไฟ เด็กๆ เอาขนมมาปิ้งกินเล่น และฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องเก่าๆ

ใต้ฟ้ากรุงเทพฯ คืนนี้ เธอคุยกับดิฉันเสียงเจื้อยแจ้ว ในที่สุดก็วกมาลงที่เรื่องผีๆ สางๆ จนได้!

คำเปิงไม่ใช่เด็กกลัวผี เหตุผลก็คือ เธอไม่แน่ใจว่าโลกนี้มีผีจริงหรือเปล่า? แต่กระนั้นก็เคยมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เธอหวั่นไหว...

เธอเล่าว่า ตอนนั้นเพิ่งอายุ 14 ปี ยายของเธอไม่สบายต้องเข้าไปนอนในโรงพยาบาลที่อยู่ในเมือง คำเปิงกำลังปิดเทอมพอดี เธอรู้สึกสนุกที่ได้ไปอยู่เฝ้ายายที่โรงพยาบาลนั้น...เวลายายนอนหลับก็มักออกมาเดินเล่นแก้เหงาไปตามเรื่อง บางทีก็ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์เล่น แม่ให้เงินติดกระเป๋าไว้ซื้อขนมกิน คำเปิงมักจะหาเรื่องลงไปซื้อขนมนมเนยอยู่บ่อยๆ

บ่ายวันหนึ่ง เธอออกมากดลิฟต์เล่น วันนั้นผู้คนไม่รู้ไปไหนหมด ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมไข้เลย...คำเปิงกดมาลงที่ชั้น 3 ซึ่งเธอไม่เคยมาเดินชั้นนี้

ที่ชั้น 3 คนเงียบกว่าชั้นอื่นๆ คำเปิงพบตัวเองยืนอย่างเดียวดายอยู่ที่ช่องทางเดินอันยืดยาวและเวิ้งว้าง สองข้างทางเป็นห้องอะไรก็ไม่รู้ ปิดเงียบเชียว...ได้กลิ่นอับๆ ของเลือดและยาต่างๆ น่าขนหัวลุก

คำเปิงละล้าละลังอยู่แถวหน้าลิฟต์ มันเงียบจนน่าวังเวงใจสิ้นดี...

ทันใดนั้นเอง เธอได้ยินเสียงล้อฝืดๆ ของรถเข็นดังเอี๊ยดอ๊าดมาแต่ไกล พอหันไปดูก็พบบุรุษพยาบาลชุดขาวคนหนึ่ง กำลังเข็นเตียงคนไข้ใกล้เข้ามา มีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินข้างๆ พอเตียงนั้นมาใกล้ๆ เธอก็เห็นร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง มีผ้าขาวคลุมมิดชิดตลอดตัว

เด็กหญิงตื่นเต้นขึ้นมาวูบหนึ่ง...ศพ! เธอคิด และชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เกิดมายังไม่เคยเห็นคนตายใกล้ๆ แบบนี้เลยนี่นา!

บุรุษพยาบาลกดเรียกลิฟต์...เธอเล่าว่าลิฟต์ที่นี่เป็นแบบเก่าที่มีช่องหน้าต่างกระจกสามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจน

นั่นไง! ลิฟต์เลื่อนขึ้นมาจอดแล้วประตูลิฟต์ก็เปิด บุรุษพยาบาลเข็นเตียงมรณะเข้าไป มีนางพยาบาลยืนเคียงข้าง ประตูลิฟต์ปิด คำเปิงมองเห็นว่าในแสงนีออนข้าวจ้านั้น บุรุษพยาบาลและนางพยาบาลยืนตรงนิ่ง ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้น...

ฉับพลัน ร่างศพบนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งปิ๊ง!

ผ้าขาวเลื่อนหลุดออกจากหน้า เผยให้เห็นว่าเป็นหญิงสาว หน้าซีดเผือด หลับตาสนิท จมูกมีสำลีอุด ปากดำปี๋ ผมยาวเหยียดตรง

ที่หน้าประหลาดที่สุดคือ ทั้งบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลที่ยืนขนาบข้างนั้นไม่ขยับ หรือมีท่าทีรู้ว่าศพนั้นลุกขึ้นมานั่งเลย ทั้งคู่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย มองตรงราวกับหุ่นยนต์!

คำเปิงเห็นแค่นั้นลิฟต์ก็เลื่อนขึ้น เธอมองตามลิฟต์อย่างงุนงง...

เด็กหญิงเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?

จากนั้นเธอก็เล่าให้คนอื่นฟังอีก ทุกคนพูดอย่างเดียวกับแม่เปี๊ยบเลย จนในที่สุดคำเปิงเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเห็นอะไรแน่?

"แต่หนูเห็นอย่างนั้นจริงๆ นะคะ" เธอยืนยัน

ฟังแล้วขนลุกเลยนะเนี่ย...อากาศก็เย็นๆ พิกล ดิฉันเลยบอกเธอว่าจะไปนอนแล้วล่ะ ดึกมากเลย คำเปิงดับยากันยุง แล้วเดินเป็นเพื่อนดิฉันเข้าบ้าน ก่อนจะแยกตัวไปที่ห้องนอน

ดิฉันชะโงกเข้าไปดูสามีที่ห้องทำงาน...

ถ้าเขายังไม่นอน ดิฉันก็จะนั่งดูทีวีก่อน...ดึกดื่นแค่ไหนก็จะรอ เพราะไม่กล้านอนคนเดียว...ดิฉันเป็นคนกลัวผีมากๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550

26 พฤศจิกายน 2558

คืนปล่อยผี

"ลูกปลา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากร้านอาหาร

เมื่อปีก่อน ดิฉันเคยทำงานเป็นพนักงานเชียร์เหล้าและเบียร์ อยู่ในร้านอาหารตามชานเมืองมาหลายแห่ง แต่ลูกค้ามักชอบเรียกพวกเราว่า "สาวเชียร์เบียร์" ค่ะ พูดถึงรายได้ก็ไม่เลวนะคะ คือได้รับคืนละ 300 บาท ขายเหล้าก็ได้เปอร์เซ็นต์ขวดละ 20 บาท ถ้าขายเบียร์ได้ขวดละ 3 บาท คนสวยๆ พูดเก่งๆ หรือเจ๊าะแจ๊ะให้ลูกค้าถูกใจก็ขายเบียร์ได้คืนละ 100 กว่าขวดไหนจะค่าทิปอีกล่ะคะ

ส่วนมากจะได้ทิปจากโต๊ะที่เอาเหล้ามาเอง แต่เราก็แวะไปเสนอสินค้าของเรา ชวนพูดคุยบ่อยๆ คือวนไปวนมาให้เขาเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ ถึงตอนจบจะไม่ซื้อเหล้าเบียร์ของเราก็อดมีค่าทิปติดมือไม่ได้แทบทุกราย

อ๋อ! เสื้อผ้าเราน่ะทางบริษัทเขาออกแบบให้ดูเซ็กซี่ โดยเฉพาะมียี่ห้อของสินค้าติดหรา สะดุดตาและสะดุดใจค่ะ!

พวกเราที่คิดว่ามีรายได้ประจำอย่างเดียวก็พอ ถือว่าคิดผิดนะคะ เพราะถ้าทำยอดขายไม่เข้าเป้า (แล้วแต่บริษัทจะกำหนดตามทำเล) สิ้นเดือนก็ต้องย้ายไปอยู่ตามร้านที่แขกน้อย ขายไม่ค่อยดี แล้วย้ายพวกที่มือเจ๋งกว่ามาแทนเราเฉยเลย

ไม่สู้ก็ต้องสู้ค่ะ งานนี้น่ะ!

ดิฉันไปเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่ร้านอาหารริมถนน ย่านถนนตัดใหม่เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราเข้าอย่างจังๆ

ร้านนี้ก็เหมือนร้านส่วนมากที่มีทั้งกลางแจ้งและในร่ม คือชั้นล่างจัดโต๊ะและมีวงดนตรีขับกล่อม แต่แขกส่วนใหญ่มักชอบนั่งโต๊ะกลางแจ้งมากกว่า โดยเฉพาะโต๊ะริมติดกับฟุตปาธจะมีแขกเต็มก่อนเพื่อน

ตอนแรกๆ ก็มีปัญหากับคนร่วมอาชีพนิดหน่อย พวกเธอคิดว่าตัวเองเป็นรุ่นเก๋าต้องได้โอกาสก่อน แต่ดิฉันไม่แคร์! เห็นแขกมานั่งผู้ชายล้วนๆ ก็ปราดเข้าไปหา ยิ้มหวานทำหน้าที่โปรโมตสินค้าทันที...ต้องบอกว่าถึงจะใหม่ที่นี่ แต่เก๋ามาจากที่อื่น! ไม่งั้นจะย้ายมาอยู่ร้านทำเลดีๆ ได้ไงล่ะ? ปัญหาชิงดีชิงเด่นจิ๊บจ๊อยตามประสาผู้หญิงแหละค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะต่อมาก็เข้าใจกันเอง

แหม! ปัญหาขนหัวลุกนี่ซิคะ เรื่องใหญ่มากๆ เลย!

คืนเกิดเหตุเป็นวันศุกร์ต้นเดือนธันวาคม รถราติดขัดน่าดู แม้แต่ย่านนั้นที่เคยถนนโล่งๆ รถแล่นฉิว บางครั้งก็ยังติดยาวเชียว ตามร้านอาหารหรือสถานบริการยิ้มแป้นเพราะเป็นวันรับทรัพย์ ไม่ต้องห่วงว่าฝนจะเทลงมาให้งานกร่อย

เฉพาะด้านนอกที่มีราว 30 โต๊ะน่ะ พอ 2-3 ทุ่มก็เต็มหมดแล้วค่ะ ใครมาตอนนี้ต้องเข้าไปนั่งโต๊ะใน...คืนนั้นดิฉันฝันหวานว่าคงจะขายเหล้าได้ไม่ต่ำกว่า 20 ขวด เผลอๆ อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ เพราะแขกหมุนเวียนนี่คะ ไม่ใช่มานั่งแช่ตั้งแต่หัวค่ำจนร้านปิดซะที่ไหนล่ะ

บางคนก็ไปนวด ไปสปามาก่อน แล้วถึงยกโขยงมาต่อกันที่ร้านอาหาร

บางโต๊ะก็มาอุ่นเครื่องที่นี่ก่อน แล้วถึงไปสปา ไปโรงนวด หรือไม่ก็ไปต่อกันที่บาร์มีสาวโคโยตี้...มีห้องวีไอพีที่เต้นในชุดวันเกิดด้วยค่ะ! โหย...ไม่เคยไปดูหรอก ได้แต่ฟังพวกลูกค้าหนุ่มๆ (และแก่) เขาคุยกันน่ะค่ะ

เอ...ปล่อย "ของ" ไม่คล่องตามคาด จน 4 ทุ่มกว่าเพิ่งขายได้แค่ 5 ขวดเอง ส่วนมากแขกเอาเหล้ามาเอง แต่ชวนคุยเจ๊าะแจ๊ะ เราก็ต้องอ้อล้อ ตื๊อไปเรื่อยๆ ตามฟอร์ม ข้อสำคัญต้องหูตาว่องไวด้วยนะคะ เห็นแขกกลุ่มใหม่เข้ามาเราก็ต้องปราดเข้าไปให้ถึงเร็วที่สุดกว่าคนอื่น

เหล้าก็เยอะ เบียร์ก็แยะ...แต่เราก็ต้องสู้กันในเกม ใครดีใครได้!

ราว 5 ทุ่มเศษ ขายเหล้าได้อีกขวดเดียว พอดีเหลือบเห็นผู้ชาย 2 คนเดินจากลานจอดรถมา ท่าทางบอกว่าอุ่นเครื่องมาจากที่อื่นเรียบร้อย...ที่นี่คงเป็นสถานีสุดท้ายมั้ง?

ดิฉันปราดเข้าไปหาเมื่อพวกเขานั่งโต๊ะว่าง ใกล้ๆ กับประตูเข้าด้านในที่ดนตรีกำลังแผดเสียงออกมา เสนอวิสกี้สุดยอดแต่ราคาย่อมเยา จีบปากจีบคอจ๋อยๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทองด้วยความเคยชิน...บางทียังนึกขำตัวเอง

อากาศยามดึกหนาวเย็นขึ้นทุกที! เสื้อผ้าของเรายิ่งต้องโชว์ส่วนโค้งส่วนเว้าอยู่ด้วย...ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ

หนุ่มใหญ่ทั้ง 2 หันมามองยิ้มๆ คนหนึ่งมองหน้า อีกคนมองอก...จ้องมองราวจะแทงทะลุเข้าไปแน่ะ...ชินชาแล้วค่ะ ลูกค้าคนไหนไม่แยแสซิคะแปลก! แล้วทั้งสองก็พยักหน้าให้กัน คนหนึ่งบอกว่า...อุดหนุนคนสวยซักขวดละกัน!

อารามดีใจทำให้รีบขอบคุณ ผลุนผลันไปเอาสินค้าจากด้านในมาให้ แต่พอกลับมาที่โต๊ะนั้นกลับมีชาย 4 คนนั่งอยู่ก่อน...แขกโต๊ะเก่านี่นา! สงสัยจะรีบร้อนจนไปผิดโต๊ะ ต้องเดินไปหาโต๊ะอื่น...

คุณพระช่วย! ทุกโต๊ะเต็มหมด แขกเก่าทั้งนั้นแหละค่ะ ดิฉันยืนอ้าปากค้าง กอดขวดเหล้าแน่น แข็งใจเดินดูอีก 2 รอบก็ไม่เห็นมีแขกใหม่ 2 คนนั่นเลย...วิ่งไปดูหน้าห้องน้ำชายก็ไม่มีวี่แวว! ต้องเดินเซ่อกลับมาพลางนึกว่าเราคงตาฝาด หรือประสาทหลอนไปเองละมั้ง?

ทันใดนั้น ดิฉันก็หันไปเห็นด้านหลังของชาย 2 คน เพิ่งเดินลงบันไดเตี้ยๆ ไปที่ลานจอดรถ...ขณะจ้องมองงงงันชายคู่นั้นก็หันมาหาช้าๆ เห็นรอยยิ้มแตกซ่านอยู่ในแสงไฟ...ใช่เลยค่ะ! ขยับจะวิ่งตามไปเรียกก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่เหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน

ร่างทั้ง 2 จางหายไปดื้อๆ ดิฉันรู้สึกแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ โลกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะล้มฮวบลงสิ้นสติไป...เลิกเป็นสาวขายเหล้าหรือสาวเชียร์เบียร์ตั้งแต่นั้นมาเลยค่ะ! บรื๋อส์...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2550

23 พฤศจิกายน 2558

ยมทูต!

"วงศ์รพี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อยมทูตมาเยือน

แท็กซี่สีน้ำเงินคันนั้นแล่นช้าๆ เข้ามาหาผมอีกแล้ว...หัวใจเต้นแรง สองมือชุ่มเหงื่อ ปากคอแห้งผากไปหมด...สงสัยผมคงจะถึงวันตายแน่นอน!

ตายเพราะแท็กซี่มฤตยูคันนี้เอง...

คนกรุงเทพฯ นับไม่ถ้วนที่ต้องใช้รถแท็กซี่เป็นพาหนะ มีทั้งใช้ประจำและเป็นบางครั้งบางคราว เพราะไม่มีเงินซื้อรถยนต์แพงๆ มาใช้ ไหนจะประกัน ค่าซ่อม โดยเฉพาะค่าน้ำมันนี่เล่นเอากระเป๋าเบาอย่าบอกใครเชียว

ยิ่งระยะหลังๆ ปีสองปีมานี่ น้ำมันขึ้นราคาบ้าเลือด คนที่ไม่มีรถยนต์ก็ใช้เป็นข้ออ้างว่า โชคดีนะที่ไม่มีรถยนต์ ไม่งั้นมีหวังต้องกู้เงินมาเติมน้ำมัน!

สมัยก่อนเขาว่าลิตรละไม่ถึง 2 บาท ตอนผมหนุ่มๆ น่ะลิตรละ 5 บาท มีการขึ้นราคาพรวดเดียวเป็นลิตรละ 7 บาท จนต้องมีการเดินขบวนประท้วงรัฐบาล เล่นเอาการจราจรในกรุงเทพฯ ติดขัดไปเลยเมื่อ 30 ปีกว่าๆ มาแล้ว

ถ้ารถประจำทางบริการดีพอใช้ ผู้โดยสารไม่แน่นเอี้ยดเหมือนปลากระป๋อง ไม่มีทั้งอุบัติเหตุและจี้ปล้น หาความปลอดภัยยากขึ้นทุกที ผมว่าคงไม่มีใครอยากขึ้นแท็กซี่ให้สิ้นเปลืองเงินทองหรอกครับ แต่ปัญหาระหว่างแท็กซี่กับผู้โดยสารก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน!

ไม่ต้องพูดถึงโจรปล้นฆ่าแท็กซี่ หรือแท็กซี่ข่มขืนฆ่าผู้โดยสารก็ได้ เพราะถือว่าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง...บางครั้งเกิดเรื่องสยองที่แท็กซี่โดนฆ่าชิงเงินพันกว่าบาท หรือแค่ไม่กี่ร้อยบาท ทำให้สลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ด้วยเอ้า

แท็กซี่ทำมาหากินเหน็ดเหนื่อย นั่งดมฝุ่นหลังขดหลังแข็งวันละเกือบ 10 ชั่วโมง หาเงินได้นิดๆ หน่อยๆ เอาไปเลี้ยงครอบครัว กลับถูกเชือดคอ ถูกแทงตายคารถเลือดแดงฉานเต็มเบาะ

ในฐานะคนที่ต้องใช้บริการรถแท็กซี่ แม้ผมจะเห็นอกเห็นใจแค่ไหน แต่หลายๆ ครั้งก็ทำให้หงุดหงิดขุ่นมัว เชื่อว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็คงเจอะเจอสภาพนี้เช่นกัน!

เปิดสัญญาณหน้ารถว่า "ว่าง" แต่ไม่ยอมรับคนที่โบกมือเรียกเอาดื้อๆ

มีผู้โดยสารในรถแท้ๆ แต่เปิดสัญญาณ "ว่าง" ให้คนที่คอยรถต้องโบกมือเก้อ

แท็กซี่จอดรอผู้โดยสารย่านชุมทางที่มีคนต้องการใช้รถมากมาย แต่เมื่อรู้จุดหมายกลับบอกว่าไม่รู้จักบ้าง, ไปส่งรถที่อู่ไม่ทันบ้าง...หนักกว่านั้นคือส่ายหน้า ไม่พูดไม่จา บ้างก็พุ่งรถออกไปเลย สมัยก่อนเคยมีคนประชดประชันแท็กซี่แบบนี้ว่า "นายอำเภอมาขับรถหาลำไพ่"

แต่อะไรก็ไม่น่าขนหัวลุกเหมือนแท็กซี่ยมทูตที่ผมเคยพบมาหรอกครับ!

บ้านผมอยู่ซอย 8 ถนนสุทธิสาร ใกล้ๆ กับปากทางเข้าหมู่บ้านทาวน์เฮาส์ ต้องใช้รถแท็กซี่ไปงานที่ย่านอโศกทั้งไปและกลับ ก่อนนั้นขาไปต้องเดินไปถนนใหญ่ หรือไม่ก็เรียกมอเตอร์ไซค์ไปส่งปากทาง ต่อมามีรถราพลุกพล่านหนาตาขึ้น เพราะซอยนี้เลาะลัดไปออกซอยสายลม สนามเป้าได้ ผมก็มักจะได้แท็กซี่ว่างๆ แถวหน้าบ้านนั่นเอง

จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้พบรถแท็กซี่สีน้ำเงินคันนั้น...แท็กซี่มฤตยู!!

ผมแต่งตัวออกจากบ้านไปรอรถตามเคย ส่วนมากจะเลี้ยวออกทางสุทธิสารไปทางวิภาวดีฯ เพราะถ้าไปทางซอยสายลมจะต้องเจอรถติดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

แท็กซี่สีน้ำเงินคันนั้นแล่นออกมาจากด้านในพอดี...รถว่าง! ผมโบกมือเรียกคนขับชะลอรถทำท่าว่าจะแล่นเข้ามาเทียบ แต่แล้วก็กลับแล่นเลยไปดื้อๆ ผมนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นว่ารถว่าง แต่เมื่อมองตามหลังก็ไม่เห็นผู้โดยสารสักคนเดียว!

ช่างเถอะ! เราเคยเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆ มาแล้วนี่นา...ไม่ช้าก็ได้รถว่างไปทำงาน...ผมลืมรถคันนั้นสนิท จนกระทั่งอีก 2-3 วันต่อมาก็เห็นแท็กซี่สีน้ำเงินว่างๆ แต่เมื่อโบกมือเรียกกลับแล่นช้าๆ ผ่านหน้าไป...รถคันเดียวกันนั่นเอง ผมจำก.ท.ได้แน่นอน

ไม่อยากคิดอะไรมาก ปัญหาอื่นๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวก็มากพอดูอยู่แล้ว...จนกระทั่งผมได้พบรถคันนั้นเป็นครั้งที่ 3 คนขับหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะแล่นผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น...ความหนาวเย็นจู่โจมเข้าจับต้นคอ แผ่ซ่านลงมาตามไขสันหลัง...นี่มันเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้นมา?

ผมไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ! นี่ก็ไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ แท็กซี่สีน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่คันนั้นคอยดักรอผมอยู่ แต่เมื่อรู้ว่าผมเห็นเข้าก็รีบบึ่งหนี...มันต้องการอะไร?

ได้รถว่างผมก็ขึ้นไปนั่งเหงื่อแตกซิก...เรามีศัตรูที่ไหน? โกรธแค้นหรือขัดใจอะไรกันจนถึงกับจะเอาชีวิต? ไม่มีเลยซักคนเดียว!

แล้วแท็กซี่คันนั้นมาดักดูผมที่หน้าบ้านทำไม? 3 ครั้งแล้ว! ที่เราไม่เห็นมันอีกล่ะ?

วันต่อมา ผมค่อยๆ ผลักประตูรั้วอย่างเชื่องช้า เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวง ถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นรถคันนั้น...ออกไปยืนมองหาแท็กซี่ พริบตานั้นเองผมก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินในบัดดล

นรกเป็นพยาน! แท็กซี่สีน้ำเงินคันนั้นกำลังแล่นมาจากด้านในช้าๆ ในรถว่างเปล่า คนขับหน้าเหี้ยม ดำคล้ำหันมามองก่อนจะเร่งรถผ่านไปรวดเร็วเหมือนลมพัด ขณะที่ผมเข่าอ่อน ใจหวิวๆ เกือบเป็นลม

ครั้งต่อๆ มา เมื่อผมหันไปเห็นเข้ามันจะบึ่งหนีเร็วขึ้น...จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้าย

ความกลัวเปลี่ยนเป็นกล้าบ้าบิ่น พอเห็นมันโฉบเข้ามารถเปล่าตามเคยผมก็โบกมือเรียก ปราดเข้าไปหา...คุณพระช่วย! แท็กซี่เจ้ากรรมหันขวับมองผม ก่อนที่รถจะพุ่งเข้าเสาไฟฟ้าโครมลั่นเหมือนฟ้าผ่า...ร่างโชกเลือด นัยน์ตาเบิกโพลงราวกับเห็นภาพน่าสยดสยองพองขนสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2550

22 พฤศจิกายน 2558

คนเห็นผี!

"ลักษมณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพรพิเศษของตัวเอง

ผี...เป็นสิ่งที่ดิฉันกลัวมากที่สุดในโลก!! บางคนถามว่าเคยเห็นผีแล้วเรอะถึงได้กลัวนักกลัวหนา? อ๋อ...เคยแล้วสิคะ ไม่ใช่ตาฝาดด้วย จะบอกให้

การเห็นผีของดิฉันมีมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งตอนนี้อายุปาเข้าไป 36 ใกล้หลัก 4 แล้วก็ยังเห็นเป็นบางครั้งเป็นคราว ขอยืนยันว่าไม่ใช่เพ้อเจ้อ ตาแหก หรือคิดไปเอง...ดิฉันเจอมาแล้วจริงๆ ค่ะ

ครั้งแรกเลย ยังจำได้...ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่อนุบาล 2 เท่านั้นเอง

โรงเรียนที่เรียนอยู่นั้นเก่าแก่และมีชื่อเสียงมาก เป็นโรงเรียนสตรีล้วน และพอขึ้น ป.5 ก็ต้องอยู่ประจำด้วย ห้องเรียนอนุบาลของดิฉันอยู่บนตึกเก่า มีครูประจำชั้นและครูผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง แต่ดิฉันเห็นว่ามีครูผู้ช่วย 2 คนค่ะ

แน่ละ! อีกคนนั้นไม่ใช่คนหรอกค่ะ ไม่มีใครเห็นเธอ นอกจากดิฉันเท่านั้น เธอสวยมาก ตัวเล็ก ผิวคล้ำ ตาคม...ดูเศร้าๆ อาจจะเพราะไม่มีใครพูดด้วย

ครูจิตราที่ประจำชั้น สังเกตมานานแล้วว่า ดิฉันชอบพูดคนเดียวอยู่ตรงมุมห้อง! ทีแรกท่านนึกว่าเด็กคนนี้มี "เพื่อนในจินตนาการ" แต่พอถาม ดิฉันก็บอกว่าคุยกัน "ครูนุช"

เท่านั้นละครูจิตราถอยกรูด ดิฉันจะไปรู้จักครูนุชได้ไง? เธอตายไปตั้ง 3 ปีแล้ว!

สรุปว่า โรงเรียนต้องนิมนต์พระมาทำบุญเป็นการเอิกเกริก แต่ดิฉันก็ยังเห็นครูนุชบ่อยๆ อยู่ดี

พอจบ ป.4 คุณพ่อพาดิฉันไปอยู่โรงเรียนอื่น เพราะไม่อยากให้ลูกอยู่ประจำ ซึ่งก็นับว่ารอดตัวไป เพราะโรงเรียนเก่าผีเยอะจริงๆ ตอนนั้นดิฉันยังเด็ก แต่ก็รู้ว่า ที่เห็นตามซอกมุมสลัวๆ ของตึกนั้น...ถึงจะเหมือนคน แต่ก็ไม่ใช่คน!

ความสามารถพิเศษในการเห็นผีของดิฉันหายไปซะนาน จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 12 ปีก็เจอเข้าอีกค่ะ

วันหนึ่งมีคนมากดออดหน้าบ้าน ดิฉันชะโงกไปดูเห็นผู้ชายใส่ชุดขาว ตัวสูงมากหน้าตาหล่อเหลา ยืนพิงประตูรั้วยิ้มให้ พอเดินเข้าไปใกล้เขาก็ค่อยๆ จางหาย...เหมือนละลายไปกับสายลม...

เขาจะเป็นอะไรล่ะคะ ถ้าไม่ใช่ผี?!

เดชะบุญที่ผีแต่ละตนที่เจอะเจอมา ไม่มีหน้าตาเละเทะ ตาโบ๋ แลบลิ้นปลิ้นตาให้หัวโกร๋นเลย ดิฉันเห็นเป็นคนธรรมดาๆ แต่มันมีอะไรก็ไม่รู้ที่บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นวิญญาณ...อาจจะเป็นเพราะเนื้อนวลเนียนที่ถึงจะเหมือนจริง แต่ก็ดูราวกับก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มควันมากกว่าเป็นเนื้อหนังมังสาอย่างเราๆ

เวลาไปเที่ยวที่ไหน ดิฉันมักจะมีซิกธ์เซนส์รู้ว่าที่ตรงนั้นมีสิ่งลี้ลับสิงอยู่

สามีเคยพาไปทัวร์ยุโรป และพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเยอรมัน ดิฉันได้ยินเสียงร้องไห้ระงมตั้งแต่เช็กอินเลยล่ะค่ะ รู้เลยว่าบริเวณนี้เคยมีพวกยิวถูกจับไปทรมานและสังหาร ความทุกข์แสนสาหัสของพวกเขายังฝังแน่นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ นั้นและฉายออกมาให้คนประสาทไวอย่างดิฉันได้รับรู้

ครั้งหนึ่ง ดิฉัน สามี และลูกๆ ไปเที่ยวพัทยา โรงแรมที่เราพักสวยงามและหรูหรา ทว่าดิฉันได้กลิ่นไหม้ๆ กระทบจมูกทันทีที่ย่างเข้าไป!

ธรรมดาของคนเราเมื่อได้กลิ่นไหม้ เราก็ต้องเหลียวหาไปทั่วๆ ใช่ไหมคะ แล้วดิฉันก็เห็นว่าในห้องล็อบบี้ของโรงแรมน่ะ สวย สะอาดตา ทุกคนมีรอยยิ้มแย้มแจ่มใส...ไม่มีใครทำจมูกฟุดฟิดเป็นอีบ้าอย่างดิฉันเลย

นอกจากกลิ่นไหม้แปลกแล้ว นาทีถัดมา ดิฉันก็ถึงกับผงะเมื่อได้กลิ่นฉุนของเส้นผมและเนื้อหนังที่ถูกไฟเผา!

ใช่ค่ะ...ที่นี่เคยเกิดโศกนาฏกรรมที่รุนแรง เพลิงเคยเผาผลาญจนวอดวายเมื่อนานมาแล้ว ผู้คนตายนับร้อยทีเดียว! สัมผัสพิเศษของดิฉันว่า ไม่ใช่ผีสางอะไรหรอก ดวงวิญญาณเขาเหล่านั้นไปสู่สุคติแล้ว สิ่งที่ดิฉันสัมผัสได้มันเป็นแค่รอยประทับ...

จริงๆ ด้วยค่ะ เพราะตลอดเวลา 3 คืน 4 วันที่พักในโรงแรมนั้น ดิฉันไม่เจอผีสักตน ทั้งๆ ที่นอนอยู่ในสถานที่ที่เขาตายอย่างทรมาน กระนั้นดิฉันก็อดเสียวสันหลังไม่ได้ ทุกคืนจะนอนกอดลูกไว้กับอก และคอยหวาดระแวงว่าจะมีอะไรโผล่มาในความมืด?

แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

เรื่องที่ทรมานดิฉันที่สุด ในการเป็นคนเห็นผีนี้ คือทุกครั้งที่ญาติสนิทหรือคนรู้จักตายลง ดิฉันจะประสาทผวา เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่คุณป้าวลัย-เพื่อนสนิทของแม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งในวัย 63 ปี ท่านกลับมาจากโลกแห่งความตาย และทักทายด้วยวิธีที่ทำให้ดิฉันแทบหัวใจวายตาย

วันนั้น ดิฉันนั่งคุยกับแม่ในห้องนอนที่ชั้นสอง ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำของฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายน คุณป้าวลัยตายได้ 1 เดือนพอดี

ขณะคุยเพลิน ดิฉันก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปที่หน้าต่าง และเห็นภาพที่ไม่น่าเห็นเลย!

นั่นคือ ใบหน้าคุณป้าวลัยที่ใหญ่เกือบครึ่งหน้าต่าง...ใหญ่กว่าคนปกติตั้งหลายเท่าโผล่ขึ้นมาท่ามกลางความมืด ถึงจะเป็นหน้าแบบคนธรรมดา แต่มันสยองมากๆ ดิฉันเป็นลมไปในทันที พอฟื้นขึ้น ทุกคนในบ้านตกใจ ดิฉันไม่ได้เล่ารายละเอียดเพราะเกรงว่าจะกลัวกันไปใหญ่...บอกแต่ว่าเห็นคุณป้าวลัยที่หน้าต่าง แค่นี้กลัวกันจะแย่แล้ว

มีสัมผัสพิเศษแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ ผู้รู้บางท่านแนะนำดิฉันทำใจและใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ดวงวิญญาณเหล่านั้น ข้อสำคัญ ดิฉันคงต้องฝึกทำใจอีกนานเชียวล่ะค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550

21 พฤศจิกายน 2558

แขกขาประจำ

"หนุ่มรัชดา" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อหนุ่มโฮสเตสไปนอนกับผี

จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ อย่างผม วันดีคืนร้ายก็ซวยสุดขีดจนโดนผีหลอกเข้าอย่างจัง ขนาดผูกคอตายไปเมื่อคืนก่อนหยกๆ คืนนี้ยังโผล่มาเที่ยวผับเที่ยวเลานจ์ได้ก็แล้วกัน

อ้อ! เรื่องพี่แหม่มที่แกคิดถึงผมมากๆ จนวิญญาณต้องมาหา เล่นเอาหัวใจหวิดล่มสลายที่ผมเคยเล่าไปแล้วไงครับ ตอนนี้ผมเชื่อสนิทแล้วว่าผีมีจริง

เรื่องสยองขวัญใน "เลดี้คลับ" หรือ "ไนต์คลับของสุภาพสตรี" นี่มีเยอะแยะครับ เพื่อนร่วมงาน หรือโฮสเตสหนุ่มพวกผมที่มี 30-40 คนน่ะ ส่วนมากเคยผ่านประสบการณ์ "ผีหลอก-วิญญาณหลอน" มาทั้งนั้นแหละ จะจริงหรือโม้ก็ลองคิดดูละกัน

คืนไหนแขกน้อยเราก็ถือโอกาสจับกลุ่มคุยกันแก้เซ็ง!

แขกจะแน่นในคืนวันเสาร์, อาทิตย์และจันทร์ครับ ส่วนวันอังคาร, พุธ, พฤหัสบดีมักนั่งตบยุง วันศุกร์ค่อยยังชั่วหน่อย ผิดกับแหล่งบันเทิงของพวกผู้ชาย ไม่ว่าผับ, บาร์, เลานจ์, คาราโอเกะหรือโรงนวด ที่มักจะรับทรัพย์กันเนื้อๆ ในคืนวันศุกร์กับเสาร์

แต่ชีวิตคนกลางคืนไม่มีอะไรแน่นอนหรอกคุณ บางทีวันอังคารที่แย่ที่สุดๆ เพื่อนผมหลายคนชอบหยุดงานกัน อ้าว? ดันผ่ามีทัวร์มาลง พวกญี่ปุ่น, เกาหลี ซะเป็นส่วนใหญ่ เล่นเอาหูตาสว่างไสวไปตามๆ กัน

พวกสูงคล้ำล่ำสันจะได้เปรียบครับ เพราะสาวน้อยสาวใหญ่จากแดนอาทิตย์อุทัยกับแดนกิมจินี่มักจะชอบเหล่...ปิ้งหนุ่มผิวคล้ำเป็นพิเศษ คงเบื่อผิวเหลืองๆ ซีดๆ ของหนุ่มชาติเดียวกันละมั้งครับ

สาวๆ ซากุระชอบเต้นรำที่สุด เดี๋ยวๆ ก็ฉุดหนุ่มโฮสเตสลงฟลอร์แล้ว...สุ้มเสียงกิ๊วก๊าวหายห่วง ชอบปิดปากหัวเราะบ่อยๆ ไม่รู้ว่าขำอะไรนักหนา

บางคืนสาวยุ่น 3-4 คนก็มากันเอง มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ พูดไทยได้นิดหน่อย ได้ความว่ามาทำงานกับติดตามครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ คงโดนประเพณีกดขี่หนักละมั้ง พอได้โอกาสเลยหลบมุมมาระบายอารมณ์ในเลดี้คลับ!

แขกขาประจำมักมาเที่ยววันอังคารวันพุธที่มีคนน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัทห้างร้าน สังเกตจากเสื้อผ้ากับเรื่องที่พวกเธอพูดคุยกัน...ว่าแต่ทำไมถึงมาเที่ยวในวันที่ไม่ค่อยมีใครเที่ยวล่ะ?

อาจจะเป็นเพราะไม่อึกทึก หรือไม่ต้องเจอะเจอคนมากก็ได้นะครับ

"ไอ้แมว" เพื่อนซี้ผมบอกสั้นๆ ว่า...เพราะวันที่แขกน้อยนี่ทางร้านจัดโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อเหล้า 1 ขวดแถม 1 ขวดน่ะซี! จริงของมันแฮะ!

วันไหนแขกน้อยเราก็มีโอกาสได้คุยกันสนุก ไม่ต้องดวดเหล้า ดมควันบุหรี่จากแขก บางโต๊ะน่ะพ่นควันยังกะปล่องโรงสีแน่ะ บางคนเห็นติ๋มๆ ที่ไหนได้ ควักซิการ์มวนโตออกมาพร้อมกับกรรไกคมๆ ตัดฉับขาด...โห! ควันฉุนกึ้กจนแสบจมูกแสบตา

เล่าเรื่องผีกันเลยนะครับ

เจ้าหนิงเป็นเกย์สุดหล่อ ขาประจำเยอะ ตอนแรกผมสงสัยว่าเป็นเกย์แล้วมาทำโฮสเตสได้ไง? เออ...ถ้าเป็นบาร์เกย์ก็ว่าไปอย่าง! แต่ไอ้แมวบอกว่าเจ้าหนิงมีพรสวรรค์ทางแตะต้องลูบคลำ แถมยังมีลูกเล่นแพรว พราว อ้อยสร้อยหรือน้ำอดน้ำทนเหลือเกิน สาวน้อยสาวใหญ่ที่ "ออฟ" มันออกไปหลับนอนก็ติดอกติดใจน่ะซี

โธ่! ก็เกย์ไม่ชอบผู้หญิงซะอย่าง จะไปมีอารมณ์เตลิดเปิดเปิงได้ไง?

คืนเกิดเหตุ "พี่อ๋อย" ขาประจำของเจ้าหนิงมาเที่ยววันอังคาร แขกน้อย ถือว่าเป็นโชคดีไป คงจะออฟเจ้าหนิงไปที่คอนโดฯ ของเธอตามเคย ไม่ใช่มา "เปิดเหล้า" ซื้อ 1 แถม 1 นะครับ เธอมีเหล้าเรดขวดลิตรฝากอยู่ดั้งเดิมเกือบครึ่งขวดแน่ะ

พี่อ๋อยมาคนเดียว ได้เบียดเสียดสูสีกับเจ้าหนิงสมใจนึก...ไม่ช้าก็คงเกี่ยวกันออกไปตามฟอร์ม! พอดีมีสาวยุ่น 3 คนโผล่เข้ามา ราวสองยามเศษก็มีสาวบริการ 2 คนเข้ามาเที่ยว แขกของเรามีเกือบครึ่งร้าน...นับว่าดีถมไปแล้วครับสำหรับคืนวันอังคารน่ะ

ผมกับไอ้แมวได้นั่งโต๊ะกับสาวบริการ หน้าตาบอกว่าเพิ่งเลย 20 มาไม่กี่ปีทั้งคู่...พวกเธอแสดงความใจถึงด้วยการสั่งดริงก์ให้เราทันที

ถามชื่อตามระเบียบ ทำงานนานหรือยัง? ต๊าย! ตั้ง 3 เดือนแล้วเหรอ? ทำไมไม่เคยเห็นเลย? (จะไปรู้เรอะ) เรียนหนังสือหรือเปล่าจ๊ะน้อง? โห...อยู่มหาวิทยาลัยด้วยเหรอ? ขอดูบัตรหน่อยได้มั้ย? อ๋อ...ได้เลยครับ!

บัตรจริงนะ ไม่ใช่บัตรปลอม! เธอหันไปหัวเราะคิกคักกัน จับมือผมอย่างชื่นชม

ไม่อยากคิดว่าเธอเองก็เคยโดนแขกถาม ขอดูบัตรนักศึกษามาก่อน เลยจดจำเอามาทดแทนกับพวกผม! หยวนน่า...เราคนขายบริการเหมือนกัน

เกือบตีหนึ่ง พี่อ๋อยก็งาบเจ้าหนิงออกไปเรียบร้อย

แขกของผมชื่อพี่ติ๋มสั่งดริงก์มาให้เราอีก ผมชักมึนๆ บอกไม่ถูก อาจจะท้องว่าง หรือนอนไม่เต็มอิ่มก็ได้ครับ ...ภาพของพี่ติ๋มดูพร่าเลือนไป ยิ่งเธอสูบบุหรี่ด้วยยิ่งทำให้เกิดม่านควันจนใบหน้าขาวๆ ทาปากแดงฉานกลายเป็นภาพซ้อน แถมหมุนวนอีกต่างหาก มือที่จับหลังมือผมเย็นเฉียบจนน่าตกใจ

ผมขอตัวเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าให้หูตาสว่าง เสร็จสรรพออกมาก็พอดีสองสาวเรียกเช็กบิล ...ผมลอบถอนใจอย่างโล่งอก ไอ้แมวก็บ่นว่าถ้าคืนนี้แขกเยอะกูคงเหม็นบุหรี่ตายแน่

เรื่องขนหัวลุกน่ะหรือครับ? อ๋อ...เจ้าหนิงหายไป 3 คืนเต็มๆ โผล่มาหน้าตาดูซีดเซียว ขอบตาลึกโหล เล่าว่า...คืนนั้นไปนอนที่คอนโดฯ พี่อ๋อย แต่ตื่นมาตอนสายกลายเป็นห้องร้าง...เพราะพี่อ๋อยเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ตายไปเมื่อคืนก่อนนี่เอง

ผมโชคดีที่แค่ออกไปส่งผีพี่แหม่ม แต่เจ้าหนิงดวงกุดถึงขนาดไปนอนกับผีพี่อ๋อยมาทั้งคืน...บรื๋อส์!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2550

20 พฤศจิกายน 2558

ผีเรือน

"นายเปิ้ล" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่ออยู่บ้านคนเดียว

เรื่องผีนี่มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง คือเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของผู้ที่ได้เจอะเจอเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือ มีแต่ตัวคนที่ถูกผีหลอกเท่านั้นแหละที่ได้รู้ได้เห็น คนอื่นๆ แทบจะไม่เกี่ยวเลย แถมมีน้อยรายที่จะโดนผีหลอกด้วยกัน

เผลอๆ เล่าให้ใครฟังเขาก็ไม่เชื่อหรอกครับ หาว่าเพ้อเจ้อเลอะเทอะ!

ผมเคยอยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพัง เพราะพ่อแม่กับน้องชายไปต่างจังหวัดกันหมด ขณะที่ผมติดสอบ...และคืนนั้นเองผมก็ถูกผีหลอก

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เดินดูความเรียบร้อยรอบๆ บ้าน มีหมา 3 ตัว (หมาไทย) คอยตามติด มีคุณสมบัติเห่าเก่ง ดุมาก แต่ขี้ประจบเป็นที่หนึ่ง มีหมาแบบนี้ก็สบายใจไปอย่าง คือถ้าใครแหย็มเข้ามาในบ้าน หรือแค่ด้อมๆ มองๆ ที่ประตู เจ้า 3 ตัวก็เห่ากระโชกซะขวัญบินแล้วละครับ

ผมดูล็อกประตูรั้ว ประตูบ้านเรียบร้อยแล้วรูดม่าน ปิดไฟ แต่ทันทีที่มือกดสวิตช์แชะ ไฟมึดพรึบ! วินาทีนั้นก็มีเสียงคนใส่รองเท้าแตะวิ่งอย่างเร็วผ่านหน้าผมไป โดยมีแค่ประตูกระจกและผ้าม่านกั้น!

โดยสัญชาตญาณ ผมตลบผ้าม่านมองออกไปทันที...

ขณะนั้น ภายในบ้านมืดสนิทก็เลยมองเห็นภายนอกชัดเจน...สว่างด้วยแสงจันทร์ และไฟถนน คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงครับ ภาพที่ผมเห็นมีแต่สนามหญ้าและต้นไม้ มันเป็นไปได้ยังไง...เสียงคนวิ่งชัดๆ แถมดังมากซะด้วย วิ่งตั้บๆๆ ผ่านหน้าไปทางขวามือ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงนั้นก็คือกำแพง ไม่มีทางหลบไปไหนหรอกครับ

ผมงงเต้ก...คิดว่าอาจเป็นเสียงคนวิ่งที่ถนนหน้าบ้านมั้ง? เอ...แต่ผมฟังไม่ผิดนะ เขาวิ่งจากซ้ายผ่านมาทางขวา! ช่างเถอะ...อย่าคิดมาก ไปดูหนังสือต่อดีกว่า สามทุ่มแล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดมืดๆ อย่างนั้นแหละ บ้านเราเองนี่นา! เดินขึ้นเดินลงทุกวัน หลับตาเดินยังได้ พอถึงสุดบันไดก็เปิดไฟไว้แล้วเลี้ยวเข้าห้อง เปิดไฟสว่างจ้า เปิดแอร์ เอาตำราขึ้นไปอ่านทบทวนบนเตียง

ไม่ถึง 5 นาที เสียงประหลาดนั้นมาอีกแล้ว! คราวนี้วิ่งกับพื้นซีเมนต์รอบบ้าน...รอบเลยจริงๆ ครับ ไม่ใช่วิ่งออกกำลังกายเหยาะๆ นะ แต่เหมือนคนที่กำลังตาลีตาเหลือกวิ่งหนีอะไรสักอย่าง ผมวางหนังสือลงแล้ว...งงมากเลย หมาก็ไม่เห่า แต่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

เป็นความผิดปกติที่ผิดธรรมชาติเลยทีเดียว!

ขณะกำลังงงอยู่นั้น เหตุการณ์ก็เพิ่มดีกรีความสยองหนักหน่วงกว่าเก่า เสียงคนใส่รองเท้าและวิ่งตั้บๆ นั้น เล่นเอาผมมองตามเสียง...ไต่เดี๊ยะมาตามผนังด้านนอก จากชั้นล่างขึ้นมาชั้นสอง แล้วขึ้นหลังคา

ผมร้องเฮ้ย! คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง หนังสือกระเด็นไปทางไหนไม่รู้เลย เสียงวิ่งคึ่กๆ บนหลังคาน่ากลัวสุดบรรยาย มันดังข่มขวัญกันน่าดู ผมเองไม่เคยกลัวอะไรถึงกับตัวสั่นเอามืออุดหู หลับตาปี๋ สวดมนต์แบบจับต้นชนปลายไม่ถูก

พักใหญ่ ทุกอย่างก็เงียบสงัด ผมเอามือคลายจากหูที่ถูกอุดแน่นจนชาหนึบ เนื้อตัวปวดไปทั้งร่าง เหนื่อยใจจะขาด...แต่ที่แย่กว่านั้นคือ มันน้อยใจนิดๆ

ทำไมต้องทำกับผมอย่างนี้? นี่บ้านผมนะ...ผมกำลังดูหนังสือด้วย!

เชื่อไหมครับ ผมน้ำตาไหลเลยละ! คิดว่าบ้านนี้เราอยู่มาแต่อ้อนแต่ออก ไม่เคยรู้สักนิดว่ามีผี! วันนี้อยู่คนเดียว ไม่ได้ไปเที่ยวกับใครเขา อุตส่าห์เป็นเด็กดียังมาหลอกกันได้...ผีบ้านผีเรือนละสิเนี่ย ไม่น่าทำอย่างนี้เลยนะ

ทั้งบ้านเงียบสงัด ในบรรยากาศมีอะไรบางอย่าง ไม่มีตัวตน มีแต่ความรู้สึก มันเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังสำนึกผิดอย่างอายๆ ที่คึกคะนองเกินเหตุ!

ผมค้อนลมค้อนแล้ง ไม่ดูแล้วหนังสือ ดีนะที่ตั้งใจเรียนมาแต่แรก ถึงไม่ดูคืนนี้ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้คงทำข้อสอบได้แต่ถ้าคะแนนไม่ดีนะ...ฮึ! น่าดู!

พอพ่อแม่กับน้องๆ กลับมา ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

อ้าว? พวกเขามองผมกึ่งเชื่อกึ่งขำ คงคิดว่าผมฝันร้าย หรือสมองเพี้ยนชั่วขณะ เพราะอยู่ตามลำพังในบ้านอันเวิ้งว้างเงียบเหงา

มีอีกเรื่องผมโดนผีหลอกกับเจ้าเปี๊ยก-น้องชาย!

วันนั้นเราไปบ้านคุณย่าที่บางนา หลังบ้านคุณย่ามีคูน้ำและที่รกร้าง ผมเดินไปใกล้ๆ ตรงนั้นกับเจ้าเปี๊ยก เพราะจะไปจับแมลงมาให้แมงมุมที่ผมเลี้ยง

ทันใดนั้น ผมเห็นผู้หญิงเนื้อตัวเขียวๆ ดำๆ เปื้อนโคลนตม เดินขึ้นมาจากคูแล้วหายไปกลางอากาศยามโพล้เพล้ ผมตกตะลึงอ้าปาก หันมาจะบอกเจ้าเปี๊ยก แต่ก็เห็นมันกำลังเอามืออุดจมูกแน่น...

สรุปว่า ผมเห็นผีเต็มตาชนิดจังๆ ส่วนเจ้าเปี๊ยกไม่เห็นอะไร แต่ได้กลิ่นเน่าอย่างเดียวเท่านั้นเอง!

เราไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่คุณย่าเล่าว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีคนฆ่ากัน เอาศพมาทิ้งคูน้ำ

เรื่องนี้ถ้าไม่เห็นกับตาก็เชื่อยากละครับว่ามีจริง

เออ...ว่าแต่คุณๆ เคยโดนผีหลอกมั่งหรือเปล่า? ถ้าเคยก็เขียนเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกมาสู่กันฟังบ้างซีครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 29 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550

19 พฤศจิกายน 2558

ซอยผีสยอง

"นายผี" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากดงผีดุ

ผมกำลังจะออกจากซอยกลางดึกสงัด ทั้งเปล่าเปลี่ยวและน่ากลัวสิ้นดี!

ไม่ว่าตรอกซอยไหนๆ ในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ คุณเอ๋ย ไม่ว่าซอยบ้านคุณ บ้านผม หรือซอยใคร จะมีมั่งไหมที่ไม่อ้างว้างวังเวง เปล่าเปลี่ยว น่าใจหายในยามดึกสงัดน่ะ?

ไหนจะคนร้าย ไหนจะภูตผีปีศาจที่สิงสู่ คอยจ้องหลอกหลอนผู้คนให้ขนลุกขนพอง แทบจะขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน!

พวกโจรผู้ร้ายน่ะยังพอทน แหม! คนเหมือนกันนะครับ ถึงยังไงก็พอจะพูดจากันรู้เรื่อง มันอยากได้ทรัพย์สินเงินทองอะไรก็ให้มันไป อย่าไปคิดต่อสู้ขัดขืนเหมือนพระเอกในหนังเข้าเชียว...อยากเดินเข้าซอยเปลี่ยวยามดึก ไม่ยอมนั่งแท็กซี่ก็ต้องวัดดวงเอาเอง งานนี้น่ะ

สำหรับคุณผู้หญิงถ้าไม่อยากโดนชิงทรัพย์แถมข่มขืน ก็คงไม่อุตริมาย่ำต๊อกตามทางสายเปลี่ยวแบบนี้หรอกนะครับ

ผมกำลังมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นเร้าใจกว่าเรื่องผีๆ สางๆ เป็นไหนๆ

ผีเหรอ? เออ...หน้าตาเป็นยังไง? หลอกหลอนแบบไหนนะ? เกิดมายังไม่เคยโดนหลอกหลอนซักที!

เขาว่ามีผีสิงสู่อยู่ทุกซอยไม่ใช่หรือครับ?

คนที่โดนรถชนตาย โดนยิง โดนแทง แม้แต่ถูกรุมตีจนตายคาซอย...ไหนจะพวกที่เบื่อโลก แอบมาฆ่าตัวตาย ส่วนมากมักจะป่ายปืนขึ้นต้นไม้ร่มครึ้มริมทางเดินนั่นแหละ เลือกกิ่งก้านที่แข็งแรงหน่อย ผูกเชือกเข้า อีกข้างผูกคอตัวเอง...โดดแผล็ว หรือทิ้งตัวลงมาดิ้นกระแด่วๆ ไม่นานก็ได้ไปเกิดใหม่สมปรารถนา

พวกที่โดนฆ่าหรือฆ่าตัวตายในบ้านอีกล่ะ เขาว่าตกดึกๆ มักจะออกมาเอ้อระเหยชมวิวตามริมรั้ว ทอดน่องเงยหน้าชมจันทร์ แสนสุขซะไม่มี เพราะไร้ปัญหาสารพัดอย่างเหมือนตอนมีชีวิต จนต้องหาทางลัดหลบหนีมาเป็นผีนี่ไง!

ไหนจะพวกต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไม้ใหญ่ๆ ตามตรอกซอยที่ผู้คนนับถือ มาจุดธูปขอหวยกัน ถูกหวยก็เอาผ้าแพรสีสวยๆ มาพันตามโคนต้น มีตุ๊กตาไม้ตุ๊กตาดินเผามาถวาย อ้อ! พวงมาลัยสด มาลัยแห้งมีทั้งนั้น แม้แต่ขนมนมเนยหรือเหล้าเป็นขวดๆ ก็ยังเคยมีนี่นา

ผมออกเดินไปเรื่อยๆ ฟังเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังชัดเจนในความเงียบ เชียบ...ถ้าขวัญอ่อนก็จะคิดว่ามีใครเดินตามหลังมา! หันไปมองก็ไม่เห็น พอเราหยุดเดิน เสียงนั้นก็พลอยหยุดไปด้วย...คิดดูแล้วกันว่าขวัญอ่อนแค่ไหน?

เขาว่าผีเด็กน่ากลัวยิ่งกว่าผีผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป!

อาจจะจริงก็ได้แฮะ...เพราะถ้าเราเห็นใครเดินสวนมาในซอยเปลี่ยว ตอนแรก คงคิดระแวงว่าจะเป็นโจรผู้ร้าย แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ แค่ 2-3 ขวบเดินเตาะแตะเข้ามาหาล่ะครับ?

ตอนดึกดื่น อากาศหนาวยะเยือก ในซอยที่มีแต่ความอ้างว้างน่าวังเวงใจ คุณจะคิดยังไง? เด็กทารกที่ไหนจะมาเดินคนเดียวแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เด็กผี?! บรื๋ออออ...

ผมก้าวเดินตามสบาย ไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ถึงกับทอดน่อง นึกถึงเรื่องภูตผีปีศาจที่สิงสู่อยู่ในซอยสารพัดชนิด...เจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานสารพัดรูปแบบ ก่อนที่วิญญาณจะล่องลอยหรือถูกกระชากออกจากร่าง

ต้นมะขามเฒ่ายืนทะมึนอยู่เบื้องหน้า...

เมื่อตอนต้นปีมีคนมาผูกคอตาย 2 รายด้วยกัน รายแรกเป็นสาวใช้ท้องไม่มีพ่อ รายต่อมาเป็นชายแก่ที่มีแต่โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ลุกโอย...นั่งโอย ...เบื่อหน่ายที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเจาะเลือด เพื่อพบหมอ รอคิวรับยา... ซ้ำๆ ซากๆ รอความตายที่ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา แต่ยังไม่ถึงซักที แกเลยตัดสินใจไปหามันเสียเอง...สิ้นเรื่องสิ้นราวไป!

คนในซอยเคยเห็นสาวใช้ผู้นั้นนั่งบนกิ่งมะขาม ร้องไห้พะอืดพะอม คร่ำครวญเสียงหวนโหยน่าขนลุกขนพอง จนวิ่งอกตั้งกันมาหลายรายแล้ว

บางคนก็เล่าว่าเห็นคุณลุงขี้โรค กำลังยักแย่ยักยันอยู่บนกิ่งมะขาม...แค่นี้ก็ร้องหาพ่อแก้วแม่แก้วครับ บางคนสาบานว่าเห็นคุณลุงแกชะโงกหน้ามอง แล้วทิ้งตัวพรวดพราดลงมาดิ้นกระแด่วๆ ต่อหน้าต่อตา!

รายนี้ปัสสาวะราดเหมือนท่อประปาแตก นั่งแผละลงไปร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้นเอง เพราะไปไหนไม่ไหวจริงๆ

ผมหยุดมองที่โคนมะขาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสำรวจกิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม...

สรรพสิ่งเงียบเชียบเหมือนโลกร้าง แม้แต่เสียงแม่หม้ายลองไนที่เคยเซ็งแซ่เมื่อครู่ก่อนก็กลับเงียบไป...สายลมคร่ำครวญกับยอดไม้ฟังคล้าย เสียงสะอื้นแผ่วเบาก่อนจะจางหาย...

ผมยักไหล่ ออกเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามเดิม...นักเลงฮ้อเพิ่งโดนแทงตายหน้าร้านกาแฟเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง!

ตอนดึกๆ มีคนเห็นเจ้าฮ้อเดินก๋าเลือดท่วมอก จนร่ำลือกันทั้งซอยว่าผีดุนักหนา...ผมเดินมาหยุดที่หน้าร้านชำ ขายเหล้าขายกาแฟประจำซอยก็ไม่มีวี่แววอะไรแม้แต่น้อยนิด โธ่! ขนาดเสียงหมาหอนยังไม่มีเลยคุณ

เลยไปหน่อยก็มองเห็นยอดโพธิ์ดำทะมึนอยู่ข้างหน้า คนในซอยเล่าว่าผีเจ้าพ่อโพธิ์เฮี้ยนนัก โดนหลอกสารพัดรูปแบบมานับไม่ถ้วนแล้ว...อีกน่ะแหละ! เจ้าพ่อโพธิ์คงจะขี้เกียจหรือไม่กล้ายุ่งกับผมก็ไม่ทราบ...จนกระทั่งมองเห็นแสงไฟจากถนนปากซอยอยู่ไม่ไกลนัก

ตั้งแต่ก้นซอยยันปากซอย สรรพสิ่งสงบเงียบดีชะมัด ไม่มีอะไรมากวนอกกวนใจแม้แต่น้อยนิด...หมา 3-4 ตัวเห่าเบาๆ แล้วถอยหลังกรูด ก่อนจะเผ่นหนีไม่คิดชีวิต...

อ้าว? ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมครับว่าผมออกจากบ้านจะไปสมัคร ส.ส.ไงล่ะคุณ!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550

16 พฤศจิกายน 2558

ลาก่อน..เพื่อนรัก!

"กมลพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยี่ยม

คนเรานี่ก็แปลกนะคะ ตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว สดใสด้วยวัยเยาว์ โลกที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวานี้เป็นของเรา และเราคิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ไม่มีวันจบสิ้น

เราไม่ซึ้งกับโรคาพยาธิ ความชราและความตาย แต่เผลอแผล็บเดียวอายุเราก็มากขึ้นๆ จนเลยหลัก 4 หลัก 5 เราเริ่มมีโรคภัยมาตอดนิดตอดหน่อย..แล้วเราก็เริ่มนึกถึงความตาย! มันคงอยู่อีกไม่ไกลเท่าไรนัก..

ดิฉันอายุ 52 ปี เพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เล่นมาด้วยกัน มีอันต้องจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บหลายคนแล้ว

เพื่อนสนิทที่สุดเป็นมะเร็งตายไปเมื่อ 5 ปีก่อน หลายคนพบว่าตัวเองเป็นโรคนี้เช่นกัน..มะเร็งเฮงซวย! ไม่รู้มันจะพรากชีวิตเราไปเมื่อไหร่?

คงอีกไม่นานหรอก คิดดูแล้วใจหายนะคะ

เพื่อนรักอีกคนของดิฉัน แป๋ว-เริ่มตรวจพบมะเร็งเต้านมเมื่อ 4 ปีก่อน และตัดทิ้งไปเรียบร้อย แต่แล้วมันก็กลับมาอีกค่ะ คราวนี้มันเล่นงานเธอที่ต่อมน้ำเหลือง ไม่ช้ามันก็ลามไปที่ตับ!

แป๋วเป็นคนสดใส จิตใจงดงาม เคยแคล่วคล่องว่องไว รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ เธอใช้ชีวิตคุ้มจริงๆ ไปมาแล้วทั่วประเทศและทั่วโลก

แต่สุดท้าย เธอก็ต้องนอนซมอยู่ในห้องเล็กๆ ชั้นล่างในบ้าน ดิฉันไปเยี่ยมแล้วสงสารจับใจ..ตัวที่เล็ก บอบบางอยู่แล้วดูหดสั้นลง ผิวที่นวลเปล่งปลั่งกลับเหลืองซีดเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง ผมที่ดกสลวยร่วงไปหมด..เธอไม่อายศีรษะที่โล้นเลี่ยนเหมือนลูกนกเกิดใหม่ เธอต้อนรับขับสู้ดิฉันอย่างเต็มอกเต็มใจ เราพูดคุยกันถึงวันเก่าๆ ที่แสนสุขอย่างไม่มีวันลืม

ส่วนใหญ่ดิฉันพูด และเธอจะฟังด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส เพราะเธอเหนื่อยมากค่ะเวลาพูดน่ะ

วันนั้นดิฉันยังจำได้ เราอยู่สองคนในห้องนอนเล็กๆ ไม่มีเตียง แต่ปูฟูกไว้กับพื้น แป๋วดูตัวเล็กนิดเดียว ขณะนั่งซุกอยู่ในกองหมอนและผ้าห่ม เธอขำตัวเองว่าเหมือนตุ๊กตาอีที..มนุษย์ต่างดาวอัปลักษณ์ที่น่ารัก!

และแล้ว จู่ๆ แป๋วก็พูดถึงความตายขึ้นมา เสียงของเธอแช่มชื่น ราบเรียบและสงบเยือกเย็นเชียวละ

"แป๋วใกล้สวรรค์เข้าไปทุกทีแล้วนะ.."

ใช่..แป๋วตายไปต้องไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แน่ๆ เพราะเธอเป็นผู้ที่มีแต่ให้ เธอไม่ได้แต่งงาน อยู่ตัวคนเดียว และชอบช่วยเหลือคนไปทั่ว

ดิฉันบอกเธอว่าอีกไม่นานดิฉันคงจะตามไป จริงๆ นะคะ เพราะตอนนี้เป็นทั้งความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ และเมื่อไม่นานมานี้ขาก็อ่อนแรงไปเฉยๆ เหมือนเป็นเค้าลางว่าจะเป็นอัมพาต ยังดีที่ฟื้นตัวกลับเหมือนเดิมภายในหนึ่งสัปดาห์

กระนั้น ดิฉันก็รู้สึกอ่อนโรยและใจหาย..เราจะอยู่ถึงปีหน้าไหมนะ?

พอบ่นให้แป๋วฟัง เธอก็เอื้อมมือเย็นๆ ซีดๆ มาจับมือดิฉัน ว่า..อย่ากลัวเลยความตายน่ะ แต่ก็อย่าประมาท เตรียมทุกอย่างเพื่อลูกๆ ไว้ให้พร้อม มีอะไรที่เป็นปัญหาค้างคาอยู่ก็แก้ไข สะสางให้หมดห่วง ถ้าตายก็จะได้ไปสบาย แต่ถ้าอยู่ก็อยู่อย่างปลอดโปร่งโล่งใจ

"เอาเถอะ! ถ้าตายไปแล้ว แป๋วจะมาบอกว่ามันเป็นยังไง" เธอพูดเหมือนให้สัญญา ขณะตบมือดิฉันเบาๆ อย่างปลอบใจ

สองอาทิตย์ต่อมา แป๋วก็ถึงแก่กรรม ดิฉันคิดถึงเธอมากเหลือเกิน..

คืนหนึ่ง ตอนกลางดึก ดิฉันกำลังนอนอยู่ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น มันมีอาการหายใจไม่เต็มอิ่ม เหมือนไม่ได้สูดเอาออกซิเจนเข้าไปน่ะค่ะ ดิฉันเคยเป็นอย่างนี้ครั้งหนึ่ง มันน่ากลัวมาก..อากาศไม่พอ! เหมือนคนจะจมน้ำตาย

ดิฉันต้องทำใจให้สบาย บอกตัวเองว่าเราไม่เป็นไร! ดูซิ..ยังเดินได้ ลุกไปดื่มน้ำเย็นได้ แต่มันน่ากลัวจริงๆ ราวกับนาทีข้างหน้าเราจะหน้ามืดแล้วตายได้ง่ายๆ มันทรมานมาก

ทันใดนั้น มีแสงสว่างเรืองๆ สีเขียวอมฟ้า ใหญ่ขนาดลูกเทนนิสปรากฏขึ้นที่ปลายเตียง ห่างจากดิฉันไม่ถึงสองฟุต แสงนั้นขยายเป็นวงรีจนมีขนาดเท่าตัวคน..

และแล้ว ภายในแสงนั้นก็มีร่างของแป๋วนั่งอยู่!

เธอนั่งที่ขอบเตียง ดูเยาว์วัย สวยแจ่มเชียว ผมเธอดกดำรวบเป็นมวย ผิวพรรณอ่อนละมุนและดูเป็นจริง มีเลือดเนื้อคล้ายคนธรรมดา

ดิฉันประหลาดใจมากกว่ากลัว และฉงนจนเอื้อมมือเข้าไปในวงแสงนั่นเพื่อสัมผัสกับตัวเธอ..ใจวาบนิดหน่อยเมื่อพบว่าผิวของแป๋วนุ่มและอบอุ่น ส่วนแสงนั้นมีพลังไฟฟ้าอ่อนๆ จนรู้สึกได้ค่ะ

แป๋วยิ้มขำๆ เธอไม่ได้เปิดปาก แต่พูดกับดิฉันทางโทรจิต ว่าดิฉันจะยังอยู่อีกนาน ระวังรักษาตัวเองให้ดี ลดความอ้วนให้ได้! และอย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

พอพูดจบ เธอก็จางหายไป..

ดิฉันลืมอาการหายใจไม่อิ่ม กลับหายใจเต็มปอดและชื่นใจมาก

แป๋วมาเป็นกำลังใจให้ดิฉันตามสัญญา ทำให้อบอุ่นและสบายใจ..ดิฉันรู้แล้วว่าตายแล้วไม่สูญ วิญญาณยังอยู่แน่ๆ และความดีจะช่วยให้เราตายแล้วมีความสุขจริงๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 29 - ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550

15 พฤศจิกายน 2558

คืนสยอง!

"หนุ่มรัชดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเลดี้คลับ

ผมเป็นคนหนุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องผีมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ แต่แล้วผมก็ต้องเจอกับเรื่องน่าขนลุกขนพองเข้าอย่างจังๆ แถมเหตุเกิดในสถานบันเทิงหรูหราที่เรียกว่า "เลดี้คลับ" ใจกลางกรุงเทพฯ อีกต่างหาก

ผมทำงานเป็นโฮสเตสในเลานจ์สำหรับสุภาพสตรีครับ รายได้งามพอที่จะเล่าเรียน และมีชีวิตอย่างราบรื่นพอสมควร แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเอาการที่ต้องเรียนกลางวัน ทำงานกลางคืน..เลานจ์ที่ผมทำงานอยู่ถนนรัชดาภิเษก ตัวเองเช่าห้องอยู่ในซอยด้านหลัง อาศัยมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปกลับ ไม่มีปัญหาอะไร..

เดี๋ยว! คุณกำลังยิ้มเยาะว่าผมเป็น "ผู้ชายขายน้ำ" ใช่มั้ยเนี่ย?"

เสียใจครับ ต้องบอกว่าเข้าใจผิดแล้ว! ผมทำงานสุจริต ไม่ได้ลักขโมย หรือปล้นจี้คดโกงเขากิน..ขายตัวเรอะ? เปล่าเลย..ผมขายบริการ เป็นเพื่อนคุยแขกของทางร้านที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ เท่านั้นเอง!

ตอนแรกที่เพื่อนชื่อไอ้แมวมาชวนว่า ไปเป็น "โฮสฯ" มั้ย? รายได้ดีนะโว้ย ผมก็ยังงงๆ จนกระทั่งมันพาไปสมัครงานในตอนเย็น ขอสำเนาบัตรประชาชน กับมีการฝึกสอนเต้นรำ ทำงานตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 2 เงินเดือน 1 หมื่น 5 พันบาท ได้แบ่งค่าดริงก์ 300 บาทจาก 500 บาท เงินเดือนและเงินดริงก์ออกเดือนละ 2 ครั้ง

เลานจ์หรือบาร์แห่งนี้ติดป้ายเอาไว้ชัดเจนว่า "ต้อนรับเฉพาะสุภาพสตรีเท่านั้น"

"ขายน้ำ" นี่เป็นบางคนนะครับ ไม่ใช่ทุกคน! เพราะเรามีหน้าที่แค่เป็นเพื่อนคุยของแขกที่มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ ระดับไฮโซฯ แทบทั้งนั้น นักศึกษายังมีเลยครับ

แต่งตัวเนี้ยบสุดๆ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับพวกสร้อย แหวน กำไล ก็ได้ แค่พวกรองเท้า กระเป๋า นี่ล้วนแต่แบรนด์เนมทั้งนั้น ราคาเป็นหมื่นๆ รู้กันอยู่ ไม่รู้ว่าร่ำรวยมาจากไหนนักหนา โฮสเตสอย่างพวกผมก็มีหน้าที่พูดคุย เอาอกเอาใจ เรื่องดริงก์ที่เป็นรายได้งามๆ น่ะส่วนมากไม่ต้องขอหรอกครับ เธอพอใจก็สั่งให้เอง

หนุ่มโฮสเตสนี่ไม่ต้องพูดถึงความหล่อเหลาก็ได้ หุ่นพระเอกก็มี ล่ำบึ้กก็มี เกย์ก็มี..ตอนดึกๆ มักมีสาวบริการเลิกงานโฉบเข้ามา พวกเราทำดีกับเธอ เข้าใจเธอด้วยว่าต้องขายบริการเหน็ดเหนื่อยแล้ว ได้เงินก็เอามาซื้อบริการจากคนอื่นชดเชยบ้าง

"แม่อุ๊" หรือมาม่าซังคอยตักเตือนให้ความรู้พวกเราที่มีอยู่ราว 30 กว่าคน

รักษาความสะอาด สวมสูทตามแฟชั่นวัยรุ่น สุภาพอ่อนโยน อย่าแตะเนื้อต้องตัวแขก ถ้าแขกมาโอบหรือลูบๆ คลำๆ ไม่เกินเลยก็แล้วไป ไม่จำเป็นอย่าสูบบุหรี่

ข้อสำคัญที่สุดก็คือ แขกชวนไปเที่ยวต่ออย่าไปเด็ดขาด!

เรื่องนี้ต้องยอมรับความจริงอยู่อย่าง ว่ามีโฮสเตสหลายคนยอมไปกับแขก เพื่อเงินและเพื่อเซ็กซ์ เพราะแขกหลายๆ คนน่ะนะ คุณเอ๋ย..ขาวสวยหมวยอึ๋ม เสน่ห์แรงวายป่วงจริงๆ บอกไม่เชื่อ ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไม่ไปเที่ยวกับแฟนนะ จะว่าเป็นเลสเบี้ยนก็ไม่ใช่นี่นา

พวกผมที่เต้นรำไม่เก่งแย่หน่อย ไหนจะเหล้า ไหนจะโดนแขกชวนลงฟลอร์บ่อยๆ อีกล่ะ? แต่แม่อุ๊มีทางแก้ให้เรียบร้อย ใครคออ่อนก็บ้วนเหล้าคืนใส่แก้ว แขกไม่รู้หรอก..แล้วจ่ายให้บ๋อยที่มารับแก้วคืนไปล้างแก้วละ 100 บาทละกัน

ผมทำงานได้เดือนเศษก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง!

พี่แหม่มเป็นสาวสวยหุ่นดีมาก อายุราว 30 เศษๆ พบกันครั้งแรกก็ถูกชะตากลายเป็นขาประจำไปเลย มาถึงต้องเรียกผมทันที ไม่ชอบเต้นรำมากกว่าซดวิสกี้ สูบบุหรี่ มียิ้มติดมุมปากเสมอ บางทีก็เหมือนจะเยาะหยันอะไรไม่รู้ หรือจะเยาะตัวเองมั้ง?

พอสนิทกันก็เล่าว่า แต่งงานมา 5 ปีแล้วแต่ไม่มีลูก สามีทำธุรกิจร้อยล้าน แต่ต้องออกต่างจังหวัดครั้งละหลายๆ วัน พี่แหม่มบอกว่าทั้งเหงา ทั้งเซ็งชีวิตเต็มที!

"ออกไปต่อกับพี่มั้ย? พี่ให้เอ๋ 3 หมื่น!" จู่ๆ เธอก็ถามผมขณะที่แขกส่วนมากออกไปเต้นรำกันเมื่อดีเจ.เปิดเพลงถูกใจ ผมอึ้งกิมกี่ไปเลยครับ..ไม่ว่าผู้ชายคนไหนเห็นพี่แหม่มก็อยากอึ๊บทั้งนั้น ถ้าเป็นเสี่ยคงยอมจ่ายหลายหมื่นแน่ๆ แต่ผมตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ยอมเป็น "หนุ่มขายน้ำ" เด็ดขาด ถ้าจะยุ่งกับใคร ไม่ว่ารักหรือเซ็กซ์จะต้องไม่มีเงินทองเป็นสิ่งกำหนด

ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล ขอโทษเธอด้วย บอกว่าพี่แหม่มน่ารักที่สุด ผมทั้งรักและนับถือเหมือนพี่สาว ขอให้น้องชายคอยรับใช้อยู่ที่นี่ดีกว่าครับ!

พี่แหม่มยิ้มมุมปากตามเคย ดูไม่ออกว่าเธอผิดหวังหรือเปล่า? แต่พูดคุยกับผมในเรื่องอื่นๆ เป็นปกติ คืนนั้นผมคิดว่าเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่จะได้เห็นเธอ! แต่รุ่งขึ้นพี่แหม่มก็กลับมาตามเดิม..ดื่มเหล้าจัดแต่ไม่ยักสูบบุหรี่ บอกว่าตั้งแต่มาเที่ยวที่นี่เกือบเดือน ไม่เคยชวนโฮสเตสคนไหนออกไปเลย พอชวนสุดหล่อคนแรกก็ผิดหวัง

ผมยังไม่ทันโต้ตอบเธอก็พูดต่อ..ไม่เป็นไร! คืนนี้ช่วยออกไปส่งพี่ที่ประตูได้ไหม? จะได้ภูมิใจว่ายังมีคนอาทรพี่ไง! ผมฟังแล้วใจหาย รับปากทันทีว่าได้ซีครับพี่

คืนนั้นวันอาทิตย์ราวตี 1 สาวบริการเริ่มทยอยเข้ามา...พี่แหม่มเช็กบิลแล้วพยักหน้ากับผม ก่อนออกเจอไอ้แมวที่ประตูเลยบอกว่าจะลงไปส่งพี่แหม่ม เดี๋ยวมา! แล้วเราก็เข้าลิฟต์ลงไปชั้นล่าง

ที่หน้าประตูด้านนอกนั่นเอง พี่แหม่มจับมือผมบีบเบาๆ เงยหน้ายิ้มทั้งปากและตา พึมพำว่าลาก่อน..แล้วเดินตัวตรงไปที่ลานจอดรถ..เลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตา!

ผมร้องเฮ้ย! พี่ฮ้อที่เฝ้าประตูถามว่าเป็นอะไรไป? เดินลงมานี่ทำไม? ผมกระเดือกน้ำลาย พึมพำเสียงสั่นๆ ว่าเวียนหัวเลยลงมาหาที่โล่งๆ หน่อย..ครั้นเดินขาสั่นกลับขึ้นไปชั้นบนไอ้แมวเข้ามาถามว่า..มึงเล่นมุขอะไรวะ? ไปส่งพี่แหม่ม..แกผูกคอตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไง!

คุณผู้หญิงอยากไปพักผ่อนคลายอารมณ์ก็เชิญนะครับ..ถามหาหนุ่มเอ๋ได้เลย ขออย่างเดี๋ยว อย่ามาฆ่าตัวตายใส่ผมเหมือนพี่แหม่มอีกละกัน! บรื๋อส์..

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550

14 พฤศจิกายน 2558

กลับบ้าน

"อนินทิตา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนสวดศพ

ความเชื่อในเรื่องผีๆ สางๆ มีมากมายสารพัดอย่าง เช่น เชื่อว่าผีดุอยู่ที่วัดบ้าง อยู่ที่โรงพยาบาลบ้าง บางครั้งก็มาโต้เถียงกันแทบเอาเป็นเอาตาย เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลสนับสนุนความเชื่อของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ

คนที่เชื่อว่าในวัดผีดุที่สุด ดุยิ่งกว่าที่อื่นๆ ทั้งหมด แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่เท่า เขาบอกว่าในวัดมีทั้งผีถูกฝัง ถูกเผา วิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็วนเวียนอยู่ในวัด หรือในป่าช้านั่นเอง...หลายๆ วัดถึงกับได้ชื่อว่า ป่าช้าผีดุ!

ส่วนคนที่ไม่เห็นพ้องด้วย ยืนยันว่าในโรงพยาบาลย่อมมีผีดุยิ่งกว่าวัด ก็เพราะเป็นที่ตายของคนนับไม่ถ้วน หลายร้อยหลายพัน อาจจะหลายหมื่นด้วยซ้ำ สำหรับโรงพยาบาลใหญ่ๆ สร้างมาเก่าแก่ขนาด 50-60 ปี

เชื่อกันว่า ก่อนตายมักจะทนทุกข์ทรมาน ไม่ว่าจะเป็นเพราะโรคภัยไข้เจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง โดนทำร้ายมาสาหัส จนถึงกับพวกที่พยายามฆ่าตัวตายจนสำเร็จสมใจ

คนเราตายที่ไหน วิญญาณก็มักจะสิงสู่อยู่ที่นั่น จนกว่าจะมีโอกาสได้ไปผุดไปเกิด! ด้วยเหตุนี้จึงมีโรงพยาบาลผีสิง น่าขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าในวัดด้วยซ้ำ เพราะศพที่ถูกนำไปวัดไม่มีวิญญาณแล้ว เหลือแต่ร่างที่รอเวลาเน่าเปื่อยเท่านั้น ส่วนวิญญาณหรือผีก็จะสิงสู่อยู่ที่แดนตายของตน เช่น โค้งมรณะ, ถนนผีสิง, ชายหาดกินคน ฯลฯ

อย่าว่าแต่ศพที่ถูกฝังหรือถูกเผาไปแล้วเลยค่ะ ขนาดคนที่เพิ่งตายไปหยกๆ ก็ยังมีเรื่องโต้เถียงกันว่า วิญญาณไปไหน?

บางคนเชื่อว่าเมื่อคนเราตายแล้วก็ย่อมจะไปเกิดใหม่ทันที ตามคติของพุทธศาสนา เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ หรือเป็นเทวดาในภูมิภพต่างๆ สุดแท้แต่ว่าเมื่อยามมีชีวิตอยู่ ได้กระทำบาป-บุญเอาไว้มากน้อยแค่ไหน

แต่บางคนก็เชื่อถือสืบต่อกันมาว่า คนเราตายแล้วครบ 3 วัน 7 วัน จะกลับบ้านเพื่อมาเยี่ยมญาติ กับเพื่อ "เก็บรอยตีน" ของตน จะได้ลืมอดีตหมดสิ้นเมื่อถึงคราวไปเกิดใหม่!

เรื่องนี้ก็เข้าเค้ากับความเชื่อถืออื่นๆ ที่มีจุดหมายอย่างเดียวกัน คือเพื่อให้ลืมอดีตหรือ "ชาติก่อน" ป้องกันไม่ให้จดจำได้เมื่อไปเกิดใหม่...น่าสนใจตรงที่ว่า ถ้าเราเชื่อเรื่องชาติก่อนและชาติหน้า จึงไม่มีใครรู้ว่าชาติก่อนเคยเกิดเป็นอะไร? หรือลูกเต้าเหล่าใคร!

นานๆ มีข่าวคนระลึกชาติได้สักครั้ง จึงทำให้ใครๆ ตื่นเต้นกันยกใหญ่ ถึงกับไปพิสูจน์กันเอิกเกริก ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเหลวไหลนะคะ

ดิฉันได้ประสบกับเหตุการณ์ขนหัวลุกเมื่อเดือนกันยายนนี่เอง แต่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเรื่องตายแล้วไปไหน? กับเรื่องผีที่กลับบ้านเพื่อมาเยี่ยมญาติเป็นครั้งสุดท้าย กับเก็บรอยตีนตัวเองในเวลา 3 วัน 7 วัน

เรื่องเป็นดังนี้ค่ะ ดิฉันเป็นคนถนนระนอง ที่มีถนนสายใหญ่ด้านหน้าคือพระราม 5 นอกจากมีบ้านเรือนและตึกรามคับคั่ง ผู้คนหนาแน่น ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวหรือมีอะไรน่ากลัว จนกระทั่งมีหญิงชราอายุ 70 เศษชื่อป้าจันทร์ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบที่โรงพยาบาล

คิดว่าเป็นโรคชรานะคะ แม้ลูกหลานที่อยู่ใกล้ๆ บ้านดิฉันจะเล่าว่า ความดันเลือดสูง เบาหวานและน้ำท่วมปอดก็ตาม

คนเราก็เหมือนเครื่องใช้ไม้สอยที่เก่าแก่เข้าก็ต้องซ่อมแซมกัน ระยะแรกก็นานๆ ครั้ง ต่อมาก็บ่อยครั้งเข้าทุกที ไม่ว่าพัดลม, ทีวี, ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศ...ในที่สุดก็ลงเอยด้วยการซ่อมไม่ไหว คือพัง...จนต้องทิ้งไป ถ้าไม่อยากเก็บให้รกบ้าน

หรือไม่ก็เหมือนผลไม้ที่สุกงอมเต็มที่ วันหนึ่งก็ต้องร่วงหล่นลงไปเองตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จริงไหมคะ?

พวกเราที่รู้จักมักคุ้นก็ไปงานสวดอภิธรรม มีกำหนด 3 คืนแล้วจะทำฌาปนกิจ

คืนแรกก็เกิดเรื่องขนหัวลุกแล้วค่ะ!

ป้าจันทร์เลี้ยงสุนัขพันทางไว้ 3-4 ตัว พวกมันรักใคร่และคอยเคล้าเคลียแทบทั้งวัน แม้แต่ตอนที่ป้าจันทร์นอนเจ็บอยู่...กลางคืนพวกมันนอนนอกบ้าน แต่กลางวันป้าจันทร์จะออกมานอนแซ่วที่เตียงไม้ชั้นล่าง บรรดาเจ้าเล็บงามก็คอยพัวพันอยู่ไม่ห่าง ใครเข้าไปเยี่ยมมักจะโดนมันเห่าจนป้าจันทร์ต้องดุให้มันเข้าไปหมอบอยู่ใต้เตียง

เพื่อนมนุษย์ชนิดแรกนี่เป็นสุนัขจริงๆ ค่ะ แถมยังรักเจ้าของ ภักดีต่อมือที่ให้ข้าวให้น้ำ...ผิดกว่ามนุษย์อีกหลายคนเป็นไหนๆ

น่าแปลกอย่างตรงที่ป้าจันทร์จะรักแต่หมาที่แกเลี้ยงไว้เท่านั้น ส่วนหมาบ้านอื่นรวมทั้งหมาจรจัดที่วิ่งไปมาอยู่หน้าบ้าน ป้าจันทร์จะไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย เห็นเข้าเป็นต้องไล่ตะเพิด ไม่ยอมให้เข้าประตูรั้ว หมาของแกก็ไม่ยอมให้ออกไปเล่นนอกบ้านเด็ดขาด

บางทีมันฉวยโอกาสเล็ดลอดออกไปได้ ป้าจันทร์รู้เข้าก็จะรีบออกไปเรียกเข้าบ้านทันที

วันนั้นราวทุ่มเศษ พวกเราฟังสวดเสร็จก็กลับบ้าน...เสียงหมาเห่าเบาๆมาจากประตูรั้วบ้านป้าจันทร์ พอหันไปดูก็เห็นหมาของแกรุมเห่าพวกเราอย่างทักทาย ตะกุยตะกายประตูรั้ว...ราวกับมันเห็นป้าจันทร์กำลังกลับบ้านไม่มีผิด

ดิฉันกับเพื่อนบ้านที่ไปฟังสวดศพมา หันมองสบตากัน หน้าตาไม่ค่อยดีทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเราคิดตรงกัน...พอดีเสียงเห่าขรมมาจากหน้าบ้านถัดไป

ฝูงหมาราว 5-6 ตัวเห่าพลางถอยพลาง ย่อขา หางตก บ่งบอกว่าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง...ท่าทางทั้งโกรธและกลัวเหมือนที่ป้าจันทร์เคยออกมาไล่พวกมันไม่ผิดเลย...ถ้าไม่ใช่ผีหรือวิญญาณแล้วจะเป็นอะไรล่ะคะ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2550

13 พฤศจิกายน 2558

โรงงานผีสิง

"ลูกพ่อขุน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงงานที่ปากน้ำ

ผมทำงานเกี่ยวกับการออกแบบให้กับโรงงานแห่งหนึ่งแถวสมุทรปราการ ห้องทำงานของผมอยู่ด้านในสุดของตัวตึก 3 ชั้น ซึ่งยาวเหยียดเหมือนอาคารโรงเรียน แถมห้องนี้ก็อยู่บนชั้น 3 อีกด้วย

หลายคนอาจเห็นว่ามันน่ากลัวจนขนหัวลุก แต่ผมชอบเพราะว่ามันสวยดี

ตอนค่ำ ทุกคนจะกลับบ้านหมด เหลือแค่ยามกับภารโรง ไฟฟ้าบนตัวตึกก็เปิดอยู่ตรงระเบียงไม่กี่ดวง มันเป็นช่วงเวลาที่หัวคิดผมมักจะแล่น ดังนั้น ผมจึงมักอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงลำพังบนตึกอันเวิ้งว้าง

ห้องผมกว้างขวางไม่ใช่ย่อย เพราะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนี่ครับ เรานั่งทำงานกันหลายโต๊ะ ตอนกลางคืนก็ดับไฟบางส่วน เปิดสว่างแต่ตรงที่ผมนั่ง

เคยมีคนถามว่าไม่กลัวเรอะ?

กลัวอะไรล่ะ? ถ้าเขาหมายถึงผีละก็ผมหัวเราะเลย โธ่! ก็ไม่เชื่อว่าผีมีจริงซะอย่าง แล้วจะต้องกลัวผีไปทำไม?

ความลำบากลำบนของที่นี่มีอยู่ประการเดียว คือเวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเดินไปไกลตามระเบียงยาว ไปลงบันไดทางสุดตึกโน่น เพื่อเข้าห้องน้ำรวมที่ชั้น 2 ทำไมไม่สร้างที่ชั้น 3 ด้วยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ส่วนมากผมขี้เกียจ ถ้าต้องมาเข้าห้องน้ำผมก็จะรวบรวมข้าวของกลับบ้านเลย

คืนหนึ่ง กำลังเพลิดเพลินกับการออกแบบในจอ ฉับพลันก็มีเสยงเลื่อนเก้าอี้ดังครืด...ผมหันขวับไปดู ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว!

เอ...แล้วเก้าอี้มันเลื่อนได้ไงหว่า?

ความที่ไม่กลัวผี ผมก็เพียงแต่แปลกใจนิดๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก

แต่แล้ว ความรู้สึกมันบอกผมว่า ในห้องนี้ไม่ได้มีแต่เราคนเดียว...มันมีอะไรบางอย่างอยู่กับผมด้วย! เหมือนกับมีใครบางคนอยากเล่นจ๊ะเอ๋กับเรา แล้วเขากำลังแอบอยู่ใต้โต๊ะ

ผมผละจากจอคอมพิวเตอร์ แล้วเดินมองไปทั่วๆ ห้อง นึกขำว่าใครหนอมาเล่นตลก? จับตัวได้ละน่าดู! แต่ทว่าหาจนทั่วแล้วไม่มีใครเลยจริงๆ กระนั้นความรู้สึกว่าไม่ได้มีเราคนเดียวก็ยังติดแน่นเหมือนเดิม

ผมไม่เคยรู้สึกหลังเย็นแบบนี้เลย...ทำงานที่นี่มาตั้งปีแล้วนะ!

แม้จะไม่กลัว แต่ก็หมดสมาธิ เพราะมัวแต่หันหน้าหันหลังเหลียวมองอยู่นั่นแหละ มันเสียววาบๆ ที่ข้างหลังเหมือนมีใครกำลังจ้องอยู่...ไม่เอาละ! เลิกดีกว่า วันนี้กลับบ้านก่อนแล้วกัน ไม่มีอารมณ์ทำงานแล้ว

ผมรวบรวมข้าวของประดามีใส่กระเป๋าหิ้ว แล้วลุกขึ้นไปปิดไฟ ปิดประตู ตลอดทางยาวของระเบียงค่อนข้างมืด แต่ผมชินเสียแล้ว ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

ว่าแต่ใครนะ...เห็นหลังไวๆ เดินอยู่ข้างหน้าลิบๆ โน่น!

เขาอยู่ห่างผมไปเกือบสุดตึก เห็นได้ว่าเป็นด้านหลังของผู้ชายตัวสูง เดินโยกตัวหน่อยๆ แบบวัยรุ่นเก๋าๆ ที่ก้าวขาเนิบๆ ไม่เร่งรีบนัก

ใครกันหว่า? แต่รู้ว่าไม่ใช่ขโมยขโจรที่ไหนแน่ ผมเดินเร็วๆ จนเกือบเข้าใกล้ เขาเลี้ยวลงบันไดช้าๆ ตามสบาย ผมก้าวตามลงไปติดๆ จนอยู่ห่างเขาไม่กี่เมตร และเมื่อเขาเดินผ่านแสงสว่างของนีออน ก็เห็นชัดว่าเขาแต่งชุดของคนทำงานที่นี่

คงลืมของ เลยขึ้นมาเอาของละมั้ง?

ชายหนุ่มที่ผมเห็นแต่ด้านหลัง เดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำชาย เอาละ...เดี๋ยวก็รู้หน้าตาว่าเป็นใคร? ผมเลี้ยวตามเพราะอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน

ห้องน้ำที่เปิดไฟไว้ดวงหนึ่ง โล่งว่าง ทั้งบริเวณอ่างล้างมือ โถปัสสาวะผู้ชายที่เรียงรายเป็นแถว และห้องสุขาที่เปิดประตูไว้ทั้ง 3 ห้อง ...มันโล่งโถง เปล่าเปลี่ยว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย!

เป็นไปไม่ได้ ผมเห็นกับตาว่าเขาเดินเข้าห้องน้ำก่อนหน้าผมแป๊บเดียวเองแท้ๆ

สมองหมุนติ้ว ม่านตาลายพร่า รู้สึกคล้ายวิงเวียน คลื่นไส้หน่อยๆ แล้วก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากที่ไหนสักแห่งในห้องน้ำนี่...มันเบามาก แต่ฟังออกว่าเป็นเสียงเด็กหนุ่มๆ

เท่านั้นแหละ ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว...นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่ผมกลัวผีขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ!

ก้าวถอยหลังออกมาจากที่นั่นช้าๆ หัวใจเต้นโครมคราม อุ้งมือทั้งสองข้างชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ปากคอแห้งผากแทบเป็นผง...ตึกนี้ไม่เคยดูยาวไกลแบบนี้มาก่อนเลย...

ผมต้องเดินอีกไกลมาก ฝ่าความมืดตามลำพังไปที่หน้าประตูโรงงาน

มันไกลจริงๆ ครับคุณ ไกลที่สุดในโลก! แต่ละย่างก้าวมันทั้งหนักทั้งฝืดเหมือนขาผมจะเป็นอัมพาต มันหนักอึ้งและก้าวไม่ค่อยออก กลัวว่าจะมีอะไรตามมาข้างหลัง...

จะร้องแรกแหกกระเชอก็ไม่กล้า กลัวสติแตก จะวิ่งก็ไม่กล้าวิ่ง

ในที่สุดก็มาถึงป้อมยามหน้าประตู ยามกำลังคุยกับภารโรงอยู่ที่นั่น...พวกเขาเห็นสีหน้าผมก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ยามถามว่าขับรถไหวไหม? ผมต้องขอนั่งพักครู่ใหญ่ๆ

ไม่มีใครหัวเราะผมหรอกครับ เขาคิดว่าผมรู้แล้วซะอีกว่าเมื่อสองวันก่อนมีคนงานผูกคอตายที่ต้นไม้ข้างรั้ว...เออใช่! ผมรู้แต่ดันลืมซะสนิท

ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่คนกลัวผี พุทโธ่เอ๊ย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550

12 พฤศจิกายน 2558

วิญญาณร้องไห้

"น้ำหวาน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองรังสิต

ใครๆ ก็กลัวผีตาจักร! แกเป็นคนสวนของคุณตาคุณยายดิฉันเองค่ะ ตาจักรฆ่าตัวตายอย่างน่าสยดสยองเพราะน้อยใจยายอ้อน - เมียของแกที่ติดไพ่แก้ไม่หาย แกขอร้องแทบจะกราบกราน แต่ก็ไม่เคยได้ผลแม้แต่น้อย

คุณตาทำมาค้าขายเกี่ยวกับการส่งออกผลไม้ ฐานะร่ำรวยมาแต่ไหนแต่ไรเพราะเป็นเชื้อสายตระกูลเศรษฐีเก่า

บ้านของเรา...ดิฉันหมายถึงบ้านของคุณตาน่ะค่ะ อยู่แถวรังสิต ตั้งอยู่ในเนื้อที่กว้างขวางริมคลอง มีบริวารเยอะแยะ ทั้งคนรถ คนดูแลความสะอาดและคนสวน...คือตาจักรนี่เอง ส่วนยายอ้อนมีหน้าที่จ่ายตลาดมาทำกับข้าว

คนเหล่านี้ทำงานรับใช้คุณตาคุณยายมานาน มีเรือนแถวให้อยู่อย่างสบายทุกคน...ส่วนมากแต่งงานแต่งการและมีลูกหลานอยู่ที่นี่

สรุปแล้ว บ้านเราคึกคักไม่น้อยเลย ลูกๆ ของพวกเขาก็ใช่ย่อย อย่างอ้อย-ลูกสาวของน้าแถมคนขับรถน่ะ ดิฉันเห็นตั้งแต่เกิดจนป่านนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ

ดิฉันเองก็เด็กที่นี่ เติบโตที่นี่ แม่เป็นลูกสาวคนโตและเป็นสูตินารีแพทย์เช่นเดียวกับคุณพ่อดิฉันที่เป็นแพทย์ทางอายุรกรรม ดิฉันเองกำลังเรียนอยู่ปี 4 สาขาเศรษฐศาสตร์

เรื่องนี้คุณตาพอใจมาก ดิฉันเป็นหลานรักเชียวละ!

บ้านหลังนี้ฉันรักมาก เพราะสวยงาม อบอุ่น มีสนามให้วิ่งเล่น และมีศาลาท่าน้ำริมคลอง ดิฉันชอบนั่งชมทิวทัศน์ตอนเย็นๆ ข้ามคลองไปฟากโน้น ห่างกันไม่กี่วา เป็นที่ดินซึ่งเจ้าของปล่อยให้รกร้างมาหลายสิบปีแล้ว มันเลยดูเหมือนป่าละเมาะ และมีต้นไม้อยู่ตลิ่ง

ตอนกลางคืนมีหิ่งห้อยบินส่องแสงวิบวับ เวลาเดือนหงายเราชอบมานั่งเล่นที่นี่...เราจะดับไฟมืดนะคะ แสงจันทร์จะส่องทุกอย่างให้ดูกระจ่าง มลังเมลือง สวยกว่าไฟฟ้าเป็นไหนๆ

บ้านเราสงบสุขค่ะ ถ้าไม่มีเสียงทะเลาะของตาจักรกับยายอ้อน อย่างที่เล่ามาแต่แรก ยายอ้อนมักจะหายตัวไปตลอดคืน เพื่อเล่นไพ่กับเพื่อนบ้าน แกกินเหล้าด้วยซิคะ ตาจักรอับอายขายหน้ามาก บอกให้เมียแกทำตัวดีๆ แต่พูดทีไรก็ทะเลาะกันทุกที

นี่ถ้าไม่เกรงใจคุณตาละก็มีหวังบ้านเปิง

ยายอ้อนเคยเอาที่เขี่ยบุหรี่ขว้างหัวตาจักรหัวแตกด้วยละค่ะ!

จริงๆ แล้วตาจักรแกรักยายอ้อนมาก ทั้งคู่ไม่มีลูก ยายอ้อนเป็นหมัน แต่อยู่กันมาจนบัดนี้ตาจักรก็ไม่มีใคร ไม่เคยมีเมียน้อย ไม่เคยทำให้ยายอ้อนช้ำใจ

ตาจักรเป็นคนโรแมนติกมากนะคะ อารมณ์อ่อนไหวและขี้ใจน้อย!

วันที่เกิดเหตุ แกทะเลาะกับยายอ้อนด้วยเรื่องไพ่นี่แหละ ยายอ้อนถึงกับลุโทสะตบตีผัวและด่าทอเสียๆ หายๆ

เย็นนั้น ตาจักรพายเรือเล็กข้ามฟากไปฝั่งโน้น ยายอ้อนไม่สนใจ พวกเราก็เช่นกัน นึกว่าแกคงอยากไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ให้ห่างผู้คน

ที่ไหนได้...รุ่งขึ้นมีคนพบศพแกแขวนต่องแต่ง ลิ้นจุกปาก ตาถลนอยู่กับต้นไม้ใหญ่ริมคลองต้นนั้น มองจากศาลาริมน้ำจะเห็นได้ชัดเจนเลยละ...แกตายประชดเมียแกค่ะ น่าสงสารที่สุด

ยายอ้อนไม่เป็นอันกินอันนอน ตอนมีชีวิตอยู่ด้วยกันแกไม่เคยเห็นคุณค่าของตาจักร แต่เมื่อสูญเสียไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้ ยายอ้อยก็เพิ่งได้สำนึก

คนทั้งบ้านสงสารและอาลัยตาจักรมากมาย พอๆ กับกลัวผีแกจับใจ!

ดิฉันเองไม่กล้าลงไปที่ศาลาท่าน้ำเลย ได้แต่มองไปจากหน้าต่างห้องนอน โอย...คุณคะ มันวังเวงน่ากลัวพิลึก แถมดิฉันยังอดมองไปที่ต้นไม้นั่นไม่ได้...โดยเฉพาะกิ่งที่ตาจักรผูกคอตาย...

มองทีไรก็พานเห็นร่างแกห้อยต่องแต่ง มันติดตาไม่ลบเลือนเลย!

ตั้งแต่วันที่แกตาย หมาหอนอย่างโหยหวนทุกคืน...เขาว่าหมาหอนเพราะมันวังเวงใจ หรือเห็นผีใช่ไหมคะ?

หมาบ้านเรา 5 ตัว โก่งคอหอนซะเราแทบไม่ได้หลับได้นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนตี 2 กว่าๆ ซึ่งเราคาดว่าตาจักรคงปลิดชีวิตตัวเองเวลานั้น ทุกคืน...พอได้เวลา หมาทางฝั่งโน้นจะเริ่มต้นโก่งคอ แล้วหมาตัวอื่นๆ ในละแวกนี้ก็จะหอนตามกันเป็นทอดๆ ดิฉันนอนห้องแอร์ เสียงยังลอดเข้ามาจนต้องอุดหู

ในเสียงหอนระงมนั้น หูดิฉันไม่ได้แว่วไปเองแน่...มันมีเสียงผู้ชายแก่ๆ ร้องไห้อยู่ด้วย...ผีตาจักรน่ะซีคะ! บรื๋ออออ....

ทุกคนในบ้านรวมทั้งคนแถวนี้ลือกันทั่ว ได้ยินกันทั้งนั้น...เล่นเอาขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!

วันก่อน หลังจากตาจักรตายได้ราว 3 เดือน มีเด็กวัยรุ่นที่พายเรือผ่านตอนค่ำๆ เห็นร่างแกห้อยกับกิ่งต้นไม้ เด็กนั่นโวยวาย จับไข้ไม่สบายไปหลายวัน ละเมอเพ้อพกน่ากลัวมากเลยค่ะ

คุณตานิมนต์พระมาทำบุญหลายครั้ง เสียงร้องไห้ของผีตาจักรก็ยังไม่หายไปซะที แกคงจะทรมานมากนะคะ

จนกระทั่งคุณตาให้ยายอ้อนไปจุดธูปที่ต้นไม้นั่น แล้วสาบานว่าจะเลิกเล่นการพนัน เลิกดื่มเหล้า...เสียงร้องไห้ลึกลับยามราตรีก็ค่อยๆ เงียบหายไป

ผีตาจักรยังคงมาให้คนในบ้านเห็นอยู่เสมอ แกเป็นห่วงหลายอย่าง ไม่น่าด่วนฆ่าตัวตายเลยนะคะ....ดิฉันพูดกับลมกับแล้งเสมอให้แกไปสู่สุคติ อย่าอาภัพอย่างชาตินี้อีกเลย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550

10 พฤศจิกายน 2558

บ้านผีสิง

"นายออฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปลองของ

เมื่อก่อนผมไม่เคยกลัวผีเลยครับ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วผมอายุ 17 ปีพอดิบพอดี ใกล้จะจบ ม.6 อยู่แล้วละ เป็นเพราะความซนแท้ๆ ทำให้ทุกอย่างผันแปรไปหมด

ใช่แล้ว ผมถูกผีหลอกอย่างจัง...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วคราวนี้!

ผมเรียนแผนกวิทย์ครับ ก๊วนผมมีสนิทๆ กัน 4 คน คือ ผม เจ้าชา เจ้าอาร์ตและเจ้าบอย...เราทำคะแนนได้ดีๆ กันทุกคน พ่อแม่สบายใจหายห่วง ไม่ต้องมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช และไว้ใจให้เรารับผิดชอบตัวเอง ที่สำคัญพวกเราไปสมัครสอบตรง ผลก็คือได้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยเรียบร้อย ไม่ต้องกังวลกับ เอ-เน็ต โอ-เน็ต....เฮ้อ!

ปลายภาค เรากำลังทุ่มเทกับการทำหนังสือรุ่นกัน ผมขอแม่ไปค้างบ้านเจ้าชาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แน่ละ! เราอยู่กันที่บ้านนั้นพร้อมหน้าทั้ง 4 หน่อ...

ทีแรกก็อยู่กันดีๆ ไม่มีอะไร...เจ้าชาคงคิดว่าชีวิตมันจืดชืดไปหน่อย ก็เลยหาเรื่องตื่นเต้นให้เราทำ มันเริ่มด้วยการบอกว่า...ในซอยบ้านมันนี้มีบ้านผีสิงด้วย...เอาละซี เพื่อนเรา!

ผมเห็นแล้วละครับ บ้านสีขาวๆ โทรมๆ อยู่ถัดไปทางท้ายซอย ตรงหัวโค้งที่เป็นทางสามแพร่งนั่นน่ะ เลยไปหน่อยเป็นร้านชำ ตอนกลางวันมีส้มตำไก่ย่างเจ้าอร่อย ผมเห็นบ้านหลังนั้นตอนไปซื้อไก่ย่างเมื่อก่อนเที่ยง มองเข้าไปก็น่ากลัวเอาการอยู่...มีต้นหญ้าแห้งๆ ขึ้นสูง แต่ก็ไม่ทึบหรือรกเรื้อนักหรอกครับ เพราะส่วนใหญ่มันแห้งตายไปหมดแล้ว

ชาเล่าว่าบ้านนี้ร้างมานานหลายปีดีดัก ตั้งแต่มันจำความได้ก็ไม่เคยเห็นใครอยู่เลย

คนซอยนี้เขาลือกันว่าผีดุ เขาว่ามันเป็นบ้านที่มีคนฆ่าตัวตาย ที่จริงเคยมีคนมาเช่าแต่อยู่ไม่ได้ โดนผีหลอกเผ่นแน่บทุกรายไป สุดท้ายก็เลยทิ้งร้างไว้เฉยๆ

ตอนที่ผมมองเข้าไป คิดว่าตาไม่ฝาดนะ ผมเห็นใครบางคนเดินแว่บๆ อยู่ข้างใน ไม่รู้เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะเห็นแต่เงาดำๆ มันอาจเป็นพวกคนติดยา หรือคนจรจัดก็ได้ละมั้ง? พอผมบอกเจ้าชา มันก็บอกว่าไม่จริงหรอก ไม่มีใครกล้าเข้าไปในบ้านนั้นแน่ๆ

แต่...คืนนี้มันจะพาพวกเราเข้าไป!

พวกเราไม่กลัวผีเพราะไม่เชื่อว่ามันมีผีจริงๆ ในโลกนี้ แต่เราก็สนุกที่จะไปเที่ยวในบ้านผีสิง หรือฟังเรื่องผี เดอะช็อค คราวด์ ของี่ป๋องทุกคืนวันเสาร์-อาทิตย์

ผมนึกสนุกขึ้นมาทันทีที่เจ้าชาชวนไปนั่งเล่าเรื่องผีกันในบ้านผีสิง รับรองได้ว่าปลอดภัย และไม่รบกวนใคร

คืนนั้นเราก็ขี่จักรยานไป บ้านหลังนั้นอยู่ห่างจากบ้านเจ้าชาไม่ถึงร้อยเมตร ไฟถนนก็สว่าง เราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย นอกจากโลชั่นทาตัวกันยุงกัด และน้ำดื่มคนละขวด...มันน่าสนุกจริงๆ ครับ

ที่ที่เราไปนั่งเล่าเรื่องผีกัน คือโต๊ะหินกลมที่ตั้งอยู่ริมสนาม ติดกับเทอร์เรซหน้าบ้าน และประตูกระจกที่เปิดเข้าสู่ห้องรับแขกก็อยู่ห่างไปแค่ราวสามเมตรกว่าๆ ผมละเสียวไส้กับประตูนี้มาก แม้จะไม่กลัว แต่ก็ลุ้นระทึกทุกครั้งที่มองเข้าไป...บานประตูไม่ได้ปิดสนิท แต่เปิดห่างจากกันราวสองคืบ

ผมรู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น!

ตีหนึ่งครึ่งแล้ว พระจันทร์ดวงกลมโตสว่างจ้าลอยอยู่เกือบกึ่งกลางฟ้า ค่อนไปทางทิศตะวันตก แสงจันทร์กระจ่างมากจนเรามองเห็นหน้ากันชัดเจน มันเป็นแสงไฟถนนด้วยละ แต่ถึงยังไงมันก็ไม่เหมือนเห็นกันตอนกลางวัน ภายใต้แสงไฟในบ้าน คือมันจะเป็นสีเงินยวงแปลกๆ และหลอนๆ

บอยกำลังเล่าเรื่องผีในโรงแรม ขณะที่ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนั้น...

เธอผอมบอบบางสูงราว 160 ผมยาว ใบหน้าเรียว คางแหลม อายุคงไม่เกิน 20 ปี ผมเห็นชัดขนาดนั้น...เธอสวมชุดนอนคล้ายไนลอนสีขาวๆ ยาวแค่ครึ่งน่อง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาะประตูอยู่ในระดับไหล่

เธอจ้องมองเราตาคว่ำนิดๆ ปากยิ้มหน่อยๆ คล้ายขำอะไรอยู่ไม่รู้

สีหน้าของผมทำให้เพื่อนๆ อีกสามคนหันไปมองบ้าง อาร์ตร้องเฮ้ย! แต่บอยกับชาต้องงุนงงทั้งคู่ พวกเขาไม่เห็นใครอยู่ที่ประตูบ้านตรงนั้นเลย!

ผมรู้สึกสับสน ใจหนึ่งคิดว่าไม่ใช่ผีหรอกน่า...ผีไม่มีจริงในโลกสักหน่อย! เธออาจเป็นเจ้าของบ้าน แต่อีกใจหนึ่งแย้งว่า มีเหตุผลหน่อยซิ บ้านแบบนี้ไม่มีคนอยู่แน่ๆ เธอคนนี้เป็นใคร มาจากไปน มาทำอะไรที่นี่?

ทำไมแต่งตัวอย่างนี้...ทำไมมายืนมองพวกเราแบบนี้?!

เธอมีบางอย่างผิดปกติ ผมใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะตระหนักชัดว่า...สิ่งผิดปกตินั้นคืออะไร? เธอไม่มีขาครับ! ไม่มีขาทั้งสองข้าง!!

ใต้ขอบชุดนอนลงมาไม่มีอะไรเลย...เธอยืนอยู่ได้ยังไง? เธอลอยอยู่แท้ๆ

"ไม่มีขา..." ผมพึมพำ รู้สึกชาวูบเหมือนมีพลังไฟฟ้ามาปะทะจนซ่าไปทั้งตัว

พวกเราค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเรียบร้อย บอยกับชายังไม่เห็น แต่ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อาร์ตกับผมไม่ได้แกล้งซีดและสั่นเทาเป็นลูกนกตกน้ำอย่างนี้หรอก ถ้าไม่ตกใจจนช็อกจริงๆ ภาพที่เห็นน่ากลัวสุดบรรยาย เธอยังเกาะประตูจ้องดูเราเหมือนภาพนิ่ง ผมเดินถอยหลัง มีเพื่อนๆ เกาะกลุ่มอย่างเหนียวแน่น...ผมจ้องเธออยู่อย่างนั้นไม่ให้คลาดสายตา ใจริกๆ ข่มตัวเองไม่ให้โวย ไม่ให้วิ่งเตลิดตามใจคิด

"อย่าวิ่งนะ! อย่าวิ่ง..." บอยกับชาพูดเสียงดังเหมือนจะข่มความกลัว...นานเท่าไหร่ไม่รู้ ผมมารู้ตัวอีกทีตอนซ้อนจักรยานของชา บอยซ้อนจักรยานกับอาร์ต แล้วก็กลับถึงบ้านเจ้าชาอย่างปลอดภัย...ผมจับไข้หนาวสั่นทันที

นั่นละครับ ตั้งแต่นั้นมาผมกลายเป็นคนกลัวผีไปเลย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2550

09 พฤศจิกายน 2558

ผีเฝ้าบ้าน

"เพิ่มถาวร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากข้างบ้าน

บ้านผมอยู่ในซอยแห่งหนึ่งแถวรังสิต ถิ่นที่อยู่อาศัยแถบนี้ไม่ใช่หมู่บ้านจัดสรรแต่เป็นที่ดินที่มีเจ้าของ ถ้าไม่ใช่ได้จากการซื้อขายก็เป็นมรดกตกทอด และต่างก็ปลูกบ้านอยู่กันมาเป็นเวลาอันยาวนาน ส่วนใหญ่นับอายุได้หลายสิบปี คือตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดโน่น

แน่ละครับ! ทุกๆ หลังย่อมจะต้องมีอดีตความทรงจำ ผ่านร้อนผ่านหนาวและเรื่องราวมากมาย!

ผมอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะที่นี่เป็นบ้านของคุณตาคุณยาย แม่ผมแต่งงานแล้วก็ขอให้พ่อมาอยู่ด้วยเพราะไม่อยากจากไปไหน นับจากวันนั้นจนวันนี้ผมก็ออกมาดูโลก และเติบโตจนอายุ 20 ปีแล้ว เรายังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข

บ้านนี้น่ะเหรอครับ? อายุเกือบ 40 ปีแล้ว!

ข้างบ้านผมก็เก่าแก่พอกัน...เจ้าของบ้านคือคุณจรุงกับคุณยายศรีเพชร น่ารักน่าเคารพทั้งคู่ เราเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันมาก ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแหละครับ พูดไปอีกทีก็คือ...ถึงไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แค่เรามีรั้วเดียวกัน...เป็นรั้วไม้ระแนงเตี้ยๆ ทำกั้นเขตบ้านไว้พอเป็นพิธี แถมยังเจาะเป็นประตูสวนบานเล็กๆ ให้เปิดถึงกันได้ซะอีกแน่ะ

ประตูนี้มีประวัติครับ คือเมื่อตอนที่แม่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ นั้น ลูกๆ ของคุณตาจรุงก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน ชอบเล่นด้วยกันมาก คุณตาเลยเจาะประตูให้ไปมาหาสู่กันสะดวกๆ ไม่ต้องปีนรั้ว...ผลพลอยได้อีกอย่างคือ คุณยายของเราทำกับข้าวส่งให้กันอย่างมีความสุข!

เวลาผ่านไปทำให้หลายสิ่งหลายอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ ลูกของคุณตาจรุงอยู่ที่บ้านนี้เพียงคนเดียว...คุณตามีลูก 3 คนนะครับ ผมรู้ว่าไปอยู่อเมริกากันเหลือแต่น้าพลอยเท่านั้นที่อยู่ทางนี้ เหมือนกับแม่ผมที่มีพี่น้อง 3 คนเช่นกัน ลุงต๋อยกับป้าตุ๊กแต่งงานแล้วก็แยกไปมีบ้านของตัวเอง เหลือแต่แม่อยู่กับคุณตาคุณยาย

หลายสิ่งเปลี่ยนไป แต่ประตูบานเล็กที่รั้วไม้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม...ผมเดินเข้าเดินออกตามสบาย จริงๆ แล้วผมไปส่งขนมหรือไม่ก็กับข้าวคุณยายผมให้คุณยายศรีเพชรน่ะครับ บางทีก็ไปใช้อินเตอร์เน็ตของน้าพลอยค้นรายงาน เวลาที่เน็ตบ้านผมเจ๊ง

วันหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง...คุณตาจรุงกับคุณยายและน้าพลอยต้องไปอเมริกา ไปเยี่ยมป้าแพรวที่ป่วยต้องผ่าตัด บ้านปิดเอาไว้เฉยๆ ไม่มีใครอยู่เลยตั้งเดือนหนึ่งแน่ะครับ

คุณยายศรีเพชรบ่นแบบคนห่วงหน้าห่วงหลัง คุณยายกับแม่ผมต้องบอกให้สบายใจ พวกเราจะดูแลบ้านให้ไม่ต้องห่วง! ท่านฝากกุญแจไว้กับแม่ผม เพราะจะมีคนมาทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง เป็นคนรับใช้ของญาติ...ความจริงจะให้อ๋อย-เด็กบ้านเราไปช่วยกวาดถูก็ได้ แต่ท่านเกรงใจ บอกว่าแค่เป็นหูเป็นตาให้ก็บุญคุณเหลือหลายแล้ว

หลังจากนั้นราว 6-7 วันก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!

คืนนั้นราวสัก 4 ทุ่มเห็นจะได้ เป็นคืนวันเสาร์ หมาบ้านเรา 3 ตัวพากันเห่าเสียงขรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เห่าเสียจนเราไม่สบายใจว่าอาจจะมีขโมยเข้าบ้าน

ผมลุกไปดูที่หน้าต่างแล้วก็เห็นพวกมันหันหน้าไปทางบ้านคุณตาจรุง ทุกตัวโก่งคอหอนเอาเป็นเอาตาย แต่ขณะเดียวกันก็ถอยหนี...พ่อผมใช้ไฟฉายส่องไปทางบ้านนั้น กราดไปทั่วๆ เราเห็นแต่ต้นไม้ ลานเทอเรซหน้าบ้าน เก้าอี้เหล็กดัด โต๊ะกระจกและเงาสะท้อนจากประตูกระจกบานเลื่อน...ดูจากภายนอกไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หมาไม่หยุดเห่า

สักพักหนึ่ง อ๋อย-สาวใช้ในบ้านเราก็หน้าตาตื่นมาบอกแม่ผมว่า...เห็นใครก็ไม่รู้เดินวนเวียนอยู่ในบ้านคุณตาจรุง!

หน้าต่างห้องนอนของอ๋อยอยู่ในมุมและระยะที่ชะเง้อมองเข้าไปในบริเวณห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกบ้านนั้นได้สบายๆ ม่านภายในรูดเปิดทุกด้าน ไฟถนนก็สว่างพอที่จะส่องให้เห็นทุกอย่างในห้องนั้นได้สลัวๆ

เราเข้าไปในห้องอ๋อย ปิดไฟเพื่อจะได้มองไปได้ชัดๆ

จริงๆ ด้วยซิครับ! ผมตกใจจนขนลุก เพราะเห็นเค้าโครงร่างของผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างสะโอดสะอง ผมยาวแค่บ่า ใส่ชุดหลวมๆ แบบชุดอยู่บ้าน เดินไปเดินมาคล้ายเก็บจานจากโต๊ะกินข้าวไปล้างที่ซิงก์ หยิบผ้ามาเช็ดถูกตามเคาน์เตอร์ เหมือนเธอทำงานบ้านปกติ...และทำอยู่ในความมืด เห็นแล้วน่ากลัวชะมัด

คนธรรมดาที่ไหนจะทำตัวน่ากลัวแบบนี้? อยู่ในบ้านตามลำพัง ปิดไฟมืด แต่ทำกิจวัตรเหมือนเป็นตอนกลางวันหรือไฟสว่างอย่างหน้าตาเฉย มันผิดธรรมชาติเอามากๆ

หลังจากเพ่งดูอยู่อึดใจ คุณยายก็จับแขนผมดึงออกมาจากหน้าต่าง มือนั้นเย็นเฉียบบอกอ๋อยด้วยเสียงแหบๆ ให้ปิดหน้าต่างบานนั้นแล้วเข้านอนซะ

"ไม่ต้องไปดูเขาอีกนะ! ไม่มีอะไรหรอก...ดีแล้ว สบายใจดีเหมือนกัน ไม่มีขโมยขโจรที่ไหนเข้าไปได้หรอก รับรอง!"

คุณยายกับคุณตามองหน้ากัน ส่วนแม่ผมทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เอามืออุดปากตัวเองอย่างตกใจ พ่อถามว่ามีอะไรเหรอ? แม่ก็สั่นหัวเป็นเชิงว่ายังไม่อยากพูดตอนนี้...แม่ขนลุกเกรียว ตัวสั่นจนเห็นได้ชัด

ผมมารู้ภายหลังว่า ผู้หญิงที่เดินในบ้านมืดๆ นั่นที่จริงเป็นคนที่ตายไปแล้ว เธอคือคุณเพ็ญ-ลูกสาวคนโตของคุณตาจรุง เสียชีวิตเมื่ออายุ 25 ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ เรื่องมันนานมาแล้วจนไม่มีใครพูดถึง และผมก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่าคุณตาจรุงมีลูกสาว 4 คน ไม่ใช่ 3 คน

คุณเพ็ญคงมาเฝ้าบ้านให้พ่อแม่ ขณะที่ท่านไปเยี่ยมลูกคนอื่นๆ น่าขนลุกที่วิญญาณเธอยังอยู่ทั้งๆ ที่ตายมานานแสนนาน แถมยังรัก ยังเป็นห่วงเป็นใยจนเกิดปฏิกิริยาแบบนี้...ร่างกายสิ้นสลาย แต่ความรักยังอยู่เหมือนเดิมจริงๆ นะครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2550

08 พฤศจิกายน 2558

ไปขอหวย

"ชลาลัย" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อไปขอหวยจากคางคก

ดิฉันเป็นชาวดาวคะนอง ธนบุรี สงสัยว่าชื่อตำบลนี้เขียนอย่างไรแน่? เพราะมีทั้ง "ดาวคะนอง" และ "ดาวคนอง" เหมือนกับตำบลอื่นหลายแห่งในกรุงเทพฯ เช่น "ประดิพัทธ" ก็มี "ประดิพัทธ์" ก็มี ทั้งๆ ที่เป็นป้ายของทางราชการนะคะ

"แคราย" กับ "แคลาย" ควรจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระยะหลังนี้คำว่า "แคลาย" ค่อยๆ หายไปแล้ว เหลือแต่ "แคราย"

"สาทร" ก็เหมือนกันค่ะ! เคยใช้ "สาธร" มาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย จู่ๆ ก็มาเปลี่ยนเป็น "สาทร" อ้างว่าเป็นชื่อที่ถูกต้องมาแต่เดิม เลยต้องกลับไปเขียนให้เหมือนของเก่า! ถ้างั้นทำไมไม่เปลี่ยนให้หมดทุกชื่อย่านตำบลเลยล่ะคะ?

"วัวลำพอง" เพี้ยนเป็น "หัวลำโพง" ก็ต้องกลับไปเขียนว่า "วัวลำพอง"

"สามแสน" เพี้ยนเป็น "สามเสน" เห็นจะต้องเขียนใหม่ว่า "สามแสน"

ถ้าคิดว่านอกเรื่องก็ขอกลับไปที่ดาวคะนองอีกครั้ง เพราะเกิดเรื่องขนหัวลุกเมื่อเดือนสิงหาคม ฤดูฝนที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ นี่เอง

เพื่อนบ้านดิฉันสมัยก่อนกับสมัยนี้มีกิจกรรมพิเศษที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบเล่นการพนัน โดยเฉพาะ "เล่นหวย" เป็นชีวิตจิตใจ ทุกลมหายใจเข้าออกดูเหมือนจะมีแต่คำว่า "เล่นหวย" โดยเฉพาะ "งวดนี้ตัวไหนจะมา?" กับ "หวยจะออกอะไร?"

ในหมู่บ้านมีต้นประดู่เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่ง ขึ้นอยู่ข้างบึงน้ำเขียวๆ มีทั้ง ฉำฉา, พุทรา, มะขามเทศ กับไม้ล้มลุกอื่นๆ ขนาดกลางวันแสกๆ ก็ยังดูเปล่าเปลี่ยวไม่น่าเชื่อ

ชาวบ้านไปขอหวยที่ต้นประดู่กันค่ะ! ร่ำลือว่าให้หวยแม่นเป็นพิเศษ มีทั้งผ้าสีสวยๆ พันรอบโคนต้น กับตุ๊กตาไม้และดินเผาเกลื่อนกลาด ของแก้บนไงคะ!

นอกจากจะให้หวยแล้วยังขอให้ทุกอย่าง ไม่ว่าเจ็บไข้ได้ทุกข์ ผัวไปมีเมียน้อย หรือลูกชายจะไปเกณฑ์ทหาร แม้แต่ของหายก็บนกับต้นประดู่ คิดว่าได้ผลกันหลายรายแล้วถึงได้มีของแก้บนมากมาย

เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะ เพราะเคยมีแต่ต้นโพธิ์ต้นไทร อย่างเก่งก็ต้นตะเคียน เรียกกันว่าเจ้าพ่อโพธิ์ เจ้าพ่อไทร เจ้าแม่ตะเคียนทอง...แต่นี่เป็นต้นประดู่ อาจจะเป็นของใหม่หรือชื่อยาวไปก็ไม่ทราบ เลยเรียกว่า "เจ้าพ่อ" เฉยๆ

เขาว่าไม่มีใครจะอุตริ วิตถาร พิลึกพิเรนทร์เท่ากับพวกขอหวยอีกแล้ว!

จะต้องบุกป่าฝ่าดง เข้าไร่เข้าสวนเปลี่ยวแค่ไหนก็ไม่ย่อท้อ ขนาดต้องเข้าป่าช้ากลางดึกที่มีแต่คนส่ายหน้าสยดสยอง นักเลงหวยก็บุกบั่นเข้าไปหน้าตาเฉย ขอให้มั่นใจว่าจะได้หวยตัวเด็ดๆ มาแทงเถอะ

สมัยดิฉันยังเด็กๆ มีแต่เรือกสวนเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนมีน้อย บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว เสียงยอดมะพร้าวกวัดแกว่งซู่ซ่าน่าวังเวงใจ กลางคืนก็มีสายลมคร่ำครวญกับยอดไม้ นกเค้าแมวกับค้างคาวออกหากิน ชาวสวนต้องชักตะขาบไล่กันเกรียวกราวเป็นประจำ

พวกคอหวยบุกบั่นเข้าไปในป่าช้า เห็นว่าถูกผีหลอกจนต้องร้องเอะอะโวยวาย วิ่งกระเซอกระเซิง ล้มลุกคลุกคลานไปตามๆ กัน บางคนถึงกับพลัดหล่นลงไปในตู้เย็นเฉียบ วิ่งตะโพงอยู่ในน้ำ ร้องว่าผีหลอกๆ แทบจะขาดใจก็มีค่ะ

การขอหวยพิสดารสุดขีดเท่าที่เคยรู้เห็นมาก็คือ ขอหวยจากคางคก!

ไม่ใช่คางคกแปลกประหลาดชนิด 5 ขา 2 หัว หรือตัวเป็นคางคก แต่มีหัวเป็นหมู หางเป็นแมวนะคะ คางคกธรรมดานี่แหละ ก่อนถึงวันหวยออกราว 2-3 วันจะไปชุมนุมกันที่บ้านยายไล้แถวท้ายวัด ใกล้ๆ กับบึงร้าง แหนเขียวๆ แทบจะเน่า อยู่ใกล้กับต้นประดู่ ต้นฉำฉา มะพร้าว มะขามเทศนั่นแหละค่ะ

หลังบ้านยายไล้มีเล่าไก่เก่าๆ ใกล้พัง มีลานแคบๆ เคยเป็นที่ชุนแห ซักผ้า ฝูงไก่ คุ้ยเขี่ยหากินอยู่ราว 3-4 ตัว ถ้ามีลูกเจี๊ยบก็มากหน่อย

ยายไล้เป็นนักแสดงหวยตัวฉกาจประจำตำบล ไม่ว่าจะเห็นอะไรแกตีเป็นหวยหมด ทั้งขี้เถ้าธูปหงิกงอ น้ำตาเทียน หยดน้ำมนต์ จิ้งจกทัก ตุ๊กแกร้องหมากัดกัน...ถ้าเกิดฝันขึ้นมายายไล้เป็นเก็บเอามาตีหวยได้หลายๆ ตัว ถูกก็มี ผิดก็มี แต่ที่แน่ๆ คือผิดมากกว่าถูก

วันดีคืนดี ยายไล้ก็ริอ่านขอหวยจากคางคกขึ้นมา!

กรรมวิธีสุดแปลกพิสดาร ไม่เคยพบเคยเห็น แต่พวกคอหวยล้วนตื่นเต้นกันทุกคน

นั่นคือ ยายไล้ฝันเห็นคางคกยักษ์ที่โคนต้นประดู่ศักดิ์สิทธิ์ ตื่นขึ้นก็รีบไปดูจนเห็นเข้าจริงๆ แกเอาสุ่มครอบไว้แล้วมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง...เมื่อไปดูก็เห็นคางคกตัวใหญ่ขนาดชามข้าว ผิวหนังขรุขระเหมือนคางคกทั่วๆ ไป

วันนั้นฟ้าครึ้มมาแต่บ่าย เมฆหนาทึบลอยต่ำ ลมพัดอู้ๆ แต่พวกนักเลงหวยที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่แยแส ยายไล้มีกระป๋องนมใส่แป้งมาจากบ้าน สั่งให้คนอื่นๆ คอยล้อมคางคกไว้แล้วเปิดสุ่มออก จัดการเทแป้งลงบนหลังคางคกแล้วช่วยกันประแป้งให้มันอย่างรวดเร็ว

จุดหมายก็คือ เพื่อดูแลเลขเด็ดจากแป้งขาวๆ บนผิวหนังตะปุ่มตะป่ำของคางคกนั่นแหละค่ะ เสียงพึมพำดังแซดว่าเห็นเลขนั้นเลขนี้ ตั้งแต่ 0 ถึง 9 เห็นหมด

ทันใดนั้น ฟ้าแลบวาบ ยังไม่ทันตั้งหลักก็ผ่าเปรี้ยงลงมา 2 ครั้งติดๆ กัน รู้สึกเหมือนแก้วหูแทบแตก ตกใจจนหงายหลังตึง คางคกเจ้ากรรมพองอืดตัวเกือบเท่าแมวอ้วนๆ แผดร้องเสียงเหมือนคน...โอ๊ย!

เท่านั้นแหละค่ะ เผ่นกระเจิงกันไม่รู้เหนือรู้ใต้ บางคนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย บางคนวิ่งวนอยู่รอบบึงร้าง เสียงแผดร้องโวยๆ เหมือนเจ๊กตื่นไฟ...จับไข้กันไป 2 คน ที่เหลือสาบานว่าจะเลิกเล่นหวยไปชั่วชีวิต...ยายไล้เองอาการหนัก นอนเพ้อถึงคางคกได้ไม่นานก็ขาดใจตาย!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550

07 พฤศจิกายน 2558

ศพคนเป็น

"เอกยุทธ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อมีคนน่ากลัวอยู่ในบ้าน

ต้อยเป็นเด็กสาวจากที่ราบสูง อายุแค่ 16 ปี หน้ากลม ตัวเล็ก เตี้ยนิดเดียว แต่ยิ้มแย้มแจ่มใสและขยันขันแข็ง เธอเป็นคนรับใช้บ้านเรา แม่ผมถูกอกถูกใจเธอมากจนไม่อยากให้หลุดไม้หลุดมือลาออกไปอยู่ที่อื่น

ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งจึงเกิดเรื่องขนพองสยองเกล้าขึ้นในบ้านผมเอง!

วันนั้น สาวต้อยผู้ร่าเริงกลับมีอาการหน้าดำคร่ำเครียด ไม่พูดไม่จา ทำท่าเหมือนคนยิ้มไม่เป็น ผิดจากต้อยคนเดิมไปเลย พอแม่ผมถามสาเหตุเข้าเท่านั้นแหละ น้ำตาเม็ดเป้งๆ ไหลพรูเหมือนไขก๊อกทันที...เธอบอกว่าต้องกลับบ้านนอกไปดูแลแม่ที่เจ็บออดๆ แอดๆ แม่ไม่สบาย ที่บ้านเธอตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่เลย! พี่สาวที่เคยดูแลก็เกิดได้งานในกรุงเทพฯ เสียแล้วโทร.บอกให้เธอกลับด่วน

เอาละซิ! แม่ผมถึงกับหน้าเสีย บ้านเรามีผู้ช่วย (แม่บ้าน) เพียงสองคน คือเจ้าต้อยคนนี้กับป้าไฝซึ่งเป็นแม่ครัว ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แถมมาเช้าเย็นกลับ

แกมีหน้าที่จ่ายกับข้าว ทำกับข้าว ส่วนต้อยรับเหมาทุกอย่าง ตั้งแต่กวาดบ้านถูกบ้าน ซักรีดเสื้อผ้า ล้างถ้วยล้างจาน ถ้าขาดต้อยไป แม่ผมก็ต้องทำเองหมดจนกว่าจะหาคนใหม่ได้

แหม! หายากด้วยซิ สมัยนี้พวกหล่อนเรียกเงินเดือนแพงๆ สี่ซ้าห้าพันแน่ะ...คนใช้ลาออกทีไร แม่ผมความดันขึ้นทุกที ยิ่งเป็นต้อยด้วยแล้ว แม่ยิ่งทำท่าคล้ายจะเป็นลม!

พอตั้งสติได้ แม่ก็เจรจาหาทางออกกับต้อย ผมไม่ได้ฟังหรอกครับว่าพูดอะไรกันบ้าง แต่แค่ห้านาทีต่อมา ทั้งคู่กลับเปลี่ยนอารมณ์ตรงข้ามกับเมื่อครู่ก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งแม่และต้อยหัวเราะร่าเริงแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปัญหาหนักอกทั้งหลายอันตรธานไปในพริบตา!

ปรากฏว่าแม่บอกให้ต้อยพาแม่ของเธอมาอยู่ด้วยกันที่นี่เลย เพราะจริงๆ แล้วแกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่กินข้าวกินปลา

แม่พูดกับผมว่าดีเหมือนกัน เผลอๆ แกมาอยู่กรุงเทพฯ ใกล้มดใกล้หมอ แกอาจจะแข็งแรงและหายเป็นปกติได้ ฟังจากที่ต้อยเล่าแกเพิ่งห้าสิบกว่าๆ อ่อนกว่าป้าไฝตั้งเยอะ

สามวันถัดมา ต้อยก็ขนสัมภาระแม่มาอยู่บ้านเราเรียบร้อย

นึกย้อนไปถึงวันที่แกมาแล้วขนหัวลุกครับ!

วันนั้นแกมาแต่เช้าราวแปดโมง ลงแท็กซี่ที่ประตูรั้วบ้าน ที่จำได้เพราะเป็นวันเสาร์ผมไม่ได้ไปโรงเรียน และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

แกไม่ยอมเข้าบ้าน ต้อยมาบอกให้แม่ผมลงไปช่วย เพราะแม่เธอให้แม่ผมบอกศาลพระภูมิก่อน แกถึงจะเข้าบ้านได้!

แม่ต้อยชื่อ ป้าแสงทอง ตัวเตี้ยพอๆ กับต้อย แต่ผอม ดำ หน้าแหลม ผมบาง สีเทาแกมดำดูสกปรก รวบเป็นมวยไว้หลวมๆ จุดเด่นคือดวงตาหรี่เล็กเหมือนคนตาแฉะ ไม่ยอมมองหน้าใคร หรือเวลาเหลือบมองทีก็ดูพิกล ปากสีดำคล้ำบางเฉียบ และชอบยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์ยังไงอยู่

แกเดินไม่คล่อง ตัวแข็งๆ เหมือนข้อเกร็งไปซะทุกส่วน หมาบ้านผม 3-4 ตัวเห่าไปถอยไป แมวข้างบ้านที่ชอบมานอนบนหลังคา มันเห็นแกเข้าก็สะดุ้ง ผวาขึ้นยืนโก่งตัวทำขนพอง แยกเขี้ยวขู่ฟ่อ

ไม่รู้ว่าอุปาทานหรือเปล่า ทันทีที่แกย่างเท้าเข้ามา แสงแดดที่สดใสก็มัวซัวมืดครึ้มลงทันที เหมือนมีเงาประหลาดทาบเข้าไปทั่วบ้าน!

2-3 วันหลังจากนั้น ทุกคนในบ้านเงียบซึม มีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ ไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี มันแปลกมากครับ แม้แต่ตัวผมเองก็ยังสงสัยว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย? มันหวาดระแวงไปหมด กระทั่งตอนนอนก็กลัวอะไรไม่รู้

แม่ผมมีท่าทางไม่สบายใจ ไม่รู้คิดผิดหรือเปล่าที่ชวนป้าแสงทองมาอยู่บ้านเราแบบนี้ ทีแรกนึกว่าคนเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา แต่นี่...พูดตรงๆ ว่าเหมือนแกจะนำสิ่งอัปมงคลมาด้วยงั้นแหละ!

ป้าไฝซึ่งปากจัดอยู่แล้ว บ่นกระปอดกระแปดว่าเดินผ่านห้องต้อยแล้วเหม็นเน่า...แกฟ้องว่าป้าแสงทองจ้องแกอย่างน่ากลัวมาก

ต้อยเองก็สะดุ้งอย่างไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยๆ ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ขี้เล่นเหมือนเช่นเคย แถมออกจะกลัวๆ แม่ตัวเองอยู่ไม่น้อย...ผมสังเกตเห็นไฟห้องเจ้าหล่อนเปิดอยู่ตลอดคืนมาหลายคืนแล้วด้วย...

ในที่สุด เรื่องราวก็เฉลยออกมาแจ่มแจ้ง!

เมื่อพี่สาวต้อยมาเยี่ยม เธอแอบกระซิบแม่ผมว่า ป้าแสงทองนั้นอยู่ดีๆ ก็ล้มลงหมดสติเมื่อราว 2 เดือนก่อน พอไปดูก็พบว่าแกสิ้นลมหายใจ...แกตายแล้ว! ตายไปราวครึ่งวันก็ฟื้นขึ้นมาเองตอนพลบค่ำ แต่อากัปกิริยาไม่เหมือนเดิม

ทุกคนกลัวแก เด็กเล็ก หมูหมากาไก่ไม่ยอมเข้าใกล้ พี่สาวต้อยบอกทนไม่ได้ก็เข้ากรุงเทพฯ ทิ้งแกอยู่บ้านตามลำพัง แต่เมื่อโทร.บอกต้อยก็ทะเลาะกัน...เลยบอกว่า ถ้าห่วงนักก็ให้ต้อยมาดูแลแม่เอง

เป็นโชคดีของเราที่ผีดิบ...เอ๊ย! ขอประทานโทษ ผมหมายถึงป้าแสงทองอยู่บ้านเราไม่ได้นานนัก แกบอกเองว่าร้อน! พระพุทธรูปเยอะเหลือเกิน เจ้าที่ก็ดุ! แกขอกลับไปอยู่บ้านนอก ส่วนต้อยนั้นตกลงใจว่าไม่ไปดูแลแกหรอก แกอยู่คนเดียวได้

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ราว 3 เดือน ป้าแสงทองก็ตายจากโลกนี้ไปจริงๆ ไปแล้วไปเลย...ทิ้งปริศนาให้เราขบคิดว่า แกเป็นผีดิบ! จริง...หรือมั่วนิ่ม? แต่ก็ขนหัวลุกละครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่  7 พฤศจิกายน 2550

06 พฤศจิกายน 2558

ผีย้ายวัด

"หนูแนน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดอินทารามวรวิหาร

หนูเป็นเด็กวัดกลางค่ะ หรือวัดอินทาราม ที่มีรูปพระเจ้าตากสินขี่ม้าชูดาบอยู่เหนือประตู ก่อนถึงวัดกลางจะเป็นวัดเวฬุราชิน ถ้าเลยบ้านหนูไปก็คือวัดจันทราราม พวกเราถึงเรียกว่าวัดกลางไงคะ

เรื่องนี้แปลกอย่างที่ญาติๆ หนูแถวภาษีเจริญเขาบอกไม่ใช่หรอก พวกเขาเรียกวัดอินทารามว่าวัดใต้ หนูก็งง ไม่รู้จะถามใคร

ชื่อนั้นสำคัญไฉน?

แม้เรียกกุหลาบว่าชื่ออื่น ดอกของมันก็ยังหอมใช่ไหมคะ!

หนูอ่านเจอในหนังสือน่ะค่ะ ไม่ใช่คิดเองหรอก เดี๋ยวจะเข้าใจผิด นิสัยหนูชอบอ่านภาษิตคำคม บางทีก็ต้องจดไว้กันลืม อย่างเช่น

"ถึงจะปิดทองหลังพระ ก็ทำให้ท่านเป็นสุขได้เหมือนกัน"

"ท้องทะเลมีขอบเขต แต่ความต้องการที่ลึกซึ้งไม่มีขอบเขตเลย"

"แพ้อย่างนักกีฬา ดีกว่าชนะอย่างอันธพาล"

"ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ จำไว้เท่านี้ก็พอ"

แหม...หนูก็เขียนเพลินไปหน่อย บังเอิญหนูชอบคำคมเอาไว้สอนใจตัวเองค่ะ บางทียังจดไปให้เพื่อนๆ แต่เขาไม่สนใจกันหรอก บางคนอ่านแล้วก็แค่ยิ้มๆ บางคนหัวเราะแบบขำกลิ้งเลย แต่บางคนบอกว่า ขอบใจย่ะ ยัยบ้า!

เพื่อไม่ให้เสียเวลากับเรื่องส่วนตัวของหนูเอง ขอเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกให้ท่านฟัง (อ่าน) เลยนะคะ

เมื่อก่อนวันอินทารามบางยี่เรือผีดุมากที่สุด ไม่ว่าใครๆ เอ่ยถึงก็ทำท่าขนลุกขนพองกันทั้งนั้นแหละค่ะ คือมีประวัติว่าเขาเอาคนที่วางเพลิงเผาตลาดพลูมายิงเป้าที่หน้าวัดน่ะซีคะ มีตั้ง 2 คนแน่ะ เป็นพี่น้องหรือแซ่เดียวกัน พวกชาวบ้านอุ้มลูกจูงหลานมาดูกันมืดฟ้ามัวดินเลยละค่ะ

ตำรวจทหารก็มากันเต็ม คอยกั้นไม่ให้คนล้ำเข้าไปในเขตประหาร!

ทำไมเขาไม่ยิงเป้าในคุกบางขวางน่ะหรือคะ เขาบอกว่าต้องยิงเป้าให้ผู้คนในที่สาธารณะ พวกโจรผู้ร้าย ปล้น ฆ่า ข่มขืน วางเพลิง จะได้เกรงกลัว ไม่กล้าก่อกรรมทำเข็ญให้คนดีๆ ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป

อาจจะได้ผลนะคะ เพราะผู้ร้ายยุคนั้นหัวหดไปตามๆ กัน ใครใส่ทองเดินฉุยฉายก็ไม่ต้องกลัวโดนกระชากหรือฆ่า สาวๆ เดินตามตรอกซอยกลางค่ำกลางคืนก็ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีคนโรคจิตมาข่มขืน เรื่องไฟไหม้รับตรุษจีนก็เงียบหายไปเลย

ไม่เหมือนสมัยนี้นะคะ โจรผู้ร้ายชุกชุมยิ่งกว่าแมลงวันหน้ามะม่วงเสียอีก!

ไหนว่ายาบ้าลดลง หนูเห็นข่าวจับยาบ้าทีละเป็นพันเป็นหมื่นเม็ดทุกวัน ทำท่าว่าปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด คงพอๆ กับการพนันและหวยใต้ดินแหละนะคะ ตั้งแต่เลิกหวยบนดินมาได้ปีหนึ่งนี่ เจ้ามือหวยใต้ดินรวยกันใหญ่ ตำรวจก็พลอยรวยไปด้วย เอ๊ะ! ยังไง? มิน่าล่ะ ถึงไม่ยอมออกหวยบนดินซะที

อุ๊ย! ขอโทษค่ะ หนูกำลังเล่าเรื่องสยองขวัญแท้ๆ แต่กลับนอกเรื่องไปซะ...คือนักโทษประหารโดนยิงเป้าหน้ากำแพงวัด ชาวบ้านที่แห่มาดูเป็นลมเป็นสิบๆ คนแน่ะค่ะ

ญาติมารับศพไปแล้ว แต่เศษเลือดเศษเนื้อยังกระจายเต็มกำแพงวัด ที่มีรูกระสุนปืนด้วย พระเณรและเด็กวัดต้องออกมาช่วยกันเช็ดล้าง ทำความสะอาดจนเหงื่อตกไปตามๆ กัน

วิญญาณสองดวงก็สิงอยู่ที่นั่น!

แหม! ในวัดเองก็มีผีเยอะอยู่แล้ว มีคนโดนหลอกตอนเดินเข้าวัดแล้วเลี้ยวขวาไปทางโบสถ์วิหารที่มีรูปปั้นพระเจ้าตากสิน เสียงร้องเอะอะโวยวาย ตามด้วยเสียงวิ่งคึ่กๆ ออกมาถึงหน้าวัดแน่ะค่ะ ชาวบ้านแตกตื่นไปตามๆ กัน

ทีนี้มีวิญญาณผีตายโหงประจำการอยู่หน้าวัดอีก โอย...อะไรจะสยองปานนั้นล่ะคะ? เป็นหนูละไม่กล้าอยู่หรอก แต่ก็ยังมีร้านค้าหน้าวัดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เท่ากับมีคนเห็นผีตัวโชกเลือดเดินโงนเงนตอนดึกๆ แถวที่โดนประหารนั่นแหละค่ะ บางคนขับรถมาเห็นเข้าเล่นเอาพุ่งออกข้างทาง ปางตายไปเลยก็มี

ที่ร้ายมากคือลุงจัด คนแถวบ้านหนูขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน สมัยนั้นยังเปลี่ยวอยู่นะคะ ลุงจัดเห็นใครยืนขวางถนนตรงหน้าวัดก็บีบแตรให้รู้ อ้าว? กลายเป็นร่างสองร่างเดินทื่อเข้ามาหา ยื่นแขนมาข้างหน้าเหมือนผีในหนังจีน

แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นภาพนั้นเต็มตา!

สุดสยองที่สุดในชีวิต นักโทษประหารคู่นั้นเองค่ะ เลือดแดงเต็มอกเลย ลุงจัดจำได้แม่นเพราะแกไปยืนดูตอนเขายิงเป้าเหมือนกัน

ลุงจัดเล่าว่าหลับตาปี๋ กระทืบคันเร่งไม่รู้ตัว สองหูอื้ออึงแต่ได้ยินเสียงร้องโอ๊ย...รู้สึกเหมือนรถวิ่งทะลุก้อนน้ำแข็ง หนาวจนสะท้านไปทั้งตัว หัวใจยังไม่หยุดเต้นก็บุญโขแล้วค่ะ

รุ่งขึ้นแกเป็นไข้ นอนเพ้ออยู่หลายวันจนป้าสงัดต้องไปขอน้ำมนต์ในวิหารพระเจ้าตากมาให้กินถึงค่อยทุเลา

ต่อมามีคนเห็นผีหน้าวัดบ่อยๆ จนแทบจะชินชากันไปหมด ก็เห็นบ่อยนี่คะ หลอกได้หลอกไป ไม่กลัวซะอย่าง...ปรากฏว่าวิญญาณผีตายโหงค่อยๆ จางหาย แต่ไปโผล่ที่หน้าวัดจันทรารามน่ะซีคะ...พอคนที่นั่นเริ่มเฉยๆ ผีร้ายก็ย้ายไปหลอกหลอนแถววัดเวฬุราชินดื้อๆ

ปีนี้หนูอายุ 12 ปีเต็ม ย่าง 13 ปีแล้ว ต้องรออีกหลายปีกว่าจะมีสิทธิ์ไปเลือกส.ส.ได้...ถึงตอนนั้นไม่รู้ใครจะย้ายพรรคแบบวันเว้นวันย้ายทีเหมือนตอนนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ! เฮ้อ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2550

05 พฤศจิกายน 2558

ผีพยาบาท

"พงษ์เพชร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแจ้งวัฒนะ

เขาว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังสับสน อยากรู้อยากเห็น อยากทดลองอะไรๆ ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าบุหรี่ เหล้า ยา และเพศตรงข้าม ยิ่งถูกพ่อแม่หรือผู้ปกครองเข้มงวดมากเท่าไหร่ ยิ่งอยากต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น

เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ จะว่าเด็กก็ไม่ใช่เพราะเติบโตจนทำบัตรประชาชนมาตั้ง 3-4 ปีแล้ว แต่จะว่าเป็นผู้ใหญ่ก็พูดไม่ค่อยเต็มปากเต็มคอเท่าไหร่หรอกครับ แหม...ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่นี่นา!

พวกผมมักใจร้อน หงุดหงิดง่าย เรื่องการมีสติน่ะอย่ามาพูดดีกว่า อย่างนักเรียนนักศึกษาที่ชอบใส่เสื้อคับ นุ่งกระโปรงรัดรูป ขึ้นบันไดเลื่อนตามห้างที ถ้าพวกผมขึ้นตามหลัง โห...เห็นทะลุเข้าไปถึงไหนๆ เล่นเอาปากคอแห้ง ใจเต้นตึ้กตั้กไปตามๆ กัน ใครมือคันหรือโรคจิตเล็กน้อยก็อดไม่ไหว...ยกมือถือขึ้นมากดรูปฉับๆ จนตกเป็นข่าวไงครับ

ยิ่งสาวที่อินเทรนด์สุดๆ เสื้อเอวลอย กระโปรงเอวต่ำ นุ่งยีนส์ก็แทบจะหลุดจากงอนสะโพก...ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็ล้วนแต่ตาลุกตาพอง จ้องมองจนเหลียวหลังไปตามๆ กันเชียว

คดีอนาจาร จนถึงข่มขืนฆ่าจะไม่พุ่งพรวดๆ ได้ไง?

สับสนครับ สับสน! อายุครบ 18 ปีมีสิทธิ์เข้าคูหาเลือกตั้งได้แล้ว ยืดอกสุดเท่ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่มีสติปัญญาแล้วนะ แต่พอจะเข้าไปเที่ยวบาร์เที่ยวผับกลับโดนห้ามเฉยเลย บอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 เป็นเยาวชนไม่มีสิทธิ์เที่ยวอย่างผู้ใหญ่เขา ก็ยังงี้จะไม่ให้พวกผมสับสนได้ไงจริงมั้ยครับ? เราเองไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่กันแน่...คิดดู!

เรื่องผีๆ สางๆ อีกอย่าง พวกผมไม่เชื่อกันหรอก เหลวไหลไร้สาระ! พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่แห่ไปหาพระดังๆ มาห้อยคอ แห่ไปสักหลังสักไหล่กันตรึมเลย

ใครไม่มีพระ ไม่มีรอยสักเชยแหลก ตกเทรนด์จนต้องเอาปี๊บคลุมหัวซะ!

ไม่มีเงินไปหาอาจารย์สักก็ไม่เป็นไร เราซื้อเหล็กซื้อหมึก ออกแบบกันว่าชอบยังไง แบบไหน? แล้วให้เพื่อนสัก ผลัดกันไงครับ แต่เวลาไม่ชอบใจจะลบออก โหย...เจ็บชิบเป๋งเลยงานนี้

ไม่เชื่อเรื่องผี หาว่าเหลวไหล แต่เชื่อว่ารอยสักจะทำให้หนังเหนียว ของขึ้น จิตใจฮึกเหิม เจอศัตรูเมื่อไหร่ลุยมันเลย เรามีของดีซะอย่าง...เพี้ยนมั้ยเนี่ย?

คงเพราะความเพี้ยนและซ่าของพวกผมนี่แหละครับ ทำให้โดนผีหลอกเอาปางตายไปตามๆ กัน!

ผมมีเพื่อนซี้ชื่อไอ้เก่ง อยู่ที่แจ้งวัฒนะ บ้านเข้าซอยข้างวัด...ตอนกลางวันยังไม่เท่าไหร่ แต่พอตกกลางคืน แหม...เปลี่ยวน่าดู ผมอยู่งามวงศ์วานใกล้ๆ กัน ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วก็ไปเดินห้าง...ดูสาว! บางวันก็รวมกลุ่มกันไปซดเบียร์ตามร้านหมูกระทะ ผลัดกันเลี้ยงมั่ง แชร์เงินกันมั่ง พวกเราไม่เอาเปรียบกันหรอกครับ

น่ารำคาญที่มีขี้เมาแซวกัน เกือบจะเกิดเรื่องก็หลายครั้ง!

บางวันเจอคู่อริแถวปากซอยบ้านไอ้เก่ง เราเกือบจะงัดมีดสปริงกับดาบสั้นออกมาแล้วเพราะมันมากันเยอะ พอดีมีตำรวจผ่านมาเลยแตกกระเจิงกันไป

เสาร์อาทิตย์ ไอ้เก่งหิ้วเบียร์มาหาผมที่บ้าน หลบมุมไปที่โต๊ะหลังบ้าน...โดนพ่อเหล่บ่อยเข้า ผมก็เป็นฝ่ายหิ้วเบียร์ไปบ้านมันมั่ง แม่ไอ้เก่งใจดีครับ มีกับข้าวอร่อยๆ ก็ยกมาให้เราที่ม้าหินข้างรั้ว ใต้ซุ้มสายหยุดใกล้ประตูรั้ว

วันเกิดเหตุ ผมหิ้วเบียร์ที่ร้านปากซอย ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปบ้านไอ้เก่ง...ซดเบียร์กันสองคน มีเลย์กับโก๋แก่เป็นกับแกล้ม ไอ้เก่งบอกแม่กำลังผัดกะเพราเนื้อ เดี๋ยวก็ได้อร่อยกัน

เราว่าไม่ได้ติดเหล้าเบียร์นะครับ แต่ทำไมมันหงุดหงิดก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้กินน่ะ? พ่อบอกว่านั่นแหละเขาเรียกว่าติดแล้ว! อยู่ในวัยเรียนอย่าริติดเหล้าจะเสียคน จะสนุกกับเพื่อนฝูงก็นานๆที ไม่เป็นไร เอาน่า...วันนี้ขอสนุกกับเพื่อนก่อน!

แม่ไอ้เก่งน่ารักจริงๆ ครับ ยกเนื้อผัดกะเพราหอมฉุยกับเนื้อเค็มทอดมาให้ บอกว่าอย่าเมากันนะลูก เดี๋ยวเก่งต้องขับรถไปส่งเพื่อน...แม่เป็นห่วง

นี่ละครับพ่อแม่ เหมือนกันทั้งนั้นเรื่องรักและตามใจลูกแทบเป็นเทวดา...พอดีแม่บอกว่า ตอนที่เก่งยังไม่ตื่นน่ะมีเพื่อนขี่รถมาหา บอกว่ายังหลับก็เลยกลับไปก่อน

เอ๊ะใครๆ? เจ้าเก่งสงสัย พอแม่เข้าบ้านก็หยิบมือถือมากดหาเพื่อนๆ แต่ไม่ใช่ซักคน

เพิ่งจะเลยค่ำไปหยกๆ รถราที่ผ่านหน้าบ้านน้อยลง ไอ้เก่งบอกว่าเมื่อวานมีเรื่องที่ปากซอย อริเก่าตามฟอร์ม มันขับรถปาดหน้าแต่ไอ้เก่งพุ่งชนเลย...กระเด็นไปทั้งคู่ ไอ้นั้นตะกายขึ้นรถได้ก็เผ่นอ้าว ส่วนไอ้เก่งยืดอกแบมือให้ดู บอกว่ารอยสักของมันขลังที่สุด ขนาดล้มกลิ้งล้มหงายยังไม่มีรอยเท่าแมวข่วน

เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปช้าๆ เดี๋ยวเดียวก็ตีวงกลับมาอีกครั้ง ไอ้เก่งขมวดคิ้ว หันไปมอง ...ไอ้นี่เองที่มีเรื่องกับกูเมื่อวาน! สงสัยมันแหละที่ตามมาหากูตั้งแต่ตอนบ่าย

ลมพัดฮือจนเย็นสะท้าน ไอ้เก่งคว้าขวดเบียร์เปล่าเดินปราดไปที่ประตู ผมล้วงกระเป๋ากำมีดสปริง ขณะที่รถคันนั้นมาจอดหน้าบ้าน แสงไฟส่องให้เห็นใบหน้าด้านข้างยิ้มแสยะ แต่ดูแปลกประหลาดพิลึก ก่อนที่มันจะหันมามองเราเต็มหน้า...โลกแตกเปรี้ยงทันทีทันใด

ใบหน้าอีกซีกเละเทะ เลือดแดงฉานทะลักออกมาตามรอยแผลที่เป็นกระดูกแก้มขาวโพลน เสียงหัวเราะแหบโหยบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ ไอ้เก่งผงะหน้าร้องเฮ้ย! ขวดเบียร์หล่นลงแตกเพล้ง มอเตอร์ไซค์อุบาทว์คันนั้นแล่นช้าๆ ออกไปทางปากซอยจนหายลับ...

ไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่สันนิษฐานว่าคู่อริของไอ้เก่งคงเจ็บหนักจากรถล้ม อาจไปตายที่บ้านก็ได้ แต่วิญญาณพยาบาทยังตามมาหลอกหลอน...เดี๋ยวนี้ผมเชื่อเรื่องผีแล้วครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550

01 พฤศจิกายน 2558

ป่าอสุรกาย

"หลานกระแต" เล่าถึงฝันร้ายสุดสยอง

หนูเป็นแฟนพี่นกกระเต็นมาตั้งแต่ปีกลายแล้วละค่ะ ชอบที่พี่เขาสวยน่ารัก อ่านข่าวก็ชัดเจนเข้าใจง่าย บางทียังมีคำอธิบายแทรกมาด้วย ทำให้เด็กๆ วัยสิบกว่าขวบอย่างหนูได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นอีกเยอะแยะเลยค่ะ

อ้อ! แม่ของหนูก็ชอบพี่นกกระเต็นเหมือนกันนะคะ บอกว่าถูกชะตามาหลายปีแล้ว แม่บอกสั้นๆ ว่าชอบ ฟังแล้วได้เนื้อถ้อยกระทงความดี

ตอนห้าโมงเย็น เราก็จะนั่งดูทีวี ฟังข่าวจากพี่นกกระเต็นด้วยกัน!

เมื่อวานนี้ซิคะ (วันพฤหัสบดี) หนูกินขนมไป ดูทีวีและฟังข่าวไป แม่สนใจข่าวการบ้านการเมือง แต่หนูเฉยๆ เพราะไม่ค่อยรู้เรื่อง ยกเว้นแต่จะมีข่าวแปลกๆ เช่นลูกหมากินนมลูกแมว เต่าปากจระเข้ หมูสองหัว อย่างนี้ละชอบสุดๆ เลย

พอดีมีข่าวช้างตายที่ป่าคลองขลุง จันทบุรีค่ะ พี่นกกระเต็นรายงานว่าชาวบ้านไปแจ้งพนักงานเรื่องมีช้างตาย 6 ตัว สาเหตุเพราะได้ยินเสียงร้องแปลกๆ มาหลายวัน แต่เมื่อไปถึงก็พบแต่กองกระดูกของช้างทั้ง 6 ตัวแล้วละค่ะ น่าสงสารมากๆ

ช้างป่าเราเรียกว่า "ตัว" นะคะ! พี่นกกระเต็นให้ความรู้ แต่ถ้าเป็นช้างบ้านที่เลี้ยงไว้ใช้งานน่ะเรียกว่า "เชือก" หนูหันไปถามแม่ว่าจริงหรือคะ? แม่ก็พยักหน้า บอกว่าถูกต้องแล้วจ้ะ หนูเลยหันมาดูกองกระดูกช้างขาวโพลน น้ำตาแทบจะไหลเลย

พอดีพี่นกกระเต็นบอกข่าวให้น่าเศร้าขึ้นอีก...สันนิษฐานว่ากินสารพิษเข้าไปจากพืชและผลไม้ หรือไม่ก็ถูกชาวบ้านวางยาจนตาย เพราะมันมากินกล้วย อ้อยที่เขาเพิ่งปลูกไว้จนเสียหายยับเยิน เสียงใสๆ ของพี่นกกระเต็นบอกว่า...ช้างทั้งหมดล้วนแต่ทุรนทุรายก่อนตายทีละเชือก...ทีละเชือก!

พี่ธีระที่รายงานข่าวคู่กันทำหน้าชอบกล บอกไม่ถูกหรอกค่ะ

หนูอ้าปากค้างเลย หันขวับไปหาแม่อีกครั้ง ถามว่าตกลงช้างในป่านี่เขาเรียกว่า "ตัว" หรือ "เชือก" กันแน่คะ? แม่ตอบว่า "ตัว" จ้ะ เขาอาจจะเขียนข่าวมาผิด คนอ่านก็พลอยอ่านผิดไปด้วย หรือไม่พี่เขาก็อาจจะเผลอไป เพราะเราเรียกช้างว่า "เชือก" จนเคยปากแล้ว

ความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคน อย่าไปมองเขาในแง่ร้าย คนทำงานกับเรื่องผิดพลาดถือว่าเป็นของคู่กัน...คนที่ไม่เคยผิดพลาดเลย คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย!

พี่ธีระเสียอีกที่ควรจะช่วยแก้ไขคำพูดของพี่กระเต็นให้ถูกต้อง แต่อาจจะกลัวเสียหน้า หรือคิดว่าไม่สำคัญอะไรนักก็เลยปล่อยเลยตามเลย...ช่องอื่นๆ ที่รายงานข่าวนี้ก็ย้ำสรรพนามของช้างป่าคือ "ตัว" ไม่ใช่ "เชือก"

หนูคิดว่าไม่ได้ติดใจเรื่องนี้แล้วนะคะ แต่ทำไมคืนนั้นหนูถึงเก็บไปฝันสยองก็ไม่รู้แถมน่ากลัวที่สุดในชีวิตอีกด้วย...จะว่าเกิดจากนอนคนเดียวก็ไม่น่าใช่ เพราะหนูแยกห้องจากพ่อแม่มาเกือบ 3 ปี ตั้งแต่อายุ 8 ขวบแล้ว เกิดมาหนูไม่เคยฝันร้ายจนขนหัวลุก ร้องไห้โฮกลางดึกแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ!

ในฝันนั้น หนูเข้าไปอยู่ในป่ากับพ่อแม่ เป็นป่าโปร่งที่ร่มรื่น มีนกสีสวยๆ เกาะอยู่ตามกิ่งก้าน ร้องเพลงเสียงเจื้อยแจ้วเสียงหวานใส รอบตัวก็มีแต่ดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวนมาตามสายลมที่พัดเฉื่อยฉิว ฟ้าสีครามกว้างขวาง มีปุยเมฆสีขาวลอยฟ่อง...มองดูคล้ายเรือใบที่แล่นช้าๆ ไปในมหาสมุทรเวิ้งว้าง

เมฆเปลี่ยนรูปไปเรื่อยๆ เป็นเทวดานางฟ้าก็มี เป็นยักษ์ลิงและรูปตลกๆ ก็มีทั้งนั้น...เขาว่าแล้วแต่สายตาและความคิดของคนเรา จะมองให้เป็นรูปอะไรก็ได้ ไม่รู้จริงหรือเปล่านะคะ? ถ้าชีวิตจริงเราเลือกได้เหมือนมองก้อนเมฆก็ยิ่งดีมากเลย!

มีเสียงน้ำไหลมากระทบหู หนูเพิ่งเห็นลำธารคดเคี้ยวไปมาตามแมกไม้ น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นกรวดทรายข้างล่าง บนชะง่อนหินมีลิงตัวน้อยกำลังเอียงคอมองหนู นัยน์ตาลอกแลกดูเจ้าเล่ห์ชอบกล แล้วมันก็แยกเขี้ยวใส่หนู...เขียวขาววับเต็มปากที่อ้ากว้างยิ่งกว่าใบหน้าของมันเสียอีกค่ะ หนูกรีดร้องด้วยความตกใจ ฟ้าร้องครืน พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกตะลึงเมื่อไม่เห็นเมฆสีขาวลอยฟ่องอีกแล้ว แต่เป็นก้อนเมฆดำๆ หนักอึ้งลอยต่ำ คำรามกระหึ่มเหมือนคนใจร้ายท่ามกลางเสียงพายุพัดอู้ๆ รุนแรง ราวกับจะหอบตัวหนูปลิวไปจากพ่อแม่ตลอดกาล

คุณพระช่วย! ในป่าเปลี่ยวที่มีพายุปั่นป่วนคลุ้มคลั่ง ไม่มีพ่อแม่ของหนูอีกต่อไปแล้ว...เหลือแต่หนูคนเดียวเท่านั้นในป่าดิบดงดำ!

คราวนี้หนูวิ่งพลางร้องเรียกพ่อแม่พลางเหมือนคนบ้าอยู่เดียวดาย

ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่รายล้อมราวกับมีชีวิต พวกมันโยกตัวไปมาอย่างดุร้าย ย่างสามขุมเข้ามาหา...บีบเข้ามาหารอบทิศทาง หนูปล่อยโฮ เรียกพ่อจ๋าแม่จ๋า...วิ่งกระเซอะกระเซิง ล้มลุกคลุกคลาน หัวใจแทบพังทลายออกมานอกอก

ในที่สุด หนูก็มองเห็นทางออกที่เป็นแสงสว่างขาวโพลง รวบรวมกำลังใจวิ่งจี๋ไปที่นั่นอย่างไม่คิดชีวิต...มองเห็นเจ้าลิงจ๋อตัวเก่ากำลังวิ่งนำหน้า...มันวิ่งพลางก็หันมามองหนูด้วยจนกระทั่งมันสะดุดอะไรไม่รู้ล้มฟาดลงแน่นิ่ง หนูวิ่งเข้าไปหาจนจู่ๆ มันก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา

คุณพระช่วย! ไม่มีเจ้าจ๋ออีกแล้ว แต่กลายเป็นตัวหนูเอง...ศพที่กำลังขึ้นอืดตาพองถลนจ้องมองอย่างเย้ยหยัน...หนูแทบช็อกคาที่ กรีดร้องโหยหวนจนพ่อแม่ผลักประตูเข้ามาหา

หนูกอดแม่ร้องไห้โฮตัวสั่นสะท้าน แม่ปลอบอยู่นานและเช็ดน้ำตาให้...หนูบอกว่าฝันร้าย และเล่าให้แม่ฟัง

แม่บอกว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี เช่นหลงป่าถือว่าฝันร้าย แต่ถ้าหาทางออกได้ถือว่าจะประสบแต่ความสำเร็จ ส่วนฝันเห็นศพตัวเองแปลว่าจะมีอายุยืนและมีแต่ความสุขความเจริญ...เพี้ยง! ขอให้จริงนะคะ แต่หนูขอด้วยว่าอย่าฝันร้ายแบบนี้อีกเลย ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550