"ปุยฝ้าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านอาถรรพณ์
คุณป้าของดิฉันอยู่บ้านคนเดียว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ทั้งบ้านนั้นเหลือคุณป้าแค่คนเดียว! เพราะนอกนั้น คือคุณลุงและลูกๆ ของคุณป้าเสียชีวิตไปหมด คิดๆ แล้วก็สยองมากเชียวล่ะค่ะ เพราะคนทั้งสามตายไปในระยะเวลาใกล้ๆ กัน
เพียงหกเดือนเท่านั้นเรียบเลย มันเป็นอาถรรพณ์อะไรกันนะ?!
ครอบครัวของคุณป้าอบอุ่นมากเชียวล่ะค่ะ ท่านอายุ 56 ปี อ่อนกว่าคุณลุง 5 ปี แต่คุณลุงเกษียณได้ปีเดียวก็ป่วยเป็นโรคตับ เสียชีวิตในเวลารวดเร็วจนคุณป้าแจ่มของดิฉันตั้งตัวแทบไม่ติด ท่านเศร้าโศกมาก เช่นเดียวกับจ๋า ลูกสาวซึ่งอายุ 25 เท่าดิฉัน และโจ้ลูกชายวัย 23 ทั้งคู่เรียนดี จบมหาวิทยาลัยแล้วมีงานทำมั่นคง
งานทำบุญครบร้อยวันของคุณลุงเสร็จสิ้นไปได้แค่ 3 วัน จ๋าก็หัวใจวายตายขณะขึ้นบันไดในที่ทำงานตอนแปดโมงเช้า ไม่มีวี่แววมาก่อนเลยค่ะ จ๋าออกสะสวย ผอมสะโอดสะอง
อีก 3 เดือนจากนั้น โจ้ก็จากเราไปด้วยโรคไวรัสขึ้นสมอง!
บ้านของคุณป้าอยู่สุขุมวิท เป็นบ้านเก่าที่คุณลุงคุณป้าซื้อไว้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่จ๋ายังเตาะแตะอยู่ ดิฉันไปเล่นกับจ๋าและโจ้ที่บ้านนั้นประจำ เพราะมีสนามกว้าง ดอกไม้เยอะ สวยๆ ทั้งนั้น คุณลุงคุณป้าเป็นคนร่ำรวย มีข้าทาสบริวารเพียบพร้อม
แต่ตอนหลังๆ นี่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร คุณลุงดูเหมือนมีอาการทางประสาทขี้โมโห ผู้คนที่เคยอยู่เต็มบ้านก็อยู่ไม่ได้ พากันลาออกไปหมด
ส่วนคุณป้าก็น่าสงสารค่ะ เพราะกลายเป็นคนหดหู่...จากสาวใหญ่สวยสง่าผิวขาวผ่อง ดวงตาแจ่มใสสมชื่อ กลับกลายเป็นหญิงสูงอายุ ซูบผอม ผมหงอกขาว ดวงตาแห้งผาก สาเหตุเพราะความเจ้าอารมณ์ของคุณลุง เดี๋ยวก็มีเรื่องกับลูก เดี๋ยวก็กับเพื่อนบ้าน...คุณป้าน่ะทั้งรักทั้งคับแค้น
หลังจากคุณลุง จ๋าและโจ้ตายไปหมดแล้ว คุณป้าก็หาเด็กรับใช้มาอยู่ด้วยสองคน เป็นคนพม่า พี่น้องกัน แต่อยู่แค่เดือนเดียวก็ขอลาออก
เมื่อต้องอยู่อย่างเดียวดาย คุณแม่ของดิฉันก็แนะนำให้คุณป้าขายบ้านซะแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันกับพวกเรา คุณป้ายังลังเลเพราะความผูกพันกับบ้านที่สุขุมวิทนี้มากๆ แต่ดิฉันเห็นแนวโน้มว่าท่านคงจะตัดใจขาย เพียงแต่ให้เวลาท่านอีกสักหน่อย
พอคิดได้ดังนี้ ดิฉันก็ตัดสินใจว่า ระหว่างนั้นดิฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าที่บ้านนั้นเอง...ไม่กลัวผีหรอกค่ะ เพราะทุกคนไม่ได้ตายที่บ้านสักหน่อย คุณลุงกับโจ้ตายที่โรงพยาบาล จ๋าเองก็ตายในที่ทำงานโน่น
อีกอย่างหนึ่งก็คือ บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ที่ทำงานของดิฉันมาก
คืนแรกเท่านั้นดิฉันก็เจอดีเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะกลัวผีเลยก็ตาม
ดิฉันนอนเตียงเดียวกับคุณป้าในห้องใหญ่ คืนนั้นราวห้าทุ่มกว่าๆ บ้านปิดเรียบร้อย ไฟปิดทุกดวงยกเว้นสนามหน้าบ้าน ภายในบ้านนี้เงียบกริบจนได้ยินเสียงนาฬิกาที่ข้างฝาดังติ๊ก...ติ๊ก...เครื่องปรับอากาศในห้องนอนเงียบมากนี่คะ
ขณะกำลังจะหลับ ก็มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา ตึง...ตึง...เสียงกระแทกเท้าจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบนเลยละ!
ดิฉันใจหายวาบ คว้ามือคุณป้า ในใจคิดแวบว่า "ขโมย!" ปากก็ถามว่า "คุณป้าคะเสียงใครน่ะ?"
คุณป้านอนนิ่งๆ จับมือดิฉันบีบเบาๆ "มันแค่เสียงฝีเท้าน่ะ หลับเถอะลูก"
ใครจะหลับลง! คุณป้าพูดจบก็ลูบมือดิฉันคล้ายจะปลอบ ก่อนจะหันหลังให้แล้วก็หลับไป ทิ้งให้ดิฉันนอนลืมตาโพลง...เสียงฝีเท้านั่นหายไปแล้ว บ้านกลับเงียบสงัดเหมือนการแสดงจบลงดื้อๆ
รุ่งเช้า ดิฉันถามคุณป้าถึงเรื่องนี้ว่ามันเสียงอะไรกัน? ในใจน่ะคิดว่าไม่ผีคุณลุงก็จ๋า หรือโจ้แน่ๆ แต่คุณป้าก็ตอบซ้ำคำเก่าว่า...มันก็แค่เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันได ไม่มีอะไรมากกว่านั้น! และมันเป็นเช่นนี้ทุกคืนตอนห้าทุ่มยี่สิบ...ตรงเวลาเป๊ะ!
ดิฉันทนได้แค่ 3 คืนก็ขออำลา โดยหาคนมานอนเป็นเพื่อนคุณป้า แต่ท่านบอกว่าอยู่คนเดียวได้ ไม่กลัว
เรื่องนี้คุณแม่เฉลยให้ดิฉันฟังว่า เมื่อ 10 ปีก่อน คุณลุงเกิดไปได้ลูกสาวแม่ครัว อายุของเด็กคนนั้นแค่ 16 ปี เธอตั้งครรภ์และคุณป้าส่งเธอไปทำแท้ง! ตอนนั้น อายุครรภ์ได้ 5 เดือน เด็กคนนี้ถูกส่งกลับบ้านนอกด้วย แม่ครัวขอลาออก
ทางนี้รู้ข่าวว่าหลังจากกลับไปอยู่บ้านนอกกับยายได้ไม่ถึงเดือน เด็กสาวก็ตายเพราะมดลูกติดเชื้ออย่างแรง!
มิน่าเล่า...คุณลุงถึงสติแตก คุณป้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กระด้าง....
คุณแม่เล่าว่า เสียงฝีเท้านั้นดังมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นตาย คุณป้าบอกให้คุณแม่ทราบเรื่องนี้ และบอกด้วยว่าไม่กลัวหรอกเพราะผีสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้แค่นั้นแหละ ไม่ได้ทำร้ายหรือเป็นอันตรายอะไร
"มันก็แค่เสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมา!" คุณป้าใจเด็ดจริงๆ
เสียงฝีเท้าหายไปนานและกลับมาอีกเป็นพักๆ คนที่ได้ยินมักจะเป็นคุณลุงกับคุณป้า ส่วนจ๋าและโจ้ไม่เคยได้ยินเลย
แล้วเรื่องความตายของคุณลุง จ๋าและโจ้ล่ะ มันเกิดจากวิญญาณอาฆาตหรือสาปแช่งหรือเปล่า? ดิฉันตอบไม่ได้จริงๆ ค่ะ
คุณป้าบอกขายบ้านหลังนั้นได้แล้ว ท่านกำลังจะย้ายมาอยู่กับเราในอีกไม่กี่วันนี้ล่ะค่ะ ดิฉันสงสัยว่าเสียงฝีเท้านั้นจะตามคุณป้ามาไหมนะ? ต้องภาวนาว่าขอให้วิญญาณทุกดวงจงไปสู่สุคติเถอะค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น