"อำนวยพร" เล่าประสบการณ์ของคนเกลียดกลัวงานศพ
หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินคำพูดนี้มาบ้าง นั่นคือ ไม่ไปงานศพเพราะกลัว "ดวงชงกัน" หมายถึงดวงของผู้พูดกับผู้ตายไม่ต้องโฉลกกันนั่นเอง!
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ความเชื่อถือในโชคลางสังหรณ์น่าจะหมดยุคหมดสมัยไปแล้ว แต่สำหรับผมขอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนงมงาย หรือไร้เหตุผลแบบคนขวัญอ่อนแน่ๆ เพราะเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง
เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน ผมไปงานศพบิดาของผู้บังคับบัญชาที่วัดใหญ่โตแถวดอนเมือง คืนนั้นสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย เจ้าภาพเก็บศพไว้ร้อยวันจึงจะทำพิธีฌาปนกิจ...มีการเคลื่อนศพไปเก็บไว้ในฮวงซุ้ยด้านหลัง ผมกับเพื่อนๆ ก็เดินตามกลุ่มญาติๆ เขาไปด้วย
คืนนั้นฝนตกพรำเป็นละอองบางๆ แสงไฟส่องสลัว ลมพัดลู่มาตามสุมทุมพุ่มไม้ ทำให้เยือกเย็นใจบอกไม่ถูก เสียงหมาหอนดังมาจากที่ไกลๆ ขบวนศพไปหยุดอยู่ที่ฮวงซุ้ยขาวโพลนใต้ร่มไม้ใกล้ๆ สระน้ำ
สัปเหร่อจัดการบรรจุโลงศพเข้าไป พวกลูกๆ หลานๆ ก็ควักเงินทองมาหย่อนใส่โลงคนละนิดละหน่อย บางคนก็บอกว่า...เอาไว้ซื้อที่ซื้อทางเขานะ พ่อ!
มีเสียงสะอื้นคร่ำครวญอาลัยผู้ตาย แล้วญาติมิตรก็ทยอยกันกลับ...
วันรุ่งขึ้น ลูกชายวัยสิบขวบของผมเป็นไข้เลือดออก วันต่อมาภรรยาไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้อาการไม่หนักแต่ก็ต้องเข้านอนโรงพยาบาลเดียวกับลูกอยู่หลายวัน...มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งทักว่าเป็นเพราะไปงานศพที่ "ดวงชงกัน" พอดี
บอกตามตรงว่าผมยังไม่อยากเชื่อถือนัก ไปงานศพญาติมิตรอีก 2-3 ครั้งก็ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งปีต่อมามีคนข้างบ้านเสียชีวิตเพราะโรคชรา ผมก็ไปฟังสวดในคืนแรกช่วยเงินเขาตามธรรมเนียม พร้อมกับขอตัวว่าคงไม่ได้ไปในวันเผาเพราะติดธุระที่ต่างจังหวัด
ผมไปกลับเรียบร้อยดี แต่ระหว่างที่ไม่อยู่บ้านก็โดนขโมยย่องเข้ากวาดทรัพย์สินไปได้มากพอดู...คราวนี้ผมเริ่มเชื่อแล้วว่า "ดวงชงกัน" มีจริง
ไม่มีใครรู้แน่ว่าดวงของเรากับของผู้ตายจะ "ชงกัน" หรือไม่?
อาจจะไม่เป็นอะไรเลย กับทำให้เคราะห์หามยามร้ายได้ง่ายๆ แล้วเราจะไปเสี่ยงเรื่องนี้ทำไมกัน? วิธีดีที่สุดคืองดเว้นการไปงานศพโดยสิ้นเชิง!
ความเชื่อดังกล่าวทำให้ผมหาทางหลบเลี่ยงงานศพมาได้หลายปี ใช้วิธีสั่งพวงหรีดให้บ้าง ส่งซองช่วยงานตั้งแต่รู้ข่าวบ้าง...จนในที่สุดก็กลายเป็นความหวาดระแวงลึกๆ และความ เคยชินที่จะไม่ยอมย่างกรายไปงานศพใดๆ อย่างเด็ดขาด
อาจจะเป็นเพราะความรังเกียจงานศพฝังจิตฝังใจ จนกลายเป็นจิตใต้สำนึกก็เป็นได้ ทำให้ผมฝันสยอง...ฝันว่าไปงาน ศพอย่างจำเป็นจำใจ!
ยามเย็นที่ฟ้าฉ่ำฝน ผมเดินผ่านวัดนั้นด้วยสาเหตุใดก็สุดรู้...จู่ๆ ก็มีสตรีวัยกลางคนปราดเข้ามายกมือไหว้ "คุณศรี" เพื่อนสนิทของภรรยาผมนั่นเอง เธอผ่านการร้องไห้มาจนนัยน์ตาบวมแดง บอกกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า...สวย-ลูกสาวคนเดียวของเธอตายเสียแล้วเพราะไข้ป่าที่ติดมาจากการไปเที่ยวต่างจังหวัด
จำได้ว่าผมขอตัวอย่างสุภาพ ไม่ได้เตรียมตัวมางานศพ โดยเฉพาะเสื้อผ้า...แต่คุณศรีผงะหน้า มองดูผม...ให้ตายเถอะ! ผมนุ่งกางเกงขายาวสีทึบ สวมเสื้อเชิ้ตขาวแถมผูกไทดำ!
"จำไม่ได้หรือคะว่าตอนที่ลูกเมียคุณไปนอนโรงพยาบาลตอนนั้นน่ะ ใครที่ไปเยี่ยมทุกวัน?" เธอเน้นเสียงอย่างมีอารมณ์ "นี่ขอแค่ไปฟังสวดศพลูกสาวฉันเท่านั้น"
ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย...และนั่นทำให้ผมต้องมานั่งพนมมือ ปากคอแห้งผากอยู่หน้าโลงศพ กลิ่นดอกไม้กับกลิ่นธูปเทียนโชยกรุ่น น่าขนลุกขนพองเสียนี่กระไร...พระสวดจบแรกแล้ว ผมหันไปหาคุณศรีเพื่อจะขอตัว...แต่ไม่ทราบว่าหายไปไหน
อ้าว? เธอกำลังยืนอยู่ข้างโลงศพลูกสาวนั่นเอง แถมเอื้อมมือเคาะโลงอีกต่างหาก
"ลูกไปขอบคุณอาพรหน่อยซีลูก คุณอาอุตส่าห์มางานศพสวยเห็นมั้ย?"
ผมผงะหน้า โลกทั้งโลกกำลังแตกสลายลงเมื่อฝาโลงเลื่อนครืดคราด...แล้วใบหน้าขาวซีดของเด็กสาวก็โผล่ขึ้นมา...หันมาหาผมช้าๆ พลางแสยะยิ้ม ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่รอบๆ ตัว
"โอ๊ย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่น ลุกพรวดพราดขึ้นมาหอบหายใจฮักๆ ใจเต้นโครมครามแทบจะพังทลายออกมานอกอก ภรรยาผมพลอยตื่นขึ้นมาดูด้วยความห่วงใย...ผมบอกแต่ว่าไม่มีอะไรหรอก แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง...
คุณศรีกับลูกสาวสบายดี ความฝันของผมไม่ได้เป็นลางบอกเหตุอะไรเลย
สาบานว่าต่อไปนี้ผมจะไปงานศพทุกงานที่มีผู้เชิญมา ผมจะเอาชนะความกลัวงานศพให้ได้...ความจริงคงจะไม่ร้ายกาจเท่ากับฝันสยองแน่ๆ นึกถึงแล้วขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2551
30 พฤศจิกายน 2559
29 พฤศจิกายน 2559
ผีกล่อมลูก
"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมน้ำป่าสัก
เรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าใครก็ทราบดีนะคะ ว่าแสนจะน่าเกลียดน่ากลัว น่าขนหัวลุกจนแทบสติแตกไปตามๆ กัน บางคนถูกผีหลอกจนช็อกคาที่ หัวใจล่มสลายไปเลยก็มีค่ะ
แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องหวาดเสียวอย่างเดียวเสมอไป เรื่องเศร้าแสนสะเทือนใจก็มีเหมือนกัน เช่น เรื่องแม่นากพระโขนงไงคะ!
ว่าก็ว่าเถอะค่ะ ในความเศร้าระคนกับความเสียวสยองนี่ ไม่ค่อยถูกโรคกับดิฉันเท่าไหร่ ถ้าโศกเศร้าอย่างเดียวยังพอว่า แต่ถ้ามีความหวาดเสียวเข้ามาผสมโรง โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ หรือผู้ไม่มีร่างกายด้วยแล้ว..ไม่ขอเจอะขอเจอจริงๆ เจ้าประคุณ
ดิฉันเคยประสบกับเรื่องเศร้าผสมขนหัวลุกเข้าอย่างเต็มเปาเชียวล่ะค่ะ
สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่หนองบัว จังหวัดสระบุรี ขนาบด้วยทางรถไฟสายอีสานกับแม่น้ำป่าสัก เลยจากวัดเพรียวขึ้นไปพอสมควร หมู่บ้านเราอยู่บนตลิ่งริมแม่น้ำ อาชีพส่วนใหญ่ก็รับจ้าง กับเก็บผักหักฟืน ทอดแหหาปลาพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ
พ่อดิฉันได้ชื่อว่าเป็นประมงน้ำจืดมือดีประจำหมู่บ้าน!
เมื่อถึงหน้าน้ำหลาก ป่าสักจะขุ่นคลั่ก ไหลเชี่ยวน่ากลัว พัดพาฝูงปลาน้อยใหญ่จากทางเหนือมาให้พวกเราจับกินจับขายกันไม่หวาดไม่ไหว แถวบ้านดิฉันจับปลาได้มากๆ ก็จัดการคลุกเกลือคลุกรำ ทำเป็นปลาร้าไว้กินได้ตลอดปี
พอถึงหน้าแล้งน้ำน้อยลง ใสจนเขียว ไหลเอื่อยอ่อนเหมือนหยุดนิ่งเป็นน้ำในสระ ตลิ่งสูง หาดกว้าง เพิ่มที่ในการปลูกผักสวนครัว ตั้งแต่ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง พริกขี้หนู ตะไคร้ จนถึงแตงกวาแตงร้าน ใครขยันก็ทำค้างให้ถั่วพู บวบและน้ำเต้า ฟักเขียวก็มีค่ะ ตอนเย็นลงไปอาบน้ำที่ตีนท่าก็ถือโอกาสเก็บผัก รดน้ำ ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้อีกด้วย
เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อดิฉันติดเรือหาปลาไปกับพ่อตอนบ่ายๆ ขึ้นเหนือไปเรื่อยเพราะแถวนั้นเปล่าเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คน พอเห็นทำเลเหมาะพ่อก็วาดหัวเรือเข้าไปในพงอ้อกอหญ้ารกทึบ บางแห่งก็เป็นแอ่งกรวดทรายแคบๆ พอที่จะเกยหัวเรือไว้ได้
พ่อควักกระป๋องออกมามวนยาสูบ ส่วนดิฉันตอนนั้นอายุราวสิบขวบก็ขึ้นไปเดินเล่น ชมนกชมไม้เพลิดเพลิน แกว่งไกวตะกร้าใบเล็กๆ ในมือไปด้วย โดยที่พ่อกำชับไว้ว่าอย่าไปเล่นไกล เดี๋ยวจะหาทางกลับเรือไม่ถูก
ด้านในมีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ กิ่งใบเบียดเสียดกันเหมือนจะกลายเป็นร่มยักษ์ที่มีด้ามหลายอัน จนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ทำให้พื้นดินแถวนั้นร่มครึ้ม เปียกชุ่ม ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกันส่งกลิ่นอับชื้น บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เสียงลมพัดโชยวู่หวิว บางครั้งก็ซู่ซ่าอยู่เหนือหัวเหมือนเสียงใครกระซิบกระซาบความลับต่อกัน หรือไม่ก็เป็นเสียงหัวเราะครืนๆ ราวกับสนุกสนานเสียเต็มประดา
นกการ่อนร้องอยู่ตามกิ่งก้านหนาทึบ พวกมันอาจจะทำรังอยู่ที่นั่นก็เป็นได้นะคะ..
ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ดิฉันเดินเข้าไปในความร่มครึ้มใต้ร่มยักษ์ที่ว่า เห็นมีมะม่วงป่าหล่นกลาดเกลื่อน ดูคล้ายมะม่วงกะล่อนก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาหลายลูก ว่าจะเอาไปฝากแม่กับน้อง อยากรู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า?
ทันใดนั้น เสียงเพลงกล่อมลูกก็ดังแว่วมากระทบหู..
กำลังสอดส่ายสายตามองหามะม่วงต่อไปอยู่ดีๆ เล่นเอาชะงักกึก..เอ๊ะ! ใครมาร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ที่นี่? แถวนี้มีบ้านคนด้วยเหรอ?
ยืดตัวขึ้นมามองหาไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย หันไปทางแม่น้ำก็เห็นแสงแดดเหลืองอ่อนทาบอยู่ตามกอไม้..เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะ ทั้งอ่อนโยนและเยือกเย็น แต่ก็ทำให้ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ดวงอาทิตย์คล้อยลงที่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้ว..กลับดีกว่า! ดิฉันบอกตัวเอง แล้วหิ้วตะกร้าเดินออกจากพื้นดินเปียกชุ่มมาสู่พื้นหญ้า แวดล้อมด้วยป่าละเมาะ..ขณะนั้นเองดิฉันก็มองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา!
ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งนั่งพิงโคนไม้ ในอ้อมแขนเธอคือทารกตัวแดงๆ นอนนิ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ขยับแขนเบาๆ ไปมาพลางกล่อมเห่ลูกน้อยด้วยเสียงเยือกเย็นจับใจตามเดิม
โธ่! อยู่ที่นี่เอง..ดิฉันถอนใจออกมาได้อย่างโล่งอก ขณะนั้นเองเธอก็ค่อยๆ เบือนหน้ามามองอย่างเชื่องช้า..
ใบหน้าเรียวยาว ขาวซีด เผยอยิ้มนิดๆ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในร่มเงาอันสลัวรางก็เป็นได้ ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกๆ เดี๋ยวก็ชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนรางไป..ดิฉันยิ้มให้เธอแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อที่ชายน้ำทันที
ระหว่างทางกลับบ้าน ดิฉันเล่าเรื่องให้พ่อฟัง แต่พ่อกลับหัวเราะหึๆ บอกว่า..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย แม่เอื้อยเขาออกลูกตายที่นั่น! พ่อฟังเขากล่อมลูกมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที..ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ แต่ไม่ยอมลงเรือไปกับพ่อตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 เมษายน 2551
เรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าใครก็ทราบดีนะคะ ว่าแสนจะน่าเกลียดน่ากลัว น่าขนหัวลุกจนแทบสติแตกไปตามๆ กัน บางคนถูกผีหลอกจนช็อกคาที่ หัวใจล่มสลายไปเลยก็มีค่ะ
แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องหวาดเสียวอย่างเดียวเสมอไป เรื่องเศร้าแสนสะเทือนใจก็มีเหมือนกัน เช่น เรื่องแม่นากพระโขนงไงคะ!
ว่าก็ว่าเถอะค่ะ ในความเศร้าระคนกับความเสียวสยองนี่ ไม่ค่อยถูกโรคกับดิฉันเท่าไหร่ ถ้าโศกเศร้าอย่างเดียวยังพอว่า แต่ถ้ามีความหวาดเสียวเข้ามาผสมโรง โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ หรือผู้ไม่มีร่างกายด้วยแล้ว..ไม่ขอเจอะขอเจอจริงๆ เจ้าประคุณ
ดิฉันเคยประสบกับเรื่องเศร้าผสมขนหัวลุกเข้าอย่างเต็มเปาเชียวล่ะค่ะ
สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่หนองบัว จังหวัดสระบุรี ขนาบด้วยทางรถไฟสายอีสานกับแม่น้ำป่าสัก เลยจากวัดเพรียวขึ้นไปพอสมควร หมู่บ้านเราอยู่บนตลิ่งริมแม่น้ำ อาชีพส่วนใหญ่ก็รับจ้าง กับเก็บผักหักฟืน ทอดแหหาปลาพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ
พ่อดิฉันได้ชื่อว่าเป็นประมงน้ำจืดมือดีประจำหมู่บ้าน!
เมื่อถึงหน้าน้ำหลาก ป่าสักจะขุ่นคลั่ก ไหลเชี่ยวน่ากลัว พัดพาฝูงปลาน้อยใหญ่จากทางเหนือมาให้พวกเราจับกินจับขายกันไม่หวาดไม่ไหว แถวบ้านดิฉันจับปลาได้มากๆ ก็จัดการคลุกเกลือคลุกรำ ทำเป็นปลาร้าไว้กินได้ตลอดปี
พอถึงหน้าแล้งน้ำน้อยลง ใสจนเขียว ไหลเอื่อยอ่อนเหมือนหยุดนิ่งเป็นน้ำในสระ ตลิ่งสูง หาดกว้าง เพิ่มที่ในการปลูกผักสวนครัว ตั้งแต่ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง พริกขี้หนู ตะไคร้ จนถึงแตงกวาแตงร้าน ใครขยันก็ทำค้างให้ถั่วพู บวบและน้ำเต้า ฟักเขียวก็มีค่ะ ตอนเย็นลงไปอาบน้ำที่ตีนท่าก็ถือโอกาสเก็บผัก รดน้ำ ตักน้ำขึ้นมากินมาใช้อีกด้วย
เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อดิฉันติดเรือหาปลาไปกับพ่อตอนบ่ายๆ ขึ้นเหนือไปเรื่อยเพราะแถวนั้นเปล่าเปลี่ยว ไม่มีบ้านผู้คน พอเห็นทำเลเหมาะพ่อก็วาดหัวเรือเข้าไปในพงอ้อกอหญ้ารกทึบ บางแห่งก็เป็นแอ่งกรวดทรายแคบๆ พอที่จะเกยหัวเรือไว้ได้
พ่อควักกระป๋องออกมามวนยาสูบ ส่วนดิฉันตอนนั้นอายุราวสิบขวบก็ขึ้นไปเดินเล่น ชมนกชมไม้เพลิดเพลิน แกว่งไกวตะกร้าใบเล็กๆ ในมือไปด้วย โดยที่พ่อกำชับไว้ว่าอย่าไปเล่นไกล เดี๋ยวจะหาทางกลับเรือไม่ถูก
ด้านในมีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ กิ่งใบเบียดเสียดกันเหมือนจะกลายเป็นร่มยักษ์ที่มีด้ามหลายอัน จนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง ทำให้พื้นดินแถวนั้นร่มครึ้ม เปียกชุ่ม ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกันส่งกลิ่นอับชื้น บรรยากาศเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เสียงลมพัดโชยวู่หวิว บางครั้งก็ซู่ซ่าอยู่เหนือหัวเหมือนเสียงใครกระซิบกระซาบความลับต่อกัน หรือไม่ก็เป็นเสียงหัวเราะครืนๆ ราวกับสนุกสนานเสียเต็มประดา
นกการ่อนร้องอยู่ตามกิ่งก้านหนาทึบ พวกมันอาจจะทำรังอยู่ที่นั่นก็เป็นได้นะคะ..
ตอนบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง ดิฉันเดินเข้าไปในความร่มครึ้มใต้ร่มยักษ์ที่ว่า เห็นมีมะม่วงป่าหล่นกลาดเกลื่อน ดูคล้ายมะม่วงกะล่อนก็เลยเก็บใส่ตะกร้ามาหลายลูก ว่าจะเอาไปฝากแม่กับน้อง อยากรู้ว่าจะกินได้หรือเปล่า?
ทันใดนั้น เสียงเพลงกล่อมลูกก็ดังแว่วมากระทบหู..
กำลังสอดส่ายสายตามองหามะม่วงต่อไปอยู่ดีๆ เล่นเอาชะงักกึก..เอ๊ะ! ใครมาร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ที่นี่? แถวนี้มีบ้านคนด้วยเหรอ?
ยืดตัวขึ้นมามองหาไปรอบๆ ตัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลย หันไปทางแม่น้ำก็เห็นแสงแดดเหลืองอ่อนทาบอยู่ตามกอไม้..เสียงเพลงกล่อมลูกที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้น่ะ ทั้งอ่อนโยนและเยือกเย็น แต่ก็ทำให้ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ดวงอาทิตย์คล้อยลงที่ทิวไม้ฝั่งโน้นแล้ว..กลับดีกว่า! ดิฉันบอกตัวเอง แล้วหิ้วตะกร้าเดินออกจากพื้นดินเปียกชุ่มมาสู่พื้นหญ้า แวดล้อมด้วยป่าละเมาะ..ขณะนั้นเองดิฉันก็มองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา!
ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งนั่งพิงโคนไม้ ในอ้อมแขนเธอคือทารกตัวแดงๆ นอนนิ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่ขยับแขนเบาๆ ไปมาพลางกล่อมเห่ลูกน้อยด้วยเสียงเยือกเย็นจับใจตามเดิม
โธ่! อยู่ที่นี่เอง..ดิฉันถอนใจออกมาได้อย่างโล่งอก ขณะนั้นเองเธอก็ค่อยๆ เบือนหน้ามามองอย่างเชื่องช้า..
ใบหน้าเรียวยาว ขาวซีด เผยอยิ้มนิดๆ อาจจะเป็นเพราะอยู่ในร่มเงาอันสลัวรางก็เป็นได้ ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกๆ เดี๋ยวก็ชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนรางไป..ดิฉันยิ้มให้เธอแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อที่ชายน้ำทันที
ระหว่างทางกลับบ้าน ดิฉันเล่าเรื่องให้พ่อฟัง แต่พ่อกลับหัวเราะหึๆ บอกว่า..อย่าไปยุ่งกับเขาเลย แม่เอื้อยเขาออกลูกตายที่นั่น! พ่อฟังเขากล่อมลูกมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที..ดิฉันไม่กลัวหรอกค่ะ แต่ไม่ยอมลงเรือไปกับพ่อตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 เมษายน 2551
28 พฤศจิกายน 2559
คืนอุบาทว์
"ลุงเชื่อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถนนตก
ความเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มักจะแตกต่างกันไป เช่น เชื่อกันว่าผีมักจะชอบหลอกคนกลัวผี โดยเฉพาะเด็กๆ กับผู้หญิงจะโดนผีหลอกมากที่สุด ส่วนผู้ชายหรือคนสูงอายุมักจะไม่ถูกผีหลอก สาเหตุเพราะคนพวกนี้ไม่กลัวผี
แต่บางคนก็ยืนยันว่าคนจิตอ่อน เช่น เด็กกับคนแก่ รวมทั้งคนเจ็บไข้ ทำให้จิตใจอ่อนแอ เปิดช่องให้ภูตผีปีศาจปรากฏตัวหลอกหลอนได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่เชื่อมั่นกันอีกอย่างก็คือ คนที่ถึงแก่ความตายกะทันหัน วิญญาณเตลิดออกจากร่างเหมือนคนที่กระโจนหนีไฟไหม้บ้านด้วยอารามตกใจ แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว อาศัยพลังของความอยากมีชีวิต อยากอยู่ อยากเป็น...ปรากฏร่างให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะชัดเจนหรือเลือนรางก็จำได้ว่าเป็นร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคน แต่บัดนี้ได้ล้มหายตายจากไปแล้วนั่นเอง
ผมเคยประสบกับวิญญาณชนิดเช่นนี้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วครับ
สมัยวัยรุ่นผมอยู่ตรอกหมอ ถนนตก เป็นตรอกคดเคี้ยวและยืดยาว มีบ้านเล็กเรือนน้อยอยู่คับคั่งทั้งสองฟาก บ้านผมอยู่ลึกเข้าไปเกือบก้นซอย รู้จักมักคุ้นกับผู้คนในย่านนั้นเพราะเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้
วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยอง เมื่อลุงผัน-คนขับรถเมล์สายท่าเตียน-ถนนตก เลิกงานมาซื้อของกินที่หน้าโรงหนังช้างเผือก รีบร้อนเดินข้ามถนนจะเข้าตรอกบ้าน โดนรถกระบะเฉี่ยวชนจนกระเด็นไปหัวฟาดขอบฟุตปาธ กะโหลกแตกตายคาที่ รถมรณะคันนั้นก็ขับหนีไป
ลุงผันอายุเกือบ 50 ปี ร่างเล็ก ผิวดำ ผมขาว เมียตายไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น เมื่อปีกลายลุงผันได้เมียใหม่ชื่อดาหวัน เป็นแม่ค้าผลไม้อยู่ที่ยานนาวา อายุ 30 เศษ เป็นม่ายผัวตายมา 2 คนแล้ว...
เขาลือกันว่าน้าดาหวันเป็นคนกินผัว! ทำท่าว่าจะเป็นจริงเป็นจัง เพราะมาอยู่กินกับลุงผันได้ราว 3-4 เดือนก็ต้องกลายเป็นม่ายผัวตายถึง 3 คน!
น้าดาหวันเป็นคนผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ อวบอัดไปทั้งตัว พวกหนุ่มๆ ชอบมองเวลาแกเดินบิดสะโพกในโสร่งดอกหนา สวมเสื้อสีสวยๆ เข้ารูปจนอกพุ่งเป็นพะเนิน...ใครจะจ้องมองยังไงแกก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอคล้อยหลังพวกหนุ่มๆ ก็จะพูดถึงกันอย่างคะนองปาก
ไอ้แก่นเพื่อนผมที่อยู่กลางซอย เลยบ้านลุงผันไปหน่อย มันเล่าว่าลุงผันแกลุ่มหลงเมียสาวจนโงหัวไม่ขึ้น...อาจจะเข่าอ่อนตอนข้ามถนนเลยโดนรถชนก็เป็นได้
ตอนที่ลุงผันตายใหม่ๆ น้าดาหวันร้องห่มร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตาย เพื่อนบ้านต้องปลอบโยนกันยกใหญ่...นึกๆ ก็น่าเห็นใจที่แกต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้ใต้ถุนสูงไม่มีรั้ว...ขณะที่เริ่มมีเสียงพูดถึงวิญญาณเฮี้ยนของลุงผัน!
นั่นคือ ตอนกลางคืนมีคนเห็นแกเดินดุ่มๆ เข้าซอยมา พอหันขวับไปจ้องให้แน่ใจก็ไม่เห็นเสียแล้ว แต่หมูหมามักจะโก่งคอหอนเสียงเยือกเย็นจับใจอยู่เป็นประจำ
หลายๆ คนบอกว่า ลุงผันแกถึงแก่ความตายไม่รู้ตัว วิญญาณยังมุ่งมั่นที่จะกลับไปหาเมียสาวที่บ้านให้ได้...นึกๆ ก็ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าสงสารวิญญาณลุงผันที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษ เรื่องผีลุงผันค่อยๆ ซาไป...วันเกิดเหตุ ผมไปเที่ยวกับไอ้แก่นสองคนตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น แวะดูหนังที่สาทรรอบค่ำ กว่าจะนั่งรถมาถึงปากตรอกก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว...เราคุยเรื่องหนังเคาบอยที่ดูกันมาแทบไม่ขาดปาก
เสียงรองเท้ากระทบพื้นลูกระนาดดังกึกๆ ไปพร้อมกัน...จู่ๆ เสียงหมาหอนโจ๋ดังรับกันเป็นทอดๆ มาจากปากซอย เหมือนกับมีอะไรบางอย่างตามหลังเรามา...ไอ้แก่นหยุดกึกกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ด่าพึมว่าจะเห่าหาห่...อะไรวะ? แล้วหันไปมองข้างหลังพร้อมๆ กับผม
ชายคนหนึ่งเดินก้มหน้างุดๆ อยู่ห่างไปราวสัก 6-7 เมตร ผมบอกเพื่อนว่ารีบๆ เดินกันเถอะวะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านมึงแล้ว กูต้องไปคนเดียวอีกไกล...
แทบไม่ขาดคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลังดังใกล้เข้ามาทุกที ผมน้ำลายเหนียวไปหมดเมื่อเหลือบไปเห็นบ้านลุงผันโดดเด่นอยู่ข้างหน้า...ชายที่เดินมาข้างหลังก็มีรูปร่างคล้ายกับลุงผันจนรู้สึกเย็นหลังวาบๆ เพิ่งนึกได้ว่าชายผู้นั้นเท้าไม่ติดพื้น... พอดีไอ้แก่นร้องลั่นว่า...ลุงผัน!
เราหันขวับไปพร้อมๆ กันเหมือนถูกจับกระชาก
นรกเป็นพยาน! ใบหน้าดำเกรียมของลุงผันมีเลือดแดงฉานไหลย้อยลงมาจนเห็นชัดในแสงไฟ ไอ้แก่นด่าลั่น ผมโจนผึงไม่ฟังเสียง...พริบตาเดียวไอ้แก่นก็วิ่งแซงหน้าไปปานลมพัด ผมร้องตะโกนแต่ว่าผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...ล้มลุกคลุกคลานไปหอบฮั่กๆ ที่หน้าบ้าน
ไอ้แก่นหายไปแล้ว...มันจะหลบวูบเข้าบ้านตอนไหนก็ไม่รู้ แต่เสียงผมทำให้ชาวบ้านตื่นเกือบครึ่งซอย...ไอ้แก่นสลบคาที่อยู่แถวหน้าบ้านน้าดาหวันนั่นเอง! ร่างที่วิ่งแซงหน้าผมไปคงจะเป็น "เจตภูตคนเป็น" ของไอ้แก่นกระมังครับ?
แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ผมขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2551
ความเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มักจะแตกต่างกันไป เช่น เชื่อกันว่าผีมักจะชอบหลอกคนกลัวผี โดยเฉพาะเด็กๆ กับผู้หญิงจะโดนผีหลอกมากที่สุด ส่วนผู้ชายหรือคนสูงอายุมักจะไม่ถูกผีหลอก สาเหตุเพราะคนพวกนี้ไม่กลัวผี
แต่บางคนก็ยืนยันว่าคนจิตอ่อน เช่น เด็กกับคนแก่ รวมทั้งคนเจ็บไข้ ทำให้จิตใจอ่อนแอ เปิดช่องให้ภูตผีปีศาจปรากฏตัวหลอกหลอนได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่เชื่อมั่นกันอีกอย่างก็คือ คนที่ถึงแก่ความตายกะทันหัน วิญญาณเตลิดออกจากร่างเหมือนคนที่กระโจนหนีไฟไหม้บ้านด้วยอารามตกใจ แต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว อาศัยพลังของความอยากมีชีวิต อยากอยู่ อยากเป็น...ปรากฏร่างให้คนอื่นเห็น ไม่ว่าจะชัดเจนหรือเลือนรางก็จำได้ว่าเป็นร่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคน แต่บัดนี้ได้ล้มหายตายจากไปแล้วนั่นเอง
ผมเคยประสบกับวิญญาณชนิดเช่นนี้จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้วครับ
สมัยวัยรุ่นผมอยู่ตรอกหมอ ถนนตก เป็นตรอกคดเคี้ยวและยืดยาว มีบ้านเล็กเรือนน้อยอยู่คับคั่งทั้งสองฟาก บ้านผมอยู่ลึกเข้าไปเกือบก้นซอย รู้จักมักคุ้นกับผู้คนในย่านนั้นเพราะเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้
วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยอง เมื่อลุงผัน-คนขับรถเมล์สายท่าเตียน-ถนนตก เลิกงานมาซื้อของกินที่หน้าโรงหนังช้างเผือก รีบร้อนเดินข้ามถนนจะเข้าตรอกบ้าน โดนรถกระบะเฉี่ยวชนจนกระเด็นไปหัวฟาดขอบฟุตปาธ กะโหลกแตกตายคาที่ รถมรณะคันนั้นก็ขับหนีไป
ลุงผันอายุเกือบ 50 ปี ร่างเล็ก ผิวดำ ผมขาว เมียตายไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น เมื่อปีกลายลุงผันได้เมียใหม่ชื่อดาหวัน เป็นแม่ค้าผลไม้อยู่ที่ยานนาวา อายุ 30 เศษ เป็นม่ายผัวตายมา 2 คนแล้ว...
เขาลือกันว่าน้าดาหวันเป็นคนกินผัว! ทำท่าว่าจะเป็นจริงเป็นจัง เพราะมาอยู่กินกับลุงผันได้ราว 3-4 เดือนก็ต้องกลายเป็นม่ายผัวตายถึง 3 คน!
น้าดาหวันเป็นคนผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ อวบอัดไปทั้งตัว พวกหนุ่มๆ ชอบมองเวลาแกเดินบิดสะโพกในโสร่งดอกหนา สวมเสื้อสีสวยๆ เข้ารูปจนอกพุ่งเป็นพะเนิน...ใครจะจ้องมองยังไงแกก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอคล้อยหลังพวกหนุ่มๆ ก็จะพูดถึงกันอย่างคะนองปาก
ไอ้แก่นเพื่อนผมที่อยู่กลางซอย เลยบ้านลุงผันไปหน่อย มันเล่าว่าลุงผันแกลุ่มหลงเมียสาวจนโงหัวไม่ขึ้น...อาจจะเข่าอ่อนตอนข้ามถนนเลยโดนรถชนก็เป็นได้
ตอนที่ลุงผันตายใหม่ๆ น้าดาหวันร้องห่มร้องไห้เหมือนจะเป็นจะตาย เพื่อนบ้านต้องปลอบโยนกันยกใหญ่...นึกๆ ก็น่าเห็นใจที่แกต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้ใต้ถุนสูงไม่มีรั้ว...ขณะที่เริ่มมีเสียงพูดถึงวิญญาณเฮี้ยนของลุงผัน!
นั่นคือ ตอนกลางคืนมีคนเห็นแกเดินดุ่มๆ เข้าซอยมา พอหันขวับไปจ้องให้แน่ใจก็ไม่เห็นเสียแล้ว แต่หมูหมามักจะโก่งคอหอนเสียงเยือกเย็นจับใจอยู่เป็นประจำ
หลายๆ คนบอกว่า ลุงผันแกถึงแก่ความตายไม่รู้ตัว วิญญาณยังมุ่งมั่นที่จะกลับไปหาเมียสาวที่บ้านให้ได้...นึกๆ ก็ทั้งน่ากลัว ทั้งน่าสงสารวิญญาณลุงผันที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษ เรื่องผีลุงผันค่อยๆ ซาไป...วันเกิดเหตุ ผมไปเที่ยวกับไอ้แก่นสองคนตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น แวะดูหนังที่สาทรรอบค่ำ กว่าจะนั่งรถมาถึงปากตรอกก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว...เราคุยเรื่องหนังเคาบอยที่ดูกันมาแทบไม่ขาดปาก
เสียงรองเท้ากระทบพื้นลูกระนาดดังกึกๆ ไปพร้อมกัน...จู่ๆ เสียงหมาหอนโจ๋ดังรับกันเป็นทอดๆ มาจากปากซอย เหมือนกับมีอะไรบางอย่างตามหลังเรามา...ไอ้แก่นหยุดกึกกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ด่าพึมว่าจะเห่าหาห่...อะไรวะ? แล้วหันไปมองข้างหลังพร้อมๆ กับผม
ชายคนหนึ่งเดินก้มหน้างุดๆ อยู่ห่างไปราวสัก 6-7 เมตร ผมบอกเพื่อนว่ารีบๆ เดินกันเถอะวะ เดี๋ยวก็ถึงบ้านมึงแล้ว กูต้องไปคนเดียวอีกไกล...
แทบไม่ขาดคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างหลังดังใกล้เข้ามาทุกที ผมน้ำลายเหนียวไปหมดเมื่อเหลือบไปเห็นบ้านลุงผันโดดเด่นอยู่ข้างหน้า...ชายที่เดินมาข้างหลังก็มีรูปร่างคล้ายกับลุงผันจนรู้สึกเย็นหลังวาบๆ เพิ่งนึกได้ว่าชายผู้นั้นเท้าไม่ติดพื้น... พอดีไอ้แก่นร้องลั่นว่า...ลุงผัน!
เราหันขวับไปพร้อมๆ กันเหมือนถูกจับกระชาก
นรกเป็นพยาน! ใบหน้าดำเกรียมของลุงผันมีเลือดแดงฉานไหลย้อยลงมาจนเห็นชัดในแสงไฟ ไอ้แก่นด่าลั่น ผมโจนผึงไม่ฟังเสียง...พริบตาเดียวไอ้แก่นก็วิ่งแซงหน้าไปปานลมพัด ผมร้องตะโกนแต่ว่าผีหลอก! ผีหลอกโว้ย...ล้มลุกคลุกคลานไปหอบฮั่กๆ ที่หน้าบ้าน
ไอ้แก่นหายไปแล้ว...มันจะหลบวูบเข้าบ้านตอนไหนก็ไม่รู้ แต่เสียงผมทำให้ชาวบ้านตื่นเกือบครึ่งซอย...ไอ้แก่นสลบคาที่อยู่แถวหน้าบ้านน้าดาหวันนั่นเอง! ร่างที่วิ่งแซงหน้าผมไปคงจะเป็น "เจตภูตคนเป็น" ของไอ้แก่นกระมังครับ?
แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ผมขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2551
25 พฤศจิกายน 2559
ทุ่งสนธยา
"เบิร์ด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุสานโบราณ
ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า กับไม่ได้ฝันร้ายใดๆ แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ หรือแดนสนธยา! ซึ่งในโลกของเราเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นกลับเนิ่นนานเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
สถานที่ดังกล่าวก็คือ คาเฟ่แถวสนามเป้านั่นเอง!
ผมเป็นคนมักกะสันมาแต่อ้อนแต่ออก สมัยนั้นย่านประตูน้ำเพิ่งจะเป็นถิ่นเจริญได้ไม่นาน ขยายออกมาทางถนนราชปรารภถึงมักกะสัน และตัดผ่านหน้าวัดสะพาน ด้านซ้ายมือก็เป็นถนนศรีอยุธยาที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ ทุ่งพญาไทเป็นต้น...ถัดไปทางสนามเป้าที่เป็นกรมทหารนั้น แต่เดิมยังเปล่าเปลี่ยวอยู่มาก มีแต่สวนและไร่นา ตกเย็นก็แทบจะไม่มีคนเดินผ่าน...ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางถนนพหลโยธิน จากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!
เมื่อราว 20 ปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามผุดสะพรั่ง ไม่ว่ามักกะสันหรือสนามเป้า
สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ด้านทิศเหนือ ผู้คนพลุกพล่าน รถราคึกคัก มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูด สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง
ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์, ย้อนมาทางสนามเป้าอีก 2-3 แห่ง ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายจนเบื่อก็ลองไปย่านสนามเป้าบ้างคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ กว้างขวาง แถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!
คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนน แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งในโต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา
คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบเธอก็จะลงจากเวทีมานั่งพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริ๊งก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3
แต่คืนนั้นเราไปช้าหน่อย ตรงกับคืนวันศุกร์ด้วย เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้ด้านหลังสุด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร...เสียงดนตรีดังกระหึ่มคล้ายๆ งานวัด นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพก ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลาเรียกว่า "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว
ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น
ขณะนั้นราวตี 1 เศษ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไร หรือขาเกิดพันกันเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปไม่น้อย ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟที่ดับวูบทันที
ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครมานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก
เด็กๆ อายุราว 10 ขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น...โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!
ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...
นักร้องสาวสวมเสื้อคอกว้างเห็นเนินอกขาวแอร่มกำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นกระโปรงสั้นแต่อวดท่อนขาอวบอัดขาวอล่างอยู่ในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงบิดส่ายไม่หยุดหย่อน
หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...ผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเห็นเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาแต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง
"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?" เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา...มันว่าเห็นผมกำลังล้มลงพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...
ไม่มีหนุ่มสาว คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ...ตื่นเต้นแตกต่างกันไป..
เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงจะจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 เมษายน 2551
ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า กับไม่ได้ฝันร้ายใดๆ แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ หรือแดนสนธยา! ซึ่งในโลกของเราเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นกลับเนิ่นนานเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
สถานที่ดังกล่าวก็คือ คาเฟ่แถวสนามเป้านั่นเอง!
ผมเป็นคนมักกะสันมาแต่อ้อนแต่ออก สมัยนั้นย่านประตูน้ำเพิ่งจะเป็นถิ่นเจริญได้ไม่นาน ขยายออกมาทางถนนราชปรารภถึงมักกะสัน และตัดผ่านหน้าวัดสะพาน ด้านซ้ายมือก็เป็นถนนศรีอยุธยาที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ ทุ่งพญาไทเป็นต้น...ถัดไปทางสนามเป้าที่เป็นกรมทหารนั้น แต่เดิมยังเปล่าเปลี่ยวอยู่มาก มีแต่สวนและไร่นา ตกเย็นก็แทบจะไม่มีคนเดินผ่าน...ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางถนนพหลโยธิน จากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!
เมื่อราว 20 ปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามผุดสะพรั่ง ไม่ว่ามักกะสันหรือสนามเป้า
สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ด้านทิศเหนือ ผู้คนพลุกพล่าน รถราคึกคัก มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูด สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง
ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์, ย้อนมาทางสนามเป้าอีก 2-3 แห่ง ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายจนเบื่อก็ลองไปย่านสนามเป้าบ้างคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ กว้างขวาง แถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!
คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนน แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งในโต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา
คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบเธอก็จะลงจากเวทีมานั่งพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริ๊งก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3
แต่คืนนั้นเราไปช้าหน่อย ตรงกับคืนวันศุกร์ด้วย เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้ด้านหลังสุด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร...เสียงดนตรีดังกระหึ่มคล้ายๆ งานวัด นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพก ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลาเรียกว่า "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว
ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น
ขณะนั้นราวตี 1 เศษ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไร หรือขาเกิดพันกันเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปไม่น้อย ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟที่ดับวูบทันที
ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครมานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก
เด็กๆ อายุราว 10 ขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น...โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!
ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...
นักร้องสาวสวมเสื้อคอกว้างเห็นเนินอกขาวแอร่มกำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นกระโปรงสั้นแต่อวดท่อนขาอวบอัดขาวอล่างอยู่ในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงบิดส่ายไม่หยุดหย่อน
หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...ผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเห็นเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาแต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง
"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?" เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา...มันว่าเห็นผมกำลังล้มลงพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...
ไม่มีหนุ่มสาว คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ...ตื่นเต้นแตกต่างกันไป..
เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงจะจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 เมษายน 2551
24 พฤศจิกายน 2559
วิญญาณที่ผูกพัน
"ปานจันทร์" เล่าเรื่องมหัศจรรย์จากโลกของวิญญาณ
ดิฉันมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟัง มันอาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณมีจริง และการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีแน่ๆ
ทุกวันนี้ดิฉันอายุ 52 ปีแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนดิฉันจะลืมตาออกมาดูโลกซะอีก..มันมาเปิดเผยขึ้นเมื่อดิฉันอายุได้ 12 ปี นั่นคือในวันสงกรานต์ปี พ.ศ. 2511
วันนั้นน้าชายของดิฉันมาหาเราที่บ้านแต่เช้าตรู่ และส่งรูปภาพในกรอบอย่างดีให้แม่..รูปภาพนั้นเป็นหญิงชรานุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้สวยสีขาว ผมเป็นทรงดอกกระทุ่ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคม ค่อนข้างดุ..สาวๆ คงสวยเฉียบไปเลยเชียว
พอดิฉันชะโงกมองภาพนั้นได้ถนัดตา ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ร้องอย่างตื่นเต้นยินดีว่า
"คุณทวดนี่คะเนี่ย!!"
แม่กับน้าหันมามองหน้าดิฉันพร้อมกัน แม่พูดพลางหัวเราะอย่างขันๆ ว่า "อือม์..เดาเก่งนี่ รู้ได้ไงจ๊ะแม่คนฉลาด?"
นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นภาพนี้ค่ะ!
เรื่องของเรื่องคือ คุณน้าไปพบอยู่ในหีบเก่าๆ ที่ห้องใต้เพดาน ก็เลยดีใจมากเพราะนี่เป็นรูปภาพใบเดียวที่คุณทวดถ่ายไว้ และนึกว่ารูปนี้หายสาบสูญไปเสียแล้ว เมื่อได้พบก็เลยนำไปอัดขยาย แล้วเอามาแจกพี่น้องไว้เป็นที่ระลึก จะได้ตั้งไว้เพื่อกราบไหว้ถึงท่านต่อไป
ปกติแม่กับน้าไม่ค่อยได้พูดกันถึงคุณทวด นอกจากทุกวันสงกรานต์จะนำโกศกระดูกของท่านมาพรมน้ำอบไทย พอแม่ถามว่าดิฉันรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรูปคุณทวด ดิฉันก็ตอบเสียงใสว่า
"อ้าว? ก็ตอนเล็กๆ หนูเคยไปหาคุณทวดกับแม่ไงคะ"
คราวนี้แม่กับน้าหัวเราะก๊ากเลย
"จะไปหาได้ยังไงจ๊ะ คุณทวดน่ะตายตั้งแต่ก่อนเราเกิดอีกนะ!"
ดิฉันงง แถมยังโมโหขึ้นมาหน่อยๆ ด้วยล่ะค่ะ เลยเถียงแม่คอเป็นเอ็นเชียว
"จริงๆ นะแม่! แม่จำผิดรึเปล่า? หนูไปกับแม่ไงล่ะ บ้านคุณทวดอยู่ริมแม่น้ำหนูจำได้แม่นเลย..วันนั้นคุณทวดนุ่งโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด ใส่เสื้อคอกระเช้า หนูยังเช็ดน้ำหมากให้คุณทวดด้วยนี่นา.."
ดิฉันหยุดคิด แล้วพูดต่ออย่างมั่นอกมั่นใจ
"เออ..จำได้! ผ้าเช็ดปากของคุณทวดเป็นลายตารางหมากรุกสีขาวแดง คุณทวดยังยิ้มกับหนู แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ เห็นมั้ยหนูจำได้ละเอียดเลย แม่เอาขนมวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อน คุณทวดกินตั้งหลายคำ แล้วก็หัวเราะอารมณ์ดี"
แม่เงียบกริบ มองหน้ากับน้าอย่างงงๆ
"เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงวะ" น้าเปรยออกมา และทำท่านึก "แต่ที่เราพูดออกมาน่ะพูดถูกยังกะตาเห็นแน่ะ"
"เป็นไปไม่ได้หรอก.." แม่ส่ายหน้าช้าๆ ย่นคิ้ว ก่อนจะมองสบตาดิฉันอย่างครุ่นคิด
"แต่ก็จริงละ คุณทวดอยู่บ้านริมน้ำ มีอยู่วันหนึ่ง แม่เอาวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อนคุณทวดจริงด้วย ผ้าเช็ดปากคุณทวดก็เป็นลายหมากรุก แต่ตอนนั้นหนูยังไม่มีตัวตนเลยนะลูก..หนูอยู่ในท้องแม่! แม่เพิ่งท้องได้สี่เดือน"
เราสามคนนิ่งอึ้ง ดิฉันจำแม่นราวกับการไปหาคุณทวดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน..ทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ..และยังชัดอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในวันนี้ที่ดิฉันอายุ 52 ปีแล้วก็ตาม!
วันนั้นเป็นวันสุดท้าย ที่แม่ได้ไปเยี่ยมคุณทวดซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ 90 ปี แก่หง่อมเต็มที แม่เล่าว่าท่านหลงแล้ว จำลูกหลานแทบไม่ได้และไม่พูดไม่จา ท่านชอบนั่งริมน้ำเคี้ยวหมากอยู่เงียบๆ สี่ห้าวันจากนั้นท่านก็ล้มป่วยและสิ้นลมอย่างสงบ เหมือนใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวจากกิ่งก้าน..
เป็นไปไม่ได้ที่ดิฉันจะได้เห็น ได้นั่งคุยกับคุณทวด เช็ดน้ำหมากให้ท่าน..และทำให้ท่านยิ้มอารมณ์ดีเช่นนั้น
มีทางเดียว..นั่นคือ ดิฉันอยู่ในสภาพดวงวิญญาณของเด็กตัวเล็กๆ ตัวจริงของดิฉันอยู่ในท้องแม่ และวิญญาณออกมาเล่นกับคุณทวดตามสายเลือดผูกพัน..ซึ่งท่านเป็นคนเดียวที่มองเห็นดิฉัน
แปลกไหมล่ะคะ ดิฉันได้พบคุณทวดก่อนที่ตัวเองจะเกิดซะอีกแน่ะ? แต่บางครั้งนึกถึงแล้วทำไมขนลุกซู่ไปทั้งตัวก็ไม่ทราบค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 21 - ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2551
ดิฉันมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าสู่กันฟัง มันอาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณมีจริง และการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีแน่ๆ
ทุกวันนี้ดิฉันอายุ 52 ปีแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนดิฉันจะลืมตาออกมาดูโลกซะอีก..มันมาเปิดเผยขึ้นเมื่อดิฉันอายุได้ 12 ปี นั่นคือในวันสงกรานต์ปี พ.ศ. 2511
วันนั้นน้าชายของดิฉันมาหาเราที่บ้านแต่เช้าตรู่ และส่งรูปภาพในกรอบอย่างดีให้แม่..รูปภาพนั้นเป็นหญิงชรานุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้สวยสีขาว ผมเป็นทรงดอกกระทุ่ม ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาคม ค่อนข้างดุ..สาวๆ คงสวยเฉียบไปเลยเชียว
พอดิฉันชะโงกมองภาพนั้นได้ถนัดตา ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ร้องอย่างตื่นเต้นยินดีว่า
"คุณทวดนี่คะเนี่ย!!"
แม่กับน้าหันมามองหน้าดิฉันพร้อมกัน แม่พูดพลางหัวเราะอย่างขันๆ ว่า "อือม์..เดาเก่งนี่ รู้ได้ไงจ๊ะแม่คนฉลาด?"
นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นภาพนี้ค่ะ!
เรื่องของเรื่องคือ คุณน้าไปพบอยู่ในหีบเก่าๆ ที่ห้องใต้เพดาน ก็เลยดีใจมากเพราะนี่เป็นรูปภาพใบเดียวที่คุณทวดถ่ายไว้ และนึกว่ารูปนี้หายสาบสูญไปเสียแล้ว เมื่อได้พบก็เลยนำไปอัดขยาย แล้วเอามาแจกพี่น้องไว้เป็นที่ระลึก จะได้ตั้งไว้เพื่อกราบไหว้ถึงท่านต่อไป
ปกติแม่กับน้าไม่ค่อยได้พูดกันถึงคุณทวด นอกจากทุกวันสงกรานต์จะนำโกศกระดูกของท่านมาพรมน้ำอบไทย พอแม่ถามว่าดิฉันรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรูปคุณทวด ดิฉันก็ตอบเสียงใสว่า
"อ้าว? ก็ตอนเล็กๆ หนูเคยไปหาคุณทวดกับแม่ไงคะ"
คราวนี้แม่กับน้าหัวเราะก๊ากเลย
"จะไปหาได้ยังไงจ๊ะ คุณทวดน่ะตายตั้งแต่ก่อนเราเกิดอีกนะ!"
ดิฉันงง แถมยังโมโหขึ้นมาหน่อยๆ ด้วยล่ะค่ะ เลยเถียงแม่คอเป็นเอ็นเชียว
"จริงๆ นะแม่! แม่จำผิดรึเปล่า? หนูไปกับแม่ไงล่ะ บ้านคุณทวดอยู่ริมแม่น้ำหนูจำได้แม่นเลย..วันนั้นคุณทวดนุ่งโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด ใส่เสื้อคอกระเช้า หนูยังเช็ดน้ำหมากให้คุณทวดด้วยนี่นา.."
ดิฉันหยุดคิด แล้วพูดต่ออย่างมั่นอกมั่นใจ
"เออ..จำได้! ผ้าเช็ดปากของคุณทวดเป็นลายตารางหมากรุกสีขาวแดง คุณทวดยังยิ้มกับหนู แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ เห็นมั้ยหนูจำได้ละเอียดเลย แม่เอาขนมวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อน คุณทวดกินตั้งหลายคำ แล้วก็หัวเราะอารมณ์ดี"
แม่เงียบกริบ มองหน้ากับน้าอย่างงงๆ
"เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไงวะ" น้าเปรยออกมา และทำท่านึก "แต่ที่เราพูดออกมาน่ะพูดถูกยังกะตาเห็นแน่ะ"
"เป็นไปไม่ได้หรอก.." แม่ส่ายหน้าช้าๆ ย่นคิ้ว ก่อนจะมองสบตาดิฉันอย่างครุ่นคิด
"แต่ก็จริงละ คุณทวดอยู่บ้านริมน้ำ มีอยู่วันหนึ่ง แม่เอาวุ้นน้ำดอกไม้ไปป้อนคุณทวดจริงด้วย ผ้าเช็ดปากคุณทวดก็เป็นลายหมากรุก แต่ตอนนั้นหนูยังไม่มีตัวตนเลยนะลูก..หนูอยู่ในท้องแม่! แม่เพิ่งท้องได้สี่เดือน"
เราสามคนนิ่งอึ้ง ดิฉันจำแม่นราวกับการไปหาคุณทวดนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน..ทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ..และยังชัดอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในวันนี้ที่ดิฉันอายุ 52 ปีแล้วก็ตาม!
วันนั้นเป็นวันสุดท้าย ที่แม่ได้ไปเยี่ยมคุณทวดซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ 90 ปี แก่หง่อมเต็มที แม่เล่าว่าท่านหลงแล้ว จำลูกหลานแทบไม่ได้และไม่พูดไม่จา ท่านชอบนั่งริมน้ำเคี้ยวหมากอยู่เงียบๆ สี่ห้าวันจากนั้นท่านก็ล้มป่วยและสิ้นลมอย่างสงบ เหมือนใบไม้แห้งที่ปลิดปลิวจากกิ่งก้าน..
เป็นไปไม่ได้ที่ดิฉันจะได้เห็น ได้นั่งคุยกับคุณทวด เช็ดน้ำหมากให้ท่าน..และทำให้ท่านยิ้มอารมณ์ดีเช่นนั้น
มีทางเดียว..นั่นคือ ดิฉันอยู่ในสภาพดวงวิญญาณของเด็กตัวเล็กๆ ตัวจริงของดิฉันอยู่ในท้องแม่ และวิญญาณออกมาเล่นกับคุณทวดตามสายเลือดผูกพัน..ซึ่งท่านเป็นคนเดียวที่มองเห็นดิฉัน
แปลกไหมล่ะคะ ดิฉันได้พบคุณทวดก่อนที่ตัวเองจะเกิดซะอีกแน่ะ? แต่บางครั้งนึกถึงแล้วทำไมขนลุกซู่ไปทั้งตัวก็ไม่ทราบค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 21 - ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2551
23 พฤศจิกายน 2559
ดอยเต่าสยอง
"คนเมือง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชายหาดดอยเต่า
ผมเป็นคนดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ใครอยากล่องแม่ปิงก็เชิญลงแพสำราญได้เลยครับ ออกจากดอยเต่าไปถึงเขื่อนภูมิพลตอนเช้า หรือออกจากเหนือเขื่อนตอนเช้า ค้างคืนในแพให้เย็นฉ่ำ รุ่งเช้าก็มาถึงหาดดอยเต่าพอดี
มีแพสำราญให้บริการทั้งแบบเหมา 40 ท่าน ลมพัดโชยรอบทิศให้ชมธรรมชาติสวยงามสองฝัง มีอาหารและเครื่องดื่มให้ถึง 5 มื้อ คือ เช้า เที่ยง เย็น ข้าวต้มรอบดึก กับรับอรุณด้วยข้าวต้มกุ๊ย หรือจะไปแบบห้องแอร์ห้องละ 6 คนก็ได้ ตามสะดวก แล้วแต่จะมาเที่ยวกันมากหรือน้อยแค่ไหน
เบ็ดเสร็จมีราว 30 แพเห็นจะได้ครับ
นักท่องเที่ยวล่องแพมาขึ้นที่ดอยเต่า มักจะแวะไหว้พระที่วัดแปลงห้า แวดล้อมด้วยต้นลำไยดกหนา ตอนนี้กำลังออกดอกสะพรั่งเชียวครับ ปีกลายจตุคามรามเทพดังระเบิด วัดไหนไม่สร้างถือว่าตกยุค วัดแปลงห้าก็สร้างเหมือนกันครับ หาเงินสร้างสุขาให้ชาวบ้านที่มาทำบุญกันเนืองแน่น ดูเหมือนจะปาเข้าไปสองแสนกว่าๆ ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังใช้หนี้เขาไม่หมด เหลืออีกเกือบแสนแน่ะ
สมภารท่านเป็นคนซื่อมากๆ จตุคามฯ ขายหมดแต่ได้เงินยังไม่พอ ท่านก็ไม่ยอมทำใหม่ ศาลาจำหน่ายวัตถุมงคลปิดตาย สาเหตุก็เพราะ "ของหมด" มีคนยุให้ท่านสร้างใหม่หาเงินใช้หนี้ท่านก็ไม่เอา ให้ไปซื้อที่ท่าพระจันทร์ถูกๆ มาขายท่านก็ไม่ยอม...บอกว่าไม่อยากหลอกชาวบ้าน "ตุ๊เจ้า" รูปนี้กราบไหว้ได้สนิทใจครับ
อ้อ! บ้านผมเรียกเณรว่า "พระ" เรียกพระว่า "ตุ๊" ถ้า "ตุ๊เจ้า" ก็หมายถึงสมภาร
วันนี้ผมมีเรื่องขนหัวลุกจากดอยเต่ามาเล่าสู่กันฟัง!
ครอบครัวผมทำมาหากินที่ชายหาดนั่นละครับ ขายปลาแห้ง ปลาพวงหรือปลาแขยงตากแห้ง ทอดกินกรอบๆ อร่อยอย่าบอกใคร กินกับข้าวคลุกน้ำพริกหรือจะกินเป็นกับแกล้มก็อร่อยทั้งนั้นแหละ ถือเป็นของฝากจากดอยเต่าทั้งปี ไม่นับหน้าลิ้นจี่หรือลำไย
ตอนเช้าๆ ก็ออกไปตั้งแผงขายปลา ขายผลไม้ตามฤดูกาล ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือลอตเตอรี่ นักท่องเที่ยวชอบซื้อเสี่ยงโชคกันไงครับ
แพสำราญที่มาถึงก่อนก็จอดเรียงรายกันไป ราว 7-8 โมงจะมีแพจากเหนือเขื่อนทยอยมาหาฝั่งเรื่อยๆ รถทัวร์รอรับคนครบถ้วนแล้วก็แล่นออกไป ส่วนมากก็ผ่านฮอด จอมทอง เข้าเชียงใหม่ หน้าหนาวนักท่องเที่ยวหนาตา ทำให้พวกเราพลอยกระเป๋าตุงไปด้วย
พูดถึงวิวยามเช้าที่หาดดอยเต่านี่สวยจริงๆ ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ...
สายน้ำเวิ้งว้าง ลมพัดโชยให้ระลอกคลื่นเข้าหาฝั่ง ทิวเขาลิบๆ อยู่ใต้ฟ้าสีครามที่เริ่มเปลี่ยนสีสันเมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นช้าๆ บรรยากาศแสนสุขสงบผิดกับในเมืองเป็นไหนๆ
เช้านั้น ผมช่วยเขาตั้งแผงขายปลาตามเคย ลอตเตอรี่ไม่ต้องใช้แผง แต่สะพายกระบะเดินเร่ไปขายตั้งแต่นักท่องเที่ยวลงจากแพ ไปยันแผงขายปลา ส่งกันถึงบันไดรถทัวร์เลยนักท่องเที่ยวหลายๆ คนก็เปลี่ยนใจมาเสี่ยงโชคตอนจะขึ้นรถก็มีครับ
วันนั้นเมฆหนา ฟ้าครึ้ม แต่สรรพสิ่งก็ยังสว่างไสวตามเคย...ผมเดินทักทายชาวแพที่คุ้นๆ หน้ากัน มองเลยไปเห็นเรือยนต์กำลังลากแพแล่นอึดอาดเข้าหาฝั่ง...ลมพัดวูบใหญ่ทำให้ผมหนาวสะท้าน ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
อ้าว? นั่นใครกำลังยืนชมวิวอยู่ที่ชายน้ำเพียงเดียวดาย?
ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมเดินเข้าไปหา...ชายชราผมขาวโพลน ร่างเล็ก นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยึดคอปกสีเหลือง สวมรองเท้าผ้าใบ มองเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว ว่าแต่ทำไมแกยืนอยู่คนเดียวหรือว่าตกรถทัวร์เลยมายืนชมวิวแก้เซ็ง...
เสียงรถยนต์ดังกระหึ่มทางเบื้องหลัง ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นรถทัวร์จอดอยู่ 2-3 คัน...แต่กลับมีรถพยาบาลสีขาวแล่นเข้ามา!
ขณะนั้นเอง เรือยนต์ก็นำแพสำราญมาเทียบฝั่ง...ผมหันไปอีกครั้งก็เห็นชายหญิงนับสิบๆ คนแต่งตัวสีสันฉูดฉาดก็ทยอยกันขึ้นจากแพ ต่างคนต่างเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนจะหวาดระแวงอะไรก็ไม่ทราบ
อ๋อ! ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินตามมา สะดุดตาที่เห็นชายคนหนึ่งกอดคอแบบขี่หลังมาด้วย มีเสียงบอกกล่าวกันว่า...เร็วๆ เดี๋ยวจะไปหาหมอไม่ทัน! หัวใจวาย...
ผมเห็นใบหน้าที่ซบต้นคอชายร่างใหญ่แล้วตกตะลึงไป...ชายแก่ผมขาวสวมเสื้อสีเหลือง นุ่งกางเกงขาสั้นที่ผมเห็นยืนชมวิวอยู่เมื่อครู่ก่อนนี่เอง... หันขวับเหมือนถูกจับกระชาก แต่ก็ไม่เห็นร่างนั้นเสียแล้ว!
รถพยาบาลแล่นห่างออกไป...ขอให้เป็นแค่เจตภูต อย่าเป็นวิญญาณเลยครับ บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 23 เมษายน 2551
ผมเป็นคนดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ใครอยากล่องแม่ปิงก็เชิญลงแพสำราญได้เลยครับ ออกจากดอยเต่าไปถึงเขื่อนภูมิพลตอนเช้า หรือออกจากเหนือเขื่อนตอนเช้า ค้างคืนในแพให้เย็นฉ่ำ รุ่งเช้าก็มาถึงหาดดอยเต่าพอดี
มีแพสำราญให้บริการทั้งแบบเหมา 40 ท่าน ลมพัดโชยรอบทิศให้ชมธรรมชาติสวยงามสองฝัง มีอาหารและเครื่องดื่มให้ถึง 5 มื้อ คือ เช้า เที่ยง เย็น ข้าวต้มรอบดึก กับรับอรุณด้วยข้าวต้มกุ๊ย หรือจะไปแบบห้องแอร์ห้องละ 6 คนก็ได้ ตามสะดวก แล้วแต่จะมาเที่ยวกันมากหรือน้อยแค่ไหน
เบ็ดเสร็จมีราว 30 แพเห็นจะได้ครับ
นักท่องเที่ยวล่องแพมาขึ้นที่ดอยเต่า มักจะแวะไหว้พระที่วัดแปลงห้า แวดล้อมด้วยต้นลำไยดกหนา ตอนนี้กำลังออกดอกสะพรั่งเชียวครับ ปีกลายจตุคามรามเทพดังระเบิด วัดไหนไม่สร้างถือว่าตกยุค วัดแปลงห้าก็สร้างเหมือนกันครับ หาเงินสร้างสุขาให้ชาวบ้านที่มาทำบุญกันเนืองแน่น ดูเหมือนจะปาเข้าไปสองแสนกว่าๆ ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังใช้หนี้เขาไม่หมด เหลืออีกเกือบแสนแน่ะ
สมภารท่านเป็นคนซื่อมากๆ จตุคามฯ ขายหมดแต่ได้เงินยังไม่พอ ท่านก็ไม่ยอมทำใหม่ ศาลาจำหน่ายวัตถุมงคลปิดตาย สาเหตุก็เพราะ "ของหมด" มีคนยุให้ท่านสร้างใหม่หาเงินใช้หนี้ท่านก็ไม่เอา ให้ไปซื้อที่ท่าพระจันทร์ถูกๆ มาขายท่านก็ไม่ยอม...บอกว่าไม่อยากหลอกชาวบ้าน "ตุ๊เจ้า" รูปนี้กราบไหว้ได้สนิทใจครับ
อ้อ! บ้านผมเรียกเณรว่า "พระ" เรียกพระว่า "ตุ๊" ถ้า "ตุ๊เจ้า" ก็หมายถึงสมภาร
วันนี้ผมมีเรื่องขนหัวลุกจากดอยเต่ามาเล่าสู่กันฟัง!
ครอบครัวผมทำมาหากินที่ชายหาดนั่นละครับ ขายปลาแห้ง ปลาพวงหรือปลาแขยงตากแห้ง ทอดกินกรอบๆ อร่อยอย่าบอกใคร กินกับข้าวคลุกน้ำพริกหรือจะกินเป็นกับแกล้มก็อร่อยทั้งนั้นแหละ ถือเป็นของฝากจากดอยเต่าทั้งปี ไม่นับหน้าลิ้นจี่หรือลำไย
ตอนเช้าๆ ก็ออกไปตั้งแผงขายปลา ขายผลไม้ตามฤดูกาล ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือลอตเตอรี่ นักท่องเที่ยวชอบซื้อเสี่ยงโชคกันไงครับ
แพสำราญที่มาถึงก่อนก็จอดเรียงรายกันไป ราว 7-8 โมงจะมีแพจากเหนือเขื่อนทยอยมาหาฝั่งเรื่อยๆ รถทัวร์รอรับคนครบถ้วนแล้วก็แล่นออกไป ส่วนมากก็ผ่านฮอด จอมทอง เข้าเชียงใหม่ หน้าหนาวนักท่องเที่ยวหนาตา ทำให้พวกเราพลอยกระเป๋าตุงไปด้วย
พูดถึงวิวยามเช้าที่หาดดอยเต่านี่สวยจริงๆ ดูเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ...
สายน้ำเวิ้งว้าง ลมพัดโชยให้ระลอกคลื่นเข้าหาฝั่ง ทิวเขาลิบๆ อยู่ใต้ฟ้าสีครามที่เริ่มเปลี่ยนสีสันเมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นช้าๆ บรรยากาศแสนสุขสงบผิดกับในเมืองเป็นไหนๆ
เช้านั้น ผมช่วยเขาตั้งแผงขายปลาตามเคย ลอตเตอรี่ไม่ต้องใช้แผง แต่สะพายกระบะเดินเร่ไปขายตั้งแต่นักท่องเที่ยวลงจากแพ ไปยันแผงขายปลา ส่งกันถึงบันไดรถทัวร์เลยนักท่องเที่ยวหลายๆ คนก็เปลี่ยนใจมาเสี่ยงโชคตอนจะขึ้นรถก็มีครับ
วันนั้นเมฆหนา ฟ้าครึ้ม แต่สรรพสิ่งก็ยังสว่างไสวตามเคย...ผมเดินทักทายชาวแพที่คุ้นๆ หน้ากัน มองเลยไปเห็นเรือยนต์กำลังลากแพแล่นอึดอาดเข้าหาฝั่ง...ลมพัดวูบใหญ่ทำให้ผมหนาวสะท้าน ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
อ้าว? นั่นใครกำลังยืนชมวิวอยู่ที่ชายน้ำเพียงเดียวดาย?
ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมเดินเข้าไปหา...ชายชราผมขาวโพลน ร่างเล็ก นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยึดคอปกสีเหลือง สวมรองเท้าผ้าใบ มองเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว ว่าแต่ทำไมแกยืนอยู่คนเดียวหรือว่าตกรถทัวร์เลยมายืนชมวิวแก้เซ็ง...
เสียงรถยนต์ดังกระหึ่มทางเบื้องหลัง ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นรถทัวร์จอดอยู่ 2-3 คัน...แต่กลับมีรถพยาบาลสีขาวแล่นเข้ามา!
ขณะนั้นเอง เรือยนต์ก็นำแพสำราญมาเทียบฝั่ง...ผมหันไปอีกครั้งก็เห็นชายหญิงนับสิบๆ คนแต่งตัวสีสันฉูดฉาดก็ทยอยกันขึ้นจากแพ ต่างคนต่างเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนจะหวาดระแวงอะไรก็ไม่ทราบ
อ๋อ! ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินตามมา สะดุดตาที่เห็นชายคนหนึ่งกอดคอแบบขี่หลังมาด้วย มีเสียงบอกกล่าวกันว่า...เร็วๆ เดี๋ยวจะไปหาหมอไม่ทัน! หัวใจวาย...
ผมเห็นใบหน้าที่ซบต้นคอชายร่างใหญ่แล้วตกตะลึงไป...ชายแก่ผมขาวสวมเสื้อสีเหลือง นุ่งกางเกงขาสั้นที่ผมเห็นยืนชมวิวอยู่เมื่อครู่ก่อนนี่เอง... หันขวับเหมือนถูกจับกระชาก แต่ก็ไม่เห็นร่างนั้นเสียแล้ว!
รถพยาบาลแล่นห่างออกไป...ขอให้เป็นแค่เจตภูต อย่าเป็นวิญญาณเลยครับ บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 23 เมษายน 2551
22 พฤศจิกายน 2559
ไปฟังสวด!
"ป้านวล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสวดศพ
เชื่อกันว่า คนที่ถูกผีหลอกมักจะเป็นคนกลัวผีมาก กลัวจริงๆ จังๆ เรียกว่ากลัวขนาดหนัก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ ขึ้นชื่อว่าภูตผีปีศาจเสียอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผีมาตากลวงโบ๋ หรือว่ามาเรียบๆ ร้อยๆ เหมือนผู้คนทั่วไปก็เถอะค่ะ
พวกผีนี่ก็พิลึกล่ะ! รู้ว่าเขากลัวก็ยิ่งหลอกได้หลอกเอา ทีคนที่เขาประกาศลั่นๆ ว่า ไม่กลัวผี อยากเห็นผีใจจะขาด กลับไม่ยักกะไปหลอกหลอนเขาเลยแฮะ
อ้อ! ป้าอายุเลยหลักห้ามาแล้วนะคุณ ไม่อยากแก่ก็ต้องแก่ ทำไงได้ล่ะ อย่างที่พระท่านว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยวน่ะ คุณเอ๋ย ตอนที่ขึ้นเลขห้าใหม่ๆ ไปตลาดเจอพวกแม่ค้าที่รู้จักมักคุ้นดีแท้ๆ เคยเรียกพี่เรียกน้า อ้าว? เดี๋ยวนี้พวกเจ้าหล่อนพร้อมใจกันเรียก "ป้า" หน้าตาเฉย ต้องยอมรับว่าได้ฟังตอนแรกๆ ถึงกับใจหายใจหกตกน้ำป๋อมแป๋มแน่ะค่ะ
เฮ้อ...จำได้ว่าเพิ่งเป็นสาวเป็นนางเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ทำไมมันแก่ตัวรวดเร็วนักนะเรา ไม่รู้ว่าจะรีบร้อนเป็นป้าคนทั้งตลาดไปถึงไหน อีกหน่อยมันคงจะเรียกว่า "ยาย" ซะละมั้ง?
ป้าก็ป้า! อย่าไปฝืนสังขารดีกว่าค่ะคุณ อายุเป็นเพียงตัวเลข ใครว่าเราแก่ก็ช่าง เจ้าไม่แก่มั่งก็ให้มันรู้ไป! แต่ใจเรายังรักทางสนุกสนาน ถือว่ายังไม่แก่ก็แล้วกัน! ป้าถือคติว่าโลกมีไว้ให้เราเหยียบ ไม่ใช่มีไว้ให้แบก จะหาเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม อีกไม่นานก็สวัสดีเธอจ๋า ขออำลาไปวันทาพญายมเหมือนกันทุกคน
ป้าโชคดีอย่างที่ไม่มีโรคภัยอะไรประจำตัว พวกเพื่อนรุ่นเดียวกันมีทั้งอ้วนมาก, เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งหลอดเลือดตีบ ทั้งลิ้นหัวใจรั่ว ที่ถูกหวยจังเบอร์ก็เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด...ล่วงหน้ากันไปหลายคนแล้วค่ะ เฮ้อ...
แหม! เกิดมาป้าเพิ่งเข้าโรงพยาบาลหนเดียวเมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง!
ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บอะไรหรอกคุณ ป้ากลับจากทำงานแวะตลาดซื้อของกินของใช้ที่ตาอาร์ตชอบ...ลูกชายคนเดียวของป้าเอง เราอยู่กันแค่สองคนแม่ลูกแถวสามย่าน พ่อตาอาร์ตชอบทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ เลยลาโลกไปเมื่อราว 5 ปีก่อน...ป้าซื้อของพะรุงพะรังจนต้องขึ้นรถตุ๊กตุ๊กหน้าตลาด กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอยู่แล้ว จู่ๆ โดนชนโครมครามจนหล่นพลั่กลงไปนั่งพับเพียบเป็นผู้ดีชาววังอยู่ตรงที่วางเท้า ตอนแรกน่ะยังไม่เป็นไร รู้สึกขัดๆ สะโพกนิดหน่อย เอายาหม่องทาไว้แต่ไม่หายสักที ลูกชายเขาทนไม่ไหวพาไปโรงพยาบาล...เอกซเรย์เจอกระดูกร้าวค่ะ
ตอนนั้นล่ะค่ะที่ต้องนอนโรงพยาบาล ตาอาร์ตมาเยี่ยมเช้า-เย็น แถมมีเพื่อนทั้งหญิงทั้งชายมาเยี่ยมมากหน้าหลายตา...คือทั้งเพื่อนตัวเองกับเพื่อนลูกชายแหละค่ะ บางคนก็มาตั้ง 2-3 ครั้งแน่ะ...น่ารักจริงๆ พ่อคุร!
เมื่อต้นปีนี้เอง ตาอาร์ตก็มาบอกข่าวร้ายว่าเพื่อนชื่อโน้ตโดนรถชนตายหน้าบริษัท แถวรองเมือง ป้าก็ได้แต่ร้องว่า โถ...ไม่น่าอายุสั้นเลย! ขอให้ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ! แล้วบอกลูกชายว่าแม่ไม่ไปงานศพเพื่อนอาร์ตล่ะนะ รู้ใช่ไหมว่าแม่ไม่ชอบไปงานศพ! เลี่ยงไม่ได้จริงๆ อย่างงานศพพ่อยังอกสั่นขวัญแขวนแทบตายแน่ะ
ไม่ใช่กลัวเรื่องดวงชงไม่ชงอะไรนั่นหรอก...แม่กลัวผีน่ะลูก!
แน้...ตาอาร์ตกลับบอกว่าไม่ไปไม่ได้หรอกแม่ เพราะตอนแม่เข้าโรงพยาบาลน่ะเจ้าโน้ตมันตามไปเยี่ยมแม่ทุกวันจนถึงวันกลับยังตามมาส่งถึงบ้าน...ขืนไม่ไปโดนนินทาไม่รู้นะ
ป้าได้ฟังถึงกับกระเดือกน้ำลาย บอกเสียงอ่อยๆ ว่า...งั้นแม่ขอไปฟังสวดคืนเดียวก็แล้วกัน วันเผาแม่คงไปไม่ไหว มันหวาดเสียวน่ะลูกเอ๋ย...
สรุปว่าพยายามรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็ง ไปวันสวดพ่อโน้ตคืนแรก อ้อ! รีบไปแต่หัววันด้วย ศาลาวัดแถวหัวลำโพงโล่งกว้าง พวกหนุ่มๆ สาวๆ ในชุดไว้ทุกข์เข้ามายกมือไหว้ จำได้หลายคนว่าเคยไปเยี่ยมป้าคราวโดนรถชน พ่อหนุ่มคนหนึ่งมาเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ในศาลา หาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ตาอาร์ตก็คอยไปรับแขกกับเพื่อนๆ
ไม่รู้จักญาติพ่อโน้ตสักคน หันไปมองทางโลงศพตั้งเด่น...นั่นคงจะเป็นพ่อแม่ผู้ตายยังซบหน้าร่ำไห้กันน่าเวทนานัก อกเขาอกเรานะคะ...ถ้าตาอาร์ตต้องจากไปป้าคงแย่พอๆ กัน
เบือนหน้าจากภาพชวนหดหู่ไปทางโลงศพสีทอง ประดับดอกไม้สวยงาม มองดูภาพถ่ายของตาโน้ตตั้งเด่น กำลังยิ้มกว้างมองตอบมาด้วยแววตาเป็นประกาย ดูสดใสเหมือนยังมีชีวิตอยู่...ป้าจำได้แล้ว พ่อคุณเอ๋ย...มีน้ำใจไปเยี่ยมป้าที่โรงพยาบาลกับตาอาร์ตทุกวัน...
เอ๊ะ! เมื่อตะกี้ใครที่คุ้นๆ หน้ามายกมือไหว้หน้าศาลา สบตายิ้มน่ารัก พร่ำแต่ว่า...ขอบคุณนะครับแม่ อุตส่าห์มางานผม! ขอบคุณจริงๆ เชิญนั่งก่อน เดี๋ยวผมจะหาน้ำดื่มมาให้?!
ตาอาร์ตว่างจากรับแขกเดินเข้ามาหา ขณะที่พระภิกษุสี่รูปทยอยเข้ามา...ป้ารีบถามลูกชายว่าพ่อโน้ตมีพี่น้องผู้ชายกี่คน? คำตอบคือไม่มีเลย โน้ตเป็นลูกชายคนเดียว! ป้าเกือบสะดุ้งเป็นกุ้งเต้น นึกชมตัวเองว่าเก่งจริงๆ ที่ยกมือไหว้พระได้ ไม่ยักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน
"เมื่อตะกี้พ่อโน้ตเขามายกมือไหว้แม่ พาแม่มานั่ง" ป้าบอกลูกชายเสียงสั่นเครือ "ขากลับไม่ต้องไปส่งนะ ช่วยบอกพ่อโน้ตด้วย...แค่นี้แม่ก็จะขาดใจตายอยู่แล้ว! โธ่..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 22 เมษายน 2551
เชื่อกันว่า คนที่ถูกผีหลอกมักจะเป็นคนกลัวผีมาก กลัวจริงๆ จังๆ เรียกว่ากลัวขนาดหนัก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ ขึ้นชื่อว่าภูตผีปีศาจเสียอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผีมาตากลวงโบ๋ หรือว่ามาเรียบๆ ร้อยๆ เหมือนผู้คนทั่วไปก็เถอะค่ะ
พวกผีนี่ก็พิลึกล่ะ! รู้ว่าเขากลัวก็ยิ่งหลอกได้หลอกเอา ทีคนที่เขาประกาศลั่นๆ ว่า ไม่กลัวผี อยากเห็นผีใจจะขาด กลับไม่ยักกะไปหลอกหลอนเขาเลยแฮะ
อ้อ! ป้าอายุเลยหลักห้ามาแล้วนะคุณ ไม่อยากแก่ก็ต้องแก่ ทำไงได้ล่ะ อย่างที่พระท่านว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยวน่ะ คุณเอ๋ย ตอนที่ขึ้นเลขห้าใหม่ๆ ไปตลาดเจอพวกแม่ค้าที่รู้จักมักคุ้นดีแท้ๆ เคยเรียกพี่เรียกน้า อ้าว? เดี๋ยวนี้พวกเจ้าหล่อนพร้อมใจกันเรียก "ป้า" หน้าตาเฉย ต้องยอมรับว่าได้ฟังตอนแรกๆ ถึงกับใจหายใจหกตกน้ำป๋อมแป๋มแน่ะค่ะ
เฮ้อ...จำได้ว่าเพิ่งเป็นสาวเป็นนางเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ทำไมมันแก่ตัวรวดเร็วนักนะเรา ไม่รู้ว่าจะรีบร้อนเป็นป้าคนทั้งตลาดไปถึงไหน อีกหน่อยมันคงจะเรียกว่า "ยาย" ซะละมั้ง?
ป้าก็ป้า! อย่าไปฝืนสังขารดีกว่าค่ะคุณ อายุเป็นเพียงตัวเลข ใครว่าเราแก่ก็ช่าง เจ้าไม่แก่มั่งก็ให้มันรู้ไป! แต่ใจเรายังรักทางสนุกสนาน ถือว่ายังไม่แก่ก็แล้วกัน! ป้าถือคติว่าโลกมีไว้ให้เราเหยียบ ไม่ใช่มีไว้ให้แบก จะหาเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม อีกไม่นานก็สวัสดีเธอจ๋า ขออำลาไปวันทาพญายมเหมือนกันทุกคน
ป้าโชคดีอย่างที่ไม่มีโรคภัยอะไรประจำตัว พวกเพื่อนรุ่นเดียวกันมีทั้งอ้วนมาก, เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งหลอดเลือดตีบ ทั้งลิ้นหัวใจรั่ว ที่ถูกหวยจังเบอร์ก็เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด...ล่วงหน้ากันไปหลายคนแล้วค่ะ เฮ้อ...
แหม! เกิดมาป้าเพิ่งเข้าโรงพยาบาลหนเดียวเมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง!
ไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บอะไรหรอกคุณ ป้ากลับจากทำงานแวะตลาดซื้อของกินของใช้ที่ตาอาร์ตชอบ...ลูกชายคนเดียวของป้าเอง เราอยู่กันแค่สองคนแม่ลูกแถวสามย่าน พ่อตาอาร์ตชอบทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ เลยลาโลกไปเมื่อราว 5 ปีก่อน...ป้าซื้อของพะรุงพะรังจนต้องขึ้นรถตุ๊กตุ๊กหน้าตลาด กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านอยู่แล้ว จู่ๆ โดนชนโครมครามจนหล่นพลั่กลงไปนั่งพับเพียบเป็นผู้ดีชาววังอยู่ตรงที่วางเท้า ตอนแรกน่ะยังไม่เป็นไร รู้สึกขัดๆ สะโพกนิดหน่อย เอายาหม่องทาไว้แต่ไม่หายสักที ลูกชายเขาทนไม่ไหวพาไปโรงพยาบาล...เอกซเรย์เจอกระดูกร้าวค่ะ
ตอนนั้นล่ะค่ะที่ต้องนอนโรงพยาบาล ตาอาร์ตมาเยี่ยมเช้า-เย็น แถมมีเพื่อนทั้งหญิงทั้งชายมาเยี่ยมมากหน้าหลายตา...คือทั้งเพื่อนตัวเองกับเพื่อนลูกชายแหละค่ะ บางคนก็มาตั้ง 2-3 ครั้งแน่ะ...น่ารักจริงๆ พ่อคุร!
เมื่อต้นปีนี้เอง ตาอาร์ตก็มาบอกข่าวร้ายว่าเพื่อนชื่อโน้ตโดนรถชนตายหน้าบริษัท แถวรองเมือง ป้าก็ได้แต่ร้องว่า โถ...ไม่น่าอายุสั้นเลย! ขอให้ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ! แล้วบอกลูกชายว่าแม่ไม่ไปงานศพเพื่อนอาร์ตล่ะนะ รู้ใช่ไหมว่าแม่ไม่ชอบไปงานศพ! เลี่ยงไม่ได้จริงๆ อย่างงานศพพ่อยังอกสั่นขวัญแขวนแทบตายแน่ะ
ไม่ใช่กลัวเรื่องดวงชงไม่ชงอะไรนั่นหรอก...แม่กลัวผีน่ะลูก!
แน้...ตาอาร์ตกลับบอกว่าไม่ไปไม่ได้หรอกแม่ เพราะตอนแม่เข้าโรงพยาบาลน่ะเจ้าโน้ตมันตามไปเยี่ยมแม่ทุกวันจนถึงวันกลับยังตามมาส่งถึงบ้าน...ขืนไม่ไปโดนนินทาไม่รู้นะ
ป้าได้ฟังถึงกับกระเดือกน้ำลาย บอกเสียงอ่อยๆ ว่า...งั้นแม่ขอไปฟังสวดคืนเดียวก็แล้วกัน วันเผาแม่คงไปไม่ไหว มันหวาดเสียวน่ะลูกเอ๋ย...
สรุปว่าพยายามรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็ง ไปวันสวดพ่อโน้ตคืนแรก อ้อ! รีบไปแต่หัววันด้วย ศาลาวัดแถวหัวลำโพงโล่งกว้าง พวกหนุ่มๆ สาวๆ ในชุดไว้ทุกข์เข้ามายกมือไหว้ จำได้หลายคนว่าเคยไปเยี่ยมป้าคราวโดนรถชน พ่อหนุ่มคนหนึ่งมาเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ในศาลา หาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ตาอาร์ตก็คอยไปรับแขกกับเพื่อนๆ
ไม่รู้จักญาติพ่อโน้ตสักคน หันไปมองทางโลงศพตั้งเด่น...นั่นคงจะเป็นพ่อแม่ผู้ตายยังซบหน้าร่ำไห้กันน่าเวทนานัก อกเขาอกเรานะคะ...ถ้าตาอาร์ตต้องจากไปป้าคงแย่พอๆ กัน
เบือนหน้าจากภาพชวนหดหู่ไปทางโลงศพสีทอง ประดับดอกไม้สวยงาม มองดูภาพถ่ายของตาโน้ตตั้งเด่น กำลังยิ้มกว้างมองตอบมาด้วยแววตาเป็นประกาย ดูสดใสเหมือนยังมีชีวิตอยู่...ป้าจำได้แล้ว พ่อคุณเอ๋ย...มีน้ำใจไปเยี่ยมป้าที่โรงพยาบาลกับตาอาร์ตทุกวัน...
เอ๊ะ! เมื่อตะกี้ใครที่คุ้นๆ หน้ามายกมือไหว้หน้าศาลา สบตายิ้มน่ารัก พร่ำแต่ว่า...ขอบคุณนะครับแม่ อุตส่าห์มางานผม! ขอบคุณจริงๆ เชิญนั่งก่อน เดี๋ยวผมจะหาน้ำดื่มมาให้?!
ตาอาร์ตว่างจากรับแขกเดินเข้ามาหา ขณะที่พระภิกษุสี่รูปทยอยเข้ามา...ป้ารีบถามลูกชายว่าพ่อโน้ตมีพี่น้องผู้ชายกี่คน? คำตอบคือไม่มีเลย โน้ตเป็นลูกชายคนเดียว! ป้าเกือบสะดุ้งเป็นกุ้งเต้น นึกชมตัวเองว่าเก่งจริงๆ ที่ยกมือไหว้พระได้ ไม่ยักเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน
"เมื่อตะกี้พ่อโน้ตเขามายกมือไหว้แม่ พาแม่มานั่ง" ป้าบอกลูกชายเสียงสั่นเครือ "ขากลับไม่ต้องไปส่งนะ ช่วยบอกพ่อโน้ตด้วย...แค่นี้แม่ก็จะขาดใจตายอยู่แล้ว! โธ่..."
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 22 เมษายน 2551
21 พฤศจิกายน 2559
โทรศัพท์ซอย 7
"ธงเอก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง
ผมเป็นสมาชิกในหมู่บ้านซีเมนต์ไทย ริมคลองประปานี่เองครับ
ถ้าใครนั่งรถผ่านแล้วมองเข้าไปแบบผาดๆ เผินๆ คงจะนึกว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ของจริงน่ะกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเชื่อ มีบ้านช่องห้องหอมากมายหลายร้อยหลังคาเรือนเชียวละครับ เผลอๆอาจจะถึงพันก็เป็นได้
ข้างในแบ่งแยกออกเป็นหลายสิบซอย เพราะตู้โทรศัพท์สาธารณะก็มีตั้งสิบกว่าตู้เข้าไปแล้ว เมื่อก่อนโทรศัพท์ยังเป็นของสูงสุดเอื้อมสำหรับชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไป เขาเล่ากันว่าขอกันเป็นปียังไม่อยากจะได้ ต้องจ่ายพิเศษกันห้า-หกพันจนถึงหมื่นกว่าก็ยังมี กว่าจะได้โทรศัพท์มาใช้ซักเครื่องหนึ่งน่ะ
เดี๋ยวนี้แม่ค้าส้มตำหรือซาเล้งยังพกมือถือกันเกร่อ เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เดินไปพูดโทรศัพท์ไป ใครเอามาแจกฟรีๆ ยังไม่อยากได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มน่ะซีครับ
วันดีคืนดีผมก็โดนผีหลอกเพราะโทรศัพท์ทำพิษเข้าให้!
สาเหตุเพราะผมใช้บริการแบบเติมเงิน ไม่อยากฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ซื้อบัตรทีละสามร้อยบาทก็ใช้กันลืมเชียวละ
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เพื่อนฝูงฮัลโลกันเกรียวกราวเป็นพิเศษ ส่วนมากน่ะใช้มือถือกันแบบไร้สาระนะครับ เพราะเขาโปรโมชั่นกันเรื่องโทร.ถูกโทร.ฟรี ทำให้โทร.กันไม่ยั้ง อยู่ว่างๆ ก็กดหาเพื่อนซะงั้น เดี๋ยวคนนั้นกริ๊งมา เดี๋ยวเรากริ๊งไปหาคนนั้น บางคนก็เพิ่งเจอกันที่บริษัทเมื่อวานหยกๆ
คุยไปคุยมา...อ้าว? มีคนโทร.เข้ามาตอนเผลอไปกินข้าวมั่ง เข้าห้องน้ำมั่ง หรือดูทีวีเพลินๆ ก็ต้องโทร.กลับ ไม่อยากโดนต่อว่าทีหลังว่าทำไมไม่รับสาย หรือไม่โทร.กลับไป...
สรุปว่า เงินหมดครับ!
โทร.ไปหาใครไม่ได้ มือถือก็ไม่แตกต่างกับไม้ตีพริก ตอนนั้นสามทุ่มกว่าแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้จะออกไปซื้อบัตรเติมเงินซะที ...แต่มีเพื่อนซี้กัน 2-3 คนโทร.มาแล้วไม่ได้รับสาย จะรอให้โทร.มาอีกทีก็ไม่โทร. แล้วจะทำยังไงดี?
หมุนไปหมุนมาก็นึกถึงโทรศัพท์สาธารณะขึ้นมาได้!
ตู้ใกล้ๆ บ้านก็ปากซอย 7 นี่เอง...หมู่บ้านผมเขาจัดซอยเป็นเลขคู่-เลขคี่ นะครับ ผมนุ่งกางเกงขาสั้น คว้าเสื้อยืดมาสวม หยิบเหรียญห้าติดมือมา 2 เหรียญ ลากรองเท้าแตะออกจากบ้าน...เจ้ากรรม! ลมแรงพัดอู้ๆ ฟ้ามืดครึ้ม ส่งเสียงครืนๆ มาแต่ไกล เป็นสัญญาณว่าพระพิรุณจะซัดจั๊กๆมาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ตู้โทรศัพท์ นึกภาวนาว่าขอให้โทร.ติดเร็วๆ จะได้บอกข่าวเรื่องมือถือเงินหมดให้รับรู้ อยากจ้อนักก็เชิญเป็นฝ่ายแจงแวงมาหาข้าพเจ้าละกัน
ผีสางๆ มีคนใช้โทรศัพท์อยู่พอดี!
ให้มันได้ยังงี้ซีน่า ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ นุ่งขาสั้น สวมทีเชิ้ตสีขาวเหมือนผม แต่เดาะหมวกแก๊ปด้วย...พอเหลือบมาเห็นผมเท่านั้นแหละ รีบหันหลังให้ทันที...พูดพลางหัวเราะพลางเหมือนจะชอบอกชอบใจก็แกล้งให้ผมยืนรอได้งั้นแหละเอ้า
ถอนใจเฮือกใหญ่ ว่าจะเคาะประตูเรียกก็ใช่ที่ เราเองก็ใช่ว่ามีธุระร้อนรนถึงกับคอขาดบาดตาย ...ข้อสำคัญคือพี่แกตัวสูงใหญ่เหลือกำลัง
เสียงพูดปนหัวเราะอักๆ ดังแว่วออกมา กวนชิบ...ลมยิ่งพัดแรง ยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่า นานๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาซักคัน ...ถ้าฝนซัดจั๊กๆ ลงมาจะทำยังไง? ผมเองก็ไม่ได้คว้าร่มติดมือมาด้วยเพราะนึกไม่ถึง มองดูหมอนั่นในตู้ก็ไม่เห็นมีร่มเหมือนกัน
โธ่! ผมลืมตู้โทรศัพท์ที่ซอย 10 ได้ไงเนี่ย?
วิ่งข้ามถนนมุ่งหน้าไปตามทางเลี้ยวซ้าย ตู้โทรศัพท์โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ แถมว่างเปล่าพอดี...ไม่ง้อลื้อก็ได้วะ! ผมนึกขณะหันไปมองอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะอ้าปากค้าง ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ในบัดดลนั่นเอง!
ตู้โทรศัพท์ว่างเปล่า...ไม่มีชายร่างใหญ่หรือใครอยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว
"เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมยังงงงันเหมือนโดนอะไรประเคนเข้ากลางแสกหน้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ฟ้าแลบวาบ ก่อนลั่นเปรี้ยงสะเทือนแก้วหู เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเพราะแสงฟ้าแลบทำให้เห็นชายร่างยักษ์นั่นกำลังยืนหัวเราะร่วนอยู่ในตู้โทรศัพท์ตามเดิม
นัยน์ตาผมอาจจะพร่าพรายเพราะแสงฟ้าแลบก็เป็นได้ ยอมือขึ้นขยี้ตาแล้วจ้องมองไปอีกครั้ง...นรกเป็นพยาน! ไม่มีใครอยู่ในตู้โทรศัพท์ปากซอย 7 เลย นอกจากความว่างเปล่า ผมเดินแข้งขาสั่นกลับไปดูให้แน่ใจ แต่ก็ไม่มีใครจริงๆ
เอียงซ้ายเอียงขวามองก็ไม่เห็น แต่อึดใจเดียวไม่มีทางที่จะหายไปไหนได้แน่ๆ ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ไม่มีร่างกาย...ผมเผ่นอ้าวเข้าบ้าน เลิกคิดโทรศัพท์อีกต่อไป ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 เมษายน 2551
ผมเป็นสมาชิกในหมู่บ้านซีเมนต์ไทย ริมคลองประปานี่เองครับ
ถ้าใครนั่งรถผ่านแล้วมองเข้าไปแบบผาดๆ เผินๆ คงจะนึกว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ของจริงน่ะกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเชื่อ มีบ้านช่องห้องหอมากมายหลายร้อยหลังคาเรือนเชียวละครับ เผลอๆอาจจะถึงพันก็เป็นได้
ข้างในแบ่งแยกออกเป็นหลายสิบซอย เพราะตู้โทรศัพท์สาธารณะก็มีตั้งสิบกว่าตู้เข้าไปแล้ว เมื่อก่อนโทรศัพท์ยังเป็นของสูงสุดเอื้อมสำหรับชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไป เขาเล่ากันว่าขอกันเป็นปียังไม่อยากจะได้ ต้องจ่ายพิเศษกันห้า-หกพันจนถึงหมื่นกว่าก็ยังมี กว่าจะได้โทรศัพท์มาใช้ซักเครื่องหนึ่งน่ะ
เดี๋ยวนี้แม่ค้าส้มตำหรือซาเล้งยังพกมือถือกันเกร่อ เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เดินไปพูดโทรศัพท์ไป ใครเอามาแจกฟรีๆ ยังไม่อยากได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มน่ะซีครับ
วันดีคืนดีผมก็โดนผีหลอกเพราะโทรศัพท์ทำพิษเข้าให้!
สาเหตุเพราะผมใช้บริการแบบเติมเงิน ไม่อยากฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ซื้อบัตรทีละสามร้อยบาทก็ใช้กันลืมเชียวละ
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ เพื่อนฝูงฮัลโลกันเกรียวกราวเป็นพิเศษ ส่วนมากน่ะใช้มือถือกันแบบไร้สาระนะครับ เพราะเขาโปรโมชั่นกันเรื่องโทร.ถูกโทร.ฟรี ทำให้โทร.กันไม่ยั้ง อยู่ว่างๆ ก็กดหาเพื่อนซะงั้น เดี๋ยวคนนั้นกริ๊งมา เดี๋ยวเรากริ๊งไปหาคนนั้น บางคนก็เพิ่งเจอกันที่บริษัทเมื่อวานหยกๆ
คุยไปคุยมา...อ้าว? มีคนโทร.เข้ามาตอนเผลอไปกินข้าวมั่ง เข้าห้องน้ำมั่ง หรือดูทีวีเพลินๆ ก็ต้องโทร.กลับ ไม่อยากโดนต่อว่าทีหลังว่าทำไมไม่รับสาย หรือไม่โทร.กลับไป...
สรุปว่า เงินหมดครับ!
โทร.ไปหาใครไม่ได้ มือถือก็ไม่แตกต่างกับไม้ตีพริก ตอนนั้นสามทุ่มกว่าแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้จะออกไปซื้อบัตรเติมเงินซะที ...แต่มีเพื่อนซี้กัน 2-3 คนโทร.มาแล้วไม่ได้รับสาย จะรอให้โทร.มาอีกทีก็ไม่โทร. แล้วจะทำยังไงดี?
หมุนไปหมุนมาก็นึกถึงโทรศัพท์สาธารณะขึ้นมาได้!
ตู้ใกล้ๆ บ้านก็ปากซอย 7 นี่เอง...หมู่บ้านผมเขาจัดซอยเป็นเลขคู่-เลขคี่ นะครับ ผมนุ่งกางเกงขาสั้น คว้าเสื้อยืดมาสวม หยิบเหรียญห้าติดมือมา 2 เหรียญ ลากรองเท้าแตะออกจากบ้าน...เจ้ากรรม! ลมแรงพัดอู้ๆ ฟ้ามืดครึ้ม ส่งเสียงครืนๆ มาแต่ไกล เป็นสัญญาณว่าพระพิรุณจะซัดจั๊กๆมาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ตู้โทรศัพท์ นึกภาวนาว่าขอให้โทร.ติดเร็วๆ จะได้บอกข่าวเรื่องมือถือเงินหมดให้รับรู้ อยากจ้อนักก็เชิญเป็นฝ่ายแจงแวงมาหาข้าพเจ้าละกัน
ผีสางๆ มีคนใช้โทรศัพท์อยู่พอดี!
ให้มันได้ยังงี้ซีน่า ผู้ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ นุ่งขาสั้น สวมทีเชิ้ตสีขาวเหมือนผม แต่เดาะหมวกแก๊ปด้วย...พอเหลือบมาเห็นผมเท่านั้นแหละ รีบหันหลังให้ทันที...พูดพลางหัวเราะพลางเหมือนจะชอบอกชอบใจก็แกล้งให้ผมยืนรอได้งั้นแหละเอ้า
ถอนใจเฮือกใหญ่ ว่าจะเคาะประตูเรียกก็ใช่ที่ เราเองก็ใช่ว่ามีธุระร้อนรนถึงกับคอขาดบาดตาย ...ข้อสำคัญคือพี่แกตัวสูงใหญ่เหลือกำลัง
เสียงพูดปนหัวเราะอักๆ ดังแว่วออกมา กวนชิบ...ลมยิ่งพัดแรง ยอดไม้ส่งเสียงซู่ซ่า นานๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่านไปมาซักคัน ...ถ้าฝนซัดจั๊กๆ ลงมาจะทำยังไง? ผมเองก็ไม่ได้คว้าร่มติดมือมาด้วยเพราะนึกไม่ถึง มองดูหมอนั่นในตู้ก็ไม่เห็นมีร่มเหมือนกัน
โธ่! ผมลืมตู้โทรศัพท์ที่ซอย 10 ได้ไงเนี่ย?
วิ่งข้ามถนนมุ่งหน้าไปตามทางเลี้ยวซ้าย ตู้โทรศัพท์โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ แถมว่างเปล่าพอดี...ไม่ง้อลื้อก็ได้วะ! ผมนึกขณะหันไปมองอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะอ้าปากค้าง ยืนตะลึงงันอยู่กับที่ในบัดดลนั่นเอง!
ตู้โทรศัพท์ว่างเปล่า...ไม่มีชายร่างใหญ่หรือใครอยู่ในนั้นแม้แต่คนเดียว
"เฮ้ย! อะไรกัน..." ผมยังงงงันเหมือนโดนอะไรประเคนเข้ากลางแสกหน้า เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ฟ้าแลบวาบ ก่อนลั่นเปรี้ยงสะเทือนแก้วหู เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเพราะแสงฟ้าแลบทำให้เห็นชายร่างยักษ์นั่นกำลังยืนหัวเราะร่วนอยู่ในตู้โทรศัพท์ตามเดิม
นัยน์ตาผมอาจจะพร่าพรายเพราะแสงฟ้าแลบก็เป็นได้ ยอมือขึ้นขยี้ตาแล้วจ้องมองไปอีกครั้ง...นรกเป็นพยาน! ไม่มีใครอยู่ในตู้โทรศัพท์ปากซอย 7 เลย นอกจากความว่างเปล่า ผมเดินแข้งขาสั่นกลับไปดูให้แน่ใจ แต่ก็ไม่มีใครจริงๆ
เอียงซ้ายเอียงขวามองก็ไม่เห็น แต่อึดใจเดียวไม่มีทางที่จะหายไปไหนได้แน่ๆ ยกเว้นแต่จะเป็นผู้ไม่มีร่างกาย...ผมเผ่นอ้าวเข้าบ้าน เลิกคิดโทรศัพท์อีกต่อไป ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 เมษายน 2551
18 พฤศจิกายน 2559
วิญญาณร้องไห้
"แพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากงานศพเพื่อนรัก
ความรักคือความทุกข์ เสียงหัวเราะที่มักจะลงเอยด้วยหยาดน้ำตา! ยกเว้นแต่จะยอมรับความจริง อย่างที่พระบรมศาสดาได้ตรัสไว้เมื่อเกือบสามพันปีก่อนว่า...คนเราย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักเสมอไป!
ดนยา-เพื่อนรักของดิฉันเองคือบทพิสูจน์คำว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ได้เป็นอย่างดีค่ะ
เพราะความรักนั่นเองที่ทำให้ดนยาต้องจบชีวิตในช่วงอายุต้น 20 ปี...วัยที่ผู้หญิงเรากำลังสะสวย เปล่งปลั่ง เต็มไปด้วยเลือดฝาดและความกระตือรือร้น ใบหน้าและแววตาแจ่มใสเปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานรับน้ำค้างและแสงแดดอย่างเต็มที่
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ความฝันทั้งปวงกำลังจะกลายเป็นความจริง ความสำเร็จสมหวังกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า ชีวิตที่มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าสดใส...ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่า มันจะลงเอยด้วยน้ำตา...และสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนเอง
ดนยาก็เช่นกัน!
พวกเราเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว การฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่น่าตื่นเต้น โลกนี้เปิดกว้างขึ้นไปอีก มีผู้คนมากมายที่ได้รับความสำเร็จในอาชีพ เป็นตัวอย่างและสร้างกำลังใจให้ดียิ่ง
ดนยากับเพื่อนๆ ไปฝึกงานที่โฮเต็ลหรูหราระดับ 4 ดาวแถวถนนสุขุมวิทนี่เอง
เชษฐ์คือคนรักที่เรียนต่างสถาบัน แต่คอยพะเน้าพะนอดนยาแทบทุกอย่าง รวมทั้งการขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับ-ส่งทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
ดนยาสะสวย อ่อนหวาน ร่าเริง เข้ากับคนง่าย รอยยิ้มอันสดใสและเปิดเผยของเธอเป็นเสน่ห์รุนแรง แม้แต่กับคนเพศเดียวกัน พวกเรายอมรับว่าดนยาเป็นคนสวยที่สุดและเสน่ห์แรงที่สุดในกลุ่ม...เชษฐ์เคยบอกว่าไม่เคยรักใครมาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าและรอยยิ้มของดนยาครั้งแรกก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น
คนทั้งสองรักใคร่กัน...แต่สังเกตว่าความรักของเชษฐ์มากมายจนออกนอกหน้ายิ่งกว่าความรักของดนยา!
ระยะหลังๆ ได้ข่าวว่าคนรักคู่นี้เริ่มมีปากมีเสียงกันบ่อยครั้ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดนยาคนสวยมีหนุ่มๆ มาใกล้ชิดติดพัน ตั้งแต่รุ่นเดียวกันจนถึงรุ่นพี่และรุ่นน้ารุ่นอา บางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ความสนิทสนมและการหัวเราะต่อกระซิกระหว่างดนยากับผู้ชายอื่นๆ เปรียบเหมือนหนามยอกอกเชษฐ์ ผู้จริงจังกับชีวิตจนเกินไป
ข่าวสุดท้ายก็คือ...เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งจากสุขุมวิทไปถึงบ้านที่สะพานขาว ดนยาท้าเลิก เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สติขาดผึง...เชษฐ์กระชากปืนพกออกมายิงใส่หน้าอกเธอ 5 นัดซ้อนๆ ก่อนจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อขมับตัวเอง...แล้วลั่นไก!
โศกนาฏกรรมรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะนึกฝัน...แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป ช่วยกันนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปฟังสวดพระอภิธรรมตั้งแต่คืนแรก รู้สึกสลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งในบรรยากาศเยือกเย็น ทั้งภาพของแม่ดนยากอดลูกๆร้องไห้ พ่อของเธอนัยน์ตาแดงก่ำนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น...เหม่อมองรูปถ่ายของลูกสาวที่ยิ้มระรื่นอยู่หน้าโลง กำลังมองตอบมาด้วยสายตาสดใสเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่
...มองตามสายตานั้นไป นัยน์ตาเราสบสานกันนิ่งๆ เหมือนโลกหยุดหมุน และกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แสงไฟในศาลาสวดพระอภิธรรมคงจะเป็นสาเหตุให้ดิฉันตาพร่า...มองเห็นริมฝีปากของดนยาในภาพถ่ายเผยอยิ้มมากขึ้น...มากขึ้นทุกที!
"ลาก่อน...ลาก่อน..."
ดิฉันขนลุกซ่า อ้าปากค้าง ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปในบัดดล หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะกระทบโพรงอก แต่นัยน์ตายังลืมโพลง จ้องมองภาพถ่ายของเพื่อนรักผู้จากไปตลอดกาล
คุณพระช่วย! ในแสงไฟเหลืองรัวเหมือนเป็นภาพในความฝัน ดิฉันเห็นดนยาในภาพถ่ายกะพริบตาครั้งหนึ่ง...แววตาของเธอแสนเศร้าราวกับจะสำนึกในชะตากรรม...ความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้เธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง...ได้แต่หันกลับมาดูด้วยความโหยหา อาลัยอาวรณ์อย่างสุดแสน แต่ไม่อาจจะเรียกร้องชีวิตให้กลับคืนมาได้อีกเลย!
ร่างกายที่แน่นิ่งอยู่ในโลงศพย่อมไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ ไม่ช้าก็จะถูกไฟแผดเผาให้มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน...จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า และจากธุลีกลับคืนสู่ธุลีตามเดิม
ดิฉันกระเดือกน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น กระซิบซาบอยู่ว่า...ลาก่อนเพื่อนรัก ขอให้ไปสู่ภพหน้าอย่างเป็นสุขๆ เถิด! น้ำตาดิฉันไหลรินลงมาตามร่องแก้มเงียบๆ ขณะนั้นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2551
ความรักคือความทุกข์ เสียงหัวเราะที่มักจะลงเอยด้วยหยาดน้ำตา! ยกเว้นแต่จะยอมรับความจริง อย่างที่พระบรมศาสดาได้ตรัสไว้เมื่อเกือบสามพันปีก่อนว่า...คนเราย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักเสมอไป!
ดนยา-เพื่อนรักของดิฉันเองคือบทพิสูจน์คำว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ได้เป็นอย่างดีค่ะ
เพราะความรักนั่นเองที่ทำให้ดนยาต้องจบชีวิตในช่วงอายุต้น 20 ปี...วัยที่ผู้หญิงเรากำลังสะสวย เปล่งปลั่ง เต็มไปด้วยเลือดฝาดและความกระตือรือร้น ใบหน้าและแววตาแจ่มใสเปรียบเหมือนดอกไม้ที่กำลังผลิบานรับน้ำค้างและแสงแดดอย่างเต็มที่
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ความฝันทั้งปวงกำลังจะกลายเป็นความจริง ความสำเร็จสมหวังกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า ชีวิตที่มีแต่เสียงหัวเราะเริงร่าสดใส...ไม่มีใครคาดเดาได้หรอกว่า มันจะลงเอยด้วยน้ำตา...และสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตอันเป็นที่รักยิ่งของตนเอง
ดนยาก็เช่นกัน!
พวกเราเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว การฝึกงานตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่น่าตื่นเต้น โลกนี้เปิดกว้างขึ้นไปอีก มีผู้คนมากมายที่ได้รับความสำเร็จในอาชีพ เป็นตัวอย่างและสร้างกำลังใจให้ดียิ่ง
ดนยากับเพื่อนๆ ไปฝึกงานที่โฮเต็ลหรูหราระดับ 4 ดาวแถวถนนสุขุมวิทนี่เอง
เชษฐ์คือคนรักที่เรียนต่างสถาบัน แต่คอยพะเน้าพะนอดนยาแทบทุกอย่าง รวมทั้งการขับรถมอเตอร์ไซค์ไปรับ-ส่งทั้งตอนเช้าและตอนเย็น
ดนยาสะสวย อ่อนหวาน ร่าเริง เข้ากับคนง่าย รอยยิ้มอันสดใสและเปิดเผยของเธอเป็นเสน่ห์รุนแรง แม้แต่กับคนเพศเดียวกัน พวกเรายอมรับว่าดนยาเป็นคนสวยที่สุดและเสน่ห์แรงที่สุดในกลุ่ม...เชษฐ์เคยบอกว่าไม่เคยรักใครมาก่อน แต่เมื่อเห็นหน้าและรอยยิ้มของดนยาครั้งแรกก็หลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น
คนทั้งสองรักใคร่กัน...แต่สังเกตว่าความรักของเชษฐ์มากมายจนออกนอกหน้ายิ่งกว่าความรักของดนยา!
ระยะหลังๆ ได้ข่าวว่าคนรักคู่นี้เริ่มมีปากมีเสียงกันบ่อยครั้ง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดนยาคนสวยมีหนุ่มๆ มาใกล้ชิดติดพัน ตั้งแต่รุ่นเดียวกันจนถึงรุ่นพี่และรุ่นน้ารุ่นอา บางคนอาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ความสนิทสนมและการหัวเราะต่อกระซิกระหว่างดนยากับผู้ชายอื่นๆ เปรียบเหมือนหนามยอกอกเชษฐ์ ผู้จริงจังกับชีวิตจนเกินไป
ข่าวสุดท้ายก็คือ...เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งจากสุขุมวิทไปถึงบ้านที่สะพานขาว ดนยาท้าเลิก เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สติขาดผึง...เชษฐ์กระชากปืนพกออกมายิงใส่หน้าอกเธอ 5 นัดซ้อนๆ ก่อนจะหันปากกระบอกปืนมาจ่อขมับตัวเอง...แล้วลั่นไก!
โศกนาฏกรรมรุนแรงและโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะนึกฝัน...แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป ช่วยกันนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี
ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปฟังสวดพระอภิธรรมตั้งแต่คืนแรก รู้สึกสลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทั้งในบรรยากาศเยือกเย็น ทั้งภาพของแม่ดนยากอดลูกๆร้องไห้ พ่อของเธอนัยน์ตาแดงก่ำนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น...เหม่อมองรูปถ่ายของลูกสาวที่ยิ้มระรื่นอยู่หน้าโลง กำลังมองตอบมาด้วยสายตาสดใสเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่
...มองตามสายตานั้นไป นัยน์ตาเราสบสานกันนิ่งๆ เหมือนโลกหยุดหมุน และกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แสงไฟในศาลาสวดพระอภิธรรมคงจะเป็นสาเหตุให้ดิฉันตาพร่า...มองเห็นริมฝีปากของดนยาในภาพถ่ายเผยอยิ้มมากขึ้น...มากขึ้นทุกที!
"ลาก่อน...ลาก่อน..."
ดิฉันขนลุกซ่า อ้าปากค้าง ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปในบัดดล หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะกระทบโพรงอก แต่นัยน์ตายังลืมโพลง จ้องมองภาพถ่ายของเพื่อนรักผู้จากไปตลอดกาล
คุณพระช่วย! ในแสงไฟเหลืองรัวเหมือนเป็นภาพในความฝัน ดิฉันเห็นดนยาในภาพถ่ายกะพริบตาครั้งหนึ่ง...แววตาของเธอแสนเศร้าราวกับจะสำนึกในชะตากรรม...ความเป็นจริงว่า เดี๋ยวนี้เธอสิ้นลมหายใจเสียแล้ว วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง...ได้แต่หันกลับมาดูด้วยความโหยหา อาลัยอาวรณ์อย่างสุดแสน แต่ไม่อาจจะเรียกร้องชีวิตให้กลับคืนมาได้อีกเลย!
ร่างกายที่แน่นิ่งอยู่ในโลงศพย่อมไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้ ไม่ช้าก็จะถูกไฟแผดเผาให้มอดไหม้เหลือแต่เถ้าถ่าน...จากดินสู่ดิน จากเถ้าสู่เถ้า และจากธุลีกลับคืนสู่ธุลีตามเดิม
ดิฉันกระเดือกน้ำลายอย่างลำบากยากเย็น กระซิบซาบอยู่ว่า...ลาก่อนเพื่อนรัก ขอให้ไปสู่ภพหน้าอย่างเป็นสุขๆ เถิด! น้ำตาดิฉันไหลรินลงมาตามร่องแก้มเงียบๆ ขณะนั้นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2551
17 พฤศจิกายน 2559
สงกรานต์สยอง
"ออฟ" เล่าประสบการณ์การขนหัวลุกในวันสงกรานต์
ผมเคยเป็นเด็กหนองแค จังหวัดสระบุรีมาก่อน ชีวิตตอนนั้นสนุกมากครับ ทั้งกินและเล่น เที่ยวเตร่ สนุกสนานไปวันๆ ตามประสาเด็ก ไม่ต้องมีภาระหนักอึ้งเหมือนพวกผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวทั้งหลายแหล่
ยิ่งอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงอย่างทุกวันนี้ ล้วนแต่บอกว่าต้องนอนลืมตาโพลง ใช้แขนก่ายหน้าผากอย่างเดียวยังไม่พอเลย คุณเอ๋ย
หลายๆ คนหน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กัน เพราะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ยิ่งใครมีลูกเต้าในวัยเรียน ต้องเตรียมกลุ้มใจไว้สำหรับเดือนหน้า...ได้เวลาเปิดเทอมอีกแล้ว ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ต้องควักกระเป๋าเป็นมัน...ข้อสำคัญก็คือควักจนหมดกระเป๋าก็ยังไม่จ่ายนี่ซี!
สมัยเด็กผมมีเพื่อนเยอะแยะ ทั้งรุ่นเดียวกันกับรุ่นใหญ่ ไล่ไปตั้งแต่หินกอง เขาขาด ประตูป่า บ้านแพะจนถึงบ้านปากเพรียวโน่นแน่ะ หลายๆคนก็ไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ แต่พอถึงตรุษสงกรานต์ก็กลับมาเยี่ยมบ้านกัน
รุ่นพี่ที่สนิทๆ กันก็มีพี่ทวน, พี่สน, พี่กุน...พวกนี้กำลังวัยรุ่นครับ ล้วนแต่ไปเรียนต่อกรุงเทพฯ กันทุกคน ใฝ่ฝันจะเป็นนายอำเภอ เป็นนายตำรวจนายทหารกันทั้งนั้นแหละ
พวกรุ่นพี่มักหาโอกาสกลับบ้านบ่อยๆ ไม่ว่าปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์หรือออกพรรษา เพราะระยะทางไม่ไกลนัก การเดินทางก็สะดวก นั่งบ.ข.ส.แค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว
สงกรานต์ปีนั้น ผมกับเจ้ากี่เพื่อนรักก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
พวกเราแต่งตัวสีสันฉูดฉาดน่าตื่นตาตื่นใจ พวกผู้หญิงล้วนแต่สวยๆ ทั้งนั้น บางคนก็เดาะชุดไทยเดิม ห่มสไบสีสดไปทำบุญกันแต่เช้า สรงน้ำพระเสร็จก็ก่อพระทราย หรือขนทรายเข้าวัดตามความเชื่อที่ว่า คนเราย่ำทรายออกนอกวัดทั้งปีก็ควรจะขนทรายกลับเข้าวัดเป็นการชดใช้...ไม่งั้นจะเป็นบาปติดตัวถึงกับตกนรกแน่ะครับ
ต่อจากนั้นก็มีการเล่นสาดน้ำระหว่างหนุ่มๆ สาวๆ สนุกสนานครึกครื้น เสียงหัวเราะดังก้องไปในอากาศอบอ้าวเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ไหนจะเสียงร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าตื่นเต้นชะมัด พวกสาวๆ ที่ใส่เสื้อบางๆ โดนน้ำสาดจนแนบเนื้อ ต้องคอยดึงเสื้อให้ห่างตัวไว้เรื่อยๆ เล่นเอาพวกผมต้องวิ่งตามดูกันเป็นพรวน ถึงจะแค่สิบกว่าขวบก็เถอะเอ้า!
หนุ่มสาวบางคู่เขาถูกชะตากันก็ไม่เป็นอันสาดน้ำคนอื่นล่ะ ตักน้ำวิ่งไปสาดกันไปมาเหมือนทั้งงานมีอยู่แค่สองคนเท่านั้นเอง...จะไม่ให้เด็กๆ อย่างพวกผมอยากโตเร็วๆ ได้ไงครับ
อ้าว? พี่กุนหิ้วกระเป๋าเดินเลี้ยวมาทางหลังตลาดพอดี...
พวกสาวๆ รุ่นเดียวกันกรูเข้าไปสาดน้ำหนุ่มกรุงเทพฯ จนเปียกโชกทั้งตัว ผมกับไอ้กี่ถือขันน้ำวิ่งเข้าไปหา ไม่ใช่สาดน้ำพี่กุนหรอกครับ แต่ไปถามว่าพี่ๆ คนอื่นล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ? พี่กุนยิ้มฟันขาว บอกว่าพวกเพื่อนๆ ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว นัดหมายว่าจะมาพบกันที่หนองแคนี่แหละ
"ขอตัวไปบ้านก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะมาเล่นสงกรานต์กับพวกลื้อให้ชุ่มใจ"
พี่กุนบอกกล่าวก่อนจะจ้ำอ้าวไปบ้าน พวกผมเล่นสาดน้ำกันดะมาจนถึงหน้าตลาด สงกรานต์สนุกไปถึงริมถนนใหญ่ ใครมีน้ำก็สาดใส่ไม่เลือกผู้คนหรือรถรา มอเตอร์ไซค์บางคนต้องบึ่งหนี...เพิ่งมารู้ทีหลังว่าโดนสาดแรงๆ อาจจะทำให้รถคว่ำได้
รถบ.ข.ส.จอดส่งผู้โดยสาร พี่ทวนกับพี่สนเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามา...กว่าจะถึงพวกผมก็เปียกโชกกันหมดแล้วครับ ผมถามว่าทำไมไม่มาพร้อมๆ กับพี่กุนล่ะ พี่ทวนหันมองพี่สนก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่
"ไอ้กุนโดนรถชนที่หน้าหมอชิต ตอนนี้อาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกข้าก็เกือบจะมาไม่ได้เหมือนกัน เป็นห่วงเพื่อนน่ะซีวะ...เดี๋ยวจะไปส่งข่าวให้พ่อแม่มันรู้"
"ฮ้า?!" ผมตะโกนซะดังลั่น "พี่กุนเพิ่งมาถึงหยกๆ เมื่อตะกี้ยังคุยกับพวกผมอยู่เลย บอกว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเล่นสงกรานต์ให้ชุ่ม...ไม่เชื่อถามไอ้กี่หรือใครๆ ดูก็ได้"
พี่ทวนกับพี่สนหน้าขาวซีด ผมเอ่ยชื่อสาวๆ ที่รุมสาดน้ำพี่กุน คือพี่ไหมกับพี่มะลิพี่สมรเป็นพยานสำคัญ แถมต่อว่ารุ่นพี่ทั้งสองว่ามาพูดใส่ร้ายพี่กุน...ไม่เชื่อตามไปดูที่บ้านด้วยกัน ถามพ่อแม่แกเลยว่าพี่กุนกลับบ้านหรือเปล่า?
ปรากฏว่าไปถึงบ้านพี่กุนเห็นแต่ลุงกับป้ากำลังลงบันไดหน้าดำคร่ำเครียดมาพอดี...ได้ความว่ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งข่าวเรื่องลูกชายโดนรถชนอาการสาหัส รีบร้อนจะไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลพี่กุน...เล่นเอาผมกับไอ้กี่เข่าอ่อนยวบ...เมื่อตะกี้เราเห็นอะไรกันแน่?
พี่กุนนอนไม่ได้สติอยู่ราว 5-6 วันก็สิ้นใจอย่างสงบ...ที่ผมเห็นเป็นพี่กุนน่ะคือวิญญาณหรือเจตภูตกันแน่ครับ? แต่นึกถึงหน้าตาพี่กุนวันนั้นแล้วผมยังขนลุกทุกที! บรื๋อส์....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 17 เมษายน 2551
ผมเคยเป็นเด็กหนองแค จังหวัดสระบุรีมาก่อน ชีวิตตอนนั้นสนุกมากครับ ทั้งกินและเล่น เที่ยวเตร่ สนุกสนานไปวันๆ ตามประสาเด็ก ไม่ต้องมีภาระหนักอึ้งเหมือนพวกผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวทั้งหลายแหล่
ยิ่งอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงอย่างทุกวันนี้ ล้วนแต่บอกว่าต้องนอนลืมตาโพลง ใช้แขนก่ายหน้าผากอย่างเดียวยังไม่พอเลย คุณเอ๋ย
หลายๆ คนหน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กัน เพราะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ยิ่งใครมีลูกเต้าในวัยเรียน ต้องเตรียมกลุ้มใจไว้สำหรับเดือนหน้า...ได้เวลาเปิดเทอมอีกแล้ว ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ต้องควักกระเป๋าเป็นมัน...ข้อสำคัญก็คือควักจนหมดกระเป๋าก็ยังไม่จ่ายนี่ซี!
สมัยเด็กผมมีเพื่อนเยอะแยะ ทั้งรุ่นเดียวกันกับรุ่นใหญ่ ไล่ไปตั้งแต่หินกอง เขาขาด ประตูป่า บ้านแพะจนถึงบ้านปากเพรียวโน่นแน่ะ หลายๆคนก็ไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่กรุงเทพฯ แต่พอถึงตรุษสงกรานต์ก็กลับมาเยี่ยมบ้านกัน
รุ่นพี่ที่สนิทๆ กันก็มีพี่ทวน, พี่สน, พี่กุน...พวกนี้กำลังวัยรุ่นครับ ล้วนแต่ไปเรียนต่อกรุงเทพฯ กันทุกคน ใฝ่ฝันจะเป็นนายอำเภอ เป็นนายตำรวจนายทหารกันทั้งนั้นแหละ
พวกรุ่นพี่มักหาโอกาสกลับบ้านบ่อยๆ ไม่ว่าปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์หรือออกพรรษา เพราะระยะทางไม่ไกลนัก การเดินทางก็สะดวก นั่งบ.ข.ส.แค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว
สงกรานต์ปีนั้น ผมกับเจ้ากี่เพื่อนรักก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
พวกเราแต่งตัวสีสันฉูดฉาดน่าตื่นตาตื่นใจ พวกผู้หญิงล้วนแต่สวยๆ ทั้งนั้น บางคนก็เดาะชุดไทยเดิม ห่มสไบสีสดไปทำบุญกันแต่เช้า สรงน้ำพระเสร็จก็ก่อพระทราย หรือขนทรายเข้าวัดตามความเชื่อที่ว่า คนเราย่ำทรายออกนอกวัดทั้งปีก็ควรจะขนทรายกลับเข้าวัดเป็นการชดใช้...ไม่งั้นจะเป็นบาปติดตัวถึงกับตกนรกแน่ะครับ
ต่อจากนั้นก็มีการเล่นสาดน้ำระหว่างหนุ่มๆ สาวๆ สนุกสนานครึกครื้น เสียงหัวเราะดังก้องไปในอากาศอบอ้าวเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ไหนจะเสียงร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าตื่นเต้นชะมัด พวกสาวๆ ที่ใส่เสื้อบางๆ โดนน้ำสาดจนแนบเนื้อ ต้องคอยดึงเสื้อให้ห่างตัวไว้เรื่อยๆ เล่นเอาพวกผมต้องวิ่งตามดูกันเป็นพรวน ถึงจะแค่สิบกว่าขวบก็เถอะเอ้า!
หนุ่มสาวบางคู่เขาถูกชะตากันก็ไม่เป็นอันสาดน้ำคนอื่นล่ะ ตักน้ำวิ่งไปสาดกันไปมาเหมือนทั้งงานมีอยู่แค่สองคนเท่านั้นเอง...จะไม่ให้เด็กๆ อย่างพวกผมอยากโตเร็วๆ ได้ไงครับ
อ้าว? พี่กุนหิ้วกระเป๋าเดินเลี้ยวมาทางหลังตลาดพอดี...
พวกสาวๆ รุ่นเดียวกันกรูเข้าไปสาดน้ำหนุ่มกรุงเทพฯ จนเปียกโชกทั้งตัว ผมกับไอ้กี่ถือขันน้ำวิ่งเข้าไปหา ไม่ใช่สาดน้ำพี่กุนหรอกครับ แต่ไปถามว่าพี่ๆ คนอื่นล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ? พี่กุนยิ้มฟันขาว บอกว่าพวกเพื่อนๆ ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว นัดหมายว่าจะมาพบกันที่หนองแคนี่แหละ
"ขอตัวไปบ้านก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะมาเล่นสงกรานต์กับพวกลื้อให้ชุ่มใจ"
พี่กุนบอกกล่าวก่อนจะจ้ำอ้าวไปบ้าน พวกผมเล่นสาดน้ำกันดะมาจนถึงหน้าตลาด สงกรานต์สนุกไปถึงริมถนนใหญ่ ใครมีน้ำก็สาดใส่ไม่เลือกผู้คนหรือรถรา มอเตอร์ไซค์บางคนต้องบึ่งหนี...เพิ่งมารู้ทีหลังว่าโดนสาดแรงๆ อาจจะทำให้รถคว่ำได้
รถบ.ข.ส.จอดส่งผู้โดยสาร พี่ทวนกับพี่สนเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามา...กว่าจะถึงพวกผมก็เปียกโชกกันหมดแล้วครับ ผมถามว่าทำไมไม่มาพร้อมๆ กับพี่กุนล่ะ พี่ทวนหันมองพี่สนก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่
"ไอ้กุนโดนรถชนที่หน้าหมอชิต ตอนนี้อาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกข้าก็เกือบจะมาไม่ได้เหมือนกัน เป็นห่วงเพื่อนน่ะซีวะ...เดี๋ยวจะไปส่งข่าวให้พ่อแม่มันรู้"
"ฮ้า?!" ผมตะโกนซะดังลั่น "พี่กุนเพิ่งมาถึงหยกๆ เมื่อตะกี้ยังคุยกับพวกผมอยู่เลย บอกว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาเล่นสงกรานต์ให้ชุ่ม...ไม่เชื่อถามไอ้กี่หรือใครๆ ดูก็ได้"
พี่ทวนกับพี่สนหน้าขาวซีด ผมเอ่ยชื่อสาวๆ ที่รุมสาดน้ำพี่กุน คือพี่ไหมกับพี่มะลิพี่สมรเป็นพยานสำคัญ แถมต่อว่ารุ่นพี่ทั้งสองว่ามาพูดใส่ร้ายพี่กุน...ไม่เชื่อตามไปดูที่บ้านด้วยกัน ถามพ่อแม่แกเลยว่าพี่กุนกลับบ้านหรือเปล่า?
ปรากฏว่าไปถึงบ้านพี่กุนเห็นแต่ลุงกับป้ากำลังลงบันไดหน้าดำคร่ำเครียดมาพอดี...ได้ความว่ามีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลแจ้งข่าวเรื่องลูกชายโดนรถชนอาการสาหัส รีบร้อนจะไปกรุงเทพฯ เพื่อดูแลพี่กุน...เล่นเอาผมกับไอ้กี่เข่าอ่อนยวบ...เมื่อตะกี้เราเห็นอะไรกันแน่?
พี่กุนนอนไม่ได้สติอยู่ราว 5-6 วันก็สิ้นใจอย่างสงบ...ที่ผมเห็นเป็นพี่กุนน่ะคือวิญญาณหรือเจตภูตกันแน่ครับ? แต่นึกถึงหน้าตาพี่กุนวันนั้นแล้วผมยังขนลุกทุกที! บรื๋อส์....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 17 เมษายน 2551
16 พฤศจิกายน 2559
ห้องอุบาทว์
"ป้าเพ็ญ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพักสุดหรูที่รังสิต
ทีน่าเป็นหลานสาวของดิฉัน เมื่อสองปีก่อนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ต้องไปเรียนไกลถึงรังสิตโน่นแน่ะ ทางออกทางที่หนึ่ง ที่ทำให้ทีน่าเดินทางไปเรียนได้สะดวก ไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเกินไปก็คือ ต้องไปอยู่ในหอ!
ความจริงมีทางเลือกอีกทาง คือมาอยู่บ้านดิฉันแถวดอนเมือง ทว่าทีน่าไม่เอา เธอบอกว่าไหนๆ ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ขอไปอยู่หอดีกว่า จะมาอยู่กับป้า คือดิฉัน ก็บอกว่าเกรงใจ...อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยค่ะ จริงๆ แล้วแม่สาวน้อยเธอดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้อยู่หอ เธออยากใช้ชีวิตอิสระตามลำพังแบบนี้มานานแล้ว...แหม! ก็วัยรุ่นนี่คะ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เรียนอินเตอร์ซะด้วย เธออยากเปรี้ยว แต่ถ้าอยู่บ้านกับพ่อแม่มันก็เปรี้ยวไม่ออก
คราวนี้ละ ถึงทีทีน่าบ้างแล้ว มันส์เจ้าค่ะ! แม่ของเธอ น้องสาวดิฉันน่ะหน้าหงิกหน้างอ ร้องไห้มาสองพักสามพักแล้ว เธอไม่อยากให้ลูกจากอกเธอไปไหนเลย!
ทีแรกน่ะเธอยอมอุทิศตน วางแผนขับรถจากพุทธมณฑลไปรับส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยทุกวี่ทุกวัน เล่นเอาแม่หนูทีน่าขนลุกเกรียว เธอกลัวเพื่อนจะล้อว่ามีคุณแม่มาคุมน่ะซิคะ มันจะไปสนุกอะไรล่ะ ถ้าชีวิตมีผู้ใหญ่ตามไปดูทุกกระดิก เธอไม่คิดหรอกว่าแม่รักและห่วงใยขนาดไหน! นี่คือตัวอย่างหนึ่งของช่องว่างระหว่างวัยไงคะ
เผลอๆ เธอกลับโกรธว่าแม่ไม่ไว้ใจไปโน่น!
สรุปแล้วทีน่าก็ได้อยู่หอสมใจนึก...หอที่ว่าอยู่ใกล้ที่เรียน แถมยังสวยสมราคาที่แพงลิบ ทันสมัย สวยน่าอยู่เหมือนห้องในโรงแรมชั้นหนึ่ง มีทั้งยามและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ถ้าไม่ได้เป็นระดับคุณหนู พ่อแม่รวยก็ไม่มีหวังได้อยู่หรอกค่ะ
ทีน่าชื่นมื่นมาก เธอหมายตาหอแห่งนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าจะเช่าได้ เพราะมันมีห้องไม่มากและเต็มตลอด...เคราะห์ดีนะที่เผอิญมีห้องว่างราวกับรอเธออยู่ห้องหนึ่ง
ห้องนี้อยู่ชั้น 3 ด้านในริมสุด มีเตียงขนาดควีนไซซ์ ตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำในตัว ตกแต่งงดงามเรียบร้อย สะอาดสะอ้านและหอมกรุ่น...
ทว่าวันที่ไปส่งทีน่าเข้าหอพักนั้น พอก้าวเข้าไปดิฉันรู้สึกวาบๆ พิกล กวาดตาไปรอบห้อง...มันดูสวยจริงอยู่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างในอากาศในห้องนั้น มันทำให้รู้สึกอึดอัด ทั้งไม่สบายใจและหวาดๆ พิลึก
"ทีน่า ถ้ามีอะไรก็โทร.บอกป้านะลูก จะให้มานอนเป็นเพื่อนก็ได้นะ" ดิฉันห่วงหลาน แต่ทีน่าหน้ารื่นเชียว บอกว่าไม่เป็นไรทีน่าอยู่ได้ ชอบมากๆ
แต่คืนแรกหล่อนก็โทร.มากลางดึกสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย
"ป้าแจ่มขา ทีน่าเจอสำลีสองก้อนอยู่บนเตียง มันเป็นก้อนกลมๆ ป้านๆ แน่นๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเห็นจะได้ แล้วมีคราบอะไรไม่รู้ กรังๆ สีเหลืองๆ แดงคล้ำๆ มันคืออะไรคะ? มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงไม่รู้ซิ"
ดิฉันใจหายวูบ นึกถึงสำลีที่เขาใช้อุดจมูกศพ กันน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาแต่ไม่ได้บอกทีน่าอย่างที่ใจคิดหรอกค่ะ เพียงแต่ให้เธอทิ้งตะกร้าซะ ไม่ต้องคิดมาก
ทีน่าทิ้งไป แต่อีก 2-3 วันมันก็โผล่มาอีก!
ดิฉันไปหาทีน่าที่หอในเย็นหนึ่ง หน้าเธอหมองๆ ไม่สดชื่น ดิฉันลูบหน้าผากเธอถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? เธอบอกว่าไม่เป็นไร แต่นอนน้อย นอนไม่หลับเพราะมันเหมือนมีใครอยู่ด้วยในห้องนี้ตลอดเวลา ยิ่งพอตอนดึกๆ ใครคนนั้นมายืนค้ำอยู่ที่หัวเตียง ชะโงกหน้ามาจ้อง แต่พอลืมตามองก็ไม่เห็นอะไร
ทีน่าเริ่มรู้สึกกลัวผีและบอกว่าวันไหนว่างๆให้ดิฉันไปนอนเป็นเพื่อนก็ ได้...
ยังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องร้ายแรง คืนนั้นเธอโทร.มาหาตอนตีสองกว่าๆ อย่างคนขวัญเสียสุดขีด ขอให้ไปช่วยรับเธอหน่อย...ดิฉันตกใจ ลุกขึ้นขับรถออกไปหาหลานทั้งชุดนอน...คือชุดนอนดิฉันไม่ได้น่าเกลียดหรอกค่ะ มันเป็นชุดเสื้อกางเกงลายการ์ตูนน่ารักเชียวละ
พอไปถึงหอ ปรากฏว่าทีน่าอยู่กับคนดูแลและแม่บ้าน...ตัวสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำ
เรื่องของเรื่องก็คือ เธอนอนอยู่ดีๆ เปิดไฟหัวเตียงไว้ จู่ๆ เตียงก็ยวบเหมือนมีอะไรหนักๆ หล่นลงมาเป็นท่อนยาวตลอดเตียง พอลืมตาดูปรากฏว่าเป็นศพผู้หญิงนอนหงาย หลับตาปากดำ มีสำลีอุดจมูก ตัวแข็งทื่อ...กลิ่นน้ำยาอาบศพฉุนคลุ้ง!
ทีน่าสติแตก ทั้งกรีดร้องทั้งเผ่นหนีไม่คิดชีวิต คนดูแลหอกับแม่บ้านเวรดึกที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันชั้นล่าง ต้องช่วยกันปลอบเธอ และให้เธอโทร.จากเครื่องที่โต๊ะมาหาดิฉัน...
ปรากฏว่าห้องนั้นเคยมีนักศึกษาสาวมาอยู่ และเธอไปตายด้วยอุบัติเหตุ ไม่ได้ตายที่หอนะคะ ตายที่อื่นๆ แต่นัยว่าเธอชอบห้องนี้มากเลยยังผูกพัน ห่วงหา คงจะห่วงเรียนด้วย รักชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย เธอเลยยังอยู่ที่นี่...
ตกลงทีน่าย้ายของมาอยู่บ้านดิฉันจนบัดนี้เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 เมษายน 2551
ทีน่าเป็นหลานสาวของดิฉัน เมื่อสองปีก่อนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ต้องไปเรียนไกลถึงรังสิตโน่นแน่ะ ทางออกทางที่หนึ่ง ที่ทำให้ทีน่าเดินทางไปเรียนได้สะดวก ไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเกินไปก็คือ ต้องไปอยู่ในหอ!
ความจริงมีทางเลือกอีกทาง คือมาอยู่บ้านดิฉันแถวดอนเมือง ทว่าทีน่าไม่เอา เธอบอกว่าไหนๆ ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ขอไปอยู่หอดีกว่า จะมาอยู่กับป้า คือดิฉัน ก็บอกว่าเกรงใจ...อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยค่ะ จริงๆ แล้วแม่สาวน้อยเธอดีใจจนออกนอกหน้าที่จะได้อยู่หอ เธออยากใช้ชีวิตอิสระตามลำพังแบบนี้มานานแล้ว...แหม! ก็วัยรุ่นนี่คะ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เรียนอินเตอร์ซะด้วย เธออยากเปรี้ยว แต่ถ้าอยู่บ้านกับพ่อแม่มันก็เปรี้ยวไม่ออก
คราวนี้ละ ถึงทีทีน่าบ้างแล้ว มันส์เจ้าค่ะ! แม่ของเธอ น้องสาวดิฉันน่ะหน้าหงิกหน้างอ ร้องไห้มาสองพักสามพักแล้ว เธอไม่อยากให้ลูกจากอกเธอไปไหนเลย!
ทีแรกน่ะเธอยอมอุทิศตน วางแผนขับรถจากพุทธมณฑลไปรับส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยทุกวี่ทุกวัน เล่นเอาแม่หนูทีน่าขนลุกเกรียว เธอกลัวเพื่อนจะล้อว่ามีคุณแม่มาคุมน่ะซิคะ มันจะไปสนุกอะไรล่ะ ถ้าชีวิตมีผู้ใหญ่ตามไปดูทุกกระดิก เธอไม่คิดหรอกว่าแม่รักและห่วงใยขนาดไหน! นี่คือตัวอย่างหนึ่งของช่องว่างระหว่างวัยไงคะ
เผลอๆ เธอกลับโกรธว่าแม่ไม่ไว้ใจไปโน่น!
สรุปแล้วทีน่าก็ได้อยู่หอสมใจนึก...หอที่ว่าอยู่ใกล้ที่เรียน แถมยังสวยสมราคาที่แพงลิบ ทันสมัย สวยน่าอยู่เหมือนห้องในโรงแรมชั้นหนึ่ง มีทั้งยามและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ถ้าไม่ได้เป็นระดับคุณหนู พ่อแม่รวยก็ไม่มีหวังได้อยู่หรอกค่ะ
ทีน่าชื่นมื่นมาก เธอหมายตาหอแห่งนี้ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าจะเช่าได้ เพราะมันมีห้องไม่มากและเต็มตลอด...เคราะห์ดีนะที่เผอิญมีห้องว่างราวกับรอเธออยู่ห้องหนึ่ง
ห้องนี้อยู่ชั้น 3 ด้านในริมสุด มีเตียงขนาดควีนไซซ์ ตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำในตัว ตกแต่งงดงามเรียบร้อย สะอาดสะอ้านและหอมกรุ่น...
ทว่าวันที่ไปส่งทีน่าเข้าหอพักนั้น พอก้าวเข้าไปดิฉันรู้สึกวาบๆ พิกล กวาดตาไปรอบห้อง...มันดูสวยจริงอยู่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างในอากาศในห้องนั้น มันทำให้รู้สึกอึดอัด ทั้งไม่สบายใจและหวาดๆ พิลึก
"ทีน่า ถ้ามีอะไรก็โทร.บอกป้านะลูก จะให้มานอนเป็นเพื่อนก็ได้นะ" ดิฉันห่วงหลาน แต่ทีน่าหน้ารื่นเชียว บอกว่าไม่เป็นไรทีน่าอยู่ได้ ชอบมากๆ
แต่คืนแรกหล่อนก็โทร.มากลางดึกสุ้มเสียงเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย
"ป้าแจ่มขา ทีน่าเจอสำลีสองก้อนอยู่บนเตียง มันเป็นก้อนกลมๆ ป้านๆ แน่นๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือเห็นจะได้ แล้วมีคราบอะไรไม่รู้ กรังๆ สีเหลืองๆ แดงคล้ำๆ มันคืออะไรคะ? มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงไม่รู้ซิ"
ดิฉันใจหายวูบ นึกถึงสำลีที่เขาใช้อุดจมูกศพ กันน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาแต่ไม่ได้บอกทีน่าอย่างที่ใจคิดหรอกค่ะ เพียงแต่ให้เธอทิ้งตะกร้าซะ ไม่ต้องคิดมาก
ทีน่าทิ้งไป แต่อีก 2-3 วันมันก็โผล่มาอีก!
ดิฉันไปหาทีน่าที่หอในเย็นหนึ่ง หน้าเธอหมองๆ ไม่สดชื่น ดิฉันลูบหน้าผากเธอถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? เธอบอกว่าไม่เป็นไร แต่นอนน้อย นอนไม่หลับเพราะมันเหมือนมีใครอยู่ด้วยในห้องนี้ตลอดเวลา ยิ่งพอตอนดึกๆ ใครคนนั้นมายืนค้ำอยู่ที่หัวเตียง ชะโงกหน้ามาจ้อง แต่พอลืมตามองก็ไม่เห็นอะไร
ทีน่าเริ่มรู้สึกกลัวผีและบอกว่าวันไหนว่างๆให้ดิฉันไปนอนเป็นเพื่อนก็ ได้...
ยังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องร้ายแรง คืนนั้นเธอโทร.มาหาตอนตีสองกว่าๆ อย่างคนขวัญเสียสุดขีด ขอให้ไปช่วยรับเธอหน่อย...ดิฉันตกใจ ลุกขึ้นขับรถออกไปหาหลานทั้งชุดนอน...คือชุดนอนดิฉันไม่ได้น่าเกลียดหรอกค่ะ มันเป็นชุดเสื้อกางเกงลายการ์ตูนน่ารักเชียวละ
พอไปถึงหอ ปรากฏว่าทีน่าอยู่กับคนดูแลและแม่บ้าน...ตัวสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำ
เรื่องของเรื่องก็คือ เธอนอนอยู่ดีๆ เปิดไฟหัวเตียงไว้ จู่ๆ เตียงก็ยวบเหมือนมีอะไรหนักๆ หล่นลงมาเป็นท่อนยาวตลอดเตียง พอลืมตาดูปรากฏว่าเป็นศพผู้หญิงนอนหงาย หลับตาปากดำ มีสำลีอุดจมูก ตัวแข็งทื่อ...กลิ่นน้ำยาอาบศพฉุนคลุ้ง!
ทีน่าสติแตก ทั้งกรีดร้องทั้งเผ่นหนีไม่คิดชีวิต คนดูแลหอกับแม่บ้านเวรดึกที่นั่งดูทีวีอยู่ด้วยกันชั้นล่าง ต้องช่วยกันปลอบเธอ และให้เธอโทร.จากเครื่องที่โต๊ะมาหาดิฉัน...
ปรากฏว่าห้องนั้นเคยมีนักศึกษาสาวมาอยู่ และเธอไปตายด้วยอุบัติเหตุ ไม่ได้ตายที่หอนะคะ ตายที่อื่นๆ แต่นัยว่าเธอชอบห้องนี้มากเลยยังผูกพัน ห่วงหา คงจะห่วงเรียนด้วย รักชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วย เธอเลยยังอยู่ที่นี่...
ตกลงทีน่าย้ายของมาอยู่บ้านดิฉันจนบัดนี้เลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 เมษายน 2551
15 พฤศจิกายน 2559
คืนสยองขวัญ
"ทิดทุม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อออกไปตีกบ
สมัยเด็กผมอยู่อำเภอเสนา อยุธยานี่เอง หลวงพ่อปานท่านโด่งดังทางคาถาอาคมแค่ไหน ใครๆ ก็ย่อมรู้จักกันดีทั่วบ้านทั่วเมือง เอ่ยถึงเรื่องหลวงพ่อปานสั่งให้ชาวบ้านทำขนมจีนเลี้ยงเปรตกลางวันแสกๆ ดังระเบิดอย่าบอกใคร
พวกผมเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่ากับการเล่นสนุกไปวันๆ วันไหนฝนตกหนัก คืนนั้นก็เป็นอันว่ายกโขยงออกไปตีกบกันครึกครื้นไป
คืนนั้น นักล่ากบก็มุ่งหน้าออกท้องทุ่งอันเฉอะแฉะ สะพายข้องถือไฟฉายส่องวูบวาบ...ตอนออกจากหมู่บ้านน่ะยกโขยงกันมาหนาตาละครับ แต่ไม่ช้าก็แยกย้ายกันไปตามเสียงร้องอ๊บๆ อ๊บๆ ฟังแล้วยั่วน้ำลายพิลึก
ท้องฟ้าหนาทึบ บางครั้งก็มีแสงแลบวูบวาบ คำรามครืนครัน ถึงจะคุ้นๆ ก็ไม่วายเสียวสันหลังว่าจะโดนผ่าโครมครามน่ะซี มีหวังดำปี๋เหมือนตอตะโกเชียวละคุณเอ๋ย บรื๋อส์....
ลมทุ่งพัดกรูเกรียวเล่นเอาหนาวสะท้าน แต่เสียงกบร้องคือมนต์ขลังที่ทำให้หายหนาวหายกลัวไปจนหมดสิ้น มองไปรอบๆ ตัวก็เห็นแต่แสงไฟวูบๆ วาบๆ กับทิวไม้ปลายนาที่ดูมืดทะมึน ต้นตาลยืนโด่เด่ ลมพัดมากระทบใบแก่ๆ เกิดเสียงแกรกกรากน่าขนลุกไม่หยอก
"ฮะแอ้ม! ได้กบเยอะมั้ยวะ?"
เสียงกระแอมใกล้ๆ หูทำให้ผมสะดุ้งโหยง หันขวับไปเจอะไอ้จุกแปลกหน้าเปลือยอกผอมๆ กำลังจ้องมองเขม็ง...จังหวะนั้นเองที่ทำให้ผมลื่นพรวด หงายหลังลงไปตีแปลงกับพื้นดินเฉอะแฉะ มองเห็นดาวสะพรั่งฟ้าทันที ที่เขาว่า "เห็นดาว" น่ะมันเป็นยังงี้นี่เอง!
ผมหลับตา กลืนน้ำลาย...สงสัยว่าตัวเองจะมีปัญญาลุกขึ้นมาได้หรือเปล่าละหนอ?
คล้ายๆ กับจะเคลิ้มหลับไปเนิ่นนานเชียวละครับ ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจ้าจุกเอื้อมมือมาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นมาปัดดินโคลนออกจากเนื้อตัว...มันบอกว่าไปพักที่บ้านข้าก่อน! ยายข้าใจดีโว้ย ไปเถอะ...
ผมเดินตามเด็กแปลกหน้าต้อยๆ ไปตามคันนาเหมือนถูกสะกด ครู่เดียวก็มาถึงกระท่อมเก่าแก่โย้เย้อยู่ตรงหน้า...พอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ตามหลังเจ้าจุกไปก็ถึงกับตะลึงงันคาที่
หญิงเฒ่าร่างร้ายเหมือนแม่มดในนิทานกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมกระท่อม แสงสว่างจากตะเกียงกระป๋องนมสะบัดเปลววูบวาบตามสายลม ทำให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่น จมูกงุ้ม ปากยุบ แก้มบุ๋มเพราะไม่มีฟันฟางเหลืออยู่เลย ผมเผ้าสีขาวโพลนเป็นกระเซิงดูสกปรกสิ้นดี พอๆ กับสภาพในกระท่อมที่มีแต่กระเบื้องถ้วย กะลาแตก กับผ้าขี้ริ้ว 2-3 ผืนกองอีเหละเขละขละน่าขยะแขยงเต็มที
กลิ่นเหม็นหืนระคนกับสาบๆ สางๆ อวลกรุ่นมาเข้าจมูกจนผมต้องทำเสียงฟุดฟิดก่อนจะหันไปพบนัยน์ตาลุกวาว จมอยู่ในเบ้าของแม่มดจำแลงคนนั้น กำลังจ้องมาเขม็ง
"เอ็งพาเพื่อนมาหายายหรือไอ้จุก?" จู่ๆ เสียงแหบแห้งก็ดังโพล่ง แล้วแกก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะแหบโหย "ดีวะ! เหอๆๆ ไอ้นิลก็จะมาหาข้าคืนนี้พอดี"
แทบจะไม่ขาดคำ ไอ้จุกก็ผวาไปที่หน้าต่างแบบใช้ไม้ค้ำ ชี้มือชี้ไม้ไปกลางทุ่งแล้วหันมาร้องว่า...นั่นไง! น้านิลมาแล้ว! เล่นเอาผมต้องแล่นออกไปชะโงกหน้ามองดูมั่ง
...ท่ามกลางความมืดสลัวของราตรี ผมเห็นใครคนหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับชูคบไฟลุกโชน...ข้างหลังมีชายกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คนกำลังเดินตาม ท่าทางเหมือนกับหอบหิ้วอะไรมาด้วย...ยายเฒ่าลุกพรวดพราดขึ้นด้วยท่าทางปราดเปรียว เดินเหมือนกระโดดไปที่หน้ากระท่อม
"มาแล้วโว้ย! ไอ้นิลมาแล้ว คราวนี้มึงจะหนีไปไหนพ้น เหอๆๆ"
จนกระทั่งชายกลุ่มนั้นมาถึง ผมมองเห็นเต็มตาก็ตะลึงไป!
คุณพระช่วย! ชายร่างใหญ่กำยำที่ถือคบนำหน้านุ่งผ้าหยักรั้งผืนเดียว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน...แต่ว่าพวกมันกำลังช่วยกันหามโลงผีขึ้นมาบนกระท่อมอย่างหน้าตาเฉย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเต้นแร้งเต้นกาของยายเฒ่า...ยกมันขึ้นมาโว้ย! ยกไอ้นิลขึ้นมาหาข้าเร็วๆ เหอๆๆ
โครม! โลงศพทิ้งโครมลงบนพื้นจนกระท่อมแทบพัง ชายพวกนั้นผละออกไปนั่งพิงฝา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยน่าดู ส่วนผมอ้าปากค้าง ตะลึงงันอยู่ว่าพวกมันจะหามโลงผีมาทำไม?
และแล้ว...คำตอบก็มาถึง เมื่อยายเฒ่ารูปร่างกาลีปราดเข้าไปกระชากฝาโลงจนหล่นโครมคราม ผมผงะหน้าเมื่อเห็นศพของชายหนึ่งลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมานั่ง...ใบหน้าเละเทะเปรอะเลือดน่าสยดสยอง จนผมต้องผงะหน้าหนี แต่ยายเฒ่ากลับหัวเราะร่า...เงื้อมือขึ้นสูงจนเห็นมีดขาววับ จ้วงแทงเข้าที่ทรวงอกของศพเจ้านิลไม่ยับยั้ง!
"โอ๊ย!..." ผมแผดร้องสุดขีดคลั่ง กระโจนพรวดออกจากกระท่อมอุบาทว์ในพริบตา ไอ้จุกเผ่นเข้าขวางแต่ผมก็ชนมันกระเด็นไป...วิ่งเตลิดลุ้มลุกคลุกคลานไม่คิดชีวิต จนล้มฮวบลงเป็นครั้งสุดท้าย...
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังนอนจมโคลนอยู่ที่เดิม ฟ้าแลบวาบจนเห็นตาลยืนเด่นอยู่ตรงหน้า...ผมตะลีตะลานลุกมาพร้อมกับไฟฉาย เผ่นอ้าวกลับบ้าน เลิกไปตีกบตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2551
สมัยเด็กผมอยู่อำเภอเสนา อยุธยานี่เอง หลวงพ่อปานท่านโด่งดังทางคาถาอาคมแค่ไหน ใครๆ ก็ย่อมรู้จักกันดีทั่วบ้านทั่วเมือง เอ่ยถึงเรื่องหลวงพ่อปานสั่งให้ชาวบ้านทำขนมจีนเลี้ยงเปรตกลางวันแสกๆ ดังระเบิดอย่าบอกใคร
พวกผมเด็กๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่ากับการเล่นสนุกไปวันๆ วันไหนฝนตกหนัก คืนนั้นก็เป็นอันว่ายกโขยงออกไปตีกบกันครึกครื้นไป
คืนนั้น นักล่ากบก็มุ่งหน้าออกท้องทุ่งอันเฉอะแฉะ สะพายข้องถือไฟฉายส่องวูบวาบ...ตอนออกจากหมู่บ้านน่ะยกโขยงกันมาหนาตาละครับ แต่ไม่ช้าก็แยกย้ายกันไปตามเสียงร้องอ๊บๆ อ๊บๆ ฟังแล้วยั่วน้ำลายพิลึก
ท้องฟ้าหนาทึบ บางครั้งก็มีแสงแลบวูบวาบ คำรามครืนครัน ถึงจะคุ้นๆ ก็ไม่วายเสียวสันหลังว่าจะโดนผ่าโครมครามน่ะซี มีหวังดำปี๋เหมือนตอตะโกเชียวละคุณเอ๋ย บรื๋อส์....
ลมทุ่งพัดกรูเกรียวเล่นเอาหนาวสะท้าน แต่เสียงกบร้องคือมนต์ขลังที่ทำให้หายหนาวหายกลัวไปจนหมดสิ้น มองไปรอบๆ ตัวก็เห็นแต่แสงไฟวูบๆ วาบๆ กับทิวไม้ปลายนาที่ดูมืดทะมึน ต้นตาลยืนโด่เด่ ลมพัดมากระทบใบแก่ๆ เกิดเสียงแกรกกรากน่าขนลุกไม่หยอก
"ฮะแอ้ม! ได้กบเยอะมั้ยวะ?"
เสียงกระแอมใกล้ๆ หูทำให้ผมสะดุ้งโหยง หันขวับไปเจอะไอ้จุกแปลกหน้าเปลือยอกผอมๆ กำลังจ้องมองเขม็ง...จังหวะนั้นเองที่ทำให้ผมลื่นพรวด หงายหลังลงไปตีแปลงกับพื้นดินเฉอะแฉะ มองเห็นดาวสะพรั่งฟ้าทันที ที่เขาว่า "เห็นดาว" น่ะมันเป็นยังงี้นี่เอง!
ผมหลับตา กลืนน้ำลาย...สงสัยว่าตัวเองจะมีปัญญาลุกขึ้นมาได้หรือเปล่าละหนอ?
คล้ายๆ กับจะเคลิ้มหลับไปเนิ่นนานเชียวละครับ ก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อเห็นเจ้าจุกเอื้อมมือมาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นมาปัดดินโคลนออกจากเนื้อตัว...มันบอกว่าไปพักที่บ้านข้าก่อน! ยายข้าใจดีโว้ย ไปเถอะ...
ผมเดินตามเด็กแปลกหน้าต้อยๆ ไปตามคันนาเหมือนถูกสะกด ครู่เดียวก็มาถึงกระท่อมเก่าแก่โย้เย้อยู่ตรงหน้า...พอก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ตามหลังเจ้าจุกไปก็ถึงกับตะลึงงันคาที่
หญิงเฒ่าร่างร้ายเหมือนแม่มดในนิทานกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมกระท่อม แสงสว่างจากตะเกียงกระป๋องนมสะบัดเปลววูบวาบตามสายลม ทำให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่น จมูกงุ้ม ปากยุบ แก้มบุ๋มเพราะไม่มีฟันฟางเหลืออยู่เลย ผมเผ้าสีขาวโพลนเป็นกระเซิงดูสกปรกสิ้นดี พอๆ กับสภาพในกระท่อมที่มีแต่กระเบื้องถ้วย กะลาแตก กับผ้าขี้ริ้ว 2-3 ผืนกองอีเหละเขละขละน่าขยะแขยงเต็มที
กลิ่นเหม็นหืนระคนกับสาบๆ สางๆ อวลกรุ่นมาเข้าจมูกจนผมต้องทำเสียงฟุดฟิดก่อนจะหันไปพบนัยน์ตาลุกวาว จมอยู่ในเบ้าของแม่มดจำแลงคนนั้น กำลังจ้องมาเขม็ง
"เอ็งพาเพื่อนมาหายายหรือไอ้จุก?" จู่ๆ เสียงแหบแห้งก็ดังโพล่ง แล้วแกก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะแหบโหย "ดีวะ! เหอๆๆ ไอ้นิลก็จะมาหาข้าคืนนี้พอดี"
แทบจะไม่ขาดคำ ไอ้จุกก็ผวาไปที่หน้าต่างแบบใช้ไม้ค้ำ ชี้มือชี้ไม้ไปกลางทุ่งแล้วหันมาร้องว่า...นั่นไง! น้านิลมาแล้ว! เล่นเอาผมต้องแล่นออกไปชะโงกหน้ามองดูมั่ง
...ท่ามกลางความมืดสลัวของราตรี ผมเห็นใครคนหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับชูคบไฟลุกโชน...ข้างหลังมีชายกลุ่มหนึ่งราว 4-5 คนกำลังเดินตาม ท่าทางเหมือนกับหอบหิ้วอะไรมาด้วย...ยายเฒ่าลุกพรวดพราดขึ้นด้วยท่าทางปราดเปรียว เดินเหมือนกระโดดไปที่หน้ากระท่อม
"มาแล้วโว้ย! ไอ้นิลมาแล้ว คราวนี้มึงจะหนีไปไหนพ้น เหอๆๆ"
จนกระทั่งชายกลุ่มนั้นมาถึง ผมมองเห็นเต็มตาก็ตะลึงไป!
คุณพระช่วย! ชายร่างใหญ่กำยำที่ถือคบนำหน้านุ่งผ้าหยักรั้งผืนเดียว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน...แต่ว่าพวกมันกำลังช่วยกันหามโลงผีขึ้นมาบนกระท่อมอย่างหน้าตาเฉย ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเต้นแร้งเต้นกาของยายเฒ่า...ยกมันขึ้นมาโว้ย! ยกไอ้นิลขึ้นมาหาข้าเร็วๆ เหอๆๆ
โครม! โลงศพทิ้งโครมลงบนพื้นจนกระท่อมแทบพัง ชายพวกนั้นผละออกไปนั่งพิงฝา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยน่าดู ส่วนผมอ้าปากค้าง ตะลึงงันอยู่ว่าพวกมันจะหามโลงผีมาทำไม?
และแล้ว...คำตอบก็มาถึง เมื่อยายเฒ่ารูปร่างกาลีปราดเข้าไปกระชากฝาโลงจนหล่นโครมคราม ผมผงะหน้าเมื่อเห็นศพของชายหนึ่งลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมานั่ง...ใบหน้าเละเทะเปรอะเลือดน่าสยดสยอง จนผมต้องผงะหน้าหนี แต่ยายเฒ่ากลับหัวเราะร่า...เงื้อมือขึ้นสูงจนเห็นมีดขาววับ จ้วงแทงเข้าที่ทรวงอกของศพเจ้านิลไม่ยับยั้ง!
"โอ๊ย!..." ผมแผดร้องสุดขีดคลั่ง กระโจนพรวดออกจากกระท่อมอุบาทว์ในพริบตา ไอ้จุกเผ่นเข้าขวางแต่ผมก็ชนมันกระเด็นไป...วิ่งเตลิดลุ้มลุกคลุกคลานไม่คิดชีวิต จนล้มฮวบลงเป็นครั้งสุดท้าย...
ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังนอนจมโคลนอยู่ที่เดิม ฟ้าแลบวาบจนเห็นตาลยืนเด่นอยู่ตรงหน้า...ผมตะลีตะลานลุกมาพร้อมกับไฟฉาย เผ่นอ้าวกลับบ้าน เลิกไปตีกบตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2551
14 พฤศจิกายน 2559
ลางมรณะ
"รจนา" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากสงกรานต์สยอง
เทศกาลสงกรานต์เวียนกลับมาอีกแล้ว! นี่เป็นช่วงเวลาที่แสนสนุกสนาน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสยดสยอง เพราะทุกวันนี้เราชินซะแล้วกับคำว่า "เจ็ดวันอันตราย" และเรารู้ตัวว่าจะต้องมีคนตายนับร้อย...ไม่ใช่ร้อยเดียว แต่หลายร้อยเชียวละ! เมื่อไหร่เราจะสนุกกันได้เต็มที่ โดยไม่ต้องมาคอยนับสถิติว่า..ปีนี้จะมีคนตายเท่าไหร่นะ? เฮ้อ...
ดิฉันอาจจะเพ้อพล่ามน่ารำคาญ แต่นั่นก็เพราะศพหนึ่งในหลายร้อยศพนั่น เป็นคนที่ดิฉันสนิทสนมคุ้นเคย เธอชื่อ "หน่อย" เป็นสาวใช้ดิฉันเอง เธอตายเพราะถูกรถชนในช่วงวันสงกรานต์ปีที่แล้ว ที่โคราชบ้านเกิดของเธอ
ก่อนที่จะไปตายสยอง หน่อยมีลางบอกเหตุตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง เธอเองก็หวั่นๆ แต่ความอยากจะกลับไปฉลองเทศกาลปีใหม่ไทยที่บ้าน ทำให้เธอคิดว่าไม่เป็นไร...
ความอยากไปมันชนะความกลัว!!
เรื่องของเรื่องคือ หน่อยเตรียมตัวมาตั้งแต่ธันวาคมโน่น เธอบอกว่าจะไม่กลับบ้านไปหาพ่อแม่พี่น้องตอนปีใหม่หรอก ตรุษจีนก็ยังไม่ไป จะเก็บตังค์ไว้กลับวันสงกรานต์เลย เพราะที่บ้านเธอฉลองกันสนุกมาก
โอ้โฮ! หน่อยของดิฉันซื้อของฝากสำหรับคนที่บ้านนอกเอาไว้มากมายก่ายกอง ทั้งมาม่า, ขนม, ลูกอม, เสื้อผ้า, ของเล่น...หลานๆ เธอเยอะค่ะ เธอเล่าว่าพวกเด็กๆ นี่จะดีใจมาก ทุกครั้งที่น้าหน่อยกลับบ้าน เพราะน้าหน่อยแจกทั้งขนมและแจกตังค์ด้วย คนละ 5 บาท 10 บาท ก็ยิ้มแก้มปริกันแล้ว
หน่อยอายุ 25 ยังไม่มีแฟน เธอมาทำงานบ้านดิฉันตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก อายุแค่ 16 ปีเท่านั้นเอง! เออ...อยู่กันมาตั้งเกือบ 10 ปีแล้วจะไม่ให้เอ็นดูมันได้ไง? เธอขยัน ทำงานดีและเป็นคนมีน้ำใจงาม ถึงหน้าตาจะไม่สะสวยก็เถอะ แต่เธอก็เป็นที่รักของใครๆ หลายคน...พูดแล้วเสียดายค่ะ
ดิฉันจำได้ว่าราวต้นเดือนเมษายนปีนั้นเอง หน่อยดูกระวนกระวาย นับวันนับคืนจะกลับบ้าน ตัวดิฉันน่ะใจหนึ่งก็อยากให้เธอไป อีกใจหนึ่งก็นึกเหนื่อยเพราะไม่มีคนไว้รับใช้ต้องทำเองหลายอย่าง...จ่ายตลาดก็ต้องไปเอง ไหนจะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้าอีกล่ะ! แต่เอาเถอะ ดิฉันให้เธอกลับบ้านได้สัปดาห์หนึ่งเต็มๆ ซึ่งหน่อยก็ดีใจมาก
แต่แล้ว เช้าวันหนึ่งสังเกตเห็นเธอซึมไป หน้าหมองๆ ก็เลยถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? หน่อยตอบเนือยๆ ว่าสบายดี แต่ฝันร้าย!
เธอฝันว่าปู่ย่าตายายและหลานเล็กๆ 2 คน ที่ทุกคนล้วนตายไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว พากันยกขบวนมาหาเธอ ปู่ย่าและตายายน่ะตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนหลานสาวเล็กๆ อายุ 3-4 ขวบ จมน้ำตายคนหนึ่ง ตกเรือนคอหักตายอีกคนหนึ่ง
คนที่ตกเรือนชื่อเป้ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู หน่อยรักหลานคนนี้มาก ในฝันเป้เดินเตาะแตะนำขบวนญาติๆ ที่ตายไปแล้วเข้ามาหาหน่อยถึงเตียงนอน...หล่อนมาในสภาพเป็นศพที่คอหักพับ ตาไร้แวว ลิ้นจุกปาก มีเลือดเกรอะกรังทั่วใบหน้า
หน่อยเห็นหลานแล้วกลัวมาก เธอลุกหนีแต่หลานเอื้อมมือหักๆ มาจับแขนไว้ แล้วพูดเสียงแหบโหยว่า...น้า หนูมารับน้าไปอยู่ด้วยกันนะ...นะ...
หน่อยตกใจมาก เธอร้องกรี๊ดเต็มเสียงแล้วตกใจตื่น เธอเล่าว่าพอลืมตาก็ยังเห็นเป้ยืนอยู่ข้างเตียง มือแข็งๆ เย็นๆ ยังจับข้อมือเธอไว้แน่น แต่ 2-3 วินาที ภาพหลอนก็หายไป
สาวใช้ของดิฉันกลัวเลยละ บ่นว่าไปคราวนี้จะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้?
เช้าวันที่เธอหิ้วกระเป๋า หอบลังของฝากจะไปขนส่งหมอชิตน่ะ ตอนจะไปเรียกแท็กซี่ก็มีแมวดำวิ่งตัดหน้า แถมป้าดา-แม่ครัวที่ช่วยหิ้วของไปส่งขึ้นรถ กับแอ๊ด - ลูกชายวัยรุ่นของป้าดาก็เห็นพร้อมๆ กันว่า...เงาของหน่อยไม่มีหัว!
หน่อยกลับบ้านได้ไม่ถึงสองวัน เธอก็เสียชีวิตอย่างน่าใจหาย...
น้องสาวเธอเล่าว่า หน่อยขี่มอเตอร์ไซค์ออกถนนใหญ่แล้วรถกระบะพุ่งเข้ามาชน คนขับน่ะเมาเหล้าแอ๋ หน่อยตายทันทีในสภาพคอหัก แขนขาหักป่นปี้ ดูแล้วเหมือนลักษณะการตายของหลานเป้อย่างน่าขนลุก
หลังจากที่เธอตายได้แค่สองวัน คนในหมู่บ้านก็เห็นหน่อยเดินจูงมือกับเป้ เหมือนสองน้าหลานมาเดินเล่นชมจันทร์ ให้พรั่นพรึงไปทั้งตำบล
ลางบอกเหตุของหน่อยเป็นจริง ดูเถอะค่ะ คนเราบทจะตายอะไรก็ห้ามไม่อยู่ ดิฉันละสงสัยจริงๆ ว่า ถ้าหน่อยกลัวจนไม่กล้าเดินทาง หรือถ้าดิฉันเอ่ยห้าม เธอจะรอดตายไหม? แต่คนอย่างเธอลองอยากกลับบ้านแล้วก็ต้องกลับให้ได้ อะไรๆ ก็ห้ามไม่อยู่
สงกรานต์ปีนี้ขอให้ปลอดภัย ดิฉันไม่อยากให้มีใครเจ็บหรือตายเลยแม้แต่คนเดียว เราจะได้เลิกนับสถิติสยองกันซะที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 เมษายน 2551
เทศกาลสงกรานต์เวียนกลับมาอีกแล้ว! นี่เป็นช่วงเวลาที่แสนสนุกสนาน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสยดสยอง เพราะทุกวันนี้เราชินซะแล้วกับคำว่า "เจ็ดวันอันตราย" และเรารู้ตัวว่าจะต้องมีคนตายนับร้อย...ไม่ใช่ร้อยเดียว แต่หลายร้อยเชียวละ! เมื่อไหร่เราจะสนุกกันได้เต็มที่ โดยไม่ต้องมาคอยนับสถิติว่า..ปีนี้จะมีคนตายเท่าไหร่นะ? เฮ้อ...
ดิฉันอาจจะเพ้อพล่ามน่ารำคาญ แต่นั่นก็เพราะศพหนึ่งในหลายร้อยศพนั่น เป็นคนที่ดิฉันสนิทสนมคุ้นเคย เธอชื่อ "หน่อย" เป็นสาวใช้ดิฉันเอง เธอตายเพราะถูกรถชนในช่วงวันสงกรานต์ปีที่แล้ว ที่โคราชบ้านเกิดของเธอ
ก่อนที่จะไปตายสยอง หน่อยมีลางบอกเหตุตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง เธอเองก็หวั่นๆ แต่ความอยากจะกลับไปฉลองเทศกาลปีใหม่ไทยที่บ้าน ทำให้เธอคิดว่าไม่เป็นไร...
ความอยากไปมันชนะความกลัว!!
เรื่องของเรื่องคือ หน่อยเตรียมตัวมาตั้งแต่ธันวาคมโน่น เธอบอกว่าจะไม่กลับบ้านไปหาพ่อแม่พี่น้องตอนปีใหม่หรอก ตรุษจีนก็ยังไม่ไป จะเก็บตังค์ไว้กลับวันสงกรานต์เลย เพราะที่บ้านเธอฉลองกันสนุกมาก
โอ้โฮ! หน่อยของดิฉันซื้อของฝากสำหรับคนที่บ้านนอกเอาไว้มากมายก่ายกอง ทั้งมาม่า, ขนม, ลูกอม, เสื้อผ้า, ของเล่น...หลานๆ เธอเยอะค่ะ เธอเล่าว่าพวกเด็กๆ นี่จะดีใจมาก ทุกครั้งที่น้าหน่อยกลับบ้าน เพราะน้าหน่อยแจกทั้งขนมและแจกตังค์ด้วย คนละ 5 บาท 10 บาท ก็ยิ้มแก้มปริกันแล้ว
หน่อยอายุ 25 ยังไม่มีแฟน เธอมาทำงานบ้านดิฉันตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก อายุแค่ 16 ปีเท่านั้นเอง! เออ...อยู่กันมาตั้งเกือบ 10 ปีแล้วจะไม่ให้เอ็นดูมันได้ไง? เธอขยัน ทำงานดีและเป็นคนมีน้ำใจงาม ถึงหน้าตาจะไม่สะสวยก็เถอะ แต่เธอก็เป็นที่รักของใครๆ หลายคน...พูดแล้วเสียดายค่ะ
ดิฉันจำได้ว่าราวต้นเดือนเมษายนปีนั้นเอง หน่อยดูกระวนกระวาย นับวันนับคืนจะกลับบ้าน ตัวดิฉันน่ะใจหนึ่งก็อยากให้เธอไป อีกใจหนึ่งก็นึกเหนื่อยเพราะไม่มีคนไว้รับใช้ต้องทำเองหลายอย่าง...จ่ายตลาดก็ต้องไปเอง ไหนจะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้าอีกล่ะ! แต่เอาเถอะ ดิฉันให้เธอกลับบ้านได้สัปดาห์หนึ่งเต็มๆ ซึ่งหน่อยก็ดีใจมาก
แต่แล้ว เช้าวันหนึ่งสังเกตเห็นเธอซึมไป หน้าหมองๆ ก็เลยถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? หน่อยตอบเนือยๆ ว่าสบายดี แต่ฝันร้าย!
เธอฝันว่าปู่ย่าตายายและหลานเล็กๆ 2 คน ที่ทุกคนล้วนตายไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดแล้ว พากันยกขบวนมาหาเธอ ปู่ย่าและตายายน่ะตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนหลานสาวเล็กๆ อายุ 3-4 ขวบ จมน้ำตายคนหนึ่ง ตกเรือนคอหักตายอีกคนหนึ่ง
คนที่ตกเรือนชื่อเป้ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู หน่อยรักหลานคนนี้มาก ในฝันเป้เดินเตาะแตะนำขบวนญาติๆ ที่ตายไปแล้วเข้ามาหาหน่อยถึงเตียงนอน...หล่อนมาในสภาพเป็นศพที่คอหักพับ ตาไร้แวว ลิ้นจุกปาก มีเลือดเกรอะกรังทั่วใบหน้า
หน่อยเห็นหลานแล้วกลัวมาก เธอลุกหนีแต่หลานเอื้อมมือหักๆ มาจับแขนไว้ แล้วพูดเสียงแหบโหยว่า...น้า หนูมารับน้าไปอยู่ด้วยกันนะ...นะ...
หน่อยตกใจมาก เธอร้องกรี๊ดเต็มเสียงแล้วตกใจตื่น เธอเล่าว่าพอลืมตาก็ยังเห็นเป้ยืนอยู่ข้างเตียง มือแข็งๆ เย็นๆ ยังจับข้อมือเธอไว้แน่น แต่ 2-3 วินาที ภาพหลอนก็หายไป
สาวใช้ของดิฉันกลัวเลยละ บ่นว่าไปคราวนี้จะได้กลับหรือเปล่าก็ไม่รู้?
เช้าวันที่เธอหิ้วกระเป๋า หอบลังของฝากจะไปขนส่งหมอชิตน่ะ ตอนจะไปเรียกแท็กซี่ก็มีแมวดำวิ่งตัดหน้า แถมป้าดา-แม่ครัวที่ช่วยหิ้วของไปส่งขึ้นรถ กับแอ๊ด - ลูกชายวัยรุ่นของป้าดาก็เห็นพร้อมๆ กันว่า...เงาของหน่อยไม่มีหัว!
หน่อยกลับบ้านได้ไม่ถึงสองวัน เธอก็เสียชีวิตอย่างน่าใจหาย...
น้องสาวเธอเล่าว่า หน่อยขี่มอเตอร์ไซค์ออกถนนใหญ่แล้วรถกระบะพุ่งเข้ามาชน คนขับน่ะเมาเหล้าแอ๋ หน่อยตายทันทีในสภาพคอหัก แขนขาหักป่นปี้ ดูแล้วเหมือนลักษณะการตายของหลานเป้อย่างน่าขนลุก
หลังจากที่เธอตายได้แค่สองวัน คนในหมู่บ้านก็เห็นหน่อยเดินจูงมือกับเป้ เหมือนสองน้าหลานมาเดินเล่นชมจันทร์ ให้พรั่นพรึงไปทั้งตำบล
ลางบอกเหตุของหน่อยเป็นจริง ดูเถอะค่ะ คนเราบทจะตายอะไรก็ห้ามไม่อยู่ ดิฉันละสงสัยจริงๆ ว่า ถ้าหน่อยกลัวจนไม่กล้าเดินทาง หรือถ้าดิฉันเอ่ยห้าม เธอจะรอดตายไหม? แต่คนอย่างเธอลองอยากกลับบ้านแล้วก็ต้องกลับให้ได้ อะไรๆ ก็ห้ามไม่อยู่
สงกรานต์ปีนี้ขอให้ปลอดภัย ดิฉันไม่อยากให้มีใครเจ็บหรือตายเลยแม้แต่คนเดียว เราจะได้เลิกนับสถิติสยองกันซะที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 เมษายน 2551
11 พฤศจิกายน 2559
โลกวิญญาณ
"กษมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีกลับมาทำงาน
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนเกิดมาเพื่อที่จะตายไป คนเราก็เช่นกัน! ความตายต้องมาถึงเราแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันจะมาในรูปไหนล่ะ? มันจะรุนแรง สยดสยอง หรือเงียบสงบคล้ายใบไม้แก่ที่ปลิดขั้ว หลุดร่วงไปตามลม...
เราทุกคนอยากจะได้นอนตายอย่างสุขสงบบนเตียงสบายๆ ในวัยที่ร่วงโรยสมควรแก่เวลา...เราหวังว่าวิญญาณเราจะไม่เจ็บปวดทรมานนานนัก และจะล่องลอยสู่สุคติ!
ทว่า มีมนุษย์อีกมากมายต้องเผชิญกับความที่โหดร้ายทารุณ ไม่รู้ทำเวรทำกรรมมาแต่ปางไหน และบางคนก็ตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างพวกที่เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในวันที่ 11 กันยายน หรือบรรดาผู้คนที่ถูกสึนามิกระหน่ำซัด พัดพาวิญญาณหลุดจากร่าง
เล่ากันว่า วิญญาณเหล่านี้ บ้างก็ยังวนเวียนอยู่ในมิติโลก เพราะไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว เล่นเอาพวกนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกลัวผีกันอยู่ตั้งนาน
หลังจากเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ถูกวินาศกรรมจนถล่มทลาย ก็มีรายงานว่า มีคนพบเห็นวิญญาณยังวนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ คนที่อยู่แถวนั้นมักจะเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตาใส่ชุดสูททำงาน เดินอยู่แถวๆ นั้นในอาการงงงัน
ดิฉันคิดว่าวิญญาณพวกนี้น่าสงสาร การที่พวกเขามาปรากฏตัวก็คงไม่มีเจตนาจะมาหลอกหลอนหรือขอส่วนบุญอะไร มันเพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว ก็เลยยังติดค้างอยู่กับกิจวัตร และภารกิจที่ยังทำไม่เสร็จ
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือพระเอก บรู๊ซ วิลลิส ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "เดอะ ซิกธ์เซนส์" เมื่อปี ค.ศ.1999 ไงคะ เขาถูกผู้ร้ายบุกมายิง สติขาดลอยคล้ายฝัน จากนั้นเขาก็ยังใส่สูท หิ้วกระเป๋าไปดูแลคนไข้ซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ผู้มีสัมผัสพิเศษ...เป็นคนเห็นผี!
ดิฉันประทับใจหนังเรื่องนี้มากเพราะเขาทำได้สมจริง...
อะไรนะคะ? ดิฉันรู้ได้ยังไงเหรอ...แหม! ก็เคยเจอกับตัวเองมาแล้วน่ะซีคะ...แบบนี้เปี๊ยบเลย!
เพื่อนรุ่นพี่ในที่ทำงานของดิฉันชื่อ "พี่กี้" เธอเป็นคนสวย อายุเพิ่ง 28 และยังโสดสนิท ดิฉันไม่ค่อยสนิทกับเธอมากนักหรอกค่ะ แต่เคยยิ้มๆ ทักทายกันเท่านั้น เธอมีกลุ่มของเธอ และดิฉันก็มีกลุ่มของดิฉัน แต่โต๊ะทำงานเราอยู่ไม่ไกลกันนัก
เรานั่งทำงานรวมกันในห้องใหญ่ บนชั้นยี่สิบกว่าๆ ของตึกระฟ้าหรูหราในกรุงเทพฯ นี่เอง
ที่ทำงานอยู่กลางกรุง แต่บ้านพี่กี้อยู่ถึงพุทธมณฑล ไกลน่าดู! เธอมาทำงานแต่เช้าและกลับค่ำๆ มืดๆ เสมอ ดิฉันเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีโอกาสพูด ดิฉันอยากพูดว่าเป็นห่วง เพราะพี่กี้ต้องขับรถทางไกล อยากให้เธอระวังตัวมากๆ
เคยมีคนบอกว่าพี่กี้เคยหลับใน รถแล่นขึ้นไปบนฟุตปาธ เดชะบุญที่แค่รถพังนิดหน่อย ตัวพี่กี้ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก นอกจากหัวโน...คิดแล้วเสียวไส้นะคะ!
และแล้ว เรื่องร้ายแรงที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ สันนิษฐานว่าเธอหลับในอีก และรถพุ่งประสานงากับรถสิบล้อที่แล่นสวนมา พยานบอกว่าเธอไม่มีการเบรกหรือหักหลบเลย ผมก็คือเธอตายคาที่...เป็นการตายที่...แน่ล่ะค่ะ ไม่รู้ตัวสักนิดเดียว!!
ช่วงที่เธอเสียชีวิตใหม่ๆ ในที่ทำงานของเราไม่มีใครกล้ากลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ เลยค่ะ อยู่กันอย่างช้าก็ทุ่มกว่าๆ และต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อนด้วยนะ จะไปไหนทีก็ต้องไปกันหลายๆ คน แต่พี่กี้ก็ไม่เคยมาแสดงอภินิหาริย์อะไรให้เราเห็น
ทุกอย่างสงบและปกติ จนเราคิดว่า ป่านนี้พี่กี้ไปสู่สุคติแล้ว...
เวลาผ่านไปเกือบปี ความกลัวก็เลือนรางจางหาย จนเราหายใจได้คล่องเหมือนเดิม...เราแทบจะลืมพี่กี้ไปแล้วด้วยซ้ำ!
คืนหนึ่ง ดิฉันอยู่สะสางงานจนมืดค่ำ เพื่อนๆ กลับกันไปทีละคนสองคน จนเหลือแต่ดิฉันนั่งทำงานตามลำพัง เออ...มันก็สบายดีนะ! ดิฉันเพลินจนมองนาฬิกาอีกที...อ้าว? ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว แอร์เย็นเฉียบผิดปกติ...กลับบ้านดีกว่า
ทันใดนั้น ดิฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างที่คุ้นตา ก้มหน้าทำงานง่วนอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปสี่ห้าตัว...พี่กี้!!
ใจหายวาบ...และแปลกนะคะ แทนที่จะกลัวจนสติแตก เตลิดเปิดเปิงอย่างที่เล่าๆ กัน ดิฉันกลับมึนมากกว่า มันงงเหมือนมีอะไรมาสะกดจิต
พี่กี้มานั่งตรงนี้ได้ยังไง เธอตายแล้วนี่นา?
ขาแข้งดิฉันเหมือนจะยึดแน่นติดกับพื้นห้อง นัยน์ตาเบิ่งมองภาพตรงหน้า ขนลุกซู่ สักพักก็ค่อยๆ ถอยออกมาทีละก้าวๆ ไม่กล้าวิ่งค่ะ กลัวสติแตก
พี่กี้ยังก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนคนปกติทุกอย่าง ดูเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีดิฉันยืนมองอยู่ด้วยใจระทึก...
นึกแล้วก็ยังแปลกใจที่ดิฉันไม่โวยวาย กรี๊ดกร๊าด กลับยืนดูให้มันแน่ชัดว่ากำลังเห็นวิญญาณจริงๆ เธอเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง ดิฉันเริ่มกลัวขึ้นทีละน้อยๆ จนลงลิฟต์มาคนเดียวถึงชั้นล่าง ดิฉันน้ำตาร่วง...เดินตัวสั่นไปหายาม และต้องนั่งพักอยู่นาน กว่าจะให้ยามช่วยเดินมาเป็นเพื่อนในที่จอดรถ
ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง
เชื่อเรื่องที่เล่าถึงผีที่เวิลด์เทรดและที่ต่างๆ รวมทั้งในหนัง เดอะซิกธ์เซนส์...ที่เขาทำได้สมจริงเหลือเกินค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 เมษายน 2551
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนเกิดมาเพื่อที่จะตายไป คนเราก็เช่นกัน! ความตายต้องมาถึงเราแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่มันจะมาในรูปไหนล่ะ? มันจะรุนแรง สยดสยอง หรือเงียบสงบคล้ายใบไม้แก่ที่ปลิดขั้ว หลุดร่วงไปตามลม...
เราทุกคนอยากจะได้นอนตายอย่างสุขสงบบนเตียงสบายๆ ในวัยที่ร่วงโรยสมควรแก่เวลา...เราหวังว่าวิญญาณเราจะไม่เจ็บปวดทรมานนานนัก และจะล่องลอยสู่สุคติ!
ทว่า มีมนุษย์อีกมากมายต้องเผชิญกับความที่โหดร้ายทารุณ ไม่รู้ทำเวรทำกรรมมาแต่ปางไหน และบางคนก็ตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างพวกที่เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในวันที่ 11 กันยายน หรือบรรดาผู้คนที่ถูกสึนามิกระหน่ำซัด พัดพาวิญญาณหลุดจากร่าง
เล่ากันว่า วิญญาณเหล่านี้ บ้างก็ยังวนเวียนอยู่ในมิติโลก เพราะไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว เล่นเอาพวกนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศกลัวผีกันอยู่ตั้งนาน
หลังจากเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ถูกวินาศกรรมจนถล่มทลาย ก็มีรายงานว่า มีคนพบเห็นวิญญาณยังวนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ คนที่อยู่แถวนั้นมักจะเห็นชายหนุ่มมากหน้าหลายตาใส่ชุดสูททำงาน เดินอยู่แถวๆ นั้นในอาการงงงัน
ดิฉันคิดว่าวิญญาณพวกนี้น่าสงสาร การที่พวกเขามาปรากฏตัวก็คงไม่มีเจตนาจะมาหลอกหลอนหรือขอส่วนบุญอะไร มันเพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว ก็เลยยังติดค้างอยู่กับกิจวัตร และภารกิจที่ยังทำไม่เสร็จ
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือพระเอก บรู๊ซ วิลลิส ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "เดอะ ซิกธ์เซนส์" เมื่อปี ค.ศ.1999 ไงคะ เขาถูกผู้ร้ายบุกมายิง สติขาดลอยคล้ายฝัน จากนั้นเขาก็ยังใส่สูท หิ้วกระเป๋าไปดูแลคนไข้ซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ผู้มีสัมผัสพิเศษ...เป็นคนเห็นผี!
ดิฉันประทับใจหนังเรื่องนี้มากเพราะเขาทำได้สมจริง...
อะไรนะคะ? ดิฉันรู้ได้ยังไงเหรอ...แหม! ก็เคยเจอกับตัวเองมาแล้วน่ะซีคะ...แบบนี้เปี๊ยบเลย!
เพื่อนรุ่นพี่ในที่ทำงานของดิฉันชื่อ "พี่กี้" เธอเป็นคนสวย อายุเพิ่ง 28 และยังโสดสนิท ดิฉันไม่ค่อยสนิทกับเธอมากนักหรอกค่ะ แต่เคยยิ้มๆ ทักทายกันเท่านั้น เธอมีกลุ่มของเธอ และดิฉันก็มีกลุ่มของดิฉัน แต่โต๊ะทำงานเราอยู่ไม่ไกลกันนัก
เรานั่งทำงานรวมกันในห้องใหญ่ บนชั้นยี่สิบกว่าๆ ของตึกระฟ้าหรูหราในกรุงเทพฯ นี่เอง
ที่ทำงานอยู่กลางกรุง แต่บ้านพี่กี้อยู่ถึงพุทธมณฑล ไกลน่าดู! เธอมาทำงานแต่เช้าและกลับค่ำๆ มืดๆ เสมอ ดิฉันเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีโอกาสพูด ดิฉันอยากพูดว่าเป็นห่วง เพราะพี่กี้ต้องขับรถทางไกล อยากให้เธอระวังตัวมากๆ
เคยมีคนบอกว่าพี่กี้เคยหลับใน รถแล่นขึ้นไปบนฟุตปาธ เดชะบุญที่แค่รถพังนิดหน่อย ตัวพี่กี้ไม่ได้บาดเจ็บมากนัก นอกจากหัวโน...คิดแล้วเสียวไส้นะคะ!
และแล้ว เรื่องร้ายแรงที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ สันนิษฐานว่าเธอหลับในอีก และรถพุ่งประสานงากับรถสิบล้อที่แล่นสวนมา พยานบอกว่าเธอไม่มีการเบรกหรือหักหลบเลย ผมก็คือเธอตายคาที่...เป็นการตายที่...แน่ล่ะค่ะ ไม่รู้ตัวสักนิดเดียว!!
ช่วงที่เธอเสียชีวิตใหม่ๆ ในที่ทำงานของเราไม่มีใครกล้ากลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ เลยค่ะ อยู่กันอย่างช้าก็ทุ่มกว่าๆ และต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อนด้วยนะ จะไปไหนทีก็ต้องไปกันหลายๆ คน แต่พี่กี้ก็ไม่เคยมาแสดงอภินิหาริย์อะไรให้เราเห็น
ทุกอย่างสงบและปกติ จนเราคิดว่า ป่านนี้พี่กี้ไปสู่สุคติแล้ว...
เวลาผ่านไปเกือบปี ความกลัวก็เลือนรางจางหาย จนเราหายใจได้คล่องเหมือนเดิม...เราแทบจะลืมพี่กี้ไปแล้วด้วยซ้ำ!
คืนหนึ่ง ดิฉันอยู่สะสางงานจนมืดค่ำ เพื่อนๆ กลับกันไปทีละคนสองคน จนเหลือแต่ดิฉันนั่งทำงานตามลำพัง เออ...มันก็สบายดีนะ! ดิฉันเพลินจนมองนาฬิกาอีกที...อ้าว? ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว แอร์เย็นเฉียบผิดปกติ...กลับบ้านดีกว่า
ทันใดนั้น ดิฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นร่างที่คุ้นตา ก้มหน้าทำงานง่วนอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปสี่ห้าตัว...พี่กี้!!
ใจหายวาบ...และแปลกนะคะ แทนที่จะกลัวจนสติแตก เตลิดเปิดเปิงอย่างที่เล่าๆ กัน ดิฉันกลับมึนมากกว่า มันงงเหมือนมีอะไรมาสะกดจิต
พี่กี้มานั่งตรงนี้ได้ยังไง เธอตายแล้วนี่นา?
ขาแข้งดิฉันเหมือนจะยึดแน่นติดกับพื้นห้อง นัยน์ตาเบิ่งมองภาพตรงหน้า ขนลุกซู่ สักพักก็ค่อยๆ ถอยออกมาทีละก้าวๆ ไม่กล้าวิ่งค่ะ กลัวสติแตก
พี่กี้ยังก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนคนปกติทุกอย่าง ดูเธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีดิฉันยืนมองอยู่ด้วยใจระทึก...
นึกแล้วก็ยังแปลกใจที่ดิฉันไม่โวยวาย กรี๊ดกร๊าด กลับยืนดูให้มันแน่ชัดว่ากำลังเห็นวิญญาณจริงๆ เธอเหมือนคนเราดีๆ นี่เอง ดิฉันเริ่มกลัวขึ้นทีละน้อยๆ จนลงลิฟต์มาคนเดียวถึงชั้นล่าง ดิฉันน้ำตาร่วง...เดินตัวสั่นไปหายาม และต้องนั่งพักอยู่นาน กว่าจะให้ยามช่วยเดินมาเป็นเพื่อนในที่จอดรถ
ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเชื่อแล้วว่าวิญญาณมีจริง
เชื่อเรื่องที่เล่าถึงผีที่เวิลด์เทรดและที่ต่างๆ รวมทั้งในหนัง เดอะซิกธ์เซนส์...ที่เขาทำได้สมจริงเหลือเกินค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 เมษายน 2551
10 พฤศจิกายน 2559
ลุงแนบกับป้าบัว
"อุเทน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณกลับบ้าน
"อย่าขับรถซิ่ง จะวิ่งลงนรก!!"
สงกรานต์ปีนี้มีคำขวัญเตือนใจผู้ใช้รถ-ใช้ถนนหนาตาขึ้นตามเคย แทบจะไม่มีคำว่า "เมาไม่ขับ ถูกปรับแน่" กับ "ดื่มไม่ขับ" แต่มารณรงค์เรื่องอย่าขับรถประมาทแทน โดยเฉพาะคำเตือนที่โดนใจมากๆ คงจะหนีไม่พ้น "ขับรถไม่โทรศัพท์-ไม่รับสาย"
คิดดูง่ายๆ นะครับ ว่าขับรถต้องใช้สมาธิมากแค่ไหน ขืนพูดโทรศัพท์ไปด้วยมีหวังสมาธิหดหาย มีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นแค่เสี้ยวนาทีก็แก้ไขไม่ทันเสียแล้ว
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยประสบกับเรื่องสยองขวัญ จนแทบจะช็อกตายคาที่มาแล้วครับ
สาเหตุมาจากลุงแนบกับป้าบัว คนข้างบ้านนี่เอง สองผัวเมียอายุต้นห้าสิบ ทำงานรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ มีลูกสาวคนเดียวเพิ่งแต่งงานไปหยกๆ ย้ายไปอยู่กับฝ่ายชายฐานะดีแถวแจ้งวัฒนะ ซึ่งไม่ห่างจากบ้านเดิมที่งามวงศ์วานเท่าไหร่นัก
ลุงแนบกับป้าบัวเป็นคนรื่นเริง สนุกสนาน บอกว่าอยู่กันสองคนสบายใจเฉิบ มีน้าแวง-ญาติป้าบัวเป็นคนเฝ้าบ้าน ตกเย็นลุงแนบก็คว้าขวดข้ามรั้วมาซดเหล้ากับพ่อผมมั่ง มีเพื่อนในหมู่บ้านอีก 2-3 คนร่วมก๊งด้วย บางวันก็ย้ายไปบ้านลุงแนบมั่ง บ้านลุงหยัดมั่ง สมานสามัคคีกันแทบทุกวันก็ว่าได้
สงกรานต์ปีนั้น ลุงแนบชวนป้าบัวไปไหว้พ่อแม่ที่ขอนแก่น แกไปกันแค่สองคนเท่านั้นแหละครับ แต่ขากลับได้ข่าวจากน้าแวงว่า เกิดอุบัติเหตุกลางทาง...รถราพังยับ สองผัวเมียอาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเพื่อนบ้านที่เป็นคอสุรามาด้วยกันก็บ่นเป็นห่วง แต่ไม่อาจจะไปเยี่ยมเยียนได้เพราะถึงเวลาทำงานพอดี
เรามาได้ข่าวทีหลังว่าลุงแนบโคม่าตั้งแต่รถชนกันแล้ว ไปอยู่โรงพยาบาลได้ 2 วันก็สิ้นใจ แต่ป้าบัวแค่ซี่โครงหัก แขนเดาะ หัวแตกจนกลับมาแทบจะจำไม่ได้ นึกว่าเป็นแขกโพกหัวขายผ้าเสียอีก...ศพลุงแนบฌาปนกิจที่ขอนแก่นไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่ติดตามมาก็คือ มีคนเห็นลุงแนบขับรถเข้าซอยบ้านมาตอนดึกๆ บางคนบอกว่าเห็นลุงแนบหันมายิ้มให้ด้วย ยายนิด-ลูกสาวบ้านตรงข้ามอายุราว 10 ขวบบอกว่าโผล่หน้าต่างออกมาดูเพราะได้ยินเสียงรถยนต์ แต่กลับเห็นลุงแนบกำลังผลักประตูรั้วเข้าไปช้าๆ ยายนิดตกใจร้องออกมาว่า...ลุงแนบมาแล้ว!
เท่านั้นแหละ ปีศาจลุงแนบถึงกับหยุดชะงัก หันมาเงยหน้ามองพลางโปรยยิ้ม และโบกมือให้หยอยๆ ยายนิดเล่าว่า...หนูตกใจจนฉี่ราดคาห้องนอนเลยค่ะ! คราวนี้เสียงโจษจันเรื่องผีลุงแนบก็ดังกระหึ่มไปทั้งซอย...
เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้เห็น วงเหล้าที่เคยตั้งกันบ้านนั้นบ้านนี้ก็ชักจะกร่อย เพราะหวาดๆ ว่าวันดีคืนดีดันเห็นลุงแนบจะมานั่งปร๋อร่วมวงด้วย มีหวังวงแตกกระเจิงเป็นผึ้งแตกรังเสียเปล่าๆ เลยได้แต่อุบเงียบอยู่ในบ้านใครบ้านมัน
คราวนี้อาแหวง-คอเหล้าที่เคยร่วมวงกัน บอกว่าคืนนั้นกลับบ้านดึกหน่อย...พอหันไปทางบ้านป้าบัวที่ปิดไฟมืด ก็เห็นลุงแนบกำลังเดินช้าๆจากประตูรั้วไปตามทางเข้าสู่ตัวบ้าน...เห็นถนัดตาจากแสงสว่างที่เสาไฟฟ้า อาแหวงตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ยกมือไหว้ผีสางเทวดาให้ช่วยคุ้มครอง...ขนาดเข้าห้องนอนแล้วยังสั่นด๊กๆ อยู่ตั้งนาน
เอาละซี! จากขับรถเข้าซอย มาถึงเดินเข้าบ้านแล้ว!
หรือวิญญาณลุงแนบจะกลับมาหาป้าบัว-เมียคู่ทุกข์คู่ยากของแกจริงๆ
พวกแม่บ้านที่ชอบๆ กัน รวมทั้งแม่ผมด้วย ยกโขยงเข้าไปถามป้าบัวให้รู้แน่ว่าผีลุงแนบแกเคยเข้ามาในบ้านหรือเปล่า? "พี่บัวรู้ไหมว่าพี่แนบมาหา?" ใครคนหนึ่งถามขึ้น ป้าบัวก็พยักหน้ารับอย่างคนใจคอเด็ดเดี่ยว
"รู้ซี ทำไมจะไม่รู้ พี่แนบแกมาเคาะประตูเรียกฉันมาหลายคืนแล้ว แต่ฉันไม่ยอมเปิดรับหรอก พุทโธ่! ใจคอจะให้ฉันรับผีเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยเรอะ? ไม่เอ๊าไม่เอา! ใครจะว่าใจร้ายใจดำยังไงก็ยอมละ ฉันไม่อยากเป็นลมตายน่ะ"
คืนหนึ่ง ผมก็เจอภาพสยองเข้าเต็มเปา!
ระเบียงหน้าบ้านอยู่ติดกับประตูห้องนอนพอดี คืนนั้นเดือนหงายเชียวครับ ผมนึกยังไงไม่รู้ เกิดออกไปยืนเกาะลูกกรงชมจันทร์ เพ้อฝันถึงเพื่อนสาวคนสวยที่กำลังคบกันอยู่ ดอกรักกำลังบานในหัวใจ...ว่าซะยังงั้นก็แล้วกัน
ทันใดนั้น เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็เล่นเข้ามาในซอย...ผมหันมองไปทางประตูรั้วบ้านป้าบัวที่มีชมพู่แก้มแหม่มดกสะพรั่ง...เสียงหมาหอนดังไล่มาจากปากซอย...กระทั่งร่างๆ หนึ่งเดินช้าๆ ผ่านเงาชมพู่มาตามทางแคบๆก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปหยุดที่ประตูบ้าน
"ลุงแนบ..." ผมหลุดปากออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้ คราวนี้เลยทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตาโพลงจ้องมองลงไปยังร่างดำๆ ที่หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้ามามองผมอย่างเชื่องช้า...หันมา...หันมาเห็นเสี้ยวหน้า ในที่สุดก็ใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างของลุงแนบ
ผมอยากจะหายตัวได้ อยากทำตัวให้ลีบเล็กเท่ามดปลวก แต่เท่าที่ทำได้คือยืนขาสั่นพั่บๆ ปวดหน่วงไปตามท้องน้อย...คงจะมีอาการเหมือนกับยายนิดคืนนั้น...ขณะที่ใบหน้าของลุงแนบคล้ายจะขยายใหญ่มหึมา
ผมร้องตะโกนอะไรออกมาสุดเสียง เผ่นอ้าวเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนผิดๆ ถูกๆ อยู่ตั้งนานเพราะมือไม้สั่นไปหมด
ผีลุงแนบมาหาป้าบัวอีกหลายคืน ป้าบัวก็หมั่นทำบุญกรวดน้ำไปให้ทุกวัน ในที่สุดวิญญาณลุงแนบคงจะไปสู่สุคติภพ ไม่ปรากฏตัวหลอกหลอนใครอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 10 เมษายน 2551
"อย่าขับรถซิ่ง จะวิ่งลงนรก!!"
สงกรานต์ปีนี้มีคำขวัญเตือนใจผู้ใช้รถ-ใช้ถนนหนาตาขึ้นตามเคย แทบจะไม่มีคำว่า "เมาไม่ขับ ถูกปรับแน่" กับ "ดื่มไม่ขับ" แต่มารณรงค์เรื่องอย่าขับรถประมาทแทน โดยเฉพาะคำเตือนที่โดนใจมากๆ คงจะหนีไม่พ้น "ขับรถไม่โทรศัพท์-ไม่รับสาย"
คิดดูง่ายๆ นะครับ ว่าขับรถต้องใช้สมาธิมากแค่ไหน ขืนพูดโทรศัพท์ไปด้วยมีหวังสมาธิหดหาย มีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นแค่เสี้ยวนาทีก็แก้ไขไม่ทันเสียแล้ว
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยประสบกับเรื่องสยองขวัญ จนแทบจะช็อกตายคาที่มาแล้วครับ
สาเหตุมาจากลุงแนบกับป้าบัว คนข้างบ้านนี่เอง สองผัวเมียอายุต้นห้าสิบ ทำงานรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ มีลูกสาวคนเดียวเพิ่งแต่งงานไปหยกๆ ย้ายไปอยู่กับฝ่ายชายฐานะดีแถวแจ้งวัฒนะ ซึ่งไม่ห่างจากบ้านเดิมที่งามวงศ์วานเท่าไหร่นัก
ลุงแนบกับป้าบัวเป็นคนรื่นเริง สนุกสนาน บอกว่าอยู่กันสองคนสบายใจเฉิบ มีน้าแวง-ญาติป้าบัวเป็นคนเฝ้าบ้าน ตกเย็นลุงแนบก็คว้าขวดข้ามรั้วมาซดเหล้ากับพ่อผมมั่ง มีเพื่อนในหมู่บ้านอีก 2-3 คนร่วมก๊งด้วย บางวันก็ย้ายไปบ้านลุงแนบมั่ง บ้านลุงหยัดมั่ง สมานสามัคคีกันแทบทุกวันก็ว่าได้
สงกรานต์ปีนั้น ลุงแนบชวนป้าบัวไปไหว้พ่อแม่ที่ขอนแก่น แกไปกันแค่สองคนเท่านั้นแหละครับ แต่ขากลับได้ข่าวจากน้าแวงว่า เกิดอุบัติเหตุกลางทาง...รถราพังยับ สองผัวเมียอาการหนักอยู่ที่โรงพยาบาล พวกเพื่อนบ้านที่เป็นคอสุรามาด้วยกันก็บ่นเป็นห่วง แต่ไม่อาจจะไปเยี่ยมเยียนได้เพราะถึงเวลาทำงานพอดี
เรามาได้ข่าวทีหลังว่าลุงแนบโคม่าตั้งแต่รถชนกันแล้ว ไปอยู่โรงพยาบาลได้ 2 วันก็สิ้นใจ แต่ป้าบัวแค่ซี่โครงหัก แขนเดาะ หัวแตกจนกลับมาแทบจะจำไม่ได้ นึกว่าเป็นแขกโพกหัวขายผ้าเสียอีก...ศพลุงแนบฌาปนกิจที่ขอนแก่นไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่ติดตามมาก็คือ มีคนเห็นลุงแนบขับรถเข้าซอยบ้านมาตอนดึกๆ บางคนบอกว่าเห็นลุงแนบหันมายิ้มให้ด้วย ยายนิด-ลูกสาวบ้านตรงข้ามอายุราว 10 ขวบบอกว่าโผล่หน้าต่างออกมาดูเพราะได้ยินเสียงรถยนต์ แต่กลับเห็นลุงแนบกำลังผลักประตูรั้วเข้าไปช้าๆ ยายนิดตกใจร้องออกมาว่า...ลุงแนบมาแล้ว!
เท่านั้นแหละ ปีศาจลุงแนบถึงกับหยุดชะงัก หันมาเงยหน้ามองพลางโปรยยิ้ม และโบกมือให้หยอยๆ ยายนิดเล่าว่า...หนูตกใจจนฉี่ราดคาห้องนอนเลยค่ะ! คราวนี้เสียงโจษจันเรื่องผีลุงแนบก็ดังกระหึ่มไปทั้งซอย...
เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้เห็น วงเหล้าที่เคยตั้งกันบ้านนั้นบ้านนี้ก็ชักจะกร่อย เพราะหวาดๆ ว่าวันดีคืนดีดันเห็นลุงแนบจะมานั่งปร๋อร่วมวงด้วย มีหวังวงแตกกระเจิงเป็นผึ้งแตกรังเสียเปล่าๆ เลยได้แต่อุบเงียบอยู่ในบ้านใครบ้านมัน
คราวนี้อาแหวง-คอเหล้าที่เคยร่วมวงกัน บอกว่าคืนนั้นกลับบ้านดึกหน่อย...พอหันไปทางบ้านป้าบัวที่ปิดไฟมืด ก็เห็นลุงแนบกำลังเดินช้าๆจากประตูรั้วไปตามทางเข้าสู่ตัวบ้าน...เห็นถนัดตาจากแสงสว่างที่เสาไฟฟ้า อาแหวงตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ยกมือไหว้ผีสางเทวดาให้ช่วยคุ้มครอง...ขนาดเข้าห้องนอนแล้วยังสั่นด๊กๆ อยู่ตั้งนาน
เอาละซี! จากขับรถเข้าซอย มาถึงเดินเข้าบ้านแล้ว!
หรือวิญญาณลุงแนบจะกลับมาหาป้าบัว-เมียคู่ทุกข์คู่ยากของแกจริงๆ
พวกแม่บ้านที่ชอบๆ กัน รวมทั้งแม่ผมด้วย ยกโขยงเข้าไปถามป้าบัวให้รู้แน่ว่าผีลุงแนบแกเคยเข้ามาในบ้านหรือเปล่า? "พี่บัวรู้ไหมว่าพี่แนบมาหา?" ใครคนหนึ่งถามขึ้น ป้าบัวก็พยักหน้ารับอย่างคนใจคอเด็ดเดี่ยว
"รู้ซี ทำไมจะไม่รู้ พี่แนบแกมาเคาะประตูเรียกฉันมาหลายคืนแล้ว แต่ฉันไม่ยอมเปิดรับหรอก พุทโธ่! ใจคอจะให้ฉันรับผีเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยเรอะ? ไม่เอ๊าไม่เอา! ใครจะว่าใจร้ายใจดำยังไงก็ยอมละ ฉันไม่อยากเป็นลมตายน่ะ"
คืนหนึ่ง ผมก็เจอภาพสยองเข้าเต็มเปา!
ระเบียงหน้าบ้านอยู่ติดกับประตูห้องนอนพอดี คืนนั้นเดือนหงายเชียวครับ ผมนึกยังไงไม่รู้ เกิดออกไปยืนเกาะลูกกรงชมจันทร์ เพ้อฝันถึงเพื่อนสาวคนสวยที่กำลังคบกันอยู่ ดอกรักกำลังบานในหัวใจ...ว่าซะยังงั้นก็แล้วกัน
ทันใดนั้น เสียงรถยนต์คันหนึ่งก็เล่นเข้ามาในซอย...ผมหันมองไปทางประตูรั้วบ้านป้าบัวที่มีชมพู่แก้มแหม่มดกสะพรั่ง...เสียงหมาหอนดังไล่มาจากปากซอย...กระทั่งร่างๆ หนึ่งเดินช้าๆ ผ่านเงาชมพู่มาตามทางแคบๆก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปหยุดที่ประตูบ้าน
"ลุงแนบ..." ผมหลุดปากออกมาได้ยังไงก็ไม่รู้ คราวนี้เลยทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตาโพลงจ้องมองลงไปยังร่างดำๆ ที่หยุดชะงัก ก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้ามามองผมอย่างเชื่องช้า...หันมา...หันมาเห็นเสี้ยวหน้า ในที่สุดก็ใบหน้าที่กำลังยิ้มกว้างของลุงแนบ
ผมอยากจะหายตัวได้ อยากทำตัวให้ลีบเล็กเท่ามดปลวก แต่เท่าที่ทำได้คือยืนขาสั่นพั่บๆ ปวดหน่วงไปตามท้องน้อย...คงจะมีอาการเหมือนกับยายนิดคืนนั้น...ขณะที่ใบหน้าของลุงแนบคล้ายจะขยายใหญ่มหึมา
ผมร้องตะโกนอะไรออกมาสุดเสียง เผ่นอ้าวเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนผิดๆ ถูกๆ อยู่ตั้งนานเพราะมือไม้สั่นไปหมด
ผีลุงแนบมาหาป้าบัวอีกหลายคืน ป้าบัวก็หมั่นทำบุญกรวดน้ำไปให้ทุกวัน ในที่สุดวิญญาณลุงแนบคงจะไปสู่สุคติภพ ไม่ปรากฏตัวหลอกหลอนใครอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 10 เมษายน 2551
09 พฤศจิกายน 2559
ลาก่อน...เพื่อนรัก!
"ฟ้า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อน
แต้วเป็นเพื่อนรักของดิฉัน เรารู้จักกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย และนับแต่นั้นมิตรภาพก็แน่นแฟ้น ผูกพันขึ้นเรื่อยๆ ความรักฉันเพื่อนเป็นรักที่งดงามและล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่ง...มีแต่ความช่วยเหลือ ห่วงใย และหวังดีต่อกันอย่างแท้จริง!
เราคุยกันได้ทุกเรื่อง และปรับทุกข์กันได้ทุกปัญหา
"ความรักนั้นดีมาก แต่มิตรภาพสูงส่งกว่า"
ดิฉันเพิ่งจะเข้าใจถึงประเพณีอันลึกซึ้งของบางท้องถิ่น ที่มีการผูกเสี่ยว หรือบางวัฒนธรรมก็ถึงกับกรีดเลือด ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกันตลอดไป!
เราไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น แต่ก็เชื่อแน่ว่าชาตินี้เราไม่มีวันห่างเหินหรือลืมกันไป แม้ว่าเราจะจบมหาวิทยาลัยแล้ว และต่างคนต่างแยกย้ายไปมีหน้าที่การงานและครอบครัวของตน
เราคงจะเป็นอย่างแม่พลอยกับแม่ช้อย ที่เป็นเพื่อนรักกันไปจนแก่เฒ่า สักวันหนึ่งในอีกห้าสิบปีข้างหน้า เราคงเป็นยายแก่สองคนที่นั่งคุยถึงความหลังกัน งกๆ เงิ่นๆ ไปด้วยกัน...นั่งนินทาผัว นินทาลูกหลานเหลนกันอย่างสนุกสนานเลยเชียว
แต่วันนี้ไม่มีวันนั้นมาถึง เพราะแต้วถูกโรคร้ายคร่าชีวิต!
ตอนเรียนจบ ยังไม่ทันถึงวันรับปริญญา แต้วก็เพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง! มันเป็นการพบที่สายเกินไป มะเร็งลามไปยังส่วนต่างๆ เมื่อได้รู้ดิฉันถึงกับใจหายวาบ
ครอบครัวของแต้วมีฐานะดีมาก ในช่วงเวลาท้ายๆ ซึ่งแต้วยังไม่ได้ไปนอนโรงพยาบาลนั้น คุณพ่อคุณแม่ของเธอจัดห้องที่ชั้นล่างของบ้านให้แต้วนอนรักษาตัว มีพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลตลอดเวลา...
มันเป็นห้องที่สวยงามราวกับห้องเจ้าหญิง มีแอร์เย็นฉ่ำ เตียงหนานุ่ม ผ้านวมชั้นเลิศสีฟ้าอมม่วงเหมือนดอกไลแล็ก หมอนหนาๆ หลายใบ แก้วน้ำแก้วยาล้วนเป็นแก้วเจียระไน คุณพ่อคุณแม่ของแต้วให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกสาวในช่วงสุดท้ายของชีวิต...
และหนึ่งในนั้นคือตัวดิฉันเอง!
ดิฉันไปนอนเฝ้าไข้เพื่อนรัก เพราะตระหนักแน่แก่ใจว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว
ยามดึกดื่นค่ำคืน พยาบาลพิเศษจะไปพักอยู่ที่ห้องเล็กที่อยู่ติดกันส่วนดิฉันอยู่ตามลำพังกับแต้ว นอนด้วยกันบนเตียงแสนสบาย คุยกันจนผล็อยหลับไป...
คืนหนึ่ง แต้วดูสดใสคล้ายไม่ได้ป่วยเข้า เธอสวยละมุนละไม แม้ผมบนศีรษะจะร่วงเกือบหมด...ผมที่เคยยาวสลวย ต้องถูกตัดจนติดหนังศีรษะเพื่อไม่ให้ดูหร็อมแหร็ม แต่บัดนี้เธอดูเหมือนเทพธิดาอย่างน่าประหลาด
เราคุยกันจนดึกดื่น ในที่สุด แต้วก็ขอให้ดิฉันปิดไฟหัวเตียงที่เคยเปิดทิ้งไว้ทั้งคืนเป็นประจำ
ห้องมืดสนิท ดูสงบเหมือนเราอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่มิติของมนุษย์ ดิฉันกับแต้วจับมือกันไว้ ดิฉันเงียบเสียงเพื่อให้เธอได้หลับให้สบาย แต่แล้วแต้วก็พูดขึ้นเบาๆ เสียงของเธอเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ
"ฉันกำลังจะเป็นผี..." เธอพูดแล้วเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อไปอีกว่า "เธอกำลังจะกลัวฉัน..."
ดิฉันลืมตาจ้องฝ่าความมืดไปยังร่างเพื่อนรักที่เห็นเป็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่กลางความมืดสลัว นึกอยู่ว่า...นี่น่ะหรือผีในอนาคตที่ฉันจะต้องสยดสยองพองขน?! เป็นไปได้ยังไง? คนเรานี่แปลกจริง ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็รักกันจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไร ครั้นตายไปก็กลายเป็นความกลัวชนิดขนหัวลุก!
เสียงแต้วพูดเนิบๆ ต่อไป
"คืนนี้เราอยู่ด้วยกันในห้องมืดๆ ต่อไปเธอจะไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวฉันจะมานอนด้วยอย่างนี้..." เธอหัวเราะเสียงใส แล้วบอกให้ดิฉันหลับซะ
นั่นเป็นคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน เพราะวันรุ่งขึ้นแต้วมีอาการทรุดลงอย่างน่าตกใจ คุณพ่อของเธอรีบบอกหมอแล้วพาเข้าโรงพยาบาลทันที
ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาล แต้วนอนบนเตียงแคบๆ สีขาวสะอาด มีสายระโยงระยางจากปาก จากจมูกและแขนของเธอ...แต้วดูป่วยมาก อ่อนแอมาก...สองวันจากนั้นเธอก็สิ้นใจอย่างสงบ
จริงอย่างที่เธอพูดเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนั้น ดิฉันยอมรับว่ากลัว...และกลัวมากจนฝันร้ายบ่อยๆ กลัวจนไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ต้องให้น้องสาวมานอนเป็นเพื่อน แม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำก็ต้องแง้มประตูไว้..
คนเราเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือคะ?
เรากลัวผีคนที่เราเคยรักเขามากได้นี้เลยเชียวหรือ?
เมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ดิฉันนอนตามลำพังสองคนกับแต้วในห้องมืดสลัว เย็นฉ่ำ...บัดนี้ดิฉันไม่กล้าปิดไฟนอนอีกเลย เคยลองปิดหนหนึ่ง แหม...บรรยากาศมันเย็นยะเยือกและหวาดระแวงไปหมดทันที จนต้องตะกายไปเปิดไฟ! ต้องเถียงกับน้องสาวที่รำคาญไฟแยงตาจนแทบนอนไม่หลับ
นึกแล้วขำ...ดิฉันอมยิ้มกับตัวเอง และก่อนหลับในคืนนั้น ดิฉันสาบานได้ว่าได้ยินเสียงหัวเราะหวานใสปานระฆังเงิน...
ไม่ใช่เสียงน้องสาวตัวดีของดิฉันหรอกค่ะ แต่มันเป็นเสียงแต้ว...เพื่อนรักของดิฉันเอง นึกถึงแล้วขนลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 เมษายน 2551
แต้วเป็นเพื่อนรักของดิฉัน เรารู้จักกันตอนเข้ามหาวิทยาลัย และนับแต่นั้นมิตรภาพก็แน่นแฟ้น ผูกพันขึ้นเรื่อยๆ ความรักฉันเพื่อนเป็นรักที่งดงามและล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่ง...มีแต่ความช่วยเหลือ ห่วงใย และหวังดีต่อกันอย่างแท้จริง!
เราคุยกันได้ทุกเรื่อง และปรับทุกข์กันได้ทุกปัญหา
"ความรักนั้นดีมาก แต่มิตรภาพสูงส่งกว่า"
ดิฉันเพิ่งจะเข้าใจถึงประเพณีอันลึกซึ้งของบางท้องถิ่น ที่มีการผูกเสี่ยว หรือบางวัฒนธรรมก็ถึงกับกรีดเลือด ดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกันตลอดไป!
เราไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น แต่ก็เชื่อแน่ว่าชาตินี้เราไม่มีวันห่างเหินหรือลืมกันไป แม้ว่าเราจะจบมหาวิทยาลัยแล้ว และต่างคนต่างแยกย้ายไปมีหน้าที่การงานและครอบครัวของตน
เราคงจะเป็นอย่างแม่พลอยกับแม่ช้อย ที่เป็นเพื่อนรักกันไปจนแก่เฒ่า สักวันหนึ่งในอีกห้าสิบปีข้างหน้า เราคงเป็นยายแก่สองคนที่นั่งคุยถึงความหลังกัน งกๆ เงิ่นๆ ไปด้วยกัน...นั่งนินทาผัว นินทาลูกหลานเหลนกันอย่างสนุกสนานเลยเชียว
แต่วันนี้ไม่มีวันนั้นมาถึง เพราะแต้วถูกโรคร้ายคร่าชีวิต!
ตอนเรียนจบ ยังไม่ทันถึงวันรับปริญญา แต้วก็เพิ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง! มันเป็นการพบที่สายเกินไป มะเร็งลามไปยังส่วนต่างๆ เมื่อได้รู้ดิฉันถึงกับใจหายวาบ
ครอบครัวของแต้วมีฐานะดีมาก ในช่วงเวลาท้ายๆ ซึ่งแต้วยังไม่ได้ไปนอนโรงพยาบาลนั้น คุณพ่อคุณแม่ของเธอจัดห้องที่ชั้นล่างของบ้านให้แต้วนอนรักษาตัว มีพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลตลอดเวลา...
มันเป็นห้องที่สวยงามราวกับห้องเจ้าหญิง มีแอร์เย็นฉ่ำ เตียงหนานุ่ม ผ้านวมชั้นเลิศสีฟ้าอมม่วงเหมือนดอกไลแล็ก หมอนหนาๆ หลายใบ แก้วน้ำแก้วยาล้วนเป็นแก้วเจียระไน คุณพ่อคุณแม่ของแต้วให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกสาวในช่วงสุดท้ายของชีวิต...
และหนึ่งในนั้นคือตัวดิฉันเอง!
ดิฉันไปนอนเฝ้าไข้เพื่อนรัก เพราะตระหนักแน่แก่ใจว่าเวลาของเราเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว
ยามดึกดื่นค่ำคืน พยาบาลพิเศษจะไปพักอยู่ที่ห้องเล็กที่อยู่ติดกันส่วนดิฉันอยู่ตามลำพังกับแต้ว นอนด้วยกันบนเตียงแสนสบาย คุยกันจนผล็อยหลับไป...
คืนหนึ่ง แต้วดูสดใสคล้ายไม่ได้ป่วยเข้า เธอสวยละมุนละไม แม้ผมบนศีรษะจะร่วงเกือบหมด...ผมที่เคยยาวสลวย ต้องถูกตัดจนติดหนังศีรษะเพื่อไม่ให้ดูหร็อมแหร็ม แต่บัดนี้เธอดูเหมือนเทพธิดาอย่างน่าประหลาด
เราคุยกันจนดึกดื่น ในที่สุด แต้วก็ขอให้ดิฉันปิดไฟหัวเตียงที่เคยเปิดทิ้งไว้ทั้งคืนเป็นประจำ
ห้องมืดสนิท ดูสงบเหมือนเราอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่มิติของมนุษย์ ดิฉันกับแต้วจับมือกันไว้ ดิฉันเงียบเสียงเพื่อให้เธอได้หลับให้สบาย แต่แล้วแต้วก็พูดขึ้นเบาๆ เสียงของเธอเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ
"ฉันกำลังจะเป็นผี..." เธอพูดแล้วเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อไปอีกว่า "เธอกำลังจะกลัวฉัน..."
ดิฉันลืมตาจ้องฝ่าความมืดไปยังร่างเพื่อนรักที่เห็นเป็นเงาดำตะคุ่มๆ อยู่กลางความมืดสลัว นึกอยู่ว่า...นี่น่ะหรือผีในอนาคตที่ฉันจะต้องสยดสยองพองขน?! เป็นไปได้ยังไง? คนเรานี่แปลกจริง ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็รักกันจนไม่รู้จะเปรียบกับอะไร ครั้นตายไปก็กลายเป็นความกลัวชนิดขนหัวลุก!
เสียงแต้วพูดเนิบๆ ต่อไป
"คืนนี้เราอยู่ด้วยกันในห้องมืดๆ ต่อไปเธอจะไม่กล้าอยู่คนเดียวเพราะกลัวฉันจะมานอนด้วยอย่างนี้..." เธอหัวเราะเสียงใส แล้วบอกให้ดิฉันหลับซะ
นั่นเป็นคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน เพราะวันรุ่งขึ้นแต้วมีอาการทรุดลงอย่างน่าตกใจ คุณพ่อของเธอรีบบอกหมอแล้วพาเข้าโรงพยาบาลทันที
ที่ห้องไอซียู โรงพยาบาล แต้วนอนบนเตียงแคบๆ สีขาวสะอาด มีสายระโยงระยางจากปาก จากจมูกและแขนของเธอ...แต้วดูป่วยมาก อ่อนแอมาก...สองวันจากนั้นเธอก็สิ้นใจอย่างสงบ
จริงอย่างที่เธอพูดเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนั้น ดิฉันยอมรับว่ากลัว...และกลัวมากจนฝันร้ายบ่อยๆ กลัวจนไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ต้องให้น้องสาวมานอนเป็นเพื่อน แม้กระทั่งจะเข้าห้องน้ำก็ต้องแง้มประตูไว้..
คนเราเป็นอย่างนี้จริงๆ หรือคะ?
เรากลัวผีคนที่เราเคยรักเขามากได้นี้เลยเชียวหรือ?
เมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ดิฉันนอนตามลำพังสองคนกับแต้วในห้องมืดสลัว เย็นฉ่ำ...บัดนี้ดิฉันไม่กล้าปิดไฟนอนอีกเลย เคยลองปิดหนหนึ่ง แหม...บรรยากาศมันเย็นยะเยือกและหวาดระแวงไปหมดทันที จนต้องตะกายไปเปิดไฟ! ต้องเถียงกับน้องสาวที่รำคาญไฟแยงตาจนแทบนอนไม่หลับ
นึกแล้วขำ...ดิฉันอมยิ้มกับตัวเอง และก่อนหลับในคืนนั้น ดิฉันสาบานได้ว่าได้ยินเสียงหัวเราะหวานใสปานระฆังเงิน...
ไม่ใช่เสียงน้องสาวตัวดีของดิฉันหรอกค่ะ แต่มันเป็นเสียงแต้ว...เพื่อนรักของดิฉันเอง นึกถึงแล้วขนลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 เมษายน 2551
08 พฤศจิกายน 2559
วิญญาณห่วง
"อาร์ต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน
ลุงแอ๊ดของผมอายุ 61 ปี กำลังใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างแสนสุข เหตุหนึ่งที่รู้สึกสบายกายสบายใจได้เช่นนี้ ก็เพราะลุงเตรียมตัวไว้ดี จึงมีทั้งเงินและเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาลำบากตอนแก่
ลุงมีความสุขที่จะอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้และพาป้ากล้วย-ป้าแท้ๆ ของผมไปเที่ยว...ไปทะเลบ้าง ไปทัวร์บ้าง
ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ความสุขของลุงมันสั้นเกินไป!
สาเหตุมาจากเมื่อ 2 เดือนที่แล้วนี่เอง ลุงแอ๊ดเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย พอไปหาหมอปรากฏว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ไม่น่าเชื่อเลยครับ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเป็นอะไรมาก ปกติลุงเป็นคนแข็งแรงตลอดมา ไม่ใช่คนผอมแห้งแรงน้อยซักหน่อย พอตรวจปุ๊บก็เจอปั๊บ และมันก็สายเกินไปแล้วด้วยซีครับ
หลังจากเจอมะเร็งเพียงแค่ 3 เดือน ลุงแอ๊ดก็จากเราไปอย่างสงบ...สำหรับพวกเราแล้ว ความตายของลุงแอ๊ดนับว่ากะทันหันเชียวละ คนที่เศร้าโศกเสียใจสุดๆ ก็คือป้ากล้วยนั่นเอง!
ป้าผมทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอดเวลา แล้วก็หงอยเหงาเศร้าซึมเหมือนอยากตายตาม อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ พวกเราไม่ยอมให้ป้าคลาดสายตาเลย กลัวจะคิดสั้นหรือเป็นอะไรไป เพราะป้ากล้วยทั้งความดันสูงกับเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วด้วยซี
บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมเองมีห้องนอนอยู่ที่ชั้น 2 ตรงข้ามกับห้องของลุงแอ๊ดและป้ากล้วย ส่วนพ่อแม่ผมอยู่ชั้นล่าง ห้องติดกับห้องของคุณตาคุณยาย
ลุงกับป้ามีลูกชายคนเดียวคือพี่โอ๊ต ซึ่งแต่งงานแล้วและแยกไปอยู่กับครอบครัวที่หมู่บ้านแถวเมืองนนท์ เมียพี่โอ๊ตสวยมาก แต่ขี้งกที่สุด วันๆ คิดแต่จะเอาสมบัติของสามี คงเห็นว่าลุงแอ๊ดรวย และมีลูกชายคนเดียว พอตายลงก็คงยกสมบัติให้พี่โอ๊ตหมด
แหม! คุณเธอเทียวไปเทียวมา ทำเป็นถามถึงเงินทองและพระเครื่องล้ำค่าของลุงแอ๊ด โดยถามเอากับป้ากล้วย เธอพูดเป็นทำนองว่า ป้ากล้วยไม่ยอมให้มรดกพี่โอ๊ต! ที่จริงลุงแอ๊ดซื้อที่ดินแถวรามอินทรากับแถวพุทธมณฑลไว้ และโอนให้พี่โอ๊ตทั้งสองแปลงแล้ว มันก็น่าจะพอใจแค่นั้น...นี่อะไร ยังมาระรานป้ากล้วยอีกแน่ะ!
ศพลุงแอ๊ดก็เพิ่งเผา ป้ากล้วยเลยคิดมากไปใหญ่...
ตั้งแต่ลุงแอ๊ดตาย ผมคนหนึ่งละที่สังหรณ์ใจว่าลุงยังไม่ไปไหน...ยังวนเวียนห่วงป้ากล้วยอยู่ในบ้านนี้แหละ ถึงแม้จะเสียวสยอง แต่ผมก็ไม่ถึงกับกลัวมากมายอะไรหรอกครับ
พวกเรามักได้ยินเสียงคล้ายกับยามที่ลุงแกยังมีชีวิตอยู่ อย่างเสียงกรรไกรตัดกิ่งไม้มันดังฉับๆๆ แว่วมา เหมือนที่ลุงเคยทำ...เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันได เสียงไอและจาม เสียงเข้าห้องน้ำ...
ป้ากล้วยเองก็บอกว่ารู้สึกเหมือนลุงแอ๊ดยังอยู่ข้างๆ บางทีก็คล้ายกับมาหายใจอยู่ใกล้ๆ หู!
เย็นวันอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง พี่โอ๊ตพาลูกๆ กับพี่แหม่ม-เมียของเขามาเยี่ยมป้ากล้วย และก็เช่นเคย หลังมื้อค่ำราว 2 ทุ่ม พี่แหม่มนัวเนียอยู่กับป้ากล้วย ถามหาพระสมเด็จวัดระฆังที่ลุงแอ๊ดสวมใส่ติดคอเสมอเมื่อยังมีชีวิตอยู่
จริงๆ แล้วพระองค์นี้ ลุงแอ๊ดบอกไว้ตอนที่เจ็บหนักว่าให้ผม เพราะลุงรักผมเหมือนลูกคนหนึ่งทีเดียว เมื่อพี่แหม่มรุกเร้าหนักๆ เข้า ป้ากล้วยก็ไม่ค่อยสบายใจ
ป้าเล่าให้ผมฟังภายหลังว่า พี่แหม่มตามป้าเข้าไปถึงในห้องนอน
ห้องนอนของลุงกับป้า นอกจากจะมีเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าแล้ว ยังมีโต๊ะเขียนหนังสือของลุงแอ๊ด หนังสือ พิมพ์ดีด กล่องใส่ดินสอ...ทุกอย่างยังจัดวางไว้ที่เดิมเหมือนรอให้ลุงกลับมา...รวมทั้งโป๊ะไฟสำหรับส่องเขียนหนังสือด้วย มันเป็นหลอดไฟแบบประหยัด สว่าง 7 วัตต์ ลุงมักเปิดเสมอเวลาเขียนหนังสือตอนดึกๆ และปิดไฟกลางห้องให้ป้ากล้วยหลับสบายๆ แสงไฟไม่แยงตา
ห้องนอนยังอยู่ในสภาพเดิม เว้นแต่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะเขียนหนังสือนี้มีรูปหนึ่งแขวนไว้...เป็นรูปหน้าศพของลุงแอ๊ดเองครับ ป้ากล้วยเอามาแขวนไว้ในห้องนี้
ขณะที่พี่แหม่มนั่งพับเพียบ พูดจาออดอ้อนระคนต่อว่าต่อขานจนป้ากล้วยอึดอัด ก็ปรากฏว่าแสงไฟดับพรึ่บลงทั้งบ้าน!
เสียงพี่แหม่มร้องวี้ด และวิ่งถลาออกจากห้อง
ทำไมเธอตกใจขนาดนั้น?!
คำตอบคือ...ลำพังไฟดับมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ นี่ไฟดับหมดบ้านยกเว้นดวงเดียว คือไฟโป๊ะเขียนหนังสือ มันดันเปิดเองสว่างโร่ได้ยังไงไม่รู้ และแสงไฟก็ส่องไปจับเหมาะเอาที่รูปลุงแอ๊ดพอดิบพอดี
ดูเหมือนไฟที่ส่องตัวละครบนเวทียังไงยังงั้น...คิดดูเถอะครับ มันจะน่าสยองขนาดไหน?
พักใหญ่ๆ ไฟทั้งบ้านก็ติดขึ้นมาเองซะงั้น และเมื่อไปดูโคมไฟเจ้ากรรมตามคำโวยวายของพี่แหม่มก็ปรากฏว่ามันปิดตัวเองลงเรียบร้อย ไม่มีใครไปแตะต้อง
มันคืออะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่อภินิหาริย์วิญญาณลุงแอ๊ด?!
ตั้งแต่นั้นมา ป้ากล้วยอาการดีขึ้นเป็นลำดับเพราะอุ่นใจว่าลุงแอ๊ดยังอยู่จริงๆ ส่วนพี่แหม่มขี้งกจ๋อยสนิท ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่กล้ามารบกวนป้ากล้วยของผมอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 เมษายน 2551
ลุงแอ๊ดของผมอายุ 61 ปี กำลังใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างแสนสุข เหตุหนึ่งที่รู้สึกสบายกายสบายใจได้เช่นนี้ ก็เพราะลุงเตรียมตัวไว้ดี จึงมีทั้งเงินและเวลาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมาลำบากตอนแก่
ลุงมีความสุขที่จะอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้และพาป้ากล้วย-ป้าแท้ๆ ของผมไปเที่ยว...ไปทะเลบ้าง ไปทัวร์บ้าง
ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ความสุขของลุงมันสั้นเกินไป!
สาเหตุมาจากเมื่อ 2 เดือนที่แล้วนี่เอง ลุงแอ๊ดเริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ท้องอืด อาหารไม่ย่อย พอไปหาหมอปรากฏว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ไม่น่าเชื่อเลยครับ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเป็นอะไรมาก ปกติลุงเป็นคนแข็งแรงตลอดมา ไม่ใช่คนผอมแห้งแรงน้อยซักหน่อย พอตรวจปุ๊บก็เจอปั๊บ และมันก็สายเกินไปแล้วด้วยซีครับ
หลังจากเจอมะเร็งเพียงแค่ 3 เดือน ลุงแอ๊ดก็จากเราไปอย่างสงบ...สำหรับพวกเราแล้ว ความตายของลุงแอ๊ดนับว่ากะทันหันเชียวละ คนที่เศร้าโศกเสียใจสุดๆ ก็คือป้ากล้วยนั่นเอง!
ป้าผมทำใจไม่ได้เลย ร้องไห้ตลอดเวลา แล้วก็หงอยเหงาเศร้าซึมเหมือนอยากตายตาม อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ พวกเราไม่ยอมให้ป้าคลาดสายตาเลย กลัวจะคิดสั้นหรือเป็นอะไรไป เพราะป้ากล้วยทั้งความดันสูงกับเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วด้วยซี
บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมเองมีห้องนอนอยู่ที่ชั้น 2 ตรงข้ามกับห้องของลุงแอ๊ดและป้ากล้วย ส่วนพ่อแม่ผมอยู่ชั้นล่าง ห้องติดกับห้องของคุณตาคุณยาย
ลุงกับป้ามีลูกชายคนเดียวคือพี่โอ๊ต ซึ่งแต่งงานแล้วและแยกไปอยู่กับครอบครัวที่หมู่บ้านแถวเมืองนนท์ เมียพี่โอ๊ตสวยมาก แต่ขี้งกที่สุด วันๆ คิดแต่จะเอาสมบัติของสามี คงเห็นว่าลุงแอ๊ดรวย และมีลูกชายคนเดียว พอตายลงก็คงยกสมบัติให้พี่โอ๊ตหมด
แหม! คุณเธอเทียวไปเทียวมา ทำเป็นถามถึงเงินทองและพระเครื่องล้ำค่าของลุงแอ๊ด โดยถามเอากับป้ากล้วย เธอพูดเป็นทำนองว่า ป้ากล้วยไม่ยอมให้มรดกพี่โอ๊ต! ที่จริงลุงแอ๊ดซื้อที่ดินแถวรามอินทรากับแถวพุทธมณฑลไว้ และโอนให้พี่โอ๊ตทั้งสองแปลงแล้ว มันก็น่าจะพอใจแค่นั้น...นี่อะไร ยังมาระรานป้ากล้วยอีกแน่ะ!
ศพลุงแอ๊ดก็เพิ่งเผา ป้ากล้วยเลยคิดมากไปใหญ่...
ตั้งแต่ลุงแอ๊ดตาย ผมคนหนึ่งละที่สังหรณ์ใจว่าลุงยังไม่ไปไหน...ยังวนเวียนห่วงป้ากล้วยอยู่ในบ้านนี้แหละ ถึงแม้จะเสียวสยอง แต่ผมก็ไม่ถึงกับกลัวมากมายอะไรหรอกครับ
พวกเรามักได้ยินเสียงคล้ายกับยามที่ลุงแกยังมีชีวิตอยู่ อย่างเสียงกรรไกรตัดกิ่งไม้มันดังฉับๆๆ แว่วมา เหมือนที่ลุงเคยทำ...เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันได เสียงไอและจาม เสียงเข้าห้องน้ำ...
ป้ากล้วยเองก็บอกว่ารู้สึกเหมือนลุงแอ๊ดยังอยู่ข้างๆ บางทีก็คล้ายกับมาหายใจอยู่ใกล้ๆ หู!
เย็นวันอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง พี่โอ๊ตพาลูกๆ กับพี่แหม่ม-เมียของเขามาเยี่ยมป้ากล้วย และก็เช่นเคย หลังมื้อค่ำราว 2 ทุ่ม พี่แหม่มนัวเนียอยู่กับป้ากล้วย ถามหาพระสมเด็จวัดระฆังที่ลุงแอ๊ดสวมใส่ติดคอเสมอเมื่อยังมีชีวิตอยู่
จริงๆ แล้วพระองค์นี้ ลุงแอ๊ดบอกไว้ตอนที่เจ็บหนักว่าให้ผม เพราะลุงรักผมเหมือนลูกคนหนึ่งทีเดียว เมื่อพี่แหม่มรุกเร้าหนักๆ เข้า ป้ากล้วยก็ไม่ค่อยสบายใจ
ป้าเล่าให้ผมฟังภายหลังว่า พี่แหม่มตามป้าเข้าไปถึงในห้องนอน
ห้องนอนของลุงกับป้า นอกจากจะมีเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าแล้ว ยังมีโต๊ะเขียนหนังสือของลุงแอ๊ด หนังสือ พิมพ์ดีด กล่องใส่ดินสอ...ทุกอย่างยังจัดวางไว้ที่เดิมเหมือนรอให้ลุงกลับมา...รวมทั้งโป๊ะไฟสำหรับส่องเขียนหนังสือด้วย มันเป็นหลอดไฟแบบประหยัด สว่าง 7 วัตต์ ลุงมักเปิดเสมอเวลาเขียนหนังสือตอนดึกๆ และปิดไฟกลางห้องให้ป้ากล้วยหลับสบายๆ แสงไฟไม่แยงตา
ห้องนอนยังอยู่ในสภาพเดิม เว้นแต่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะเขียนหนังสือนี้มีรูปหนึ่งแขวนไว้...เป็นรูปหน้าศพของลุงแอ๊ดเองครับ ป้ากล้วยเอามาแขวนไว้ในห้องนี้
ขณะที่พี่แหม่มนั่งพับเพียบ พูดจาออดอ้อนระคนต่อว่าต่อขานจนป้ากล้วยอึดอัด ก็ปรากฏว่าแสงไฟดับพรึ่บลงทั้งบ้าน!
เสียงพี่แหม่มร้องวี้ด และวิ่งถลาออกจากห้อง
ทำไมเธอตกใจขนาดนั้น?!
คำตอบคือ...ลำพังไฟดับมันไม่เท่าไหร่หรอกครับ นี่ไฟดับหมดบ้านยกเว้นดวงเดียว คือไฟโป๊ะเขียนหนังสือ มันดันเปิดเองสว่างโร่ได้ยังไงไม่รู้ และแสงไฟก็ส่องไปจับเหมาะเอาที่รูปลุงแอ๊ดพอดิบพอดี
ดูเหมือนไฟที่ส่องตัวละครบนเวทียังไงยังงั้น...คิดดูเถอะครับ มันจะน่าสยองขนาดไหน?
พักใหญ่ๆ ไฟทั้งบ้านก็ติดขึ้นมาเองซะงั้น และเมื่อไปดูโคมไฟเจ้ากรรมตามคำโวยวายของพี่แหม่มก็ปรากฏว่ามันปิดตัวเองลงเรียบร้อย ไม่มีใครไปแตะต้อง
มันคืออะไรล่ะครับ ถ้าไม่ใช่อภินิหาริย์วิญญาณลุงแอ๊ด?!
ตั้งแต่นั้นมา ป้ากล้วยอาการดีขึ้นเป็นลำดับเพราะอุ่นใจว่าลุงแอ๊ดยังอยู่จริงๆ ส่วนพี่แหม่มขี้งกจ๋อยสนิท ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่กล้ามารบกวนป้ากล้วยของผมอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 เมษายน 2551
07 พฤศจิกายน 2559
หอพักผีสิง
"หนิง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพัก
หนูเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ บ้านเดิมอยู่ดอยเต่าที่ไกลเกินไป พ่อแม่จึงต้องให้หนูอยู่หอพักค่ะ
ความเจริญของเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ไม่แพ้กรุงเทพฯ นะคะ รถราขวักไขว่จนมองไม่เห็นรถสามล้อเหมือนสมัยก่อนแล้ว จะไปไหนมาไหนก็มีทั้งรถเมล์และรถสองแถว เรียกว่ารถแดงคอยบริการทั้งวันทั้งคืน
ตอนแรกหนูอยู่หอพักรวม ค่อนข้างจะเอะอะเพราะมีขี้เมาส่งเสียงเฮๆ จนดึกดื่น บางห้องก็เปิดเพลงซะดังลั่น มีปาร์ตี้ย่อยๆ คือเพื่อนข้างห้องทั้งหญิงและชายเข้าไปสนุกกัน ส่งเสียงดังจนนอนไม่หลับ จะดูหนังสือก็ไม่มีสมาธิเลย
บางวันมีใครไม่รู้มาเคาะประตู ถ้าผู้หญิงก็มาชวนคุย ขอยืมแฟ้บ น้ำปลา มะนาว...ขนาดมาม่ายังขอยืมเลยค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายก็มาทำตาวาวๆ เป็นพวก "หูดำ" ชวนไปปาร์ตี้ ดื่มเหล้า ฟังเพลง เต้นรำ บอกว่าสนุกได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครล่วงรู้
อ้อ! ยาก็มีนะ...พูดตรงๆ เลยค่ะ จะเอายาบ้า หรือยาอี ยาเค มีหมด ขายไม่แพงหรอก...ไม่สนเลยเหรอ?
นึกถึงพ่อแม่พวกเขาที่ทำงานกันงกๆ เพื่อส่งลูกเรียนแล้วสลดใจบอกไม่ถูก แต่สำหรับหนูเองรับรองว่าจะตั้งใจเล่าเรียนให้ดีที่สุด ไม่ยอมปล่อยตัวเหลวแหลกตามอารมณ์เหมือนพวกที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ อย่างแน่นอน!
บางครั้งทั้งเสพยาและขายยา เล่นการพนัน ผู้หญิงก็ขายตัว...อย่าว่าแต่ไม่รักพ่อแม่เลยค่ะ ตัวเองก็ยังไม่รักเลยนี่นา ถ้าเยาวชนประเภทนี้มีมากขึ้น ประเทศชาติก็น่าเป็นห่วงนะคะ
ดูๆ แล้วชักจะมั่วเต็มที อยากจะหาหอพักใหม่ พอดีมีเพื่อนอยากย้ายหอเหมือนกัน เราเลยตกลงไปเช่าหอใหม่ แชร์ค่าเช่ากัน "ก้อย" เป็นเด็กเรียนแบบหนูนี่แหละ ที่ดีมากๆ คืออยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เซฟทั้งค่ารถไปกลับและเวลาเป็นชั่วโมงที่รถติดอีกด้วยค่ะ
เราได้หอพักชั้นสองด้านหน้า เป็นตึกที่สร้างมาหลายปีแล้วค่ะ แต่ยังมีสภาพใหม่และสะอาด รับเฉพาะผู้หญิงล้วนๆ มีตู้เตียงและโต๊ะเขียนหนังสือให้พร้อม
ที่น่าสนใจก็คือตัวหนังสือโตๆ ข้างฝา ข้อความประเภทสุภาษิตหรือคำคม รวมทั้งลายมือที่บ่งบอกว่าคนเขียนมีความรู้พอสมควร อาจจะเป็นนักศึกษารุ่นก่อนๆ เขียนไว้ แล้วคนที่มาอยู่ใหม่ก็ต่อเติมตามใจชอบ
"ได้ลืมตาตื่นก็ถือว่าโชคดีแล้ว"
"คนโง่คิดถึงพรุ่งนี้ แต่คนฉลาดจะใช้คืนนี้ให้เป็นประโยชน์"
"มิตรภาพก็เหมือนต้นไม้ ต้องหมั่นรดน้ำเสมอๆ"
"ยามเรามี เพื่อนรู้จักเรา ยามเราจน เรารู้จักเพื่อน"
อ่านแล้วอดขำไม่ได้ คงจดจำใครมานะคะ แต่ก็ดูน่ารักมากกว่าภาษิตพื้นๆ หรือถ้อยคำโลนๆ ที่เคยพบจากฝาห้องหอพักเก่า
ถ้าหนูอยู่คนเดียว บรรยากาศในห้องค่อนข้างเงียบสงบ เพราะสนใจจะอ่านหนังสือมากกว่าฟังเพลง ตรงข้ามกับก้อยที่ชอบเปิดเพลงวัยรุ่นที่กำลังดัง แต่ฟังโดยใช้เสียบหูทำให้ไม่รบกวนคนอื่นดีค่ะ
คืนหนึ่ง ก้อยไปดูคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดัง หนูไม่สนใจเรื่องนี้ก็เลยกลับหอคนเดียว ไม่ต้องห่วงก้อยเพราะมีเพื่อนมาส่ง หรือจะกลับรถแดงเองก็ได้
หลังจากอาบน้ำแล้วหนูก็ขึ้นเตียงอ่านหนังสือตามความเคยชิน จนหลับผล็อยไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว...ความรู้สึกคล้ายจะจมดิ่งแบบคนจมน้ำ แต่ไม่อึดอัดนะคะ ตรงข้ามกลับเย็นสบายเสียอีก แว่วเสียงอะไรดังก๊อกๆๆ อยู่ข้างหู...เสียงนั้นดังขึ้น...ดังขึ้นทุกทีจนหนูสะดุ้งตื่นขึ้นมา
สรรพสิ่งเงียบเชียบ ดูเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟที่หนูเปิดไว้จากโต๊ะหัวเตียง กำลังงงๆ อยู่ว่าตื่นขึ้นเพราะอะไรแน่ ก็พอดีเสียงนั้นดังมากระทบหูอีกครั้ง
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะเป็นจังหวะเล่นเอาหนูขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ฝาประตูห้องน้ำก็ยังมีแสงไฟส่องออกมาตรงช่องประตูที่แง้มไว้...หนูชันกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทรวงอก...หรือว่ามีใครมาเคาะประตู?
ไม่ใช่ก้อยแน่ๆ ดูนาฬิกาก็เพิ่งสี่ทุ่มกว่า แถมก้อยก็มีกุญแจไขเข้ามาเองได้...หนูล็อกประตูแต่ไม่ได้ใส่กลอนหรอกค่ะ...
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" คราวนี้แน่ใจหนูหันขวับ...มันดังมาจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดกับโต๊ะเครื่องสำอางนั่นเอง! อาจจะเป็นหนูตัวเล็กๆ ที่หลุดเข้าไปก็ได้? แต่เราไม่เคยเห็นเจ้าสัตว์สกปรกนั่นมาก่อนเลย
...ราวกับจะเป็นคำตอบ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หนูอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป เบิกตาจ้องมองบานประตูของมันค่อยๆ เปิดออกเชื่องช้า เสียง...แอ๊ดดด..ดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นครึกโครมแทบจะพังออกมานอกอก
คุณพระช่วย! ร่างเล็กๆ ของผู้หญิงผมยาวขดงอก่อ ใบหน้าดำปี๋ที่พิงฝาตู้ตอนล่างค่อยๆ หันมามองเชื่องช้า มือผอมเกร็งชุ่มเลือดเอื้อมมาจับบานประตูคล้ายจะเคลื่อนตัวออกมา
หนูได้ยินเสียงตัวเองร้องกรี๊ดๆ เหมือนคนบ้า กระโดดผลุงลงจากเตียงร้องไห้โฮ ผวาไปคว้าลูกบิดประตูห้องมือไม้สั่น ไม่กล้าหันไปมองภาพอุบาทว์นั้น...จนกระทั่งเผ่นออกจากห้องผีสิงนั่นได้สำเร็จ
มารับรู้ว่ามีนักศึกษาโดนคนร้ายฆ่าหมกตู้ในหอพักนั่นหลายปีแล้ว...แต่เราไม่สนใจเท่ากับรีบย้ายหอในคืนนั้นเองค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 เมษายน 2551
หนูเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ บ้านเดิมอยู่ดอยเต่าที่ไกลเกินไป พ่อแม่จึงต้องให้หนูอยู่หอพักค่ะ
ความเจริญของเชียงใหม่เดี๋ยวนี้ไม่แพ้กรุงเทพฯ นะคะ รถราขวักไขว่จนมองไม่เห็นรถสามล้อเหมือนสมัยก่อนแล้ว จะไปไหนมาไหนก็มีทั้งรถเมล์และรถสองแถว เรียกว่ารถแดงคอยบริการทั้งวันทั้งคืน
ตอนแรกหนูอยู่หอพักรวม ค่อนข้างจะเอะอะเพราะมีขี้เมาส่งเสียงเฮๆ จนดึกดื่น บางห้องก็เปิดเพลงซะดังลั่น มีปาร์ตี้ย่อยๆ คือเพื่อนข้างห้องทั้งหญิงและชายเข้าไปสนุกกัน ส่งเสียงดังจนนอนไม่หลับ จะดูหนังสือก็ไม่มีสมาธิเลย
บางวันมีใครไม่รู้มาเคาะประตู ถ้าผู้หญิงก็มาชวนคุย ขอยืมแฟ้บ น้ำปลา มะนาว...ขนาดมาม่ายังขอยืมเลยค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายก็มาทำตาวาวๆ เป็นพวก "หูดำ" ชวนไปปาร์ตี้ ดื่มเหล้า ฟังเพลง เต้นรำ บอกว่าสนุกได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครล่วงรู้
อ้อ! ยาก็มีนะ...พูดตรงๆ เลยค่ะ จะเอายาบ้า หรือยาอี ยาเค มีหมด ขายไม่แพงหรอก...ไม่สนเลยเหรอ?
นึกถึงพ่อแม่พวกเขาที่ทำงานกันงกๆ เพื่อส่งลูกเรียนแล้วสลดใจบอกไม่ถูก แต่สำหรับหนูเองรับรองว่าจะตั้งใจเล่าเรียนให้ดีที่สุด ไม่ยอมปล่อยตัวเหลวแหลกตามอารมณ์เหมือนพวกที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ อย่างแน่นอน!
บางครั้งทั้งเสพยาและขายยา เล่นการพนัน ผู้หญิงก็ขายตัว...อย่าว่าแต่ไม่รักพ่อแม่เลยค่ะ ตัวเองก็ยังไม่รักเลยนี่นา ถ้าเยาวชนประเภทนี้มีมากขึ้น ประเทศชาติก็น่าเป็นห่วงนะคะ
ดูๆ แล้วชักจะมั่วเต็มที อยากจะหาหอพักใหม่ พอดีมีเพื่อนอยากย้ายหอเหมือนกัน เราเลยตกลงไปเช่าหอใหม่ แชร์ค่าเช่ากัน "ก้อย" เป็นเด็กเรียนแบบหนูนี่แหละ ที่ดีมากๆ คืออยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เซฟทั้งค่ารถไปกลับและเวลาเป็นชั่วโมงที่รถติดอีกด้วยค่ะ
เราได้หอพักชั้นสองด้านหน้า เป็นตึกที่สร้างมาหลายปีแล้วค่ะ แต่ยังมีสภาพใหม่และสะอาด รับเฉพาะผู้หญิงล้วนๆ มีตู้เตียงและโต๊ะเขียนหนังสือให้พร้อม
ที่น่าสนใจก็คือตัวหนังสือโตๆ ข้างฝา ข้อความประเภทสุภาษิตหรือคำคม รวมทั้งลายมือที่บ่งบอกว่าคนเขียนมีความรู้พอสมควร อาจจะเป็นนักศึกษารุ่นก่อนๆ เขียนไว้ แล้วคนที่มาอยู่ใหม่ก็ต่อเติมตามใจชอบ
"ได้ลืมตาตื่นก็ถือว่าโชคดีแล้ว"
"คนโง่คิดถึงพรุ่งนี้ แต่คนฉลาดจะใช้คืนนี้ให้เป็นประโยชน์"
"มิตรภาพก็เหมือนต้นไม้ ต้องหมั่นรดน้ำเสมอๆ"
"ยามเรามี เพื่อนรู้จักเรา ยามเราจน เรารู้จักเพื่อน"
อ่านแล้วอดขำไม่ได้ คงจดจำใครมานะคะ แต่ก็ดูน่ารักมากกว่าภาษิตพื้นๆ หรือถ้อยคำโลนๆ ที่เคยพบจากฝาห้องหอพักเก่า
ถ้าหนูอยู่คนเดียว บรรยากาศในห้องค่อนข้างเงียบสงบ เพราะสนใจจะอ่านหนังสือมากกว่าฟังเพลง ตรงข้ามกับก้อยที่ชอบเปิดเพลงวัยรุ่นที่กำลังดัง แต่ฟังโดยใช้เสียบหูทำให้ไม่รบกวนคนอื่นดีค่ะ
คืนหนึ่ง ก้อยไปดูคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดัง หนูไม่สนใจเรื่องนี้ก็เลยกลับหอคนเดียว ไม่ต้องห่วงก้อยเพราะมีเพื่อนมาส่ง หรือจะกลับรถแดงเองก็ได้
หลังจากอาบน้ำแล้วหนูก็ขึ้นเตียงอ่านหนังสือตามความเคยชิน จนหลับผล็อยไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว...ความรู้สึกคล้ายจะจมดิ่งแบบคนจมน้ำ แต่ไม่อึดอัดนะคะ ตรงข้ามกลับเย็นสบายเสียอีก แว่วเสียงอะไรดังก๊อกๆๆ อยู่ข้างหู...เสียงนั้นดังขึ้น...ดังขึ้นทุกทีจนหนูสะดุ้งตื่นขึ้นมา
สรรพสิ่งเงียบเชียบ ดูเยือกเย็นอยู่ในแสงไฟที่หนูเปิดไว้จากโต๊ะหัวเตียง กำลังงงๆ อยู่ว่าตื่นขึ้นเพราะอะไรแน่ ก็พอดีเสียงนั้นดังมากระทบหูอีกครั้ง
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะเป็นจังหวะเล่นเอาหนูขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ฝาประตูห้องน้ำก็ยังมีแสงไฟส่องออกมาตรงช่องประตูที่แง้มไว้...หนูชันกายขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทรวงอก...หรือว่ามีใครมาเคาะประตู?
ไม่ใช่ก้อยแน่ๆ ดูนาฬิกาก็เพิ่งสี่ทุ่มกว่า แถมก้อยก็มีกุญแจไขเข้ามาเองได้...หนูล็อกประตูแต่ไม่ได้ใส่กลอนหรอกค่ะ...
"ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ" คราวนี้แน่ใจหนูหันขวับ...มันดังมาจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ติดกับโต๊ะเครื่องสำอางนั่นเอง! อาจจะเป็นหนูตัวเล็กๆ ที่หลุดเข้าไปก็ได้? แต่เราไม่เคยเห็นเจ้าสัตว์สกปรกนั่นมาก่อนเลย
...ราวกับจะเป็นคำตอบ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้หนูอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป เบิกตาจ้องมองบานประตูของมันค่อยๆ เปิดออกเชื่องช้า เสียง...แอ๊ดดด..ดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นครึกโครมแทบจะพังออกมานอกอก
คุณพระช่วย! ร่างเล็กๆ ของผู้หญิงผมยาวขดงอก่อ ใบหน้าดำปี๋ที่พิงฝาตู้ตอนล่างค่อยๆ หันมามองเชื่องช้า มือผอมเกร็งชุ่มเลือดเอื้อมมาจับบานประตูคล้ายจะเคลื่อนตัวออกมา
หนูได้ยินเสียงตัวเองร้องกรี๊ดๆ เหมือนคนบ้า กระโดดผลุงลงจากเตียงร้องไห้โฮ ผวาไปคว้าลูกบิดประตูห้องมือไม้สั่น ไม่กล้าหันไปมองภาพอุบาทว์นั้น...จนกระทั่งเผ่นออกจากห้องผีสิงนั่นได้สำเร็จ
มารับรู้ว่ามีนักศึกษาโดนคนร้ายฆ่าหมกตู้ในหอพักนั่นหลายปีแล้ว...แต่เราไม่สนใจเท่ากับรีบย้ายหอในคืนนั้นเองค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 เมษายน 2551
04 พฤศจิกายน 2559
ลูกเอยลูกรัก!
"แก้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสยองขวัญ
ดิฉันเองไม่ใช่คนประสาทอ่อน ไม่หวาดกลัวอะไรง่ายๆ แต่กลัวผี กลัวความลึกลับซ่อนเร้น ทั้งๆ ที่เกิดมาเกือบสามสิบปีแล้วยังไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้งเดียว...แต่สิ่งที่ดิฉันได้ประสบมามันแสนจะน่ากลัว น่าสยดสยองยิ่งกว่าโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้าเสียอีกค่ะ ถ้าเป็นคนประสาทอ่อนมาเจออย่างดิฉันเข้า คิดว่าถ้าไม่หัวใจวายตายคาที่ก็ต้องเป็นลมเป็นแล้งอย่างแน่นอน
เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ...
ครอบครัวเราไปซื้อบ้านจัดสรรในถนนสุทธิสารตั้งแต่เพิ่งจะตัดถนนรัชดาภิเษก...หมู่บ้านกว้างขวางมาก แบ่งออกเป็นซอยๆ และขยายออกไปเรื่อยๆ จนทะลุออกทางลาดพร้าว 48 ได้เลย นับวันก็ยิ่งเจริญขึ้นทุกที
เพื่อนบ้านในซอยเดียวกันที่มีอยู่สิบกว่าหลัง ล้วนแต่คุ้นเคยและสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนถึงรุ่นลูกๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนพวกพ่อบ้านจะไปตั้งวงเฮฮากันที่บ้านนั้นบ้านนี้เมื่อมาถึงรุ่นเรา พ่อแม่ก็เกษียณกันหมดแล้ว หาความสุขในบั้นปลายชีวิตด้วยการเลี้ยงหลานปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงไปตามเรื่อง
คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องออกไปทำงานทำการ ดำเนินชีวิตต่อไปคล้ายๆ กับรุ่นพ่อรุ่นแม่...ดูๆ แล้วกาลเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินนะคะ
"แอ๊ด" เพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทของดิฉันแต่งงานไปเมื่อราว 5-6 ปีก่อน สามีทำงานอยู่แห่งเดียวกันก็มาอยู่ด้วย เป็นคนน่ารักน่าคบทั้งคู่แหละค่ะ มีลูกชายคนเดียวชื่อตาอ๊อด เพิ่งจะเรียนอนุบาลอยู่แถวลาดพร้าว...ดูเหมือนจะเป็นโรงเรียนที่แอ๊ดเคยเป็นศิษย์เก่ามาในอดีต
แอ๊ดเป็นคนอ่อนไหวมาก ช่างคิดช่างฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเล่านิทานที่เธอบอกว่าแต่งเองให้เพื่อนๆ ฟัง บางทีก็บอกว่าระลึกชาติได้ มีสัมผัสพิเศษที่เรียกว่าประสาทที่ 6 แต่เมื่อเติบโตขึ้นสัมผัสที่ว่าค่อยๆ จางหายไป...ผู้หญิงที่ต้องทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน มีลูกเล็กๆ ซุกซนและงอแงประสาเด็ก ไม่มีเวลามานั่งเป็นคนมีประสาทที่ 6 ได้หรอกค่ะ
เรื่องน่าเศร้าสลดที่สุดในชีวิตของแอ๊ดก็คือ ตาอ๊อดเกิดอุบัติเหตุจมน้ำตายในสระว่ายน้ำของโรงเรียน! แอ๊ดรู้ข่าวถึงกับร้องกรี๊ดสุดเสียง สลบคาที่...แต่เมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้งเธอกลับเงียบสงบจนน่าตกใจ สีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาว่างเปล่าไร้วี่แวว บางครั้งที่ดิฉันปลอบโยนในงานศพ แอ๊ดก็เพียงพยักหน้าราวหุ่นยนต์ มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ
"ตาอ๊อดไม่ได้ตาย! ตาอ๊อดยังอยู่..."
คำพูดน่าขนลุกของเธอคงจะเกิดจากความรักของแม่ ทั้งดูดดื่มและลึกซึ้งจนทำใจไม่ได้ว่าลูกรักตัวน้อยๆ อันเป็นที่รักดุจดวงตาดวงใจ ได้ตายจากไปแล้ว...จากไปชั่วชีวิต! ดิฉันคิดว่าเข้าใจค่ะ และเชื่อว่ากาลเวลาจะเป็นยาวิเศษที่ช่วยสมานบาดแผลของจิตใจเธอได้ในที่สุด
แต่ความรักของแอ๊ดที่มีต่อลูกน้อยนั้น มากมายล้นเหลือจนเกินเข้าใจ!
ดูเผินๆ เธอกลายเป็นแอ๊ดคนเดิมในเวลารวดเร็ว ร่าเริงแจ่มใส นั่งรถกับสามีไปทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า ตกเย็นก็กลับบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง พบดิฉันก็ส่งเสียงทักทายรื่นเริงจนแทบไม่มีอะไรน่าห่วงใย
ตกกลางคืนน่ะสิคะ...บ้านรั้วเดียวกันทำให้มองลงไปเห็นจัดอาหารที่โต๊ะให้สามีพร้อมกับชะเง้อไปทางหน้าบ้าน...อ๊อดๆ มาทานข้าวกับคุณพ่อเร้ว!
แว่วเสียงพูดคุยกับลูก ชวนลูกขึ้นนอน บางคืนก็ได้ยินเสียงดุๆ ว่าตาอ๊อดดื้อรั้น! ต้องรีบเข้านอนนะจ๊ะ เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย!
ระยะแรกๆ ดิฉันนึกว่าเราประสาทไปเอง แต่เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็มาซุบซิบตรงกัน พี่อ้อยบ้านตรงข้ามถึงกับยืนยันว่า เธอเห็นแอ๊ดทำท่าจูงลูกชายขึ้นรถตอนเช้าๆ ด้วยซ้ำ...แต่พวกเราลืมห่วง "คุณโอ" สามีของเธอเสียสนิท
ดิฉันเพิ่งสังเกตว่าคุณโอหน้าตาหมองคล้ำ ท่าทางอิดโรย ดูราวกับจะยังไม่หายโศกเศร้าที่เสียลูกชายไป แต่มาฉุกคิดขึ้นได้ว่าเพราะอาการเพี้ยนๆ ของแอ๊ดต่างหากที่ทำให้เขาอึดอัดกลัดกลุ้มจนน่าเห็นใจ...ลูกชายตายจากไปทั้งคน ภรรยากลับทำเสมือนว่าลูกยังมีชีวิตอยู่!
เช้าต้องไปส่งโรงเรียน เย็นต้องไปรับกลับบ้าน หาขนมให้กิน เรียกทำการบ้าน สั่งให้อาบน้ำ กินข้าว ดูทีวี แล้วสั่งด้วยเสียงอ่อนหวานให้ขึ้นนอนเสียที
เสาร์หนึ่งตอนบ่ายจัด ดิฉันไปเยี่ยมเยียนแอ๊ดบอกว่าเอาคุกกี้มาฝาก เธอยิ้มหวานมาฉุดมือดิฉันเข้าห้องรับแขก...ต๊าย! นี่ของโปรดตาอ๊อดเลยล่ะ! จะให้ทำยังไงได้ล่ะคะนอกจากฝืนยิ้ม แอ๊ดออกไปยืนหน้าประตู จ้องมองไปที่ชิงช้าว่างเปล่าริมรั้วพลางร้องเสียงหวาน
"อ๊อดจ๋า...น้าแก้วเอาคุกกี้มาฝากแน่ะลูก รีบมาทานเร้ว...ขืนช้าแม่แย่งทานหมดนะ! น่าน..น่ารักจริงลูกจ๋า"
ดิฉันนั่งตัวแข็งทื่อ มองดูแอ๊ดเดินเข้ามาพร้อมกับทำท่าจูงเด็กเล็กๆ เข้ามาด้วยสั่งให้ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะหัวเราะเสียงใส ยกมือขยี้ความว่างเปล่าในอาการขยี้ผมลูกรัก หยิบขนมป้อนพลางทำเสียง "อ้ำ" ไปด้วย
"พอซะที!" เสียงร้องตะโกนมาจากเชิงบันได "ลูกเราตายไปแล้วนะ! โธ่โว้ย.."
ดิฉันหันขวับไปเห็นคุณโอยืนผมกระเซิง นัยน์ตาแดงช้ำดูขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต แอ๊ดย่อตัวลงคว้าอากาศขึ้นมาอุ้มอย่างทะนุถนอม หันขวับไปประจันหน้าสามีในบัดดล
"อย่ามาพูดบ้าๆ นะตาอ๊อดยังไม่ตาย...ลูกฉันอยู่ที่นี่เห็นมั้ย? เอ้า! บอกพ่อซีอ๊อดว่าลูกยังไม่ตาย.."
ขาดคำเธอก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น...ดิฉันผลุนผลันออกจากห้องรับแขกด้วยหัวใจเต้นระทึกเหมือนจะแตกสลายไปบัดดล! แอ๊ดแขวนคอตายในเดือนต่อมา สามีเธอขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น...ผีจะมีจริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่ทำให้ดิฉันขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 เมษายน 2551
ดิฉันเองไม่ใช่คนประสาทอ่อน ไม่หวาดกลัวอะไรง่ายๆ แต่กลัวผี กลัวความลึกลับซ่อนเร้น ทั้งๆ ที่เกิดมาเกือบสามสิบปีแล้วยังไม่เคยถูกผีหลอกสักครั้งเดียว...แต่สิ่งที่ดิฉันได้ประสบมามันแสนจะน่ากลัว น่าสยดสยองยิ่งกว่าโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้าเสียอีกค่ะ ถ้าเป็นคนประสาทอ่อนมาเจออย่างดิฉันเข้า คิดว่าถ้าไม่หัวใจวายตายคาที่ก็ต้องเป็นลมเป็นแล้งอย่างแน่นอน
เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ...
ครอบครัวเราไปซื้อบ้านจัดสรรในถนนสุทธิสารตั้งแต่เพิ่งจะตัดถนนรัชดาภิเษก...หมู่บ้านกว้างขวางมาก แบ่งออกเป็นซอยๆ และขยายออกไปเรื่อยๆ จนทะลุออกทางลาดพร้าว 48 ได้เลย นับวันก็ยิ่งเจริญขึ้นทุกที
เพื่อนบ้านในซอยเดียวกันที่มีอยู่สิบกว่าหลัง ล้วนแต่คุ้นเคยและสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่จนถึงรุ่นลูกๆ เมื่อ 20 กว่าปีก่อนพวกพ่อบ้านจะไปตั้งวงเฮฮากันที่บ้านนั้นบ้านนี้เมื่อมาถึงรุ่นเรา พ่อแม่ก็เกษียณกันหมดแล้ว หาความสุขในบั้นปลายชีวิตด้วยการเลี้ยงหลานปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือหรือฟังเพลงไปตามเรื่อง
คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องออกไปทำงานทำการ ดำเนินชีวิตต่อไปคล้ายๆ กับรุ่นพ่อรุ่นแม่...ดูๆ แล้วกาลเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินนะคะ
"แอ๊ด" เพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทของดิฉันแต่งงานไปเมื่อราว 5-6 ปีก่อน สามีทำงานอยู่แห่งเดียวกันก็มาอยู่ด้วย เป็นคนน่ารักน่าคบทั้งคู่แหละค่ะ มีลูกชายคนเดียวชื่อตาอ๊อด เพิ่งจะเรียนอนุบาลอยู่แถวลาดพร้าว...ดูเหมือนจะเป็นโรงเรียนที่แอ๊ดเคยเป็นศิษย์เก่ามาในอดีต
แอ๊ดเป็นคนอ่อนไหวมาก ช่างคิดช่างฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเล่านิทานที่เธอบอกว่าแต่งเองให้เพื่อนๆ ฟัง บางทีก็บอกว่าระลึกชาติได้ มีสัมผัสพิเศษที่เรียกว่าประสาทที่ 6 แต่เมื่อเติบโตขึ้นสัมผัสที่ว่าค่อยๆ จางหายไป...ผู้หญิงที่ต้องทำงานทั้งนอกบ้านและในบ้าน มีลูกเล็กๆ ซุกซนและงอแงประสาเด็ก ไม่มีเวลามานั่งเป็นคนมีประสาทที่ 6 ได้หรอกค่ะ
เรื่องน่าเศร้าสลดที่สุดในชีวิตของแอ๊ดก็คือ ตาอ๊อดเกิดอุบัติเหตุจมน้ำตายในสระว่ายน้ำของโรงเรียน! แอ๊ดรู้ข่าวถึงกับร้องกรี๊ดสุดเสียง สลบคาที่...แต่เมื่อได้สติขึ้นมาอีกครั้งเธอกลับเงียบสงบจนน่าตกใจ สีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาว่างเปล่าไร้วี่แวว บางครั้งที่ดิฉันปลอบโยนในงานศพ แอ๊ดก็เพียงพยักหน้าราวหุ่นยนต์ มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ
"ตาอ๊อดไม่ได้ตาย! ตาอ๊อดยังอยู่..."
คำพูดน่าขนลุกของเธอคงจะเกิดจากความรักของแม่ ทั้งดูดดื่มและลึกซึ้งจนทำใจไม่ได้ว่าลูกรักตัวน้อยๆ อันเป็นที่รักดุจดวงตาดวงใจ ได้ตายจากไปแล้ว...จากไปชั่วชีวิต! ดิฉันคิดว่าเข้าใจค่ะ และเชื่อว่ากาลเวลาจะเป็นยาวิเศษที่ช่วยสมานบาดแผลของจิตใจเธอได้ในที่สุด
แต่ความรักของแอ๊ดที่มีต่อลูกน้อยนั้น มากมายล้นเหลือจนเกินเข้าใจ!
ดูเผินๆ เธอกลายเป็นแอ๊ดคนเดิมในเวลารวดเร็ว ร่าเริงแจ่มใส นั่งรถกับสามีไปทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า ตกเย็นก็กลับบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง พบดิฉันก็ส่งเสียงทักทายรื่นเริงจนแทบไม่มีอะไรน่าห่วงใย
ตกกลางคืนน่ะสิคะ...บ้านรั้วเดียวกันทำให้มองลงไปเห็นจัดอาหารที่โต๊ะให้สามีพร้อมกับชะเง้อไปทางหน้าบ้าน...อ๊อดๆ มาทานข้าวกับคุณพ่อเร้ว!
แว่วเสียงพูดคุยกับลูก ชวนลูกขึ้นนอน บางคืนก็ได้ยินเสียงดุๆ ว่าตาอ๊อดดื้อรั้น! ต้องรีบเข้านอนนะจ๊ะ เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย!
ระยะแรกๆ ดิฉันนึกว่าเราประสาทไปเอง แต่เพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็มาซุบซิบตรงกัน พี่อ้อยบ้านตรงข้ามถึงกับยืนยันว่า เธอเห็นแอ๊ดทำท่าจูงลูกชายขึ้นรถตอนเช้าๆ ด้วยซ้ำ...แต่พวกเราลืมห่วง "คุณโอ" สามีของเธอเสียสนิท
ดิฉันเพิ่งสังเกตว่าคุณโอหน้าตาหมองคล้ำ ท่าทางอิดโรย ดูราวกับจะยังไม่หายโศกเศร้าที่เสียลูกชายไป แต่มาฉุกคิดขึ้นได้ว่าเพราะอาการเพี้ยนๆ ของแอ๊ดต่างหากที่ทำให้เขาอึดอัดกลัดกลุ้มจนน่าเห็นใจ...ลูกชายตายจากไปทั้งคน ภรรยากลับทำเสมือนว่าลูกยังมีชีวิตอยู่!
เช้าต้องไปส่งโรงเรียน เย็นต้องไปรับกลับบ้าน หาขนมให้กิน เรียกทำการบ้าน สั่งให้อาบน้ำ กินข้าว ดูทีวี แล้วสั่งด้วยเสียงอ่อนหวานให้ขึ้นนอนเสียที
เสาร์หนึ่งตอนบ่ายจัด ดิฉันไปเยี่ยมเยียนแอ๊ดบอกว่าเอาคุกกี้มาฝาก เธอยิ้มหวานมาฉุดมือดิฉันเข้าห้องรับแขก...ต๊าย! นี่ของโปรดตาอ๊อดเลยล่ะ! จะให้ทำยังไงได้ล่ะคะนอกจากฝืนยิ้ม แอ๊ดออกไปยืนหน้าประตู จ้องมองไปที่ชิงช้าว่างเปล่าริมรั้วพลางร้องเสียงหวาน
"อ๊อดจ๋า...น้าแก้วเอาคุกกี้มาฝากแน่ะลูก รีบมาทานเร้ว...ขืนช้าแม่แย่งทานหมดนะ! น่าน..น่ารักจริงลูกจ๋า"
ดิฉันนั่งตัวแข็งทื่อ มองดูแอ๊ดเดินเข้ามาพร้อมกับทำท่าจูงเด็กเล็กๆ เข้ามาด้วยสั่งให้ยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะหัวเราะเสียงใส ยกมือขยี้ความว่างเปล่าในอาการขยี้ผมลูกรัก หยิบขนมป้อนพลางทำเสียง "อ้ำ" ไปด้วย
"พอซะที!" เสียงร้องตะโกนมาจากเชิงบันได "ลูกเราตายไปแล้วนะ! โธ่โว้ย.."
ดิฉันหันขวับไปเห็นคุณโอยืนผมกระเซิง นัยน์ตาแดงช้ำดูขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต แอ๊ดย่อตัวลงคว้าอากาศขึ้นมาอุ้มอย่างทะนุถนอม หันขวับไปประจันหน้าสามีในบัดดล
"อย่ามาพูดบ้าๆ นะตาอ๊อดยังไม่ตาย...ลูกฉันอยู่ที่นี่เห็นมั้ย? เอ้า! บอกพ่อซีอ๊อดว่าลูกยังไม่ตาย.."
ขาดคำเธอก็แหงนหน้าหัวเราะลั่น...ดิฉันผลุนผลันออกจากห้องรับแขกด้วยหัวใจเต้นระทึกเหมือนจะแตกสลายไปบัดดล! แอ๊ดแขวนคอตายในเดือนต่อมา สามีเธอขายบ้านแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น...ผีจะมีจริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่ทำให้ดิฉันขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 เมษายน 2551
03 พฤศจิกายน 2559
ทางอาถรรพณ์
"ติว" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากทางรถไฟผีสิง
มีความเชื่อตั้งแต่สมัยก่อนมาแล้วว่า ผีที่สุดร้ายน่าสยดสยอง เฮี้ยนสุดขีดนั้นไม่มีอะไรเท่ากับผีตายโหงไปได้ รองลงมาก็คือผีคลอดลูกตาย หรือตายตั้งแต่อยู่ในท้องจนทำให้แม่ตายไปด้วย เรียกว่า "ตายทั้งกลม"
ผีตายโหงก็อย่างที่รู้ๆกันน่ะแหละครับ ว่าไม่ใช่ตายด้วยความแก่เฒ่า สังขารทรุดโทรมไปตามอายุขัย หรือว่าตายเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆทั้งสิ้น
โดนยิง โดนแทง โดนรถชนตาย รวมทั้งพวกที่คิดสั้นฆ่าตัวตายสารพัดวิธี เช่น ผูกคอตาย ยิงตัวตาย กินยาตาย กระโดดตึกตาย กระโจนน้ำตาย กระโดให้รถชนตาย โดยเฉพาะรถไฟนี่ใครโดนตูมเข้าไปตายแน่นอน...ชัวร์ป้าบ!
แต่คนที่บ้านอยู่ใกล้ๆทางรถไฟมักจะเชื่ออย่างฝังหัวว่า ไม่มีผีตายโหงชนิดไหนจะเฮี้ยนสุดขีดเท่ากับผีที่โดนรถไฟทับตาย
สาเหตุที่เชื่อถือแบบนี้ก็ดูเข้าเค้า เพราะศพที่โดนรถไฟทับตายน่ะแสนจะน่าสยดสยองเหลือกำสลัง ไหนจะเนื้อตัวขาด แขนขาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ยิ่งพวกที่หัวใจเกินร้อย ไปนอนหนุนรางรถไฟต่างหมอน พอล้อเหล็กหมุนครึกโครมเสียงสนั่น....หั่นคอขาดปลิวหวือยิ่งกว่าโดนดาบตัดหัวเป็นไหนๆ
ลองนึกภาพดูเถอะครับว่าจะสยองสุดขีดปานใด?
สมัยเด็กผมอยู่แถวริมคลองบางหว้า ธนบุรีนี่เอง ใกล้ๆกับทางรถไฟสายคลองสาน-แม่กลอง มีประสบการณ์เรื่องคนโดนรถไฟชนตาย - ทับตาย มาหลายครั้งหลายครา
คือมีทั้งคนชะตาขาด เดินใจลอยนำหน้ารถไฟ ...ตูมเข้าให้ถึงกับลอยละลิ่วปานเหาะได้ ซากศพเหมือนจะกลายเป็นผ้าขี้ริ้วชุ่มเลือดสดๆพวกคนแก่กับผู้หญิงที่แห่มาดูถึงกับลมใส่ เรอเอิ้กอ้ากไปตามๆกัน
ผู้คนสงสัยกันว่า รถไฟที่วิ่งมาข้างหลังน่ะเสียงดังคึ่กๆจนรางสะเทือน ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงเลยล่ะ? ว่าแต่จะคิดฆ่าตัวตายหรือเปล่า? ไม่มีสาเหตุใดๆที่จะทำให้เชื่อว่าผู้ตายมีเจตนาจะจบชีวิตตัวเองอย่างสยองปานนั้น
ฟันธงได้เลยว่า...ผีมันจะเอาไปอยู่ด้วยน่ะซี!!
ผีที่ว่าก็คือพวกที่โดนรถไฟทับตายมาก่อนหน้านั้นไงครับ
คราวนี้ก็เกิดการทุ่มเถียงกันยกใหญ่ว่า ผีจะเอาไปอยู่ด้วย หรือว่าผีจะฆ่าเพื่อให้ตัวเองได้ไปผุดไปเกิดเสียที อย่างที่เรียกว่า "ตัวตายตัวแทน" นั่นประไร
คนที่เชื่อว่าผีจะเอาไปอยู่ด้วยหัวเราะเยาะทันที บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ย่อมมีผีตัวเดียวน่ะซี เพราะใครตายปุ๊บ ผ่ตัวเก่าก็ได้ไปเกิดปั๊บ! แต่ของจริงน่ะมีคนมองเห็นผีเดินเป็นโขยงอยู่บนทางรถไฟตอนกลางคืน
ชาวบ้านเชื่อกันว่าทางรถไฟที่นั่นมีอาถรรพณ์ คือจะต้องมีคนโดนรถไฟชนตายทับตายปีละ 2-3 คนตลอดมา อย่างน้อยก็ปีละ 1 คนที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ...ทับถมบนรางรถไฟทั้งตายเพราะอุบัติเหตุ และเจตนาฆ่าตัวตาย
ล่าสุดคือผีผู้หญิงชื่อน้ากิ่ง ช้ำใจเพราะผัวมีเมียน้อยเลยคิดสั้น ไปนอนขวางรางให้รถไฟทับหัวขาดไปเลย! ร่ำลือกันว่าผีน้ากิ่งเฮี้ยนสุดๆสมัยนี้ต้องบอกว่า "โคตรจะเฮี้ยน" เลยละครับ
คนที่มีธุระปะปังต้องออกมาซื้อของที่ร้านริมคลองตอนเย็นๆเคยเห็นผู้หญิงนั่งซบหน้ากับเข่าอยู่ริมทางรถไฟ แว่วเสียงร้องให้กระซิกๆบางทีก็สะอึกสะอื้นคละเคล้ามากับสายลมวู่หวิว พอเดินเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงนั่นก็หันหน้ามองช้าๆ
น้ากิ่งนั่นเอง!!
ไม่ต้องสงสัยว่าจะขนหัวลุก สติแตกแค่ไหน เผ่นกระเจิงชนิดไม่รู้เหนือรู้ใต้ พลางร้องตะโกนโหวกโหวยไปด้วย...ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย
หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นก็คือคนที่ยืนยันว่าไม่กลัวผีสางอีนางโกงใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขนาดเดินกลับบ้านตอนกลางคืน สาเหตุก็เพราะความมึนเมาน่ะแหละ...ฤทธิ์สุราพาไป ว่าซะยังงั้นก็แล้วกันครับ
รายนี้ชื่อลุงหลบ นักเลงเก่าชาวสวนผู้ประกาศศักดาว่า เกิดมาข้าไม่เคยหลบหลีกผู้ใดหน้าไหน ไม่ว่าคนหรือผี ...ใครแน่จริงก็ขอให้เรียงหน้าเข้ามาเลย
คืนนั้น ลุงหลบเดินดุ่ยๆไปตามไม้หมอนรถไฟ จนกระทั่งถึงบริเวณเกิดเหตุ น้ากิ่งมาจบชีวิตที่นั่น ...เสียงหมาเจ้ากรรมหอนโจ๋วมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ลุงหลบจะพรั่นพรึงก็หาไม่ เดินอาดๆไปจนเห็นร่างตะคุ่มๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนทางมาช้าๆเอ๊ะ ! ในแสงดาวส่องกระจ่างเต็มฟ้านั่นดูคุ้นๆตายังไงชอบกล
ใกล้เข้ามา ...ใกล้เข้ามาทุกที!
สายลมจากยอดไม้พัดกรูเกรียวขึ้นมาบนทางรถไฟที่ค่อนข้างสูง ลุงหลบหยุดชะงักมองดูผู้หญิงคนนั้นยกมือขั้นเสวยผมเชื่องช้า ...แต่ไหงถึงกลายเป็นขยุ้มผมตัวเองดึงออก ทั้งผมทั้งหัวหลุดออกมาเห็นๆ
ปีศาจน้ากิ่งห้วหัวของตัวเองไว้ ผีหัวขาดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าลุงหลบห่างไม่ถึงสองวา เล่นเอาชายชราผู้ไม่กลัวผีร้องจ้า...ทรุดฮวบลงนั่งพับเพียบบนไม้หมอนรถไฟ น้ำตาไหลพราก ยกมือสั่นระริกขึ้นพนมไหว้ ร่ำร้องขออภัยวิญญาณน้ากิ่งจนร่างสยองค่อยๆจางหายไป
เรื่องนี้ลุงหลบยืดอกยอมสารภาพเองในร้านเหล้า ประกาศว่าค่ำๆมือๆแค่ไหนก็ไม่กลัว ถ้าไม่ต้องเดินตัดสวนกลับบ้าน ...แต่นั่งเรือจ้างกลับนะซีครับ เพราะไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตายโดยไม่จำเป็น ! บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 เมษายน 2551
มีความเชื่อตั้งแต่สมัยก่อนมาแล้วว่า ผีที่สุดร้ายน่าสยดสยอง เฮี้ยนสุดขีดนั้นไม่มีอะไรเท่ากับผีตายโหงไปได้ รองลงมาก็คือผีคลอดลูกตาย หรือตายตั้งแต่อยู่ในท้องจนทำให้แม่ตายไปด้วย เรียกว่า "ตายทั้งกลม"
ผีตายโหงก็อย่างที่รู้ๆกันน่ะแหละครับ ว่าไม่ใช่ตายด้วยความแก่เฒ่า สังขารทรุดโทรมไปตามอายุขัย หรือว่าตายเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆทั้งสิ้น
โดนยิง โดนแทง โดนรถชนตาย รวมทั้งพวกที่คิดสั้นฆ่าตัวตายสารพัดวิธี เช่น ผูกคอตาย ยิงตัวตาย กินยาตาย กระโดดตึกตาย กระโจนน้ำตาย กระโดให้รถชนตาย โดยเฉพาะรถไฟนี่ใครโดนตูมเข้าไปตายแน่นอน...ชัวร์ป้าบ!
แต่คนที่บ้านอยู่ใกล้ๆทางรถไฟมักจะเชื่ออย่างฝังหัวว่า ไม่มีผีตายโหงชนิดไหนจะเฮี้ยนสุดขีดเท่ากับผีที่โดนรถไฟทับตาย
สาเหตุที่เชื่อถือแบบนี้ก็ดูเข้าเค้า เพราะศพที่โดนรถไฟทับตายน่ะแสนจะน่าสยดสยองเหลือกำสลัง ไหนจะเนื้อตัวขาด แขนขาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ยิ่งพวกที่หัวใจเกินร้อย ไปนอนหนุนรางรถไฟต่างหมอน พอล้อเหล็กหมุนครึกโครมเสียงสนั่น....หั่นคอขาดปลิวหวือยิ่งกว่าโดนดาบตัดหัวเป็นไหนๆ
ลองนึกภาพดูเถอะครับว่าจะสยองสุดขีดปานใด?
สมัยเด็กผมอยู่แถวริมคลองบางหว้า ธนบุรีนี่เอง ใกล้ๆกับทางรถไฟสายคลองสาน-แม่กลอง มีประสบการณ์เรื่องคนโดนรถไฟชนตาย - ทับตาย มาหลายครั้งหลายครา
คือมีทั้งคนชะตาขาด เดินใจลอยนำหน้ารถไฟ ...ตูมเข้าให้ถึงกับลอยละลิ่วปานเหาะได้ ซากศพเหมือนจะกลายเป็นผ้าขี้ริ้วชุ่มเลือดสดๆพวกคนแก่กับผู้หญิงที่แห่มาดูถึงกับลมใส่ เรอเอิ้กอ้ากไปตามๆกัน
ผู้คนสงสัยกันว่า รถไฟที่วิ่งมาข้างหลังน่ะเสียงดังคึ่กๆจนรางสะเทือน ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงเลยล่ะ? ว่าแต่จะคิดฆ่าตัวตายหรือเปล่า? ไม่มีสาเหตุใดๆที่จะทำให้เชื่อว่าผู้ตายมีเจตนาจะจบชีวิตตัวเองอย่างสยองปานนั้น
ฟันธงได้เลยว่า...ผีมันจะเอาไปอยู่ด้วยน่ะซี!!
ผีที่ว่าก็คือพวกที่โดนรถไฟทับตายมาก่อนหน้านั้นไงครับ
คราวนี้ก็เกิดการทุ่มเถียงกันยกใหญ่ว่า ผีจะเอาไปอยู่ด้วย หรือว่าผีจะฆ่าเพื่อให้ตัวเองได้ไปผุดไปเกิดเสียที อย่างที่เรียกว่า "ตัวตายตัวแทน" นั่นประไร
คนที่เชื่อว่าผีจะเอาไปอยู่ด้วยหัวเราะเยาะทันที บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ย่อมมีผีตัวเดียวน่ะซี เพราะใครตายปุ๊บ ผ่ตัวเก่าก็ได้ไปเกิดปั๊บ! แต่ของจริงน่ะมีคนมองเห็นผีเดินเป็นโขยงอยู่บนทางรถไฟตอนกลางคืน
ชาวบ้านเชื่อกันว่าทางรถไฟที่นั่นมีอาถรรพณ์ คือจะต้องมีคนโดนรถไฟชนตายทับตายปีละ 2-3 คนตลอดมา อย่างน้อยก็ปีละ 1 คนที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ...ทับถมบนรางรถไฟทั้งตายเพราะอุบัติเหตุ และเจตนาฆ่าตัวตาย
ล่าสุดคือผีผู้หญิงชื่อน้ากิ่ง ช้ำใจเพราะผัวมีเมียน้อยเลยคิดสั้น ไปนอนขวางรางให้รถไฟทับหัวขาดไปเลย! ร่ำลือกันว่าผีน้ากิ่งเฮี้ยนสุดๆสมัยนี้ต้องบอกว่า "โคตรจะเฮี้ยน" เลยละครับ
คนที่มีธุระปะปังต้องออกมาซื้อของที่ร้านริมคลองตอนเย็นๆเคยเห็นผู้หญิงนั่งซบหน้ากับเข่าอยู่ริมทางรถไฟ แว่วเสียงร้องให้กระซิกๆบางทีก็สะอึกสะอื้นคละเคล้ามากับสายลมวู่หวิว พอเดินเข้าไปใกล้ๆผู้หญิงนั่นก็หันหน้ามองช้าๆ
น้ากิ่งนั่นเอง!!
ไม่ต้องสงสัยว่าจะขนหัวลุก สติแตกแค่ไหน เผ่นกระเจิงชนิดไม่รู้เหนือรู้ใต้ พลางร้องตะโกนโหวกโหวยไปด้วย...ผีหลอก! ผีหลอกโว้ย
หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นก็คือคนที่ยืนยันว่าไม่กลัวผีสางอีนางโกงใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขนาดเดินกลับบ้านตอนกลางคืน สาเหตุก็เพราะความมึนเมาน่ะแหละ...ฤทธิ์สุราพาไป ว่าซะยังงั้นก็แล้วกันครับ
รายนี้ชื่อลุงหลบ นักเลงเก่าชาวสวนผู้ประกาศศักดาว่า เกิดมาข้าไม่เคยหลบหลีกผู้ใดหน้าไหน ไม่ว่าคนหรือผี ...ใครแน่จริงก็ขอให้เรียงหน้าเข้ามาเลย
คืนนั้น ลุงหลบเดินดุ่ยๆไปตามไม้หมอนรถไฟ จนกระทั่งถึงบริเวณเกิดเหตุ น้ากิ่งมาจบชีวิตที่นั่น ...เสียงหมาเจ้ากรรมหอนโจ๋วมาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ลุงหลบจะพรั่นพรึงก็หาไม่ เดินอาดๆไปจนเห็นร่างตะคุ่มๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนทางมาช้าๆเอ๊ะ ! ในแสงดาวส่องกระจ่างเต็มฟ้านั่นดูคุ้นๆตายังไงชอบกล
ใกล้เข้ามา ...ใกล้เข้ามาทุกที!
สายลมจากยอดไม้พัดกรูเกรียวขึ้นมาบนทางรถไฟที่ค่อนข้างสูง ลุงหลบหยุดชะงักมองดูผู้หญิงคนนั้นยกมือขั้นเสวยผมเชื่องช้า ...แต่ไหงถึงกลายเป็นขยุ้มผมตัวเองดึงออก ทั้งผมทั้งหัวหลุดออกมาเห็นๆ
ปีศาจน้ากิ่งห้วหัวของตัวเองไว้ ผีหัวขาดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าลุงหลบห่างไม่ถึงสองวา เล่นเอาชายชราผู้ไม่กลัวผีร้องจ้า...ทรุดฮวบลงนั่งพับเพียบบนไม้หมอนรถไฟ น้ำตาไหลพราก ยกมือสั่นระริกขึ้นพนมไหว้ ร่ำร้องขออภัยวิญญาณน้ากิ่งจนร่างสยองค่อยๆจางหายไป
เรื่องนี้ลุงหลบยืดอกยอมสารภาพเองในร้านเหล้า ประกาศว่าค่ำๆมือๆแค่ไหนก็ไม่กลัว ถ้าไม่ต้องเดินตัดสวนกลับบ้าน ...แต่นั่งเรือจ้างกลับนะซีครับ เพราะไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตายโดยไม่จำเป็น ! บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 เมษายน 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)