"หนุ่มน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงพยาบาล
บรรดาชุมทางผีดุที่ไม่ว่าใครๆ ล้วนแต่ซูฮก ยกนิ้วให้ทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ตามวัดวาอารามนะครับ อย่าเข้าใจผิด ที่นั่นมีแต่พระทั้งนั้น ไม่ว่าพระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ เต็มทั้งวัด ใครๆ ก็ย่อมจะรู้ดีว่าผีไทยกลัวพระ กลัวใบหนาด ส่วนผีฝรั่งกลัวไม้กางเขน กลัวกระเทียม
อ้อ! ที่ผีนานาชาติกลัวตรงกันคือน้ำมนต์!!
ในวัดอาจจะมีผีเยอะ ไม่ว่าผีที่ยังอยู่ในกุดัง หรือนอนแหงแก๋อยู่ในหลุม จนถึงผีที่ถูกเผาไหม้ กลายเป็นเถ้าถ่านเรียบร้อย อย่างที่ทางคริสต์เขาว่า...จากดินสู่ดิน, จากธุลีสู่ธุลี, ข้าจะเดินผ่านไปใต้เงาของหุบเขามรณะโดยปราศจากความเกรงกลัว เพราะมีพระผู้เป็นเจ้าคอยคุ้มครองข้าในอ้อมแขนของพระองค์
สรุปแล้ว ในวัดน่ะไม่มีผีหรอกครับ ถึงมีก็เป็นพวกผีเด็กๆ หัดหลอก ไม่น่ากลัวซักนิดเดียว ขอให้เชื่อผมเหอะคุณ
แล้วที่ไหนผีดุสุดๆ ล่ะ? คำตอบก็คือ...โรงพยาบาลไงครับ!
ที่นั่นแหละ ดินแดนแห่งขนหัวลุกจริงๆ เอ้า! มีทั้งคนที่ใกล้จะเป็นผี มีทั้งคนที่กลายเป็นผีเรียบร้อย ส่วนมากน่ะยังไม่ได้ผ่านพิธีกรรมทางศาสนา พูดง่ายๆ ว่าญาติยังไม่ได้บำเพ็ญกุศลให้ตามประเพณี วิญญาณร้าย วิญญาณโหด ล้วนแต่แอบซุ่มอยู่ตามซอกมุมต่างๆ คอยจ้องมองพวกมนุษย์ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หาโอกาสหลอกหลอนเอาจนได้แหละน่า
ไม่ใช่ว่าหิวเครื่องเซ่นอะไรหรอกครับ อย่าไปเชื่อ ผีนิสัยไม่ดี ชอบกลั่นแกล้งและรังแกมนุษย์เล่น เอาสนุกเข้าว่า
คิดดูเถอะ วิญญาณที่หลุดจากร่างเป็นสิบเป็นร้อย เหมือนมนุษย์ตรงที่...ร้อยพ่อพันแม่! มีทั้งดีและร้าย ทั้งเรียบร้อยและเกเร ทั้งจิตใจปกติและซาดิสม์ ชอบเห็นคนอื่นตกใจและหวาดกลัว ยิ่งร้องกรี๊ดๆ ได้ยิ่งดี...สะใจผีโรคจิตน่ะซีคุณ!
วัดน้อยลง แต่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้น คนเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัดโรค ล้มตายลงทุกวัน ประมาณวันละ 2 แสน 7 หมื่นคน...ยิ่งโลกเจริญแค่ไหน เชื้อโรคมันก็เจริญแค่นั้น คนคิดจะต่อสู้แค่ไหนก็เชิญ ลงท้ายก็ต้องเอวัง...ลงโลงอยู่ดี!
ผมมีประสบการณ์ในโรงพยาบาลมาเยอะครับ
ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เนื้อหนุ่มยังไม่แตกพาน ดันผ่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องไปขึ้นเขียงให้หมอตัดส่วนเกินบ้าๆ นั่นออก ที่ ร.พ.ยาสูบ สมัยนั้นอยู่ปลายถนนสาทร ไม่ใช่โก้หรูอยู่ที่สุขุมวิทซอย 2 อย่างตอนนี้
ตกกลางคืนแสนจะเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย อย่าไปฝันถึงห้องพิเศษ แสนสวย ติดแอร์เย็นฉ่ำให้หลับสบาย หรือว่าจะมีหมอมีพยาบาลมาเยี่ยมไข้ยิ้มแย้ม อย่างโรงพยาบาลเอกชนในยุคต่อมา
คนไข้นอนเรียงกันเป็นแถวสองด้าน หันหัวเตียงเข้าผนัง ปลายเท้ามีทางเดินตรงกลาง อยู่ในตัวตึกสีน้ำตาลซีดๆ กระดำกระด่างเหมือนโลงศพทึมๆ น่าอึดอัดไม่มีผิด
ที่ว่าเปล่าเปลี่ยวก็เพราะด้านหน้าเป็นสนามหญ้ารกๆ เวิ้งว้าง มีถนนลาดซีเมนต์เข้ามา หมาเกือบสิบตัวเพ่นพ่าน เห่ากันมั่ง ไล่กัดกันมั่ง ล้งเล้งบ๊งเบ๊งเหมือนกับบรรดาผู้คนที่ประกาศว่ายอมเสียสละเพื่อชาติเพื่อประชาชน ไม่ยอมคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเด็ดขาด
ฟังแล้วปวดมวนในลำไส้ชอบกลนะครับ...
น่าขนลุกพอๆ กับเสียงหอนของบรรดาคุณเล็บงามทั้งหลาย ส่งเสียงโจ๋วววว....ที่หน้าตึกร.พ.ยาสูบนั่นแหละ คุณเอ๋ย
เท่านั้นยังไม่พอ...เสียงคนไข้ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ไหนจะเป็นโรคร้ายพวกมะเร็ง โรคหัวใจ วัณโรค ฯลฯ ไหนจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดนยิงโดนแทง...กินยาฆ่าตัวตายเพราะทะเลาะกับผัวก็มี
ไหนจะเสียงละเมอ เอ้อๆ อ้าๆ พูดคนเดียวเป็นคุ้งเป็นแควเหมือนไม่ใช่คนละเมอ
ไหนจะละเมอร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกล่ะ!
สรรพเสียงที่แสนจะน่าอึดอัด รวมทั้งกลิ่นยา กลิ่นเลือด ที่ดูเหมือนจะโชยกรุ่นอยู่ตลอดเวลา มีเสียงพัดลมบนเพดานครางหึ่ง บางทีก็ฟังเหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะเยาะเย้ย แต่บางครั้งก็ฟังเหมือนเสียงคนร้องไห้ สะอึกสะอื้นคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างเหลือประมาณ
แป๊ะเห่งแกเป็นวัณโรคอาการหนัก นอนอยู่ข้างๆ เตียงผมทางขวามือใกล้ๆ กับประตูนี่เอง...
คืนเกิดเหตุ วันนั้นพวกเราใจคอไม่ค่อยดีเพราะมีคนตายถึง 2 ราย ชายแก่ลื่นตกบันไดลงมาโคม่า กับหนุ่มฉกรรจ์นอนแซ่วเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์...ทั้งสองรายนี่ทนทานอยู่ได้หลายวัน กว่าจะคืนลมหายใจให้แก่โลกตามเดิม
ชื่อตาเบี้ยวกับพี่สอน...ผมจำแม่นไปจนตายจริงๆ เอ้า!
คืนแรกเท่านั้นแหละ หมาเวรนั่นเข้าเวรหอนโบ๋ววว...อีกแล้ว ขนแขนนอนอยู่ดีๆ ดันผ่าลุกขึ้นมาตั้งพึ่บ ลูบดูก็พบว่าเป็นผื่นหนาๆ แป๊ะเห่งส่งเสียงแหบๆ มาเข้าหูผมว่า...ตี๋โอ๊ย! ตาเบี้ยวมาหาอั๊ว...เล่นเอาผมหันขวับ
คุณพระช่วย! มองผ่านผ้ามุ้งออกไปก็เห็นร่างผอมกะหร่องของชายหนึ่งเดินโงกเงกมาทางเราช้าๆ ตาเบี้ยว! ผมร้องอึงอยู่ในอก ขณะที่แป๊ะเห่งครางเสียงอ่อยๆ ขึ้นอีก...ไอ้สอนก็มาด้วย...
นรกเป็นพยาน! ตาเบี้ยวกับพี่สอนเดินเหมือนลอยเข้ามา ทั้งๆ ที่บุรุษพยาบาลเขาเข็นศพออกไปเห็นๆ เมื่อตอนกลางวัน...ผมหลับตาปี๊ เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว หมาเจ้ากรรมมันก็หอนได้หอนดีไม่จบสิ้นเอาซะเลย...จนกระทั่งรุ่งเช้า ผมอยากกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
แป๊ะเห่งแกนอนลืมตาโพลง...สิ้นใจตายไปตั้งแต่เมื่อคืน!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2550
31 ตุลาคม 2558
30 ตุลาคม 2558
คอนโดฯ สยอง
"ลักษมณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคอนโดฯ ชานกรุง
ดิฉันกับสามีซื้อคอนโดฯ อยู่แถวพระราม 3 ทั้งที่ตอนแต่งงานใหม่ๆ เราอยู่กันที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ เราย้ายมาเมื่อดิฉันตั้งครรภ์ ด้วยเหตุผลว่าบ้านเดิมคนอยู่เยอะ หลายครอบครัวเลยไม่มีความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่
เมื่อมาอยู่ตามลำพัง ดิฉันรู้สึกสบายขึ้น ถึงแม้ว่าต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างก็ตาม เหนื่อยกายแต่ไม่เหนื่อยใจค่ะ แม่เป็นห่วงมาก เห็นว่าดิฉันใกล้คลอด แถมเป็นมือใหม่เสียด้วย
ท่านกลัวว่าดิฉันจะเลี้ยงลูกไม่เป็นค่ะ!
เมื่อใกล้คลอดเต็มทีดิฉันก็ลาออกจากงาน สามีเห็นด้วยที่จะให้เป็นแม่บ้านเต็มตัว เขาว่าเขาทำงานคนเดียวก็มีรายได้พอสำหรับเรา 3 คน พ่อแม่และลูกแล้ว การมาอยู่คอนโดฯ แบบนี้ แม้ว่าจะอยู่ลำพัง แต่ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าอุ่นใจทีเดียว
ลูกสาวคนแรกของเราเกิดในเดือนกันยายน...แกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก! น่ารักมากค่ะ ดิฉันตั้งชื่อให้ว่า "กำไล" เชยมั้ยคะ? มีหลายคนทักว่าทำไมตั้งชื่อลูกโบราณจัง แต่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นชื่อที่เก๋มากๆ
กำไลเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่โยเย ถึงกระนั้นดิฉันก็รู้สึกเหนื่อยมาก ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าการมีลูกอ่อนน่ะมันจะเหนื่อยแสนสาหัสขนาดนี้! ไม่ใช่ไม่รักลูกนะคะ แต่ดิฉันต้องดูแลคอยป้อนนมทุก 2 ชั่วโมง...เลี้ยงด้วยนมแม่ค่ะ ไม่ได้กินนมขวดเลย
ตอนกลางวันมีคุณแม่มาช่วย สอนดิฉันอาบน้ำลูกและช่วยซักผ้าอ้อม
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราขัดใจกัน คือดิฉันไม่อยากให้ลูกนอนเปล แต่คุณแม่บอกว่าถ้าเด็กนอนแปลจะหลับง่ายและหลับนาน ท่านอุตส่าห์ซื้อเปลมาให้ เออ...จริงด้วย! กำไลหลับได้ง่ายและนานขึ้นกว่าเดิม คือดิฉันเคยให้แกกินนมแล้วก็เดินไปรอบๆ กว่าจะกลับก็เล่นเอาแม่หอบแฮก พอวางก็ร้องค่ะ
คุณแม่บอกว่า นี่ละ เด็กติดมือแล้ว! อย่างนี้แย่เลย แม่ไม่ได้พักผ่อน จะลุกไปทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องยอมรับว่าใหม่ๆ น่ะดิฉันเครียดมาก แต่พอมีเปลก็ค่อยยังชั่ว
ขณะที่ดิฉันทำงานบ้าน คุณแม่จะไกวเปลกล่อมกำไล แต่พอตกเย็นท่านก็ขอตัวกลับ เพราะต้องไปดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารให้คนบ้านใหญ่ทั้งบ้าน
ตอนกลางคืน ดิฉันมักจะอยู่กับกำไลสองคนแม่ลูก สามีน่ะทำงานกลับค่ำๆ บางวันก็ไปกับเพื่อนฝูงจนเกือบสองยาม ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้คิดมากหรอกค่ะ แหม...มีลูกเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดูให้เลี้ยง จะมีเวลาไปคิดอะไรกับใครเขาล่ะคะ?
กำไลนอนกับดิฉันและสามีในห้องนอนใหญ่ เปลของแกตั้งอยู่ใกล้ๆ เตียงด้านที่ดิฉันนอน...มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
นั่นก็คือ ตั้งแต่มีกำไล ดิฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีใครบางคนที่มองไม่เห็นตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากลางคืน...ความรู้สึกนั้นมันชัดมากเลยค่ะ
เมื่อก่อน ดิฉันมักจะเปิดไฟเฉพาะบริเวณห้องนั่งเล่น ห้องนอนและส่วนอื่นๆ ของบ้านนั้นปิดไฟไว้ แต่เมื่อรู้สึกว่ามีใครมองออกมาจากเงามืดนั้นตลอดเวลา จนในที่สุดก็ต้องเปิดไฟแทบทุกห้อง...เรื่องนี้ดิฉันไม่เคยบ่นกับใคร ไม่ว่ากับแม่หรือสามีก็ตาม
...กลัวเขาหาว่าเป็นแม่ลูกอ่อนแล้วประสาทรับประทาน เหลวไหลไม่เข้าเรื่อง!
แต่แล้วคืนหนึ่ง ดิฉันเข้านอนตอน 4 ทุ่ม หลังจากอุ้มลูกลงเปล แกหลับปุ๋ยน่ารักที่สุด ดิฉันห่มผ้าให้แล้วก็ถอยมานอนที่เตียง ห่างกันราว 3-4 ก้าวเท่านั้น
คืนนั้นสามียังไม่กลับ ดิฉันผล็อยหลับไปแล้วจึงรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องแอ๊ะๆ ทว่า...คุณพระคุณเจ้าช่วย ดิฉันขยับตัวไม่ได้เลย!
ทันใดนั้น ลูกร้องจ้า และมีเสียงผู้หญิงจุ๊ย์ปาก "ชูวว์...จุ๊ยๆๆ"
ดิฉันมองไป ยังขยับตัวไม่ได้ ก็เห็นเงาของผู้หญิงโบราณ เธอนุ่งโจงกระเบน มีผ้าคาดอก ผมทรงดอกกระทุ่ม เธอนั่งพับเพียบข้างเปล มือจับขอบเปลไกว ดวงตาก็มองทารกในนั้น...ลูกสาวของดิฉันเอง!
เสียงเย็นๆ เอื้อนทำนองเพลงกล่อมเด็ก ลากเสียงยาวชวนขนหัวลุก
กำไลเงียบลงคล้ายงงงัน แกเริ่มคุยอ้อๆ แอ้ๆ แล้วอารมณ์ดีทันที
ดิฉันนึกถึงคุณพระ และพ่อแก้วแม่แก้ว ขณะพยายามฮึดสู้กับอาการผีอำ...และแล้วดิฉันก็ขยับเขยื้อนร่างกายได้...
มันเหมือนตื่นจากฝัน ฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน! ห้องทั้งห้องกลับสู่สภาพปกติ แต่กำไลซิคะ...ทารกอายุไม่ถึง 3 เดือน กำลัง "คุย" อะไรกับใครบางคนที่ดิฉันมองไม่เห็นตัว...ไม่มีแม้เงา!
ทีแรกก็คิดว่าฝันไปเองเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นติดๆ กันหลายคืน จนสุดท้ายดิฉันไม่สบายใจอย่างแรง ต้องเล่าให้คุณแม่และสามีฟังอย่างละเอียด
เราคิดว่า ที่ตรงนี้สมัยก่อนคงเป็นที่อยู่อาศัยของคนโบราณ เผลอๆ ใต้คอนโดฯ นี้อาจจะมีหลุมฝังศพก็ได้ ใครจะไปรู้?
คุณแม่ให้ดิฉันทำสังฆทาน ทำบุญให้วิญญาณผู้หญิงนั้น บอกตรงๆ ว่าเรากลัวว่าเธอจะรักเอ็นดูกำไลมากจนเอาตัวไปเป็นลูกของเธอ ดิฉันเลยแก้เคล็ดด้วยการซื้อตุ๊กตาผมจุกโจงกระเบนมาไว้ในห้อง แล้วพูดกับลมกับแล้งว่า...ถ้าอยากได้ลูก ก็นี่ละ...ลูกของเธอ!
ตั้งแต่นั้นมา ในห้องดิฉันก็สงบ แต่...พูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะคะ เพื่อนๆ ร่วมคอนโดฯ เล่าให้ฟังว่ามีหลายคนเห็นผีกัน เป็นผีกับเด็กผมจุก...เห็นในคอนโดฯ เรานี่แหละค่ะ!บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2550
ดิฉันกับสามีซื้อคอนโดฯ อยู่แถวพระราม 3 ทั้งที่ตอนแต่งงานใหม่ๆ เราอยู่กันที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ เราย้ายมาเมื่อดิฉันตั้งครรภ์ ด้วยเหตุผลว่าบ้านเดิมคนอยู่เยอะ หลายครอบครัวเลยไม่มีความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่
เมื่อมาอยู่ตามลำพัง ดิฉันรู้สึกสบายขึ้น ถึงแม้ว่าต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างก็ตาม เหนื่อยกายแต่ไม่เหนื่อยใจค่ะ แม่เป็นห่วงมาก เห็นว่าดิฉันใกล้คลอด แถมเป็นมือใหม่เสียด้วย
ท่านกลัวว่าดิฉันจะเลี้ยงลูกไม่เป็นค่ะ!
เมื่อใกล้คลอดเต็มทีดิฉันก็ลาออกจากงาน สามีเห็นด้วยที่จะให้เป็นแม่บ้านเต็มตัว เขาว่าเขาทำงานคนเดียวก็มีรายได้พอสำหรับเรา 3 คน พ่อแม่และลูกแล้ว การมาอยู่คอนโดฯ แบบนี้ แม้ว่าจะอยู่ลำพัง แต่ก็มีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าอุ่นใจทีเดียว
ลูกสาวคนแรกของเราเกิดในเดือนกันยายน...แกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลก! น่ารักมากค่ะ ดิฉันตั้งชื่อให้ว่า "กำไล" เชยมั้ยคะ? มีหลายคนทักว่าทำไมตั้งชื่อลูกโบราณจัง แต่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นชื่อที่เก๋มากๆ
กำไลเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่โยเย ถึงกระนั้นดิฉันก็รู้สึกเหนื่อยมาก ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าการมีลูกอ่อนน่ะมันจะเหนื่อยแสนสาหัสขนาดนี้! ไม่ใช่ไม่รักลูกนะคะ แต่ดิฉันต้องดูแลคอยป้อนนมทุก 2 ชั่วโมง...เลี้ยงด้วยนมแม่ค่ะ ไม่ได้กินนมขวดเลย
ตอนกลางวันมีคุณแม่มาช่วย สอนดิฉันอาบน้ำลูกและช่วยซักผ้าอ้อม
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราขัดใจกัน คือดิฉันไม่อยากให้ลูกนอนเปล แต่คุณแม่บอกว่าถ้าเด็กนอนแปลจะหลับง่ายและหลับนาน ท่านอุตส่าห์ซื้อเปลมาให้ เออ...จริงด้วย! กำไลหลับได้ง่ายและนานขึ้นกว่าเดิม คือดิฉันเคยให้แกกินนมแล้วก็เดินไปรอบๆ กว่าจะกลับก็เล่นเอาแม่หอบแฮก พอวางก็ร้องค่ะ
คุณแม่บอกว่า นี่ละ เด็กติดมือแล้ว! อย่างนี้แย่เลย แม่ไม่ได้พักผ่อน จะลุกไปทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องยอมรับว่าใหม่ๆ น่ะดิฉันเครียดมาก แต่พอมีเปลก็ค่อยยังชั่ว
ขณะที่ดิฉันทำงานบ้าน คุณแม่จะไกวเปลกล่อมกำไล แต่พอตกเย็นท่านก็ขอตัวกลับ เพราะต้องไปดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารให้คนบ้านใหญ่ทั้งบ้าน
ตอนกลางคืน ดิฉันมักจะอยู่กับกำไลสองคนแม่ลูก สามีน่ะทำงานกลับค่ำๆ บางวันก็ไปกับเพื่อนฝูงจนเกือบสองยาม ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้คิดมากหรอกค่ะ แหม...มีลูกเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดูให้เลี้ยง จะมีเวลาไปคิดอะไรกับใครเขาล่ะคะ?
กำไลนอนกับดิฉันและสามีในห้องนอนใหญ่ เปลของแกตั้งอยู่ใกล้ๆ เตียงด้านที่ดิฉันนอน...มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
นั่นก็คือ ตั้งแต่มีกำไล ดิฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีใครบางคนที่มองไม่เห็นตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากลางคืน...ความรู้สึกนั้นมันชัดมากเลยค่ะ
เมื่อก่อน ดิฉันมักจะเปิดไฟเฉพาะบริเวณห้องนั่งเล่น ห้องนอนและส่วนอื่นๆ ของบ้านนั้นปิดไฟไว้ แต่เมื่อรู้สึกว่ามีใครมองออกมาจากเงามืดนั้นตลอดเวลา จนในที่สุดก็ต้องเปิดไฟแทบทุกห้อง...เรื่องนี้ดิฉันไม่เคยบ่นกับใคร ไม่ว่ากับแม่หรือสามีก็ตาม
...กลัวเขาหาว่าเป็นแม่ลูกอ่อนแล้วประสาทรับประทาน เหลวไหลไม่เข้าเรื่อง!
แต่แล้วคืนหนึ่ง ดิฉันเข้านอนตอน 4 ทุ่ม หลังจากอุ้มลูกลงเปล แกหลับปุ๋ยน่ารักที่สุด ดิฉันห่มผ้าให้แล้วก็ถอยมานอนที่เตียง ห่างกันราว 3-4 ก้าวเท่านั้น
คืนนั้นสามียังไม่กลับ ดิฉันผล็อยหลับไปแล้วจึงรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องแอ๊ะๆ ทว่า...คุณพระคุณเจ้าช่วย ดิฉันขยับตัวไม่ได้เลย!
ทันใดนั้น ลูกร้องจ้า และมีเสียงผู้หญิงจุ๊ย์ปาก "ชูวว์...จุ๊ยๆๆ"
ดิฉันมองไป ยังขยับตัวไม่ได้ ก็เห็นเงาของผู้หญิงโบราณ เธอนุ่งโจงกระเบน มีผ้าคาดอก ผมทรงดอกกระทุ่ม เธอนั่งพับเพียบข้างเปล มือจับขอบเปลไกว ดวงตาก็มองทารกในนั้น...ลูกสาวของดิฉันเอง!
เสียงเย็นๆ เอื้อนทำนองเพลงกล่อมเด็ก ลากเสียงยาวชวนขนหัวลุก
กำไลเงียบลงคล้ายงงงัน แกเริ่มคุยอ้อๆ แอ้ๆ แล้วอารมณ์ดีทันที
ดิฉันนึกถึงคุณพระ และพ่อแก้วแม่แก้ว ขณะพยายามฮึดสู้กับอาการผีอำ...และแล้วดิฉันก็ขยับเขยื้อนร่างกายได้...
มันเหมือนตื่นจากฝัน ฝันที่เหมือนจริงเหลือเกิน! ห้องทั้งห้องกลับสู่สภาพปกติ แต่กำไลซิคะ...ทารกอายุไม่ถึง 3 เดือน กำลัง "คุย" อะไรกับใครบางคนที่ดิฉันมองไม่เห็นตัว...ไม่มีแม้เงา!
ทีแรกก็คิดว่าฝันไปเองเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นติดๆ กันหลายคืน จนสุดท้ายดิฉันไม่สบายใจอย่างแรง ต้องเล่าให้คุณแม่และสามีฟังอย่างละเอียด
เราคิดว่า ที่ตรงนี้สมัยก่อนคงเป็นที่อยู่อาศัยของคนโบราณ เผลอๆ ใต้คอนโดฯ นี้อาจจะมีหลุมฝังศพก็ได้ ใครจะไปรู้?
คุณแม่ให้ดิฉันทำสังฆทาน ทำบุญให้วิญญาณผู้หญิงนั้น บอกตรงๆ ว่าเรากลัวว่าเธอจะรักเอ็นดูกำไลมากจนเอาตัวไปเป็นลูกของเธอ ดิฉันเลยแก้เคล็ดด้วยการซื้อตุ๊กตาผมจุกโจงกระเบนมาไว้ในห้อง แล้วพูดกับลมกับแล้งว่า...ถ้าอยากได้ลูก ก็นี่ละ...ลูกของเธอ!
ตั้งแต่นั้นมา ในห้องดิฉันก็สงบ แต่...พูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะคะ เพื่อนๆ ร่วมคอนโดฯ เล่าให้ฟังว่ามีหลายคนเห็นผีกัน เป็นผีกับเด็กผมจุก...เห็นในคอนโดฯ เรานี่แหละค่ะ!บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2550
29 ตุลาคม 2558
ห้องอาถรรพณ์
"เสี่ยเท้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องพักในโรงนวด
เขาลือกันมานานแล้วครับ ว่าย่านถนนรัชดาฯ น่ะผีดุอย่าบอกใครเชียว ถึงขนาดยกให้เลยว่าเป็นชุมทางผีดุที่สุดในกรุงเทพฯ สมัยก่อนว่าซูเปอร์ไฮเวย์ หรือเปลี่ยนเป็นวิภาวดีฯ น่ะ เคยครองแชมป์ย่านผีดุในอดีตก็ต้องมาตกกระป๋องไปซะแล้ว
ย่านรัชดาภิเษกนี่แหละที่กลายเป็นแชมป์เรื่องผีดุสุดขีด เล่นงานเอาผู้คนที่โดนหลอกหลอนถึงกับขนหัวลุกตั้งมานับไม่ถ้วน!
เรื่องผีสาวสองนางที่ชอบเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งหน้าวัดเสมียนนารี แล้วสำแดงเดชเล่นงานจนคนขับแท็กซี่หวิดจะจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันเมื่อถึงปลายทาง ก็มักจะขึ้นรถแถวริมถนนรัชดาฯ นี่แหละ
บ้างก็ว่าสองสาวโดนรถชนตายที่นั่นเอง แต่บางเสียงก็บอกว่าเธอไปเดินเล่นบนทางรถไฟ คราวถึงฆาตเลยไม่ได้ยินทั้งเสียงหวูดเตือนภัย ไม่เห็นทั้งแสงไฟสว่างจ้า โดนทับร่างแหลกเหลว แขนขาขาดกระเด็นอย่างน่าอเนจอนาถที่สุด
มีคนอ้างว่าเคยเห็นปีศาจของเธอคลานงุ่มง่ามอยู่บนทางรถไฟตอนกลางคืน...เล่นเอาร้องตะโกนโหวกโหวยเป็นเจ๊กตื่นไฟไปตามๆ กัน
ถนนรัชดาภิเษกนี่ เชื่อกันว่าเป็นชุมทางผีดุยาวเหยียดไปตลอดสายก็ว่าได้นะครับ!
คิดดูละกัน ขนาดไปถึงแถวหน้าศาลอาญา ก็ยังมีโค้งมรณะ ฉายา "โค้ง 100 ศพ" ไว้เขย่าขวัญคนขับรถ ไม่ว่าจะแหกโค้งหลุดโค้ง เผ่นพรวดขึ้นไปบนเกาะก็มี เหาะเหินข้ามเกาะไปชนโครมครามกับคนอื่น แหลกลาญไปตามๆ กัน ขนาดบางครั้งไฟลุกท่วมทั้งสองคันน่าสยดสยองพองขนที่สุด
ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตครับ แบบนี้น่ะ!
เชื่อกันว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ปีศาจ วิญญาณตายซับตายซ้อน ทนทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัสก่อนชีวิตออกจากร่าง ภูตผีทั้งหลายแหล่จึงสิงสู่อยู่ที่นั่น ไม่ยอมร่อนเร่เป็นสัมภเวสีผีไม่มีศาล แถมไม่ยอมไปผุดไปเกิดอีกต่างหาก
จู่ๆ ยังมีต้นโพธิ์ผุดโผล่ขึ้นมากลางเกาะแถวโค้งมรณะราวสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง? เชื่อว่าเป็นแหล่งรวมวิญญาณมาสิงสู่อยู่ที่นั่นแหละ อื้อซ่าเชียวละคุณเอ๋ย
อ๊ะ! ถึงคนเราทั่วๆ ไปจะกลัวผีก็จริงอยู่ แต่ถ้าเชื่อว่ามีผีอยู่จริงๆ แถมอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างต้นโพธิ์ ต้นไทร จะมีลูกช้างลูกม้าทั้งหลายแหล่ ตกค่ำก็พากันไปจุดธูปขอหวยตัวเด็ดๆ เอามาทุ่มแทงกันให้จั๋งหนับ ชนิดงวดเดียวรวยไปเลย...แน่ะ!
คนมาขอหวยตั้งเยอะแยะ ยังไงๆ ก็ต้องมีคนถูกเข้าจนได้ละครับ ก็เล่นแทงทั้งบนทั้งล่าง แถมกลับอีกต่างหาก เช่นแทง 65 ก็ต้องแทง 56 อีกด้วย...เผื่อเหนียว! ว่างั้น
ประเภทหวยออกแล้วบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งว่า แหม! แทงล่างไปออกบน หรือแทง 35 ดันไปออก 53 น่ะ รับรองว่าจะไม่ได้ยินจากปากนักเลงหวยประเภทตัวจริงเสียงจริงหรือระดับ "แฟนพันธุ์แท้" อย่างเด็ดขาด
อ๋อ! เรื่องขนหัวลุกน่ะผมประสบมาหยกๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง!
คืนนั้น พรรคพวกผมมีเจ้าเลี๊ยบกับเจ้าอู๋นัดเจอกันที่สถานบริการชื่อดัง...ชั้นล่างเป็นผับเป็นเลานจ์ คาราโอเกะพร้อม ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 เป็นอาบ อบ นวด นางงามตู้กระจกแต่งตัวแต่งหน้าฉูดฉาด คนเชียร์แขกระดับเหยี่ยวถลาลมคอยกล่อมแขกที่นั่งเป็น "ป๋าเฉย" ให้เรียกร้องหนูเบอร์นั้นเบอร์นี้ไปขึ้นห้องซะโดยไว
พอไปถึงชั้น 3 บรรยากาศเปลี่ยนเป็นสาวสวยไซด์ไลน์ ไม่มีการนั่งตู้ แต่นั่งโซฟาหัวเราะต่อกระซิกกัน หลายๆ คนก็ไปนั่งโต๊ะเสี่ยโต๊ะป๋าเรียบร้อย มาม่าซังปราดเข้ามาต้อนรับ...เราต้องการซดเบียร์แกล้มไส้กรอกรวมมิตรอุ่นเครื่องไว้ก่อน
ปักหลักคุยกันที่โต๊ะหลังวงดนตรี ตรงข้ามประตูห้องสต๊อกที่น้องหนูเสร็จงานแต่ละรอบลงมาพักผ่อน เติมปากเติมแก้ม...เดินเข้าเดินออกกันแทบไม่หยุดหย่อน
มาม่าซัง 2-3 คนรู้จักพวกเราดี แต่นานๆ ก็อดแวะมาทักทายไม่ได้...เรียกน้องเฟี๊ยตมาคุยไหมคะ? หรือจะเรียกน้องโฟล์กมาด้วย? เจ้าเลี๊ยบกันเจ้าอู๋โบกมือห้ามไว้ก่อน พวกมันกำลังคุยกันเรื่องผีในโรงนวดหน้าตาเฉย...หัวใจวายก็มี ผูกคอตายก็มี กินยาตายที่ห้องพักแต่มาโผล่ที่โรงนวดเฉยเลย!
ฟังแล้วเยือกเย็นหัวใจบอกไม่ถูก ผมมองไปทางด้านหน้าที่มีแขกหนาตา ทั้งไทย, ญี่ปุ่นและแขกจริงๆ เห็นมาม่าซังพาน้องหนูสองคนมาประเคนที่โต๊ะแขก (จริงๆ) น้องหนูในชุดสีฟ้า หุ่นระหงเดินอกกระเพื่อมๆ ตามหลัง แวะเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ผ่านโต๊ะแถวกลางมาที่ห้อง สต๊อก...เธอคงเพิ่งทำงานรอบนี้เสร็จหยกๆ พอถึงก็เลี้ยวขวาผลุบไปเข้าทันที
นรกเป็นพยาน! สาวสวยนั่นเดินผ่านประตูเข้าไปดื้อๆ โดยไม่ต้องผลักให้เสียเวลา เหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุยังงั้นแหละครับ!
ผมนั่งตัวแข็งทื่อ ขนหัวคงจะลุกตั้ง สะบัดหน้างุนงง...จะว่าเมาก็ไม่ใช่เพราะเพิ่งดื่มเบียร์ไปแค่ 2 แก้ว! อาจจะประสาทหลอนไปเองก็ได้....พอดีเจ้าเลี๊ยบถอนใจยาวเหยียด
"วันก่อนอั๊วมากับไอ้หลง เชื่อไหมวะ? จู่ๆ ก็เห็นสาวสวยในชุดสีฟ้าเดินผ่าเข้าไปในห้องสต๊อก เล่นเอากลัวแทบตาย เล่าให้ไอ้หลงฟังมันกลับบอกว่าอั๊วตาฝาดน่ะ! เออ...คงจะจริงของมันแฮะ! แต่ทำไมอั๊วนั่งรอดูตั้งเกือบสองชั่วโมงก็ไม่เห็นแม่คนนั้นโผล่ออกมาซักที!"
เด็กเสิร์ฟมารินเบียร์แก้วใหม่ ผมกระดกวูบ ตั้งใจจะคอยดูเหมือนกัน...ให้ตายดับไปเถอะ! ตั้งชั่วโมงกว่าๆ มีสาวสวยเดินเข้าออกนับไม่ถ้วน แต่ไม่เห็นผู้หญิงในชุดสีฟ้านั่นโผล่ออกมาอีกเลย! ไม่ใช่ผีหลอกสดๆ แล้วจะเป็นอะไรล่ะครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2550
เขาลือกันมานานแล้วครับ ว่าย่านถนนรัชดาฯ น่ะผีดุอย่าบอกใครเชียว ถึงขนาดยกให้เลยว่าเป็นชุมทางผีดุที่สุดในกรุงเทพฯ สมัยก่อนว่าซูเปอร์ไฮเวย์ หรือเปลี่ยนเป็นวิภาวดีฯ น่ะ เคยครองแชมป์ย่านผีดุในอดีตก็ต้องมาตกกระป๋องไปซะแล้ว
ย่านรัชดาภิเษกนี่แหละที่กลายเป็นแชมป์เรื่องผีดุสุดขีด เล่นงานเอาผู้คนที่โดนหลอกหลอนถึงกับขนหัวลุกตั้งมานับไม่ถ้วน!
เรื่องผีสาวสองนางที่ชอบเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งหน้าวัดเสมียนนารี แล้วสำแดงเดชเล่นงานจนคนขับแท็กซี่หวิดจะจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันเมื่อถึงปลายทาง ก็มักจะขึ้นรถแถวริมถนนรัชดาฯ นี่แหละ
บ้างก็ว่าสองสาวโดนรถชนตายที่นั่นเอง แต่บางเสียงก็บอกว่าเธอไปเดินเล่นบนทางรถไฟ คราวถึงฆาตเลยไม่ได้ยินทั้งเสียงหวูดเตือนภัย ไม่เห็นทั้งแสงไฟสว่างจ้า โดนทับร่างแหลกเหลว แขนขาขาดกระเด็นอย่างน่าอเนจอนาถที่สุด
มีคนอ้างว่าเคยเห็นปีศาจของเธอคลานงุ่มง่ามอยู่บนทางรถไฟตอนกลางคืน...เล่นเอาร้องตะโกนโหวกโหวยเป็นเจ๊กตื่นไฟไปตามๆ กัน
ถนนรัชดาภิเษกนี่ เชื่อกันว่าเป็นชุมทางผีดุยาวเหยียดไปตลอดสายก็ว่าได้นะครับ!
คิดดูละกัน ขนาดไปถึงแถวหน้าศาลอาญา ก็ยังมีโค้งมรณะ ฉายา "โค้ง 100 ศพ" ไว้เขย่าขวัญคนขับรถ ไม่ว่าจะแหกโค้งหลุดโค้ง เผ่นพรวดขึ้นไปบนเกาะก็มี เหาะเหินข้ามเกาะไปชนโครมครามกับคนอื่น แหลกลาญไปตามๆ กัน ขนาดบางครั้งไฟลุกท่วมทั้งสองคันน่าสยดสยองพองขนที่สุด
ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตครับ แบบนี้น่ะ!
เชื่อกันว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ปีศาจ วิญญาณตายซับตายซ้อน ทนทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัสก่อนชีวิตออกจากร่าง ภูตผีทั้งหลายแหล่จึงสิงสู่อยู่ที่นั่น ไม่ยอมร่อนเร่เป็นสัมภเวสีผีไม่มีศาล แถมไม่ยอมไปผุดไปเกิดอีกต่างหาก
จู่ๆ ยังมีต้นโพธิ์ผุดโผล่ขึ้นมากลางเกาะแถวโค้งมรณะราวสิบกว่าปีได้แล้วมั้ง? เชื่อว่าเป็นแหล่งรวมวิญญาณมาสิงสู่อยู่ที่นั่นแหละ อื้อซ่าเชียวละคุณเอ๋ย
อ๊ะ! ถึงคนเราทั่วๆ ไปจะกลัวผีก็จริงอยู่ แต่ถ้าเชื่อว่ามีผีอยู่จริงๆ แถมอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างต้นโพธิ์ ต้นไทร จะมีลูกช้างลูกม้าทั้งหลายแหล่ ตกค่ำก็พากันไปจุดธูปขอหวยตัวเด็ดๆ เอามาทุ่มแทงกันให้จั๋งหนับ ชนิดงวดเดียวรวยไปเลย...แน่ะ!
คนมาขอหวยตั้งเยอะแยะ ยังไงๆ ก็ต้องมีคนถูกเข้าจนได้ละครับ ก็เล่นแทงทั้งบนทั้งล่าง แถมกลับอีกต่างหาก เช่นแทง 65 ก็ต้องแทง 56 อีกด้วย...เผื่อเหนียว! ว่างั้น
ประเภทหวยออกแล้วบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งว่า แหม! แทงล่างไปออกบน หรือแทง 35 ดันไปออก 53 น่ะ รับรองว่าจะไม่ได้ยินจากปากนักเลงหวยประเภทตัวจริงเสียงจริงหรือระดับ "แฟนพันธุ์แท้" อย่างเด็ดขาด
อ๋อ! เรื่องขนหัวลุกน่ะผมประสบมาหยกๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง!
คืนนั้น พรรคพวกผมมีเจ้าเลี๊ยบกับเจ้าอู๋นัดเจอกันที่สถานบริการชื่อดัง...ชั้นล่างเป็นผับเป็นเลานจ์ คาราโอเกะพร้อม ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 เป็นอาบ อบ นวด นางงามตู้กระจกแต่งตัวแต่งหน้าฉูดฉาด คนเชียร์แขกระดับเหยี่ยวถลาลมคอยกล่อมแขกที่นั่งเป็น "ป๋าเฉย" ให้เรียกร้องหนูเบอร์นั้นเบอร์นี้ไปขึ้นห้องซะโดยไว
พอไปถึงชั้น 3 บรรยากาศเปลี่ยนเป็นสาวสวยไซด์ไลน์ ไม่มีการนั่งตู้ แต่นั่งโซฟาหัวเราะต่อกระซิกกัน หลายๆ คนก็ไปนั่งโต๊ะเสี่ยโต๊ะป๋าเรียบร้อย มาม่าซังปราดเข้ามาต้อนรับ...เราต้องการซดเบียร์แกล้มไส้กรอกรวมมิตรอุ่นเครื่องไว้ก่อน
ปักหลักคุยกันที่โต๊ะหลังวงดนตรี ตรงข้ามประตูห้องสต๊อกที่น้องหนูเสร็จงานแต่ละรอบลงมาพักผ่อน เติมปากเติมแก้ม...เดินเข้าเดินออกกันแทบไม่หยุดหย่อน
มาม่าซัง 2-3 คนรู้จักพวกเราดี แต่นานๆ ก็อดแวะมาทักทายไม่ได้...เรียกน้องเฟี๊ยตมาคุยไหมคะ? หรือจะเรียกน้องโฟล์กมาด้วย? เจ้าเลี๊ยบกันเจ้าอู๋โบกมือห้ามไว้ก่อน พวกมันกำลังคุยกันเรื่องผีในโรงนวดหน้าตาเฉย...หัวใจวายก็มี ผูกคอตายก็มี กินยาตายที่ห้องพักแต่มาโผล่ที่โรงนวดเฉยเลย!
ฟังแล้วเยือกเย็นหัวใจบอกไม่ถูก ผมมองไปทางด้านหน้าที่มีแขกหนาตา ทั้งไทย, ญี่ปุ่นและแขกจริงๆ เห็นมาม่าซังพาน้องหนูสองคนมาประเคนที่โต๊ะแขก (จริงๆ) น้องหนูในชุดสีฟ้า หุ่นระหงเดินอกกระเพื่อมๆ ตามหลัง แวะเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ผ่านโต๊ะแถวกลางมาที่ห้อง สต๊อก...เธอคงเพิ่งทำงานรอบนี้เสร็จหยกๆ พอถึงก็เลี้ยวขวาผลุบไปเข้าทันที
นรกเป็นพยาน! สาวสวยนั่นเดินผ่านประตูเข้าไปดื้อๆ โดยไม่ต้องผลักให้เสียเวลา เหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุยังงั้นแหละครับ!
ผมนั่งตัวแข็งทื่อ ขนหัวคงจะลุกตั้ง สะบัดหน้างุนงง...จะว่าเมาก็ไม่ใช่เพราะเพิ่งดื่มเบียร์ไปแค่ 2 แก้ว! อาจจะประสาทหลอนไปเองก็ได้....พอดีเจ้าเลี๊ยบถอนใจยาวเหยียด
"วันก่อนอั๊วมากับไอ้หลง เชื่อไหมวะ? จู่ๆ ก็เห็นสาวสวยในชุดสีฟ้าเดินผ่าเข้าไปในห้องสต๊อก เล่นเอากลัวแทบตาย เล่าให้ไอ้หลงฟังมันกลับบอกว่าอั๊วตาฝาดน่ะ! เออ...คงจะจริงของมันแฮะ! แต่ทำไมอั๊วนั่งรอดูตั้งเกือบสองชั่วโมงก็ไม่เห็นแม่คนนั้นโผล่ออกมาซักที!"
เด็กเสิร์ฟมารินเบียร์แก้วใหม่ ผมกระดกวูบ ตั้งใจจะคอยดูเหมือนกัน...ให้ตายดับไปเถอะ! ตั้งชั่วโมงกว่าๆ มีสาวสวยเดินเข้าออกนับไม่ถ้วน แต่ไม่เห็นผู้หญิงในชุดสีฟ้านั่นโผล่ออกมาอีกเลย! ไม่ใช่ผีหลอกสดๆ แล้วจะเป็นอะไรล่ะครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2550
26 ตุลาคม 2558
หนูผี!!
"มัลลิกา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเช่า
สมัยเรียนจบและเพิ่งได้ทำงานใหม่ๆ ดิฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนที่บางพลัด เราเป็นเด็กต่างจังหวัดและทำงานที่เดียวกัน เคยอยู่หอตอนเรียนหนังสือก็ต้องมาเช่าบ้านเขาอยู่ ถึงจะเข้าซอยลึกแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว ที่สำคัญคืออยู่ใกล้บริษัทเราย่านปิ่นเกล้าด้วยค่ะ
เป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน ค่อนข้างเก่า มีรั้วไม้ระแนงและต้นไม้ร่มครึ้ม ดิฉันกับอ้ออยู่คนละห้อง ด้านหน้าเป็นห้องรับแขก มีครัวเล็กๆ และห้องน้ำอยู่ติดกัน
เวลาผ่านไปเดือนเศษก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น...ตอนกลางคืนมีเสียงกุกกักจากเพดาน ตอนแรกก็เล่นเอาสะดุ้ง เพราะเราเงยหน้าขึ้นไปมัน ก็ดังคล้ายๆ มีใครวิ่งไปทางด้านนั้นด้านนี้ บางทีก็เสียงดังจนกลัวว่า เพดานเก่าๆ จะทะลุโครมลงมา
"หนูน่ะ" อ้อบอกอย่างแน่ใจ "มันคงวิ่งไล่กัน ยิ่งเงียบๆ แบบนี้ยิ่งคล้ายเป็นเสียงแมวตัวโตๆ"
น่าแปลกที่ตอนกลางวันเงียบเชียว แต่ตกกลางคืนจะวิ่งเกรียวกราวไปหมด บางทีก็หายไปหลายคืนแล้วกลับมาอีก ตอนดึกๆ กำลังจะเคลิ้มหลับก็ดังตึงตังอยู่เหนือหัวจนสะดุ้งตื่น ดิฉันเคยปรึกษาอ้อว่าจะซื้อกับดักมาฆ่าก็สงสาร หรือจะซื้อแผ่นกาวมาดักดี? อ้อก็บอกว่าพอกันเพราะมันติดแหง็กจนน่าเวทนา เอาไปปล่อยก็ตายลูกเดียว
ดิฉันเป็นห่วงว่ามันจะดอดมาแทะหนังสือ อ้อก็กลัวโดนกัดเสื้อผ้า แต่มีเคล็ดลับมาเล่าให้ฟังว่า...ห้ามด่านะ! ที่บ้านนอกน่ะมีคนด่ามันเลยโดนกัดเสื้อผ้าขาดกระจุย
"บ้านอ้อเรียกว่า "คุณทิพย์" เพราะเชื่อว่ามันหูทิพย์ ถ้าเรียกว่าคุณทิพย์ก็จะไม่มากัดเสื้อผ้าข้าวของหรอก..เราทิ้งเศษอาหารให้มันกินนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ"
ดิฉันยังคิดไม่ตก คืนหนึ่งก็ได้ยินเสียงคุณทิพย์ในห้องนอน!
ที่ปลายเตียงมีทั้งทีวีจอเล็ก เครื่องเล่นวิดีโอและชั้นวางหนังสือ ตรงมุมห้องมีตู้คัตเอาต์และกล่องเซฟทีคัตที่หมดสภาพแล้ว..ตามสายไฟ 3-4 เส้นที่โยงขึ้นไปจนทะลุเพดานดิฉันมองเห็นก็ใจหายเมื่อนึกถึงคุณทิพย์...ถ้าเกิดซุกซนแทะสายไฟขาดมิเดือดร้อนกันน่าดูหรือนี่?
เสียงจี๊ดๆ ดังมาเข้าหู พอเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นอะไรนอกจากสายไฟขาวๆ ที่ค่อนข้างคล้ำตรงปากช่อง...แต่สายไฟเส้นหนึ่งส่ายไปมาช้าๆ ดิฉันกำลังกินแซนด์วิชทูน่าที่เพิ่งเปิดกระป๋องมาทำเองหยกๆ ถึงกับชะงักงัน...
ขณะนั้นเอง สายไฟเส้นนั้นก็หดกลับขึ้นไป หนูตัวเล็กๆ สีดำ โตกว่าหัวแม่มือนิดเดียววิ่งปรู๊ดลงมาตามสายไฟ ผ่านคัตเอาต์และเซฟทีคัต...หายวับเข้าไปใต้ชั้นวางหนังสือชิดผนัง
"เจ้าตัวเล็ก..." ดิฉันพึมพำ ทั้งขบขันและนึกเอ็นดู "มาหาแม่มา อยากกินปลาทูน่าหรือลูก?" ดูดริมฝีปากทำเสียงแหลมๆ แล้วแบ่งปลาทูน่าชิ้นเล็กๆ ไปวางที่พื้นใต้ชั้นหนังสือแต่ไม่ปรากฏว่า "คุณทิพย์" หรือ "เจ้าตัวเล็ก" โผล่มาให้เห็นเลย!
พลิกหนังสืออ่านต่อเกือบชั่วโมง...เข้าห้องน้ำแล้วก็นึกได้ เมื่อมาดูอีกครั้งปลาทูน่าชิ้นนั้นก็หายไปแล้ว...วันต่อมาลองวางขนมปังชิ้นเล็กๆ ให้ ตั้งแต่บนคัตเอาต์และเซฟทีคัต ลงมาจนถึงพื้นห้องใกล้ๆ กับชั้นหนังสือที่หนูคงซุกซ่อนอยู่ บาง คืนก็ดอดมากินหมด แต่บางคืนก็ไม่แตะต้อง รุ่งเช้าไปจับขนมปังก็ปรากฏว่าแข็งหมดแล้ว
เคยดูการ์ตูนเรื่องทอมและเจอรี่ หนูมันชอบเนยแข็งนี่นา!
คืนต่อมาดิฉันก็ตัดเนยแข็งชิ้นเล็กๆ ราว 4-5 ชิ้นมาวางแทนที่ขนมปัง เจ้าตัวเล็กคงได้กลิ่นหอมหวนจนทนไม่ไหว โผล่ออกจากรูแล่นปราดลงมาคาบเนยแล้ววิ่งจู๊ดหายลงไปใต้ชั้นหนังสือ บางทีก็มาเห็นตอนที่มันวิ่งขึ้นไปคาบเนย แล้วไต่สายไฟหายขึ้นไปบนเพดาน
ไม่ช้าเจ้าตัวเล็กก็ใจถึง กล้าโผล่ออกจากใต้ชั้นหนังสือมาหาเนยแข็ง ทำจดๆ จ้องๆ ก่อนถอยกลับไปบ้าง มาคาบเนยไปกินบ้าง... ความคุ้นเคยเพิ่มขึ้นทุกวัน ดิฉันเองก็มีความสุขเหมือนมีเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นแม้จะเป็นหนูตัวน้อยๆ ก็ตาม
อ้อรู้เข้าก็บ่นว่าสกปรก...น่ากลัวเชื้อโรค! แต่ดิฉันรู้สึกเฉยๆ ค่ะ
"เจ้าตัวเล็ก" ไม่ได้ลงมาทุกคืนนะคะ แต่คืนไหนไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นมันวิ่งลงมากินอาหารก็จะรู้สึกเหงาเหมือนขาดอะไรบางอย่าง...เหมือนรอเพื่อนที่ผิดนัด! อ้อบอกว่ามันอาจจะไปหากินที่อื่นบ้างก็ได้ บางวันก็มัวแต่อ่านหนังสือเพลินจนลืมให้อาหาร บางวันเห็นมันวิ่งจู๊ดลงมาถึงนึกขึ้นได้ รีบเอาขนมปังบ้างเนยแข็งบ้างไปวางไว้ให้ ดูดปากเรียกแล้วรอดูจนมันลงมากิน...ชื่นใจจนหายเหงาได้เหมือนกันค่ะ
จนกระทั่งคืนสยองขวัญมาถึง!
คืนนั้น ดิฉันจัดทั้งขนมปังที่บิเป็นชิ้นเล็กๆ กับเนยแข็งมาวางไว้ที่เดิม นั่งแหงนหน้ามองพลางดูดปากเรียก 2-3 ครั้ง...เจ้าตัวเล็กมากินเนยอร่อยๆ เร้ว... แต่ที่ช่องเพดานตรงมุมห้องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว สรรพสิ่งเงียบกริบจนน่าใจหาย
ทันใดนั้น สายไฟที่ห้อยลงมาก็สั่นไหวเบาๆ ดิฉันยิ้มกับตัวเอง ดูดปากส่งสัญญาณอีกครั้ง...เจ้าตัวเล็กก็หย่อนหางลงมาแกว่งไกว เคลื่อนลงมาช้าๆ จนถึงคัตเอาท์แต่ก็ยังมองไม่เห็นตัวสักที ทั้งๆ ที่ห่างกันราว 2 ฟุต...คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด!
...หางสีดำๆ ขยายใหญ่บิดเบี้ยว กลายเป็นก้อนกลมๆ ขนาดกำปั้น! ดิฉันอ้าปากค้าง หัวใจคงหยุดเต้นไปแล้ว ม่านตาพรายพร่า สองหูอื้ออึงด้วยเสียงครึกโครมสนั่นหวั่นไหว... ใบหน้าอุบาทว์ของผีนรกแท้ๆ ที่ตั้งเด่นอยู่บนคัตเอาต์
ได้ยินเสียงตัวเองหวีดร้องแสบแก้วหู ทะลึ่ง พรวดขึ้นมาก่อนจะหงายตึงลงไปตามเดิม...สติสัมปชัญญะปลิดปลิวไปในบัดดล กว่าจะได้สติอีกทีก็ใกล้รุ่งแล้ว...อ้อพังประตูเข้ามาช่วย เล่าว่าดิฉันเพ้อถึงหนูผีจนพลอยขนลุกไปด้วย ไข้สูงมากจนต้องส่งโรงพยาบาล
หลังจากนั้น เราก็ย้ายไปเช่าห้องแบ่งเช่า อยู่ด้วยกันแถวปิ่นเกล้า ถึงจะไม่สะดวกเหมือนอยู่คนเดียวก็ยังดีกว่าช็อกตายเพราะโดนผีหลอกละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม 2550
สมัยเรียนจบและเพิ่งได้ทำงานใหม่ๆ ดิฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนที่บางพลัด เราเป็นเด็กต่างจังหวัดและทำงานที่เดียวกัน เคยอยู่หอตอนเรียนหนังสือก็ต้องมาเช่าบ้านเขาอยู่ ถึงจะเข้าซอยลึกแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยว ที่สำคัญคืออยู่ใกล้บริษัทเราย่านปิ่นเกล้าด้วยค่ะ
เป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน ค่อนข้างเก่า มีรั้วไม้ระแนงและต้นไม้ร่มครึ้ม ดิฉันกับอ้ออยู่คนละห้อง ด้านหน้าเป็นห้องรับแขก มีครัวเล็กๆ และห้องน้ำอยู่ติดกัน
เวลาผ่านไปเดือนเศษก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น...ตอนกลางคืนมีเสียงกุกกักจากเพดาน ตอนแรกก็เล่นเอาสะดุ้ง เพราะเราเงยหน้าขึ้นไปมัน ก็ดังคล้ายๆ มีใครวิ่งไปทางด้านนั้นด้านนี้ บางทีก็เสียงดังจนกลัวว่า เพดานเก่าๆ จะทะลุโครมลงมา
"หนูน่ะ" อ้อบอกอย่างแน่ใจ "มันคงวิ่งไล่กัน ยิ่งเงียบๆ แบบนี้ยิ่งคล้ายเป็นเสียงแมวตัวโตๆ"
น่าแปลกที่ตอนกลางวันเงียบเชียว แต่ตกกลางคืนจะวิ่งเกรียวกราวไปหมด บางทีก็หายไปหลายคืนแล้วกลับมาอีก ตอนดึกๆ กำลังจะเคลิ้มหลับก็ดังตึงตังอยู่เหนือหัวจนสะดุ้งตื่น ดิฉันเคยปรึกษาอ้อว่าจะซื้อกับดักมาฆ่าก็สงสาร หรือจะซื้อแผ่นกาวมาดักดี? อ้อก็บอกว่าพอกันเพราะมันติดแหง็กจนน่าเวทนา เอาไปปล่อยก็ตายลูกเดียว
ดิฉันเป็นห่วงว่ามันจะดอดมาแทะหนังสือ อ้อก็กลัวโดนกัดเสื้อผ้า แต่มีเคล็ดลับมาเล่าให้ฟังว่า...ห้ามด่านะ! ที่บ้านนอกน่ะมีคนด่ามันเลยโดนกัดเสื้อผ้าขาดกระจุย
"บ้านอ้อเรียกว่า "คุณทิพย์" เพราะเชื่อว่ามันหูทิพย์ ถ้าเรียกว่าคุณทิพย์ก็จะไม่มากัดเสื้อผ้าข้าวของหรอก..เราทิ้งเศษอาหารให้มันกินนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ"
ดิฉันยังคิดไม่ตก คืนหนึ่งก็ได้ยินเสียงคุณทิพย์ในห้องนอน!
ที่ปลายเตียงมีทั้งทีวีจอเล็ก เครื่องเล่นวิดีโอและชั้นวางหนังสือ ตรงมุมห้องมีตู้คัตเอาต์และกล่องเซฟทีคัตที่หมดสภาพแล้ว..ตามสายไฟ 3-4 เส้นที่โยงขึ้นไปจนทะลุเพดานดิฉันมองเห็นก็ใจหายเมื่อนึกถึงคุณทิพย์...ถ้าเกิดซุกซนแทะสายไฟขาดมิเดือดร้อนกันน่าดูหรือนี่?
เสียงจี๊ดๆ ดังมาเข้าหู พอเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นอะไรนอกจากสายไฟขาวๆ ที่ค่อนข้างคล้ำตรงปากช่อง...แต่สายไฟเส้นหนึ่งส่ายไปมาช้าๆ ดิฉันกำลังกินแซนด์วิชทูน่าที่เพิ่งเปิดกระป๋องมาทำเองหยกๆ ถึงกับชะงักงัน...
ขณะนั้นเอง สายไฟเส้นนั้นก็หดกลับขึ้นไป หนูตัวเล็กๆ สีดำ โตกว่าหัวแม่มือนิดเดียววิ่งปรู๊ดลงมาตามสายไฟ ผ่านคัตเอาต์และเซฟทีคัต...หายวับเข้าไปใต้ชั้นวางหนังสือชิดผนัง
"เจ้าตัวเล็ก..." ดิฉันพึมพำ ทั้งขบขันและนึกเอ็นดู "มาหาแม่มา อยากกินปลาทูน่าหรือลูก?" ดูดริมฝีปากทำเสียงแหลมๆ แล้วแบ่งปลาทูน่าชิ้นเล็กๆ ไปวางที่พื้นใต้ชั้นหนังสือแต่ไม่ปรากฏว่า "คุณทิพย์" หรือ "เจ้าตัวเล็ก" โผล่มาให้เห็นเลย!
พลิกหนังสืออ่านต่อเกือบชั่วโมง...เข้าห้องน้ำแล้วก็นึกได้ เมื่อมาดูอีกครั้งปลาทูน่าชิ้นนั้นก็หายไปแล้ว...วันต่อมาลองวางขนมปังชิ้นเล็กๆ ให้ ตั้งแต่บนคัตเอาต์และเซฟทีคัต ลงมาจนถึงพื้นห้องใกล้ๆ กับชั้นหนังสือที่หนูคงซุกซ่อนอยู่ บาง คืนก็ดอดมากินหมด แต่บางคืนก็ไม่แตะต้อง รุ่งเช้าไปจับขนมปังก็ปรากฏว่าแข็งหมดแล้ว
เคยดูการ์ตูนเรื่องทอมและเจอรี่ หนูมันชอบเนยแข็งนี่นา!
คืนต่อมาดิฉันก็ตัดเนยแข็งชิ้นเล็กๆ ราว 4-5 ชิ้นมาวางแทนที่ขนมปัง เจ้าตัวเล็กคงได้กลิ่นหอมหวนจนทนไม่ไหว โผล่ออกจากรูแล่นปราดลงมาคาบเนยแล้ววิ่งจู๊ดหายลงไปใต้ชั้นหนังสือ บางทีก็มาเห็นตอนที่มันวิ่งขึ้นไปคาบเนย แล้วไต่สายไฟหายขึ้นไปบนเพดาน
ไม่ช้าเจ้าตัวเล็กก็ใจถึง กล้าโผล่ออกจากใต้ชั้นหนังสือมาหาเนยแข็ง ทำจดๆ จ้องๆ ก่อนถอยกลับไปบ้าง มาคาบเนยไปกินบ้าง... ความคุ้นเคยเพิ่มขึ้นทุกวัน ดิฉันเองก็มีความสุขเหมือนมีเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นแม้จะเป็นหนูตัวน้อยๆ ก็ตาม
อ้อรู้เข้าก็บ่นว่าสกปรก...น่ากลัวเชื้อโรค! แต่ดิฉันรู้สึกเฉยๆ ค่ะ
"เจ้าตัวเล็ก" ไม่ได้ลงมาทุกคืนนะคะ แต่คืนไหนไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นมันวิ่งลงมากินอาหารก็จะรู้สึกเหงาเหมือนขาดอะไรบางอย่าง...เหมือนรอเพื่อนที่ผิดนัด! อ้อบอกว่ามันอาจจะไปหากินที่อื่นบ้างก็ได้ บางวันก็มัวแต่อ่านหนังสือเพลินจนลืมให้อาหาร บางวันเห็นมันวิ่งจู๊ดลงมาถึงนึกขึ้นได้ รีบเอาขนมปังบ้างเนยแข็งบ้างไปวางไว้ให้ ดูดปากเรียกแล้วรอดูจนมันลงมากิน...ชื่นใจจนหายเหงาได้เหมือนกันค่ะ
จนกระทั่งคืนสยองขวัญมาถึง!
คืนนั้น ดิฉันจัดทั้งขนมปังที่บิเป็นชิ้นเล็กๆ กับเนยแข็งมาวางไว้ที่เดิม นั่งแหงนหน้ามองพลางดูดปากเรียก 2-3 ครั้ง...เจ้าตัวเล็กมากินเนยอร่อยๆ เร้ว... แต่ที่ช่องเพดานตรงมุมห้องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว สรรพสิ่งเงียบกริบจนน่าใจหาย
ทันใดนั้น สายไฟที่ห้อยลงมาก็สั่นไหวเบาๆ ดิฉันยิ้มกับตัวเอง ดูดปากส่งสัญญาณอีกครั้ง...เจ้าตัวเล็กก็หย่อนหางลงมาแกว่งไกว เคลื่อนลงมาช้าๆ จนถึงคัตเอาท์แต่ก็ยังมองไม่เห็นตัวสักที ทั้งๆ ที่ห่างกันราว 2 ฟุต...คุณพระคุณเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด!
...หางสีดำๆ ขยายใหญ่บิดเบี้ยว กลายเป็นก้อนกลมๆ ขนาดกำปั้น! ดิฉันอ้าปากค้าง หัวใจคงหยุดเต้นไปแล้ว ม่านตาพรายพร่า สองหูอื้ออึงด้วยเสียงครึกโครมสนั่นหวั่นไหว... ใบหน้าอุบาทว์ของผีนรกแท้ๆ ที่ตั้งเด่นอยู่บนคัตเอาต์
ได้ยินเสียงตัวเองหวีดร้องแสบแก้วหู ทะลึ่ง พรวดขึ้นมาก่อนจะหงายตึงลงไปตามเดิม...สติสัมปชัญญะปลิดปลิวไปในบัดดล กว่าจะได้สติอีกทีก็ใกล้รุ่งแล้ว...อ้อพังประตูเข้ามาช่วย เล่าว่าดิฉันเพ้อถึงหนูผีจนพลอยขนลุกไปด้วย ไข้สูงมากจนต้องส่งโรงพยาบาล
หลังจากนั้น เราก็ย้ายไปเช่าห้องแบ่งเช่า อยู่ด้วยกันแถวปิ่นเกล้า ถึงจะไม่สะดวกเหมือนอยู่คนเดียวก็ยังดีกว่าช็อกตายเพราะโดนผีหลอกละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม 2550
25 ตุลาคม 2558
ไปงานศพ
"ชาลิสา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสวดศพ
ญาติมิตรของดิฉันหลายคนไม่ยอมไปเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาล อ้างว่าที่นั่นเป็นแหล่งรวมของโรคร้ายนานาชนิด ร่างกายตัวเองก็ไม่แข็งแรงพอ อาจจะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ขอไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ
เรื่องนี้พอจะมีเหตุผลรับฟังได้นะคะ ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ เช่นพ่อแม่หรือลูกเต้าต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ต่อให้กลัวแค่ไหนก็ต้องไปเยี่ยม ไปเฝ้าไข้อยู่ดี
หนักกว่านั้นคือ ไม่ยอมไปงานศพเด็ดขาด!
ทุกคนจะพูดตรงกันว่า หมู่นี้ดวงไม่ดี แถมไม่รู้ว่าดวงของผู้ตายจะ "ชง" กับของตัวเองหรือเปล่า? พูดง่ายๆ คือดวงไม่สมพงศ์กัน อาจจะทำให้ "ดวงตก" ยิ่งกว่าเก่า อย่างมากก็สั่งพวงหรีดไปเคารพศพ หรือส่งซองช่วยทำบุญเท่านั้นเอง
ความเชื่อถือของคนเราย่อมจะแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิติเตียนใดๆ หรอกค่ะ
ดิฉันไม่ใช่คนที่ถือเคร่งขนาดนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ญาติมิตรคนไหนเจ็บไข้ก็ไปเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือโรงพยาบาล ยิ่งงานศพด้วยแล้วถือนัก ถ้าคนรู้จักกัน สนิทสนมตามสมควร ไม่ว่าญาติเขาจะเชิญหรือไม่ก็ต้องไปค่ะ...เป็นการพบกัน แสดงน้ำใจต่อกัน และให้เกียรติกันเป็นครั้งสุดท้าย
จนกระทั่งถึงงานศพครั้งหนึ่ง ทำให้ดิฉันประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุก...แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงภาพนั้นทีไรก็ทำให้ปากคอแห้งผากทุกครั้งไป
ดิฉันทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งแถวสามย่าน ใกล้ๆ กับสถาบันที่เรียนจบมา แต่บ้านอยู่ค่อนข้างไกลคือซอยพระนาง ผิดกับเพื่อนๆในบริษัทอีก 2-3 คนที่อยู่แถวรองเมือง หรือไม่ก็แถวสุริยวงศ์ สีลม
เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บริษัทก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนสนิททุกคนเลยค่ะ!
น่าแปลกอย่างที่ดิฉันต้องไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เดี๋ยวยายเหมียวเป็นหืดหอบอาการหนักต้องเข้าเลิดสิน เดี๋ยวยายมิ้นต์เกิดเป็นไข้เลือดออกต้องไปนอนจุฬาฯ เดี๋ยวพี่ชุดาเป็นลมหมดสติเพราะความดันโลหิตต่ำ ต้องช่วยกันพาเข้าคลินิกใกล้ๆ บริษัท เล่นเอาตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ที่นับว่าร้ายกาจสุดๆ คือสามีพี่จุ๋มประสบอุบัติเหตุ ตอนที่ขับรถออกจากบ้านในซอยข้างวัดแขก โดยรถเมล์เบรกแตกพุ่งเข้าชนจนพี่นพคอหักตายคาที่!
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พี่นพทำงานบริษัทขายเครื่องไฟฟ้า บอกว่ามีงานด่วนครึ่งวัน...ถ้าเป็นวันธรรมดาที่เขาขับรถมาส่งพี่จุ๋มที่บริษัทก่อน? พวกเราคงต้องเสียพี่จุ๋มไปด้วยแน่ๆ
ไม่ต้องเล่าถึงความโศกเศร้าของพี่จุ๋มก็ได้นะคะ เธอเป็นลมแล้วเป็นลมอีก...ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันได้ราวปีเศษ ก่อนที่ดิฉันจะเข้าทำงานไม่กี่เดือน...พวกเราเคยพบพี่นพหลายครั้งเมื่อเขาขับรถมารับพี่จุ๋มกลับบ้านตอนเลิกงาน
สามีภรรยาคู่นี้ดูสมกันมากค่ะ หน้าตาดี มีอัธยาศัย เพื่อนๆ เคยถามว่าพี่จุ๋มจวนจะ "มีน้อง" หรือยัง? คำตอบคือยังไม่มี...จนกระทั่งถึงวันที่พี่นพจากไปตลอดกาล
ศพพี่นพตั้งสวด 7 วันที่วัดใกล้ๆ บริษัทนั่นเอง!
วัดนี้กว้างขวางมาก ศาลาตั้งศพสวดอภิธรรมก็อยู่ไม่ไกลจากประตูวัด พวกเรายกโขยงไปสิบกว่าคน...พี่จุ๋มร้องไห้จนตาบวม ต้องสวมแว่นดำออกมารับแขก บางทีมีญาติสนิทมาปลอบก็ยิ่งทำให้เธอน้ำตาไหลพรากออกมาอีก...
ยายมิ้นต์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกับดิฉันและยายเหมียวว่า...เพิ่งถามพี่จุ๋มเมื่อวานซืนนี้เองว่าจวนมีน้องหรือยัง? คำตอบก็คือ...ว่าจะไปทำกิฟต์ย่ะ! เป็นอันว่าหมดห่วงแทนพี่จุ๋มไปได้ค่ะ เรื่องนี้จะต้องเลี้ยงลูกกำพร้าพ่อเพียงผู้เดียว!
ความตายนี่ช่างโหดร้ายเหลือเกินนะคะ โดยเฉพาะเมื่อมันมาพรากเอาคนที่เรารักไปก่อนจะถึงเวลาอันสมควร
พวกญาติๆ ของพี่จุ๊มที่รู้จักกันก็แวะเวียนมาทักทายและขอบอกขอบใจพวกเรา บางคนพี่จุ๋มก็พามาแนะนำว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ ทั้งญาติของเธอและญาติของพี่นพ...คำพูดก็หนีไม่พ้นจากขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มา...กับเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ
ความสุขทำให้คนเราช่างพูดช่างคุย แต่ความทุกข์ทำให้เบื้อใบ้กับเงียบงัน!
ช่วงนั้นยังมีการเลี้ยงของว่างกันด้วยค่ะ เป็นเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ที่ช่วยแก้หิวได้ดี เพราะพวกเรารีบร้อนมาฟังสวดจนลืมหาของว่างใส่ท้องไว้ก่อน...พอดีมีคุณน้ากับคุณลุง ญาติฝ่ายเจ้าภาพมาถามว่าได้อาหารกับเครื่องดื่มหรือยัง? เราขอบคุณไปตามระเบียบ ก็มีคุณป้าในชุดนุ่งดำสวมเสื้อลูกไม้ขาวเข้ามาขอบอกขอบใจ หน้าตาใจดี พูดจานุ่มนวลชวนฟังมากค่ะ
"ดิฉันเป็นแม่เขาเองค่ะ ตานพแกทำบุญไว้แค่นี้เอง...ขอบใจที่มาฟังสวดนะจ๊ะ ขอให้พวกหนูจำเริญๆ เถอะ"
เราพนมมือไหว้รับพร คุณป้าก็ขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นๆ พอดีพระท่านสวดอภิธรรมต่อ เราวางแก้วน้ำลงแล้วพนมมือ ยายมิ้นต์พึมพำว่า...น่าสงสารคุณป้านะ ท่าทางผู้ดีจัง!
วันต่อมา ตกเย็นพวกเรากลุ่มเดิมก็ไปฟังสวดศพพี่นพ ตั้งใจว่าจะไปทุกคืนจนถึงวันเผา...คืนนั้นไม่เห็นคุณป้ามาทักทายแขกจนนึกเป็นห่วงว่าจะเจ็บไข้ไป ได้โอกาสก็ถามพี่จุ๋มว่า คืนนี้แม่พี่นพไม่มาอีกหรือ? พี่จุ๋มอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง...แม่พี่นพตายตั้งแต่ก่อนลูกชายแต่งงานด้วยซ้ำ
ยายเหมียวหายใจคร่อกๆ เหมือนโรคหอบหืดจะกำเริบ ส่วนพี่ชุดาทำท่าว่าความดันเลือดจะลดลงพรวดพราดจนต้องคว้าแขนดิฉันไว้...โชคดีที่ต่อจากคืนนั้นจนถึงวันเผาพี่นพ คุณป้าไม่ได้ปรากฏให้พวกเราเห็นอีกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 25 ตุลาคม 2550
ญาติมิตรของดิฉันหลายคนไม่ยอมไปเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาล อ้างว่าที่นั่นเป็นแหล่งรวมของโรคร้ายนานาชนิด ร่างกายตัวเองก็ไม่แข็งแรงพอ อาจจะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ขอไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ
เรื่องนี้พอจะมีเหตุผลรับฟังได้นะคะ ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ เช่นพ่อแม่หรือลูกเต้าต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ต่อให้กลัวแค่ไหนก็ต้องไปเยี่ยม ไปเฝ้าไข้อยู่ดี
หนักกว่านั้นคือ ไม่ยอมไปงานศพเด็ดขาด!
ทุกคนจะพูดตรงกันว่า หมู่นี้ดวงไม่ดี แถมไม่รู้ว่าดวงของผู้ตายจะ "ชง" กับของตัวเองหรือเปล่า? พูดง่ายๆ คือดวงไม่สมพงศ์กัน อาจจะทำให้ "ดวงตก" ยิ่งกว่าเก่า อย่างมากก็สั่งพวงหรีดไปเคารพศพ หรือส่งซองช่วยทำบุญเท่านั้นเอง
ความเชื่อถือของคนเราย่อมจะแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิติเตียนใดๆ หรอกค่ะ
ดิฉันไม่ใช่คนที่ถือเคร่งขนาดนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ญาติมิตรคนไหนเจ็บไข้ก็ไปเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือโรงพยาบาล ยิ่งงานศพด้วยแล้วถือนัก ถ้าคนรู้จักกัน สนิทสนมตามสมควร ไม่ว่าญาติเขาจะเชิญหรือไม่ก็ต้องไปค่ะ...เป็นการพบกัน แสดงน้ำใจต่อกัน และให้เกียรติกันเป็นครั้งสุดท้าย
จนกระทั่งถึงงานศพครั้งหนึ่ง ทำให้ดิฉันประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุก...แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงภาพนั้นทีไรก็ทำให้ปากคอแห้งผากทุกครั้งไป
ดิฉันทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งแถวสามย่าน ใกล้ๆ กับสถาบันที่เรียนจบมา แต่บ้านอยู่ค่อนข้างไกลคือซอยพระนาง ผิดกับเพื่อนๆในบริษัทอีก 2-3 คนที่อยู่แถวรองเมือง หรือไม่ก็แถวสุริยวงศ์ สีลม
เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บริษัทก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนสนิททุกคนเลยค่ะ!
น่าแปลกอย่างที่ดิฉันต้องไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เดี๋ยวยายเหมียวเป็นหืดหอบอาการหนักต้องเข้าเลิดสิน เดี๋ยวยายมิ้นต์เกิดเป็นไข้เลือดออกต้องไปนอนจุฬาฯ เดี๋ยวพี่ชุดาเป็นลมหมดสติเพราะความดันโลหิตต่ำ ต้องช่วยกันพาเข้าคลินิกใกล้ๆ บริษัท เล่นเอาตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ที่นับว่าร้ายกาจสุดๆ คือสามีพี่จุ๋มประสบอุบัติเหตุ ตอนที่ขับรถออกจากบ้านในซอยข้างวัดแขก โดยรถเมล์เบรกแตกพุ่งเข้าชนจนพี่นพคอหักตายคาที่!
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พี่นพทำงานบริษัทขายเครื่องไฟฟ้า บอกว่ามีงานด่วนครึ่งวัน...ถ้าเป็นวันธรรมดาที่เขาขับรถมาส่งพี่จุ๋มที่บริษัทก่อน? พวกเราคงต้องเสียพี่จุ๋มไปด้วยแน่ๆ
ไม่ต้องเล่าถึงความโศกเศร้าของพี่จุ๋มก็ได้นะคะ เธอเป็นลมแล้วเป็นลมอีก...ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันได้ราวปีเศษ ก่อนที่ดิฉันจะเข้าทำงานไม่กี่เดือน...พวกเราเคยพบพี่นพหลายครั้งเมื่อเขาขับรถมารับพี่จุ๋มกลับบ้านตอนเลิกงาน
สามีภรรยาคู่นี้ดูสมกันมากค่ะ หน้าตาดี มีอัธยาศัย เพื่อนๆ เคยถามว่าพี่จุ๋มจวนจะ "มีน้อง" หรือยัง? คำตอบคือยังไม่มี...จนกระทั่งถึงวันที่พี่นพจากไปตลอดกาล
ศพพี่นพตั้งสวด 7 วันที่วัดใกล้ๆ บริษัทนั่นเอง!
วัดนี้กว้างขวางมาก ศาลาตั้งศพสวดอภิธรรมก็อยู่ไม่ไกลจากประตูวัด พวกเรายกโขยงไปสิบกว่าคน...พี่จุ๋มร้องไห้จนตาบวม ต้องสวมแว่นดำออกมารับแขก บางทีมีญาติสนิทมาปลอบก็ยิ่งทำให้เธอน้ำตาไหลพรากออกมาอีก...
ยายมิ้นต์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกับดิฉันและยายเหมียวว่า...เพิ่งถามพี่จุ๋มเมื่อวานซืนนี้เองว่าจวนมีน้องหรือยัง? คำตอบก็คือ...ว่าจะไปทำกิฟต์ย่ะ! เป็นอันว่าหมดห่วงแทนพี่จุ๋มไปได้ค่ะ เรื่องนี้จะต้องเลี้ยงลูกกำพร้าพ่อเพียงผู้เดียว!
ความตายนี่ช่างโหดร้ายเหลือเกินนะคะ โดยเฉพาะเมื่อมันมาพรากเอาคนที่เรารักไปก่อนจะถึงเวลาอันสมควร
พวกญาติๆ ของพี่จุ๊มที่รู้จักกันก็แวะเวียนมาทักทายและขอบอกขอบใจพวกเรา บางคนพี่จุ๋มก็พามาแนะนำว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ ทั้งญาติของเธอและญาติของพี่นพ...คำพูดก็หนีไม่พ้นจากขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มา...กับเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะ
ความสุขทำให้คนเราช่างพูดช่างคุย แต่ความทุกข์ทำให้เบื้อใบ้กับเงียบงัน!
ช่วงนั้นยังมีการเลี้ยงของว่างกันด้วยค่ะ เป็นเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ที่ช่วยแก้หิวได้ดี เพราะพวกเรารีบร้อนมาฟังสวดจนลืมหาของว่างใส่ท้องไว้ก่อน...พอดีมีคุณน้ากับคุณลุง ญาติฝ่ายเจ้าภาพมาถามว่าได้อาหารกับเครื่องดื่มหรือยัง? เราขอบคุณไปตามระเบียบ ก็มีคุณป้าในชุดนุ่งดำสวมเสื้อลูกไม้ขาวเข้ามาขอบอกขอบใจ หน้าตาใจดี พูดจานุ่มนวลชวนฟังมากค่ะ
"ดิฉันเป็นแม่เขาเองค่ะ ตานพแกทำบุญไว้แค่นี้เอง...ขอบใจที่มาฟังสวดนะจ๊ะ ขอให้พวกหนูจำเริญๆ เถอะ"
เราพนมมือไหว้รับพร คุณป้าก็ขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นๆ พอดีพระท่านสวดอภิธรรมต่อ เราวางแก้วน้ำลงแล้วพนมมือ ยายมิ้นต์พึมพำว่า...น่าสงสารคุณป้านะ ท่าทางผู้ดีจัง!
วันต่อมา ตกเย็นพวกเรากลุ่มเดิมก็ไปฟังสวดศพพี่นพ ตั้งใจว่าจะไปทุกคืนจนถึงวันเผา...คืนนั้นไม่เห็นคุณป้ามาทักทายแขกจนนึกเป็นห่วงว่าจะเจ็บไข้ไป ได้โอกาสก็ถามพี่จุ๋มว่า คืนนี้แม่พี่นพไม่มาอีกหรือ? พี่จุ๋มอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง...แม่พี่นพตายตั้งแต่ก่อนลูกชายแต่งงานด้วยซ้ำ
ยายเหมียวหายใจคร่อกๆ เหมือนโรคหอบหืดจะกำเริบ ส่วนพี่ชุดาทำท่าว่าความดันเลือดจะลดลงพรวดพราดจนต้องคว้าแขนดิฉันไว้...โชคดีที่ต่อจากคืนนั้นจนถึงวันเผาพี่นพ คุณป้าไม่ได้ปรากฏให้พวกเราเห็นอีกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 25 ตุลาคม 2550
24 ตุลาคม 2558
แม่ของเรา
"นายออฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงพยาบาล
เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.3 โรงเรียนที่ใกล้หมู่บ้านมาก ตอนเช้าผมติดรถพ่อมาลงหน้าโรงเรียน ส่วนตอนเย็นผมเดินกลับบ้านได้สบาย...นอกจากจะใกล้บ้านแล้ว โรงเรียนนี้ยังอยู่ติดเป็นรั้วเดียวกับโรงพยาบาลชื่อดังด้วย
เรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่นี่เองครับ!
วันหนึ่ง เพื่อนผมชื่อศราวุธป่วยหนักด้วยอาการไส้ติ่งแตก นี่เป็นเรื่องใหญ่เชียวละ ถ้าเป็นไส้ติ่งธรรมดาแค่ผ่าตัดก็หมดเรื่อง แต่นี่ไส้ติ่งแตกแน่ะ! หนองจะไหลออกมาเต็มช่องท้อง มันเป็นอันตรายและเจ็บปวดมากเชียวละ...แม่ผมบอก
ฉะนั้น อาการของศราวุธจึงหนักเอาการ เขามานอนโรงหมอที่อยู่ติดโรงเรียนเรา ดังนั้นตอนเย็นๆ เพื่อนๆ ก็จะแห่ไปเยี่ยม แต่หมอยังไม่ให้เข้าไปกวนคนไข้
พวกเราก็ได้แต่ชะแง้มอง แล้วก็แยกย้ายกันกลับ
วันที่สี่หลังจากเข้าโรงพยาบาล ตอนเย็นผมถามเพื่อนๆ ว่าจะไปเยี่ยมเขามั้ย? วันนั้นเกิดอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครว่างจะขึ้นไปเยี่ยมเจ้าวุธเลย...แต่ไม่เป็นไร ผมไปคนเดียวก็ได้
หลังเลิกเรียนพิเศษตอนเย็น ผมอ้อยอิ่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่โรงเรียนจนถึงหกโมงกว่าๆ ต่างคนต่างก็กลับบ้าน ผมเดินผ่านโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวเข้าไป...จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องที่ศราวุธนอนรักษาตัวอยู่
ผมเคาะประตูก๊อกๆ แล้วหยุดนิดนึงก่อนจะค่อยๆ เปิดเข้าไป ศราวุธนอนหลับสนิทเลยครับ ผมไม่ปลุกเขาหรอก...และพอก้าวเข้าไปก็รู้ว่าในห้องมีญาติของเขาคนหนึ่งนั่งอยู่เงียบๆ
บนโซฟามีหญิงคนหนึ่งแต่งชุดสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่ เธอเอามือประสานไว้บนตักมองดูศราวุธด้วยสายตาอ่อนโยน และหันมายิ้มกับผม พลางเขยิบตัวเป็นเชิงให้ผมนั่งด้วย ผมยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย กะด้วยสายตา...เธอผู้นี้คงมีอายุพอๆ กับแม่ของผมละครับ!
เธอสวยดี ผมเป็นลอนยาวแค่คอ ติดกิ๊บเพชรดูวาวๆ และมีสร้อยคอไข่มุก...ผมมองเธออย่างไม่เบื่อ ตัวเธอหอมด้วยละ...เหมือนกลิ่นดอกไม้ไม่มีผิด ไม่ใช่ฉุนแบบน้ำหอมทั่วไป
นั่งใกล้ๆ แบบนี้ ผมอบอุ่นอย่างประหลาด อากัปกิริยาของเธอแช่มช้า เรียบร้อย...แต่เธอไม่พูดอะไรเลยสักคำ คงกลัวเจ้าวุธตื่น ผมก็เลยพลอยไม่กล้าพูดไปด้วย
รู้สึกว่าวันนี้แอร์ค่อนข้างจะเย็นกว่าปกติ แต่เป็นเซ็นทรัลแอร์นี่ครับ ผมไม่รู้จะทำยังไง...บางทีเล่นเอาขนลุกซู่เลย
แม้จะนึกชอบเธอ แต่เมื่อนั่งเงียบๆ ไปนานๆ มันก็ชักอึดอัดชอบกล ผมขยับจะลากลับ แต่เหมือนเธอจะรู้ใจ เธอยกมือข้างหนึ่งมาข้างๆ ตัวและยิ้มให้คล้ายจะบอกว่า...อย่าเพิ่งกลับเลย! ผมก็เลยเกรงใจ คิดว่าอีกเดี๋ยวเจ้าวุธตื่นจะได้รู้ว่าผมมาเยี่ยม...ดีเหมือนกัน
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออก ป้าของเจ้าวุธเดินฉับๆ เข้ามา พอเห็นหน้าผมก็ทักเสียงดังเชียว...
ความที่ตกใจ ผมหันขวับมาทางขวามือที่คุณผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่
คุณพระช่วย! โซฟาตรงนั้นว่างเปล่า!!
ผมงงมาก งงไปหมด...อะไรกันนี่? เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ตรงนี้ เพียงแค่พริบตาเดียวเธอหายไปไหนแล้ว?
ผมโดดลุกขึ้นผาง ป้าของเจ้าวุธก็ตกใจ ถามว่าอะไรกัน? ผมปากคอสั่นบอกว่า...เมื่อตะกี้มีคุณน้าผู้หญิงนั่งข้างๆ ผม เธอไม่ใช่คนหรือนี่?!
ป้าเจ้าวุธเอามือทาบอก ถามว่าหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง? ผมก็บอกว่าแต่งสีฟ้า ผมยาวแค่คอ ดัดเป็นลอนๆ หน้าสวย ไม่แต่งหรือพอกเครื่องสำอางเลย และมีสร้อยไข่มุกด้วย...
ปรากฏว่าเธอผู้นั้นคือคุณแม่ของเจ้าศราวุธเองครับ ไม่ใช่ใครอื่น!
คุณแม่ของศราวุธเสียชีวิตไปนานแล้ว ตั้งแต่ศราวุธอายุได้ 7-8 ขวบ ผมไม่ใช่เพื่อนสนิทของเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้...แหม! อุตส่าห์อยู่ห้องเดียวกันมาตั้ง 3 ปี ผมไม่ได้สนใจว่าเจ้าวุธน่ะกำพร้าแม่
ป้าเจ้าวุธร้องโถๆๆ ผมกลัวแทบหัวหงอกแน่ะครับ
ในที่สุด ป้าก็ปลอบว่า อย่ากลัวเลยนะ วิญญาณนั้นมาดี เป็นวิญญาณของแม่ที่รักและห่วงใยลูกอย่างเปี่ยมล้น...ดูซิ! ตายแล้วก็ยังมาเฝ้าดูแล!
ผมไม่กล้ากลับบ้านคนเดียว ต้องโทร.บอกแม่ให้มารับที รออยู่เกือบ 20 นาทีแม่ก็ขับรถมารับ ถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? ผมบอกว่าเปล่าหรอก แต่เพิ่งโดนผีหลอกอย่างจั๋งหนับมาหยกๆ นี่เอง! อึ๋ย...
แล้วผมก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ฟัง...
แม่กลับบอกว่า อย่างนี้เขาไม่เรียกว่ามาหลอกหลอนหรอกนะ แค่เราเห็นเขาเอง...แม่น้ำตาคลอเลยครับ
วันนี้ผมหายกลัวไปนานแล้ว แต่ยังประทับใจ และรู้สึกซาบซึ้งไม่หาย ทำให้ผมรักแม่ขึ้นอีกมากด้วย...แต่ทำไมพอนึกถึงภาพใบหน้าของแม่เจ้าวุธวันนั้นทีไร ผมถึงรู้สึกขนหัวลุก ก็ไม่รู้ซีครับ! เฮ้อ....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2550
เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.3 โรงเรียนที่ใกล้หมู่บ้านมาก ตอนเช้าผมติดรถพ่อมาลงหน้าโรงเรียน ส่วนตอนเย็นผมเดินกลับบ้านได้สบาย...นอกจากจะใกล้บ้านแล้ว โรงเรียนนี้ยังอยู่ติดเป็นรั้วเดียวกับโรงพยาบาลชื่อดังด้วย
เรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่นี่เองครับ!
วันหนึ่ง เพื่อนผมชื่อศราวุธป่วยหนักด้วยอาการไส้ติ่งแตก นี่เป็นเรื่องใหญ่เชียวละ ถ้าเป็นไส้ติ่งธรรมดาแค่ผ่าตัดก็หมดเรื่อง แต่นี่ไส้ติ่งแตกแน่ะ! หนองจะไหลออกมาเต็มช่องท้อง มันเป็นอันตรายและเจ็บปวดมากเชียวละ...แม่ผมบอก
ฉะนั้น อาการของศราวุธจึงหนักเอาการ เขามานอนโรงหมอที่อยู่ติดโรงเรียนเรา ดังนั้นตอนเย็นๆ เพื่อนๆ ก็จะแห่ไปเยี่ยม แต่หมอยังไม่ให้เข้าไปกวนคนไข้
พวกเราก็ได้แต่ชะแง้มอง แล้วก็แยกย้ายกันกลับ
วันที่สี่หลังจากเข้าโรงพยาบาล ตอนเย็นผมถามเพื่อนๆ ว่าจะไปเยี่ยมเขามั้ย? วันนั้นเกิดอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครว่างจะขึ้นไปเยี่ยมเจ้าวุธเลย...แต่ไม่เป็นไร ผมไปคนเดียวก็ได้
หลังเลิกเรียนพิเศษตอนเย็น ผมอ้อยอิ่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่โรงเรียนจนถึงหกโมงกว่าๆ ต่างคนต่างก็กลับบ้าน ผมเดินผ่านโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวเข้าไป...จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องที่ศราวุธนอนรักษาตัวอยู่
ผมเคาะประตูก๊อกๆ แล้วหยุดนิดนึงก่อนจะค่อยๆ เปิดเข้าไป ศราวุธนอนหลับสนิทเลยครับ ผมไม่ปลุกเขาหรอก...และพอก้าวเข้าไปก็รู้ว่าในห้องมีญาติของเขาคนหนึ่งนั่งอยู่เงียบๆ
บนโซฟามีหญิงคนหนึ่งแต่งชุดสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่ เธอเอามือประสานไว้บนตักมองดูศราวุธด้วยสายตาอ่อนโยน และหันมายิ้มกับผม พลางเขยิบตัวเป็นเชิงให้ผมนั่งด้วย ผมยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย กะด้วยสายตา...เธอผู้นี้คงมีอายุพอๆ กับแม่ของผมละครับ!
เธอสวยดี ผมเป็นลอนยาวแค่คอ ติดกิ๊บเพชรดูวาวๆ และมีสร้อยคอไข่มุก...ผมมองเธออย่างไม่เบื่อ ตัวเธอหอมด้วยละ...เหมือนกลิ่นดอกไม้ไม่มีผิด ไม่ใช่ฉุนแบบน้ำหอมทั่วไป
นั่งใกล้ๆ แบบนี้ ผมอบอุ่นอย่างประหลาด อากัปกิริยาของเธอแช่มช้า เรียบร้อย...แต่เธอไม่พูดอะไรเลยสักคำ คงกลัวเจ้าวุธตื่น ผมก็เลยพลอยไม่กล้าพูดไปด้วย
รู้สึกว่าวันนี้แอร์ค่อนข้างจะเย็นกว่าปกติ แต่เป็นเซ็นทรัลแอร์นี่ครับ ผมไม่รู้จะทำยังไง...บางทีเล่นเอาขนลุกซู่เลย
แม้จะนึกชอบเธอ แต่เมื่อนั่งเงียบๆ ไปนานๆ มันก็ชักอึดอัดชอบกล ผมขยับจะลากลับ แต่เหมือนเธอจะรู้ใจ เธอยกมือข้างหนึ่งมาข้างๆ ตัวและยิ้มให้คล้ายจะบอกว่า...อย่าเพิ่งกลับเลย! ผมก็เลยเกรงใจ คิดว่าอีกเดี๋ยวเจ้าวุธตื่นจะได้รู้ว่าผมมาเยี่ยม...ดีเหมือนกัน
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออก ป้าของเจ้าวุธเดินฉับๆ เข้ามา พอเห็นหน้าผมก็ทักเสียงดังเชียว...
ความที่ตกใจ ผมหันขวับมาทางขวามือที่คุณผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่
คุณพระช่วย! โซฟาตรงนั้นว่างเปล่า!!
ผมงงมาก งงไปหมด...อะไรกันนี่? เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ตรงนี้ เพียงแค่พริบตาเดียวเธอหายไปไหนแล้ว?
ผมโดดลุกขึ้นผาง ป้าของเจ้าวุธก็ตกใจ ถามว่าอะไรกัน? ผมปากคอสั่นบอกว่า...เมื่อตะกี้มีคุณน้าผู้หญิงนั่งข้างๆ ผม เธอไม่ใช่คนหรือนี่?!
ป้าเจ้าวุธเอามือทาบอก ถามว่าหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง? ผมก็บอกว่าแต่งสีฟ้า ผมยาวแค่คอ ดัดเป็นลอนๆ หน้าสวย ไม่แต่งหรือพอกเครื่องสำอางเลย และมีสร้อยไข่มุกด้วย...
ปรากฏว่าเธอผู้นั้นคือคุณแม่ของเจ้าศราวุธเองครับ ไม่ใช่ใครอื่น!
คุณแม่ของศราวุธเสียชีวิตไปนานแล้ว ตั้งแต่ศราวุธอายุได้ 7-8 ขวบ ผมไม่ใช่เพื่อนสนิทของเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้...แหม! อุตส่าห์อยู่ห้องเดียวกันมาตั้ง 3 ปี ผมไม่ได้สนใจว่าเจ้าวุธน่ะกำพร้าแม่
ป้าเจ้าวุธร้องโถๆๆ ผมกลัวแทบหัวหงอกแน่ะครับ
ในที่สุด ป้าก็ปลอบว่า อย่ากลัวเลยนะ วิญญาณนั้นมาดี เป็นวิญญาณของแม่ที่รักและห่วงใยลูกอย่างเปี่ยมล้น...ดูซิ! ตายแล้วก็ยังมาเฝ้าดูแล!
ผมไม่กล้ากลับบ้านคนเดียว ต้องโทร.บอกแม่ให้มารับที รออยู่เกือบ 20 นาทีแม่ก็ขับรถมารับ ถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? ผมบอกว่าเปล่าหรอก แต่เพิ่งโดนผีหลอกอย่างจั๋งหนับมาหยกๆ นี่เอง! อึ๋ย...
แล้วผมก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ฟัง...
แม่กลับบอกว่า อย่างนี้เขาไม่เรียกว่ามาหลอกหลอนหรอกนะ แค่เราเห็นเขาเอง...แม่น้ำตาคลอเลยครับ
วันนี้ผมหายกลัวไปนานแล้ว แต่ยังประทับใจ และรู้สึกซาบซึ้งไม่หาย ทำให้ผมรักแม่ขึ้นอีกมากด้วย...แต่ทำไมพอนึกถึงภาพใบหน้าของแม่เจ้าวุธวันนั้นทีไร ผมถึงรู้สึกขนหัวลุก ก็ไม่รู้ซีครับ! เฮ้อ....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2550
23 ตุลาคม 2558
สิ้นเวร!
"เชอรี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโคกสำโรง
ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวสิบเจ็ดปีนี้ หมูเคยอ่านหนังสือและฟังผู้ใหญ่เขาเล่าเรื่องผีมาเยอะแยะ กลัวซีคะ ทำไมจะไม่กลัว! ขนาดผู้ใหญ่หลายคนยังพูดกันเลยว่ากลัวผี ขนาดบางคนไม่เคยถูกผีหลอกก็ยังบอกว่ากลัวผีที่สุด
บางคนบอกว่ากลัวตาย เพราะตายแล้วต้องกลายเป็นผี เมื่อเป็นผีก็ต้องไปอยู่กับผีนะซี เขากลัวผีถึงไม่อยากตาย แต่บางคนก็บอกว่ากลัวตายเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน? ถ้าจะต้องไปอยู่เมืองผี เป็นยังไงก็ไม่รู้? หนูก็นึกว่า อ้อ...เพราะไม่รู้ว่าโลกหน้าเป็นยังไงนี่เล่าคนเราถึงได้กลัวตายกัน
ไม่ว่าคนรวยคนจนล้วนแต่กลัวตายทั้งนั้น จริงไหมคะ?
สงสัยว่าคนฆ่าตัวตายนี่เขาคิดยังไงนะ? คงเป็นอารมณ์วูบเดียวแน่ๆ เลย วิญญาณคงเสียใจร้องไห้พะอืดพะอม เสียดายชีวิต! ใครๆ เขาก็ไม่อยากตาย ขนาดขอทาน หรือคนพิการแขนด้วนขาขาดยังรักชีวิตนี่นา
หลวงพ่อปัญญาท่านยังเคยเทศน์ว่า หมาขี้เรื่อนแท้ๆ มันยังไม่อยากตาย ไม่มีการฆ่าตัวตายซักคน เอ๊ย! ซักตัว แล้วคนเรากว่าจะเกิดยากจะตาย แต่อยู่ๆ มาคิดฆ่าตัวตายจะไม่อายมันมั่งหรือไง?
แถวบ้านหนูมีคนฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้วค่ะ!
พวกอกหัก รักคุดไม่ต้องพูดถึงนะคะ แต่ที่น่าสงสารและน่าเห็นใจก็มีเหมือนกัน เช่นตาผันแกเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นภาระแก่ลูกเมียที่ต้องดูแล ไหนจะเสียเงินทองค่าหมอค่ายา ตาผันเลยผูกคอตายให้หมดทุกข์ ใครๆ รู้ข่าวก็สงสารแกทั้งนั้น บางคนถึงกับหลุดปากว่า...ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอก
พี่จิรภาคนข้างๆ บ้านหนูอีกคน พวกเรารุ่นน้องเรียก "พี่จิ" ผู้ใหญ่เรียก "ไอ้จิ" เป็นคนสวยน่ารัก นิสัยใจคอรื่นเริง สนุกสนาน แต่ก็ต้องประสบเคราะห์มากมายแทบไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะ "ดวงซวย" อะไรได้ขนาดนั้น
พี่จิฆ่าตัวตายค่ะ....
หลายๆ คนพูดว่า...ถ้าเราเป็นไอ้จินะ สาบานว่าไม่อยู่ทนทุกข์ทรมานมาถึงป่านนี้หรอก คงตายไปนานแล้วละ!
พี่จิไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้น อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ แต่กลับมาเยี่ยมบ้านที่โคกสำโรงบ่อยๆ พี่จิยิ่งโตยิ่งสวย มาบ้านทีก็มีขนมมาฝากพวกเรา คุยเรื่องสนุกๆ ในกรุงเทพฯ ให้ฟังจนเราอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ยิ่งเรียนจบทำงานได้ พี่จิก็จะมีของฝากเป็นเสื้อผ้า ตุ๊กตา เครื่องสำอางมาให้พวกเรามากขึ้น
ไม่ว่าใครๆ ก็อยากไปเรียนกรุงเทพฯ อย่างพี่จิ สวยน่ารักเหมือนพี่จิกันทั้งนั้นเลย
บ้านพี่จิค้าขายอยู่ในตลาด พี่ชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยพ่อแม่ น่าแปลกอย่างที่พี่จิไม่ได้มีแฟนที่กรุงเทพฯ แต่กลับมีที่บ้านเกิดชื่อพี่โก้ พ่อแม่ค้าขายอยู่ใกล้ๆ กัน พี่โก้เรียนจบมาจากเชียงใหม่ รูปหล่อ พูดเก่ง ก็น่าให้พี่จิรักมากๆ หรอกค่ะ
เคราะห์กรรมมักจะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ!
วันหนึ่ง พ่อพี่จิถูกรถชนใกล้ๆ บ้านจนสลบคาที่ พี่จิรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาเยี่ยม แต่พ่ออยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายค่ะ พี่โก้มาช่วยงานศพเต็มที่ แม่พี่จิเอาแต่ร้องไห้ไม่เป็นอันทำอะไร พอเสร็จงานก็ล้มเจ็บ นอนแซ่วอยู่กับบ้าน...กว่าจะยอมให้ลูกชายพาไปโรงพยาบาลก็สายเสียแล้ว เพราะเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
เพิ่งเผาพ่อไปไม่ถึงปีก็ต้องมาเผาศพแม่! พี่ชายยอมแพ้ ปิดร้านเลิกค้าขาย เมามายไม่เป็นผู้เป็นคน พี่จิต้องไหว้วานญาติๆ มาช่วยดูแล...ไม่ช้าพี่ชายขี้เมาก็นอนตากน้ำค้างตาย หมอบอกว่าสาเหตุเพราะปอดบวม
ช่วงนั้น พี่จิต้องขับรถไปกลับระหว่างโคกสำโรงกับกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะมีพี่โก้คนเดียวที่เหลืออยู่ และเป็นกำลังใจให้สู้ชีวิตต่อไป
ชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ทับถมไม่รู้จักจบสิ้น!
เขาว่าความทุกข์ชนิดหนึ่ง ย่อมซ้ำเติมความทุกข์อีกชนิดหนึ่งให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นกว่าเดิม
พี่จิลาออกจากงานมาอยู่ที่บ้านเกิด เปิดร้านค้าขายอีกครั้ง...พี่โก้เคยไปๆ มาๆ ก็ชักจะห่างไป...ไม่ช้าก็แจกการ์ดแต่งงานกับลูกสาวข้าราชการคนหนึ่ง คนลือหึ่งทั้งอำเภอเลยค่ะ
ใครๆ ก็สงสารพี่จิกันทั้งนั้น มีคนมาชวนพูดคุยปลอบใจบ่อยๆ แต่พี่จิยังยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม นอกจากท่าทางดูจะเนือยๆ ลง นัยน์ตากลมโตที่เคยสดใสดูแห้งผากราวกับไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง...เช้ามาก็เปิดร้าน มีลูกจ้างผู้หญิงสองคน
พี่โก้แต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่เชียงใหม่ พี่จิดูผ่ายผอมผิดตา...สังเกตว่าขับรถไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ ลูกจ้างเธอมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่าพี่จิเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวค่ะ!
พวกผู้ใหญ่ล้วนแต่สงสารเธอทั้งนั้น แต่ไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง? ดูเหมือนเธออยากปกปิดด้วย หลายคนพูดตรงกันว่าโรคนี้ต้องใช้เงินทองมากมายเดือนละหลายหมื่น ไอ้จิจะไปหาเงินทองมาจากไหน?
"ถ้าเป็นเรานะ ขอตายดีกว่า!"
บางคนพูดตรงๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าพี่จิจะคิดยังไง...แต่หลังจากได้ข่าวว่าเธอเป็นโรคร้ายราวสองเดือน พี่จิก็เกิดอุบัติเหตุ ขับรถชนต้นไม้ข้างทางขณะกลับจากกรุงเทพฯ มาโคกสำโรงตอนกลางคืน...พวกเราไปงานศพเธอที่ดูเงียบเหงา บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจสิ้นดี
ไม่มีใครโดนผีพี่จิรภาหลอกหลอนเลยค่ะ แต่พวกเราก็ล้วนแต่ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เมื่อแน่ใจว่าพี่จิขับรถพุ่งเข้าชนต้นไม้เอง เธอจะได้หมดสิ้นเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์เสียที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2550
ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาวสิบเจ็ดปีนี้ หมูเคยอ่านหนังสือและฟังผู้ใหญ่เขาเล่าเรื่องผีมาเยอะแยะ กลัวซีคะ ทำไมจะไม่กลัว! ขนาดผู้ใหญ่หลายคนยังพูดกันเลยว่ากลัวผี ขนาดบางคนไม่เคยถูกผีหลอกก็ยังบอกว่ากลัวผีที่สุด
บางคนบอกว่ากลัวตาย เพราะตายแล้วต้องกลายเป็นผี เมื่อเป็นผีก็ต้องไปอยู่กับผีนะซี เขากลัวผีถึงไม่อยากตาย แต่บางคนก็บอกว่ากลัวตายเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน? ถ้าจะต้องไปอยู่เมืองผี เป็นยังไงก็ไม่รู้? หนูก็นึกว่า อ้อ...เพราะไม่รู้ว่าโลกหน้าเป็นยังไงนี่เล่าคนเราถึงได้กลัวตายกัน
ไม่ว่าคนรวยคนจนล้วนแต่กลัวตายทั้งนั้น จริงไหมคะ?
สงสัยว่าคนฆ่าตัวตายนี่เขาคิดยังไงนะ? คงเป็นอารมณ์วูบเดียวแน่ๆ เลย วิญญาณคงเสียใจร้องไห้พะอืดพะอม เสียดายชีวิต! ใครๆ เขาก็ไม่อยากตาย ขนาดขอทาน หรือคนพิการแขนด้วนขาขาดยังรักชีวิตนี่นา
หลวงพ่อปัญญาท่านยังเคยเทศน์ว่า หมาขี้เรื่อนแท้ๆ มันยังไม่อยากตาย ไม่มีการฆ่าตัวตายซักคน เอ๊ย! ซักตัว แล้วคนเรากว่าจะเกิดยากจะตาย แต่อยู่ๆ มาคิดฆ่าตัวตายจะไม่อายมันมั่งหรือไง?
แถวบ้านหนูมีคนฆ่าตัวตายไปหลายคนแล้วค่ะ!
พวกอกหัก รักคุดไม่ต้องพูดถึงนะคะ แต่ที่น่าสงสารและน่าเห็นใจก็มีเหมือนกัน เช่นตาผันแกเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นภาระแก่ลูกเมียที่ต้องดูแล ไหนจะเสียเงินทองค่าหมอค่ายา ตาผันเลยผูกคอตายให้หมดทุกข์ ใครๆ รู้ข่าวก็สงสารแกทั้งนั้น บางคนถึงกับหลุดปากว่า...ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองก็ไม่รู้หรอก
พี่จิรภาคนข้างๆ บ้านหนูอีกคน พวกเรารุ่นน้องเรียก "พี่จิ" ผู้ใหญ่เรียก "ไอ้จิ" เป็นคนสวยน่ารัก นิสัยใจคอรื่นเริง สนุกสนาน แต่ก็ต้องประสบเคราะห์มากมายแทบไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะ "ดวงซวย" อะไรได้ขนาดนั้น
พี่จิฆ่าตัวตายค่ะ....
หลายๆ คนพูดว่า...ถ้าเราเป็นไอ้จินะ สาบานว่าไม่อยู่ทนทุกข์ทรมานมาถึงป่านนี้หรอก คงตายไปนานแล้วละ!
พี่จิไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้น อาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ แต่กลับมาเยี่ยมบ้านที่โคกสำโรงบ่อยๆ พี่จิยิ่งโตยิ่งสวย มาบ้านทีก็มีขนมมาฝากพวกเรา คุยเรื่องสนุกๆ ในกรุงเทพฯ ให้ฟังจนเราอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ยิ่งเรียนจบทำงานได้ พี่จิก็จะมีของฝากเป็นเสื้อผ้า ตุ๊กตา เครื่องสำอางมาให้พวกเรามากขึ้น
ไม่ว่าใครๆ ก็อยากไปเรียนกรุงเทพฯ อย่างพี่จิ สวยน่ารักเหมือนพี่จิกันทั้งนั้นเลย
บ้านพี่จิค้าขายอยู่ในตลาด พี่ชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยพ่อแม่ น่าแปลกอย่างที่พี่จิไม่ได้มีแฟนที่กรุงเทพฯ แต่กลับมีที่บ้านเกิดชื่อพี่โก้ พ่อแม่ค้าขายอยู่ใกล้ๆ กัน พี่โก้เรียนจบมาจากเชียงใหม่ รูปหล่อ พูดเก่ง ก็น่าให้พี่จิรักมากๆ หรอกค่ะ
เคราะห์กรรมมักจะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ!
วันหนึ่ง พ่อพี่จิถูกรถชนใกล้ๆ บ้านจนสลบคาที่ พี่จิรู้ข่าวก็รีบบึ่งมาเยี่ยม แต่พ่ออยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายค่ะ พี่โก้มาช่วยงานศพเต็มที่ แม่พี่จิเอาแต่ร้องไห้ไม่เป็นอันทำอะไร พอเสร็จงานก็ล้มเจ็บ นอนแซ่วอยู่กับบ้าน...กว่าจะยอมให้ลูกชายพาไปโรงพยาบาลก็สายเสียแล้ว เพราะเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
เพิ่งเผาพ่อไปไม่ถึงปีก็ต้องมาเผาศพแม่! พี่ชายยอมแพ้ ปิดร้านเลิกค้าขาย เมามายไม่เป็นผู้เป็นคน พี่จิต้องไหว้วานญาติๆ มาช่วยดูแล...ไม่ช้าพี่ชายขี้เมาก็นอนตากน้ำค้างตาย หมอบอกว่าสาเหตุเพราะปอดบวม
ช่วงนั้น พี่จิต้องขับรถไปกลับระหว่างโคกสำโรงกับกรุงเทพฯ ดูเหมือนจะมีพี่โก้คนเดียวที่เหลืออยู่ และเป็นกำลังใจให้สู้ชีวิตต่อไป
ชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ทับถมไม่รู้จักจบสิ้น!
เขาว่าความทุกข์ชนิดหนึ่ง ย่อมซ้ำเติมความทุกข์อีกชนิดหนึ่งให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นกว่าเดิม
พี่จิลาออกจากงานมาอยู่ที่บ้านเกิด เปิดร้านค้าขายอีกครั้ง...พี่โก้เคยไปๆ มาๆ ก็ชักจะห่างไป...ไม่ช้าก็แจกการ์ดแต่งงานกับลูกสาวข้าราชการคนหนึ่ง คนลือหึ่งทั้งอำเภอเลยค่ะ
ใครๆ ก็สงสารพี่จิกันทั้งนั้น มีคนมาชวนพูดคุยปลอบใจบ่อยๆ แต่พี่จิยังยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม นอกจากท่าทางดูจะเนือยๆ ลง นัยน์ตากลมโตที่เคยสดใสดูแห้งผากราวกับไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง...เช้ามาก็เปิดร้าน มีลูกจ้างผู้หญิงสองคน
พี่โก้แต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่เชียงใหม่ พี่จิดูผ่ายผอมผิดตา...สังเกตว่าขับรถไปกรุงเทพฯ บ่อยๆ ลูกจ้างเธอมาเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่าพี่จิเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวค่ะ!
พวกผู้ใหญ่ล้วนแต่สงสารเธอทั้งนั้น แต่ไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง? ดูเหมือนเธออยากปกปิดด้วย หลายคนพูดตรงกันว่าโรคนี้ต้องใช้เงินทองมากมายเดือนละหลายหมื่น ไอ้จิจะไปหาเงินทองมาจากไหน?
"ถ้าเป็นเรานะ ขอตายดีกว่า!"
บางคนพูดตรงๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าพี่จิจะคิดยังไง...แต่หลังจากได้ข่าวว่าเธอเป็นโรคร้ายราวสองเดือน พี่จิก็เกิดอุบัติเหตุ ขับรถชนต้นไม้ข้างทางขณะกลับจากกรุงเทพฯ มาโคกสำโรงตอนกลางคืน...พวกเราไปงานศพเธอที่ดูเงียบเหงา บรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจสิ้นดี
ไม่มีใครโดนผีพี่จิรภาหลอกหลอนเลยค่ะ แต่พวกเราก็ล้วนแต่ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เมื่อแน่ใจว่าพี่จิขับรถพุ่งเข้าชนต้นไม้เอง เธอจะได้หมดสิ้นเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์เสียที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2550
22 ตุลาคม 2558
ผีน้ำ!!
"นายเหน่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้าน้ำท่วมที่บางบาล
พวกผมเป็นคนภาคกลางตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา เวลาเกิดน้ำท่วมหนักปีไหน คนอยุธยา หรือสมัยปู่ย่าตาทวดเรียกตัวเองว่า "คนกรุงเก่า" ต้องรับเวรรับกรรมหนักกว่าเพื่อนมาหลายปีแล้วละครับ
พูดถึงอยุธยา...แหม! คนจังหวัดอื่นหาว่าพวกผมใจคอโหดร้าย อาชญากรชุกชุมยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝน ไม่ว่า ปล้น, ฆ่า, ข่มขื่น, ชิงทรัพย์ แถมใช้วิธีโหดเหี้ยมป่าเถื่อนเหลือเชื่อจริงๆ เอ้า...ปีกลายก็เอาก้อนหินเขวี้ยงใส่รถตลกจนตายดับมาแล้ว!
มาปีนี้ เกิดข่าวอื้อฉาวว่าไอ้วายร้ายมันมารอยเดิมอีกแล้ว เล่นงานจนคนขับรถหน้าแตก ตาหวิดบอด ต้องนอนแซ่วอยู่ที่โรงพยาบาล...ถามว่าตำรวจทำอะไรอยู่?
โธ่! ทำงานตัวเป็นเกลียวน่ะซีครับ คดีมันเยอะ โจรมันแยะ ไหนจะพวกค้ายาบ้า ยาอียาไอซ์ ไหนจะพวกหวยเถื่อนอีกล่ะ ไม่มีเลขท้ายบนดินมาเกือบปีแบบนี้ แหม...ธุรกิจมันยุ่งเหยิงเป็นเรื่องรามเกียรติ์อย่าบอกใครเชียว
คือยุ่งทั้งเจ้ามือหวยใต้ดิน ยุ่งทั้งตำรวจ น้ำขึ้นต้องรีบตัก ขืนใครมัวถือคติช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม มีหวังตอนปลายปีเขาออกหวยบนดินอีกครั้งแล้วจะน้ำไหลออกตา!
ตำรวจยิ่งมีน้อย แต่คนร้ายเยอะนะครับ วันดีคืนดีก็มีสาวคาราโอเกะถูกตำรวจตื๊อไปหาความสุขกัน สาวเจ้าไม่ยอมเลยแขนขาด...สาบานว่าโดนตำรวจขับมอเตอร์ไซค์ไล่ฟัน แต่ตำรวจยืนว่าโดนสิบล้อเฉี่ยวจนแขนขาดต่างหากล่ะ? ฟังคำให้การแล้วไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่ขนหัวลุกตั้งไปตามๆ กัน
เจ้านายกับลูกน้องรักกันดีครับ ประชาชนตาดำๆ อย่างพวกผมน่ะซีที่ต้องรับกรรม พูดไม่ออก ได้แต่กลอกตา...ป่านนี้ยอดตำรวจนายนั้นจะได้เลื่อนยศหรือเปล่าก็ไม่ทราบเห็นข่าวคราวเงียบๆ ไป
ระยะหลังๆ ราว 3-4 ปีมานี่ คนกรุงเก่าเคราะห์หามยามร้ายสาหัสจริงๆ ครับ
น้ำท่วมนี่แหละเรื่องใหญ่ ชาวเสนา ชาวบางบาลอย่างพวกผมอยู่ที่ลุ่มนี่ครับ พอน้ำมาก็รับเต็มๆ ก่อนเพื่อนเชียว ปีกลายกรมชลไม่ยัก "ระบายน้ำ" มาแต่เนิ่นๆ กลับมา "ปล่อยน้ำ" เอาตอนฝนตกหนักแทบจะล้นเขื่อน...อ้างว่าไม่นึกนี่นา ว่าฝนมันจะหนักขนาดนี้ กรมอุตุฯเคยเตือนแล้วก็จริง แต่ไม่อยากเชื่อ
ถ้าขืนบ้าจี้ระบายน้ำออกมาแล้วเกิดฝนไม่ตกล่ะ น้ำท่าขาดแคลนขึ้นมาขอถามหน่อยเถอะว่าใครจะโดนด่า? กรมชลฯ น่ะซีปั๊ดโธ่!
ปีนี้ก็มาแบบเดียวกับปีกลายอีกแล้วครับ สงสัยอธิบดีท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยมานาน อยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว ไม่มีใครคิดช่วยเหลือท่านมั่ง หาคนอื่นๆ มาทำงานแทน...แค่น้ำทำท่าจะล้นเขื่อนก็สั่งปล่อยน้ำทันที ไร่นาบ้านเรือนใครจะล่มจมช่างมัน ต้องรักษาเขื่อนไว้ก่อน เดี๋ยวก็เจอปัญหาเขื่อนร้าวเขื่อนแตกไม่สาหัสกว่าเรอะ?
ผมเป็นคนคลองบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล พูดให้ชัดๆ ลงไปเลย สมัยก่อนไปเรียนกรุงเทพฯ กลับบ้านทีก็ต้องขึ้นรถไฟมา ต่อรถอยุธยา- อ่างทองมาลงก่อนถึงป่าโมก เดินผ่านวัดจุฬามณีไปถึงแม่น้ำ...ต่อเรือข้ามฟากแบบโยงเชือกอีกทีก็ไปขึ้นที่ท่าน้ำ ย่ำต๊อกไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตรกว่าจะถึงบ้าน
สองข้างทางเปลี่ยวอย่าบอกใครเชียวคุณเอ๋ย!
ซ้ายมือเป็นวัดโบสถ์และหมู่บ้านที่อยู่ติดคลองบ้านกุ่ม ทางขวาเป็นดงสะแก ถัดเข้าไปเป็นป่าช้าครับ สองข้างมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ไม่ว่ามะม่วง มะขาม ก้ามปู ยามลมพัดจนยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่า ขนาดกลางวันพวกเด็กๆ ยังต้องจ้ำอ้าวไปตามๆ กัน
"ผีหลอกโว้ย! ผีหลอกแล้ว..." คนปากเปราะมันแหกปากขึ้นดื้อๆ แล้วใครจะกล้าเล่นต่อล่ะครับ? บรื๋ออออ...บางทีมาเล่นไล่จับหรือซ่อนแอบกันเพลิน จู่ๆ เสียงหัวเราะครืนมาจากยอดไม้ใกล้กับป่าช้า หมูหมาหอนโจว๋...คราวนี้ไม่จ้ำละครับ แต่วิ่งอ้าวแทบไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงบ้านก็หอบฮั่กๆ เพราะเหนื่อยแทบขาดใจตาย
ผมยังจำภาพน้ำท่วมสมัยเด็กๆ ไม่เคยลืมเลย!
บางบาลถูกแช่อยู่ในน้ำ ไม่ว่าบางชะนี, กบเจ่า ล้วนแต่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จะไปไหนก็ต้องอาศัยเรือ ไม่ว่าในคลอง ลานบ้าน ถนน หรือข้ามไปทุ่งนา...ต้นข้าวงอกพ้นน้ำเป็นสายเชียว เหมือนสายบัวไม่มีผิด ...ผมไปถูกผีหลอกเอาที่ทุ่งนาหน้าบ้านนี่เอง
สาเหตุคือพายเรือไปเก็บสายบัวกันครับ มองดูสายน้ำเวิ้งว้างไปหมด เห็นแต่ยอดตาลโด่เด่เป็นกลุ่มๆ ลมพัดเย็นเยือกน่าวังเวงใจพอลึก ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า
วันนั้นผมไปกับพี่สาวตอนสายๆ มองไม่เห็นถนนแล้ว ใครเดินก็ต้องลุยน้ำแค่เอว ถ้าลงนาก็คงหวิดมิดหัว ขณะกำลังเก็บสายบัวเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงจ๋อมๆ หันไปมองก็ไม่เห็นใคร...นึกถึงลูกชายลุงพรำที่ตกจากยอดตาลลงมาตายเมื่อปีก่อน เขาว่าผีดุเหลือกำลังนัก
ทันใดนั้นเอง พี่สาวก็ร้องว่านั่นใคร? ผมหันไปเห็นร่างดำๆ กำลังเดินลุยน้ำราวครึ่งแข้งมาจากดงตาล ก้มหน้าก้มตาจนมองไม่ถนัด...แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ เฮ้ย! มันต้องเกือบมิดหัวนะ ไม่ใช่ครึ่งแข้ง!
อ้าปากค้างตะลึงมอง ร่างดำๆ ที่เดินจ๋อมๆ ใกล้เข้ามา กลิ่นเหม็นสาบสางลอยเข้าจมูก เสียงพี่สาวดังว่า...ผีหลอก! ผมเองก็ลืมตัวซะสนิท อารามกลัวสุดขีดถึงกับกระโดดลงจากเรือ พี่สาวร้องว้ายๆ จ้ำพายไม่คิดชีวิต ผมเองก็ว่ายลิ่วลืมตาย ได้ยินเสียงปีศาจหัวเราะแหบโหยไล่หลังมาติดๆ
เดชะบุญที่เรือไม่ล่ม ผมเองก็ไม่จมน้ำตายซะก่อน...เข็ดหลาบไม่กล้าออกทุ่งนาอีกแล้ว ยกเว้นจะไปกันเป็นโขยง ขนาดกลางวันแสกๆ ยังโดนผีหลอกนี่นา...ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2550
พวกผมเป็นคนภาคกลางตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา เวลาเกิดน้ำท่วมหนักปีไหน คนอยุธยา หรือสมัยปู่ย่าตาทวดเรียกตัวเองว่า "คนกรุงเก่า" ต้องรับเวรรับกรรมหนักกว่าเพื่อนมาหลายปีแล้วละครับ
พูดถึงอยุธยา...แหม! คนจังหวัดอื่นหาว่าพวกผมใจคอโหดร้าย อาชญากรชุกชุมยิ่งกว่าดอกเห็ดหน้าฝน ไม่ว่า ปล้น, ฆ่า, ข่มขื่น, ชิงทรัพย์ แถมใช้วิธีโหดเหี้ยมป่าเถื่อนเหลือเชื่อจริงๆ เอ้า...ปีกลายก็เอาก้อนหินเขวี้ยงใส่รถตลกจนตายดับมาแล้ว!
มาปีนี้ เกิดข่าวอื้อฉาวว่าไอ้วายร้ายมันมารอยเดิมอีกแล้ว เล่นงานจนคนขับรถหน้าแตก ตาหวิดบอด ต้องนอนแซ่วอยู่ที่โรงพยาบาล...ถามว่าตำรวจทำอะไรอยู่?
โธ่! ทำงานตัวเป็นเกลียวน่ะซีครับ คดีมันเยอะ โจรมันแยะ ไหนจะพวกค้ายาบ้า ยาอียาไอซ์ ไหนจะพวกหวยเถื่อนอีกล่ะ ไม่มีเลขท้ายบนดินมาเกือบปีแบบนี้ แหม...ธุรกิจมันยุ่งเหยิงเป็นเรื่องรามเกียรติ์อย่าบอกใครเชียว
คือยุ่งทั้งเจ้ามือหวยใต้ดิน ยุ่งทั้งตำรวจ น้ำขึ้นต้องรีบตัก ขืนใครมัวถือคติช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม มีหวังตอนปลายปีเขาออกหวยบนดินอีกครั้งแล้วจะน้ำไหลออกตา!
ตำรวจยิ่งมีน้อย แต่คนร้ายเยอะนะครับ วันดีคืนดีก็มีสาวคาราโอเกะถูกตำรวจตื๊อไปหาความสุขกัน สาวเจ้าไม่ยอมเลยแขนขาด...สาบานว่าโดนตำรวจขับมอเตอร์ไซค์ไล่ฟัน แต่ตำรวจยืนว่าโดนสิบล้อเฉี่ยวจนแขนขาดต่างหากล่ะ? ฟังคำให้การแล้วไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่ขนหัวลุกตั้งไปตามๆ กัน
เจ้านายกับลูกน้องรักกันดีครับ ประชาชนตาดำๆ อย่างพวกผมน่ะซีที่ต้องรับกรรม พูดไม่ออก ได้แต่กลอกตา...ป่านนี้ยอดตำรวจนายนั้นจะได้เลื่อนยศหรือเปล่าก็ไม่ทราบเห็นข่าวคราวเงียบๆ ไป
ระยะหลังๆ ราว 3-4 ปีมานี่ คนกรุงเก่าเคราะห์หามยามร้ายสาหัสจริงๆ ครับ
น้ำท่วมนี่แหละเรื่องใหญ่ ชาวเสนา ชาวบางบาลอย่างพวกผมอยู่ที่ลุ่มนี่ครับ พอน้ำมาก็รับเต็มๆ ก่อนเพื่อนเชียว ปีกลายกรมชลไม่ยัก "ระบายน้ำ" มาแต่เนิ่นๆ กลับมา "ปล่อยน้ำ" เอาตอนฝนตกหนักแทบจะล้นเขื่อน...อ้างว่าไม่นึกนี่นา ว่าฝนมันจะหนักขนาดนี้ กรมอุตุฯเคยเตือนแล้วก็จริง แต่ไม่อยากเชื่อ
ถ้าขืนบ้าจี้ระบายน้ำออกมาแล้วเกิดฝนไม่ตกล่ะ น้ำท่าขาดแคลนขึ้นมาขอถามหน่อยเถอะว่าใครจะโดนด่า? กรมชลฯ น่ะซีปั๊ดโธ่!
ปีนี้ก็มาแบบเดียวกับปีกลายอีกแล้วครับ สงสัยอธิบดีท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยมานาน อยากจะพักผ่อนเต็มทีแล้ว ไม่มีใครคิดช่วยเหลือท่านมั่ง หาคนอื่นๆ มาทำงานแทน...แค่น้ำทำท่าจะล้นเขื่อนก็สั่งปล่อยน้ำทันที ไร่นาบ้านเรือนใครจะล่มจมช่างมัน ต้องรักษาเขื่อนไว้ก่อน เดี๋ยวก็เจอปัญหาเขื่อนร้าวเขื่อนแตกไม่สาหัสกว่าเรอะ?
ผมเป็นคนคลองบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล พูดให้ชัดๆ ลงไปเลย สมัยก่อนไปเรียนกรุงเทพฯ กลับบ้านทีก็ต้องขึ้นรถไฟมา ต่อรถอยุธยา- อ่างทองมาลงก่อนถึงป่าโมก เดินผ่านวัดจุฬามณีไปถึงแม่น้ำ...ต่อเรือข้ามฟากแบบโยงเชือกอีกทีก็ไปขึ้นที่ท่าน้ำ ย่ำต๊อกไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตรกว่าจะถึงบ้าน
สองข้างทางเปลี่ยวอย่าบอกใครเชียวคุณเอ๋ย!
ซ้ายมือเป็นวัดโบสถ์และหมู่บ้านที่อยู่ติดคลองบ้านกุ่ม ทางขวาเป็นดงสะแก ถัดเข้าไปเป็นป่าช้าครับ สองข้างมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ไม่ว่ามะม่วง มะขาม ก้ามปู ยามลมพัดจนยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่า ขนาดกลางวันพวกเด็กๆ ยังต้องจ้ำอ้าวไปตามๆ กัน
"ผีหลอกโว้ย! ผีหลอกแล้ว..." คนปากเปราะมันแหกปากขึ้นดื้อๆ แล้วใครจะกล้าเล่นต่อล่ะครับ? บรื๋ออออ...บางทีมาเล่นไล่จับหรือซ่อนแอบกันเพลิน จู่ๆ เสียงหัวเราะครืนมาจากยอดไม้ใกล้กับป่าช้า หมูหมาหอนโจว๋...คราวนี้ไม่จ้ำละครับ แต่วิ่งอ้าวแทบไม่คิดชีวิต กว่าจะถึงบ้านก็หอบฮั่กๆ เพราะเหนื่อยแทบขาดใจตาย
ผมยังจำภาพน้ำท่วมสมัยเด็กๆ ไม่เคยลืมเลย!
บางบาลถูกแช่อยู่ในน้ำ ไม่ว่าบางชะนี, กบเจ่า ล้วนแต่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน จะไปไหนก็ต้องอาศัยเรือ ไม่ว่าในคลอง ลานบ้าน ถนน หรือข้ามไปทุ่งนา...ต้นข้าวงอกพ้นน้ำเป็นสายเชียว เหมือนสายบัวไม่มีผิด ...ผมไปถูกผีหลอกเอาที่ทุ่งนาหน้าบ้านนี่เอง
สาเหตุคือพายเรือไปเก็บสายบัวกันครับ มองดูสายน้ำเวิ้งว้างไปหมด เห็นแต่ยอดตาลโด่เด่เป็นกลุ่มๆ ลมพัดเย็นเยือกน่าวังเวงใจพอลึก ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า
วันนั้นผมไปกับพี่สาวตอนสายๆ มองไม่เห็นถนนแล้ว ใครเดินก็ต้องลุยน้ำแค่เอว ถ้าลงนาก็คงหวิดมิดหัว ขณะกำลังเก็บสายบัวเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงจ๋อมๆ หันไปมองก็ไม่เห็นใคร...นึกถึงลูกชายลุงพรำที่ตกจากยอดตาลลงมาตายเมื่อปีก่อน เขาว่าผีดุเหลือกำลังนัก
ทันใดนั้นเอง พี่สาวก็ร้องว่านั่นใคร? ผมหันไปเห็นร่างดำๆ กำลังเดินลุยน้ำราวครึ่งแข้งมาจากดงตาล ก้มหน้าก้มตาจนมองไม่ถนัด...แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ เฮ้ย! มันต้องเกือบมิดหัวนะ ไม่ใช่ครึ่งแข้ง!
อ้าปากค้างตะลึงมอง ร่างดำๆ ที่เดินจ๋อมๆ ใกล้เข้ามา กลิ่นเหม็นสาบสางลอยเข้าจมูก เสียงพี่สาวดังว่า...ผีหลอก! ผมเองก็ลืมตัวซะสนิท อารามกลัวสุดขีดถึงกับกระโดดลงจากเรือ พี่สาวร้องว้ายๆ จ้ำพายไม่คิดชีวิต ผมเองก็ว่ายลิ่วลืมตาย ได้ยินเสียงปีศาจหัวเราะแหบโหยไล่หลังมาติดๆ
เดชะบุญที่เรือไม่ล่ม ผมเองก็ไม่จมน้ำตายซะก่อน...เข็ดหลาบไม่กล้าออกทุ่งนาอีกแล้ว ยกเว้นจะไปกันเป็นโขยง ขนาดกลางวันแสกๆ ยังโดนผีหลอกนี่นา...ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2550
19 ตุลาคม 2558
ขยะรับวิญญาณ
"จารวี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกองขยะในบ้าน
ตั้งแต่จำความได้จนอายุเกือบมีเลขสามนำหน้า เคยเห็นคนสะสมข้าวของเงินทองต่างๆ นานามาก็นับไม่ถ้วน ทั้งสะสมพระเครื่อง, นาฬิกา, ปากกา, ไฟแช็ก, แสตมป์, ธนบัตรและเหรียญเก่าๆ หนังสือ, ปฏิทิน, ลอตเตอรี่และตั๋วรถเมล์, ต้นไม้, รูปภาพดารา, ตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะปีเกิด...โอ๊ย! จาระไนไม่หวาดไม่ไหว
แต่มีนักสะสมแปลกประหลาดที่สุดอยู่ใกล้บ้าน คือเป็นนักสะสมขยะค่ะ!
...ไม่ใช่พวกซาเล้ง หรือยังชีพด้วยการเก็บของเก่าตามถังขยะขาย แค่เป็นคุณตาวัย 70 เศษบ้านตรงข้ามดิฉัน อยู่แถวดินแดงที่ทะลุไปออกรัชดาภิเษกนี่เอง
บ้านนี้เป็นตึกสองชั้นค่อนข้างเก่า สีกะเทาะล่อนหลายแห่ง ตามรั้วอิฐบล็อกก็แตกร้าว มีตะไคร่จับตามรอยน้ำไหล ต้นโพธิ์เล็กๆ แทรกขึ้นมา บริเวณกว้างราวครึ่งไร่ปลูกต้นไม้ร่มครึ้ม พวกมะม่วง, มะขาม, มะยม, มะละกอ พวกไม้ดอกแทบไม่มีเลย
คุณตาเป็นข้าราชการบำนาญ นิสัยเก็บตัว ตั้งแต่เกษียณแล้วก็ไม่ค่อยเห็นไปไหน นอกจากลูกสาว 3 คน อายุรุ่นพี่ดิฉันที่ขับรถคนละคันออกไปทำงาน...เป็นคนเงียบๆ เฉยๆ ไม่สุงสิงกับเพื่อนบ้านคล้ายๆ พ่อแม่มาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วค่ะ
ทั้ง 3 สามสาวยังเป็นโสด ส่วนดิฉันเพิ่งมีลูกชายขวบเศษ มีตายายกับพี่เลี้ยงคอยดูแล เวลาสามีกับดิฉันออกไปทำงาน...น่าแปลกอีกอย่างก็คือ บ้านนั้นแทบจะไม่เคยมีแขกมาหาทั้ง 3 สาวพี่ก็ไม่เคยมีเพื่อนฝูงมาบ้านสักคน
คนในซอยนินทาแบบเห็นใจว่า...ใครจะอยากพาเพื่อนมาบ้านที่มีขยะเป็นภูเขาเลากา เพราะพ่อขนเข้าบ้านทุกวันมั่งล่ะ ลูกเมียห้ามก็โกรธปึงปังแทบบ้านแตกแน่ะ!
ตอนเช้ามืด ก่อนพระจะเข้ามาบิณฑบาต ร่างผอมสูงของคุณตาก็จะเปิดประตูเล็กออกไปยืนเมียงมองที่กองขยะ โดยเฉพาะขยะแห้งหรือรีไซเคิลจะชอบมาก มีคนเอาของเก่ามาทิ้งบ่อยๆ ถึงแม้จะไม่เล่ารายละเอียดก็คงนึกภาพออกนะคะว่ามีอะไรบ้าง
ดิฉันขอเล่าเฉพาะกองขยะที่มองเห็นรอบบ้านมาสิบกว่าปีแล้ว...
กล่องนมที่พับจนแบนมัดรวมกันเป็นปึกๆ กระป๋องเครื่องดื่มในถังพลาสติกแตกรั่ว หูหลุด ขวดน้ำในหลัวเก่าๆ เศษไม้แค่ศอกเดียวก็มี ยาวเป็นวาก็มี กรอบไม้แบบเก่าที่ยังมีรูปถ่ายสีซีดๆ จะเป็นรูปที่เขาเคยตั้งหน้าศพหรือเปล่าก็ไม่รู้...บรื๋อส์!
ที่เล่ามาน่ะถือว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ นะคะ
สายยางสีดำๆ สายท่อหยักๆ, แบตเตอรี่ผุพัง, กระป๋องสีขนาดต่างๆ ตุ๊กตาผ้ากับพลาสติก, รถจักรยานหักกลางขึ้นสนิม, รถสามล้อสำหรับเด็กขี่เล่นที่ไม่มีล้อ, แผงไฟฟ้า, ขดลวด, สายไฟขาดๆ เชือกไนลอน, ท่อนเหล็กสนิมเขรอะหลายขนาด, ลังกระดาษใส่ขวดน้ำพลาสติก
วิทยุ, ทีวีเก่าหลายสิบปี 5-6 เครื่อง ทั้งจอเล็กๆ จนถึงจอ 17 นิ้ว, เครื่องเล่นวิดีโอ แบบเล่นอย่างเดียวเครื่องเล็ก ทั้งเล่นและอัดได้เครื่องใหญ่ คอมพิวเตอร์อีก 3 เครื่อง...คิดว่าช่างเก่งๆ เห็นเข้าก็คงเบือนหน้าหนีทั้งนั้นแหละ
เสื่อน้ำมัน, ผ้าใบ, กระเบื้องลอนคู่, แอร์เปล่า, ฝาตู้เย็น, กลายเป็นที่เก็บขยะสารพัดชนิดที่โยนทับถมกันจนล้นออกมาเกลื่อนกลาด...แค่นี้ดิฉันก็อ่อนใจเต็มทีแล้วค่ะ
ของสำคัญก็คือ โซฟาที่เอียงลงไปกองกับดิน, เก้าอี้เหล็กก้นทะลุ, เก้าอี้นวมขนาดใหญ่ แต่ที่เท้าแขนมีข้างเดียว, เก้าอี้นั่งบุหนังสีคล้ำจนไม่ทราบว่าเป็นสีเดิมหรือเพราะเก่าแก่กันแน่ เรียงรายกันอยู่ข้างรั้วเหมือนเป็นเครื่องประดับอันน่าภาคภูมิใจ
บรรดาขยะทั้งหลายแหล่น่ะ ดิฉันเล่าถึงยังไม่ถึงครึ่งนะคะ เหนื่อยใจ...และนี่ยังไม่นับของล้ำค่า ที่พวกเราเรียกว่า "ขยะ" น่ะ คุณตาท่านเอาไปเก็บไว้ในบ้านอีกมากมายเท่าไหร่...เคยมีคนในซอยไปเยี่ยมคุณยายแล้วเอามาเล่าว่า ในบ้านน่ะแทบจะไม่มีที่จ่อมก้นนั่งเสียด้วยซ้ำไป
ความสุขของท่านนะคะ ไม่อยากคิดอะไรมาก แม้จะเคยได้ยินจิตแพทย์บอกกล่าวทางทีวีว่า คนประเภทนี้ขาดความอบอุ่น ต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ...เชื่อว่าข้าวของที่ใครๆ เขาบอกว่าเป็นขยะนั่นแหละคือที่พึ่งพิงของจิตใจ!
พูดกันเล่นๆ ว่าถ้าคิดจะขนขยะพวกนั้นไปทิ้งต้องใช้รถสิบล้อหลายคันถึงจะหมด
เรื่องน่าขนหัวลุกในบ้านนั่นน่ะ พวกเราได้ยินมาหลายปีแล้วค่ะ..คือมีคนเดินผ่านรั้วเตี้ยๆ ราว 1 เมตร ส่วนบนเป็นเหล็กโปร่งรูปสี่เหลี่ยม...เขาเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผมฟู กำลังขี่รถสามล้อเล่นอยู่ตามใต้ต้นไม้ ทั้งๆ ที่บ้านนั้นไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียว
บางคนบอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ เลยหันไปดูก็แทบช็อกตาย เมื่อเห็นตุ๊กตาลุกขึ้นมาเต้นระบำ เห็นชัดเจนในแสงไฟฟ้าข้างถนน เล่นเอาเผ่นอ้าวจนจับไข้ไปหลายวัน
ดิฉันเคยเห็นครั้งเดียวเมื่อต้นปีนี้เอง!
คืนนั้นราว 3 ทุ่มได้ เราดูข่าวจบแล้วก็ไปยืนคุยกันที่ระเบียงหน้าห้องนอน ฟ้าสวยมากค่ะ จันทร์เต็มดวงส่องแสงขาวนวล ลมหนาวพัดลู่มาตามสุมทุมพุ่มไม้...เสียงหัวเราะจากบ้านตรงข้ามก็ล่องลอยมาตามลม
เราหันไปมองพร้อมๆ กัน...ใต้เงาไม้และแสงจันทร์ข้างบ้านคุณตา มีหญิงชายกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ที่เก้าอี้ผุๆ และโซฟาพังๆ ทั้งที่ปกติมันตั้งเรียงรายกันเป็นแถวอยู่แท้ๆ เกือบจะทันทีนั้น เสียงหัวเราะก็เงียบหายเหมือนปิดสวิตช์
ชายหญิงกลุ่มนั้นค่อยๆ หันมามองเราอย่างเชื่องช้า...ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทุกซี่ ตาดำๆ โปนใหญ่เต็มหน้า ก่อนจะเลือนรางจางหายไปราวกับเป็นอากาศธาตุต่อหน้าต่อตา
ขนลุกซ่า หน้าชาเห่อ ไม่มีใครปริปากอะไรเลย นอกจากจูงมือกันเข้าห้องนอน...สวดมนต์แผ่เมตตาก่อนจะหลับสนิท...หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าคุณตาหัวใจวายตายในห้องน้ำ! หญิงชายที่เราเห็นอาจจะมารับวิญญาณคุณตาก็ได้นะคะ? แต่ที่แน่ๆ คือลูกสาวจ้างคนมาขนขยะทิ้งจนเกือบจะหมดแล้วละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2550
ตั้งแต่จำความได้จนอายุเกือบมีเลขสามนำหน้า เคยเห็นคนสะสมข้าวของเงินทองต่างๆ นานามาก็นับไม่ถ้วน ทั้งสะสมพระเครื่อง, นาฬิกา, ปากกา, ไฟแช็ก, แสตมป์, ธนบัตรและเหรียญเก่าๆ หนังสือ, ปฏิทิน, ลอตเตอรี่และตั๋วรถเมล์, ต้นไม้, รูปภาพดารา, ตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะปีเกิด...โอ๊ย! จาระไนไม่หวาดไม่ไหว
แต่มีนักสะสมแปลกประหลาดที่สุดอยู่ใกล้บ้าน คือเป็นนักสะสมขยะค่ะ!
...ไม่ใช่พวกซาเล้ง หรือยังชีพด้วยการเก็บของเก่าตามถังขยะขาย แค่เป็นคุณตาวัย 70 เศษบ้านตรงข้ามดิฉัน อยู่แถวดินแดงที่ทะลุไปออกรัชดาภิเษกนี่เอง
บ้านนี้เป็นตึกสองชั้นค่อนข้างเก่า สีกะเทาะล่อนหลายแห่ง ตามรั้วอิฐบล็อกก็แตกร้าว มีตะไคร่จับตามรอยน้ำไหล ต้นโพธิ์เล็กๆ แทรกขึ้นมา บริเวณกว้างราวครึ่งไร่ปลูกต้นไม้ร่มครึ้ม พวกมะม่วง, มะขาม, มะยม, มะละกอ พวกไม้ดอกแทบไม่มีเลย
คุณตาเป็นข้าราชการบำนาญ นิสัยเก็บตัว ตั้งแต่เกษียณแล้วก็ไม่ค่อยเห็นไปไหน นอกจากลูกสาว 3 คน อายุรุ่นพี่ดิฉันที่ขับรถคนละคันออกไปทำงาน...เป็นคนเงียบๆ เฉยๆ ไม่สุงสิงกับเพื่อนบ้านคล้ายๆ พ่อแม่มาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วค่ะ
ทั้ง 3 สามสาวยังเป็นโสด ส่วนดิฉันเพิ่งมีลูกชายขวบเศษ มีตายายกับพี่เลี้ยงคอยดูแล เวลาสามีกับดิฉันออกไปทำงาน...น่าแปลกอีกอย่างก็คือ บ้านนั้นแทบจะไม่เคยมีแขกมาหาทั้ง 3 สาวพี่ก็ไม่เคยมีเพื่อนฝูงมาบ้านสักคน
คนในซอยนินทาแบบเห็นใจว่า...ใครจะอยากพาเพื่อนมาบ้านที่มีขยะเป็นภูเขาเลากา เพราะพ่อขนเข้าบ้านทุกวันมั่งล่ะ ลูกเมียห้ามก็โกรธปึงปังแทบบ้านแตกแน่ะ!
ตอนเช้ามืด ก่อนพระจะเข้ามาบิณฑบาต ร่างผอมสูงของคุณตาก็จะเปิดประตูเล็กออกไปยืนเมียงมองที่กองขยะ โดยเฉพาะขยะแห้งหรือรีไซเคิลจะชอบมาก มีคนเอาของเก่ามาทิ้งบ่อยๆ ถึงแม้จะไม่เล่ารายละเอียดก็คงนึกภาพออกนะคะว่ามีอะไรบ้าง
ดิฉันขอเล่าเฉพาะกองขยะที่มองเห็นรอบบ้านมาสิบกว่าปีแล้ว...
กล่องนมที่พับจนแบนมัดรวมกันเป็นปึกๆ กระป๋องเครื่องดื่มในถังพลาสติกแตกรั่ว หูหลุด ขวดน้ำในหลัวเก่าๆ เศษไม้แค่ศอกเดียวก็มี ยาวเป็นวาก็มี กรอบไม้แบบเก่าที่ยังมีรูปถ่ายสีซีดๆ จะเป็นรูปที่เขาเคยตั้งหน้าศพหรือเปล่าก็ไม่รู้...บรื๋อส์!
ที่เล่ามาน่ะถือว่าเป็นของเล็กๆ น้อยๆ นะคะ
สายยางสีดำๆ สายท่อหยักๆ, แบตเตอรี่ผุพัง, กระป๋องสีขนาดต่างๆ ตุ๊กตาผ้ากับพลาสติก, รถจักรยานหักกลางขึ้นสนิม, รถสามล้อสำหรับเด็กขี่เล่นที่ไม่มีล้อ, แผงไฟฟ้า, ขดลวด, สายไฟขาดๆ เชือกไนลอน, ท่อนเหล็กสนิมเขรอะหลายขนาด, ลังกระดาษใส่ขวดน้ำพลาสติก
วิทยุ, ทีวีเก่าหลายสิบปี 5-6 เครื่อง ทั้งจอเล็กๆ จนถึงจอ 17 นิ้ว, เครื่องเล่นวิดีโอ แบบเล่นอย่างเดียวเครื่องเล็ก ทั้งเล่นและอัดได้เครื่องใหญ่ คอมพิวเตอร์อีก 3 เครื่อง...คิดว่าช่างเก่งๆ เห็นเข้าก็คงเบือนหน้าหนีทั้งนั้นแหละ
เสื่อน้ำมัน, ผ้าใบ, กระเบื้องลอนคู่, แอร์เปล่า, ฝาตู้เย็น, กลายเป็นที่เก็บขยะสารพัดชนิดที่โยนทับถมกันจนล้นออกมาเกลื่อนกลาด...แค่นี้ดิฉันก็อ่อนใจเต็มทีแล้วค่ะ
ของสำคัญก็คือ โซฟาที่เอียงลงไปกองกับดิน, เก้าอี้เหล็กก้นทะลุ, เก้าอี้นวมขนาดใหญ่ แต่ที่เท้าแขนมีข้างเดียว, เก้าอี้นั่งบุหนังสีคล้ำจนไม่ทราบว่าเป็นสีเดิมหรือเพราะเก่าแก่กันแน่ เรียงรายกันอยู่ข้างรั้วเหมือนเป็นเครื่องประดับอันน่าภาคภูมิใจ
บรรดาขยะทั้งหลายแหล่น่ะ ดิฉันเล่าถึงยังไม่ถึงครึ่งนะคะ เหนื่อยใจ...และนี่ยังไม่นับของล้ำค่า ที่พวกเราเรียกว่า "ขยะ" น่ะ คุณตาท่านเอาไปเก็บไว้ในบ้านอีกมากมายเท่าไหร่...เคยมีคนในซอยไปเยี่ยมคุณยายแล้วเอามาเล่าว่า ในบ้านน่ะแทบจะไม่มีที่จ่อมก้นนั่งเสียด้วยซ้ำไป
ความสุขของท่านนะคะ ไม่อยากคิดอะไรมาก แม้จะเคยได้ยินจิตแพทย์บอกกล่าวทางทีวีว่า คนประเภทนี้ขาดความอบอุ่น ต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ...เชื่อว่าข้าวของที่ใครๆ เขาบอกว่าเป็นขยะนั่นแหละคือที่พึ่งพิงของจิตใจ!
พูดกันเล่นๆ ว่าถ้าคิดจะขนขยะพวกนั้นไปทิ้งต้องใช้รถสิบล้อหลายคันถึงจะหมด
เรื่องน่าขนหัวลุกในบ้านนั่นน่ะ พวกเราได้ยินมาหลายปีแล้วค่ะ..คือมีคนเดินผ่านรั้วเตี้ยๆ ราว 1 เมตร ส่วนบนเป็นเหล็กโปร่งรูปสี่เหลี่ยม...เขาเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผมฟู กำลังขี่รถสามล้อเล่นอยู่ตามใต้ต้นไม้ ทั้งๆ ที่บ้านนั้นไม่มีเด็กแม้แต่คนเดียว
บางคนบอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ เลยหันไปดูก็แทบช็อกตาย เมื่อเห็นตุ๊กตาลุกขึ้นมาเต้นระบำ เห็นชัดเจนในแสงไฟฟ้าข้างถนน เล่นเอาเผ่นอ้าวจนจับไข้ไปหลายวัน
ดิฉันเคยเห็นครั้งเดียวเมื่อต้นปีนี้เอง!
คืนนั้นราว 3 ทุ่มได้ เราดูข่าวจบแล้วก็ไปยืนคุยกันที่ระเบียงหน้าห้องนอน ฟ้าสวยมากค่ะ จันทร์เต็มดวงส่องแสงขาวนวล ลมหนาวพัดลู่มาตามสุมทุมพุ่มไม้...เสียงหัวเราะจากบ้านตรงข้ามก็ล่องลอยมาตามลม
เราหันไปมองพร้อมๆ กัน...ใต้เงาไม้และแสงจันทร์ข้างบ้านคุณตา มีหญิงชายกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ที่เก้าอี้ผุๆ และโซฟาพังๆ ทั้งที่ปกติมันตั้งเรียงรายกันเป็นแถวอยู่แท้ๆ เกือบจะทันทีนั้น เสียงหัวเราะก็เงียบหายเหมือนปิดสวิตช์
ชายหญิงกลุ่มนั้นค่อยๆ หันมามองเราอย่างเชื่องช้า...ยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันทุกซี่ ตาดำๆ โปนใหญ่เต็มหน้า ก่อนจะเลือนรางจางหายไปราวกับเป็นอากาศธาตุต่อหน้าต่อตา
ขนลุกซ่า หน้าชาเห่อ ไม่มีใครปริปากอะไรเลย นอกจากจูงมือกันเข้าห้องนอน...สวดมนต์แผ่เมตตาก่อนจะหลับสนิท...หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าคุณตาหัวใจวายตายในห้องน้ำ! หญิงชายที่เราเห็นอาจจะมารับวิญญาณคุณตาก็ได้นะคะ? แต่ที่แน่ๆ คือลูกสาวจ้างคนมาขนขยะทิ้งจนเกือบจะหมดแล้วละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2550
18 ตุลาคม 2558
น้องแพร
"น้าหนุ่ย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพบวิญญาณหลานสาว
น้องแพรอายุแค่ 3 ขวบ เธอน่ารัก ยิ้มง่าย ไร้เดียงสา แต่บทจะเฮี้ยวขึ้นมาละก็อย่าบอกใครเลย เธอชอบให้ใครๆ ตามใจเธอครับ ถ้าขัดใจเมื่อไหร่เป็นอาละวาดแหลก มีแต่ผมที่เป็นน้าเท่านั้นที่เธอยอมให้ปลอบจนเธอหายพยศ
ผมเอารูปน้องแพรมาดู แล้วก็อดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้...เธอจากผมไปปีกว่าแล้ว ด้วยโรคไข้เลือดออก ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ก็เกือบจะครบ 5 ขวบแล้วพอดี เธอเกิดเดือนตุลาคมครับ...มาพร้อมกับลมหนาว และจากไปกับลมฝน!
แต่เชื่อไหมครับว่า หลังจากร่างกายสูญสลายไปแล้ว เธอยังวนเวียนอยู่อีกนานเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองตาย! เออ...คิดอีกที เธอยังเป็นเด็กไร้เดียงสาแท้ๆ นี่นา
ตอนที่เริ่มไม่สบาย เป็นไข้ตัวร้อนจัด เธอหงุดหงิด งอแง ร้องไห้โยเย แม่ของเธอต้องขอให้ผมเข้าไปช่วยดูแล เพราะเมื่อผมอยู่ใกล้ๆ น้องแพรจะหายหงุดหงิด ยอมให้เช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างดี
เราพาน้องแพรไปส่งโรงพยาบาลเมื่อไข้สูงจัด ไม่ลดลงเลย หมอต้องเจาะเลือดตรวจ แล้วบอกข่าวร้ายว่าแพรเป็นไข้เลือดออก...ไม่นานจากนั้นเธอก็ช็อกและสิ้นใจ! พวกเราทำใจไม่ได้เลย...ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังร้องไห้ สะอื้นออกมาอย่างไม่อายใคร
งานของน้องแพรเศร้ามาก เธออายุนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ เพิ่งเริ่มต้น อยู่ๆ ความสดใสทั้งมวลก็ดับวูบไปซะอย่างงั้น!
คืนที่ 3 หลังจากกลับจากวัด ผมขับรถกลับบ้าน...
บ้านผมอยู่รั้วเดียวกับบ้านน้องแพร พวกเราญาติพี่น้องปลูกบ้านอยู่ติดๆกัน 3-4 หลัง...ต้นซอยเป็นบ้านของพ่อแม่ ถัดมาเป็นบ้านพี่สาว คือแม่ของน้องแพรนี่แหละครับ ผมมาปลูกบ้านหลังเล็กๆ ต่อจากบ้านนี้ กะว่าจะทำเป็นเรือนหอ แต่ยังหาเจ้าสาวไม่ได้ซักที
ไม่เป็นไร ผมเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังฝึกงานอยู่กับคุณอา เงินที่เอามาปลูกบ้านก็เงินพ่อละครับ...พ่อว่ารีบปลูกซะเลยก็ดี ขืนรอช้าของมันแพงขึ้นทุกวันๆ
บ้านผมเป็นบ้านชั้นเดียวมี 2 ห้องนอน ทุกวันนี้อยู่คนเดียว นานๆ จะมีเพื่อนฝูงมาเฮฮา บางทีก็ค้าง บางทีก็ซ้อมดนตรีกัน
น้องแพรชอบมาขลุกอยู่กับพวกผม แกเข้าโรงเรียนอนุบาล มีรถโรงเรียนรับส่ง หลังโรงเรียนเลิกก็จะเดินมาหาน้าหนุ่ย...คือผมนี่แหละ วันไหนผมไม่อยู่แกก็จะหงอยเหงา พอผมกลับถึงบ้านแกก็จะแล่นมาหาทันที
คืนสวดน้องแพรคืนที่ 3 นั้น ผมขับรถกลับเข้าบ้านอย่างเงียบเหงา พอไขกุญแจเข้าไปก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ จากในบ้านพัดมาวูบหนึ่ง...
แปลกจริงๆ ลมอะไรพัดออกมาจากในบ้าน? ผมขนลุกซ่าขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ใจยังไม่ได้คิดถึงน้องแพร โธ่! ใครล่ะครับจะกลัวผีเด็กเล็กๆ ขนาดนั้น แกคงไม่มาหลอกหลอนเราหรอกน่า...ป่านนี้วิ่งเล่นกับเทวดาสนุกอยู่บนสวรรค์โน่นแล้วละมั้ง?
ไม่งั้นซิครับ ผมแว่วเสียงเล็กๆ เรียก "น้าหนุ่ย...." คิวว่าตัวเองคงจะประสาทวิปริตไปชั่วขณะ ที่ได้ยินเสียงหลานที่เพิ่งตายหยกๆ มาเรียกแบบนี้น่ะ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เสียงนั้นทำให้ความกล้าแบบลูกผู้ชายตัวจริงของผมหายวับ! ผมยืนงง ตัวแข็ง เหลือบตาชำเลืองดูรอบๆ ห้อง ตอนนั้นผมอยู่ในบ้านตามลำพังนี่ครับ จะไม่ให้รู้สึกสยองได้ยังไง?
ผมชะเง้อไปทางบ้านพี่สาว คล้ายๆ จะหาเพื่อนช่วยให้อุ่นใจยามที่ปากคอแห้งผาก...โธ่! ยังไม่มีใครกลับมาเลย บ้านปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อ เห็นแล้วยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่...ผมเลยคิดจะไปพึ่งคุณพ่อคุณแม่แทน ขืนอยู่คนเดียวมีหวังหัวใจล่มสลายได้อย่างง่ายดายที่สุด
คิดอย่างนั้นแล้วก็เดินถือไฟฉายออกจากบ้านตัวเองไปที่ปากซอย ยอมรับว่าขาสั่นเล็กน้อย...พระเจ้าทรงโปรด! พ่อแม่อยู่...แถมขำที่ผมกลัวผีหลาน!
ราว 4 ทุ่ม ผมจำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเอง และนึกขันเหมือนกันที่หวาดกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง อยู่ๆ ก็เกิดประสาทอ่อนซะยังงั้น รู้ไปถึงไหนมีหวังอายไปถึงนั่น
ทุกอย่างเป็นปกติ ผมอาบน้ำเข้านอน แต่ขณะเคลิ้มๆ ก็มีมือเล็กๆ มาจับมือผมเขย่าเบาๆ จนสะดุ้งตื่น แต่มันเหมือนผีอำน่ะครับ ขยับไม่ได้เลย
ท่ามกลางแสงสลัวผมมองไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกว่ามีร่างเล็กๆ ปีนเตียงขึ้นมานอนซุกอกผม!
ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนน้องแพรยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชีวิตหลังความตาย! ผมไม่ได้คิดว่าเธอเป็นผีเป็นสาง แต่เป็นหลานผมแท้ๆ น่ารักและอยู่ในวัยบริสุทธิ์เหลือเกิน ดูเถอะครับ ผมนอนนิ่งและสัมผัสเส้นผมนุ่มละเอียด ผิวเนื้ออ่อนบาง ศีรษะกลมทุยและแขนเล็กๆ นั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ตาของผมมองไม่เห็นร่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
ครู่ใหญ่ต่อมา ทุกอย่างก็คลายลง...ผมขยับตัวได้ ร่างนั้นหายไป น่าประหลาดที่ผมไม่กลัวเธอแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกปีติอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
หลานมาบอกผมว่า...ชีวิตยังมีอยู่หลังความตายจริงๆ คนเราตายแล้วไม่สูญ!
แพรไม่ได้ตั้งใจมาบอกตรงๆ หรอกครับ แต่การที่เธอมาหาผมคืนนั้น มันเป็นเหมือนคำยืนยัน ผมเล่าให้พี่สาวฟัง เธอยิ้มทั้งน้ำตา...อย่างน้อยก็รู้ว่าลูกสาวคนเดียวของเธอยังอยู่ที่ใดที่หนึ่งในภพหน้า และเธอกับลูกอาจได้เจอกันอีกในภพนั้น
ตั้งแต่วันนั้นแพรก็ไม่ได้มาหาผมอีก แต่ก็มาเข้าฝัน และพาผมไปเที่ยวในที่แปลกๆ ผมคิดว่านั่นคือภพภูมิของเธอครับ!
น้องแพรอายุแค่ 3 ขวบ เธอน่ารัก ยิ้มง่าย ไร้เดียงสา แต่บทจะเฮี้ยวขึ้นมาละก็อย่าบอกใครเลย เธอชอบให้ใครๆ ตามใจเธอครับ ถ้าขัดใจเมื่อไหร่เป็นอาละวาดแหลก มีแต่ผมที่เป็นน้าเท่านั้นที่เธอยอมให้ปลอบจนเธอหายพยศ
ผมเอารูปน้องแพรมาดู แล้วก็อดน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้...เธอจากผมไปปีกว่าแล้ว ด้วยโรคไข้เลือดออก ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ก็เกือบจะครบ 5 ขวบแล้วพอดี เธอเกิดเดือนตุลาคมครับ...มาพร้อมกับลมหนาว และจากไปกับลมฝน!
แต่เชื่อไหมครับว่า หลังจากร่างกายสูญสลายไปแล้ว เธอยังวนเวียนอยู่อีกนานเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองตาย! เออ...คิดอีกที เธอยังเป็นเด็กไร้เดียงสาแท้ๆ นี่นา
ตอนที่เริ่มไม่สบาย เป็นไข้ตัวร้อนจัด เธอหงุดหงิด งอแง ร้องไห้โยเย แม่ของเธอต้องขอให้ผมเข้าไปช่วยดูแล เพราะเมื่อผมอยู่ใกล้ๆ น้องแพรจะหายหงุดหงิด ยอมให้เช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างดี
เราพาน้องแพรไปส่งโรงพยาบาลเมื่อไข้สูงจัด ไม่ลดลงเลย หมอต้องเจาะเลือดตรวจ แล้วบอกข่าวร้ายว่าแพรเป็นไข้เลือดออก...ไม่นานจากนั้นเธอก็ช็อกและสิ้นใจ! พวกเราทำใจไม่ได้เลย...ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังร้องไห้ สะอื้นออกมาอย่างไม่อายใคร
งานของน้องแพรเศร้ามาก เธออายุนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ เพิ่งเริ่มต้น อยู่ๆ ความสดใสทั้งมวลก็ดับวูบไปซะอย่างงั้น!
คืนที่ 3 หลังจากกลับจากวัด ผมขับรถกลับบ้าน...
บ้านผมอยู่รั้วเดียวกับบ้านน้องแพร พวกเราญาติพี่น้องปลูกบ้านอยู่ติดๆกัน 3-4 หลัง...ต้นซอยเป็นบ้านของพ่อแม่ ถัดมาเป็นบ้านพี่สาว คือแม่ของน้องแพรนี่แหละครับ ผมมาปลูกบ้านหลังเล็กๆ ต่อจากบ้านนี้ กะว่าจะทำเป็นเรือนหอ แต่ยังหาเจ้าสาวไม่ได้ซักที
ไม่เป็นไร ผมเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังฝึกงานอยู่กับคุณอา เงินที่เอามาปลูกบ้านก็เงินพ่อละครับ...พ่อว่ารีบปลูกซะเลยก็ดี ขืนรอช้าของมันแพงขึ้นทุกวันๆ
บ้านผมเป็นบ้านชั้นเดียวมี 2 ห้องนอน ทุกวันนี้อยู่คนเดียว นานๆ จะมีเพื่อนฝูงมาเฮฮา บางทีก็ค้าง บางทีก็ซ้อมดนตรีกัน
น้องแพรชอบมาขลุกอยู่กับพวกผม แกเข้าโรงเรียนอนุบาล มีรถโรงเรียนรับส่ง หลังโรงเรียนเลิกก็จะเดินมาหาน้าหนุ่ย...คือผมนี่แหละ วันไหนผมไม่อยู่แกก็จะหงอยเหงา พอผมกลับถึงบ้านแกก็จะแล่นมาหาทันที
คืนสวดน้องแพรคืนที่ 3 นั้น ผมขับรถกลับเข้าบ้านอย่างเงียบเหงา พอไขกุญแจเข้าไปก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ จากในบ้านพัดมาวูบหนึ่ง...
แปลกจริงๆ ลมอะไรพัดออกมาจากในบ้าน? ผมขนลุกซ่าขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ใจยังไม่ได้คิดถึงน้องแพร โธ่! ใครล่ะครับจะกลัวผีเด็กเล็กๆ ขนาดนั้น แกคงไม่มาหลอกหลอนเราหรอกน่า...ป่านนี้วิ่งเล่นกับเทวดาสนุกอยู่บนสวรรค์โน่นแล้วละมั้ง?
ไม่งั้นซิครับ ผมแว่วเสียงเล็กๆ เรียก "น้าหนุ่ย...." คิวว่าตัวเองคงจะประสาทวิปริตไปชั่วขณะ ที่ได้ยินเสียงหลานที่เพิ่งตายหยกๆ มาเรียกแบบนี้น่ะ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เสียงนั้นทำให้ความกล้าแบบลูกผู้ชายตัวจริงของผมหายวับ! ผมยืนงง ตัวแข็ง เหลือบตาชำเลืองดูรอบๆ ห้อง ตอนนั้นผมอยู่ในบ้านตามลำพังนี่ครับ จะไม่ให้รู้สึกสยองได้ยังไง?
ผมชะเง้อไปทางบ้านพี่สาว คล้ายๆ จะหาเพื่อนช่วยให้อุ่นใจยามที่ปากคอแห้งผาก...โธ่! ยังไม่มีใครกลับมาเลย บ้านปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อ เห็นแล้วยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่...ผมเลยคิดจะไปพึ่งคุณพ่อคุณแม่แทน ขืนอยู่คนเดียวมีหวังหัวใจล่มสลายได้อย่างง่ายดายที่สุด
คิดอย่างนั้นแล้วก็เดินถือไฟฉายออกจากบ้านตัวเองไปที่ปากซอย ยอมรับว่าขาสั่นเล็กน้อย...พระเจ้าทรงโปรด! พ่อแม่อยู่...แถมขำที่ผมกลัวผีหลาน!
ราว 4 ทุ่ม ผมจำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเอง และนึกขันเหมือนกันที่หวาดกลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง อยู่ๆ ก็เกิดประสาทอ่อนซะยังงั้น รู้ไปถึงไหนมีหวังอายไปถึงนั่น
ทุกอย่างเป็นปกติ ผมอาบน้ำเข้านอน แต่ขณะเคลิ้มๆ ก็มีมือเล็กๆ มาจับมือผมเขย่าเบาๆ จนสะดุ้งตื่น แต่มันเหมือนผีอำน่ะครับ ขยับไม่ได้เลย
ท่ามกลางแสงสลัวผมมองไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกว่ามีร่างเล็กๆ ปีนเตียงขึ้นมานอนซุกอกผม!
ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนน้องแพรยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชีวิตหลังความตาย! ผมไม่ได้คิดว่าเธอเป็นผีเป็นสาง แต่เป็นหลานผมแท้ๆ น่ารักและอยู่ในวัยบริสุทธิ์เหลือเกิน ดูเถอะครับ ผมนอนนิ่งและสัมผัสเส้นผมนุ่มละเอียด ผิวเนื้ออ่อนบาง ศีรษะกลมทุยและแขนเล็กๆ นั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่ตาของผมมองไม่เห็นร่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
ครู่ใหญ่ต่อมา ทุกอย่างก็คลายลง...ผมขยับตัวได้ ร่างนั้นหายไป น่าประหลาดที่ผมไม่กลัวเธอแล้ว แต่กลับมีความรู้สึกปีติอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
หลานมาบอกผมว่า...ชีวิตยังมีอยู่หลังความตายจริงๆ คนเราตายแล้วไม่สูญ!
แพรไม่ได้ตั้งใจมาบอกตรงๆ หรอกครับ แต่การที่เธอมาหาผมคืนนั้น มันเป็นเหมือนคำยืนยัน ผมเล่าให้พี่สาวฟัง เธอยิ้มทั้งน้ำตา...อย่างน้อยก็รู้ว่าลูกสาวคนเดียวของเธอยังอยู่ที่ใดที่หนึ่งในภพหน้า และเธอกับลูกอาจได้เจอกันอีกในภพนั้น
ตั้งแต่วันนั้นแพรก็ไม่ได้มาหาผมอีก แต่ก็มาเข้าฝัน และพาผมไปเที่ยวในที่แปลกๆ ผมคิดว่านั่นคือภพภูมิของเธอครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม 2550
17 ตุลาคม 2558
ห้องนี้ผีอยู่
"ลูกนัท" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพัก
ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัด แต่เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็เลยจำเป็นต้องเข้ามาอบรมและหาความรู้ด้านภาษาเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างนี้จำเป็นต้องหาห้องเช่าราคาไม่แพง และอยู่ใกล้สถานที่ที่เข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งก็คือสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานที่ดิฉันทำอยู่นั่นเอง
ในที่สุด ดิฉันพบหอพักถูกใจจนได้ค่ะ
กว่าจะเจรจาได้ก็แทบแย่ เพราะเจ้าของหอที่เป็นคุณป้าท่าทางสุดเฮี้ยบ บอกว่าห้องเต็มแล้ว เล่นเอาต้องพิโอดพิโอยด้วยความผิดหวังจนแกใจอ่อน บอกว่ามีอยู่ห้องหนึ่งที่เก็บไว้เพื่อทำเป็นห้องสมุด แต่เอาเถอะ ดิฉันอยู่แค่ 3 เดือนคงไม่เป็นไรหรอก
ดิฉันดีใจมาก ห้องนั้นมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่นๆ เพราะอยู่มุมตึก ติดกับบันไดขึ้นลง หอพักแห่งนี้มี 3 ชั้นค่ะ นี่เป็นห้องชั้น 2 ห้องบนขึ้นไปก็ขนาดเท่ากับห้องนี้ ส่วนห้องอื่นๆ จะเล็กกว่า...
คือคุณป้าคิดโครงการจะทำที่นี่เป็นห้องสมุดสำหรับคนเช่ามีที่พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย
สภาพภายในห้องมีเตียงตั้งอยู่ รวมทั้งโต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้า คุณป้ายังไม่ได้ขนย้ายออก เมื่อปัดกวาดและปูที่นอนเรียบร้อยก็พร้อมอยู่ได้ทันที
คืนแรกที่นอนก็ดูสบายนะคะ ไม่มีอะไรน่ากลัว ในห้องไฟสว่าง น้ำก็ไหลสะดวก เสียอย่างเดียวมันมีก๊อกหนึ่งที่หลวม น้ำจะหยดดังแปะ...แปะ...คุณป้าให้ช่างมาแก้ไขให้ในวันรุ่งขึ้น มันก็ไม่ดังกวนใจอีก
คืนต่อมา ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ในห้องด้วย น่าแปลกมาก...เราอยู่คนเดียวแท้ๆ แต่รู้สึกเหมือนมีใครคอยจ้อง บางทีก็มายืนใกล้ๆ ทางด้านหลัง แต่ดิฉันคิดว่าตัวเราคิดไปเองมากกว่า
กลางดึกคืนนั้นเอง...
ขณะที่ดิฉันกำลังจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินมาที่เตียง ที่นอนยุบตามแรงน้ำหนัก พอหันไปมองก็ไม่มีอะไร นอนลืมตาดูอยู่พักใหญ่ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี...มันคงจะเป็นรถบรรทุกแล่นผ่านถนนหน้าหอพักก็ได้กระมังคะ เวลารถใหญ่ๆ แล่นผ่าน พื้นดินมันจะยวบๆ
หลังจากคืนนั้น ทุกๆ คืนจะต้องรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งข้างเตียงเป็นประจำ
คืนที่ห้า ตอนใกล้เคลิ้มที่นอนก็ยวบอีก ดิฉันหันไปดูด้วยความเคยชิน ไม่นึกว่าจะได้เห็นอะไร...แต่คุณพระช่วย! ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ห่างจากดิฉันแค่ฟุตเดียวเอง!
...เธอใส่ชุดลำลอง กางเกงยีนส์สามส่วน เสื้อยืด ผมยาวปรกหน้า จับตัวเป็นก้อนเกรอะกรังเหมือนเธอไปตกบ่อโคลน แล้วมันแห้งโดยไม่ได้สระออก
ใบหน้าของเธอไม่มี! หรือดิฉันมองไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่รู้สึกตัวว่าตื่นเต็มที่ และเพ่งมองอยู่เกือบนาที ร่างนั้นก็ยังอยู่...เธอนั่งเกือบชิดตัวดิฉันทีเดียว บอกตรงๆ ว่าในใจไม่ได้คิดว่าเธอเป็นคน แต่ก็แปลกมากที่ไม่ได้กลัวจนสติแตก มันมีแต่อาการงงงัน เสียววาบไปถึงไขสันหลัง และขนลุกซู่
พอได้สติ ดิฉันก็ยันตัวลุกขึ้น จังหวะนั้นเอง ร่างของผีผู้หญิงก็เลือนหายไปช้าๆ
คืนนั้นต้องเปิดไฟนอน และนอนไม่หลับหรอกค่ะ มันระแวงมาก
รุ่งขึ้น ดิฉันไปอบรมตามปกติ ตอนเย็นกลับมาก็ลองถามร้านขายส้มตำใกล้ๆ หอพักดู ว่าที่หอนี้น่ะเคยมีใครตาย...ประเภทฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมอะไรไหม?
พี่ที่ขายส้มตำบอกว่าไม่มีข่าวแบบนั้นหรอก แต่เมื่อหลายปีก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งมาเช่าอยู่ชั้น 2 ห้องริมสุดชื่อหนิง เป็นช่างเสริมสวย มีแฟนเยอะ หมายถึงชายหนุ่มที่มาติดพันเธอน่ะค่ะ
วันหนึ่งหนิงหายไป แล้วมีคนพบศพเธอหมกอยู่ในพงหญ้าแถวนอกเมือง สภาพศพถูกทุบหน้าจนเละ จากนั้นจนบัดนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้!
หนิงไม่ได้ตายในห้องนี้ แต่ฟังแล้วมันน่ากลัวไม่น้อยเลย เพราะอยู่ดีๆวันหนึ่งเธอออกจากห้องนี้ไปแล้วไม่ได้กลับมาอีก ของใช้ทุกอย่าง รวมทั้งกลิ่นอายของเธอยังอยู่ต่อมาอีกหลายวันจนมีคนพบศพ เป็นคดี และญาติมาขนของเธอออกจากห้อง
ดิฉันไปเล่าให้คุณป้าเจ้าของหอพักฟังตรงๆ ว่าเจออะไรในห้องนั้น! แกอึ้งไปพักใหญ่แล้วจึงบอกว่า หลังจากหนิงตายก็เปิดห้องให้เช่า แต่มีคนพบปรากฏการณ์แปลกๆ คุณป้าเลยปิดห้องไว้ ตั้งใจจะทำเป็นห้องสมุดจริงๆ คือจะมีชั้นหนังสือ มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอ่านสบายๆ
ฟังแล้วโกรธคุณป้าไม่ลงหรอกค่ะ ทีแรกแกก็บอกแล้วว่าห้องเต็ม เราเองต่างหากที่เป็นฝ่ายทำท่าผิดหวังจนแกสงสาร
แกขอโทษขอโพยที่เปิดห้องผีสิงให้อยู่ ซึ่งดิฉันก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว...แกไม่คิดค่าเช่าเลยค่ะ คืนนั้นเลยได้นอนห้องคุณป้า คุยกันจนดึกดื่นแน่ะ
วันต่อมาดิฉันก็หาที่อยู่ใหม่ ถึงจะไกลจากสำนักงานที่มาอบรม แต่ก็ปลอดผีสางนางไม้ล่ะค่ะ หวังว่าอย่างนั้นนะคะ! เพราะอยู่มาถึงป่านนี้สองเดือนกว่าแล้ว ยังไม่เคยเจออะไรที่น่าหวาดเสียวเหมือนหอพักเก่า
ส่วนวิญญาณของหนิงน่ะดิฉันทำบุญให้เสมอ ไหนๆ เธอก็มาปรากฏตัวให้เห็น ดิฉันคิดว่าเธออาจจะอยากเรียกร้องความยุติธรรม...ใครฆ่าเธอ? เธอคงรู้ดี เธอน่าจะไปหาไอ้เจ้าคนนั้นนะคะ...ไปเองเลย หลอกมันให้เข็ดไงคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2550
ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัด แต่เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก็เลยจำเป็นต้องเข้ามาอบรมและหาความรู้ด้านภาษาเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างนี้จำเป็นต้องหาห้องเช่าราคาไม่แพง และอยู่ใกล้สถานที่ที่เข้ารับการอบรมด้วย ซึ่งก็คือสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานที่ดิฉันทำอยู่นั่นเอง
ในที่สุด ดิฉันพบหอพักถูกใจจนได้ค่ะ
กว่าจะเจรจาได้ก็แทบแย่ เพราะเจ้าของหอที่เป็นคุณป้าท่าทางสุดเฮี้ยบ บอกว่าห้องเต็มแล้ว เล่นเอาต้องพิโอดพิโอยด้วยความผิดหวังจนแกใจอ่อน บอกว่ามีอยู่ห้องหนึ่งที่เก็บไว้เพื่อทำเป็นห้องสมุด แต่เอาเถอะ ดิฉันอยู่แค่ 3 เดือนคงไม่เป็นไรหรอก
ดิฉันดีใจมาก ห้องนั้นมีขนาดใหญ่กว่าห้องอื่นๆ เพราะอยู่มุมตึก ติดกับบันไดขึ้นลง หอพักแห่งนี้มี 3 ชั้นค่ะ นี่เป็นห้องชั้น 2 ห้องบนขึ้นไปก็ขนาดเท่ากับห้องนี้ ส่วนห้องอื่นๆ จะเล็กกว่า...
คือคุณป้าคิดโครงการจะทำที่นี่เป็นห้องสมุดสำหรับคนเช่ามีที่พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย
สภาพภายในห้องมีเตียงตั้งอยู่ รวมทั้งโต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้า คุณป้ายังไม่ได้ขนย้ายออก เมื่อปัดกวาดและปูที่นอนเรียบร้อยก็พร้อมอยู่ได้ทันที
คืนแรกที่นอนก็ดูสบายนะคะ ไม่มีอะไรน่ากลัว ในห้องไฟสว่าง น้ำก็ไหลสะดวก เสียอย่างเดียวมันมีก๊อกหนึ่งที่หลวม น้ำจะหยดดังแปะ...แปะ...คุณป้าให้ช่างมาแก้ไขให้ในวันรุ่งขึ้น มันก็ไม่ดังกวนใจอีก
คืนต่อมา ดิฉันรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ในห้องด้วย น่าแปลกมาก...เราอยู่คนเดียวแท้ๆ แต่รู้สึกเหมือนมีใครคอยจ้อง บางทีก็มายืนใกล้ๆ ทางด้านหลัง แต่ดิฉันคิดว่าตัวเราคิดไปเองมากกว่า
กลางดึกคืนนั้นเอง...
ขณะที่ดิฉันกำลังจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินมาที่เตียง ที่นอนยุบตามแรงน้ำหนัก พอหันไปมองก็ไม่มีอะไร นอนลืมตาดูอยู่พักใหญ่ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี...มันคงจะเป็นรถบรรทุกแล่นผ่านถนนหน้าหอพักก็ได้กระมังคะ เวลารถใหญ่ๆ แล่นผ่าน พื้นดินมันจะยวบๆ
หลังจากคืนนั้น ทุกๆ คืนจะต้องรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งข้างเตียงเป็นประจำ
คืนที่ห้า ตอนใกล้เคลิ้มที่นอนก็ยวบอีก ดิฉันหันไปดูด้วยความเคยชิน ไม่นึกว่าจะได้เห็นอะไร...แต่คุณพระช่วย! ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ห่างจากดิฉันแค่ฟุตเดียวเอง!
...เธอใส่ชุดลำลอง กางเกงยีนส์สามส่วน เสื้อยืด ผมยาวปรกหน้า จับตัวเป็นก้อนเกรอะกรังเหมือนเธอไปตกบ่อโคลน แล้วมันแห้งโดยไม่ได้สระออก
ใบหน้าของเธอไม่มี! หรือดิฉันมองไม่เห็นก็ไม่รู้ แต่รู้สึกตัวว่าตื่นเต็มที่ และเพ่งมองอยู่เกือบนาที ร่างนั้นก็ยังอยู่...เธอนั่งเกือบชิดตัวดิฉันทีเดียว บอกตรงๆ ว่าในใจไม่ได้คิดว่าเธอเป็นคน แต่ก็แปลกมากที่ไม่ได้กลัวจนสติแตก มันมีแต่อาการงงงัน เสียววาบไปถึงไขสันหลัง และขนลุกซู่
พอได้สติ ดิฉันก็ยันตัวลุกขึ้น จังหวะนั้นเอง ร่างของผีผู้หญิงก็เลือนหายไปช้าๆ
คืนนั้นต้องเปิดไฟนอน และนอนไม่หลับหรอกค่ะ มันระแวงมาก
รุ่งขึ้น ดิฉันไปอบรมตามปกติ ตอนเย็นกลับมาก็ลองถามร้านขายส้มตำใกล้ๆ หอพักดู ว่าที่หอนี้น่ะเคยมีใครตาย...ประเภทฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมอะไรไหม?
พี่ที่ขายส้มตำบอกว่าไม่มีข่าวแบบนั้นหรอก แต่เมื่อหลายปีก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งมาเช่าอยู่ชั้น 2 ห้องริมสุดชื่อหนิง เป็นช่างเสริมสวย มีแฟนเยอะ หมายถึงชายหนุ่มที่มาติดพันเธอน่ะค่ะ
วันหนึ่งหนิงหายไป แล้วมีคนพบศพเธอหมกอยู่ในพงหญ้าแถวนอกเมือง สภาพศพถูกทุบหน้าจนเละ จากนั้นจนบัดนี้ก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้!
หนิงไม่ได้ตายในห้องนี้ แต่ฟังแล้วมันน่ากลัวไม่น้อยเลย เพราะอยู่ดีๆวันหนึ่งเธอออกจากห้องนี้ไปแล้วไม่ได้กลับมาอีก ของใช้ทุกอย่าง รวมทั้งกลิ่นอายของเธอยังอยู่ต่อมาอีกหลายวันจนมีคนพบศพ เป็นคดี และญาติมาขนของเธอออกจากห้อง
ดิฉันไปเล่าให้คุณป้าเจ้าของหอพักฟังตรงๆ ว่าเจออะไรในห้องนั้น! แกอึ้งไปพักใหญ่แล้วจึงบอกว่า หลังจากหนิงตายก็เปิดห้องให้เช่า แต่มีคนพบปรากฏการณ์แปลกๆ คุณป้าเลยปิดห้องไว้ ตั้งใจจะทำเป็นห้องสมุดจริงๆ คือจะมีชั้นหนังสือ มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งอ่านสบายๆ
ฟังแล้วโกรธคุณป้าไม่ลงหรอกค่ะ ทีแรกแกก็บอกแล้วว่าห้องเต็ม เราเองต่างหากที่เป็นฝ่ายทำท่าผิดหวังจนแกสงสาร
แกขอโทษขอโพยที่เปิดห้องผีสิงให้อยู่ ซึ่งดิฉันก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว...แกไม่คิดค่าเช่าเลยค่ะ คืนนั้นเลยได้นอนห้องคุณป้า คุยกันจนดึกดื่นแน่ะ
วันต่อมาดิฉันก็หาที่อยู่ใหม่ ถึงจะไกลจากสำนักงานที่มาอบรม แต่ก็ปลอดผีสางนางไม้ล่ะค่ะ หวังว่าอย่างนั้นนะคะ! เพราะอยู่มาถึงป่านนี้สองเดือนกว่าแล้ว ยังไม่เคยเจออะไรที่น่าหวาดเสียวเหมือนหอพักเก่า
ส่วนวิญญาณของหนิงน่ะดิฉันทำบุญให้เสมอ ไหนๆ เธอก็มาปรากฏตัวให้เห็น ดิฉันคิดว่าเธออาจจะอยากเรียกร้องความยุติธรรม...ใครฆ่าเธอ? เธอคงรู้ดี เธอน่าจะไปหาไอ้เจ้าคนนั้นนะคะ...ไปเองเลย หลอกมันให้เข็ดไงคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2550
16 ตุลาคม 2558
คืนสุดท้าย
"ไววิทย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงนวดย่านรัชดาฯ
สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นนักเที่ยวราตรีชนิดหัวหกก้นขวิด ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า "บ้าบอคอแตก" คือเที่ยวทุกคืน ดึกๆ ดื่นๆ แหม! ตอนนั้นยังหนุ่มยังแน่นนะครับ ร่างกายฟิตเปรี๊ยะ หัวใจคึกคักเหมือนม้ากำลังคะนอง ไม่ว่าสุราหรือนารีลุยแหลก ความคิดอ่านอะไรไม่มีหรอกครับ เอาสนุกสะใจเข้าว่า
นอกจากพลังหนุ่มแล้วยังมีอาวุธสำคัญ คือพระเจ้าเงินตราไงครับ
พระเจ้าองค์นี้เนรมิตได้ทุกอย่างจริงๆ ถึงแม้เขาจะมีภาษิตเตือนใจว่า "เงินเป็นผู้รับใช้ที่ดี แต่เป็นนายที่เลว" หรือ "เงินเป็นทาสซื่อ และนายทรยศ" กับ "เงินซื้อเพื่อนได้ แต่ซื้อมิตรแท้ไม่ได้" แต่ผมไม่ค่อยสนใจหรอกครับ ยกเว้นภาษิตที่โดนใจสุดๆ
"ชีวิตนี้สั้นนัก จงมาสนุกกับชีวิตกันเถิด!"
ผมมีโอกาสได้สนุกเต็มที่เพราะการทำงานหนักครับ ตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังบูมอาชีพนายหน้าขายรถทำเงินให้เป็นกอบเป็นกำ คนเรามีเงินเต็มกระเป๋าก็อยากควักเพื่อซื้อของดีๆ เพื่อความสะดวกสบาย กับเพื่อหน้าตาของตัวเองด้วย ยิ่งเสี่ยหนุ่มๆ เงินถังน่ะชอบเปลี่ยนรถหรูๆ บ่อยกว่าเปลี่ยนสาวควงซะด้วยซ้ำ
เพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่ไม่มีใครล้มทับใครนะครับ ไม่ว่าเจ้าเล้ง, เจ้าวัง, เจ้าขุน, เจ้าบี๋ ตะละคนหาเงินกันคล่องๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าเล่นหุ้น, เป็นนายหน้าขายที่ดิน, ระดับเจ้าสัวร้านเพชรร้านทองก็มี...เที่ยวกันระเบิดเถิดเทิงไปเลย
ช่วงนั้นย่านรัชดาฯ กำลังดัง พวกผมย้ายถิ่นจากหลังสวน, สารสิน, สุขุมวิท มาเที่ยวแหล่งใหม่ เข้าเธคมั่ง เลานจ์มั่ง แต่มักลงเอยในโรงนวดแทบทุกคืน
เจ้าเล้ง เพื่อนคนนี้เป็นนายหน้าค้าที่ดินครับ ต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆพาเหยื่อ...เอ๊ย! ลูกค้าไปดูที่ ไปชลบุรี, นครนายก แล้วก็เมืองกาญจน์ บางทีมันถ่อไปถึงโน่น....หล่มสัก, ชุมแพ, เชียงคาน ลงทุนเดินทาง 2-3 ครั้งก็รับทรัพย์กระเป๋าตุงมาแล้ว
ผมไปโดนผีหลอกเอาเจียนตายในโรงนวดนี่เอง!
จำได้ว่าเราต่างคนต่างยุ่งเรื่องทำมาหากินพร้อมๆ กันราว 3-4 วัน ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ทำใจว่าต้องหาเงินให้ได้มากๆ ไว้ก่อน ขืนเอาแต่ใช้อย่างเดียวแต่ไม่รู้จักหา ต่อให้มีเท่าไหร่ก็ต้องหมด...เหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คือ จะได้พักผ่อนร่างกายจากสุรานารีซะมั่ง...
คืนนั้นเอง เราไปเจอกันในคอฟฟี่ช็อปโรงนวดราว 2 ทุ่ม ผมกับเจ้าบี๋และเจ้าวังรอเจ้าเล้งที่บอกว่ากำลังออกจากบ้านบึง ชลบุรี...งานนี้มีหวังซื้อขายกันราคาเกือบ 20 ล้านแน่ะ! เจ้าวังเกิดพบ "ดารา" ที่คิวจองยาวเหยียดปานรถไฟด่วน คนเชียร์แขกได้ทิปหนักหน่วงชนิดเอวเกือบหักบ่อยๆ ก็จัดการซิกแซ็กลัดคิว พาคนสวยมาประเคนให้หน้าตาเฉย
คราวนี้โต๊ะเราก็เหลือกันสองคน ฟังเพลงไป ดูนางงามในตู้กระจกไป บางคนเดินอกกระเพื่อมมาที่โต๊ะแขก บางคนก็กำลังจูงมือป๋าลุกจากโต๊ะไปลงอ่าง หรือไปขึ้นสวรรค์ก็แล้วแต่จะคิดกันนะครับ
ผมกับเจ้าบี๋มองสบตากัน...เราเป็นนักเที่ยวประเภทไม่ติดที่ แต่ชอบเปลี่ยนแห่งใหม่ไปเรื่อยๆ ยกเว้นจะเจ๋งจริงๆ ถึงจะย้อนกลับ 2-3 ครั้ง
ที่นี่คนสวยเยอะครับ ไม่ว่าใครจะชอบสเป๊กแบบไหนรับรองว่ามีทั้งนั้น ขาวสวยหมวยอึ๋ม, สูงยาวเข่าดี, เซ็กซี่สุดๆ ชนิดไม่ปรึกษาหารือใคร ไหนจะลูกครึ่งก็มี ใจถึงสุดฤทธิ์สุดเดชก็มี...คนเชียร์แขกมาเล่าสรรพคุณจนเล่นเอากระเดือกน้ำลายไปตามๆ กัน
พอดีเจ้าเล้งโผล่เข้ามาพร้อมกับผู้ชายที่เราคุ้นๆ หน้า...ที่แท้ก็คนขับรถของมันน่ะเอง เจ้าเล้งบอกว่า...กูรีบบึ่งมาเลย กลัวพวกมึงจะรอ! เจ้าบี๋เลยได้โอกาส...งั้นมึงโจ้เหล้ารอกูกับไอ้วิทย์มั่งละกัน เดี๋ยวไอ้วังก็ตัวเบาลงมาแล้ว!
เป็นอันว่าเราขึ้นไปอาบน้ำกันก่อนเจ้าเล้ง...
ห้องหับที่นี่สะสวยได้การครับ แต่ผมไม่สนใจมากกว่าน้องหนูตาคมผมยาว ขาวจนแทบเรืองแสงที่กำลังขัดสีฉวีวรรณให้อย่างเพลิดเพลิน จนต้องชมว่าน้องอาบน้ำเก่ง เธอก็เพียงยิ้มๆ ใช้แปรงนุ่มๆ ขัดเล็บเท้า ไขน้ำออกแล้วสั่งให้นั่งเธอจะถูหลังให้...ไฟสว่างจนผมเห็นเงาใครผ่านวูบไปที่เตียง...
ผีหลอกหรือตาลายกันแน่? งดเหล้ามาหลายวันอาจจะเมาเร็วก็ได้มั้ง? ผมลุกมาให้น้องหนูเช็ดตัว เดินไปเอนหลังท่ามกลางความเงียบ เพราะไม่ชอบให้เปิดทีวีในตอนนั้น...เสียงอาบน้ำดังแว่วมาแล้วก็หายไป แสงไฟดับวูบไปทีละดวงจนเหลือแต่ความสลัวน่าง่วงนอน
ร่างโปร่งแต่อวบมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่าง ค้นหาอุปกรณ์ในตะกร้าแล้วเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา...ครู่เดียวร่างอุ่นๆ ก็เข้ามาเบียดกับร่างผม
น่าแปลกที่ความรู้สึกพร่ามึน สับสน เหมือนจะเคลิ้มหลับแต่กลับหูตาสว่าง ร่างนั้นอุ่นวาบแล้วกลับเย็นเฉียบ มีเสียงหายใจแรงๆ แล้วกลับเงียบหาย...ผมเห็นหน้าเพื่อนๆ ทั้งเจ้าวัง, เจ้าบี๋และเจ้าขุน...ป่านนี้เจ้าวังคงจะตัวเบาไปพบเจ้าเล้งกับคนรถของมันแล้วมั้ง?
ว่าแต่มันพาคนรถมาด้วยทำไม? ผมอดสงสัยไม่ได้....จ่ายทิปไปห้าร้อยบาท น้องหนูยกมือไหว้ ยิ้มกว้างเหมือนหน้ากาก เห็นแล้วน่าขนลุกยังไงบอกไม่ถูก...ลงมาจ่ายเงินไล่ๆ กับเจ้าบี๋ พอเข้าคอฟฟี่ช็อปก็เจอเจ้าวังนั่งซดเหล้าอยู่คนเดียว...เจ้าเล้งคงขึ้นไปแช่น้ำอุ่นแก้เหนื่อยเรียบร้อยแล้ว
เผลอๆ คงใจกว้างกับคนรถของมันด้วยมั้ง...ปิดปากไงครับ
เจ้าวังบอกว่า...ไอ้เล้งคุยอยู่พักหนึ่งก็ออกไปกับคนรถนานแล้ว เดี๋ยวคงลงมา...แต่ของจริงน่ะเจ้าเล้งรถคว่ำตายแถวบางพลีตั้งแต่สองทุ่มกว่า! มันอุตส่าห์พาคนขับรถมาหาพวกเราตามนัด ก่อนลาจากไปเมืองผีตลอดกาล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม 2550
สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นนักเที่ยวราตรีชนิดหัวหกก้นขวิด ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า "บ้าบอคอแตก" คือเที่ยวทุกคืน ดึกๆ ดื่นๆ แหม! ตอนนั้นยังหนุ่มยังแน่นนะครับ ร่างกายฟิตเปรี๊ยะ หัวใจคึกคักเหมือนม้ากำลังคะนอง ไม่ว่าสุราหรือนารีลุยแหลก ความคิดอ่านอะไรไม่มีหรอกครับ เอาสนุกสะใจเข้าว่า
นอกจากพลังหนุ่มแล้วยังมีอาวุธสำคัญ คือพระเจ้าเงินตราไงครับ
พระเจ้าองค์นี้เนรมิตได้ทุกอย่างจริงๆ ถึงแม้เขาจะมีภาษิตเตือนใจว่า "เงินเป็นผู้รับใช้ที่ดี แต่เป็นนายที่เลว" หรือ "เงินเป็นทาสซื่อ และนายทรยศ" กับ "เงินซื้อเพื่อนได้ แต่ซื้อมิตรแท้ไม่ได้" แต่ผมไม่ค่อยสนใจหรอกครับ ยกเว้นภาษิตที่โดนใจสุดๆ
"ชีวิตนี้สั้นนัก จงมาสนุกกับชีวิตกันเถิด!"
ผมมีโอกาสได้สนุกเต็มที่เพราะการทำงานหนักครับ ตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังบูมอาชีพนายหน้าขายรถทำเงินให้เป็นกอบเป็นกำ คนเรามีเงินเต็มกระเป๋าก็อยากควักเพื่อซื้อของดีๆ เพื่อความสะดวกสบาย กับเพื่อหน้าตาของตัวเองด้วย ยิ่งเสี่ยหนุ่มๆ เงินถังน่ะชอบเปลี่ยนรถหรูๆ บ่อยกว่าเปลี่ยนสาวควงซะด้วยซ้ำ
เพื่อนฝูงเยอะแยะ แต่ไม่มีใครล้มทับใครนะครับ ไม่ว่าเจ้าเล้ง, เจ้าวัง, เจ้าขุน, เจ้าบี๋ ตะละคนหาเงินกันคล่องๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าเล่นหุ้น, เป็นนายหน้าขายที่ดิน, ระดับเจ้าสัวร้านเพชรร้านทองก็มี...เที่ยวกันระเบิดเถิดเทิงไปเลย
ช่วงนั้นย่านรัชดาฯ กำลังดัง พวกผมย้ายถิ่นจากหลังสวน, สารสิน, สุขุมวิท มาเที่ยวแหล่งใหม่ เข้าเธคมั่ง เลานจ์มั่ง แต่มักลงเอยในโรงนวดแทบทุกคืน
เจ้าเล้ง เพื่อนคนนี้เป็นนายหน้าค้าที่ดินครับ ต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆพาเหยื่อ...เอ๊ย! ลูกค้าไปดูที่ ไปชลบุรี, นครนายก แล้วก็เมืองกาญจน์ บางทีมันถ่อไปถึงโน่น....หล่มสัก, ชุมแพ, เชียงคาน ลงทุนเดินทาง 2-3 ครั้งก็รับทรัพย์กระเป๋าตุงมาแล้ว
ผมไปโดนผีหลอกเอาเจียนตายในโรงนวดนี่เอง!
จำได้ว่าเราต่างคนต่างยุ่งเรื่องทำมาหากินพร้อมๆ กันราว 3-4 วัน ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ทำใจว่าต้องหาเงินให้ได้มากๆ ไว้ก่อน ขืนเอาแต่ใช้อย่างเดียวแต่ไม่รู้จักหา ต่อให้มีเท่าไหร่ก็ต้องหมด...เหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คือ จะได้พักผ่อนร่างกายจากสุรานารีซะมั่ง...
คืนนั้นเอง เราไปเจอกันในคอฟฟี่ช็อปโรงนวดราว 2 ทุ่ม ผมกับเจ้าบี๋และเจ้าวังรอเจ้าเล้งที่บอกว่ากำลังออกจากบ้านบึง ชลบุรี...งานนี้มีหวังซื้อขายกันราคาเกือบ 20 ล้านแน่ะ! เจ้าวังเกิดพบ "ดารา" ที่คิวจองยาวเหยียดปานรถไฟด่วน คนเชียร์แขกได้ทิปหนักหน่วงชนิดเอวเกือบหักบ่อยๆ ก็จัดการซิกแซ็กลัดคิว พาคนสวยมาประเคนให้หน้าตาเฉย
คราวนี้โต๊ะเราก็เหลือกันสองคน ฟังเพลงไป ดูนางงามในตู้กระจกไป บางคนเดินอกกระเพื่อมมาที่โต๊ะแขก บางคนก็กำลังจูงมือป๋าลุกจากโต๊ะไปลงอ่าง หรือไปขึ้นสวรรค์ก็แล้วแต่จะคิดกันนะครับ
ผมกับเจ้าบี๋มองสบตากัน...เราเป็นนักเที่ยวประเภทไม่ติดที่ แต่ชอบเปลี่ยนแห่งใหม่ไปเรื่อยๆ ยกเว้นจะเจ๋งจริงๆ ถึงจะย้อนกลับ 2-3 ครั้ง
ที่นี่คนสวยเยอะครับ ไม่ว่าใครจะชอบสเป๊กแบบไหนรับรองว่ามีทั้งนั้น ขาวสวยหมวยอึ๋ม, สูงยาวเข่าดี, เซ็กซี่สุดๆ ชนิดไม่ปรึกษาหารือใคร ไหนจะลูกครึ่งก็มี ใจถึงสุดฤทธิ์สุดเดชก็มี...คนเชียร์แขกมาเล่าสรรพคุณจนเล่นเอากระเดือกน้ำลายไปตามๆ กัน
พอดีเจ้าเล้งโผล่เข้ามาพร้อมกับผู้ชายที่เราคุ้นๆ หน้า...ที่แท้ก็คนขับรถของมันน่ะเอง เจ้าเล้งบอกว่า...กูรีบบึ่งมาเลย กลัวพวกมึงจะรอ! เจ้าบี๋เลยได้โอกาส...งั้นมึงโจ้เหล้ารอกูกับไอ้วิทย์มั่งละกัน เดี๋ยวไอ้วังก็ตัวเบาลงมาแล้ว!
เป็นอันว่าเราขึ้นไปอาบน้ำกันก่อนเจ้าเล้ง...
ห้องหับที่นี่สะสวยได้การครับ แต่ผมไม่สนใจมากกว่าน้องหนูตาคมผมยาว ขาวจนแทบเรืองแสงที่กำลังขัดสีฉวีวรรณให้อย่างเพลิดเพลิน จนต้องชมว่าน้องอาบน้ำเก่ง เธอก็เพียงยิ้มๆ ใช้แปรงนุ่มๆ ขัดเล็บเท้า ไขน้ำออกแล้วสั่งให้นั่งเธอจะถูหลังให้...ไฟสว่างจนผมเห็นเงาใครผ่านวูบไปที่เตียง...
ผีหลอกหรือตาลายกันแน่? งดเหล้ามาหลายวันอาจจะเมาเร็วก็ได้มั้ง? ผมลุกมาให้น้องหนูเช็ดตัว เดินไปเอนหลังท่ามกลางความเงียบ เพราะไม่ชอบให้เปิดทีวีในตอนนั้น...เสียงอาบน้ำดังแว่วมาแล้วก็หายไป แสงไฟดับวูบไปทีละดวงจนเหลือแต่ความสลัวน่าง่วงนอน
ร่างโปร่งแต่อวบมีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่าง ค้นหาอุปกรณ์ในตะกร้าแล้วเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา...ครู่เดียวร่างอุ่นๆ ก็เข้ามาเบียดกับร่างผม
น่าแปลกที่ความรู้สึกพร่ามึน สับสน เหมือนจะเคลิ้มหลับแต่กลับหูตาสว่าง ร่างนั้นอุ่นวาบแล้วกลับเย็นเฉียบ มีเสียงหายใจแรงๆ แล้วกลับเงียบหาย...ผมเห็นหน้าเพื่อนๆ ทั้งเจ้าวัง, เจ้าบี๋และเจ้าขุน...ป่านนี้เจ้าวังคงจะตัวเบาไปพบเจ้าเล้งกับคนรถของมันแล้วมั้ง?
ว่าแต่มันพาคนรถมาด้วยทำไม? ผมอดสงสัยไม่ได้....จ่ายทิปไปห้าร้อยบาท น้องหนูยกมือไหว้ ยิ้มกว้างเหมือนหน้ากาก เห็นแล้วน่าขนลุกยังไงบอกไม่ถูก...ลงมาจ่ายเงินไล่ๆ กับเจ้าบี๋ พอเข้าคอฟฟี่ช็อปก็เจอเจ้าวังนั่งซดเหล้าอยู่คนเดียว...เจ้าเล้งคงขึ้นไปแช่น้ำอุ่นแก้เหนื่อยเรียบร้อยแล้ว
เผลอๆ คงใจกว้างกับคนรถของมันด้วยมั้ง...ปิดปากไงครับ
เจ้าวังบอกว่า...ไอ้เล้งคุยอยู่พักหนึ่งก็ออกไปกับคนรถนานแล้ว เดี๋ยวคงลงมา...แต่ของจริงน่ะเจ้าเล้งรถคว่ำตายแถวบางพลีตั้งแต่สองทุ่มกว่า! มันอุตส่าห์พาคนขับรถมาหาพวกเราตามนัด ก่อนลาจากไปเมืองผีตลอดกาล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม 2550
15 ตุลาคม 2558
สะกดวิญญาณ
"หลานย่าโม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากขามทะเลสอ
ดิฉันเป็นคนโคราช หลานย่าโม สมัยก่อนพวกทางราชการชอบมายุ่งกับเราบ่อยๆ จนน่ารำคาญ อ้างว่าจังหวัดเรากว้างใหญ่มาก สามารถแบ่งออกเป็น 2-3 จังหวัดได้สบาย ดูแต่จังหวัดอื่นๆ ที่เล็กกว่ายังแบ่งได้นี่นา
โคราชมีตั้ง 26 อำเภอ 6 กิ่งอำเภอแน่ะ! ชอบอ้างว่าเพื่อสะดวกในการปกครองและพัฒนาบ้างละ เพื่อความเจริญของอำเภอต่างๆ บ้างละ เพื่อสุขภาพ เพื่อการศึกษา เพื่อชีวิตที่ดีกว่าโอ๊ย...สารพัดละ ข้ออ้างต่างๆ นานาน่ะ
พวกเราไม่มีใครยอมหรอกค่ะ ความเจริญแท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแยกจังหวัด แต่อยู่ที่รัฐกับคนของรัฐต่างหากล่ะ ถ้าขืนใจอ่อนยอมให้เขาทำได้ตามใจชอบ พวกเราอีกนับแสนๆ คนก็ไม่ได้เป็น "คนโคราช" อย่างที่เราภาคภูมิใจกันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวดน่ะซีคะ
ข้อสำคัญก็คือ...ไม่ได้เป็นหลานย่าโม!
ช่างเถอะค่ะ ไหนๆ มันก็ผ่านไปแล้ว ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บให้หงุดหงิด สู้มาเล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังดีกว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยดิฉันยังเด็ก อยู่อำเภอขามทะเลสอ พวกเรามีอาชีพทำไร่ทำนา ปลูกผัก ทำสวนครัว เลี้ยงไก่เป็นอาชีพเสริม คนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านมักจะออกไปทำมาหากินต่างถิ่น ไปกรุงเทพฯ มากที่สุด ส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้ บางคนก็มาเยี่ยมบ่อยๆ ตรุษสงกรานต์ถือว่าเป็นวันรวมญาติ ครึกครื้นและมีความสุขมาก
อ้อ! พวกหนุ่มๆ สาวๆ ที่ยังอยู่บ้าน ช่วยพ่อแก่แม่เฒ่าทำนาทำไร่ก็มีไม่น้อยนะคะ ไม่ใช่ว่าทิ้งถิ่นกันไปหมด
พี่ชายคนโตของดิฉันชื่อยอด รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมสันเอาการ มีเพื่อนเยอะแยะทั้งตำบลไม่ว่าหญิงหรือชาย แว่วๆ ว่าอกหักจากพี่เพ็ญ ลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ก็เลยหลบไปทำงานถึงปักษ์ใต้ แถวๆ ภูเก็ตหรือพังงานี่แหละนานปีทีหนถึงจะกลับบ้านสักครั้ง
สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี เราติดต่อกันทางจดหมาย อย่างเก่งก็โทรเลข
พี่เพ็ญที่ทำให้พี่ชายดิฉันอกหักเป็นคนสวย รูปร่างดี อกใหญ่ สะโพกผึ่งผายน่าดู มีพวกหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน ขนาดมาจากต่างอำเภอก็มี พี่เพ็ญเป็นคนขี้เล่น หูตาแพรวพราว ช่างพูดช่างคุย เดี๋ยวก็ลือว่าเป็นแฟนคนนั้น เดี๋ยวก็เป็นแฟนคนนี้
ชาวบ้านลือว่าพี่เพ็ญเป็นสาวใจแตก ไม่หวงเนื้อหวงตัวเหมือนคนอื่นๆ พี่ยอดของดิฉันจะอกหักเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ คิดแล้วสงสารพี่ชายจริงๆ ค่ะ
วันหนึ่งพี่เพ็ญหายออกจากบ้าน จนค่ำมืดก็ไม่ยอมกลับ พ่อก็ชวนคนเที่ยวตามหา แต่ไม่พบเพราะมีที่เปลี่ยวกับป่าละเมาะหลายแห่ง ตามหนองน้ำท้ายบ้านก็ไม่มี ตามชายทุ่งก็ไม่พบวี่แวว จนกระทั่งรุ่งขึ้น ไอ้นายออกไปเลี้ยงควายก็เจอศพพี่เพ็ญถูกฆ่าหมกอยู่ในดงสาบเสือใกล้ต้นตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่า มันร้องเอะอะโวยวายจนตกใจกันทั้งหมู่บ้าน
สาวสวยโดนข่มขืนฆ่า หน้าอกถูกแทงพรุนเป็นสิบๆ แผล เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน นัยน์ตาลืมโพลง น่าอเนจอนาถนัก...ชาวบ้านอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่าใครฆ่า? ฆ่าทำไม? ในเมื่อเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงหวงเนื้อหวงตัวอยู่แล้วนี่นา
สรุปกันว่า...ฆาตกรมันฆ่าเพราะพิษหึงค่ะ!
เผาศพไปได้ไม่นาน ปีศาจพี่เพ็ญก็ออกอาละวาด เล่นเอาชาวบ้านขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เพราะตอนเย็นๆ กับโพล้เพล้ มีคนเห็นพี่เพ็ญเดินตัวล่อนจ้อนออกมาจากดงไม้บ้าง ป่าละเมาะริมทางบ้าง ตอนแรกๆนึกว่าเห็นคนบ้า แต่พอจำหน้าได้ถึงกับร้องจ้า วิ่งหนีจนล้มลุกคลุกคลานไปตามๆ กัน
ตกค่ำคืนไม่มีใครกล้าออกนอกบ้าน ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตาบัวขี้เมาประกาศว่าไม่กลัวผี คืนหนึ่งเดินสะเงาะสะแงะกลับบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นเรียกชื่อ พอหันมองก็เห็นพี่เพ็ญเดินตัวขาวโพลนยิ้มแป้นเข้ามาหา ตาบัวเล่าว่าแกวิ่งไม่ไหว ทั้งๆ ที่หายเมาเป็นปลิดทิ้ง ได้แต่นั่งแผละลงยกมือไหว้ น้ำตาไหลพรากเป็นเผาเต่า
ขนาดผีพี่เพ็ญหายตัวไปแล้ว ตาบัวยังลุกไม่ขึ้นอยู่ตั้งนานแน่ะค่ะ!
ผู้ใหญ่บ้านเองแค้นเรื่องนี้มาก เคยประกาศว่า...ถ้าผีลูกสาวแกดุจริงก็ไปหักคอไอ้ฆาตกรซะเลยซีวะ อย่าเที่ยวมาหลอกหลอนให้ชาวบ้านเดือดร้อน
เรื่องนี้ก็แปลกนะคะ ผีพี่เพ็ญไม่เห็นเล่นงานใครที่เป็นตัวการฆ่าเธอ มีแต่ตอนค่ำคืนก็ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนน่าขนลุก อย่าว่าแต่เด็กๆ จะกลัวเลยค่ะ ผู้ใหญ่ก็กลัวจนต้องคลุมโปง...ตาจุ่นมีวิชาทางไสยศาสตร์บอกว่า ไอ้คนฆ่ามันสะกดวิญญาณจนทำอะไรมันไม่ได้
หลังจากพี่เพ็ญตายไปเกือบเดือน พี่ชายดิฉันก็กลับมาเยี่ยมบ้าน!
พี่ยอดลงจากรถสองแถวที่ส่งแค่ปากทางยามค่ำ เดินย่ำมาตามทางดินลูกรังเงียบเชียบเปล่าเปลี่ยว ถึงจะมีบ้านช่องเรียงรายก็ดับไฟมืด อาศัยแสงดาวกับเจนหนทางทำให้เดินมาได้จนพบพี่เพ็ญเข้าที่ริมรั้วใกล้ๆ บ้านเรานั่นเอง
ทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง ฝ่ายชายไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงตายแล้ว! จนกระทั่งมาถึงบ้านให้พวกเราดีอกดีใจกัน ชื่นชมกับของฝากที่ได้รับ จู่ๆ เสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นหน้าบ้าน...พี่ยอดจ๋า เล่นเอาดิฉันสะดุ้งโหยง ยิ่งพี่ยอดขานรับเรายิ่งกลัว...ต้องบอกว่าพี่เพ็ญตายแล้ว! พี่ยอดอ้าปากค้าง...พี่เพิ่งคุยกับมันมาหยกๆ นี่เอง!
เอาล่ะซี! คราวนี้เสียงหมาเห่าหอนดังขรม ไม่ว่าบ้านนั้นบ้านนี้ก็ประสานเสียงกันเซ็งแซ่ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นจนพี่ยอดผวาไปเกาะหน้าต่าง พ่อแม่กับดิฉันร้องเรียกเสียงหลง...พี่ยอดถอยมานั่งแปะ หน้าขาวซีดเลยค่ะ
ตาจุ่นพูดถูกที่วิญญาณพี่เพ็ญถูกสะกดจนเล่นงานฆาตกรไม่ได้ แต่เมื่อได้พบพี่ยอดแล้ว ปีศาจพี่เพ็ญก็สงบเงียบตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2550
ดิฉันเป็นคนโคราช หลานย่าโม สมัยก่อนพวกทางราชการชอบมายุ่งกับเราบ่อยๆ จนน่ารำคาญ อ้างว่าจังหวัดเรากว้างใหญ่มาก สามารถแบ่งออกเป็น 2-3 จังหวัดได้สบาย ดูแต่จังหวัดอื่นๆ ที่เล็กกว่ายังแบ่งได้นี่นา
โคราชมีตั้ง 26 อำเภอ 6 กิ่งอำเภอแน่ะ! ชอบอ้างว่าเพื่อสะดวกในการปกครองและพัฒนาบ้างละ เพื่อความเจริญของอำเภอต่างๆ บ้างละ เพื่อสุขภาพ เพื่อการศึกษา เพื่อชีวิตที่ดีกว่าโอ๊ย...สารพัดละ ข้ออ้างต่างๆ นานาน่ะ
พวกเราไม่มีใครยอมหรอกค่ะ ความเจริญแท้จริงไม่ได้อยู่ที่การแยกจังหวัด แต่อยู่ที่รัฐกับคนของรัฐต่างหากล่ะ ถ้าขืนใจอ่อนยอมให้เขาทำได้ตามใจชอบ พวกเราอีกนับแสนๆ คนก็ไม่ได้เป็น "คนโคราช" อย่างที่เราภาคภูมิใจกันมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวดน่ะซีคะ
ข้อสำคัญก็คือ...ไม่ได้เป็นหลานย่าโม!
ช่างเถอะค่ะ ไหนๆ มันก็ผ่านไปแล้ว ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บให้หงุดหงิด สู้มาเล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังดีกว่า
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยดิฉันยังเด็ก อยู่อำเภอขามทะเลสอ พวกเรามีอาชีพทำไร่ทำนา ปลูกผัก ทำสวนครัว เลี้ยงไก่เป็นอาชีพเสริม คนหนุ่มคนสาวในหมู่บ้านมักจะออกไปทำมาหากินต่างถิ่น ไปกรุงเทพฯ มากที่สุด ส่งเงินมาให้ทางบ้านใช้ บางคนก็มาเยี่ยมบ่อยๆ ตรุษสงกรานต์ถือว่าเป็นวันรวมญาติ ครึกครื้นและมีความสุขมาก
อ้อ! พวกหนุ่มๆ สาวๆ ที่ยังอยู่บ้าน ช่วยพ่อแก่แม่เฒ่าทำนาทำไร่ก็มีไม่น้อยนะคะ ไม่ใช่ว่าทิ้งถิ่นกันไปหมด
พี่ชายคนโตของดิฉันชื่อยอด รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมสันเอาการ มีเพื่อนเยอะแยะทั้งตำบลไม่ว่าหญิงหรือชาย แว่วๆ ว่าอกหักจากพี่เพ็ญ ลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ก็เลยหลบไปทำงานถึงปักษ์ใต้ แถวๆ ภูเก็ตหรือพังงานี่แหละนานปีทีหนถึงจะกลับบ้านสักครั้ง
สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่มี เราติดต่อกันทางจดหมาย อย่างเก่งก็โทรเลข
พี่เพ็ญที่ทำให้พี่ชายดิฉันอกหักเป็นคนสวย รูปร่างดี อกใหญ่ สะโพกผึ่งผายน่าดู มีพวกหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน ขนาดมาจากต่างอำเภอก็มี พี่เพ็ญเป็นคนขี้เล่น หูตาแพรวพราว ช่างพูดช่างคุย เดี๋ยวก็ลือว่าเป็นแฟนคนนั้น เดี๋ยวก็เป็นแฟนคนนี้
ชาวบ้านลือว่าพี่เพ็ญเป็นสาวใจแตก ไม่หวงเนื้อหวงตัวเหมือนคนอื่นๆ พี่ยอดของดิฉันจะอกหักเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ คิดแล้วสงสารพี่ชายจริงๆ ค่ะ
วันหนึ่งพี่เพ็ญหายออกจากบ้าน จนค่ำมืดก็ไม่ยอมกลับ พ่อก็ชวนคนเที่ยวตามหา แต่ไม่พบเพราะมีที่เปลี่ยวกับป่าละเมาะหลายแห่ง ตามหนองน้ำท้ายบ้านก็ไม่มี ตามชายทุ่งก็ไม่พบวี่แวว จนกระทั่งรุ่งขึ้น ไอ้นายออกไปเลี้ยงควายก็เจอศพพี่เพ็ญถูกฆ่าหมกอยู่ในดงสาบเสือใกล้ต้นตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่า มันร้องเอะอะโวยวายจนตกใจกันทั้งหมู่บ้าน
สาวสวยโดนข่มขืนฆ่า หน้าอกถูกแทงพรุนเป็นสิบๆ แผล เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน นัยน์ตาลืมโพลง น่าอเนจอนาถนัก...ชาวบ้านอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่าใครฆ่า? ฆ่าทำไม? ในเมื่อเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงหวงเนื้อหวงตัวอยู่แล้วนี่นา
สรุปกันว่า...ฆาตกรมันฆ่าเพราะพิษหึงค่ะ!
เผาศพไปได้ไม่นาน ปีศาจพี่เพ็ญก็ออกอาละวาด เล่นเอาชาวบ้านขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เพราะตอนเย็นๆ กับโพล้เพล้ มีคนเห็นพี่เพ็ญเดินตัวล่อนจ้อนออกมาจากดงไม้บ้าง ป่าละเมาะริมทางบ้าง ตอนแรกๆนึกว่าเห็นคนบ้า แต่พอจำหน้าได้ถึงกับร้องจ้า วิ่งหนีจนล้มลุกคลุกคลานไปตามๆ กัน
ตกค่ำคืนไม่มีใครกล้าออกนอกบ้าน ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตาบัวขี้เมาประกาศว่าไม่กลัวผี คืนหนึ่งเดินสะเงาะสะแงะกลับบ้าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเยือกเย็นเรียกชื่อ พอหันมองก็เห็นพี่เพ็ญเดินตัวขาวโพลนยิ้มแป้นเข้ามาหา ตาบัวเล่าว่าแกวิ่งไม่ไหว ทั้งๆ ที่หายเมาเป็นปลิดทิ้ง ได้แต่นั่งแผละลงยกมือไหว้ น้ำตาไหลพรากเป็นเผาเต่า
ขนาดผีพี่เพ็ญหายตัวไปแล้ว ตาบัวยังลุกไม่ขึ้นอยู่ตั้งนานแน่ะค่ะ!
ผู้ใหญ่บ้านเองแค้นเรื่องนี้มาก เคยประกาศว่า...ถ้าผีลูกสาวแกดุจริงก็ไปหักคอไอ้ฆาตกรซะเลยซีวะ อย่าเที่ยวมาหลอกหลอนให้ชาวบ้านเดือดร้อน
เรื่องนี้ก็แปลกนะคะ ผีพี่เพ็ญไม่เห็นเล่นงานใครที่เป็นตัวการฆ่าเธอ มีแต่ตอนค่ำคืนก็ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนน่าขนลุก อย่าว่าแต่เด็กๆ จะกลัวเลยค่ะ ผู้ใหญ่ก็กลัวจนต้องคลุมโปง...ตาจุ่นมีวิชาทางไสยศาสตร์บอกว่า ไอ้คนฆ่ามันสะกดวิญญาณจนทำอะไรมันไม่ได้
หลังจากพี่เพ็ญตายไปเกือบเดือน พี่ชายดิฉันก็กลับมาเยี่ยมบ้าน!
พี่ยอดลงจากรถสองแถวที่ส่งแค่ปากทางยามค่ำ เดินย่ำมาตามทางดินลูกรังเงียบเชียบเปล่าเปลี่ยว ถึงจะมีบ้านช่องเรียงรายก็ดับไฟมืด อาศัยแสงดาวกับเจนหนทางทำให้เดินมาได้จนพบพี่เพ็ญเข้าที่ริมรั้วใกล้ๆ บ้านเรานั่นเอง
ทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง ฝ่ายชายไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงตายแล้ว! จนกระทั่งมาถึงบ้านให้พวกเราดีอกดีใจกัน ชื่นชมกับของฝากที่ได้รับ จู่ๆ เสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นหน้าบ้าน...พี่ยอดจ๋า เล่นเอาดิฉันสะดุ้งโหยง ยิ่งพี่ยอดขานรับเรายิ่งกลัว...ต้องบอกว่าพี่เพ็ญตายแล้ว! พี่ยอดอ้าปากค้าง...พี่เพิ่งคุยกับมันมาหยกๆ นี่เอง!
เอาล่ะซี! คราวนี้เสียงหมาเห่าหอนดังขรม ไม่ว่าบ้านนั้นบ้านนี้ก็ประสานเสียงกันเซ็งแซ่ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังขึ้นจนพี่ยอดผวาไปเกาะหน้าต่าง พ่อแม่กับดิฉันร้องเรียกเสียงหลง...พี่ยอดถอยมานั่งแปะ หน้าขาวซีดเลยค่ะ
ตาจุ่นพูดถูกที่วิญญาณพี่เพ็ญถูกสะกดจนเล่นงานฆาตกรไม่ได้ แต่เมื่อได้พบพี่ยอดแล้ว ปีศาจพี่เพ็ญก็สงบเงียบตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2550
12 ตุลาคม 2558
ชุมทางปิศาจ
"พ่อค้า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีย้ายโรงแรม
ผมชอบไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยๆ เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตา ได้เห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะไปรถไฟหรือรถทัวร์ก็สะดวกทั้งนั้นแหละครับ เช่าโรงแรมถูกๆ แถวหน้าสถานีเป็นที่ซุกหัวนอน
ส่วนมากเป็นโรงแรมเก่าๆ แบบตึกแถวที่สร้างมาหลายสิบปีแล้ว มีทั้งร้านอาหารและร้านเหล้าร้านกาแฟอยู่ชั้นล่าง บางแห่งไม่มีร้านค้าแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วง เพราะแถวนั้นจะเปิดร้านขายอาหาร และเครื่องดื่มคึกคัก ไม่ว่าข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารตามสั่ง รับรองว่ามีทั้งนั้น
โดยเฉพาะผู้หญิงกลางคืนจะมีชุกชุมที่สุด!
สมัยก่อนเรียก "นางบังเงา" หรือ "ผีเสื้อราตรี" ความหมายก็คือโสเภณีนั่นเอง!
ไม่ว่าโรงแรมไหนก็โรงแรมนั้น ตกค่ำก็แต่งตัวโป๊ๆ แต่งหน้าทาปากฉูดฉาดออกล่าเหยื่อ แสงไฟสลัวๆ ทำให้พวกเธอดูสะสวย ยั่วยวน ยิ่งผู้ชายกลัดมันหรือเมาเหล้าเข้าไปด้วยแล้วมักจะบอกว่า...เหมือนเทพธิดาจำแลง!
แต่ก่อนค่าตัวของพวกเธอค่อนข้างถูก ใครจ่าย 20-30 บาทก็พาขึ้นห้องได้แล้ว ต่อมากลายเป็น 50-60 บาท จนกระทั่ง 150-200 บาทตามยุคสมัยที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงลิ่วขึ้นไปทุกวัน
นางฟ้าราตรีพวกนี้ส่วนมากจะเช่าห้องอยู่ในโรงแรม แต่หลายๆ คนก็เช่าห้องพักอยู่ที่อื่น ตกค่ำก็นั่งสามล้อมาที่โรงแรมแถวหน้าสถานีรถไฟหรือรถขนส่ง
สิ่งที่คู่กับผีเสื้อราตรีในโรงแรมสับปะรังเคก็คือผีดุครับ!
ไม่ว่าโรงแรมไหนโรงแรมนั้น ไม่มีที่ไหนจะน้อยหน้ากันแน่ เพราะความที่มีคนแปลกหน้าสารพัดชนิด เรียกว่าร้อยพ่อพันแม่มาสิงสู่ โดดจากรถยนต์หรือรถไฟลงมาเช่าอยู่ประเดี๋ยวประด๋าวแค่คืนเดียวบ้าง หลายคืนบ้าง สวนมากมักจะลงมาดวดเหล้า นัยน์ตาแดงก่ำหิวโหยสอดส่ายหาผู้หญิงสักคนไปเป็นเพื่อนนอน
บางวันผู้หญิงก็โดนเชือดเป็นศพ แต่บางวันผู้ชายโดนมอมยาจนตายก็มี
ส่วนมากต้องการทรัพย์สิน แต่ก็มีทั้งมาเปิดห้องโรงแรมเพื่อฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เกิดเรื่องวิวาทกัน ตีรันฟันแทงกันจนหลาย รายต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่โรงแรม
เรื่องราวของโรงแรมผีสิงพลันอุบัติ!
เหตุการณ์น่าขนหัวลุกมีทั้งโรงแรมใหญ่และเล็ก แต่เรื่องน่าเศร้าสลดและน่าสยองมักจะเกิดในโรงแรมเล็กๆ ประเภทโรงแรมจิ้งหรีดตามชุมทางรถยนต์และรถไฟนี่เอง
เชื่อกันว่าวิญญาณผีตายโหง ผู้ถูกฆ่าหรือแม้แต่ฆ่าตัวตาย ทั้งเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานสุดขีดก่อนจะขาดใจตาย ไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรอกครับ แต่สิงสู่วนเวียนอยู่ในโรงแรมที่เคยได้สูดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย...วิญญาณพยายามคอยตั้งหน้าตั้งตาหลอกหลอนผู้คนที่หลงเข้าไปพักในโรงแรมนั้นๆ เป็นประจำ
มีทั้งมาเคาะประตูตอนกลางคืน ทำท่าเหมือนผีเสื้อราตรี หรือสาวเปลี่ยวใจมาเสนอตัวเป็นคู่นอน
มีทั้งส่งเสียงกุกกัก กระแอมกระไอ จนถึงคลานไปมาบนเพดาน
มีทั้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งห้อง จนไม่มีใครทนอยู่ไหว...มีทั้งมายืนจ้องมองอยู่ข้างเตียง โถมเข้าใส่จนหายใจไม่ออกคล้ายผีอำ...และมีทั้งมานอนหงายอ้าซ่าเคียงข้างพอหันไปเห็นเข้าก็สติแตก ร้องจ้าเหมือนเกิดไฟไหม้ เผ่นหนีไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
คืนนั้น ผมลงจากรถทัวร์ก็ตรงดิ่งไปโรงแรมใกล้ๆ ทันที...ชีวิตนี้ยังไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่นึกสังหรณ์ใจชอบกลว่าคราวนี้คงจะเจอเรื่องขนหัวลุกแน่ๆ
แสงไฟเหลืองรัวตั้งแต่ร้านอาหารชั้นล่าง มีลูกค้าแค่ 2-3 คน บรรยากาศดูอ้างว้าง เยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แตกต่างกับที่ท่ารถเหมือนคนละโลก ผมเดินขึ้นบันไดไปที่เคาน์เตอร์ ตาแป๊ะผอมกงโก้ ผมขาวโพลน สวมเสื้อกล้ามตัวเดียว นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปปั้น นัยน์ตาลึกกลวงในเบ้าจ้องมองเฉยเมยราวกับนัยน์ตาคนตาย
"เอากี่ห้อง? ห้องไหนก็ได้..." เสียงแหบแห้งไร้ชีวิตชีวาดังขึ้น คล้ายกับแกไม่ได้ขยับปากด้วยซ้ำ "ไม่รู้ว่าคนหายไปไหนหมด..."
ผมกระเดือกน้ำลาย...จ่ายเงินล่วงหน้าแล้วรับกุญแจ ผ่าเถอะ! ตลอดทางที่เดินไปถึงหน้าห้องน่ะผมไม่เจอะเจอใครแม้แต่คนเดียว...สงสัยที่นี่คงผีดุสาหัสจนไม่ค่อยมีใครกล้ามาพัก
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาหาอะไรกิน...ไม่พบใครเลยนอกจากผีเสื้อราตรีสารรูปทรุดโทรมที่เดินตามลงมาคนเดียว...ผมแวะที่ร้านชั้นล่าง ไม่มีลูกค้าเหลือแล้ว ส่วนสาวคนนั้นเดินระทดระทวยออกไปข้างนอก ท่าทางเศร้าสร้อยและสิ้นหวังจนน่าใจหาย
ที่นี่คงผีดุฉกาจฉกรรจ์แน่ๆ ผมนึกขณะดื่มเหล้าเงียบเชียบเพียงคนเดียว แม่ค้านั่งหมดอาลัยตายอยาก...ไฟเหลืองรัวทำให้ใบหน้าเธอเกิดรูปเงาน่าสยอง ผมรู้สึกหนาวเยือกที่แผ่นหลังจนต้องเทเหล้าลงคออึกใหญ่
คืนนี้จะเจออะไรหนอ...ผมอดระแวงไม่ได้ขณะซดเหล้าแก้วสุดท้าย จ่ายเงินแล้วขึ้นบันไดกลับเข้าห้อง ดับไฟนอน ใจเต็นระทึกจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู...
ผีหลอก! ผมแน่ใจขณะลุกไปถอดกลอน...สาวสุดโทรมคนนั้นเอง! ผมถอนใจเฮือกเมื่อเธอขอเข้ามานอนด้วย ผมบอกปัด ปิดประตูแล้วกลับขึ้นเตียงตามเดิม เงี่ยหูฟังเสียงที่อาจจะดังขึ้น แต่สรรพสิ่งก็เงียบเชียบจนผมหลับสนิท
รุ่งขึ้นผมลงมากินกาแฟข้างล่าง เห็นสาว 3-4 คนหิ้วกระเป๋าหน้าตาบึ้งตึงตามกันลงมา คนนำหน้าร้องว่า...เร็วๆ หน่อยซีวะ เดี๋ยวก็ขึ้นรถไม่ทัน โรงแรมนี้ผียังอยู่ไม่ได้เลยว่ะ...ไม่มีแขก ไม่มีเครื่องเซ่น! แล้วพวกเราจะไม่ย้ายไปโรงแรมใหม่ที่มีแขกเยอะๆ ได้ยังไง?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2550
ผมชอบไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยๆ เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตา ได้เห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะไปรถไฟหรือรถทัวร์ก็สะดวกทั้งนั้นแหละครับ เช่าโรงแรมถูกๆ แถวหน้าสถานีเป็นที่ซุกหัวนอน
ส่วนมากเป็นโรงแรมเก่าๆ แบบตึกแถวที่สร้างมาหลายสิบปีแล้ว มีทั้งร้านอาหารและร้านเหล้าร้านกาแฟอยู่ชั้นล่าง บางแห่งไม่มีร้านค้าแบบนี้ก็ไม่ต้องห่วง เพราะแถวนั้นจะเปิดร้านขายอาหาร และเครื่องดื่มคึกคัก ไม่ว่าข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารตามสั่ง รับรองว่ามีทั้งนั้น
โดยเฉพาะผู้หญิงกลางคืนจะมีชุกชุมที่สุด!
สมัยก่อนเรียก "นางบังเงา" หรือ "ผีเสื้อราตรี" ความหมายก็คือโสเภณีนั่นเอง!
ไม่ว่าโรงแรมไหนก็โรงแรมนั้น ตกค่ำก็แต่งตัวโป๊ๆ แต่งหน้าทาปากฉูดฉาดออกล่าเหยื่อ แสงไฟสลัวๆ ทำให้พวกเธอดูสะสวย ยั่วยวน ยิ่งผู้ชายกลัดมันหรือเมาเหล้าเข้าไปด้วยแล้วมักจะบอกว่า...เหมือนเทพธิดาจำแลง!
แต่ก่อนค่าตัวของพวกเธอค่อนข้างถูก ใครจ่าย 20-30 บาทก็พาขึ้นห้องได้แล้ว ต่อมากลายเป็น 50-60 บาท จนกระทั่ง 150-200 บาทตามยุคสมัยที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงลิ่วขึ้นไปทุกวัน
นางฟ้าราตรีพวกนี้ส่วนมากจะเช่าห้องอยู่ในโรงแรม แต่หลายๆ คนก็เช่าห้องพักอยู่ที่อื่น ตกค่ำก็นั่งสามล้อมาที่โรงแรมแถวหน้าสถานีรถไฟหรือรถขนส่ง
สิ่งที่คู่กับผีเสื้อราตรีในโรงแรมสับปะรังเคก็คือผีดุครับ!
ไม่ว่าโรงแรมไหนโรงแรมนั้น ไม่มีที่ไหนจะน้อยหน้ากันแน่ เพราะความที่มีคนแปลกหน้าสารพัดชนิด เรียกว่าร้อยพ่อพันแม่มาสิงสู่ โดดจากรถยนต์หรือรถไฟลงมาเช่าอยู่ประเดี๋ยวประด๋าวแค่คืนเดียวบ้าง หลายคืนบ้าง สวนมากมักจะลงมาดวดเหล้า นัยน์ตาแดงก่ำหิวโหยสอดส่ายหาผู้หญิงสักคนไปเป็นเพื่อนนอน
บางวันผู้หญิงก็โดนเชือดเป็นศพ แต่บางวันผู้ชายโดนมอมยาจนตายก็มี
ส่วนมากต้องการทรัพย์สิน แต่ก็มีทั้งมาเปิดห้องโรงแรมเพื่อฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เกิดเรื่องวิวาทกัน ตีรันฟันแทงกันจนหลาย รายต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่โรงแรม
เรื่องราวของโรงแรมผีสิงพลันอุบัติ!
เหตุการณ์น่าขนหัวลุกมีทั้งโรงแรมใหญ่และเล็ก แต่เรื่องน่าเศร้าสลดและน่าสยองมักจะเกิดในโรงแรมเล็กๆ ประเภทโรงแรมจิ้งหรีดตามชุมทางรถยนต์และรถไฟนี่เอง
เชื่อกันว่าวิญญาณผีตายโหง ผู้ถูกฆ่าหรือแม้แต่ฆ่าตัวตาย ทั้งเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานสุดขีดก่อนจะขาดใจตาย ไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรอกครับ แต่สิงสู่วนเวียนอยู่ในโรงแรมที่เคยได้สูดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย...วิญญาณพยายามคอยตั้งหน้าตั้งตาหลอกหลอนผู้คนที่หลงเข้าไปพักในโรงแรมนั้นๆ เป็นประจำ
มีทั้งมาเคาะประตูตอนกลางคืน ทำท่าเหมือนผีเสื้อราตรี หรือสาวเปลี่ยวใจมาเสนอตัวเป็นคู่นอน
มีทั้งส่งเสียงกุกกัก กระแอมกระไอ จนถึงคลานไปมาบนเพดาน
มีทั้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งห้อง จนไม่มีใครทนอยู่ไหว...มีทั้งมายืนจ้องมองอยู่ข้างเตียง โถมเข้าใส่จนหายใจไม่ออกคล้ายผีอำ...และมีทั้งมานอนหงายอ้าซ่าเคียงข้างพอหันไปเห็นเข้าก็สติแตก ร้องจ้าเหมือนเกิดไฟไหม้ เผ่นหนีไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
คืนนั้น ผมลงจากรถทัวร์ก็ตรงดิ่งไปโรงแรมใกล้ๆ ทันที...ชีวิตนี้ยังไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้ง แต่นึกสังหรณ์ใจชอบกลว่าคราวนี้คงจะเจอเรื่องขนหัวลุกแน่ๆ
แสงไฟเหลืองรัวตั้งแต่ร้านอาหารชั้นล่าง มีลูกค้าแค่ 2-3 คน บรรยากาศดูอ้างว้าง เยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แตกต่างกับที่ท่ารถเหมือนคนละโลก ผมเดินขึ้นบันไดไปที่เคาน์เตอร์ ตาแป๊ะผอมกงโก้ ผมขาวโพลน สวมเสื้อกล้ามตัวเดียว นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปปั้น นัยน์ตาลึกกลวงในเบ้าจ้องมองเฉยเมยราวกับนัยน์ตาคนตาย
"เอากี่ห้อง? ห้องไหนก็ได้..." เสียงแหบแห้งไร้ชีวิตชีวาดังขึ้น คล้ายกับแกไม่ได้ขยับปากด้วยซ้ำ "ไม่รู้ว่าคนหายไปไหนหมด..."
ผมกระเดือกน้ำลาย...จ่ายเงินล่วงหน้าแล้วรับกุญแจ ผ่าเถอะ! ตลอดทางที่เดินไปถึงหน้าห้องน่ะผมไม่เจอะเจอใครแม้แต่คนเดียว...สงสัยที่นี่คงผีดุสาหัสจนไม่ค่อยมีใครกล้ามาพัก
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาหาอะไรกิน...ไม่พบใครเลยนอกจากผีเสื้อราตรีสารรูปทรุดโทรมที่เดินตามลงมาคนเดียว...ผมแวะที่ร้านชั้นล่าง ไม่มีลูกค้าเหลือแล้ว ส่วนสาวคนนั้นเดินระทดระทวยออกไปข้างนอก ท่าทางเศร้าสร้อยและสิ้นหวังจนน่าใจหาย
ที่นี่คงผีดุฉกาจฉกรรจ์แน่ๆ ผมนึกขณะดื่มเหล้าเงียบเชียบเพียงคนเดียว แม่ค้านั่งหมดอาลัยตายอยาก...ไฟเหลืองรัวทำให้ใบหน้าเธอเกิดรูปเงาน่าสยอง ผมรู้สึกหนาวเยือกที่แผ่นหลังจนต้องเทเหล้าลงคออึกใหญ่
คืนนี้จะเจออะไรหนอ...ผมอดระแวงไม่ได้ขณะซดเหล้าแก้วสุดท้าย จ่ายเงินแล้วขึ้นบันไดกลับเข้าห้อง ดับไฟนอน ใจเต็นระทึกจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู...
ผีหลอก! ผมแน่ใจขณะลุกไปถอดกลอน...สาวสุดโทรมคนนั้นเอง! ผมถอนใจเฮือกเมื่อเธอขอเข้ามานอนด้วย ผมบอกปัด ปิดประตูแล้วกลับขึ้นเตียงตามเดิม เงี่ยหูฟังเสียงที่อาจจะดังขึ้น แต่สรรพสิ่งก็เงียบเชียบจนผมหลับสนิท
รุ่งขึ้นผมลงมากินกาแฟข้างล่าง เห็นสาว 3-4 คนหิ้วกระเป๋าหน้าตาบึ้งตึงตามกันลงมา คนนำหน้าร้องว่า...เร็วๆ หน่อยซีวะ เดี๋ยวก็ขึ้นรถไม่ทัน โรงแรมนี้ผียังอยู่ไม่ได้เลยว่ะ...ไม่มีแขก ไม่มีเครื่องเซ่น! แล้วพวกเราจะไม่ย้ายไปโรงแรมใหม่ที่มีแขกเยอะๆ ได้ยังไง?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2550
11 ตุลาคม 2558
หมอเมืองสิงห์
"ป้าแป้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอินทร์บุรี
ดิฉันเป็นเด็กเมืองสิงห์บุรีค่ะ ใครๆ เขาเล่าถึงประวัติเก่าๆ ของเมืองนี้มามากแล้ว จึงไม่ขอเล่าซ้ำ รวมทั้งเรื่องผีดุต่างๆ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน เกิดศึกสงครามก็มีการรบพุ่งจนผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นเบือมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เรื่องผีดุต่างๆ ส่วนมากจะเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา...แหม! ผู้คนตายซับตายซ้อนทับถมกัน ส่วนมากก็ไม่มีใครทำพิธีให้ถูกต้อง เพราะเป็นยามศึกยามสงคราม วิญญาณนับพันนับหมื่นก็ต้องกระเสือกกระสนอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด หรือไปสู่สุคติตามความเชื่อทางศาสนา
เชื่อกันว่าเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญเขาไปวันๆ เพราะหิวโหยแสบไส้ แต่คนที่เห็นนึกว่าโดนผีหลอก เผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ไม่มีกะจิตกะใจจะนึกทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้หรอกค่ะ
ต่อมาภายหลังก็ชักจะจางๆ ลงแล้วนะคะ คงมีสาเหตุมาจากคนเกิดมากกว่าคนตาย หรือพูดง่ายๆ ว่าคนมากกว่าผีนั่นเอง
โธ่...ผีเขาก็กลัวคนเหมือนกันนะคุณ!
สมัยเด็กๆ บ้านดิฉันที่อินทร์บุรีก็ได้ชื่อว่าผีดุไม่เบาเหมือนกัน เป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แม่น้ำสายหลักน่ะแหละค่ะ ทำนาทำสวน และค้าขายตามถนัด ส่วนมากสืบเนื่องจากบรรพบุรุษ ทั้งเปิดร้านค้า ทั้งพายเรือไปขายของ พวกเงินทองมากก็รับซื้อของกินของใช้จากเรือที่ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ แล้วมาขายส่ง ขายปลีกอีกที
แถวบ้านดิฉันมีหมอรักษาริดสีดวงจมูกชื่อดัง ขนาดคนจากจังหวัดใกล้ๆ ได้ข่าวยังมารักษากันเลยค่ะ บางทีบ้านดิฉันก็มีญาติมาจากชัยนาทหรืออ่างทองมาค้างคืนเพื่อรักษาโรคนี้ เวรกรรมต้องมาตกที่ยายแป้น...คือตัวดิฉันนี่แหละค่ะ มีหน้าที่พาญาติไปหาหมอ
ทำไมถึงต้องบอกว่าเป็นเวรกรรม? โถ...คุณหมอคนเก่งน่ะจะเปิดรักษาเฉพาะตอนเย็นๆ ไปจนถึงค่ำมืด ต้องเดินออกหลังบ้านไปตามหัวคันนา ยอดตาลโดนลมพัดส่งเสียงซู่ซ่าๆ เล่นเอาหัวอกหัวใจเต้นโครมๆ ไหนจะต้องลดเลี้ยวเข้าทางเดินแคบๆ แสนจะร่มครึ้ม ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรซุกซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ สองข้างทาง
กว่าจะถึงบ้านหมอเล่นเอาอกอีแป้นแทบแตกจริงๆ เจ้าค่ะ!
ไม่ใช่ว่าปลอดภัยนะคะ ถึงจะรอดจากโดนผีหลอกก็ยังต้องผจญกับไอ้นิล-หมาเปรตอะไรก็ไม่รู้ มันดุเสียยิ่งกว่าดุ เห็นหน้ากันมานมนานก็ไม่ยอมคุ้นเคยด้วยซัครั้ง แยกเขี้ยวขาวๆ คำรามแฮ่...เล่นเอาต้องเกาะหางกระเบนคุณป้าคุณยายที่เราพาแกมาหาหมอ...บางทีแกยังถอยกรูดๆ เล่นเอาเราหวิดหกล้มซะอีกแน่ะ
ป้าเพี้ยนคนหันคานี่จำได้ว่าแกแสบมากๆ เลย ไอ้นิลแยกเขี้ยวเข้าใส่จนหัวใจดิฉันหวิดลงไปกองที่ตาตุ่ม ป้าเพี้ยนแกยังหันมาถามว่า...มันทำไหมอีหนู?
ความหมายก็คือ...มันจะกัดไหม? นั่นละค่ะ...ใครจะไปรู้ล่ะป้าจ๋า ปั้ดโธ่!
อ้อ! ขึ้นบ้านหมอแล้วยังต้องรอตามคิวอีกด้วย กว่าจะได้ฤกษ์ก็ค่ำมืด คุณหมอลงบันไดไปเด็ดใบพลูอ่อนๆ มาลูบไล้ตามจมูกคนไข้ ส่งเสียงท่องคาถาพึมพำ ตะเกียงกระป๋องนมก็วูบไปวูบมาจะดับมิดับแหล่ โอ๊ยๆ อยากจะกลั้นใจตายซะเลย
ทำไมไม่เด็ดใบพลูหลายๆ ใบมาเตรียมไว้ก็ไม่รู้...เรื่องมาก! ตะเกียงโป๊ะ ตะเกียงรั้วก็มีไม่รู้จักใช้ คงกลัวว่าเด็กๆ อย่างเราจะอกสั่นขวัญแขวนเพราะกลัวผียังไม่พอละมั้ง? เฮ้อ...
ลองดูบรรยากาศรอบๆ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงของคุณหมอก็ได้ค่ะ!
นอกจากเสียงคลื่นซัดฝั่ง ยอดไม้ไหวซู่ซ่าน่าสะดุ้ง แล้วยังมีเสียงกอไผ่ข้างบ้านเสียดสีกันดังออดแอด...สำหรับเด็กวัยสิบขวบอย่างยายแป้นตอนนั้นถือว่าสยองสุดๆ แล้วนะคะ
วันดีคืนร้ายก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!
ย่าริ้วน้องสาวของย่ามาจากเดิมบางฯ สุพรรณบุรีโน่นแน่ะค่ะ แกเป็นริดสีดวงจมูกเรื้อรังมาหลายปี ได้ข่าวว่าที่นี่มีหมอเก่งก็เลยมาหา เวรกรรมก็ตกลงมาเต็มตักอีแป้นจนได้ แต่รายนี้ตัดใจค่ะ เพราะเราถูกชะตากันมานาน เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นอุ้มนั่งตักเชยชม บอกว่าสวยเหมือนย่า! อีกหน่อยโตเป็นสาวรับรองว่าสวยจนถึงลือทีเดียว
แหม! ใครจะไม่ชอบกินลูกยอล่ะเจ้าคะ เด็กหญิงแป้น (ในอดีต) ยิ้มแก้มบานเชียว ยอมรับว่าย่าริ้วยังมีร่องรอยของสาวสวยอยู่ไม่เบา สงสัยแต่ว่าทำไมถึงชื่อริ้ว มันแปลว่า "ขี้ริ้วขี้เหร่" ไม่ใช่หรือเล่า?
ย่าแฉล้มของดิฉันอธิบายให้ฟังว่าเมื่อสาวๆ น่ะย่าริ้วสวยไม่มีตัวจับ หนุ่มๆ ไม่รู้ว่ากี่บางมาติดกรอ ขนาดปลัดอำเภอยังขี่จักรยานมาหาบ่อยๆ ส่วนเรื่องริ้วน่ะเป็นธรรมเนียมของคนสมัยก่อน ถ้าใครเกิดมาหน้าตาดี พ่อแม่ก็จะตั้งชื่อให้ว่า หุ่น, วาด, เขียน ส่วนชื่อริ้วก็เพื่อหลอกผีให้เชื่อว่า ขี้ริ้วขี้เหร่ มันจะได้ไม่เอาเด็กไปเมืองผี
ทำนองเดียวกับที่เขาชมเชยเด็กเกิดใหม่ว่า "น่าเกลียดน่าชัง"
เย็นนั้น ดิฉันเดินนำหน้าพาย่าริ้วไปจนถึงบ้านหมอ...กว่าจะเสร็จพิธีก็ราวทุ่มเศษ ขากลับย่าริ้วขอบอกขอบใจหลานแป้นคนสวย ไม่ขาดปาก อิอิ! จนพ้นทางเดินใต้ร่มไม้มาออกทุ่งนาเพื่อลัดเข้าบ้านก็พอดีเห็นตาแก่เดินสักกะเท้าง่อนแง่นจากหัวคันนา กำลังจะสวนทางมา
ย่าริ้วทักถามว่าจะไปไหนมืดๆ ค่ำๆ คุณตาก็เงยหน้าเพราะหลังโกงบอกว่าจะไปหาหมอน่ะซี! แล้วเราก็เดินผ่านแกไป...
ก่อนจะก้าวขึ้นคันนาก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางคละคลุ้ง ทั้งๆ ที่ลมสงบ ย่าริ้วร้องเอ๊ะ ! เราหันขวับไปพร้อมๆ กัน แต่ไม่มีร่องรอยของตาแก่หลังโกงคนนั้นเลย อย่าว่าแต่แกใช้ไม้เท้าเลยค่ะ ต่อให้วิ่งได้ก็ไม่มีทางไปไหนพ้นสายตาเราแน่ๆ ยกเว้นแต่แกจะหายตัวได้...
แล้วอะไรจะหายตัวได้ล่ะเจ้าคะ นอกจากผี! บรื๋อส์...ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่ยอมพาใครไปหาหมออีกเลย เข็ดจนตายค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม 2550
ดิฉันเป็นเด็กเมืองสิงห์บุรีค่ะ ใครๆ เขาเล่าถึงประวัติเก่าๆ ของเมืองนี้มามากแล้ว จึงไม่ขอเล่าซ้ำ รวมทั้งเรื่องผีดุต่างๆ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน เกิดศึกสงครามก็มีการรบพุ่งจนผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นเบือมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เรื่องผีดุต่างๆ ส่วนมากจะเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา...แหม! ผู้คนตายซับตายซ้อนทับถมกัน ส่วนมากก็ไม่มีใครทำพิธีให้ถูกต้อง เพราะเป็นยามศึกยามสงคราม วิญญาณนับพันนับหมื่นก็ต้องกระเสือกกระสนอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด หรือไปสู่สุคติตามความเชื่อทางศาสนา
เชื่อกันว่าเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญเขาไปวันๆ เพราะหิวโหยแสบไส้ แต่คนที่เห็นนึกว่าโดนผีหลอก เผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ไม่มีกะจิตกะใจจะนึกทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้หรอกค่ะ
ต่อมาภายหลังก็ชักจะจางๆ ลงแล้วนะคะ คงมีสาเหตุมาจากคนเกิดมากกว่าคนตาย หรือพูดง่ายๆ ว่าคนมากกว่าผีนั่นเอง
โธ่...ผีเขาก็กลัวคนเหมือนกันนะคุณ!
สมัยเด็กๆ บ้านดิฉันที่อินทร์บุรีก็ได้ชื่อว่าผีดุไม่เบาเหมือนกัน เป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แม่น้ำสายหลักน่ะแหละค่ะ ทำนาทำสวน และค้าขายตามถนัด ส่วนมากสืบเนื่องจากบรรพบุรุษ ทั้งเปิดร้านค้า ทั้งพายเรือไปขายของ พวกเงินทองมากก็รับซื้อของกินของใช้จากเรือที่ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ แล้วมาขายส่ง ขายปลีกอีกที
แถวบ้านดิฉันมีหมอรักษาริดสีดวงจมูกชื่อดัง ขนาดคนจากจังหวัดใกล้ๆ ได้ข่าวยังมารักษากันเลยค่ะ บางทีบ้านดิฉันก็มีญาติมาจากชัยนาทหรืออ่างทองมาค้างคืนเพื่อรักษาโรคนี้ เวรกรรมต้องมาตกที่ยายแป้น...คือตัวดิฉันนี่แหละค่ะ มีหน้าที่พาญาติไปหาหมอ
ทำไมถึงต้องบอกว่าเป็นเวรกรรม? โถ...คุณหมอคนเก่งน่ะจะเปิดรักษาเฉพาะตอนเย็นๆ ไปจนถึงค่ำมืด ต้องเดินออกหลังบ้านไปตามหัวคันนา ยอดตาลโดนลมพัดส่งเสียงซู่ซ่าๆ เล่นเอาหัวอกหัวใจเต้นโครมๆ ไหนจะต้องลดเลี้ยวเข้าทางเดินแคบๆ แสนจะร่มครึ้ม ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรซุกซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ สองข้างทาง
กว่าจะถึงบ้านหมอเล่นเอาอกอีแป้นแทบแตกจริงๆ เจ้าค่ะ!
ไม่ใช่ว่าปลอดภัยนะคะ ถึงจะรอดจากโดนผีหลอกก็ยังต้องผจญกับไอ้นิล-หมาเปรตอะไรก็ไม่รู้ มันดุเสียยิ่งกว่าดุ เห็นหน้ากันมานมนานก็ไม่ยอมคุ้นเคยด้วยซัครั้ง แยกเขี้ยวขาวๆ คำรามแฮ่...เล่นเอาต้องเกาะหางกระเบนคุณป้าคุณยายที่เราพาแกมาหาหมอ...บางทีแกยังถอยกรูดๆ เล่นเอาเราหวิดหกล้มซะอีกแน่ะ
ป้าเพี้ยนคนหันคานี่จำได้ว่าแกแสบมากๆ เลย ไอ้นิลแยกเขี้ยวเข้าใส่จนหัวใจดิฉันหวิดลงไปกองที่ตาตุ่ม ป้าเพี้ยนแกยังหันมาถามว่า...มันทำไหมอีหนู?
ความหมายก็คือ...มันจะกัดไหม? นั่นละค่ะ...ใครจะไปรู้ล่ะป้าจ๋า ปั้ดโธ่!
อ้อ! ขึ้นบ้านหมอแล้วยังต้องรอตามคิวอีกด้วย กว่าจะได้ฤกษ์ก็ค่ำมืด คุณหมอลงบันไดไปเด็ดใบพลูอ่อนๆ มาลูบไล้ตามจมูกคนไข้ ส่งเสียงท่องคาถาพึมพำ ตะเกียงกระป๋องนมก็วูบไปวูบมาจะดับมิดับแหล่ โอ๊ยๆ อยากจะกลั้นใจตายซะเลย
ทำไมไม่เด็ดใบพลูหลายๆ ใบมาเตรียมไว้ก็ไม่รู้...เรื่องมาก! ตะเกียงโป๊ะ ตะเกียงรั้วก็มีไม่รู้จักใช้ คงกลัวว่าเด็กๆ อย่างเราจะอกสั่นขวัญแขวนเพราะกลัวผียังไม่พอละมั้ง? เฮ้อ...
ลองดูบรรยากาศรอบๆ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงของคุณหมอก็ได้ค่ะ!
นอกจากเสียงคลื่นซัดฝั่ง ยอดไม้ไหวซู่ซ่าน่าสะดุ้ง แล้วยังมีเสียงกอไผ่ข้างบ้านเสียดสีกันดังออดแอด...สำหรับเด็กวัยสิบขวบอย่างยายแป้นตอนนั้นถือว่าสยองสุดๆ แล้วนะคะ
วันดีคืนร้ายก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!
ย่าริ้วน้องสาวของย่ามาจากเดิมบางฯ สุพรรณบุรีโน่นแน่ะค่ะ แกเป็นริดสีดวงจมูกเรื้อรังมาหลายปี ได้ข่าวว่าที่นี่มีหมอเก่งก็เลยมาหา เวรกรรมก็ตกลงมาเต็มตักอีแป้นจนได้ แต่รายนี้ตัดใจค่ะ เพราะเราถูกชะตากันมานาน เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นอุ้มนั่งตักเชยชม บอกว่าสวยเหมือนย่า! อีกหน่อยโตเป็นสาวรับรองว่าสวยจนถึงลือทีเดียว
แหม! ใครจะไม่ชอบกินลูกยอล่ะเจ้าคะ เด็กหญิงแป้น (ในอดีต) ยิ้มแก้มบานเชียว ยอมรับว่าย่าริ้วยังมีร่องรอยของสาวสวยอยู่ไม่เบา สงสัยแต่ว่าทำไมถึงชื่อริ้ว มันแปลว่า "ขี้ริ้วขี้เหร่" ไม่ใช่หรือเล่า?
ย่าแฉล้มของดิฉันอธิบายให้ฟังว่าเมื่อสาวๆ น่ะย่าริ้วสวยไม่มีตัวจับ หนุ่มๆ ไม่รู้ว่ากี่บางมาติดกรอ ขนาดปลัดอำเภอยังขี่จักรยานมาหาบ่อยๆ ส่วนเรื่องริ้วน่ะเป็นธรรมเนียมของคนสมัยก่อน ถ้าใครเกิดมาหน้าตาดี พ่อแม่ก็จะตั้งชื่อให้ว่า หุ่น, วาด, เขียน ส่วนชื่อริ้วก็เพื่อหลอกผีให้เชื่อว่า ขี้ริ้วขี้เหร่ มันจะได้ไม่เอาเด็กไปเมืองผี
ทำนองเดียวกับที่เขาชมเชยเด็กเกิดใหม่ว่า "น่าเกลียดน่าชัง"
เย็นนั้น ดิฉันเดินนำหน้าพาย่าริ้วไปจนถึงบ้านหมอ...กว่าจะเสร็จพิธีก็ราวทุ่มเศษ ขากลับย่าริ้วขอบอกขอบใจหลานแป้นคนสวย ไม่ขาดปาก อิอิ! จนพ้นทางเดินใต้ร่มไม้มาออกทุ่งนาเพื่อลัดเข้าบ้านก็พอดีเห็นตาแก่เดินสักกะเท้าง่อนแง่นจากหัวคันนา กำลังจะสวนทางมา
ย่าริ้วทักถามว่าจะไปไหนมืดๆ ค่ำๆ คุณตาก็เงยหน้าเพราะหลังโกงบอกว่าจะไปหาหมอน่ะซี! แล้วเราก็เดินผ่านแกไป...
ก่อนจะก้าวขึ้นคันนาก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางคละคลุ้ง ทั้งๆ ที่ลมสงบ ย่าริ้วร้องเอ๊ะ ! เราหันขวับไปพร้อมๆ กัน แต่ไม่มีร่องรอยของตาแก่หลังโกงคนนั้นเลย อย่าว่าแต่แกใช้ไม้เท้าเลยค่ะ ต่อให้วิ่งได้ก็ไม่มีทางไปไหนพ้นสายตาเราแน่ๆ ยกเว้นแต่แกจะหายตัวได้...
แล้วอะไรจะหายตัวได้ล่ะเจ้าคะ นอกจากผี! บรื๋อส์...ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่ยอมพาใครไปหาหมออีกเลย เข็ดจนตายค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 11 ตุลาคม 2550
10 ตุลาคม 2558
วิญญาณมาเยี่ยม
"ชนุตม์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเข้าไปนอนในห้องคนตาย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมยังเด็กมาก ราว 6-7 ขวบเท่านั้น ยังไม่รู้สีรู้สาเท่าไหร่ แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองเจออยู่ทุกคนน่ะมันน่าสยดสยองพองขนแค่ไหน...ถ้าเป็นคนอื่นคงหัวใจวายตายไปแล้วละครับ
จากนั้นจนถึงทุกวันนี้เวลาผ่านไป 35 ปี ผมยังจำได้ติดหูติดตาไม่มีวันลืม!
ผมเป็นลูกคนที่ 4 ในบรรดาลูกชายทั้งหมด 5 คนของพ่อแม่ที่มีอาชีพเป็นครูทั้งคู่ฐานะทางบ้านพออยู่ได้เท่านั้น ผมเองไม่เคยได้ของใหม่ๆ เลย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องเรียนและของเล่น...ทุกอย่างได้มรดกตกทอดมาจากพวกพี่ๆ ทั้งนั้น
พ่อมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง ผมเรียกว่า "ลุงใหญ่" ท่านเป็นหมอครับ ร่ำรวยมากภรรยาเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน สวยเหมือนดารา ใจดีมากด้วยผมเรียก "ป้าเจน"
ทั้งคู่มีลูกชายคนเดียวชื่อ "พี่จิม" แก่กว่าผมตั้ง 5 ปีแน่ะ!
บ้านลุงใหญ่กว้างขวางใหญ่โต มีสนามหญ้าและถนนรอบบ้านไว้ขี่จักรยาน คุณปู่คุณย่าผมก็อยู่บ้านลุงใหญ่ฉะนั้นผมจึงไปบ้านนี้บ่อยมาก พ่อพาไปเยี่ยม ผมชอบที่นี่มากเพราะพี่จิมมีของเล่นเยอะแยะ และไม่หวงของด้วย ที่น่าสนุกที่สุดคือรถจี๊ปคันเล็กๆ ขับได้จริงๆ มันมีแบตเตอรี่ไฟฟ้าน่ะครับ
สำหรับพี่จิมแล้วผมสนิทสนมด้วยมากที่สุด เราถูกชะตากันจริงๆ
ตอนปิดเทอมป.2 ของผมเราก็ได้ข่าวร้าย พี่จิมจมน้ำตายในสระที่ไปเรียนว่ายน้ำ!
ทุกคนเสียใจมาก ร้องไห้กันใหญ่ โดยเฉพาะลุงใหญ่กับป้าเจน ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าจนน่าสงสารอย่างนี้เลย เห็นหน้าลุงใหญ่ทีไรผมอดร้องไห้ตามไม่ได้สักที แล้วลุงใหญ่ก็จะดึงตัวผมไปกอด เราร้องไห้กันเงียบๆ
หลังงานศพพี่จิม ลุงใหญ่ขอผมไปเลี้ยง พ่อถามผมว่าจะไปไหม ผมตอบตกลงทันที รับปากว่าจะทำตัวดีและตั้งใจเรียนหนังสือ ต่อไปนี้ลุงใหญ่จะรับอุปการะผมทั้งหมด
แหม! ไม่ได้งกนะครับ เรื่องเสื้อผ้าใหม่ ของเล่นและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอะไรพวกนั้นน่ะ ผมยังเด็กไม่รู้เรื่อง รู้แต่ลุงใหญ่กับป้าเจนใจดี และผมได้อยู่กับคุณปู่คุณย่าด้วย พ่อแม่จะมาเยี่ยมเมื่อไรก็ได้นี่นา ผมแค่ย้ายบ้านมาอยู่กับลุงใหญ่เท่านั้น
เมื่อมาอยู่ที่นี่ ผมก็นอนคนเดียวในห้องพี่จิม...ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ราวกับว่าผมสวมบทบาทแทนเจ้าของห้องเดิมยังงั้นแหละ!
ไม่มีใครพูดถึงผี ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนรักและอาลัยพี่จิม ป้าเจนบอกว่าผมไม่ได้มาแทนพี่จิมนะ ผมก็ยังเป็นตัวผมนี่แหละ มาทำให้บ้านนี้ไม่เงียบเหงาเศร้าโศกเกินไป
คืนแรกที่มาอยู่เป็นคืนแรกที่ผมนอนคนเดียว มันสบายดีครับแต่เหงาหน่อยๆ ผมนอนน้ำตาไหลคิดถึงพี่ๆ กับน้องที่บ้าน ป่านนี้พวกเขาก็ต้องคิดถึงผมอยู่เหมือนกัน เราเคยนอนด้วยกันทุกคืน...นอนเรียงกันยังกับลูกหมู! คิดแล้วตลกดี
ก่อนนอนป้าเจนมาส่งถึงเตียง ห่มผ้าให้ จูบแก้มผมแล้วถามว่าปิดไหม? ผมพยักหน้า เธอชมว่าเก่งแล้วปิดไฟกลางห้องก่อนที่จะออกไป
ในห้องไม่มืดสนิทหรอกครับ ป้าเจนเปิดไฟดวงเล็กๆ ที่หัวเตียงไว้ มันทำให้ทั้งห้องมีแสงสลัวๆ ผมรู้สึกแปลกที่นอนไม่หลับ คิดถึงพี่น้อง...แล้วก็คิดถึงพี่จิม
ทันใดนั้น เขาก็เดินออกมาจากตู้เสื้อผ้า!!
ที่จิมเหมือนเดิมทุกอย่าง มีเลือดมีเนื้อ แต่งชุดนอนเป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีฟ้า ชุดที่ใส่ลงโลงน่ะครับ เขาก้าวจากตู้แล้วยิ้มกับผม ทำมือทำไม้คล้ายจะบอกให้นอนซะ! ตัวเขาเองเดินดูรอบๆ ห้องมันเหมือนห้องนี้ผมเป็นเจ้าของ แต่เขาเพิ่งมาเที่ยวยังงั้นแหละ ผมมองตามเขาไปเรื่อยๆ ไม่กลัวแต่งงจนพูดไม่ออก
ผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้...พอรุ่งเช้าผมเล่าให้ป้าเจนฟัง เธอฟังนิ่งๆ แล้วเช็ดน้ำตา...
คืนต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เหมือนเดิม พี่จิมปรากฏตัวจากตู้เสื้อผ้า บานประตูส่งเสียงแอ๊ด...มันเปิดอ้าได้เองแล้วเขาก็ก้าวออกมา ยิ้มให้ผมแล้วเดินรอบห้องเหมือนอยากเล่นของเล่นจากนั้นก็เดินทะลุประตูห้องนอนออกไปข้างนอก
ตอนเช้าผมเล่าเรื่องนี้ให้ลุงใหญ่ป้าเจน และคุณปู่คุณย่าฟัง ดูท่าทุกคนเชื่อผม พวกเขาไม่ได้พูดว่าผมพูดจาเหลวไหล
คืนที่สาม ป้าเจนขอมานอนในห้องด้วย...
ก็ดีน่ะซีครับ ผมเองชักแหยงๆ เหมือนกัน...นั่นน่ะผีนะ ถึงจะผีพี่จิมก็เถอะเอ้า!
ป้าเจนนอนรอ ผมรู้...เธอวางที่นอนลงกับพื้นข้างเตียง ตะแคงหน้าจ้องตู้เสื้อผ้าแต่ไม่มีวี่แววใดๆ ของดวงวิญญาณลูกชายสุดที่รัก ป้าเจนมานอนแบบนี้อีกหลายวัน...แต่พี่จิมไม่มาแล้ว
วันเวลาล่วงไป ชีวิตดำเนินไปตามปกติจนถึงทุกวันนี้...
ผมกลายเป็นคนบ้านนั้นเต็มตัว 35 ปีแล้วนะครับ คุณปู่คุณย่าไปสวรรค์แล้ว ลุงใหญ่กับป้าเจนก็แก่มาก แปดสิบกว่าทั้งคู่ แต่ยังสดใสแข็งแรง เราสามคนมักจะไปดูหนัง ซื้อหนังสือ กินอาหารอร่อยๆ ผมทำงานเป็นสถาปนิก ยังเป็นโสดถึงจะอายุ 42 แล้วก็ตาม มีความสุขดีครับ
พวกเราไม่ลืมจิม รูปถ่ายของเขาตอนอายุ 12 ปีนั่นยังอยู่บนโต๊ะหัวเตียงของผมตลอดมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2550
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมยังเด็กมาก ราว 6-7 ขวบเท่านั้น ยังไม่รู้สีรู้สาเท่าไหร่ แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองเจออยู่ทุกคนน่ะมันน่าสยดสยองพองขนแค่ไหน...ถ้าเป็นคนอื่นคงหัวใจวายตายไปแล้วละครับ
จากนั้นจนถึงทุกวันนี้เวลาผ่านไป 35 ปี ผมยังจำได้ติดหูติดตาไม่มีวันลืม!
ผมเป็นลูกคนที่ 4 ในบรรดาลูกชายทั้งหมด 5 คนของพ่อแม่ที่มีอาชีพเป็นครูทั้งคู่ฐานะทางบ้านพออยู่ได้เท่านั้น ผมเองไม่เคยได้ของใหม่ๆ เลย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องเรียนและของเล่น...ทุกอย่างได้มรดกตกทอดมาจากพวกพี่ๆ ทั้งนั้น
พ่อมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง ผมเรียกว่า "ลุงใหญ่" ท่านเป็นหมอครับ ร่ำรวยมากภรรยาเป็นลูกครึ่งไทยอเมริกัน สวยเหมือนดารา ใจดีมากด้วยผมเรียก "ป้าเจน"
ทั้งคู่มีลูกชายคนเดียวชื่อ "พี่จิม" แก่กว่าผมตั้ง 5 ปีแน่ะ!
บ้านลุงใหญ่กว้างขวางใหญ่โต มีสนามหญ้าและถนนรอบบ้านไว้ขี่จักรยาน คุณปู่คุณย่าผมก็อยู่บ้านลุงใหญ่ฉะนั้นผมจึงไปบ้านนี้บ่อยมาก พ่อพาไปเยี่ยม ผมชอบที่นี่มากเพราะพี่จิมมีของเล่นเยอะแยะ และไม่หวงของด้วย ที่น่าสนุกที่สุดคือรถจี๊ปคันเล็กๆ ขับได้จริงๆ มันมีแบตเตอรี่ไฟฟ้าน่ะครับ
สำหรับพี่จิมแล้วผมสนิทสนมด้วยมากที่สุด เราถูกชะตากันจริงๆ
ตอนปิดเทอมป.2 ของผมเราก็ได้ข่าวร้าย พี่จิมจมน้ำตายในสระที่ไปเรียนว่ายน้ำ!
ทุกคนเสียใจมาก ร้องไห้กันใหญ่ โดยเฉพาะลุงใหญ่กับป้าเจน ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าจนน่าสงสารอย่างนี้เลย เห็นหน้าลุงใหญ่ทีไรผมอดร้องไห้ตามไม่ได้สักที แล้วลุงใหญ่ก็จะดึงตัวผมไปกอด เราร้องไห้กันเงียบๆ
หลังงานศพพี่จิม ลุงใหญ่ขอผมไปเลี้ยง พ่อถามผมว่าจะไปไหม ผมตอบตกลงทันที รับปากว่าจะทำตัวดีและตั้งใจเรียนหนังสือ ต่อไปนี้ลุงใหญ่จะรับอุปการะผมทั้งหมด
แหม! ไม่ได้งกนะครับ เรื่องเสื้อผ้าใหม่ ของเล่นและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอะไรพวกนั้นน่ะ ผมยังเด็กไม่รู้เรื่อง รู้แต่ลุงใหญ่กับป้าเจนใจดี และผมได้อยู่กับคุณปู่คุณย่าด้วย พ่อแม่จะมาเยี่ยมเมื่อไรก็ได้นี่นา ผมแค่ย้ายบ้านมาอยู่กับลุงใหญ่เท่านั้น
เมื่อมาอยู่ที่นี่ ผมก็นอนคนเดียวในห้องพี่จิม...ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ราวกับว่าผมสวมบทบาทแทนเจ้าของห้องเดิมยังงั้นแหละ!
ไม่มีใครพูดถึงผี ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้ ทุกคนรักและอาลัยพี่จิม ป้าเจนบอกว่าผมไม่ได้มาแทนพี่จิมนะ ผมก็ยังเป็นตัวผมนี่แหละ มาทำให้บ้านนี้ไม่เงียบเหงาเศร้าโศกเกินไป
คืนแรกที่มาอยู่เป็นคืนแรกที่ผมนอนคนเดียว มันสบายดีครับแต่เหงาหน่อยๆ ผมนอนน้ำตาไหลคิดถึงพี่ๆ กับน้องที่บ้าน ป่านนี้พวกเขาก็ต้องคิดถึงผมอยู่เหมือนกัน เราเคยนอนด้วยกันทุกคืน...นอนเรียงกันยังกับลูกหมู! คิดแล้วตลกดี
ก่อนนอนป้าเจนมาส่งถึงเตียง ห่มผ้าให้ จูบแก้มผมแล้วถามว่าปิดไหม? ผมพยักหน้า เธอชมว่าเก่งแล้วปิดไฟกลางห้องก่อนที่จะออกไป
ในห้องไม่มืดสนิทหรอกครับ ป้าเจนเปิดไฟดวงเล็กๆ ที่หัวเตียงไว้ มันทำให้ทั้งห้องมีแสงสลัวๆ ผมรู้สึกแปลกที่นอนไม่หลับ คิดถึงพี่น้อง...แล้วก็คิดถึงพี่จิม
ทันใดนั้น เขาก็เดินออกมาจากตู้เสื้อผ้า!!
ที่จิมเหมือนเดิมทุกอย่าง มีเลือดมีเนื้อ แต่งชุดนอนเป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวสีฟ้า ชุดที่ใส่ลงโลงน่ะครับ เขาก้าวจากตู้แล้วยิ้มกับผม ทำมือทำไม้คล้ายจะบอกให้นอนซะ! ตัวเขาเองเดินดูรอบๆ ห้องมันเหมือนห้องนี้ผมเป็นเจ้าของ แต่เขาเพิ่งมาเที่ยวยังงั้นแหละ ผมมองตามเขาไปเรื่อยๆ ไม่กลัวแต่งงจนพูดไม่ออก
ผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้...พอรุ่งเช้าผมเล่าให้ป้าเจนฟัง เธอฟังนิ่งๆ แล้วเช็ดน้ำตา...
คืนต่อมาก็เกิดเหตุการณ์เหมือนเดิม พี่จิมปรากฏตัวจากตู้เสื้อผ้า บานประตูส่งเสียงแอ๊ด...มันเปิดอ้าได้เองแล้วเขาก็ก้าวออกมา ยิ้มให้ผมแล้วเดินรอบห้องเหมือนอยากเล่นของเล่นจากนั้นก็เดินทะลุประตูห้องนอนออกไปข้างนอก
ตอนเช้าผมเล่าเรื่องนี้ให้ลุงใหญ่ป้าเจน และคุณปู่คุณย่าฟัง ดูท่าทุกคนเชื่อผม พวกเขาไม่ได้พูดว่าผมพูดจาเหลวไหล
คืนที่สาม ป้าเจนขอมานอนในห้องด้วย...
ก็ดีน่ะซีครับ ผมเองชักแหยงๆ เหมือนกัน...นั่นน่ะผีนะ ถึงจะผีพี่จิมก็เถอะเอ้า!
ป้าเจนนอนรอ ผมรู้...เธอวางที่นอนลงกับพื้นข้างเตียง ตะแคงหน้าจ้องตู้เสื้อผ้าแต่ไม่มีวี่แววใดๆ ของดวงวิญญาณลูกชายสุดที่รัก ป้าเจนมานอนแบบนี้อีกหลายวัน...แต่พี่จิมไม่มาแล้ว
วันเวลาล่วงไป ชีวิตดำเนินไปตามปกติจนถึงทุกวันนี้...
ผมกลายเป็นคนบ้านนั้นเต็มตัว 35 ปีแล้วนะครับ คุณปู่คุณย่าไปสวรรค์แล้ว ลุงใหญ่กับป้าเจนก็แก่มาก แปดสิบกว่าทั้งคู่ แต่ยังสดใสแข็งแรง เราสามคนมักจะไปดูหนัง ซื้อหนังสือ กินอาหารอร่อยๆ ผมทำงานเป็นสถาปนิก ยังเป็นโสดถึงจะอายุ 42 แล้วก็ตาม มีความสุขดีครับ
พวกเราไม่ลืมจิม รูปถ่ายของเขาตอนอายุ 12 ปีนั่นยังอยู่บนโต๊ะหัวเตียงของผมตลอดมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2550
09 ตุลาคม 2558
ห้องนี้มีแฝดสาม
"ชาลิสา" เล่าประสบการณ์
บ้านดิฉันอยู่ในซอยกลางย่านประตูน้ำ ใกล้ๆ บ้านมีหอพักเก่าแก่ที่มีคนมาเช่าอยู่มากหน้าหลายตา ล้วนแต่เป็นผู้ที่ทำงานอยู่แถวนี้ ทั้งแม่ค้า เจ้าหน้าที่ธนาคาร พนักงานบริษัทห้างร้านต่างๆ รวมไปถึงนักศึกษา
เมื่อสองปีก่อน เคยมีข่าวลงหน้าหนึ่งเรื่องหญิงสาวถูกแฟนหนุ่มฆ่าตาย เขาแทงเธอยับไปทั้งตัว ศพคว่ำอยู่บนเตียง กว่าจะมีคนไปพบสาม-สี่วันเข้าแล้วเพราะกลิ่นโชยออกมา
คนในหอที่เห็นสภาพตอนเปิดห้องเข้าไป เล่าให้ฟังว่าทั้งน่าสงสารและน่ากลัวมาก เธอเคยเป็นคนสวย รูปร่างโปร่งบาง ผมยาว ยิ้มง่าย..ดิฉันเคยเห็นเธอค่ะ แต่สภาพไร้วิญญาณของเธอนั้น ร่างบวม เน่าดำ มีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้ม
ว่ากันว่า เมื่อนำร่างออกไปแล้ว กลิ่นยังอวลอยู่หลายวัน คนที่อยู่ข้างห้องหลายคนย้ายออกจากหอแทบไม่ทัน เพราะทนกลิ่นและความสยดสยองไม่ได้
พวกเขากลัวผีกันน่าดู หอนั้นแทบร้างเลยก็ว่าได้!
จุ๊บ-แม่ค้าขายผักผลไม้ในตลาด เธอเช่าอยู่ชั้นล่างสุดของหอนี้มาเกือบสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้ย้ายหนีไปอย่างคนอื่น ดิฉันชอบเรื่องผีจึงถามเธอว่า..เคยเจอผีมั้ย?
"ผีภาวินีน่ะเหรอ?" จุ๊บเอ่ยถึงเธอผู้นั้น "ไม่มีหรอก เอ..แต่มีคนเห็นเหมือนกันนะ! เขาเห็นมายืนอยู่ที่ระเบียงเหมือนเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ แต่ไม่น่ากลัวอะไรนี่"
ขึ้นชื่อว่าผีก็น่ากลัววันยังค่ำแหละคุณ เมื่อถามถึงผีดิฉันก็ไม่ผิดหวัง
..ภาวินีชอบมายืนอยู่ตรงระเบียงหลังห้องบ่อยๆ คนที่เดินในซอยถ้าแหงนมองขึ้นไปก็จะเห็นได้ถนัดตา..ห้องเธออยู่ชั้นสาม อายุราวยี่สิบต้นๆ ตัวเล็กๆ ผมยาว ชอบนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดหลวมๆ
"แต่ห้องนั้นมีคนมาเช่าแล้วนะ!!" จุ๊บบอกข่าวอย่างตื่นเต้น
คนที่มาใหม่เป็นสาวลูกจ้างร้านขายผ้า มาอยู่กันสองคนพี่น้อง อายุราวยี่สิบปี
"เขารู้รึเปล่าว่าห้องนั้นเคยมีคนถูกฆ่าตาย"? ดิฉันออกจะตกใจเอาการ จุ๊บบอกว่าสงสัยจะไม่รู้หรอก ไม่มีใครบอกนี่..ทั้งคู่เช่าได้หลายเดือนแล้วก็เห็นอยู่กันดีไม่มีอะไร
ทีแรกดิฉันเข้าใจว่าเจ้าของหอปิดตายห้องนั้น หรือไม่ก็ทำเป็นห้องเก็บของ นึกไม่ถึงว่าจะเปิดให้เช่า น่ากลัวจริงๆ ค่ะ ใครรู้เรื่องคงไม่กล้าอยู่เป็นแน่
จุ๊บเล่าว่าเตียงนั้นคงเป็นเตียงเดิม เพราะเจ้าของหอทิ้งไปแต่ที่นอน หมอนและผ้าห่มที่ชุ่มน้ำเหลือง..จุ๊บเดินผ่านห้องนั้นตอนขึ้นไปคุยกับเพื่อนยังเห็นเตียงเปล่าๆ ตั้งอยู่ที่เก่า
ดิฉันอดสยองแทนสองศรีพี่น้องนั่นไม่ได้ คิดดูซิคะ..เธอนอนในห้องที่เคยมีศพเน่าอืด! ห้องที่มีผู้หญิงถูกแทงตายอย่างทารุณที่สุด..พวกเธอจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไรบ้างเลยหรือ
เย็นหนึ่ง ดิฉันเดินไปซื้อราดหน้าเจ้าประจำซึ่งอยู่ติดกับหอพักแห่งนี้
ขณะเดินผ่านก็อดมองขึ้นไปบนระเบียงเจ้ากรรมนั่นไม่ได้ มองแล้วก็ยังนึกเห็นภาพภาวินีมายืนชมวิวในท่าที่คุ้นตา เออ..จริงสิ เธอเคยยิ้มกับดิฉันด้วยละ!
พอสั่งราดหน้าเสร็จก็นั่งรอ..เย็นนี้ลูกค้าเยอะจัง ท่าจะต้องนั่งรอนาน แต่ไม่เหงาหรอกค่ะเพราะจุ๊บเดินมาพอดี เธอทักทายดิฉันอย่างสนิทสนมก่อนจะนั่งร่วมโต๊ะด้วย..สักพักเธอก็กระซิบกระซาบให้ดิฉันหันไปดูโต๊ะด้านในสุด
"นั่นไง! พี่น้องที่มาเช่าห้องนั้นอยู่"
ดิฉันหันไปมอง ทั้งสองคนกำลังก้มหน้าก้มตากินราดหน้า
พอเห็นหน้าอย่างถนัดๆ ดิฉันก็อดสะดุ้งวาบไม่ได้ ทั้งสองพี่น้องดูคล้ายกัน และในความคล้ายนั้น..พวกเธอก็เหมือนภาวินีด้วย!
น่าแปลกจริงๆ ค่ะ ทั้งคู่มีผมยาวทรงเดียวกัน นุ่งขาสั้นใส่เสื้อยืดเหมือนกัน..ถ้าเป็นแฝดก็คงจะแฝดสามละค่ะ..คือรวมภาวินีเข้าไปด้วยอีกคนไงล่ะคะ
"ขนลุกนะ" ดิฉันพูดเบาๆ "จุ๊บคิดอย่างพี่มั้ย?"
แน่ละ! จุ๊บสังเกตมานานแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอเก็บความสงสัยไว้คนเดียว จนมีดิฉันนี่แหละที่มาเปิดประเด็นคุยด้วย
"เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้แต่งตัวแบบนี้หรอกนะ" จุ๊บเล่า "แต่จะนุ่งยีนส์ใส่เชิ้ตเพิ่งมาแต่งแบบนี้ราวเดือนสองเดือนได้ เห็นแล้วน่ากลัวเอาการเพราะเหมือนภาวินี มากๆ เลย"
เป็นไปได้หรือไม่ว่าวิญญาณของภาวินียังอยู่ในห้อง และเธอมีพลังแรงจนมีอิทธิพลกับสองสาวที่มาอาศัยทับที่ตายของเธอ?!
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด..
เกินครึ่งของคนที่มาเช่าอยู่ เป็นผู้เช่าใหม่ และไม่ทราบเรื่องที่หอนี้เคยมีคนตายอย่างน่าสยดสยองมาแล้ว?
มันทำให้ดิฉันคิดแบบสยองๆ ว่า ในเมืองเรายังมีห้องเช่าหรือห้องพักตามโรงแรมอีกกี่ห้องนะ ที่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง มีคนตาย มีศพ แล้วเราซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่เผอิญให้ไปเช่าเพื่ออาศัยกินอยู่หลับนอน
อาจจะเป็นไม่กี่คืน หรือเป็นเดือนเป็นปีที่ต้องอยู่ในห้องนั้นเหมือนคนตาบอด
สองพี่น้องคงไม่รู้แน่ๆ ว่าห้องของเธอมีอดีตสยอง แต่ดิฉันสังหรณ์ใจพิกลว่า มีอะไรบางอย่างเหนือธรรมชาติกำลังมีอิทธิพลกับพวกเรา..เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปคงต้องเฝ้าดูกันละค่ะ
อย่างน้อยที่สุด ดิฉันเชื่อว่าคนตายกำลังแสดงให้พวกเราเห็นว่า..เธอยังอยู่ที่นี่!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2550
บ้านดิฉันอยู่ในซอยกลางย่านประตูน้ำ ใกล้ๆ บ้านมีหอพักเก่าแก่ที่มีคนมาเช่าอยู่มากหน้าหลายตา ล้วนแต่เป็นผู้ที่ทำงานอยู่แถวนี้ ทั้งแม่ค้า เจ้าหน้าที่ธนาคาร พนักงานบริษัทห้างร้านต่างๆ รวมไปถึงนักศึกษา
เมื่อสองปีก่อน เคยมีข่าวลงหน้าหนึ่งเรื่องหญิงสาวถูกแฟนหนุ่มฆ่าตาย เขาแทงเธอยับไปทั้งตัว ศพคว่ำอยู่บนเตียง กว่าจะมีคนไปพบสาม-สี่วันเข้าแล้วเพราะกลิ่นโชยออกมา
คนในหอที่เห็นสภาพตอนเปิดห้องเข้าไป เล่าให้ฟังว่าทั้งน่าสงสารและน่ากลัวมาก เธอเคยเป็นคนสวย รูปร่างโปร่งบาง ผมยาว ยิ้มง่าย..ดิฉันเคยเห็นเธอค่ะ แต่สภาพไร้วิญญาณของเธอนั้น ร่างบวม เน่าดำ มีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้ม
ว่ากันว่า เมื่อนำร่างออกไปแล้ว กลิ่นยังอวลอยู่หลายวัน คนที่อยู่ข้างห้องหลายคนย้ายออกจากหอแทบไม่ทัน เพราะทนกลิ่นและความสยดสยองไม่ได้
พวกเขากลัวผีกันน่าดู หอนั้นแทบร้างเลยก็ว่าได้!
จุ๊บ-แม่ค้าขายผักผลไม้ในตลาด เธอเช่าอยู่ชั้นล่างสุดของหอนี้มาเกือบสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้ย้ายหนีไปอย่างคนอื่น ดิฉันชอบเรื่องผีจึงถามเธอว่า..เคยเจอผีมั้ย?
"ผีภาวินีน่ะเหรอ?" จุ๊บเอ่ยถึงเธอผู้นั้น "ไม่มีหรอก เอ..แต่มีคนเห็นเหมือนกันนะ! เขาเห็นมายืนอยู่ที่ระเบียงเหมือนเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ แต่ไม่น่ากลัวอะไรนี่"
ขึ้นชื่อว่าผีก็น่ากลัววันยังค่ำแหละคุณ เมื่อถามถึงผีดิฉันก็ไม่ผิดหวัง
..ภาวินีชอบมายืนอยู่ตรงระเบียงหลังห้องบ่อยๆ คนที่เดินในซอยถ้าแหงนมองขึ้นไปก็จะเห็นได้ถนัดตา..ห้องเธออยู่ชั้นสาม อายุราวยี่สิบต้นๆ ตัวเล็กๆ ผมยาว ชอบนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดหลวมๆ
"แต่ห้องนั้นมีคนมาเช่าแล้วนะ!!" จุ๊บบอกข่าวอย่างตื่นเต้น
คนที่มาใหม่เป็นสาวลูกจ้างร้านขายผ้า มาอยู่กันสองคนพี่น้อง อายุราวยี่สิบปี
"เขารู้รึเปล่าว่าห้องนั้นเคยมีคนถูกฆ่าตาย"? ดิฉันออกจะตกใจเอาการ จุ๊บบอกว่าสงสัยจะไม่รู้หรอก ไม่มีใครบอกนี่..ทั้งคู่เช่าได้หลายเดือนแล้วก็เห็นอยู่กันดีไม่มีอะไร
ทีแรกดิฉันเข้าใจว่าเจ้าของหอปิดตายห้องนั้น หรือไม่ก็ทำเป็นห้องเก็บของ นึกไม่ถึงว่าจะเปิดให้เช่า น่ากลัวจริงๆ ค่ะ ใครรู้เรื่องคงไม่กล้าอยู่เป็นแน่
จุ๊บเล่าว่าเตียงนั้นคงเป็นเตียงเดิม เพราะเจ้าของหอทิ้งไปแต่ที่นอน หมอนและผ้าห่มที่ชุ่มน้ำเหลือง..จุ๊บเดินผ่านห้องนั้นตอนขึ้นไปคุยกับเพื่อนยังเห็นเตียงเปล่าๆ ตั้งอยู่ที่เก่า
ดิฉันอดสยองแทนสองศรีพี่น้องนั่นไม่ได้ คิดดูซิคะ..เธอนอนในห้องที่เคยมีศพเน่าอืด! ห้องที่มีผู้หญิงถูกแทงตายอย่างทารุณที่สุด..พวกเธอจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไรบ้างเลยหรือ
เย็นหนึ่ง ดิฉันเดินไปซื้อราดหน้าเจ้าประจำซึ่งอยู่ติดกับหอพักแห่งนี้
ขณะเดินผ่านก็อดมองขึ้นไปบนระเบียงเจ้ากรรมนั่นไม่ได้ มองแล้วก็ยังนึกเห็นภาพภาวินีมายืนชมวิวในท่าที่คุ้นตา เออ..จริงสิ เธอเคยยิ้มกับดิฉันด้วยละ!
พอสั่งราดหน้าเสร็จก็นั่งรอ..เย็นนี้ลูกค้าเยอะจัง ท่าจะต้องนั่งรอนาน แต่ไม่เหงาหรอกค่ะเพราะจุ๊บเดินมาพอดี เธอทักทายดิฉันอย่างสนิทสนมก่อนจะนั่งร่วมโต๊ะด้วย..สักพักเธอก็กระซิบกระซาบให้ดิฉันหันไปดูโต๊ะด้านในสุด
"นั่นไง! พี่น้องที่มาเช่าห้องนั้นอยู่"
ดิฉันหันไปมอง ทั้งสองคนกำลังก้มหน้าก้มตากินราดหน้า
พอเห็นหน้าอย่างถนัดๆ ดิฉันก็อดสะดุ้งวาบไม่ได้ ทั้งสองพี่น้องดูคล้ายกัน และในความคล้ายนั้น..พวกเธอก็เหมือนภาวินีด้วย!
น่าแปลกจริงๆ ค่ะ ทั้งคู่มีผมยาวทรงเดียวกัน นุ่งขาสั้นใส่เสื้อยืดเหมือนกัน..ถ้าเป็นแฝดก็คงจะแฝดสามละค่ะ..คือรวมภาวินีเข้าไปด้วยอีกคนไงล่ะคะ
"ขนลุกนะ" ดิฉันพูดเบาๆ "จุ๊บคิดอย่างพี่มั้ย?"
แน่ละ! จุ๊บสังเกตมานานแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอเก็บความสงสัยไว้คนเดียว จนมีดิฉันนี่แหละที่มาเปิดประเด็นคุยด้วย
"เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้แต่งตัวแบบนี้หรอกนะ" จุ๊บเล่า "แต่จะนุ่งยีนส์ใส่เชิ้ตเพิ่งมาแต่งแบบนี้ราวเดือนสองเดือนได้ เห็นแล้วน่ากลัวเอาการเพราะเหมือนภาวินี มากๆ เลย"
เป็นไปได้หรือไม่ว่าวิญญาณของภาวินียังอยู่ในห้อง และเธอมีพลังแรงจนมีอิทธิพลกับสองสาวที่มาอาศัยทับที่ตายของเธอ?!
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด..
เกินครึ่งของคนที่มาเช่าอยู่ เป็นผู้เช่าใหม่ และไม่ทราบเรื่องที่หอนี้เคยมีคนตายอย่างน่าสยดสยองมาแล้ว?
มันทำให้ดิฉันคิดแบบสยองๆ ว่า ในเมืองเรายังมีห้องเช่าหรือห้องพักตามโรงแรมอีกกี่ห้องนะ ที่เคยมีเหตุการณ์รุนแรง มีคนตาย มีศพ แล้วเราซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่เผอิญให้ไปเช่าเพื่ออาศัยกินอยู่หลับนอน
อาจจะเป็นไม่กี่คืน หรือเป็นเดือนเป็นปีที่ต้องอยู่ในห้องนั้นเหมือนคนตาบอด
สองพี่น้องคงไม่รู้แน่ๆ ว่าห้องของเธอมีอดีตสยอง แต่ดิฉันสังหรณ์ใจพิกลว่า มีอะไรบางอย่างเหนือธรรมชาติกำลังมีอิทธิพลกับพวกเรา..เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปคงต้องเฝ้าดูกันละค่ะ
อย่างน้อยที่สุด ดิฉันเชื่อว่าคนตายกำลังแสดงให้พวกเราเห็นว่า..เธอยังอยู่ที่นี่!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2550
08 ตุลาคม 2558
คนกรุงเก่า
"ประชัน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเที่ยวอยุธยา
ผมเคยได้ยินใครต่อใครเล่าเรื่องแปลกประหลาดให้ฟังมากมาย ที่เคยอ่านพบและเห็นในภาพยนตร์บ้างในทีวีบ้างก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ แต่เพิ่งจะได้พบกับตัวเองตอนกลางวันแสกๆ เมื่อตอนอายุ 50 ปีเศษๆ นี่เอง
โดยเฉพาะเหตุการณ์น่าสยองขวัญนี้เกิดขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราชธานีเก่าของเราด้วยซีครับ สมัยเด็กๆ ผมเคยไปอยุธยามาแล้ว แต่ต่อจากนั้นก็ไม่ย่างกรายอีกเลย อย่างมากก็แค่ผ่านเขตจังหวัด เช่นออกจากกรุงเทพฯ ไปเหนือ ไปอีสาน บางปะอินหรือวังน้อยผ่านประจำ...จนกระทั่งมีเพื่อนฝูงสนิทกันชื่อคุณแสน เอ่ยปากชวนผมกับครอบครัวไปพักผ่อนและเที่ยวเตร่ดูวัดวาอารามในอยุธยาเมื่อเดือนก่อนนี้เอง
เป็นอันว่าตกลงตามนั้น!
เราขับรถออกจากบ้านตอนสายวันเสาร์ ขึ้นทางด่วนไปลงแถวรังสิต ใช้เวลาจากบ้านเพียงชั่วโมงเศษก็ถึงอยุธยาแล้ว ตรงดิ่งเข้าโรงแรมวรบุรีอันโอ่อ่า สูงตระหง่านถึง 8 ชั้น ร่างสูงใหญ่ของคุณแสนยืนยิ้มคู่กับคุณแก้ว-ภรรยารอคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตาแล้วลงมากินอาหารแบบบุฟเฟ่ต์กัน...ผมบอกว่าใช้เวลาเดินทางใกล้กว่าออกจากบ้านไปทำงานด้วยซ้ำ คุณแสนหัวเราะชอบใจ เล่าว่าบริษัทญี่ปุ่นที่เขาทำงานด้วยมีพนักงานชาวญี่ปุ่นมาเช่าโรงแรมนี้อยู่ประจำหลายสิบห้อง...ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานเหมือนอยู่โตเกียวหรือกรุงเทพฯ
จากนั้นออกจากโรงแรมที่เพิ่งสร้างใหม่ไปขึ้นรถคุณแสน พาไปเที่ยววัดพนัญเชิงที่เรารู้จักกันดี คนจีนเรียกซำปอกง มีชื่อเสียงทางให้พรเรื่องทำมาค้าขายได้เจริญรุ่งเรือง เป็นวัดเก่าแก่ก่อนสร้างกรุงด้วยซ้ำไป
คนจีนดูจะมากกว่าคนไทย ขนาดเบียดเสียดกันทั้งตอนเข้าโบสถ์และวิหารหลวงพ่อโต กำลังจัดการบูรณะซ่อมแซม ต้องแหงนกันคอตั้งบ่าจึงเห็นพระพักตร์ของหลวงพ่อผู้ทอดพระเนตรมองการสร้างกรุงจนถึงถูกพม่าเผาผลาญวอดวาย เหลือแต่ซากอันน่าสลดใจให้ดูเท่านั้น
คุณแสนพาขึ้นรถไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดต่อมา!
รถทัวร์, รถตู้และรถเก๋งจอดกันคึกคัก ผู้คนพลุกพล่านน่าสนุก แม้ว่าแสงแดดจะยังร้อนแรงก็ตาม
"เราจะจอดรถด้านหลังเพื่อความสะดวก" คุณแสนอธิบาย "เดินผ่านร้านรวงไปซื้อของฝากได้ ไม่ต้องหอบหิ้วไปด้วย แค่ให้เขาเขียนชื่อไว้ก็พอ...กราบพระเสร็จก็ออกมารับของแล้วขึ้นรถพอดี ตอนเย็นมีดินเนอร์ในเรือล่องแม่น้ำป่าสักอีกต่างหาก...ผมติดวิสกี้ขวดใหญ่มาด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้"
ภรรยาของเราชวนลูกชายออกหน้า ผมกับคุณแสนตามหลัง มองดูพุทราทั้งกวนและแผ่น สมกับเป็นเมืองพุทรา...พอก้าวเข้าเขตร้านค้าสองข้าง แทบหูตาลายเพราะมีของกินของใช้น่าซื้อหามากเหลือเกิน นักท่องเที่ยวที่มีทั้งชาวกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนมากจะหยุดยืนมองซ้ายมองขวากันทั้งนั้น...
เด็กชายไว้จุกยึดมือแม่ชี้ไปที่ปลาตะเพียนสานสีสวย มีทั้งพวงเล็กและพวงใหญ่คุณป้าคนหนึ่งอายุราว 50 นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อลูกไม้สีดำ ห่มสไบขาว ผมทรงดอกกระทุ่มสีขาวประปราย หยุดมองแผงขายผลไม้ดองหน้าตาชื่นเช่นกัน
พ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน...
"ลองชิมดูก่อนจ้ะ มะดัน, กระท้อน, องุ่น, มะม่วงมีทั้งดองทั้งแช่อิ่มน้ำผึ้ง โลละ 50 บาท ถุงละ 25 บาทเท่านั้นเอง...ชิมก่อนนะจ๊ะ ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร"
ผมว่าจะเดินผ่านไปก่อน พอดีพ่อค้าหนุ่มยื่นไม้ในถุงพลาสติกให้...ชิมก่อนจ้ะ ชิมก่อน! เขาบอก ผมลองจิ้มองุ่นลูกเล็กๆ เข้าปาก เอ๊ะ! รสดีแฮะ เขาส่งจานที่มีผลไม้ดองหรือแช่อิ่มก็ไม่ทราบให้ชิม ไม่ว่ากระท้อน, มะกอก, มะดัน ล้วนแต่รสชาติถูกปากทั้งนั้น
ว่าจะไม่ซื้อก็อดไม่ได้ หันไปออกตัวกับคุณแสน เขาก็หัวเราะบอกว่าเป็นยังงี้ทุกคนแหละ...ว่าแต่พวกผู้หญิงเขาซื้ออะไรกันมั่ง?
ผมหันไปดูเธอทั้งสองที่ออกหน้าไปก่อนก็เห็นคุณป้าคนนั้นกำลังยื่นมือไปรับหนังปลาทอดมาจิ้มน้ำจิ้มก่อนส่งเข้าปาก...ผมเดินเร่ไปเข้า พ่อค้าอีกคนก็ผายมือไปที่กองหนังปลาและก้างปลาทอดเป็นพะเนิน เชื้อเชิญให้ชิม บอกว่าเพิ่งทอดสดๆ ใหม่ๆ ทั้งนั้น น้ำจิ้มรสเด็ดที่สุด
คุณป้าคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ ผมลองหยิบหนังปลากรายทอดม้วนมาบิชิมดูก็ปรากฏว่ารสดีอีก ทั้งกรอบและอร่อย...สนนราคา 3 ถุง 5 บาท ถูกเหลือเชื่อ!
ซื้อเสร็จก็เจอเจ้าถัดไป ร้องว่า...วันนี้วันเกิดเมียจ้ะ ขาย 4 ถึง 5 บาทเลย! ผมอดหัวเราะไม่ได้ เห็นผู้คนแวะไปซื้อ คุณป้าคนเดิมก็ชิมดูอีกแล้วหันไปพยักหน้าหงึกๆ กับเด็กไว้จุก...ส่วนคุณแสนกับผมเดินเลยไปจนพบกับโรตีสายไหม ที่ได้ชื่อว่าเป็นขนมชื่อดังของอยุธยาพอๆ กับขนมเปี๊ยสระบุรีและโมจิของนครสวรรค์
"หวานอร่อยจ้ะ 5 ถุงร้อยเดียว เอ้า! ให้ 6 ถุงร้อยไปเลย"
เจ้าถัดไปร้องว่า...พี่แขกแนะนำมาหรือครับ? งั้น 7 ถุงร้อยบาท...
เสียงหนุ่มคนขายไม่ได้ทำผมงุนงงเท่ากับ...คุณป้าแต่งชุดไทย ผมขาวกำลังยืนมองเขาทอดโรตีคู่กับหญิงสาวและเด็กหัวจุก...ก็เราเดินนำหน้ามาแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าแกยืนดักหน้าเราเฉยเลย
ม่านตาผมลายพร่า ขนลุกซู่ มีคนเบียดเข้ามาชนจนเซถลา คุณแสนคว้าแขนไว้ทัน...รีบเดินจนพ้นแถวร้านค้าออกที่โล่ง ภรรยากับลูกชายผมยืนหน้าซีดอยู่กับภรรยาคุณแสน...เจ้าภาพขอโทษขอโพยที่ลืมเตือนผมว่า วันพระใหญ่ทีไรจะมี "คนกรุงเก่า" ในอดีตมาเดินเที่ยวที่นี่เป็นประจำ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2550
ผมเคยได้ยินใครต่อใครเล่าเรื่องแปลกประหลาดให้ฟังมากมาย ที่เคยอ่านพบและเห็นในภาพยนตร์บ้างในทีวีบ้างก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ แต่เพิ่งจะได้พบกับตัวเองตอนกลางวันแสกๆ เมื่อตอนอายุ 50 ปีเศษๆ นี่เอง
โดยเฉพาะเหตุการณ์น่าสยองขวัญนี้เกิดขึ้นในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราชธานีเก่าของเราด้วยซีครับ สมัยเด็กๆ ผมเคยไปอยุธยามาแล้ว แต่ต่อจากนั้นก็ไม่ย่างกรายอีกเลย อย่างมากก็แค่ผ่านเขตจังหวัด เช่นออกจากกรุงเทพฯ ไปเหนือ ไปอีสาน บางปะอินหรือวังน้อยผ่านประจำ...จนกระทั่งมีเพื่อนฝูงสนิทกันชื่อคุณแสน เอ่ยปากชวนผมกับครอบครัวไปพักผ่อนและเที่ยวเตร่ดูวัดวาอารามในอยุธยาเมื่อเดือนก่อนนี้เอง
เป็นอันว่าตกลงตามนั้น!
เราขับรถออกจากบ้านตอนสายวันเสาร์ ขึ้นทางด่วนไปลงแถวรังสิต ใช้เวลาจากบ้านเพียงชั่วโมงเศษก็ถึงอยุธยาแล้ว ตรงดิ่งเข้าโรงแรมวรบุรีอันโอ่อ่า สูงตระหง่านถึง 8 ชั้น ร่างสูงใหญ่ของคุณแสนยืนยิ้มคู่กับคุณแก้ว-ภรรยารอคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
เก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตาแล้วลงมากินอาหารแบบบุฟเฟ่ต์กัน...ผมบอกว่าใช้เวลาเดินทางใกล้กว่าออกจากบ้านไปทำงานด้วยซ้ำ คุณแสนหัวเราะชอบใจ เล่าว่าบริษัทญี่ปุ่นที่เขาทำงานด้วยมีพนักงานชาวญี่ปุ่นมาเช่าโรงแรมนี้อยู่ประจำหลายสิบห้อง...ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานเหมือนอยู่โตเกียวหรือกรุงเทพฯ
จากนั้นออกจากโรงแรมที่เพิ่งสร้างใหม่ไปขึ้นรถคุณแสน พาไปเที่ยววัดพนัญเชิงที่เรารู้จักกันดี คนจีนเรียกซำปอกง มีชื่อเสียงทางให้พรเรื่องทำมาค้าขายได้เจริญรุ่งเรือง เป็นวัดเก่าแก่ก่อนสร้างกรุงด้วยซ้ำไป
คนจีนดูจะมากกว่าคนไทย ขนาดเบียดเสียดกันทั้งตอนเข้าโบสถ์และวิหารหลวงพ่อโต กำลังจัดการบูรณะซ่อมแซม ต้องแหงนกันคอตั้งบ่าจึงเห็นพระพักตร์ของหลวงพ่อผู้ทอดพระเนตรมองการสร้างกรุงจนถึงถูกพม่าเผาผลาญวอดวาย เหลือแต่ซากอันน่าสลดใจให้ดูเท่านั้น
คุณแสนพาขึ้นรถไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดต่อมา!
รถทัวร์, รถตู้และรถเก๋งจอดกันคึกคัก ผู้คนพลุกพล่านน่าสนุก แม้ว่าแสงแดดจะยังร้อนแรงก็ตาม
"เราจะจอดรถด้านหลังเพื่อความสะดวก" คุณแสนอธิบาย "เดินผ่านร้านรวงไปซื้อของฝากได้ ไม่ต้องหอบหิ้วไปด้วย แค่ให้เขาเขียนชื่อไว้ก็พอ...กราบพระเสร็จก็ออกมารับของแล้วขึ้นรถพอดี ตอนเย็นมีดินเนอร์ในเรือล่องแม่น้ำป่าสักอีกต่างหาก...ผมติดวิสกี้ขวดใหญ่มาด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้"
ภรรยาของเราชวนลูกชายออกหน้า ผมกับคุณแสนตามหลัง มองดูพุทราทั้งกวนและแผ่น สมกับเป็นเมืองพุทรา...พอก้าวเข้าเขตร้านค้าสองข้าง แทบหูตาลายเพราะมีของกินของใช้น่าซื้อหามากเหลือเกิน นักท่องเที่ยวที่มีทั้งชาวกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนมากจะหยุดยืนมองซ้ายมองขวากันทั้งนั้น...
เด็กชายไว้จุกยึดมือแม่ชี้ไปที่ปลาตะเพียนสานสีสวย มีทั้งพวงเล็กและพวงใหญ่คุณป้าคนหนึ่งอายุราว 50 นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อลูกไม้สีดำ ห่มสไบขาว ผมทรงดอกกระทุ่มสีขาวประปราย หยุดมองแผงขายผลไม้ดองหน้าตาชื่นเช่นกัน
พ่อค้าแม่ค้าส่งเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน...
"ลองชิมดูก่อนจ้ะ มะดัน, กระท้อน, องุ่น, มะม่วงมีทั้งดองทั้งแช่อิ่มน้ำผึ้ง โลละ 50 บาท ถุงละ 25 บาทเท่านั้นเอง...ชิมก่อนนะจ๊ะ ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าอะไร"
ผมว่าจะเดินผ่านไปก่อน พอดีพ่อค้าหนุ่มยื่นไม้ในถุงพลาสติกให้...ชิมก่อนจ้ะ ชิมก่อน! เขาบอก ผมลองจิ้มองุ่นลูกเล็กๆ เข้าปาก เอ๊ะ! รสดีแฮะ เขาส่งจานที่มีผลไม้ดองหรือแช่อิ่มก็ไม่ทราบให้ชิม ไม่ว่ากระท้อน, มะกอก, มะดัน ล้วนแต่รสชาติถูกปากทั้งนั้น
ว่าจะไม่ซื้อก็อดไม่ได้ หันไปออกตัวกับคุณแสน เขาก็หัวเราะบอกว่าเป็นยังงี้ทุกคนแหละ...ว่าแต่พวกผู้หญิงเขาซื้ออะไรกันมั่ง?
ผมหันไปดูเธอทั้งสองที่ออกหน้าไปก่อนก็เห็นคุณป้าคนนั้นกำลังยื่นมือไปรับหนังปลาทอดมาจิ้มน้ำจิ้มก่อนส่งเข้าปาก...ผมเดินเร่ไปเข้า พ่อค้าอีกคนก็ผายมือไปที่กองหนังปลาและก้างปลาทอดเป็นพะเนิน เชื้อเชิญให้ชิม บอกว่าเพิ่งทอดสดๆ ใหม่ๆ ทั้งนั้น น้ำจิ้มรสเด็ดที่สุด
คุณป้าคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ ผมลองหยิบหนังปลากรายทอดม้วนมาบิชิมดูก็ปรากฏว่ารสดีอีก ทั้งกรอบและอร่อย...สนนราคา 3 ถุง 5 บาท ถูกเหลือเชื่อ!
ซื้อเสร็จก็เจอเจ้าถัดไป ร้องว่า...วันนี้วันเกิดเมียจ้ะ ขาย 4 ถึง 5 บาทเลย! ผมอดหัวเราะไม่ได้ เห็นผู้คนแวะไปซื้อ คุณป้าคนเดิมก็ชิมดูอีกแล้วหันไปพยักหน้าหงึกๆ กับเด็กไว้จุก...ส่วนคุณแสนกับผมเดินเลยไปจนพบกับโรตีสายไหม ที่ได้ชื่อว่าเป็นขนมชื่อดังของอยุธยาพอๆ กับขนมเปี๊ยสระบุรีและโมจิของนครสวรรค์
"หวานอร่อยจ้ะ 5 ถุงร้อยเดียว เอ้า! ให้ 6 ถุงร้อยไปเลย"
เจ้าถัดไปร้องว่า...พี่แขกแนะนำมาหรือครับ? งั้น 7 ถุงร้อยบาท...
เสียงหนุ่มคนขายไม่ได้ทำผมงุนงงเท่ากับ...คุณป้าแต่งชุดไทย ผมขาวกำลังยืนมองเขาทอดโรตีคู่กับหญิงสาวและเด็กหัวจุก...ก็เราเดินนำหน้ามาแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าแกยืนดักหน้าเราเฉยเลย
ม่านตาผมลายพร่า ขนลุกซู่ มีคนเบียดเข้ามาชนจนเซถลา คุณแสนคว้าแขนไว้ทัน...รีบเดินจนพ้นแถวร้านค้าออกที่โล่ง ภรรยากับลูกชายผมยืนหน้าซีดอยู่กับภรรยาคุณแสน...เจ้าภาพขอโทษขอโพยที่ลืมเตือนผมว่า วันพระใหญ่ทีไรจะมี "คนกรุงเก่า" ในอดีตมาเดินเที่ยวที่นี่เป็นประจำ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2550
05 ตุลาคม 2558
สามเกลอเจอผี
"อ้อ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบังกะโลผีสิง
ชมพู่ มด และดิฉัน เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก พวกเราเป็นสาวโสดแม้จะมีเลข 3 นำหน้าแล้วก็ตาม! ชมพู่น่ะทำท่าว่าจะได้แต่งงานอยู่รอมร่อ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์สุดช็อก...แฟนเธอโดนคาบไปกินซะงั้น
เราเลยพาชมพู่ไปปลอบใจถึงพัทยา แต่ก็โดนผีหลอกอีก
อุแม่เจ้า! พวกเรานี่สงสัยดวงกำลังตกแน่ๆ เลย!
เมื่อเดือนที่แล้วชมพู่กระดี๊กระด๊า เธอบอกว่าพี่สมชาย (นามสมมติ)หนุ่มออฟฟิศโน้นเลียบๆ เคียงๆ ว่าจะให้แม่มาขอ เขาพอเธอไปพบคุณแม่มาแล้วด้วย งานนี้ชัวร์...แต่อาทิตย์ต่อมาเท่านั้นแหละ ไอ้ที่เคยมารับมาส่งก็เปลี่ยนไป คุณสมชายเกิดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเอาใจสาวชมพู่เหมือนเดิม
ไม่ช้าความก็แตกว่าไอ้ที่เขาไปยุ่งอยู่น่ะ คือไปแจกการ์ดแต่งงานค่ะ แต่ไม่ใช่ชมพู่หรอก ชื่อเจ้าสาวในการ์ดคือสาวในที่ทำงานของเขาเอง
ชมพู่ไม่ได้รับการ์ดแต่งแต่เธอรู้เพราะมีผู้หวังดีมาบอก...เขาบอกขณะเธอเปิดหนังสือเกี่ยวกับเจ้าสาวเพื่อดูชุดแต่งงานอยู่อย่างเพลิดเพลิน ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแต่ชมพู่ก็ช็อก เธอไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าเรียบเฉย เลิกคิ้วนิดๆ อย่างฉงน "งั้นเรอะ"
คนมาบอกเหตุหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาเม็ดโตๆ และเสียงกรี๊ดกร๊าดแบบละครหลังข่าว พอเห็นท่าทีอันเฉยเมยราบเรียบก็ต้องจ๋อยกลับไป...ไม่มีภาพกีฬามันส์ๆ ให้ดู เสียใจด้วยค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่มาบอก
มีแต่มดและดิฉันที่รู้ว่าชมพู่เจ็บลึกๆ เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นเธอยิ้มแบบมีแวววิกลจริตยังไงๆ อยู่...แบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิคะ!
เราทำท่าแบบ...ช่างมันฉันไม่แคร์! แล้วคว้าชุดว่ายน้ำบิกินีไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า เอ...ไปไหนดี? หัวหินก็สงบสุขไป...งั้นพัทยาละกัน
ดิฉันขับรถสปอร์ตคู่ใจมีมดนั่งข้างๆ ชมพู่สวาปามลองกองอยู่เบาะหลัง
ไปถึงพัทยาเช้าวันเสาร์...นั่นไง นึกแล้ว! ไม่มีที่พัก โรงแรมดีๆ เต็มหมด แต่เราอยากค้างนี่นา ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย...เฮ้อ! ไม่อยากให้เรื่องนี้มีโชคร้ายเล้ย แต่พวกเราดันได้รีสอร์ตแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ชายทะเลเสียด้วย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง
รีสอร์ตนี้ปลูกเรียงเป็นแถวๆ แต่ละหลังคือห้องชุด เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องรับแขกไม่กว้างนัก ดูอึดอัดด้วยซ้ำ เขาตั้งชุดรับแขกที่มีโซฟา เก้าอี้ และโต๊ะเตี้ยๆ ไว้ ถัดจากห้องรับแขกมีประตูสู่ห้องนอน ทางขวาของประตูนี้เป็นห้องน้ำ ทางซ้ายเป็นโต๊ะเครื่องแป้งราคาถูกๆ และตู้เสื้อผ้าแบบบิวต์อินใช้ไม้คุณภาพต่ำ
ประตูบานเลื่อนทำท่าจะหลุดออกจากราง ปิดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
เตียงนอนน่ะนอนกันได้สองคนสบาย แต่ถ้าสามคนก็เบียดกันหน่อย เขาตั้งโซฟาหนังเทียมตัวยาวสีขาวไว้ให้ด้วย เจตนาคงให้เป็นเตียงเสริม
เมื่อเก็บข้าวของเข้าห้อง เราก็ตะลุยพัทยากันอย่างสนุกสนาน พอตกค่ำก็หาล็อบสเตอร์อบเนยกินกันอย่างมีความสุข ชมพู่ไม่เคยแตะต้องเครื่องดองของเมา สั่งเบียร์มาดื่มอั๊กๆ เข้าไปตั้งสองขวดใหญ่ ดังนั้น แค่สามทุ่มเธอก็หมดสภาพ ต้องกลับไปนอน ส่วนมดกับดิฉันออกมานั่งริมทะเลรับลมกัน
รีสอร์ตของเรามีเก้าอี้ให้เช่า ครัวก็เปิดจนดึกดื่น เรานั่งคุยกันตามสบาย ฟังเสียงคลื่น...อย่างน้อยชมพู่ก็นอนอยู่ใกล้ๆ ในห้อง
ราวห้าทุ่มครึ่งเราเดินเอื่อยๆ กลับที่พัก มดไขกุญแจเข้าไป ดิฉันเคาะทรายออกจากรองเท้า กำลังเคาะอยู่ดีๆ ก็เกือบหน้าคะมำเพราะมดถอยหลังมาชน
"อ้อ!" เธอไม่ได้อุทานค่ะ แต่ออกชื่อดิฉัน "ใครนั่งอยู่ในห้องก็ไม่รู้"
ใจหายวาบ ยังไม่นึกถึงผี มือคว้าประตูเพื่อดูเลขห้องให้ถูกต้อง
"ก็ห้องของเรานี่นา ไม่ได้เข้าผิดห้องสักหน่อย"
"เออ..." มดทำท่าเหมือนจะร้องไห้ "ชมพู่ก็นอนอยู่ แต่มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งดูชมพู่อยู่ที่เก้าอี้ยาวข้างเตียงน่ะ?"
"เฮ้ย!" ดิฉันร้อง รีบก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ตรงไปยังประตูห้องนอน...ภาพที่เห็นคือ ชมพู่นอนตะแคงหันหน้ามาทางดิฉัน ราววาเศษๆ เป็นโซฟาที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพิงพนัก มือทั้งสองวางปล่อยๆ บนตัก เธอผมยาวเป็นสาววัยยี่สิบเศษ สวมชุดนอนไนลอนสีเนื้อ หน้าเธอเขียวๆ ก้มนิดๆ กำลังทำตาคว่ำจ้องชมพู่...
ดิฉันถอยกรู...ดูก็รู้ว่านั่นไม่ใช่คน! มดยืนเอามืออุดปากตัวเอง หน้าย่นยู่อย่างเสียวไส้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามดกำลังคืออะไร...จะปลุกชมพู่อีท่าไหน?
นาทีต่อมาดิฉันแทบตะโกน "ไปบอกผู้จัดการ!!"
ผู้จัดการไม่อยู่ แต่คนดูแลได้รับฟังเรื่องของเรา เขาทำหน้าตื่นเอามากๆ รีบไปตามคนอีกสองคนมา เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ทุกคนทำท่าขนลุกขนชัน กลัวมากกว่ากล้า แต่ต้องมาห้องที่เราอยู่ เราเปิดไฟสว่างจ้าแล้วเก็บข้าวของทั้งหมดอย่างเร็วชนิดมือสั่นเลยแหละ...ชมพู่ตื่นมาอย่างงุนงง เราเก็บของให้เธอจนครบทุกอย่างแล้วขึ้นรถ...ขับออกจากที่นั่นกลับกรุงเทพฯ ทันที
ชมพู่เล่าว่าเธอรู้สึกเหมือนผีอำ และเห็นภาพที่ดิฉันกับมดเห็นแต่ขยับไม่ได้ จนคนมาเยอะแยะ ผีก็หายไป
ทุกวันนี้เรายังอยู่กันสามคนสบายๆ ชวนกันไปทำบุญและคิดว่าคราวเคราะห์ของเราผ่านพ้นไปแล้วนะคะ ต่อไปอย่าให้เจอแบบนี้อีกเลยแล้วกัน...น่ากลัวค่ะ! บรื๋ออออ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2550
ชมพู่ มด และดิฉัน เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก พวกเราเป็นสาวโสดแม้จะมีเลข 3 นำหน้าแล้วก็ตาม! ชมพู่น่ะทำท่าว่าจะได้แต่งงานอยู่รอมร่อ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์สุดช็อก...แฟนเธอโดนคาบไปกินซะงั้น
เราเลยพาชมพู่ไปปลอบใจถึงพัทยา แต่ก็โดนผีหลอกอีก
อุแม่เจ้า! พวกเรานี่สงสัยดวงกำลังตกแน่ๆ เลย!
เมื่อเดือนที่แล้วชมพู่กระดี๊กระด๊า เธอบอกว่าพี่สมชาย (นามสมมติ)หนุ่มออฟฟิศโน้นเลียบๆ เคียงๆ ว่าจะให้แม่มาขอ เขาพอเธอไปพบคุณแม่มาแล้วด้วย งานนี้ชัวร์...แต่อาทิตย์ต่อมาเท่านั้นแหละ ไอ้ที่เคยมารับมาส่งก็เปลี่ยนไป คุณสมชายเกิดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเอาใจสาวชมพู่เหมือนเดิม
ไม่ช้าความก็แตกว่าไอ้ที่เขาไปยุ่งอยู่น่ะ คือไปแจกการ์ดแต่งงานค่ะ แต่ไม่ใช่ชมพู่หรอก ชื่อเจ้าสาวในการ์ดคือสาวในที่ทำงานของเขาเอง
ชมพู่ไม่ได้รับการ์ดแต่งแต่เธอรู้เพราะมีผู้หวังดีมาบอก...เขาบอกขณะเธอเปิดหนังสือเกี่ยวกับเจ้าสาวเพื่อดูชุดแต่งงานอยู่อย่างเพลิดเพลิน ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแต่ชมพู่ก็ช็อก เธอไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าเรียบเฉย เลิกคิ้วนิดๆ อย่างฉงน "งั้นเรอะ"
คนมาบอกเหตุหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาเม็ดโตๆ และเสียงกรี๊ดกร๊าดแบบละครหลังข่าว พอเห็นท่าทีอันเฉยเมยราบเรียบก็ต้องจ๋อยกลับไป...ไม่มีภาพกีฬามันส์ๆ ให้ดู เสียใจด้วยค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่มาบอก
มีแต่มดและดิฉันที่รู้ว่าชมพู่เจ็บลึกๆ เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นเธอยิ้มแบบมีแวววิกลจริตยังไงๆ อยู่...แบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิคะ!
เราทำท่าแบบ...ช่างมันฉันไม่แคร์! แล้วคว้าชุดว่ายน้ำบิกินีไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า เอ...ไปไหนดี? หัวหินก็สงบสุขไป...งั้นพัทยาละกัน
ดิฉันขับรถสปอร์ตคู่ใจมีมดนั่งข้างๆ ชมพู่สวาปามลองกองอยู่เบาะหลัง
ไปถึงพัทยาเช้าวันเสาร์...นั่นไง นึกแล้ว! ไม่มีที่พัก โรงแรมดีๆ เต็มหมด แต่เราอยากค้างนี่นา ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย...เฮ้อ! ไม่อยากให้เรื่องนี้มีโชคร้ายเล้ย แต่พวกเราดันได้รีสอร์ตแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ชายทะเลเสียด้วย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง
รีสอร์ตนี้ปลูกเรียงเป็นแถวๆ แต่ละหลังคือห้องชุด เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องรับแขกไม่กว้างนัก ดูอึดอัดด้วยซ้ำ เขาตั้งชุดรับแขกที่มีโซฟา เก้าอี้ และโต๊ะเตี้ยๆ ไว้ ถัดจากห้องรับแขกมีประตูสู่ห้องนอน ทางขวาของประตูนี้เป็นห้องน้ำ ทางซ้ายเป็นโต๊ะเครื่องแป้งราคาถูกๆ และตู้เสื้อผ้าแบบบิวต์อินใช้ไม้คุณภาพต่ำ
ประตูบานเลื่อนทำท่าจะหลุดออกจากราง ปิดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
เตียงนอนน่ะนอนกันได้สองคนสบาย แต่ถ้าสามคนก็เบียดกันหน่อย เขาตั้งโซฟาหนังเทียมตัวยาวสีขาวไว้ให้ด้วย เจตนาคงให้เป็นเตียงเสริม
เมื่อเก็บข้าวของเข้าห้อง เราก็ตะลุยพัทยากันอย่างสนุกสนาน พอตกค่ำก็หาล็อบสเตอร์อบเนยกินกันอย่างมีความสุข ชมพู่ไม่เคยแตะต้องเครื่องดองของเมา สั่งเบียร์มาดื่มอั๊กๆ เข้าไปตั้งสองขวดใหญ่ ดังนั้น แค่สามทุ่มเธอก็หมดสภาพ ต้องกลับไปนอน ส่วนมดกับดิฉันออกมานั่งริมทะเลรับลมกัน
รีสอร์ตของเรามีเก้าอี้ให้เช่า ครัวก็เปิดจนดึกดื่น เรานั่งคุยกันตามสบาย ฟังเสียงคลื่น...อย่างน้อยชมพู่ก็นอนอยู่ใกล้ๆ ในห้อง
ราวห้าทุ่มครึ่งเราเดินเอื่อยๆ กลับที่พัก มดไขกุญแจเข้าไป ดิฉันเคาะทรายออกจากรองเท้า กำลังเคาะอยู่ดีๆ ก็เกือบหน้าคะมำเพราะมดถอยหลังมาชน
"อ้อ!" เธอไม่ได้อุทานค่ะ แต่ออกชื่อดิฉัน "ใครนั่งอยู่ในห้องก็ไม่รู้"
ใจหายวาบ ยังไม่นึกถึงผี มือคว้าประตูเพื่อดูเลขห้องให้ถูกต้อง
"ก็ห้องของเรานี่นา ไม่ได้เข้าผิดห้องสักหน่อย"
"เออ..." มดทำท่าเหมือนจะร้องไห้ "ชมพู่ก็นอนอยู่ แต่มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งดูชมพู่อยู่ที่เก้าอี้ยาวข้างเตียงน่ะ?"
"เฮ้ย!" ดิฉันร้อง รีบก้าวเข้าไปในห้องรับแขก ตรงไปยังประตูห้องนอน...ภาพที่เห็นคือ ชมพู่นอนตะแคงหันหน้ามาทางดิฉัน ราววาเศษๆ เป็นโซฟาที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพิงพนัก มือทั้งสองวางปล่อยๆ บนตัก เธอผมยาวเป็นสาววัยยี่สิบเศษ สวมชุดนอนไนลอนสีเนื้อ หน้าเธอเขียวๆ ก้มนิดๆ กำลังทำตาคว่ำจ้องชมพู่...
ดิฉันถอยกรู...ดูก็รู้ว่านั่นไม่ใช่คน! มดยืนเอามืออุดปากตัวเอง หน้าย่นยู่อย่างเสียวไส้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามดกำลังคืออะไร...จะปลุกชมพู่อีท่าไหน?
นาทีต่อมาดิฉันแทบตะโกน "ไปบอกผู้จัดการ!!"
ผู้จัดการไม่อยู่ แต่คนดูแลได้รับฟังเรื่องของเรา เขาทำหน้าตื่นเอามากๆ รีบไปตามคนอีกสองคนมา เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ทุกคนทำท่าขนลุกขนชัน กลัวมากกว่ากล้า แต่ต้องมาห้องที่เราอยู่ เราเปิดไฟสว่างจ้าแล้วเก็บข้าวของทั้งหมดอย่างเร็วชนิดมือสั่นเลยแหละ...ชมพู่ตื่นมาอย่างงุนงง เราเก็บของให้เธอจนครบทุกอย่างแล้วขึ้นรถ...ขับออกจากที่นั่นกลับกรุงเทพฯ ทันที
ชมพู่เล่าว่าเธอรู้สึกเหมือนผีอำ และเห็นภาพที่ดิฉันกับมดเห็นแต่ขยับไม่ได้ จนคนมาเยอะแยะ ผีก็หายไป
ทุกวันนี้เรายังอยู่กันสามคนสบายๆ ชวนกันไปทำบุญและคิดว่าคราวเคราะห์ของเราผ่านพ้นไปแล้วนะคะ ต่อไปอย่าให้เจอแบบนี้อีกเลยแล้วกัน...น่ากลัวค่ะ! บรื๋ออออ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2550
04 ตุลาคม 2558
ข้าวต้มไฮโซฯ
"เอกพัลลภ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกรุงเทพฯ ราตรี
ผมเป็นคนพื้นเพทางภาคใต้ เข้าทำงานธนาคารเอกชนตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ต้องโยกย้ายไปนั่นมานี่หลายแห่ง ล่าสุดประจำอยู่ภาคเหนือตอนล่าง มักจะเดินทางเข้าประชุมหรือทำธุระที่กรุงเทพฯ ว่างก็เข้าสนามกอล์ฟ ทั้งพักผ่อนหย่อนใจกับยืดเส้นยืดสายไปด้วย
ตกค่ำจะมีเพื่อนฝูงในกรุงเทพฯ นัดแนะมารับผมที่โรงแรมแถวพระราม 4 ใกล้ๆ กับหัวลำโพง ไปตระเวนราตรีกันเป็นประจำ เพราะมีเวลาอย่างมากไม่เกิน 2 คืนเท่านั้นเอง
ในกรุงเทพฯ นี่ผมมีเพื่อนหลายคนครับ บางคนเอารถมารับ บางคนขับรถไม่เป็นก็ไปรถผม บางทีแห่กันมาหลายคนจนต้องไปรถ 2-3 คัน แต่บางทีมีเพื่อนขับรถมารับคนเดียว คล่องตัวดีเหมือนกัน เที่ยวเตร่กันเต็มที่เพราะนานๆ ได้ปล่อยแก่ซักที
คืนเกิดเหตุสยองขวัญ เพื่อนชื่อ พิสัย ทำงานแบงก์เหมือนกันแค่เขาประจำอยู่สำนักงานใหญ่...คืนก่อนไม่ได้มาเพราะติดนัดลูกค้า พอถึงคืนนี้เลยเหลือเรา 2 คน โดยพิสัยขับรถมานั่งซดเบียร์รอผมในคอฟฟี่ช็อป ...อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ลงไปหา อุ่นเครื่องกันคนละ 2 ขวดแล้วไปลุยราตรีกันตามฟอร์ม
พิสัยถามว่าอยากไปไหน ผมบอกว่าไปไหนเป็นไปกัน ไม่ต้องหักโหมก็ได้...เมื่อคืนวานเพื่อนๆ พาไปนวดทั้งแบบ "แห้งและเปียก" มาแล้ว "แห้ง" คือนวดน้ำมันหรือ "สปา" ส่วน "เปียก" ก็คือไปลงอ่างชนิดครบเครื่องไปเลย!
พิสัยหัวเราะชอบใจ บอกว่า...งั้นคืนนี้ไปกินข้าวต้มไฮโซฯ!
ผมชอบกินข้าวต้มกับ หรือ "ข้าวต้มกุ๊ย" เป็นรายการสุดท้ายก่อนกลับไปนอน ตั้งแต่ข้าวต้มเฮียอ้วน ถนนเสือป่า ข้าวต้มหน้าวัดบวรฯ จนถึงข้าวต้มอนันต์ ข้าวต้มสมพงษ์ ที่ว่าดังๆ น่ะผมไปกินมาแล้วทั้งนั้น...รวมทั้งข้าวต้มตามโรงแรมอีก 2-3 แห่ง
เพื่อนที่รู้ใจผมดีก็พิสัยนี่แหละครับ ชวนไปกินข้าวต้มบุฟเฟต์ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ตั้งแต่หัวละ 200 ต้นๆ จนปาเข้าไป 350 บาท หรือที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ย่านรัชดาฯ ทั้งคู่ สนนราคาไล่ๆ กัน
ถ้าพูดถึงกับข้าวเยอะแยะหลายสิบชนิด มีทั้งข้าวต้มเผือก, ข้าวต้มมัน, ข้าวต้มข้าวกล้อง กับพวกเป็ดย่าง หมูแดง ก๋วยเตี๋ยว บางคืนมีก๋วยจั๊บหรือบะหมี่เกี๊ยว ซูชิห่อสาหร่ายหน้าไข่กุ้งสดอร่อย...ต้องยกให้เจ้าพระยาปาร์คนะครับ
เบียร์สดเหยือกละ 450 บาทแพงไปหน่อย แต่อย่างว่า...ถ้ามัวแต่เสียดายเงินทองก็ต้องเกาะหาบชายสี่บะหมี่เกี๊ยวเอาละกัน
ว่าแต่ ข้าวต้มไฮโซฯ นี่เคยได้ยินแว่วๆ ยังไม่เคยลิ้มรสซักที!
คืนนั้นแวะดูแถวสุขุมวิท ตั้งแต่ดงอาหรับที่ซอย 3 เป็นชุมทางสารพัดแขกจริงๆ ครับ ไม่ว่าอินเดีย, ปากีฯ, อิรัก, อิหร่าน ฯลฯ ละลานตา กลิ่นอาหารค่อนข้างดุเดือดด้วยเครื่องเทศ อวลกรุ่น พี่บังนั่งซดชาก็มี ดูดมอระกู่เพลิดเพลินก็มี เผลอๆ นึกว่าพลัดหลงเข้าไปในดินแดนอาหรับราตรีเข้าไปโน่น
โผล่เข้าไปในฟู้ดแลนด์ซอย 5 ร้าน "ถูกและดี" มีลูกค้านานาชนิดมาอุดหนุนกันคึ่กๆ ชนิดเต็มทุกโต๊ะและเก้าอี้...พิสัยขับรถพาไปถึงย่านวัฒนา, ทองหล่อ, เอกมัย ชุมทางนักเที่ยวที่เริ่มทยอยกันมา ทั้งบาร์ คลับ เธค ค็อกเทลเลานจ์ คาราโอเกะ แสงไฟสะพรึ่บสะพรั่งตา
ตอนนั้นราว 3 ทุ่มกว่า...พิสัยบอกว่าไปกินข้าวต้มไฮโซฯ กันเถอะ อยู่แถวสี่แยกราชประสงค์นี่เอง!
รถราแออัดน่าดูทั้งที่เป็นคืนวันพุธปลายเดือนแท้ๆ กว่าจะถึงจุดหมายเกือบ 4 ทุ่มที่จอดรถเต็ม ต้องมุดดินลงไปแล้วพากันขึ้นบันไดชั้นเดียวสู่ร้านข้าวต้มไฮโซฯ...
โห...บรรยากาศหรูหรา โอ่อ่าน่าดู มีโต๊ะวางเป็นโซฟาด้านใน เปิดไฟสลัวกำลังดี สังเกตว่ามีลูกค้าทั้งไทยและเทศระดับเงินหนาทั้งนั้น...พิสัยสั่งเบียร์มา 2 ขวด (เล็ก) กับผัดผักบุ้งกับผัดคะน้า และไข่เจียวอย่างละจาน บอกว่าที่นี่ไม่ใช้น้ำมันหอย...ไม่ต้องกลัวอ้วน
เอ...บุฟเฟต์ที่นี่สั่งกับข้าวได้ แสดงว่าเพื่อนเราคงเป็นขาประจำระดับเสี่ยมาเอง!
ซดเบียร์แล้วก็ชวนกันไปตักอาหาร พิสัยให้ความรู้ว่าที่นี่ถึงอาหารจะไม่มากแบบที่อื่น แต่อร่อยกว่ากันเยอะเลย...ผมเลือกตักกับแกล้ม 3-4 อย่าง เป็ดพะโล้ใส่ถ้วยเล็กๆ กลับมาที่โต๊ะ พิสัยสั่งเบียร์เพิ่มแล้วชะโงกหน้ามาให้ความรู้
"ตะเกียบมีหลายสี อย่าจับคู่สีเดียวกันล่ะ เดี๋ยวเขารู้ว่าไม่เคยมา"
ผมอดหัวเราะไม่ได้ มองดูตะเกียบหลากสีแล้วเลือกสีแดงกับสีเขียวมาจับคู่กันซะเลย...พอดีเหลือบไปเห็นสาวในชุดดำเดินออกจากประตูลิฟต์พอดี!
ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับ ลูกค้าหลายคนทั้งหญิงและชายล้วนหันไปมองหุ่นสูงระหง แต่อวบอัดเหลือเชื่อ ผมยาวสยายประบ่า เดินเชิดหน้ายิ้มนิดๆ ขณะที่บ๋อยปราดเข้าไปต้อนรับ พาไปนั่งโต๊ะทางซ้ายมือที่เพิ่งว่างหยกๆ พิสัยบอกว่า...สงสัยมาจับฝรั่งว่ะ! ที่นี่ปิด 5 ทุ่มนะ ถ้าติดใจคราวหน้ามาใหม่ได้เลย
เราสั่งเบียร์รอบใหม่ ลุกไปตักอาหารอีกครั้ง...สาวชุดดำนั่งดื่มกินคนเดียว ดูเหมือนจะไม่แยแสใครด้วยซ้ำ
ใกล้ปิดร้าน พิสัยเรียกคิดเงิน...ปาเข้าไปเกือบสามพันบาท เพิ่งรู้ว่าข้าวต้มหัวละ 450 บาท เบียร์ขวดเล็ก 140 บาท...อิ่มแล้วไม่อยากคิดอะไรมาก พากันแวะห้องน้ำแล้วลงบันไดไปขึ้นรถ
ตอนจะออกจากประตูริมถนน ผมเห็นสาวชุดดำคนเดิมเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้า พิสัยหักรถเลี้ยวซ้ายพลางพึมพำ...มาจับฝรั่งน่ะ! แล้วเสียงเขาก็ขาดหายไปเพียงเท่านั้น
นรกเป็นพยาน! ผู้หญิงคนเดียวกับที่เราเห็นเดินออกจากลิฟต์ แม้แต่ตอนขากลับก็ยังเห็นเธอนั่งอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม...ถ้าผมเห็นคนเดียวคงจะนึกว่าเมาจนตาลายแน่ๆ แต่เพื่อนก็เห็นพร้อมๆ กัน ถ้าไม่ใช่ฝาแฝดก็คงโดนผีหลอกเข้าจังๆ แล้วละครับ! บรื๋ออออ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 4 ตุลาคม 2550
ผมเป็นคนพื้นเพทางภาคใต้ เข้าทำงานธนาคารเอกชนตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ต้องโยกย้ายไปนั่นมานี่หลายแห่ง ล่าสุดประจำอยู่ภาคเหนือตอนล่าง มักจะเดินทางเข้าประชุมหรือทำธุระที่กรุงเทพฯ ว่างก็เข้าสนามกอล์ฟ ทั้งพักผ่อนหย่อนใจกับยืดเส้นยืดสายไปด้วย
ตกค่ำจะมีเพื่อนฝูงในกรุงเทพฯ นัดแนะมารับผมที่โรงแรมแถวพระราม 4 ใกล้ๆ กับหัวลำโพง ไปตระเวนราตรีกันเป็นประจำ เพราะมีเวลาอย่างมากไม่เกิน 2 คืนเท่านั้นเอง
ในกรุงเทพฯ นี่ผมมีเพื่อนหลายคนครับ บางคนเอารถมารับ บางคนขับรถไม่เป็นก็ไปรถผม บางทีแห่กันมาหลายคนจนต้องไปรถ 2-3 คัน แต่บางทีมีเพื่อนขับรถมารับคนเดียว คล่องตัวดีเหมือนกัน เที่ยวเตร่กันเต็มที่เพราะนานๆ ได้ปล่อยแก่ซักที
คืนเกิดเหตุสยองขวัญ เพื่อนชื่อ พิสัย ทำงานแบงก์เหมือนกันแค่เขาประจำอยู่สำนักงานใหญ่...คืนก่อนไม่ได้มาเพราะติดนัดลูกค้า พอถึงคืนนี้เลยเหลือเรา 2 คน โดยพิสัยขับรถมานั่งซดเบียร์รอผมในคอฟฟี่ช็อป ...อาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมก็ลงไปหา อุ่นเครื่องกันคนละ 2 ขวดแล้วไปลุยราตรีกันตามฟอร์ม
พิสัยถามว่าอยากไปไหน ผมบอกว่าไปไหนเป็นไปกัน ไม่ต้องหักโหมก็ได้...เมื่อคืนวานเพื่อนๆ พาไปนวดทั้งแบบ "แห้งและเปียก" มาแล้ว "แห้ง" คือนวดน้ำมันหรือ "สปา" ส่วน "เปียก" ก็คือไปลงอ่างชนิดครบเครื่องไปเลย!
พิสัยหัวเราะชอบใจ บอกว่า...งั้นคืนนี้ไปกินข้าวต้มไฮโซฯ!
ผมชอบกินข้าวต้มกับ หรือ "ข้าวต้มกุ๊ย" เป็นรายการสุดท้ายก่อนกลับไปนอน ตั้งแต่ข้าวต้มเฮียอ้วน ถนนเสือป่า ข้าวต้มหน้าวัดบวรฯ จนถึงข้าวต้มอนันต์ ข้าวต้มสมพงษ์ ที่ว่าดังๆ น่ะผมไปกินมาแล้วทั้งนั้น...รวมทั้งข้าวต้มตามโรงแรมอีก 2-3 แห่ง
เพื่อนที่รู้ใจผมดีก็พิสัยนี่แหละครับ ชวนไปกินข้าวต้มบุฟเฟต์ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ตั้งแต่หัวละ 200 ต้นๆ จนปาเข้าไป 350 บาท หรือที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ย่านรัชดาฯ ทั้งคู่ สนนราคาไล่ๆ กัน
ถ้าพูดถึงกับข้าวเยอะแยะหลายสิบชนิด มีทั้งข้าวต้มเผือก, ข้าวต้มมัน, ข้าวต้มข้าวกล้อง กับพวกเป็ดย่าง หมูแดง ก๋วยเตี๋ยว บางคืนมีก๋วยจั๊บหรือบะหมี่เกี๊ยว ซูชิห่อสาหร่ายหน้าไข่กุ้งสดอร่อย...ต้องยกให้เจ้าพระยาปาร์คนะครับ
เบียร์สดเหยือกละ 450 บาทแพงไปหน่อย แต่อย่างว่า...ถ้ามัวแต่เสียดายเงินทองก็ต้องเกาะหาบชายสี่บะหมี่เกี๊ยวเอาละกัน
ว่าแต่ ข้าวต้มไฮโซฯ นี่เคยได้ยินแว่วๆ ยังไม่เคยลิ้มรสซักที!
คืนนั้นแวะดูแถวสุขุมวิท ตั้งแต่ดงอาหรับที่ซอย 3 เป็นชุมทางสารพัดแขกจริงๆ ครับ ไม่ว่าอินเดีย, ปากีฯ, อิรัก, อิหร่าน ฯลฯ ละลานตา กลิ่นอาหารค่อนข้างดุเดือดด้วยเครื่องเทศ อวลกรุ่น พี่บังนั่งซดชาก็มี ดูดมอระกู่เพลิดเพลินก็มี เผลอๆ นึกว่าพลัดหลงเข้าไปในดินแดนอาหรับราตรีเข้าไปโน่น
โผล่เข้าไปในฟู้ดแลนด์ซอย 5 ร้าน "ถูกและดี" มีลูกค้านานาชนิดมาอุดหนุนกันคึ่กๆ ชนิดเต็มทุกโต๊ะและเก้าอี้...พิสัยขับรถพาไปถึงย่านวัฒนา, ทองหล่อ, เอกมัย ชุมทางนักเที่ยวที่เริ่มทยอยกันมา ทั้งบาร์ คลับ เธค ค็อกเทลเลานจ์ คาราโอเกะ แสงไฟสะพรึ่บสะพรั่งตา
ตอนนั้นราว 3 ทุ่มกว่า...พิสัยบอกว่าไปกินข้าวต้มไฮโซฯ กันเถอะ อยู่แถวสี่แยกราชประสงค์นี่เอง!
รถราแออัดน่าดูทั้งที่เป็นคืนวันพุธปลายเดือนแท้ๆ กว่าจะถึงจุดหมายเกือบ 4 ทุ่มที่จอดรถเต็ม ต้องมุดดินลงไปแล้วพากันขึ้นบันไดชั้นเดียวสู่ร้านข้าวต้มไฮโซฯ...
โห...บรรยากาศหรูหรา โอ่อ่าน่าดู มีโต๊ะวางเป็นโซฟาด้านใน เปิดไฟสลัวกำลังดี สังเกตว่ามีลูกค้าทั้งไทยและเทศระดับเงินหนาทั้งนั้น...พิสัยสั่งเบียร์มา 2 ขวด (เล็ก) กับผัดผักบุ้งกับผัดคะน้า และไข่เจียวอย่างละจาน บอกว่าที่นี่ไม่ใช้น้ำมันหอย...ไม่ต้องกลัวอ้วน
เอ...บุฟเฟต์ที่นี่สั่งกับข้าวได้ แสดงว่าเพื่อนเราคงเป็นขาประจำระดับเสี่ยมาเอง!
ซดเบียร์แล้วก็ชวนกันไปตักอาหาร พิสัยให้ความรู้ว่าที่นี่ถึงอาหารจะไม่มากแบบที่อื่น แต่อร่อยกว่ากันเยอะเลย...ผมเลือกตักกับแกล้ม 3-4 อย่าง เป็ดพะโล้ใส่ถ้วยเล็กๆ กลับมาที่โต๊ะ พิสัยสั่งเบียร์เพิ่มแล้วชะโงกหน้ามาให้ความรู้
"ตะเกียบมีหลายสี อย่าจับคู่สีเดียวกันล่ะ เดี๋ยวเขารู้ว่าไม่เคยมา"
ผมอดหัวเราะไม่ได้ มองดูตะเกียบหลากสีแล้วเลือกสีแดงกับสีเขียวมาจับคู่กันซะเลย...พอดีเหลือบไปเห็นสาวในชุดดำเดินออกจากประตูลิฟต์พอดี!
ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับ ลูกค้าหลายคนทั้งหญิงและชายล้วนหันไปมองหุ่นสูงระหง แต่อวบอัดเหลือเชื่อ ผมยาวสยายประบ่า เดินเชิดหน้ายิ้มนิดๆ ขณะที่บ๋อยปราดเข้าไปต้อนรับ พาไปนั่งโต๊ะทางซ้ายมือที่เพิ่งว่างหยกๆ พิสัยบอกว่า...สงสัยมาจับฝรั่งว่ะ! ที่นี่ปิด 5 ทุ่มนะ ถ้าติดใจคราวหน้ามาใหม่ได้เลย
เราสั่งเบียร์รอบใหม่ ลุกไปตักอาหารอีกครั้ง...สาวชุดดำนั่งดื่มกินคนเดียว ดูเหมือนจะไม่แยแสใครด้วยซ้ำ
ใกล้ปิดร้าน พิสัยเรียกคิดเงิน...ปาเข้าไปเกือบสามพันบาท เพิ่งรู้ว่าข้าวต้มหัวละ 450 บาท เบียร์ขวดเล็ก 140 บาท...อิ่มแล้วไม่อยากคิดอะไรมาก พากันแวะห้องน้ำแล้วลงบันไดไปขึ้นรถ
ตอนจะออกจากประตูริมถนน ผมเห็นสาวชุดดำคนเดิมเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ด้านหน้า พิสัยหักรถเลี้ยวซ้ายพลางพึมพำ...มาจับฝรั่งน่ะ! แล้วเสียงเขาก็ขาดหายไปเพียงเท่านั้น
นรกเป็นพยาน! ผู้หญิงคนเดียวกับที่เราเห็นเดินออกจากลิฟต์ แม้แต่ตอนขากลับก็ยังเห็นเธอนั่งอ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม...ถ้าผมเห็นคนเดียวคงจะนึกว่าเมาจนตาลายแน่ๆ แต่เพื่อนก็เห็นพร้อมๆ กัน ถ้าไม่ใช่ฝาแฝดก็คงโดนผีหลอกเข้าจังๆ แล้วละครับ! บรื๋ออออ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 4 ตุลาคม 2550
03 ตุลาคม 2558
คนเห็นผี
"ชลกร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากฮ่องกง
ดิฉันทำงานในวงการแฟชั่นระดับโลก โดยมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการในบริษัทที่สหรัฐอเมริกา และหน้าที่นี้ต้องเดินทางไปดูงานยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปารีส, ลอนดอน, ญี่ปุ่น และฮ่องกง
ชีวิตแบบดิฉันนี่มีเพื่อนฝูงหลายคนบ่นว่าอิจฉา ดิฉันมีความสุขจริงๆ ค่ะ เพราะเป็นโสด เงินเดือนสูงและได้ทำงานที่ใจรัก คนเราเกิดมาก็แค่นี้เอง จะเอาอะไรอีกล่ะ? แต่ในขณะเดียวกันดิฉันก็นึกอิจฉาคนอื่นที่มีสามี มีลูกๆ อยู่ในครอบครัวที่พรั่งพร้อม
สรุปว่า ต่างคนต่างอิจฉากันด้วยเรื่องที่ไม่มีใครมีทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แบบ!
บางเวลาที่ดิฉันเหงา...เฮ้อ! เหงาอยู่บนกองเงินกองทอง! อย่าหมั่นไส้เลยนะคะที่พูดให้คนฟังแบบนี้...ดิฉันติดจะขี้เหร่! มันเป็นแบบนี้มาแต่เด็กแล้วล่ะ ซึ่งก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนในรูปร่างหน้าตาตัวเองนัก...
ผอมเป็นไม้เสียบผี ใส่แว่นตาหนาเตอะ หน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แต่ในความขี้ริ้วขี้เหร่ก็มีดีอยู่อย่าง...คือดิฉันไม่เคยอิจฉาใครในเรื่องความสวยความงาม แต่กลับชื่นชมด้วยซ้ำ! ทั้งน้องๆ ตัวเอง ซึ่งแต่ละคนดูดี มีเสน่ห์สุดๆ และเพื่อนๆ ที่สวยล้ำหน้าเราไปหมด
...ดิฉันเฝ้ามองพวกเขาเติบโตเป็นสาวรุ่นที่เหมือนดอกไม้สวยหรู มีผู้สนใจมาเด็ดไปปักในแจกัน...คนแล้วคนเล่าที่มีแฟนมาติดพัน แล้วลงเอยด้วยการแต่งงานอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง! ดิฉันก็พลอยดีใจด้วย
งานดีไซน์เครื่องแต่งกายสวยๆ งามๆ ให้คนสวยอย่างพี่น้องเพื่อนฝูง เป็นงานที่ดิฉันรักเหลือเกิน มันเป็นความสุขจริงๆ แล้วดิฉันก็ได้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ได้งานดี เงินดี นายใหญ่ก็ดีซะสุดแสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดิฉัน ซึ่งกลายเป็นลูกน้องระดับมือขวาของเขา
สิ่งดีๆ ที่เกิดกับดิฉันนั้น ทดแทนความไร้คู่ได้เหมือนกัน แต่ก็มีบางอารมณ์ที่เหงาและโหยหา ไม่ใช่โหยหาความรักหรือพระเอกนะคะ... ดิฉันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเท่านั้น...
ช่างเถอะ! จะมาเพ้อฝันอะไรเอาตอนอายุใกล้จะห้าสิบแบบนี้...คนเราจะต้องพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี! จริงไหมคะ?
เออ...พูดถึงสิ่งที่ตัวเองมี ดิฉันตั้งใจจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟังค่ะ
คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ดิฉันมี คือเป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก!
เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา...ยิ่งโตขึ้น จนเป็นสาวแก่ขนาดนี้ มีหน้าที่การงานต้องไปต่างที่ต่างถิ่นกันทั้งปีทั้งชาติ ก็ยิ่งมีโอกาสเจอผีมากขึ้นเป็นธรรมดา ครั้งล่าสุดก็เพิ่งเมื่อ 2-3 วันมานี้เองแหละ สดๆ ร้อนๆ เลยนะเนี่ย
กลางเดือนกันยายน ดิฉันต้องตระเวนดูงานในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย ทั้งในญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง...
ฮ่องกงเป็นจุดสุดท้ายในตารางดูงาน จากนั้นก็คิดจะแวะเมืองไทย เยี่ยมพ่อแม่และเพื่อนฝูงสักสัปดาห์หนึ่ง ในเวลาปีสองปีจะมีโอกาสมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง แต่บางปีก็ไม่ได้มาเมืองไทยเพราะการงานรัดตัว ต้องรีบไปรีบกลับ
ที่ฮ่องกง ดิฉันพักในโรงแรมหรูระดับห้าดาว ดิฉันเดินทางคนเดียวนะคะเที่ยวนี้น่ะ ก็เลยครองห้องอยู่คนเดียวสบายแฮ
ห้องในโรงแรมนี้สวยและสะดวกสบาย แม้จะมีคนกระซิบว่าผีดุ ดิฉันก็งั้นๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก
คืนนั้นกินมื้อค่ำที่โรงแรมตามลำพัง พอสองทุ่มกว่าๆ ก็ขึ้นมาบนห้อง เปิดหน้าต่างชมวิว ใจน่ะคิดถึงบ้านที่เมืองไทย...พรุ่งนี้ก็จะได้ไปพบพ่อแม่ น้องๆ และหลานๆ แล้ว
สี่ทุ่มกว่าๆ เริ่มง่วง ก็เลยปิดไฟเข้านอน โดยเปิดไฟห้องน้ำและแง้มประตูไว้นิดๆ ในห้องก็เลยสลัวๆ ดิฉันชอบเปิดม่านไว้เต็มที่ เพราะตอนเช้าเวลาลืมตามาก็จะได้เห็นท้องฟ้าที่มีแสงเงินแสงทอง...เหมือนอยู่สวรรค์เลยละ
ใกล้เคลิ้ม กำลังสบาย จะหลับอยู่รอมร่อก็มีอะไรบางอย่างหล่นตุ้บมาบนอก!
ความรู้สึกบอกว่ามันเป็นร่างคน หล่นจากเพดานมาบนเตียง ซีกหนึ่งของร่างกระทบตัวดิฉันอย่างจัง...แขนของเขาคนนั้นก็พาดมาปะทะหน้าอกพอดี
อะไรกันนี่?! ดิฉันลืมตาทันที...ขอย้ำว่าไม่ได้หลับ ไม่ใช่ผีอำ! แต่ตื่นเต็มที่ด้วยความตกใจและสับสนงุนงงจริงๆ
ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่ง...แปลกที่ไฟสลัวแต่ดิฉันเห็นเธอชัดเจนมาก เธอกำลังยันตัวขึ้นเหมือนคนที่เพิ่งหกล้มแล้วกำลังจะลุกน่ะค่ะ! แขนเธอยังอยู่บนอกดิฉันเลย เธอเอาแขนออก ยันที่นอน ใบหน้าห่างกันแค่คืบ...
แหม! ก็เธอหล่นมาบนที่นอนจนเกือบทับ...เอ๊ย! ทับดิฉันไปครึ่งตัวแล้วนี่นา มันกระชั้นชิดกันมากๆ
ใบหน้าเธอสวยน่ารัก เป็นสาวรุ่น ผมยาวตรง ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด เธอยักแย่ยักยันลุกจากเตียง ขณะมองหน้าดิฉันและหัวเราะเสียงใสเหมือนขำที่ตัวเองหล่นลงมา...ขำและยิ้มแบบขอโทษขอโพย เธอมีเนื้อหนังเป็นตัวเป็นตน มีน้ำหนักเหมือนคนธรรมดาๆ ตัวเล็กแบบบางและสวยมาก แต่ภายใน 2-3 วินาทีต่อมาเธอก็หายไปเหมือนละลายไปในอากาศ
ห้องทั้งห้องกลับสลัวรางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ดิฉันงุนงงแต่ไม่กลัว ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นผี ดิฉันลุกขึ้นนั่งทำตาปริบๆ เธอจะมาอีกไหมนี่? เวลาผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ดิฉันเลยเข้านอนต่อ
นี่ล่ะค่ะ ผีตัวล่าสุดที่ดิฉันเจอเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง...แปลกดีไหมล่ะคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 3 ตุลาคม 2550
ดิฉันทำงานในวงการแฟชั่นระดับโลก โดยมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการในบริษัทที่สหรัฐอเมริกา และหน้าที่นี้ต้องเดินทางไปดูงานยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปารีส, ลอนดอน, ญี่ปุ่น และฮ่องกง
ชีวิตแบบดิฉันนี่มีเพื่อนฝูงหลายคนบ่นว่าอิจฉา ดิฉันมีความสุขจริงๆ ค่ะ เพราะเป็นโสด เงินเดือนสูงและได้ทำงานที่ใจรัก คนเราเกิดมาก็แค่นี้เอง จะเอาอะไรอีกล่ะ? แต่ในขณะเดียวกันดิฉันก็นึกอิจฉาคนอื่นที่มีสามี มีลูกๆ อยู่ในครอบครัวที่พรั่งพร้อม
สรุปว่า ต่างคนต่างอิจฉากันด้วยเรื่องที่ไม่มีใครมีทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แบบ!
บางเวลาที่ดิฉันเหงา...เฮ้อ! เหงาอยู่บนกองเงินกองทอง! อย่าหมั่นไส้เลยนะคะที่พูดให้คนฟังแบบนี้...ดิฉันติดจะขี้เหร่! มันเป็นแบบนี้มาแต่เด็กแล้วล่ะ ซึ่งก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนในรูปร่างหน้าตาตัวเองนัก...
ผอมเป็นไม้เสียบผี ใส่แว่นตาหนาเตอะ หน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แต่ในความขี้ริ้วขี้เหร่ก็มีดีอยู่อย่าง...คือดิฉันไม่เคยอิจฉาใครในเรื่องความสวยความงาม แต่กลับชื่นชมด้วยซ้ำ! ทั้งน้องๆ ตัวเอง ซึ่งแต่ละคนดูดี มีเสน่ห์สุดๆ และเพื่อนๆ ที่สวยล้ำหน้าเราไปหมด
...ดิฉันเฝ้ามองพวกเขาเติบโตเป็นสาวรุ่นที่เหมือนดอกไม้สวยหรู มีผู้สนใจมาเด็ดไปปักในแจกัน...คนแล้วคนเล่าที่มีแฟนมาติดพัน แล้วลงเอยด้วยการแต่งงานอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง! ดิฉันก็พลอยดีใจด้วย
งานดีไซน์เครื่องแต่งกายสวยๆ งามๆ ให้คนสวยอย่างพี่น้องเพื่อนฝูง เป็นงานที่ดิฉันรักเหลือเกิน มันเป็นความสุขจริงๆ แล้วดิฉันก็ได้ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ได้งานดี เงินดี นายใหญ่ก็ดีซะสุดแสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดิฉัน ซึ่งกลายเป็นลูกน้องระดับมือขวาของเขา
สิ่งดีๆ ที่เกิดกับดิฉันนั้น ทดแทนความไร้คู่ได้เหมือนกัน แต่ก็มีบางอารมณ์ที่เหงาและโหยหา ไม่ใช่โหยหาความรักหรือพระเอกนะคะ... ดิฉันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเท่านั้น...
ช่างเถอะ! จะมาเพ้อฝันอะไรเอาตอนอายุใกล้จะห้าสิบแบบนี้...คนเราจะต้องพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี! จริงไหมคะ?
เออ...พูดถึงสิ่งที่ตัวเองมี ดิฉันตั้งใจจะเล่าเรื่องผีให้คุณฟังค่ะ
คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ดิฉันมี คือเป็นคนที่เจอผีบ่อยมาก!
เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา...ยิ่งโตขึ้น จนเป็นสาวแก่ขนาดนี้ มีหน้าที่การงานต้องไปต่างที่ต่างถิ่นกันทั้งปีทั้งชาติ ก็ยิ่งมีโอกาสเจอผีมากขึ้นเป็นธรรมดา ครั้งล่าสุดก็เพิ่งเมื่อ 2-3 วันมานี้เองแหละ สดๆ ร้อนๆ เลยนะเนี่ย
กลางเดือนกันยายน ดิฉันต้องตระเวนดูงานในพื้นที่ภูมิภาคเอเชีย ทั้งในญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง...
ฮ่องกงเป็นจุดสุดท้ายในตารางดูงาน จากนั้นก็คิดจะแวะเมืองไทย เยี่ยมพ่อแม่และเพื่อนฝูงสักสัปดาห์หนึ่ง ในเวลาปีสองปีจะมีโอกาสมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง แต่บางปีก็ไม่ได้มาเมืองไทยเพราะการงานรัดตัว ต้องรีบไปรีบกลับ
ที่ฮ่องกง ดิฉันพักในโรงแรมหรูระดับห้าดาว ดิฉันเดินทางคนเดียวนะคะเที่ยวนี้น่ะ ก็เลยครองห้องอยู่คนเดียวสบายแฮ
ห้องในโรงแรมนี้สวยและสะดวกสบาย แม้จะมีคนกระซิบว่าผีดุ ดิฉันก็งั้นๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก
คืนนั้นกินมื้อค่ำที่โรงแรมตามลำพัง พอสองทุ่มกว่าๆ ก็ขึ้นมาบนห้อง เปิดหน้าต่างชมวิว ใจน่ะคิดถึงบ้านที่เมืองไทย...พรุ่งนี้ก็จะได้ไปพบพ่อแม่ น้องๆ และหลานๆ แล้ว
สี่ทุ่มกว่าๆ เริ่มง่วง ก็เลยปิดไฟเข้านอน โดยเปิดไฟห้องน้ำและแง้มประตูไว้นิดๆ ในห้องก็เลยสลัวๆ ดิฉันชอบเปิดม่านไว้เต็มที่ เพราะตอนเช้าเวลาลืมตามาก็จะได้เห็นท้องฟ้าที่มีแสงเงินแสงทอง...เหมือนอยู่สวรรค์เลยละ
ใกล้เคลิ้ม กำลังสบาย จะหลับอยู่รอมร่อก็มีอะไรบางอย่างหล่นตุ้บมาบนอก!
ความรู้สึกบอกว่ามันเป็นร่างคน หล่นจากเพดานมาบนเตียง ซีกหนึ่งของร่างกระทบตัวดิฉันอย่างจัง...แขนของเขาคนนั้นก็พาดมาปะทะหน้าอกพอดี
อะไรกันนี่?! ดิฉันลืมตาทันที...ขอย้ำว่าไม่ได้หลับ ไม่ใช่ผีอำ! แต่ตื่นเต็มที่ด้วยความตกใจและสับสนงุนงงจริงๆ
ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่ง...แปลกที่ไฟสลัวแต่ดิฉันเห็นเธอชัดเจนมาก เธอกำลังยันตัวขึ้นเหมือนคนที่เพิ่งหกล้มแล้วกำลังจะลุกน่ะค่ะ! แขนเธอยังอยู่บนอกดิฉันเลย เธอเอาแขนออก ยันที่นอน ใบหน้าห่างกันแค่คืบ...
แหม! ก็เธอหล่นมาบนที่นอนจนเกือบทับ...เอ๊ย! ทับดิฉันไปครึ่งตัวแล้วนี่นา มันกระชั้นชิดกันมากๆ
ใบหน้าเธอสวยน่ารัก เป็นสาวรุ่น ผมยาวตรง ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด เธอยักแย่ยักยันลุกจากเตียง ขณะมองหน้าดิฉันและหัวเราะเสียงใสเหมือนขำที่ตัวเองหล่นลงมา...ขำและยิ้มแบบขอโทษขอโพย เธอมีเนื้อหนังเป็นตัวเป็นตน มีน้ำหนักเหมือนคนธรรมดาๆ ตัวเล็กแบบบางและสวยมาก แต่ภายใน 2-3 วินาทีต่อมาเธอก็หายไปเหมือนละลายไปในอากาศ
ห้องทั้งห้องกลับสลัวรางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ดิฉันงุนงงแต่ไม่กลัว ทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นผี ดิฉันลุกขึ้นนั่งทำตาปริบๆ เธอจะมาอีกไหมนี่? เวลาผ่านไปอึดใจใหญ่ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ดิฉันเลยเข้านอนต่อ
นี่ล่ะค่ะ ผีตัวล่าสุดที่ดิฉันเจอเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง...แปลกดีไหมล่ะคะ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 3 ตุลาคม 2550
02 ตุลาคม 2558
คืนปล่อยผี
"นายอุ้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจราตรี
กลางวันเป็นเวลาของมนุษย์ กลางคืนน่ะไม่ใช่...โดยเฉพาะอย่างยิ่งเที่ยงคืนเป็นเวลาของแม่มด และสิ่งลึกลับน่าสะพรึงกลัว
ผมไม่ได้พูดเองนะครับ คุณยายน่ะพร่ำสอนผมอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเรียนจบม.6 เข้ามหาวิทยาลัย และเริ่มใช้ชีวิตกลางคืน...หมายถึงวันไหนที่ไม่ได้ไปเรียน ผมจะอยู่ตลอดคืน ทำรายงานบ้าง เล่นเกมบ้าง ส่วนใหญ่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
หนักๆ เข้าเพื่อนฝูงก็มาบ้านผม หรือไม่ผมก็ไปบ้านเพื่อน ส่วนมากเราจะอยู่กันตลอดคืน บางทียาวไปถึงเที่ยงวัน แล้วก็หมดแรงนอนสลบไสล กว่าจะฟื้นอีกทีก็ตอนค่ำๆ
แล้วกลางคืนก็กลายเป็นเวลาของเราไปด้วยประการฉะนี้แล!
เพื่อนรักของผมชื่อ "แดน" แต่...เอ้อ...ผมไม่ได้ชื่อ "บีม" นะครับ ผมให้พวกเพื่อนๆ เรียกผมว่า "เคน" นึกถึงคำพูด "เรียกฉันว่าอิชเมล" ในหนัง "โมบี้ดิ๊ก" ไงครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองภาพสะท้อนจากกระจกแล้ว ผมว่าผมหล่อเหลาเอาการไม่เบาอยู่เหมือนกัน หล่อเข้มกว่า แดน-บีม ตั้งเยอะแน่ะ! อย่าว่ากันนะครับที่พูดอย่างนี้...ผมน่ะสูงใหญ่ล่ำบึ้ก ดำ เอ๊ย...ผิวสีแทนเข้ม ผมพอง...เอ๊ย! หนาถึงจะหยิกขอดไปหน่อยก็ดีไปอย่างที่จัดทรงไม่ยาก
ตาผมก็โต เรื่องลูกกะตาผมนี่ บางคนพูดแบบไม่เกรงใจว่า "พอง" แต่เพื่อนฝูงมันปลอบว่า ไม่หรอก มันโตหวานซึ้งดีต่างหากล่ะ
พวกเพื่อนๆ รักผมนะครับ มีผมไปด้วย ที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครกล้ามาตอแย ขนาดคนบ้ายังหลบตาผมเลยครับ คนบ้าหน้าปากซอยน่ะใครๆ กลัวจะตาย แต่พี่แกเห็นผมทีไรก็ทำท่าว่าจะหายบ้า สติดีขึ้นมาทุกทีเลย... สงสัยจะถูกชะตากับผมนะ
ผมเป็นคนที่เพื่อนๆ พึ่งพิงได้ตลอด ใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาระบายให้ฟัง! พวกมันเชื่อผม เห็นผมเป็นพี่เบิ้ม
อาทิตย์ที่แล้วเหมือนกัน วันเสาร์น่ะครับ ผมว่าจะอยู่บ้านกับยายกับแม่แล้วเชียวนา แต่เจ้าแดนโทร.มาสะอึกสะอื้น...มันถูกแฟนทิ้งครับ แฟนมันสวยมาก รักกันมาเป็นปีแล้วล่ะ อยู่ดีๆ ก็ทิ้งไอ้แดนไปหาหนุ่มรถเก๋งซะงั้น ปั๊ดธ่อ! นั่งรถเมล์กับไอ้แดนสนุกๆ ไม่ชอบ!
แดนบอกว่าสาวก้อยจากไปคราวนี้คงไปลับ มันอกหักยับเยิน กรอกเหล้าเข้าปาก ตั้งแต่สายๆ โน่นแล้ว เพราะทะเลาะกับก้อยอย่างหนัก ขนาดตัดเป็นตัดตายกันไปเลย
เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน! แม้บ้านเพื่อนจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม...มันอยู่แถวบางแคเข้าซอยลึกชะมัด แต่ผมก็ต้องดั้นด้นไปปลอบใจมัน กลัวมันจะคิดสั้นน่ะครับ ผมว่าจะกลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม แต่มันเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง สลับกับกรอกเหล้าแบบนันสต๊อป!
เข็มนาฬิกาเดินไปถึงเลขสิบเอ็ด แม่ผมก็โทร.เข้ามือถือ
"เจ้าอุ้ม!" ชื่อของผมครับ "จะค้างหรือจะกลับ แม่จะล็อกประตูบ้าน"
ผมบอกว่ากลับ อย่าเพิ่งล็อก จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ! เฮ้อ...ยายต้องบ่นอีกแน่ๆ พวกผู้ใหญ่นี่ห่วงอะไรกันนักกันหนา ผมโตแล้วนะ อยู่ปีสองแล้ว ไม่ใช่เบบี๋ซักหน่อย
เอาล่ะ! ผมเช็ดแหวะให้เจ้าแดน มันหลับเค้เก้ไปแล้ว...จากนั้นผมก็ลาแม่เพื่อนเดินออกจากบ้าน...ซอยนี่ลึกเป็นบ้าเลย เปลี่ยวด้วย เพราะมีแต่บ้านคน รั้วสูงๆ ล้วนปิดเงียบเชียว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย เดินแบบนี้สบายดี มันมืด เงียบสงบ ดูมืดมิดไปทุกทิศทางแต่ผมกลับชอบ มันดีกว่าแดดร้อนแล้วกัน
เอ๊ะ! เสียงใครย่ำกรวดเดินตามผมมาเนี่ย?
เหลียวไปดูด้านหลังก็มีแต่ความมืด ไฟถนนส่องเป็นระยะๆ ซอยว่างเปล่า มองไปข้างหน้าก็เหมือนกัน ปากซอยอยู่ลิบๆ โน่น...เห็นถนนใหญ่ผ่าน มีรถวิ่งไปมา มีแสงไฟสีส้มๆ มันเล็กเหมือนอยู่ปลายอุโมงค์
ผมหวิวๆ แต่ยังไม่กลัวมากหรอกครับ พอเดินต่ออีกหน่อยเสียงฝีเท้าก็ตามมาอีกเหมือนใครคนนั้นอยู่ห่างผมไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใครซักคน
สองทีแล้วนะ! เอ๊ะ...มันยังไง? ผมขมวดคิ้ว เริ่มเย็นสันหลังวาบๆ แต่ก็หันกลับมาเดินต่อ...ลูกแมวดำโจนแผล็วจากป่าหญ้าที่ดินร้างข้างทาง มันตัดหน้าไปแวบหนึ่ง...เล่นเอาใจหายวาบ
ทันใดนั้น มีมือใหญ่ๆ ตบลงบนบ่าผม...ตบแรงจนบ่าทรุดน่ะครับ!
ผมหันขวับ ร้องเฮ้ย...แต่เจ้าประคุณ! ไม่มีใครเลยจริงๆ มือที่มองไม่เห็นยังจับบ่าแน่น ผมหมุนตัวกลับ ไม่กล้าวิ่งกลัวสติเตลิด ขนลุกซ่า ตัวชาวาบ อยากร้องไห้เต็มทน! แต่ก็แข็งใจเดิน...เดินและเดิน เวลาผ่านไปราวกับร้อยปีกว่าจะถึงหน้าซอย
แท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา ผมโบกมือเรียกจนได้ขึ้นรถ คนขับแก่มาก...แก่จนไม่น่ามาขับแท็กซี่กลางดึกแบบนี้ แกเปิดวิทยุเพลงไทย! เพลงก็เก่าเหลือเกิน สมัยสงครามโลกเพิ่งสงบได้มั้ง...เอามาจากไหนเนี่ย?
ผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แท็กซี่นี่ผีหรือคนกันแน่วุ้ย? ตั้งแต่โดนผีจับบ่าที่กลางซอย ผมหวาดระแวงไปหมด...โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วครับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ...
แม่กับยายเห็นหน้าผมขาวผิดปกติก็เลยถาม ผมเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา คุณยายหัวร่อชอบใจ บอกว่าต้องทำบุญให้ผีที่มาหลอกผม เขาน่ะมาช่วยให้ผมรู้จักกลัว จะได้ไม่กล้าไปไหนดึกๆ ดื่นๆ โดยเฉพาะซอยเปลี่ยวอย่างนั้น เมื่อกลัวจะไม่ไปอีกเพราะเข็ดอย่างแรง ผมก็ปลอดภัยไงครับ...เจอผีดีกว่าเจอโจร
ยายบอกว่า...เคยสอนแล้วไงว่ากลางคืนน่ะไม่ใช่เวลาของมนุษย์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม 2550
กลางวันเป็นเวลาของมนุษย์ กลางคืนน่ะไม่ใช่...โดยเฉพาะอย่างยิ่งเที่ยงคืนเป็นเวลาของแม่มด และสิ่งลึกลับน่าสะพรึงกลัว
ผมไม่ได้พูดเองนะครับ คุณยายน่ะพร่ำสอนผมอย่างนี้มาตั้งแต่ผมเรียนจบม.6 เข้ามหาวิทยาลัย และเริ่มใช้ชีวิตกลางคืน...หมายถึงวันไหนที่ไม่ได้ไปเรียน ผมจะอยู่ตลอดคืน ทำรายงานบ้าง เล่นเกมบ้าง ส่วนใหญ่ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
หนักๆ เข้าเพื่อนฝูงก็มาบ้านผม หรือไม่ผมก็ไปบ้านเพื่อน ส่วนมากเราจะอยู่กันตลอดคืน บางทียาวไปถึงเที่ยงวัน แล้วก็หมดแรงนอนสลบไสล กว่าจะฟื้นอีกทีก็ตอนค่ำๆ
แล้วกลางคืนก็กลายเป็นเวลาของเราไปด้วยประการฉะนี้แล!
เพื่อนรักของผมชื่อ "แดน" แต่...เอ้อ...ผมไม่ได้ชื่อ "บีม" นะครับ ผมให้พวกเพื่อนๆ เรียกผมว่า "เคน" นึกถึงคำพูด "เรียกฉันว่าอิชเมล" ในหนัง "โมบี้ดิ๊ก" ไงครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมองภาพสะท้อนจากกระจกแล้ว ผมว่าผมหล่อเหลาเอาการไม่เบาอยู่เหมือนกัน หล่อเข้มกว่า แดน-บีม ตั้งเยอะแน่ะ! อย่าว่ากันนะครับที่พูดอย่างนี้...ผมน่ะสูงใหญ่ล่ำบึ้ก ดำ เอ๊ย...ผิวสีแทนเข้ม ผมพอง...เอ๊ย! หนาถึงจะหยิกขอดไปหน่อยก็ดีไปอย่างที่จัดทรงไม่ยาก
ตาผมก็โต เรื่องลูกกะตาผมนี่ บางคนพูดแบบไม่เกรงใจว่า "พอง" แต่เพื่อนฝูงมันปลอบว่า ไม่หรอก มันโตหวานซึ้งดีต่างหากล่ะ
พวกเพื่อนๆ รักผมนะครับ มีผมไปด้วย ที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครกล้ามาตอแย ขนาดคนบ้ายังหลบตาผมเลยครับ คนบ้าหน้าปากซอยน่ะใครๆ กลัวจะตาย แต่พี่แกเห็นผมทีไรก็ทำท่าว่าจะหายบ้า สติดีขึ้นมาทุกทีเลย... สงสัยจะถูกชะตากับผมนะ
ผมเป็นคนที่เพื่อนๆ พึ่งพิงได้ตลอด ใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาระบายให้ฟัง! พวกมันเชื่อผม เห็นผมเป็นพี่เบิ้ม
อาทิตย์ที่แล้วเหมือนกัน วันเสาร์น่ะครับ ผมว่าจะอยู่บ้านกับยายกับแม่แล้วเชียวนา แต่เจ้าแดนโทร.มาสะอึกสะอื้น...มันถูกแฟนทิ้งครับ แฟนมันสวยมาก รักกันมาเป็นปีแล้วล่ะ อยู่ดีๆ ก็ทิ้งไอ้แดนไปหาหนุ่มรถเก๋งซะงั้น ปั๊ดธ่อ! นั่งรถเมล์กับไอ้แดนสนุกๆ ไม่ชอบ!
แดนบอกว่าสาวก้อยจากไปคราวนี้คงไปลับ มันอกหักยับเยิน กรอกเหล้าเข้าปาก ตั้งแต่สายๆ โน่นแล้ว เพราะทะเลาะกับก้อยอย่างหนัก ขนาดตัดเป็นตัดตายกันไปเลย
เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อน! แม้บ้านเพื่อนจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม...มันอยู่แถวบางแคเข้าซอยลึกชะมัด แต่ผมก็ต้องดั้นด้นไปปลอบใจมัน กลัวมันจะคิดสั้นน่ะครับ ผมว่าจะกลับตั้งแต่ 4 ทุ่ม แต่มันเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง สลับกับกรอกเหล้าแบบนันสต๊อป!
เข็มนาฬิกาเดินไปถึงเลขสิบเอ็ด แม่ผมก็โทร.เข้ามือถือ
"เจ้าอุ้ม!" ชื่อของผมครับ "จะค้างหรือจะกลับ แม่จะล็อกประตูบ้าน"
ผมบอกว่ากลับ อย่าเพิ่งล็อก จะกลับเดี๋ยวนี้แหละ! เฮ้อ...ยายต้องบ่นอีกแน่ๆ พวกผู้ใหญ่นี่ห่วงอะไรกันนักกันหนา ผมโตแล้วนะ อยู่ปีสองแล้ว ไม่ใช่เบบี๋ซักหน่อย
เอาล่ะ! ผมเช็ดแหวะให้เจ้าแดน มันหลับเค้เก้ไปแล้ว...จากนั้นผมก็ลาแม่เพื่อนเดินออกจากบ้าน...ซอยนี่ลึกเป็นบ้าเลย เปลี่ยวด้วย เพราะมีแต่บ้านคน รั้วสูงๆ ล้วนปิดเงียบเชียว แต่ไม่เป็นไร ผมไม่เคยกลัวอะไรเลย เดินแบบนี้สบายดี มันมืด เงียบสงบ ดูมืดมิดไปทุกทิศทางแต่ผมกลับชอบ มันดีกว่าแดดร้อนแล้วกัน
เอ๊ะ! เสียงใครย่ำกรวดเดินตามผมมาเนี่ย?
เหลียวไปดูด้านหลังก็มีแต่ความมืด ไฟถนนส่องเป็นระยะๆ ซอยว่างเปล่า มองไปข้างหน้าก็เหมือนกัน ปากซอยอยู่ลิบๆ โน่น...เห็นถนนใหญ่ผ่าน มีรถวิ่งไปมา มีแสงไฟสีส้มๆ มันเล็กเหมือนอยู่ปลายอุโมงค์
ผมหวิวๆ แต่ยังไม่กลัวมากหรอกครับ พอเดินต่ออีกหน่อยเสียงฝีเท้าก็ตามมาอีกเหมือนใครคนนั้นอยู่ห่างผมไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่พอหันไปมองก็ไม่เจอใครซักคน
สองทีแล้วนะ! เอ๊ะ...มันยังไง? ผมขมวดคิ้ว เริ่มเย็นสันหลังวาบๆ แต่ก็หันกลับมาเดินต่อ...ลูกแมวดำโจนแผล็วจากป่าหญ้าที่ดินร้างข้างทาง มันตัดหน้าไปแวบหนึ่ง...เล่นเอาใจหายวาบ
ทันใดนั้น มีมือใหญ่ๆ ตบลงบนบ่าผม...ตบแรงจนบ่าทรุดน่ะครับ!
ผมหันขวับ ร้องเฮ้ย...แต่เจ้าประคุณ! ไม่มีใครเลยจริงๆ มือที่มองไม่เห็นยังจับบ่าแน่น ผมหมุนตัวกลับ ไม่กล้าวิ่งกลัวสติเตลิด ขนลุกซ่า ตัวชาวาบ อยากร้องไห้เต็มทน! แต่ก็แข็งใจเดิน...เดินและเดิน เวลาผ่านไปราวกับร้อยปีกว่าจะถึงหน้าซอย
แท็กซี่คันหนึ่งผ่านมา ผมโบกมือเรียกจนได้ขึ้นรถ คนขับแก่มาก...แก่จนไม่น่ามาขับแท็กซี่กลางดึกแบบนี้ แกเปิดวิทยุเพลงไทย! เพลงก็เก่าเหลือเกิน สมัยสงครามโลกเพิ่งสงบได้มั้ง...เอามาจากไหนเนี่ย?
ผมหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แท็กซี่นี่ผีหรือคนกันแน่วุ้ย? ตั้งแต่โดนผีจับบ่าที่กลางซอย ผมหวาดระแวงไปหมด...โอ๊ย! ไม่ไหวแล้วครับ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ...
แม่กับยายเห็นหน้าผมขาวผิดปกติก็เลยถาม ผมเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมา คุณยายหัวร่อชอบใจ บอกว่าต้องทำบุญให้ผีที่มาหลอกผม เขาน่ะมาช่วยให้ผมรู้จักกลัว จะได้ไม่กล้าไปไหนดึกๆ ดื่นๆ โดยเฉพาะซอยเปลี่ยวอย่างนั้น เมื่อกลัวจะไม่ไปอีกเพราะเข็ดอย่างแรง ผมก็ปลอดภัยไงครับ...เจอผีดีกว่าเจอโจร
ยายบอกว่า...เคยสอนแล้วไงว่ากลางคืนน่ะไม่ใช่เวลาของมนุษย์!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม 2550
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)