"เขมจิรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านใกล้วัด
ฤดูฝนปีนี้มาเร็วนะคะ พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนทีไรดิฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องสยดสยองที่เคยเจอเมื่อ 4 ปีก่อน ปกติดิฉันเป็นคนรักฤดูฝนมาก ธรรมชาติแสดงพลังอำนาจให้เห็นในสายฝนที่กระหน่ำ เสียงฟ้าที่สะท้านสะเทือนกึกก้อง
...แสงที่แปลบปลาบบาดตา ความชุ่มฉ่ำและความสวยงามของสายรุ้ง!
สิ่งที่ดิฉันไม่ชอบในฤดูฝนมีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องฝนตก น้ำท่วมหรือรถติดหรอกค่ะ เรื่องพวกนั้นน่ะพอทน แต่เวลาที่ฟ้าปิด เมฆหนาหรือมีไอน้ำเต็มฟ้า บรรยากาศตอนพลบๆ น่ะ กลิ่นแปลกๆ บางอย่างจะลอยต่ำเหมือนมันเรี่ยยอดไม้ ยอดหลังคาบ้านต่างๆ มาเรื่อยๆ จนมาเข้าจมูกดิฉัน...
มันเป็นกลิ่นคล้ายเผาหนังหมู! กลิ่นผมไหม้! บางทีก็เหมือนมีใครกำลังทอดปลาเค็มเน่า!
ทุกๆ ปียามฤดูฝนดิฉันจะได้กลิ่นนี้ แม้จะไม่ทุกวัน แต่ได้กลิ่นทีไรก็ขนหัวลุกทุกที เพราะทราบดีว่ามันเป็นกลิ่นเผาศพที่ลอยอวลมาจากวัดแห่งหนึ่งในละแวกนั้น
ที่จริงดิฉันไม่เคยได้ยินใครบ่นเรื่องนี้ให้ฟังสักที อาจจะเพราะความเชื่อถือที่ว่า...ห้ามพูดว่าเหม็นศพ เพราะเป็นการดูหมิ่นคนตาย!
แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ดิฉันคิดว่าบ้านตัวเองมันอยู่ท้ายซอย แถมเป็นซอยตันด้วย ถ้าคุณขับรถหรือเดินเข้ามาจากถนนใหญ่ ตรงมาเรื่อยๆ ราว 200 เมตร คุณจะเจอกำแพงอิฐ...นั่นแหละบ้านดิฉันเอง
ถ้าเงยหน้ามองก็จะพบว่ามันเป็นบ้านทาสีฟ้าๆ หลังใหญ่เอาการ และคุณจะเห็นว่าที่ชั้นสองของบ้านจะมีหน้าต่างบานหนึ่งตรงกับถนนเป๊ะ...ห้องนอนดิฉันค่ะ!
ตามหลักฮวงจุ้ย มันไม่ดีเลยใช่ไหมคะ?
สาเหตุเพราะมีถนนพุ่งตรงแหน็วเข้าใส่...แต่จะทำยังไงได้ล่ะค่ะ บ้านหลังนี้ปลูกมาตั้งแต่สมัยคุณตาคุณยาย ดิฉันเองก็อยู่มาแต่อ้อนแต่ออกจนอายุเกือบ 30 ปีแล้ว...ที่นี่เป็นบ้านของเรา ห้องนอนของเรา! ใครจะทักว่าผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างไรก็ตามเถอะ ดิฉันก็ต้องอยู่ที่นี่ แบบนี้วันยังค่ำ ไม่มีปัญญาย้ายไปไหนหรอกค่ะ
เมื่อสภาพแวดล้อมทั่วไปเป็นเช่นนี้ ห้องนอนดิฉันก็มีสภาพเป็นที่ดักกลิ่น!
เวลาบ้านใครทำกับข้าวกลิ่นฉุนๆ อย่างผัดกะเพรา ผัดพริก หรือหมูทอดกระเทียมพริกไทย กลิ่นจะมารวมกันที่ดิฉันนี่แหละ...แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากลิ่นเผาศพ!!
ยามฤดูฝนดิฉันมักจะปิดหน้าต่างบานนี้เสมอ แต่บางทีก็ไม่ไหว เพราะอากาศร้อนอบอ้าว...ดิฉันเปิดหน้าต่างไว้แต่เช้าก่อนไปทำงาน กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม จึงช่วยไม่ได้ที่มันจะรับกลิ่นเต็มที่ในช่วงเวลาฌาปนกิจตอนเย็น
เมื่อ 4 ปีก่อน ดิฉันยังจำได้ว่า คืนหนึ่งขณะนอนหลับก็ถูกดึงผ้าห่มลงไปทางปลายเท้า! ทีแรกนึกว่ามันเลื่อนตกไปเอง ดิฉันสะดุ้งตื่นและตะครุบมันไว้ ก่อนจะดึงขึ้นมาห่มถึงลำคอแล้วทำท่าจะหลับต่อ แต่มันก็ถูกดึงอีก...
พอลืมตาเพื่อจะยึดผ้าห่มไว้ สายตาก็พลันแลเห็นภาพประหลาดที่มุมห้อง...มีเงาคนยืนอยู่ตรงนั้น 5-6 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแก่ๆ และเด็ก...ทุกคนกำลังจ้องมองมาเขม็ง
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก...เราฝันร้ายไปหรือเปล่านี่? พอขยี้ตาภาพน่ากลัวก็หายไป ดิฉันเลยไม่แน่ใจในตัวเองว่าตาฝาด หรือยังไม่ตื่นจากฝันกันแน่?
วันต่อมา ราวสองทุ่ม ดิฉันกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกฉุน...กลิ่นเผาศพอีกแล้ว! แต่จะปิดหน้าต่างก็เท่ากับอบกลิ่นไว้ มีทางเดียวคือเปิดหน้าต่างเปิดพัดลมไล่กลิ่น...สักพักหนึ่งก็ค่อยยังชั่ว
ราวห้าทุ่มดิฉันเข้านอน กลิ่นสยองนั่นจางหายไปแล้ว...
ข้างนอกฟ้าแดง ลมแรง แสดงว่าพายุกำลังมา ห้องดิฉันมีแต่พัดลมค่ะ คืนนั้นจึงจำเป็นต้องปิดหน้าต่างเพราะกลัวฝนสาด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะฟ้าแลบบาดตามาก ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ดิฉันเคยชอบ แต่คืนนั้นรู้สึกกลัวๆ พิกล
แม้จะปิดหน้าต่าง แต่เวลาฟ้าแลบแสงก็ยังพอจะลอดเข้ามาได้จากช่องแสง...มันเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนหนังผีเข้าไปใหญ่
ดิฉันนอนลงบนเตียงและยังลืมตา...พอมองไปตามเพดานก็สังเกตเห็นหยากไย่ใยแมงมุม...ตายจริง! นี่เราละเลยขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย? เพราะคิดมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดิฉันเคลิ้มหลับ...ผู้หญิงผมยาวเกาะใยแมงมุม ห้อยหัวลงมาจ้องเขม็ง นัยน์ตาวาวเรืองน่ากลัว จนต้องสะดุ้งตื่น ใจเต้นเหมือนจะทะลักออกมานอกอก
ภาพภายในห้องเหมือนในฝัน...แต่ไม่มีผีผู้หญิง!!
ทุกคืนดิฉันฝันร้าย บางทีก็โดนผีอำ ในห้องมีเงาวูบวาบ...รู้สึกเหมือนมีผู้คนมากมาย พากันขวักไขว่อยู่ในห้องนอน กลิ่นสยองก็ชวนขนลุกบ่อยขึ้นทุกที
วันเสาร์นั้นคุณป้ามาเยี่ยม ดิฉันปรับทุกข์เรื่องนี้ คุณป้าก็บอกว่าหยากไย่ใยแมงมุมตามมุมห้องอาจจะดักเอาฝุ่นเถ้าธุลี หรือกลิ่นจากปล่องเมรุวัดเข้ามาได้...ดิฉันรีบหาไม้ไผ่ยาวๆ ขึ้นไปพันเอาหยากไย่ตามมุมห้องลงมาจนหมด
เราช่วยกันห่อหยากไย่น่าเกลียด รีบขึ้นรถไปที่วัดในละแวดบ้าน...เล่าให้เจ้าอาวาสซึ่งรู้จักกันดีกับพวกเรา...ท่านบอกว่าเราทำถูกต้องแล้ว และรับเอาห่อหยากไย่นั้นไป...แล้วท่านก็นัดทำสังฆทานที่บ้านวันต่อมา
ดิฉันสบายใจขึ้นมาก และไม่มีฝันร้ายหรือเรื่องสยดสยองอีกเลย...ทุกวันนี้ก็หมั่นทำความสะอาดมุมห้อง เวลามีกลิ่นเผาศพดิฉันก็ทำเฉยๆ ไม่กังวล...แต่นึกถึงกลิ่นสยองก่อนนั้นแล้วอดขนลุกไม่ได้ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น