09 กรกฎาคม 2558

ขึ้นจากหลุม

"คนสุรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากใต้ร่มกระบก

สมัยเด็ก ผมอยู่บ้านช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ แดนดินถิ่นปราสาทขอม มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เรื่องผีๆ สางๆ มีเยอะครับ ดูเหมือนว่าเกิดมาพวกผมก็เจอผีกันเสียแล้ว

ไม่ว่าผีบ้านผีป่ามีทั้งนั้น เขาว่าเมืองเก่าแก่ย่อมจะมีวิญญาณสิงสู่อยู่มากมาย คอยหลอกหลอนมนุษย์เพื่อจะกินเครื่องเซ่น ทำให้ต้องทำพิธีเซ่นผีบ้าง ไล่ผีบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลจริงๆ ซะที สงสัยจะเป็นวิญญาณเฮี้ยน ดุร้ายสุดๆ นะครับ ขนาดตายเป็นร้อยปีพันปีก็ยังไม่รู้จักไปผุดไปเกิด คอยตั้งหน้าตั้งตาหลอกหลอนผู้คนอยู่ได้

ยิ่งพวกเขมรรบกันหนัก เขมรแดงมาหลบอยู่แถวชายแดน ถูกฝ่ายรัฐบาลโจมตีจนล้มตายมากมาย แต่พวกเขมรแดงก็ตอบโต้อย่างดุเดือดไม่แพ้กัน

ยิ่งตายมาก ผีก็ยิ่งดุมากน่ะซีครับ!

พวกเราน่ะชินชาเสียแล้ว ได้ยินเสียงปืนตูมตามบ่อยครั้ง ทหารของเราก็คอยเฝ้าปกป้องดินแดนเต็มที่ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้รุกล้ำเข้ามาหรอกครับ ตอนเช้าๆ เราก็เปิดด่าน ให้พ่อค้าแม่ขายไปมาหาสู่กันได้ตามสะดวก

ทางฝั่งเราอยู่สูงกว่าทางเขมร หน้าแล้งค่อนข้างกันดารน้ำ ผักหญ้ามักจะปลูกไม่ค่อยได้ แต่มีพ่อค้าเอาผักจากศรีสะเกษมาขายทุกวัน ส่วนการทำไร่ทำนาไม่ต้องพูดถึงคนอีสานอย่างพวกผมมีน้ำอดน้ำทนแค่ไหนก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว

แถวบ้านผมไม่ว่าช่องจอม บ้านด่านหรือบ้านปวงตึก มักจะนิยมเลี้ยงเป็ดกันเพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดีอีกต่างหาก

น่าแปลกอยู่ที่ลูกค้ารายใหญ่กลับไม่ใช่คนไทยหรอกครับ แต่เป็นพวกเขมรที่ชอบกินไข่เป็ดมากกว่าไข่ไก่ ขับรถข้ามแดนมาซื้อถึงเล้าเลยแหละ แถมไม่จู้จี้เหมือนลูกค้าคนไทยด้วย แตกนิดบุบหน่อยก็ไม่เอา...ลูกค้าเขมรไม่เคยปริปากต่อว่า ขนซื้อไปขายคึ่กๆ เราก็เลยมีลูกค้าเขมรมากกว่าคนไทยเป็นธรรมดา!

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเพราะตายายคู่หนึ่ง คือตาเพ็ญกับยายลออมีเป็ดเล้าใหญ่อยู่ใกล้ๆ บ้านผม แกเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งฝูงใหญ่ แถมมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่หลังบ้านด้วย สองผัวเมียนี่อยู่กันตามลำพังเพราะลูกเต้า 2 คนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ นานปีทีหนถึงจะกลับบ้าน

พวกเด็กๆ มักกลัวตาเพ็ญเพราะแกหน้าบึ้งตึง นัยน์ตาดุจนชาวบ้านเรียกแกว่า "ตาเพ็ญตาเสือ"

ตอนเย็นๆ ตาเพ็ญจะนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียวมาซื้อเหล้าที่ร้านเจ๊กฮงใกล้ตลาด เห็นรอยสักตามหน้าอกและแผ่นหลังเป็นอักขระสีดำมืด กลมกลืนกับผิวของแกเพราะตาเพ็ญไม่ชอบใส่เสื้อ ดูเหมือนแกจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร ตกค่ำเมาเหล้าก็ทะเลาะกับเมียเสียงโหวกเหวกเป็นประจำ

ยามค่ำคืน มีคนเห็นตาเพ็ญนั่งสูบยาแดงวาบๆ อยู่ใต้ต้นกระบกหน้าเล้าเป็ด ถ้าใครหยุดมองแกจะลุกพรวดขึ้นยืน มือถือมีดขอคมปลาบ เล่นต้องเผ่นหนีไปตามๆ กัน ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก

ดูเหมือนตาเพ็ญจะคบแต่พวกเขมรที่เป็นลูกค้าขาประจำเท่านั้นเอง!

ก่อนจะเกิดเหตุร้าย มีคนผ่านไปทางนั้นแต่กลับไม่เห็นตาเพ็ญมานั่งสูบยาที่ใต้ต้นกระบกตามเคย แต่กลายเป็นยายลออมานั่งแทนที่ พอเข้าไปทักทายแกกลับสะบัดหน้าหนี เลยเอามานินทาว่าผัวเมียคู่นี้ไม่เอาเพื่อนบ้านพอๆ กัน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังมาจากบ้านตาเพ็ญตามเคย ไม่ช้าก็มีเสียงยายลออมาร้องไห้พะอืดพะอมที่ใต้ต้นกระบก...สายลมกระโชกแรงจนได้ยินเสียงนั้นชัดเจนเหมือนแกมาร้องไห้อยู่ใกล้ๆ บ้านนี่เอง!

ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที! จู่ๆ หมาเจ้ากรรมที่โก่งคอหอนโหยหวน บรรยากาศน่าวังเวงจนผมขนลุก แม่ผมบ่นว่าอยากไปดูยายลออหน่อยว่าแกเป็นอะไร แต่พ่อห้ามไว้ว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าไปดูเลย

ตั้งแต่นั้นมา เสียงยายลออก็มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ต้นกระบกติดๆ กันถึง 3 คืน จนพ่อแม่อดรนทนไม่ไหว ต้องชวนกันออกจากบ้านไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น?

ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องสลัว ลมหนาวพัดวู่หวิวราวจะแทรกเนื้อหนังลงไปถึงกระดูก เสียงหมาเห่าหอนน่าขนลุก มองไปที่บ้านอื่นก็ดับไฟนอนกันหมด พ่อผมฉายไฟวูบวาบไปที่ต้นกระบก แต่ก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก

จนกระทั่งถึงจุดหมาย!

ลำแสงของไฟฉายส่องจ้าไปกระทบร่างดำๆ ของยายลออ...แต่แกไม่มีหัว! เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง ผวาไปกอดแขนแม่ แต่พอเรียกชื่อแกเบาๆ ร่างนั้นก็ขยับไปมา...อ๋อ! แกนั่งชันเข่าฟุบหน้าอยู่บนรากใหญ่ของต้นกระบก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ

คุณพระช่วย! ผมจะไม่มีวันลมภาพนั้นไปชั่วชีวิต!

ใบหน้าเล็กๆ โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ผมกระเซิงน่ากลัว นัยน์ตาดำปี๋พองโต น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มเหี่ยวแห้ง จนถึงมุมปากห้อยย้อย เสียงคร่ำครวญวู่หวิว...ช่วยด้วย...

แม่เรอเอิ๊กแล้วเป็นลมไป ผมร้องแต่ช่วยด้วยๆ ขณะที่พ่อหันมาหา...เมื่อส่องไฟฉายไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั้นเสียแล้ว

รุ่งเช้า มีคนไปพบตาเพ็ญนอนตายอยู่ข้างๆ ขวดเหล้า นัยน์ตาลืมโพลง แต่ไม่มีวี่แววของเมียแก พ่อชวนเพื่อนบ้านไปที่โคนต้นกระบกก็เห็นหลุมที่เพิ่งกลบได้ไม่นาน...ศพที่กำลังเน่าของยายลออถูกฝังอยู่ที่นั่นเอง

วิญญาณแกมาร้องไห้จนเราได้ยินก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมตาเพ็ญฆ่าเมียแล้วเอาศพไปฝัง ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร? พ่อกับแม่ได้ยินผมถามเรื่องนี้ก็ได้แต่สบตา แล้วถอนใจยืดยาว...แปลกจริงๆ ครับ! 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 9 กรกฎาคม 2550

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น