20 กรกฎาคม 2558

ขวัญผวา

"ปุยฝ้าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเจ้าที่

พวกผู้ใหญ่มักจะสอนดิฉันเสมอว่า ผีไม่มีจริง...ไม่ต้องไปกลัวมัน! คนที่เล่าว่าเห็นผี ที่จริงแล้วคือคนจิตอ่อน เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็มีอาการ "จิตฟุ้ง" ขึ้นมาซะงั้น

พูดง่ายๆ ว่าหลอกตัวเอง ไม่ใช่ผีสางที่ไหนมาหลอกสักหน่อย!

ดิฉันก็อยากเชื่ออย่างที่พวกผู้ใหญ่พูดหรอกค่ะ แต่ทว่าความคิดของดิฉันมันตรงข้ามกับสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนเสียจริง

ดิฉันเชื่อว่าผีมีจริง เพราะเคยเจอเหตุการณ์แปลกๆ หลายครั้งหลายหน และแน่ใจว่าประสาทไม่ได้หลอน ไม่ได้คิดหลอกตัวเองแน่ๆ มันเป็นเรื่องที่เหนือคำอธิบาย เช่น เมื่อตอนที่อายุ 15 ปี วันหนึ่งดิฉันได้ยินเสียงคุณลุงที่เรียกคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน คุณพ่อก็ได้ยินค่ะ แต่พอไปเปิดประตูก็ไม่มีใครสักคน

สิบนาทีต่อมา ที่บ้านคุณลุงโทรศัพท์มาบอกว่าคุณลุงตายเสียแล้ว ด้วยอาการหัวใจวายกะทันหัน...แล้วใครล่ะคะที่มาเรียก ถ้าไม่ใช่เจตภูตหรือวิญญาณของท่าน?

เหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันประทับใจมาก คุณพ่อเองก็พูดไม่ออก ทั้งๆ ที่เป็นคนสอนไม่ให้ลูกๆ กลัวผี หรือเชื่อเรื่องผี แต่หลังจากวันนั้นท่านกลับยอมรับ ถึงอย่างไรคนอื่นๆ ก็ยังไม่เชื่อเรา...

พวกเขาไม่เคยเจอนี่คะ!!

ดิฉันกลัวผี แต่มันเป็นความระแวง กลัวว่าผีจะโผล่ขึ้นมาจนตกใจ ซึ่งดิฉันไม่ชอบเลยค่ะ เรื่องขวัญผวานี่น่ะ

แปลกนะคะ เวลาเจออะไรที่คิดว่าเป็นผีเข้าจริงๆ ดิฉันรู้สึกทึ่งมากกว่ากลัว มันอยากพิสูจน์ อยากรู้อยากเห็น...รู้สึกว่าการเป็นผีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก มันน่าตื่นเต้นและน่านำไปเล่าต่อ...เป็นเรื่องที่ประทับใจจริงๆ

เมื่อโตขึ้น ดิฉันเรียนจบมัธยมปลาย เข้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ดิฉันต้องจากบ้านที่ราชบุรีมาอยู่กับคุณป้า

บ้านของคุณป้านี้ดิฉันเคยอยู่เมื่อตอนเป็นเด็กเล็กๆ ค่ะ ที่จริงมันเป็นบ้านใหญ่ที่อยู่รวมกันทั้งคุณปู่คุณย่า และลูกๆ หลานๆ เราจึงมีหลายครอบครัวในที่ดินผืนใหญ่เกือบ 3 ไร่...บ้านเก่าของดิฉันเป็นเรือนหลังเล็กๆ ชั้นเดียว ปลูกอยู่ด้านหลังตึกใหญ่

เมื่อเข้ากรุงเทพฯ คุณป้าที่รักดิฉันมากก็ให้อยู่ที่บ้านหลังเดิมนี่เอง บางวันแม่ก็มาค้างด้วย

เวลาที่แม่กลับไปราชบุรี ดิฉันจะอยู่ที่บ้านหลังเล็กตามลำพัง ไม่ได้กลัวอะไรเลยเพราะเป็นบ้านของเราแท้ๆ เสียแต่เวลากลับบ้านมืดๆ ค่ะ ดิฉันต้องเดินฝ่าความมืดสลัวเป็นระยะทางค่อนข้างไกลทีเดียว

นั่นคือ คือเปิดประตูใหญ่ หรือประตูรั้วเข้ามาก็ต้องเดินผ่านสนาม แล้วลอดใต้บ้านใหญ่ซึ่งคุณป้าอยู่ ก่อนจะผ่านสวนครัว เดินตามทางที่ปูกระเบื้องราว 10 เมตรก็จะถึงเรือนที่ดิฉันอาศัย

ที่สำคัญ คุณป้าเป็นคนประหยัดไฟ บ้านเราจึงค่อนข้างมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา 2-3 ทุ่มไปแล้ว คุณป้าจะขึ้นไปอยู่ชั้นบน ชั้นล่างนี่ปิดไฟหมด ไฟตรงซุ้มที่ดิฉันเดินลอดก็เสีย ยังไม่มีการแก้หรือเปลี่ยนปลอด มันจึงมืดมาก ถึงจะมีแสงสลัวๆ จากบ้านอื่นมันก็ยังมืดแทบจะมะงุมมะงาหรา

คืนหนึ่ง ดิฉันไขกุญแจประตูใหญ่เข้ามาตอน 4 ทุ่ม บ้านเงียบและวังเวง มีแต่แสงไฟจากห้องคุณป้าที่ชั้นบนลอดผ่านม่านออกมา เรือนคนใช้ก็มีไฟเปิดอยู่

ดิฉันเดินอ้อมตึก ผ่านซุ้มไม้ ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นเงาดำๆ คล้ายคนคลุมผ้านั่งยองๆ อยู่ตรงมุมตึกที่ดิฉันต้องเดินผ่าน!

แม้จะผิดสังเกต แต่ดิฉันก็ไม่ได้ชะงักฝีเท้า ทั้งที่ในใจสงสัยว่านั่นอะไร? รู้อย่างเดียวว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่ผู้ร้าย...มันเป็นเพียงเงาที่ดำทึบกว่าความมืดสลัวรอบๆ แถวนั้น

ครั้นดิฉันเดินผ่าน ใกล้ขนาดฟุตเดียวเองล่ะค่ะ ก็รู้สึกว่าเงานั้นยึดตัวขึ้นเหมือนคนที่นั่งยองๆ ลุกขึ้นยืน ความสูงก็ประมาณผู้ชายตัวสูงๆ แต่ขอย้ำว่าไม่ใช่คนค่ะ! มันเป็นเงาที่เหมือนใครเอาผ้าคลุมหัวตลอดร่างลงมา...

ว่าจะไม่กลัวก็เสียววูบเหมือนกันนะ และนึกว่าเราตาฝาด ประสาทหลอน! หรือคิดไปเองรึเปล่า? อากาศก็เริ่มจะหนาวเย็นลงทุกที

อยากจะเร่งฝีเท้าหรือวิ่งหนี แต่คิดว่ามันงี่เง่าที่จะทำอย่างนั้น

ขณะเดินเร็วๆ เพื่อจะรีบเข้าบ้าน ก็รู้สึกว่าเงานั้นตามมาตลอด...ถ้าเป็นคนก็เดินติดหลังมาเลยล่ะค่ะ!

มือเปิดประตู ผลุบเข้าบ้านแล้วปิดประตูตามหลังทันที ความรู้สึกยังบอกว่าร่างนั้นชะงักอยู่หลังประตูนี่เอง...มันคืออะไรนะ? สงสัยพรุ่งนี้ต้องลุกขึ้นใส่บาตรซะแล้ว

คืนนั้นดิฉันเปิดไฟทั้งบ้านเลยค่ะ อยู่คนเดียวด้วย แล้วความคิดก็ย้อนกลับไปเมื่อตอนเด็กๆ ตอนที่คุณย่ายังมีชีวิตอยู่และต่อเติมบ้านหลังใหญ่ ดิฉันจำได้ว่า คนงานก่อสร้างเล่าว่าถูกผีหลอก เขาบอกว่าตอนแรกคิดว่าแม่ยายของเขามานั่งยองๆ เอาผ้าคลุมหัวแต่ปรากฏว่าไม่ใช่เพราะแม่ยายกำลังเปิบข้าวอยู่ในเพิงที่พัก

พวกเขาบอกว่า สงสัยเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง!

เฮ้อ...กำลังหวาดๆ ก็ดันความจำดีขึ้นมาซะอีกแน่ะ...สิ่งที่ดิฉันเห็น จะใช่สิ่งเดียวกับที่คนงานเห็นเมื่อหลายปีก่อนโน้นหรือเปล่าก็ไม่รู้?

ดิฉันเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็เลยส่งสาวใช้ของแม่คนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนดิฉันทุกวันนี้ เฮ้อ...ค่อยอุ่นใจหน่อยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2550

19 กรกฎาคม 2558

ผีอำ

คุณอา "ใบหนาด" ครับ ช่วยเล่าเรื่อง "ผีอำ" ให้ผมอ่านหน่อยสิครับ วันก่อนคุณน้าผมเล่าเรื่องผีที่เมืองนอกให้ฟัง ผมเลยรู้ว่าฝรั่งเขาก็มีผีอำเหมือนกัน คุณน้าเล่าว่า ฝรั่งคนหนึ่งไปนอนในบ้านที่มีผีสิง แล้วตอนกลางดึกเขาขยับตัวไม่ได้ เห็นผู้ชายตัวใหญ่มานั่งทับอก ฟังแล้วเหมือนของไทยเลย ผมอยากได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ

ต้อม บางกรวย

หลานต้อมถามมาทั้งที อาก็ไปค้นคว้าเรื่องนี้มาตอบให้จนได้

ฝรั่งเขาก็มีเรื่อง "ผีอำ" อย่างไทยเราเหมือนกัน เขาเรียกว่า "Hag Attack" hag อ่านว่า "แฮ็ก" แปลว่า "ยายแก่แร้งทึ้ง" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แม่มดแก่ๆ น่าเกลียดน่ากลัวนั่นแหละครับ

เหตุผลที่เขาเรียกแบบนี้ก็เพราะเชื่อว่า ผีอำนั้นเกิดจากแม่มดผู้ชั่วร้ายแอบดอดเข้ามากลางดึก ตอนที่เรากำลังหลับสนิท เพื่อจะสูบเอาพลังชีวิตจากเราไปเป็นยาโด๊ปให้มันกระชุ่มกระชวย ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเพิ่มพลังอำนาจเวทมนตร์ให้กับตัวแม่มดนั่นเอง

ในยุโรปเชื่อว่า แม่มดที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เป็นแวมไพร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "ไซคิด แวมไพร์" คือมันไม่ได้ดูดเลือดกิน แต่มันสูบพลังจิต หรือพลังชีวิตจากคน

ตำราเวทมนตร์คาถาของแม่มดเอง ยังเตือนอย่างเคร่งครัดให้ระวังแม่มดชั่วร้ายเหล่านี้ เพราะแม่มดเก่งๆ ดีๆ อาจตกเป็นเหยื่อของมันได้ง่ายๆ ถ้าไม่ป้องกันให้ดี

วิธีป้องกันก็คือ เขียนวงกลมแม่มดล้อมรอบเตียง และแขวนกระเทียมไว้ด้วย

สำหรับคนธรรมดาๆ ที่กลัวโดนผีอำนี้ ทางยุโรปก็มีมาแต่โบร่ำโบราณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในแถบนิวฟาวด์แลนด์ ประเทศแคนาดา เรื่องว่า "โอลด์ แฮ็ก" หรือยายแม่มดแร้งทึ้งเป็นตัวการให้เกิดประสบการณ์สยองขวัญสั่นประสาท ที่ไทยเราเรียกว่าผีอำ

เรื่องนี้ เดวิด เจ. ฮัฟเฟิร์ด อาจารย์ท่านหนึ่งของภาควิชาว่าด้วยตำนานพื้นบ้าน แห่งมหาวิทยาลัยแมมโมเรียล ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ นิวฟาวด์แลนด์ ได้ทำโครงการวิจัยเรื่องนี้ และสำรวจพบว่า ผู้ที่โดนผีอำทุกคนจะมีประสบการณ์เหมือนๆ กันอยู่ 4 ประการ คือ

1.อาการนี้จะเกิดขึ้นขณะกำลังเคลิ้มหลับ บางคนยังไม่ทันเคลิ้มด้วยซ้ำ เพราะหัวถึงหมอนปุ๊บก็มาเลยเชียว

2.ได้เห็น หรือได้ยินบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนเข้ามาในห้อง และในที่สุดก็จะเข้ามาถึงเตียง

3.เหยื่อจะรู้สึกมีอะไรหนักๆ มาทับอก อาจจะมีใครมานั่งทั้งตัว หรือเอามือมากดอกไว้อย่างแรง

4.ความรู้สึกเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ จะขยันแขนขา หรือแม้แต่จะหันศีรษะไปทางไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น สยองมากๆ คนที่โดนผีอำจะตกใจกลัวสุดๆ จะร้องก็ร้องไม่ออก

ฟังแล้วเหมือนกับคนไทยเราโดนผีอำไม่มีผิด แสดว่าอาการนี้มีเหมือนกันไม่ว่าฝรั่งหรือไทย!

เมื่อมีการผีอำกำเริบถึงขั้นที่เหยื่อรู้สึกอึดอัด หวั่นกลัวเต็มที่ เขาหรือเธอก็จะพยายามดิ้นรน สวดมนต์ เรียกพ่อแก้วแม่แก้ว แล้วก็...อึ้ด! ความทรมาทรกรรมพลันมลายในพริบตา ตัวเบาโหวง ขยับได้แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว! เฮ้อ...

แต่ยังก่อน ส่วนใหญ่จะรู้สึกเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง แต่ก็สบายใจขึ้น และกลับเข้าสู่ความหลับใหลต่อไปในไม่ช้า

อาการผีอำนี้ ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ใช่ผีสางอะไรหรอก แต่มันเกิดจากสภาพร่างกายและจิตใจของเราเอง เพราะผีอำมักจะเกิดกับคนที่ชอบนอนหงาย หัวใจกับปอดเลยทำงานไม่สะดวก จึงรู้สึกเหมือนถูกกดทับ ประกอบกับอาการใกล้จะหลับ สมองกับระบบประสาทไม่สามารถควบคุมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ ก็เลยรู้สึกเหมือนเป็นอัมพาตขยับร่างกายไม่ได้อย่างใจ

ส่วนที่คิดว่าผี หรือพานเห็นผีมาเป็นร่างใหญ่ๆ หรือเงาดำๆ ก็เกิดเพราะความเชื่อในเรื่องผีๆ สางๆ นั่นเอง!

ผู้ใหญ่สอนว่า ถ้านอนตะแคงจะไม่โดนผีอำ หรือถ้าเกิดผีอำขึ้นมาก็ให้รวบรวมสติ ทำใจให้เข้มแข็งแล้วลองขยับตัวดู แค่นี้ก็จะ "ปลดล็อก" จากอาการนี้ได้

วิทยาศาสตร์ไม่ให้เราเชื่อเรื่องผี และอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล แต่บางกรณีก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี

อย่างเช่นคุณป้าท่านหนึ่ง ไปค้างบ้านเศรษฐีฝรั่งที่เลคทาโฮ ในอเมริกา ฝรั่งท่านนี้เป็นนายแพทย์ที่ชอบสะสมวัตถุโบราณ และเคยมาเมืองไทยด้วย คุณป้าถูกผีอำ ขยับตัวไม่ได้...เห็นผู้หญิงไทยใส่ชุดสมัยรัชกาลที่ห้ามาดึงเท้าท่าน

ต้องสวดมนต์จนกระทั่งหลุดจากอาการผีอำได้

นาทีต่อมา หลานสาวของท่านจึงหลับอยู่ข้างๆ เกิดร้องอึกๆ อักๆ ท่านเลยเขย่าตัวเธอ เมื่อเธอตื่นก็ละล่ำละลักขอบคุณที่ปลุก

"เมื่อกี้หนูถูกผีอำค่ะ เป็นผีผู้หญิงแต่งชุดรัชกาลที่ห้า มาดึงขาหนูจนเจ็บไปหมด นี่ยังเจ็บอยู่เลยค่ะ...ถ้าคุณป้าไม่ปลุก หนูต้องแย่แน่ๆ"

ถามไปถามมา ปรากฏว่าแพทย์ท่านนั้นเคยมาเมืองไทย และซื้อกำไลนพเก้าไว้วงหนึ่ง...วิญญาณหญิงสาวอาจจะมากับกำไลก็ได้

อาตอบคำถามหลานต้อมไว้เพียงเท่านี้ก่อน หากวันหน้าวันหลังได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็จะนำมาเล่าอีกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 19 กรกฎาคม 2550

18 กรกฎาคม 2558

กลิ่นสยองขวัญ

"เขมจิรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านใกล้วัด

ฤดูฝนปีนี้มาเร็วนะคะ พอครึ้มฟ้าครึ้มฝนทีไรดิฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องสยดสยองที่เคยเจอเมื่อ 4 ปีก่อน ปกติดิฉันเป็นคนรักฤดูฝนมาก ธรรมชาติแสดงพลังอำนาจให้เห็นในสายฝนที่กระหน่ำ เสียงฟ้าที่สะท้านสะเทือนกึกก้อง

...แสงที่แปลบปลาบบาดตา ความชุ่มฉ่ำและความสวยงามของสายรุ้ง!

สิ่งที่ดิฉันไม่ชอบในฤดูฝนมีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องฝนตก น้ำท่วมหรือรถติดหรอกค่ะ เรื่องพวกนั้นน่ะพอทน แต่เวลาที่ฟ้าปิด เมฆหนาหรือมีไอน้ำเต็มฟ้า บรรยากาศตอนพลบๆ น่ะ กลิ่นแปลกๆ บางอย่างจะลอยต่ำเหมือนมันเรี่ยยอดไม้ ยอดหลังคาบ้านต่างๆ มาเรื่อยๆ จนมาเข้าจมูกดิฉัน...

มันเป็นกลิ่นคล้ายเผาหนังหมู! กลิ่นผมไหม้! บางทีก็เหมือนมีใครกำลังทอดปลาเค็มเน่า!

ทุกๆ ปียามฤดูฝนดิฉันจะได้กลิ่นนี้ แม้จะไม่ทุกวัน แต่ได้กลิ่นทีไรก็ขนหัวลุกทุกที เพราะทราบดีว่ามันเป็นกลิ่นเผาศพที่ลอยอวลมาจากวัดแห่งหนึ่งในละแวกนั้น

ที่จริงดิฉันไม่เคยได้ยินใครบ่นเรื่องนี้ให้ฟังสักที อาจจะเพราะความเชื่อถือที่ว่า...ห้ามพูดว่าเหม็นศพ เพราะเป็นการดูหมิ่นคนตาย!

แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ดิฉันคิดว่าบ้านตัวเองมันอยู่ท้ายซอย แถมเป็นซอยตันด้วย ถ้าคุณขับรถหรือเดินเข้ามาจากถนนใหญ่ ตรงมาเรื่อยๆ ราว 200 เมตร คุณจะเจอกำแพงอิฐ...นั่นแหละบ้านดิฉันเอง

ถ้าเงยหน้ามองก็จะพบว่ามันเป็นบ้านทาสีฟ้าๆ หลังใหญ่เอาการ และคุณจะเห็นว่าที่ชั้นสองของบ้านจะมีหน้าต่างบานหนึ่งตรงกับถนนเป๊ะ...ห้องนอนดิฉันค่ะ!

ตามหลักฮวงจุ้ย มันไม่ดีเลยใช่ไหมคะ?

สาเหตุเพราะมีถนนพุ่งตรงแหน็วเข้าใส่...แต่จะทำยังไงได้ล่ะค่ะ บ้านหลังนี้ปลูกมาตั้งแต่สมัยคุณตาคุณยาย ดิฉันเองก็อยู่มาแต่อ้อนแต่ออกจนอายุเกือบ 30 ปีแล้ว...ที่นี่เป็นบ้านของเรา ห้องนอนของเรา! ใครจะทักว่าผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างไรก็ตามเถอะ ดิฉันก็ต้องอยู่ที่นี่ แบบนี้วันยังค่ำ ไม่มีปัญญาย้ายไปไหนหรอกค่ะ

เมื่อสภาพแวดล้อมทั่วไปเป็นเช่นนี้ ห้องนอนดิฉันก็มีสภาพเป็นที่ดักกลิ่น!

เวลาบ้านใครทำกับข้าวกลิ่นฉุนๆ อย่างผัดกะเพรา ผัดพริก หรือหมูทอดกระเทียมพริกไทย กลิ่นจะมารวมกันที่ดิฉันนี่แหละ...แต่นั่นก็ไม่ร้ายเท่ากลิ่นเผาศพ!!

ยามฤดูฝนดิฉันมักจะปิดหน้าต่างบานนี้เสมอ แต่บางทีก็ไม่ไหว เพราะอากาศร้อนอบอ้าว...ดิฉันเปิดหน้าต่างไว้แต่เช้าก่อนไปทำงาน กว่าจะกลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่ม จึงช่วยไม่ได้ที่มันจะรับกลิ่นเต็มที่ในช่วงเวลาฌาปนกิจตอนเย็น

เมื่อ 4 ปีก่อน ดิฉันยังจำได้ว่า คืนหนึ่งขณะนอนหลับก็ถูกดึงผ้าห่มลงไปทางปลายเท้า! ทีแรกนึกว่ามันเลื่อนตกไปเอง ดิฉันสะดุ้งตื่นและตะครุบมันไว้ ก่อนจะดึงขึ้นมาห่มถึงลำคอแล้วทำท่าจะหลับต่อ แต่มันก็ถูกดึงอีก...

พอลืมตาเพื่อจะยึดผ้าห่มไว้ สายตาก็พลันแลเห็นภาพประหลาดที่มุมห้อง...มีเงาคนยืนอยู่ตรงนั้น 5-6 คน ทั้งผู้ชาย ผู้หญิงแก่ๆ และเด็ก...ทุกคนกำลังจ้องมองมาเขม็ง

เหงื่อกาฬแตกพลั่ก...เราฝันร้ายไปหรือเปล่านี่? พอขยี้ตาภาพน่ากลัวก็หายไป ดิฉันเลยไม่แน่ใจในตัวเองว่าตาฝาด หรือยังไม่ตื่นจากฝันกันแน่?

วันต่อมา ราวสองทุ่ม ดิฉันกลับถึงบ้านก็ขึ้นห้องนอน พอเปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกฉุน...กลิ่นเผาศพอีกแล้ว! แต่จะปิดหน้าต่างก็เท่ากับอบกลิ่นไว้ มีทางเดียวคือเปิดหน้าต่างเปิดพัดลมไล่กลิ่น...สักพักหนึ่งก็ค่อยยังชั่ว

ราวห้าทุ่มดิฉันเข้านอน กลิ่นสยองนั่นจางหายไปแล้ว...

ข้างนอกฟ้าแดง ลมแรง แสดงว่าพายุกำลังมา ห้องดิฉันมีแต่พัดลมค่ะ คืนนั้นจึงจำเป็นต้องปิดหน้าต่างเพราะกลัวฝนสาด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะฟ้าแลบบาดตามาก ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ดิฉันเคยชอบ แต่คืนนั้นรู้สึกกลัวๆ พิกล

แม้จะปิดหน้าต่าง แต่เวลาฟ้าแลบแสงก็ยังพอจะลอดเข้ามาได้จากช่องแสง...มันเพิ่มบรรยากาศให้เหมือนหนังผีเข้าไปใหญ่

ดิฉันนอนลงบนเตียงและยังลืมตา...พอมองไปตามเพดานก็สังเกตเห็นหยากไย่ใยแมงมุม...ตายจริง! นี่เราละเลยขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย? เพราะคิดมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดิฉันเคลิ้มหลับ...ผู้หญิงผมยาวเกาะใยแมงมุม ห้อยหัวลงมาจ้องเขม็ง นัยน์ตาวาวเรืองน่ากลัว จนต้องสะดุ้งตื่น ใจเต้นเหมือนจะทะลักออกมานอกอก

ภาพภายในห้องเหมือนในฝัน...แต่ไม่มีผีผู้หญิง!!

ทุกคืนดิฉันฝันร้าย บางทีก็โดนผีอำ ในห้องมีเงาวูบวาบ...รู้สึกเหมือนมีผู้คนมากมาย พากันขวักไขว่อยู่ในห้องนอน กลิ่นสยองก็ชวนขนลุกบ่อยขึ้นทุกที

วันเสาร์นั้นคุณป้ามาเยี่ยม ดิฉันปรับทุกข์เรื่องนี้ คุณป้าก็บอกว่าหยากไย่ใยแมงมุมตามมุมห้องอาจจะดักเอาฝุ่นเถ้าธุลี หรือกลิ่นจากปล่องเมรุวัดเข้ามาได้...ดิฉันรีบหาไม้ไผ่ยาวๆ ขึ้นไปพันเอาหยากไย่ตามมุมห้องลงมาจนหมด

เราช่วยกันห่อหยากไย่น่าเกลียด รีบขึ้นรถไปที่วัดในละแวดบ้าน...เล่าให้เจ้าอาวาสซึ่งรู้จักกันดีกับพวกเรา...ท่านบอกว่าเราทำถูกต้องแล้ว และรับเอาห่อหยากไย่นั้นไป...แล้วท่านก็นัดทำสังฆทานที่บ้านวันต่อมา

ดิฉันสบายใจขึ้นมาก และไม่มีฝันร้ายหรือเรื่องสยดสยองอีกเลย...ทุกวันนี้ก็หมั่นทำความสะอาดมุมห้อง เวลามีกลิ่นเผาศพดิฉันก็ทำเฉยๆ ไม่กังวล...แต่นึกถึงกลิ่นสยองก่อนนั้นแล้วอดขนลุกไม่ได้ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม 2550

17 กรกฎาคม 2558

คนดีผีคุ้ม

"นายอ้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า นนทบุรี

บ้านผมอยู่เมืองนนท์ เป็นบ้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเตี่ยยังหนุ่มๆ อยู่เลยครับ ถึงวันนี้ก็ห้าสิบกว่าปีแล้ว เราอยู่กันอย่างอบอุ่น ปลอดภัยสบายดี ทั้งๆที่มีเสียงร่ำลือว่าที่ดินแถบนี้น่ะแรงมากๆ

ไม่แรงได้ไง สมัยก่อนที่นี่เป็นป่าช้าครับ!

เตี่ยเล่าว่าบ้านเราน่ะไม่ใช่เขตป่าช้าหรอก สมัยเตี่ยหนุ่มๆ อยู่นั้น ป่าช้าอยู่ถัดจากแถวบ้านเราไป เวลาเตี่ยกลับบ้านจะต้องเดินผ่านโกดังเก็บศพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เตี่ยไม่กลัวเพราะเชื่อมั่นในคำพูดที่ว่า "คนดีผีคุ้ม"

คงจะจริงนะครับ เพราะไม่มีภูตผีปีศาจมาหลอกหลอนให้ขวัญหายเลย ยกเว้นแต่จะเจอสิ่งแปลกประหลาด เหนือธรรมชาติต่างๆ นานา ที่ทำให้รู้ว่าพื้นที่ถิ่นนั้นไม่ธรรมดา

มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เตี่ยผมจำได้ไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้!

ตอนนั้นเพิ่งจะยี่สิบหยกๆ เย็นวันหนึ่ง เตี่ยเดินกลับบ้านมาตามลำพัง พอใกล้เขตป่าช้าร่มครึ้มด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่และเก่าแก่ มีเจดีย์ใส่อัฐิเรียงราย บรรยากาศวังเวงน่าดู เตี่ยก็เห็นเด็กผมจุกคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตัวนิดเดียวเหมือนตุ๊กตา กำลังวิ่งเล่นตามประสาซน...

ครั้นสบตากัน เด็กผมจุกก็มีท่าทีชวนเตี่ยเล่นด้วย ความที่เป็นคนใจดี เตี่ยก็เลยนึกสนุก ยอมวิ่งไล่จับกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน

ทันใดนั้น เด็กผมจุกแสนน่ารักก็หัวเราะเสียงใส...ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในตันไม้ใหญ่ดื้อๆ ยังงั้นแหละครับ

เตี่ยยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย...เด็กวิ่งตื๋อเหมือนจะพุ่งชนต้นไม้จังๆ จนน่าตกใจด้วยซ้ำ แต่ร่างของแกกลับกลืนหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่นั่นราวกับเล่นกลก็ไม่ปาน!

ไม่มีอะไรน่ากลัว ความร่าเริงยังอวลอยู่ในบรรยากาศรอบๆ ตัว...เตี่ยเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกทึ่งในเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เจอเข้ากับตัวเองอย่างเต็มหูเต็มตา

หลังจากนั้นไม่นานก็มีการล้างป่าช้า...

โกดังศพถูกรื้อไปเรียบร้อย มีรถใหญ่มาถมที่และปรับดินจนราบเรียบสะอาดตา เสร็จแล้วก็สร้างโรงเรียนเทคนิคขึ้น ดำเนินการสอนมาจนถึงทุกวันนี้

ป่าช้าและโกดังหายไปแล้ว มีโรงเรียนกับบ้านเรือนผุดขึ้นมาแทนที่ ครอบครัวของผมก็ยังอาศัยอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม เตี่ยทำอาชีพค้าขาย เราทุกคนในบ้านรวมทั้งผมกับพี่สาวช่วยกันทำมาหากิน เรียนหนังสือด้วยและช่วยเตี่ยทำงานไปด้วย

ผู้คนแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่มานานอย่างเตี่ย จะรู้กิตติศัพท์ความแรง หรือ "เฮี้ยน" ของที่ดินบริเวณนี้ดี...อาถรรพณ์ยังอยู่ แม้ป่าช้าจะไม่มีแล้วก็ตาม!

ผมเองเป็นคนหนึ่งซึ่งเจอเหตุการณ์แปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็เหมือนเตี่ยละครับ คือ ไม่ใช่คนใช่คนขวัญอ่อน หรือกลัวผีง่ายๆ ทว่า อดไม่ได้ที่จะนึกทึ่งเสมอเวลาพบเรื่องแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้

คืนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนห้าทุ่มกว่าๆ พวกเราเตรียมตัวเข้านอนเพราะต้องตื่นแต่เช้า เวลาห้าทุ่มนับว่าดึกมากแล้วสำหรับเรา ผมกำลังเก็บของ เสร็จเมื่อไหร่จะได้อาบน้ำนอนซะที

ทันใดนั้น มีเสียงเขย่าประตูรั้ว มันเหมือนกับมีคนจับด้ามที่เปิดประตูแล้วเขย่าแรงๆ

"อ้น...ไปดูซิว่าใครมาดึกๆ ดื่นๆ" พี่สาวบอกผมพลางชะเง้อไปที่ประตูรั้ว...ผมรีบลุกขึ้นไปดูทันที แล้วก็ต้องใจหายเพราะเพิ่งรู้ว่าประตูรั้วไม่ได้ล็อก!

อ้อ! แล้วใครมาเขย่าประตูเรียกเราน่ะหรือครับ? ไม่มีหรอก...ไม่มีใครสักคนเดียว! ผมเปิดประตูไปดูซ้ายขวา ไม่มีแม้แต่เงา...เป็นไปไม่ได้เลย ว่าจะมีใครมาเรียกแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้

พวกเราขนลุกและสรุปเอาเองว่า...เจ้าที่เจ้าทางมาเตือนว่าเราลืมล็อกประตู!

ผมนึกไปถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นม.4

คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แน่ละครับ คืนวันพระ! ผมกำลังทำงานเพลินๆ ก็มีเสียงเคาะประตูรั้ว ปังๆๆ! เอามือเคาะนะครับ แรงมากด้วย

"อ้น! ไปดูเร้ว...ใครมา?" พี่สาวผมนั่นแหละ ร้องสั่งเสียงใส

ผมเดินแกมวิ่งไปเปิดประตูผาง...ไม่มีใครซักคน!

ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างเรืองรอง อย่างที่มีสำนวนว่า "สว่างแทบจะจับมดได้" แต่มองไม่เห็นใครเลย! ครั้นแล้วก็นึกได้...ไม่มีใครมาแกล้งแน่ๆ นอกจาก...

"เจ้าที่คงมาเตือนให้เราระวัง!"

ครับ...อาจจะมีเหตุเภทภัยอะไรก็ได้...โจรผู้ร้าย หรือฟืนไฟ! เมื่อท่านมาเตือนเราก็ไม่ประมาท จัดการดูแลสิ่งต่างๆ เช่น ล็อกประตูหน้าต่างๆดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิดแก๊ส ปิดน้ำให้เรียบร้อย และเข้านอนอย่างสบายใจ

ผมรู้สึกเสมอว่ามีบางสิ่งบางอย่างคอยคุ้มครองเรา ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะมีความเชื่อฝังใจเหมือนเตี่ย ที่เชื่อมาตลอดชีวิตว่า...คนดีผีคุ้มครอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 17 กรกฎาคม 2550

16 กรกฎาคม 2558

วิญญาณรัก

"เล็กน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพบวิญญาณพี่สาว

ดิฉันยอมรับว่าตัวเองเป็นคนกลัวผีขนาดหนัก ดังนั้น เมื่อลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งชื่อพี่ตุ้ม ประสบอุบัติเหตุ รถของเธอชนรถสิบล้อตายคาที่ ดิฉันจึงกลัวมากขนาดนึกถึงก็ขนลุกเกรียวแล้ว กลัวว่าเธอจะมาหา...แล้วเธอก็มาจริงๆ ค่ะ!!

พี่ตุ้มอายุ 46 ย่าง 47 ไม่ใช่คนสวยเลย เธออ้วนดำ ผมหยักศก รวบตึงเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอยเสมอ กระนั้นพวกเราก็รักเธอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามีรูปหล่อของพี่ตุ้มจะรักพี่ตุ้มมาก จนไม่มีนัยน์ตาไปชำเลืองแลสาวอื่น

ทั้งนี้เพราะพี่ตุ้มเป็นคนจิตใจดี เธอรักและคอยเป็นห่วงเป็นใย คอยดูแลและแคร์ความรู้สึกของทุกคน...ไม่เฉพาะแต่กับน้องแต๋มกับน้องตาล-ลูกสาวสุดสวาทขาดใจของเธอเท่านั้น

เธอจากเราไปกะทันหัน เป็นความตายที่รุนแรงจนเราทำใจไม่ได้จริงๆ

น่าสงสารแต๋มกับตาลมาก สองพี่น้องยังเรียนไม่จบเลยค่ะ แต๋มเรียนปี 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏ ส่วนตาลเพิ่งจะขึ้น ม.4 เท่านั้นเอง!

ครอบครัวของพี่ตุ้มมีฐานะปานกลาง พี่อ๊อดสามีของเธอทำงานธนาคารงานหนักมาก เงินเดือนที่ได้มาก็ต้องประหยัดกันสุดขีด พี่ตุ้มเองเป็นแม่บ้านเต็มตัวเพราะลาออกจากบริษัทเมื่อมีน้องแต๋ม เธอเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง ไม่ยอมมีคนรับใช้

จนกระทั่งลูกโต พี่ตุ้มจึงทำขนมเปี๊ยะขาย หารายได้เสริม

ทีแรกพวกเราก็ว่าจะขายได้อย่างไร ทำขนมเปี๊ยะอย่างเดียว ใครเขาจะมาซื้อทุกวี่ทุกวัน! แต่เราคิดผิดค่ะ พี่ตุ้มทำขายแทบไม่ทันเพราะมีลูกค้าเยอะมาก เดี๋ยวคนนี้สั่งจอง เดี๋ยวคนนั้นโทร.มาขอซื้อทีละมากๆ ยิ่งใกล้ปีใหม่พี่ตุ้มยิ่งมือเป็นระวิง

เธอขายดีมาก จนพี่อ๊อดให้ใช้รถเพื่อเอาขนมไปส่งลูกค้า

วันที่เกิดเหตุ ลูกค้าสั่งขนมเปี๊ยะไว้ 50 กล่องเพราะมีงานเลี้ยงที่พุทธมณฑล พี่ตุ้มอดตาหลับขับตานอนทำขนมทั้งคืน คิดว่าพอเช้าขับรถไปส่งลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะกลับมานอน...แต่ชะตากรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครหลบหลีกได้พ้นจริงๆ ค่ะ

หลังจากส่งขนมเสร็จ ตอนขากลับ รถสิบล้อเบรกแตก พุ่งข้ามเลนมาชนรถพี่ตุ้มเสียยับเยิน...ร่างกายของพี่ตุ้มก็เช่นกัน

ดิฉันเสียใจมาก พอๆ กับกลัวผี!

ตลอดเวลางานสวด ดิฉันไม่ยอมอยู่คนเดียวเลย พอกลับจากวัด สามีต้องอยู่เป็นเพื่อนตลอด

คืนที่ 3 หลังการตายของพี่ตุ้มที่แสนดี ดิฉันเข้านอนตอนห้าทุ่มกว่าๆ สามีซึ่งปกตินอนดึก ราวตี 1 ตี 2 ก็ต้องละจากงานที่ทำค้างไว้ เข้านอนพร้อมดิฉันด้วย แถมยังไม่ยอมให้เขาปิดไฟหัวเตียงซะอีก...ไฟดวงนิดเดียวไม่รบกวนสายตาหรอกค่ะ ยามกลัวผีแบบนี้ดิฉันหลับได้สบายมาก

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ดิฉันก็ต้องตื่นขึ้นมา...มันตื่นเอง ไม่ได้ปวดปัสสาวะหรือมีเสียงรบกวนอะไรเลย มันน่าโมโหมั้ยเนี่ย...ตื่นมาทำไมก็ไม่รู้? ดูซิ! สามีก็กำลังกรน หลับสนิทเชียว

ดิฉันพลิกตัว ดึงผ้าห่มคลุมถึงคอ ตั้งใจจะหลับต่อ...แต่คุณพระช่วย!

ที่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง ห่างจากดิฉันไม่กี่ก้าว มีร่างอวบอ้วนของพี่ตุ้มนั่งมองอยู่นิ่งๆ ท่ามกลางความเงียบเชียบและเยือกเย็น...

เธอดูเป็นมนุษย์มีเนื้อมีหนังเหมือนคนเป็นๆ แสงไฟสลัวๆ ยังสาดส่องจนดิฉันเห็นร่างนั้นถนัด...เจ้าประคุณเอ๋ย! หัวใจแทบจะขาด น้ำตาทำท่าจะไหลพรากออกมารอมร่อ...มือก็เอื้อมไปด้านหลัง เขย่าสามีแต่เขาไม่ยอมตื่น

"ไม่ต้องกลัวพี่หรอก น้องๆ...พี่มีเรื่องมาขอให้ช่วย...."

พี่ตุ้มพูดโดยที่ปากของเธอไม่ขยับสักนิด ดิฉันนอนตัวสั่นอยู่กับที่...เธอบอกว่าในห้องนอนมีตู้เสื้อผ้า และลิ้นชักบนสุด ใต้เอกสารสำคัญต่างๆ มีกรมธรรม์ประกันภัยที่เธอทำไว้ ซึ่งยังไม่มีใครรู้แม้แต่พี่อ๊อด...

ผู้รับผลประโยชน์จากการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุนั้นให้สามีเป็นผู้รับ!

เมื่อสั่งเสียเรียบร้อย....นี่เป็นการสั่งเสียหลังจากที่เจ้าตัวตายไปแล้ว พี่ตุ้มก็นั่งนิ่งๆ ร่างที่เหมือนคนธรรมดาของเธอ ทำท่าจะเปลี่ยนเป็นศพ...คือเขียวคล้ำ และบวมช้ำไปหมด...ดิฉันปากคอสั่น พูดไม่ออก นึกอยู่ว่า...พอแล้วพี่ตุ้ม! อย่าให้กลัวกว่านี้เลย...

พี่ตุ้มมองดิฉันเหมือนเพิ่งรู้ว่า ดิฉันกลัวแทบตายตามเธอ ร่างนั้นค่อยๆเลือนราง จางหายไป!

เธอคงไม่ได้ใจร้าย คิดจะหลอกหลอนดิฉันหรอกค่ะ เชื่อว่าที่เธอค่อยๆกลายร่างเป็นซากอสุภ ก็เพราะเสียใจต่อการตายของตัวเอง กับห่วงลูกๆและสามี

รุ่งขึ้น ดิฉันรีบโทร.ไปเล่าให้พี่อ๊อดฟัง เขาไม่ได้หาว่าดิฉันบ้าหรอก แต่ขึ้นไปดูในลิ้นชักตามคำบอกเล่า แล้วรีบโทร.กลับมารายงานอย่างตื่นเต้น ...สิ่งที่ดิฉันเล่านั้นเป็นความจริงทุกประการ

โธ่! ใครจะไปรู้ได้อย่างไรคะ ถ้าวิญญาณพี่ตุ้มไม่มาบอกน่ะ...จิตดิฉันคงจะอ่อนกว่าพี่อ๊อดมั้งคะ เธอถึงติดต่อมาได้?

เรื่องนี้ฮือฮากันในหมู่ญาติสนิทมิตรสหาย ดิฉันไม่กล้าเล่าให้คนอื่นๆ ฟังอยู่นาน เพราะไม่มีอะไรพิสูจน์ แต่พอคิดได้ว่า เรื่องนี้ต้องมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก็เลยเขียนมาเล่า...

วิญญาณมีจริงค่ะ! หมั่นทำความดีไว้เถอะนะคะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 2550

13 กรกฎาคม 2558

บ้านเก่า

"สาธิกา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณออกจากร่าง

ว่ากันว่า คนเรากลัวความตายเพราะไม่รู้แน่ว่าตายแล้วจะไปไหน? จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันแน่ แถมยังไม่แน่ใจอีกว่า นรกและสวรรค์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในรูปวาดที่เคยเห็นหรือเปล่า?

ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็พอจะคาดคะเนจนถึงแน่ใจได้ว่ายังมีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีครอบครัวและญาติมิตรที่รู้จักมักคุ้น สามารถจะพบปะพูดคุยกันได้ ได้กินอาหาร ได้เที่ยวเตร่หรือพักผ่อนตามใจชอบ แม้ว่าหลายๆ คนจะมีอะไรขัดข้องอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความหวังที่พอจะกลายเป็นความจริงได้

เมื่อยามค่ำคืนมาถึงก็ได้หลับนอนผาสุก มีความหวังว่าวันรุ่งขึ้นจะได้พบกับชีวิตเก่าๆ ตามเดิม ไม่อยากจะสลัดตัดทิ้งไปก่อนเวลาอันสมควร

คนเรารักชีวิตกลัวความตายก็เพราะความไม่รู้แน่ชัดนี่เอง!

หลายๆ คนที่รู้แน่ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่ในโลกน้อยเต็มที กำลังใกล้จะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่แล้ว ก็มักจะนึกถึงบาปบุญคุณโทษที่เคยกระทำไว้ มากบ้างน้อยบ้างตามนิสัยของตน เข้าตำรา "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" ทำให้มองเห็นโลกหน้าอันเคยเร้นลับมาช้านานแจ่มแจ้งขึ้นทุกที...

บ้างก็มองเห็นสวรรค์ บ้างก็เห็นแต่นรกอเวจี และบ้างก็เห็นแต่ความดำมืดน่าพรั่นสยอง...บ้านเก่าที่ทุกๆ คนจากมา ในที่สุดก็ต้องกลับไปบ้านเก่ากันทุกคน!

ป้าแสงดาว-ญาติห่างๆ ของดิฉันก็มีประสบการณ์เมื่อใกล้กลับบ้านเก่าเช่นกัน เพียงแต่บ้านเก่าของป้าแสงดาวค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าคนอื่นๆ แถมยังน่าขนหัวลุกอีกด้วยค่ะ

ป้าเป็นข้าราชการบำนาญมาเกือบสิบปีแล้ว มีร่องรอยว่าเมื่อสาวๆ เป็นคนสวย ร่างบอบบาง ผิวขาว ใบหน้าติดยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี แต่นัยน์ตามักจะเลื่อนลอยตามแบบของคนช่างคิดช่างฝัน เชื่อในเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พวกลูกๆ หลานๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ป้าแสงดาวก็มีดิฉันคอยรับฟังอย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้ว

อาจจะเป็นเพราะเรามีนิสัยเหมือนกันก็เป็นได้ค่ะ!

"คนเราน่ะเกิดมาหลายภพหลายชาติเต็มที แต่ถูกลบความจำในชาติก่อนๆ ทั้งหมด ไม่งั้นจะเกิดปัญหายุ่งเหยิงในชาตินี้...เพียงแต่เราสาวไปไม่ถึงเท่านั้นแหละว่าในชาติแรกๆ ของเราเป็นใคร? มาจากไหน? พระเจ้าหรือธรรมชาติกันแน่ที่สร้างเราขึ้นมา?"

ป้าแสงดาวเคยพูดกับดิฉันที่โต๊ะสนาม ใต้ร่มแสงจันทร์สีขาวนวล นัยน์ตาเลื่อนลอยเหมือนมองไปไกลแสนไกลจนไม่มีใครติดตามไปได้ถึง มือบอบบางลูบไล้ท่อนแขนตัวเองในอาการครุ่นคิด

"ในที่สุดคนเราก็ต้องกลับไปบ้านเก่ากันทุกคน! ว่าแต่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?"

ไม่มีใครตอบได้หรอกค่ะ นอกจากจะได้พบกับตัวเอง...จนกระทั่งวันหนึ่งป้าแสงดาวก็พบคำตอบมาเล่าให้ดิฉันฟัง

"เมื่อคืนป้าฝันว่าไปอยู่ในป่าคนเดียว...ป่าเปลี่ยว ร่มครึ้ม ต้นไม้ใหญ่ๆ ดกหนา ไม่คุ้นเคยนัยน์ตามาก่อน เสียงสิงสาราสัตว์ขู่คำราม กู่ร้องน่ากลัว...ป้าปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้ทัน มองเห็นพวกเสือช้างเพ่นพ่านเต็มป่า...เออ! หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้านะ?"

ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...โลกหน้าของคนอืนมีแต่สวรรค์ นรก บ้างก็เป็นป่าโปร่งร่มรื่น หรือไม่ก็เป็นอุโมงค์ดำมืดที่จะต้องผ่านเข้าไป จนกว่าจะพบทางออก...

วันต่อมา ป้าแสงดาวก็เล่าว่าบ้านเก่าของเธอเปลี่ยนแปลงไป!

"ป้าอยู่ในป่าเปลี่ยวตามเดิม สัตว์ร้ายก็ชุกชุมน่ากลัว แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ที่ป้าคุ้นเคยอีกแล้ว นอกจากปากถ้ำใต้ชะง่อนผา...ป้าวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง อกสั่นขวัญหายเพราะกลัวเสือ กลัวงูตัวโตๆ ต้องล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในถ้ำดำมืด...ครู่หนึ่งแสงไฟก็ลุกวอมแวมขึ้น ทั้งอบอุ่น ทั้งทำให้สัตว์ร้ายต่างๆ หวาดกลัวจนต้องล่าถอยออกไปจนหมด...ภาพนั้นยังติดหูติดตาป้ามาจนป่านนี้"

ป้าแสงดาวถอนใจ ก่อนจะพึมพำ

"หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้าจริงๆ กองไฟอบอุ่นในถ้ำดำมืด! บ้านเก่าของเรา..."

ดิฉันเบือนหน้าไปซ่อนยิ้ม...ถ้าความตายคือการกลับไปสู่บ้านเก่าจริงๆ ก็นับว่าป้าแสงดาวมีบ้านเก่าที่แปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา!

ในที่สุดก็ถึงคืนสุดท้ายที่ป้าแสงดาวฝันถึงบ้านเก่าของเธอ และนำมาเล่าให้ดิฉันฟังด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แววตาแจ่มใสเหมือนได้พบเห็นใคร หรืออะไรบางอย่างที่เฝ้ารอมานานแสนนาน

สุ้มเสียงของป้าก็คล้ายกับสายลมที่พัดลู่มาตามสุมทุมพุ่มไม้อันไกลโพ้น...

"บนต้นไม้หรือในถ้ำน่ะไม่ใช่บ้านเก่าจริงๆ ของป้าหรอก...ป้ารู้เมื่อเดินออกจากปากถ้ำมุ่งหน้าไปตามเสียงคลื่นเสียงลม ป่าทั้งป่าอยู่เบื้องหลัง ข้างหน้าคือหาดทรายสีขาว ทะเลสีทองใต้แสงแดดและปุยเมฆที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้าสีคราม เสียงคลื่นซัดหาดครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนเสียงโห่ร้องต้อนรับป้ากลับบ้าน! บ้านเก่าที่เราจากไปนานแสนนาน..."

เป็นครั้งแรกที่ดิฉันยิ้มไม่ออก ได้แต่จ้องมองดูใบหน้าเยือกเย็น ยิ้มละไม...ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร!

วันรุ่งขึ้น ไม่ประหลาดใจหรอกค่ะ ที่ได้ข่าวว่าป้าแสงดาวนอนหลับไปตลอดกาล...แต่นึกถึงคำพูดสุดท้ายของป้าก่อนที่จะจากกัน ทำให้ขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้เลย

"ป้าลาก่อนละนะ ได้เวลากลับบ้านเก่าแล้ว...ป้าจะรออยู่ที่นั่นเมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านเก่าเหมือนกัน!"

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม 2550

12 กรกฎาคม 2558

ขึ้นจากแม่น้ำ

"นายกั้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมฝั่งเจ้าพระยา

บ้านคุณปู่คุณย่าของผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านฝั่งธนฯ ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็น่าอยู่มาก น่าเสียดายที่เมื่อท่านตายจากไป บ้านหลังนี้ถูกทิ้งให้รกร้าง จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อนคุณพ่อผมคิดจะทำที่นั่นเป็นร้านอาหาร

ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมก็เลยช่วยได้เต็มที่ สนุกดีครับ

และแล้ว...คืนหนึ่งผมก็ขอไปค้างที่นั่น!

การตกแต่งภายในนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่รอฤกษ์เปิดร้าน เราไม่ได้เลิศหรูอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เป็นผับเป็นบาร์ มีดนตรี แต่เป็นร้านขายสเต๊กและอาหารตามเมนูประเภท ยำ ผัดเผ็ด แกง ก๋วยเตี๋ยว สลัดและซุปต่างๆคุณแม่กับคุณอาของผมมีฝีมือครับ

อาต้อยเพิ่งลาออกจากงานไฟแนนซ์ เพราะไม่ชอบใจอะไรๆ หลายอย่าง พ่อก็เลยว่า เออ...ดี! ตั้งร้านอาหารซะเลย ให้แม่กับอาต้อยทำ แล้วจัดห้องคุณปู่คุณย่าที่ชั้นบนให้เป็นห้องนอนของอาต้อย ปกติอาต้อยก็อยู่ที่บ้านเราแถวนานานี่แหละ

พอผมเห็นห้องนอนอาต้อยที่บ้านฝั่งธนฯ จัดแต่งเสร็จแล้ว ผมก็พาเพื่อน 2 คนไปนอนที่นั่น ถือว่าเป็นการพักตากอากาศริมแม่น้ำ น่าสนุกออก แถมแม่กับอาต้อยจะลองทำอาหารกันด้วย

คืนนั้นเรากินสเต๊กกันอิ่มแปล้ เพื่อนผมอร่อยใหญ่ แม่กับอาต้อยก็ยิ้มไม่หุบ ตอนหัวค่ำน่ะมีเพื่อนๆ ของอาต้อยมาช่วยชิมอาหาร ดูๆ ไปก็เหมือนงานเลี้ยงย้อยๆ

เราอยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ แม่และอาต้อย แต่พอ 4-5 ทุ่มทุกคนก็กลับบ้านกันหมด เหลือแต่ผม 3 คนอยู่เฝ้าร้าน

พวกเรานอนดึกครับ จะเรียกว่าไม่นอนเลยก็ได้!

เวลาปิดเทอมพวกผมจะเป็นแบบนี้แหละ ขอให้มีเน็ต มีทีวี มีกีตาร์ เท่านั้นก็พอแล้ว เราจะนอนตอนไก่ขัน ผมคิดว่าเด็กวัยรุ่นบ้านอื่นๆ ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ จริงไหมครับ?

บ้านคุณปู่มีระเบียงนั่งเล่นริมแม่น้ำเป็นพื้นที่กว้าง วางโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ๆ ได้สบาย มีกระถางสวยๆ วางเรียงไว้รอบๆ คืนนั้นผมกับเพื่อนนั่งเล่นกันตรงนี้ จนราวตี 2 กว่าๆ ฝนก็เริ่มตกพรำๆ ดวงดาวหายหมด เหลือแต่เมฆหนาสีแดงๆ เต็มผืนฟ้า

ผมกับเพื่อนต้องอพยพเข้าข้างในด้วยความเสียดาย แต่เราก็ยังเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกเต็มที่ ไม่รูดม่าน ปิดแต่มุ้งลวดกันยุงเข้า

บริเวณห้องรับแขกนี่ ยังไม่ได้ตั้งโต๊ะสำหรับลูกค้ามานั่งรับประทานอาหารมันก็เลยยังโล่ง มีโซฟาแสนสบายที่อาต้อยบอกว่า พอเปิดร้านจะยกโซฟาขึ้นข้างบน

เมื่อมีโซฟาเจ้าจ๊อบก็เลยขึ้นไปนอนเหยียดยาว แล้วเผลอหลับไปเลย ผมกับแอ๊ดก็ฟังเพลงจนเคลิ้มไปบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้นอนนะครับ เราเอนหลังอยู่กับโซฟา ตัวก็นั่งอยู่กับพื้นห้อง ดับไฟในห้องจนมืด...โรแมนติก! เราจึงมองผ่านมุ้งลวดออกไปเห็นข้างนอกได้ถนัดตา

เราหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมตื่นเพราะจ๊อบสะกิดเบาๆ

"เฮ้ย! ไอ้กั้ง มึงดูซิว่าที่ระเบียงน่ะมีใคร?"

มันกระซิบ น้ำเสียงบอกว่ากลัวน่าดู ผมใจหาย นึกว่า...เอาละซิ! ผีหรือโจรกันแน่? รีบขยับตัวนั่งตรง เขม้นมองไปที่ม้านั่งยาวตรงระเบียง

...เงานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กนักเรียนผู้หญิง อายุราว 10 ขวบ หัวทุย ถักเปีย 2 ข้าง

คุณพระคุณเจ้าช่วย! มันน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด! คิดดูซิครับ ตี 2 ตี 3 เด็กที่ไหนจะมานั่งอยู่ตรงนี้? บ้านคุณปู่ไม่มีทางเดินเลาะเข้ามาได้หรอก ถ้าจะมาได้ก็แค่ทางเดียว คือ...ขึ้นมาจากน้ำ!

แอ๊ด ซึ่งนั่งพิงอยู่ปลายโซฟาด้านโน้น ตื่นขึ้นมาเห็นภาพนี้เหมือนกัน มันกระเถิบตัวเข้ามาเบียดผมกับจ๊อบ

เด็กหญิงเล่นง่วนอยู่คนเดียว เธอกระโดดหย็องๆ สักพัก แล้วทันใดนั้น ก็เหมือนเธอรู้ว่าเรา 3 คนกำลังดูเธออยู่...ร่างน้อยๆ หยุดกระโดดแล้วเดินช้าๆ มาแนบหน้ากับมุ้งลวด เอามือสองข้างประกบตรงข้างนัยน์ตาทั้งสอง ...มองกลับมาที่เรา

ผมอยากถามว่าเธอเป็นใคร? มาได้ยังไง? แต่มันพูดไม่ออกครับ คำถามนั้นก้องอยู่แต่ในหัวอก ที่หัวใจกำลังระทึก ท่ามสรรพสิ่งเงียบเชียบ มีแต่เสียงคลื่นเซาะฝั่งเบาๆ คล้ายง่วงนอนเต็มประดา

ถ้าเธอเดินผ่านมุ้งลวดเข้ามาเราจะทำยังไง? จะเผ่นไปทางไหนดี?

เมื่อเห็นว่าพวกเรากลัวสุดขีด เด็กน้อยก็ถอยหลังไปช้าๆ ใบหน้าก้มต่ำเหมือนเศร้าเสียใจ แล้วร่างก็เลือนหายไปในสายฝนพรำ...

พอได้สติ ผมเดินไปรูดม่านเพราะกลัวจะเห็นสิ่งลี้ลับจากแม่น้ำอีก จากนั้นก็เปิดไฟสว่างโร่ เราวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ กลัวรึก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก จิ้งจกร้องก็ผลาแล้ว

รุ่งเช้า อาต้อยกับพี่ณี - แม่ครัวคนเก่งมาถึงบ้าน เราชิงกันเล่าถึงเด็กผู้หญิงลึกลับ แทนที่อาต้อยจะกลัวกลับร้องโถๆ...ไม่หยุดปาก

เธอบอกว่า เป็นไปได้ที่เด็กหญิงคนนั้นจะตายในแม่น้ำนี้ อาจจะเรือล่ม ตกน้ำตาย วิญญาณก็วนเวียน...บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคนอยู่มานานหลังคุณปู่ตาย วิญญาณเธออาจจะมาเล่นเหงาๆ และเดียวดาย...น่าสงสารออก!

เราทำบุญให้เธอ อาต้อยบอกว่าไม่กลัวหรอก ไม่เหมือนพวกเราที่กลัวแทบตาย...จำติดตาติดใจไม่มีวันลืมเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2550

11 กรกฎาคม 2558

ตู้ผีสิง

"นายตุ้ย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตู้ของคุณยาย

เขาว่ากันว่า พวกเด็กๆ มักจะสัมผัสสิ่งเหนือธรรมชาติได้ดีกว่าพวกผู้ใหญ่ เรื่องที่เขาว่านี้ผมเชื่อจริงๆ ครับ เพราะเมื่อตอนเด็กๆ ผมมองเห็นอะไรที่ผู้ใหญ่มองไม่อยู่เรื่อยเลย

เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ผมยังเป็นเจ้าเปี๊ยก 6-7 ขวบ บ้านอยู่แถวลาดพร้าวในเนื้อที่ไร่เศษ กว้างขวางพอที่จะปลูกบ้านหลังงามๆ ได้ 2 หลัง หลังแรกเป็นตึก พ่อแม่ผมอยู่ที่ตึกนี้ ส่วนผมกับพี่สาวไปนอนกับคุณยายที่เรือนไม้ซึ่งเป็นเรือนคนรับใช้

เรือนนั้นปลูกเป็นแนวยาว ชั้นบนมี 3 ห้องนอน ชั้นล่างมี 1 ห้องนอน ห้องโถงไว้ดูทีวี ห้องทำครัว และห้องน้ำสองห้อง

ตอนนั้นบ้านเรามีคนเยอะครับ นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ก็มีผม พี่แต้วซึ่งแก่กว่าแค่ผม 2 ปี แต่แหม...ดัดจริตทำเป็นสาวเชียว เธอสวยนี่ครับ! แล้วก็คุณยายซึ่งทำกับข้าวเก่งมาก และคุณเชื่อมั้ย? บ้านเรามีคนรับใช้ตั้ง 5 คนแน่ะ!

คุณพ่อผมเป็นนายแพทย์ ส่วนแม่เป็นพยาบาล ไม่ค่อยมีเวลากับลูกๆนักหรอกครับ คนไข้เยอะ แถมตอนกลางคืนก็มักมีคนไข้โทร.มาตาม คุณพ่อจะขับรถไปดู บางทีก็ไกลถึงฝั่งธนฯ โน่น ผมกับพี่ต้องอยู่ในความดูแลของคุณยายและพี่เลี้ยง

คุณยายนวลของผมใจดีที่สุดเลย!

ท่านอ้วนขาว ตัดผมสั้น ดัดหยิกแต่ไม่ได้ย้อม ปล่อยให้เป็นสีเงินยวง สวยดีเนื้อหนังนุ่มนิ่ม อุ่นเวลาหน้าหนาวและเนื้อเย็นเวลาหน้าร้อน ผมชอบกอดคุณยายหลับทุกคืน ดีกว่าหมอข้างเป็นไหนๆ แต่คุณยายน่ะ พอผมกับพี่แต้วหลับก็ชอบลุกออกไปดูทีวีกับพวกคนใช้ชั้นล่าง จนดึกดื่นถึงจะกลับมานอนกกพวกผมต่อจนตีห้าก็จะตื่นลงไปอีก

คราวนี้ลงไปทำกับข้าวน่ะครับ เราสองคนพี่น้องตื่นราวหกโมงเช้า พี่เลี้ยงขึ้นมาปลุกแต่งตัวไปโรงเรียน

วันหนึ่งพอกลับจากโรงเรียนผมก็เห็นตู้ไม้ใหม่ขึ้นมาสถิตอยู่ในห้องที่ผมกับพี่นอนกับคุณยาย มันเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านหนึ่งมีฝาเป็นบานกระจก กว้างราว 2 ฟุต พอเปิดออกก็เป็นที่แขวนชุดยาว หรือกระโปรง กางเกง อีกด้านเป็นที่แขวนเสื้อและลิ้นชัก 4 ชั้น

ดูๆ ไปมันก็เป็นตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ

แต่สำหรับผม แวบแรกที่เห็น...มันเป็นตู้ที่มีชีวิตของมันเอง!

วันนั้นราวสี่โมงเย็น ผมกลับจากโรงเรียน ปกติจะอาบน้ำ กินข้าวและทำการบ้านที่ตึกใหญ่ เรือนไม้น่ะมีเฉพาะนอนกอดคุณยายเท่านั้น เสื้อผ้าของใช้ผมกับพี่สาวทั้งหมดรวมทั้งของเล่นด้วย

เวลากลับจากโรงเรียน เราจะอยู่ที่ตึกใหญ่จนกว่าจะสองทุ่มก็แปรงฟัน ล้างหน้า เปลี่ยนชุดนอนแล้วขึ้นห้องคุณยาย แต่วันนั้นผมวิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดเรือนไม้ไปที่ห้องนอนคุณยายตามลำพัง เพราะผมจะไปเอาเครื่องบินของผมที่ลืมเอาไว้ข้างที่นอน

พอเปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นมันถนัดตา...ตรงที่เคยมีตู้เสื้อผ้าพลาสติก กลับมีตู้ไม้ใบนี้ตั้งอยู่ แสงแดดส่องทแยงลอดหน้าต่างมุ้งลวดไปที่มัน!

ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับข้าวของเครื่องใช้ หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนทั้งสิ้น ! แต่ตู้ไม้ใบนี้มันแปลกครับ คือมันเหมือนมีชีวิต แถมยังทักทายผมเงียบๆ มันทำให้ผมสะท้านเยือก จำความรู้สึกนั้นได้จนทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมยังไม่ครบ 7 ขวบ

ผมหันหลังกลับวิ่งลงบันได รู้สึกว่ามีสายตาคนแปลกหน้าจ้องมองตามมา!

เวลานอนของผมไม่เป็นสุขเช่นที่เคยเป็น มันเหมือนมีใครอยู่ในห้องด้วยแล้วใครคนนั้นก็มีนิสัยไม่ดีนัก มันทำให้ผมกลัว หดหู่และอึดอัด ผมไม่อยากมองตู้ใบนั้นเลย มันดูมีความมุ่งร้ายหมายขวัญยังไงก็ไม่รู้

คืนหนึ่งผมตื่นขึ้นมาตอนดึก ไฟหัวเตียงสีส้มๆ เปิดไว้ คุณยายลงไปดูทีวีข้างล่าง ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ ลืมตาขึ้นมาก็มองไปที่ตู้ใบนั้นแล้ว มันดูเหมือนสัตว์ประหลาดจากมิติอื่นมายืนทะมึนอยู่ในห้องนอน พอหันไปอีกทางก็เห็นพี่แต้วตื่นอยู่เหมือนกัน เธอมองตู้นั้นตาแป๋วและมีแววตื่นกลัว

"ได้ยินเสียงนั่นมั้ย" เธอกระซิบถามผม "มีใครอยู่ในตู้ก็ไม่รู้"

ผมเหลือบไปมองมันอย่างหวาดๆ ขณะที่เบียดตัวเข้ากับพี่สาว จริงสิ ...ผมได้ยินอะไรเคลื่อนไหวกุกกักอยู่ในตู้ฝั่งที่เป็นกระจกบานยาว

ฝาตู้เปิดออกช้าๆ เปิดออกนิดเดียว แต่ก็มากพอที่จะมีมือเขียวๆ ข้างหนึ่งโผล่ออกมา...ผมจำได้ติดตาว่าเล็บมันยาวและเป็นสีดำปี๋!

ผีแน่ๆ!! ผมกับพี่แต้วแข่งกันตะเบ็งเสียงร้องหวีดจนเจ็บคอหอย

สองพี่น้องร้องๆๆ ไม่หยุด จนคนทั้งบ้านวิ่งโครมๆ ขึ้นมาดูกันใหญ่ ผมกับพี่แต้วร้องไห้เสียขวัญ กอดกันกลม แกะแทบไม่ออก

เราสองคนจับไข้ ไปโรงเรียนไม่ได้ คุณยายย้ายตู้นั้นลงมาไว้ที่ห้องป้าชลอแม่ครัวของเรา มันอยู่ได้แค่สิบกว่าวัน ป้าชลอก็บอกว่าทนไม่ไหว ตู้นี้มีผีสิงจริงๆ มันเกาแกรกๆ ทั้งคืน

คนใช้เราหลายคนเห็นเงาผู้หญิงลึกลับบนกระจกตู้ด้วย น่ากลัวจริงๆ ครับ

ตู้ใบนี้คุณยายซื้อมาจากตลาด พวกผู้ใหญ่เห็นว่ามันเป็นตู้ธรรมดา ผมเป็นคนเปิดประเด็นว่ามันเป็นตู้ผีสิง ไม่รู้ว่ามันทำจากไม้โรงผี หรือว่าเคยมีใครมาตายในตู้นี้? แต่ผมกับพี่แต้วไม่ช็อกตายคาที่ก็บุญโขแล้วครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2550

10 กรกฎาคม 2558

วิญญาณอาฆาต

"ปุยฝ้าย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านอาถรรพณ์

คุณป้าของดิฉันอยู่บ้านคนเดียว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ทั้งบ้านนั้นเหลือคุณป้าแค่คนเดียว! เพราะนอกนั้น คือคุณลุงและลูกๆ ของคุณป้าเสียชีวิตไปหมด คิดๆ แล้วก็สยองมากเชียวล่ะค่ะ เพราะคนทั้งสามตายไปในระยะเวลาใกล้ๆ กัน

เพียงหกเดือนเท่านั้นเรียบเลย มันเป็นอาถรรพณ์อะไรกันนะ?!

ครอบครัวของคุณป้าอบอุ่นมากเชียวล่ะค่ะ ท่านอายุ 56 ปี อ่อนกว่าคุณลุง 5 ปี แต่คุณลุงเกษียณได้ปีเดียวก็ป่วยเป็นโรคตับ เสียชีวิตในเวลารวดเร็วจนคุณป้าแจ่มของดิฉันตั้งตัวแทบไม่ติด ท่านเศร้าโศกมาก เช่นเดียวกับจ๋า ลูกสาวซึ่งอายุ 25 เท่าดิฉัน และโจ้ลูกชายวัย 23 ทั้งคู่เรียนดี จบมหาวิทยาลัยแล้วมีงานทำมั่นคง

งานทำบุญครบร้อยวันของคุณลุงเสร็จสิ้นไปได้แค่ 3 วัน จ๋าก็หัวใจวายตายขณะขึ้นบันไดในที่ทำงานตอนแปดโมงเช้า ไม่มีวี่แววมาก่อนเลยค่ะ จ๋าออกสะสวย ผอมสะโอดสะอง

อีก 3 เดือนจากนั้น โจ้ก็จากเราไปด้วยโรคไวรัสขึ้นสมอง!

บ้านของคุณป้าอยู่สุขุมวิท เป็นบ้านเก่าที่คุณลุงคุณป้าซื้อไว้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ตอนที่จ๋ายังเตาะแตะอยู่ ดิฉันไปเล่นกับจ๋าและโจ้ที่บ้านนั้นประจำ เพราะมีสนามกว้าง ดอกไม้เยอะ สวยๆ ทั้งนั้น คุณลุงคุณป้าเป็นคนร่ำรวย มีข้าทาสบริวารเพียบพร้อม

แต่ตอนหลังๆ นี่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร คุณลุงดูเหมือนมีอาการทางประสาทขี้โมโห ผู้คนที่เคยอยู่เต็มบ้านก็อยู่ไม่ได้ พากันลาออกไปหมด

ส่วนคุณป้าก็น่าสงสารค่ะ เพราะกลายเป็นคนหดหู่...จากสาวใหญ่สวยสง่าผิวขาวผ่อง ดวงตาแจ่มใสสมชื่อ กลับกลายเป็นหญิงสูงอายุ ซูบผอม ผมหงอกขาว ดวงตาแห้งผาก สาเหตุเพราะความเจ้าอารมณ์ของคุณลุง เดี๋ยวก็มีเรื่องกับลูก เดี๋ยวก็กับเพื่อนบ้าน...คุณป้าน่ะทั้งรักทั้งคับแค้น

หลังจากคุณลุง จ๋าและโจ้ตายไปหมดแล้ว คุณป้าก็หาเด็กรับใช้มาอยู่ด้วยสองคน เป็นคนพม่า พี่น้องกัน แต่อยู่แค่เดือนเดียวก็ขอลาออก

เมื่อต้องอยู่อย่างเดียวดาย คุณแม่ของดิฉันก็แนะนำให้คุณป้าขายบ้านซะแล้วย้ายมาอยู่ด้วยกันกับพวกเรา คุณป้ายังลังเลเพราะความผูกพันกับบ้านที่สุขุมวิทนี้มากๆ แต่ดิฉันเห็นแนวโน้มว่าท่านคงจะตัดใจขาย เพียงแต่ให้เวลาท่านอีกสักหน่อย

พอคิดได้ดังนี้ ดิฉันก็ตัดสินใจว่า ระหว่างนั้นดิฉันจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าที่บ้านนั้นเอง...ไม่กลัวผีหรอกค่ะ เพราะทุกคนไม่ได้ตายที่บ้านสักหน่อย คุณลุงกับโจ้ตายที่โรงพยาบาล จ๋าเองก็ตายในที่ทำงานโน่น

อีกอย่างหนึ่งก็คือ บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ที่ทำงานของดิฉันมาก

คืนแรกเท่านั้นดิฉันก็เจอดีเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะกลัวผีเลยก็ตาม

ดิฉันนอนเตียงเดียวกับคุณป้าในห้องใหญ่ คืนนั้นราวห้าทุ่มกว่าๆ บ้านปิดเรียบร้อย ไฟปิดทุกดวงยกเว้นสนามหน้าบ้าน ภายในบ้านนี้เงียบกริบจนได้ยินเสียงนาฬิกาที่ข้างฝาดังติ๊ก...ติ๊ก...เครื่องปรับอากาศในห้องนอนเงียบมากนี่คะ

ขณะกำลังจะหลับ ก็มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา ตึง...ตึง...เสียงกระแทกเท้าจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบนเลยละ!

ดิฉันใจหายวาบ คว้ามือคุณป้า ในใจคิดแวบว่า "ขโมย!" ปากก็ถามว่า "คุณป้าคะเสียงใครน่ะ?"

คุณป้านอนนิ่งๆ จับมือดิฉันบีบเบาๆ "มันแค่เสียงฝีเท้าน่ะ หลับเถอะลูก"

ใครจะหลับลง! คุณป้าพูดจบก็ลูบมือดิฉันคล้ายจะปลอบ ก่อนจะหันหลังให้แล้วก็หลับไป ทิ้งให้ดิฉันนอนลืมตาโพลง...เสียงฝีเท้านั่นหายไปแล้ว บ้านกลับเงียบสงัดเหมือนการแสดงจบลงดื้อๆ

รุ่งเช้า ดิฉันถามคุณป้าถึงเรื่องนี้ว่ามันเสียงอะไรกัน? ในใจน่ะคิดว่าไม่ผีคุณลุงก็จ๋า หรือโจ้แน่ๆ แต่คุณป้าก็ตอบซ้ำคำเก่าว่า...มันก็แค่เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันได ไม่มีอะไรมากกว่านั้น! และมันเป็นเช่นนี้ทุกคืนตอนห้าทุ่มยี่สิบ...ตรงเวลาเป๊ะ!

ดิฉันทนได้แค่ 3 คืนก็ขออำลา โดยหาคนมานอนเป็นเพื่อนคุณป้า แต่ท่านบอกว่าอยู่คนเดียวได้ ไม่กลัว

เรื่องนี้คุณแม่เฉลยให้ดิฉันฟังว่า เมื่อ 10 ปีก่อน คุณลุงเกิดไปได้ลูกสาวแม่ครัว อายุของเด็กคนนั้นแค่ 16 ปี เธอตั้งครรภ์และคุณป้าส่งเธอไปทำแท้ง! ตอนนั้น อายุครรภ์ได้ 5 เดือน เด็กคนนี้ถูกส่งกลับบ้านนอกด้วย แม่ครัวขอลาออก

ทางนี้รู้ข่าวว่าหลังจากกลับไปอยู่บ้านนอกกับยายได้ไม่ถึงเดือน เด็กสาวก็ตายเพราะมดลูกติดเชื้ออย่างแรง!

มิน่าเล่า...คุณลุงถึงสติแตก คุณป้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กระด้าง....

คุณแม่เล่าว่า เสียงฝีเท้านั้นดังมานานมากแล้ว ตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นตาย คุณป้าบอกให้คุณแม่ทราบเรื่องนี้ และบอกด้วยว่าไม่กลัวหรอกเพราะผีสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้แค่นั้นแหละ ไม่ได้ทำร้ายหรือเป็นอันตรายอะไร

"มันก็แค่เสียงฝีเท้าขึ้นบันไดมา!" คุณป้าใจเด็ดจริงๆ

เสียงฝีเท้าหายไปนานและกลับมาอีกเป็นพักๆ คนที่ได้ยินมักจะเป็นคุณลุงกับคุณป้า ส่วนจ๋าและโจ้ไม่เคยได้ยินเลย

แล้วเรื่องความตายของคุณลุง จ๋าและโจ้ล่ะ มันเกิดจากวิญญาณอาฆาตหรือสาปแช่งหรือเปล่า? ดิฉันตอบไม่ได้จริงๆ ค่ะ

คุณป้าบอกขายบ้านหลังนั้นได้แล้ว ท่านกำลังจะย้ายมาอยู่กับเราในอีกไม่กี่วันนี้ล่ะค่ะ ดิฉันสงสัยว่าเสียงฝีเท้านั้นจะตามคุณป้ามาไหมนะ? ต้องภาวนาว่าขอให้วิญญาณทุกดวงจงไปสู่สุคติเถอะค่ะ! 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 10 กรกฎาคม 2550

09 กรกฎาคม 2558

ขึ้นจากหลุม

"คนสุรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากใต้ร่มกระบก

สมัยเด็ก ผมอยู่บ้านช่องจอม อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ แดนดินถิ่นปราสาทขอม มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี เรื่องผีๆ สางๆ มีเยอะครับ ดูเหมือนว่าเกิดมาพวกผมก็เจอผีกันเสียแล้ว

ไม่ว่าผีบ้านผีป่ามีทั้งนั้น เขาว่าเมืองเก่าแก่ย่อมจะมีวิญญาณสิงสู่อยู่มากมาย คอยหลอกหลอนมนุษย์เพื่อจะกินเครื่องเซ่น ทำให้ต้องทำพิธีเซ่นผีบ้าง ไล่ผีบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะได้ผลจริงๆ ซะที สงสัยจะเป็นวิญญาณเฮี้ยน ดุร้ายสุดๆ นะครับ ขนาดตายเป็นร้อยปีพันปีก็ยังไม่รู้จักไปผุดไปเกิด คอยตั้งหน้าตั้งตาหลอกหลอนผู้คนอยู่ได้

ยิ่งพวกเขมรรบกันหนัก เขมรแดงมาหลบอยู่แถวชายแดน ถูกฝ่ายรัฐบาลโจมตีจนล้มตายมากมาย แต่พวกเขมรแดงก็ตอบโต้อย่างดุเดือดไม่แพ้กัน

ยิ่งตายมาก ผีก็ยิ่งดุมากน่ะซีครับ!

พวกเราน่ะชินชาเสียแล้ว ได้ยินเสียงปืนตูมตามบ่อยครั้ง ทหารของเราก็คอยเฝ้าปกป้องดินแดนเต็มที่ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้รุกล้ำเข้ามาหรอกครับ ตอนเช้าๆ เราก็เปิดด่าน ให้พ่อค้าแม่ขายไปมาหาสู่กันได้ตามสะดวก

ทางฝั่งเราอยู่สูงกว่าทางเขมร หน้าแล้งค่อนข้างกันดารน้ำ ผักหญ้ามักจะปลูกไม่ค่อยได้ แต่มีพ่อค้าเอาผักจากศรีสะเกษมาขายทุกวัน ส่วนการทำไร่ทำนาไม่ต้องพูดถึงคนอีสานอย่างพวกผมมีน้ำอดน้ำทนแค่ไหนก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว

แถวบ้านผมไม่ว่าช่องจอม บ้านด่านหรือบ้านปวงตึก มักจะนิยมเลี้ยงเป็ดกันเพราะเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดีอีกต่างหาก

น่าแปลกอยู่ที่ลูกค้ารายใหญ่กลับไม่ใช่คนไทยหรอกครับ แต่เป็นพวกเขมรที่ชอบกินไข่เป็ดมากกว่าไข่ไก่ ขับรถข้ามแดนมาซื้อถึงเล้าเลยแหละ แถมไม่จู้จี้เหมือนลูกค้าคนไทยด้วย แตกนิดบุบหน่อยก็ไม่เอา...ลูกค้าเขมรไม่เคยปริปากต่อว่า ขนซื้อไปขายคึ่กๆ เราก็เลยมีลูกค้าเขมรมากกว่าคนไทยเป็นธรรมดา!

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเพราะตายายคู่หนึ่ง คือตาเพ็ญกับยายลออมีเป็ดเล้าใหญ่อยู่ใกล้ๆ บ้านผม แกเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งฝูงใหญ่ แถมมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่หลังบ้านด้วย สองผัวเมียนี่อยู่กันตามลำพังเพราะลูกเต้า 2 คนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ นานปีทีหนถึงจะกลับบ้าน

พวกเด็กๆ มักกลัวตาเพ็ญเพราะแกหน้าบึ้งตึง นัยน์ตาดุจนชาวบ้านเรียกแกว่า "ตาเพ็ญตาเสือ"

ตอนเย็นๆ ตาเพ็ญจะนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียวมาซื้อเหล้าที่ร้านเจ๊กฮงใกล้ตลาด เห็นรอยสักตามหน้าอกและแผ่นหลังเป็นอักขระสีดำมืด กลมกลืนกับผิวของแกเพราะตาเพ็ญไม่ชอบใส่เสื้อ ดูเหมือนแกจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร ตกค่ำเมาเหล้าก็ทะเลาะกับเมียเสียงโหวกเหวกเป็นประจำ

ยามค่ำคืน มีคนเห็นตาเพ็ญนั่งสูบยาแดงวาบๆ อยู่ใต้ต้นกระบกหน้าเล้าเป็ด ถ้าใครหยุดมองแกจะลุกพรวดขึ้นยืน มือถือมีดขอคมปลาบ เล่นต้องเผ่นหนีไปตามๆ กัน ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก

ดูเหมือนตาเพ็ญจะคบแต่พวกเขมรที่เป็นลูกค้าขาประจำเท่านั้นเอง!

ก่อนจะเกิดเหตุร้าย มีคนผ่านไปทางนั้นแต่กลับไม่เห็นตาเพ็ญมานั่งสูบยาที่ใต้ต้นกระบกตามเคย แต่กลายเป็นยายลออมานั่งแทนที่ พอเข้าไปทักทายแกกลับสะบัดหน้าหนี เลยเอามานินทาว่าผัวเมียคู่นี้ไม่เอาเพื่อนบ้านพอๆ กัน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังมาจากบ้านตาเพ็ญตามเคย ไม่ช้าก็มีเสียงยายลออมาร้องไห้พะอืดพะอมที่ใต้ต้นกระบก...สายลมกระโชกแรงจนได้ยินเสียงนั้นชัดเจนเหมือนแกมาร้องไห้อยู่ใกล้ๆ บ้านนี่เอง!

ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที! จู่ๆ หมาเจ้ากรรมที่โก่งคอหอนโหยหวน บรรยากาศน่าวังเวงจนผมขนลุก แม่ผมบ่นว่าอยากไปดูยายลออหน่อยว่าแกเป็นอะไร แต่พ่อห้ามไว้ว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าไปดูเลย

ตั้งแต่นั้นมา เสียงยายลออก็มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่ต้นกระบกติดๆ กันถึง 3 คืน จนพ่อแม่อดรนทนไม่ไหว ต้องชวนกันออกจากบ้านไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น?

ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องสลัว ลมหนาวพัดวู่หวิวราวจะแทรกเนื้อหนังลงไปถึงกระดูก เสียงหมาเห่าหอนน่าขนลุก มองไปที่บ้านอื่นก็ดับไฟนอนกันหมด พ่อผมฉายไฟวูบวาบไปที่ต้นกระบก แต่ก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก

จนกระทั่งถึงจุดหมาย!

ลำแสงของไฟฉายส่องจ้าไปกระทบร่างดำๆ ของยายลออ...แต่แกไม่มีหัว! เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง ผวาไปกอดแขนแม่ แต่พอเรียกชื่อแกเบาๆ ร่างนั้นก็ขยับไปมา...อ๋อ! แกนั่งชันเข่าฟุบหน้าอยู่บนรากใหญ่ของต้นกระบก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ

คุณพระช่วย! ผมจะไม่มีวันลมภาพนั้นไปชั่วชีวิต!

ใบหน้าเล็กๆ โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ผมกระเซิงน่ากลัว นัยน์ตาดำปี๋พองโต น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มเหี่ยวแห้ง จนถึงมุมปากห้อยย้อย เสียงคร่ำครวญวู่หวิว...ช่วยด้วย...

แม่เรอเอิ๊กแล้วเป็นลมไป ผมร้องแต่ช่วยด้วยๆ ขณะที่พ่อหันมาหา...เมื่อส่องไฟฉายไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั้นเสียแล้ว

รุ่งเช้า มีคนไปพบตาเพ็ญนอนตายอยู่ข้างๆ ขวดเหล้า นัยน์ตาลืมโพลง แต่ไม่มีวี่แววของเมียแก พ่อชวนเพื่อนบ้านไปที่โคนต้นกระบกก็เห็นหลุมที่เพิ่งกลบได้ไม่นาน...ศพที่กำลังเน่าของยายลออถูกฝังอยู่ที่นั่นเอง

วิญญาณแกมาร้องไห้จนเราได้ยินก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมตาเพ็ญฆ่าเมียแล้วเอาศพไปฝัง ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร? พ่อกับแม่ได้ยินผมถามเรื่องนี้ก็ได้แต่สบตา แล้วถอนใจยืดยาว...แปลกจริงๆ ครับ! 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 9 กรกฎาคม 2550

06 กรกฎาคม 2558

แรงปีศาจ

"ทิพย์พรรณี" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวิญญาณพี่สะใภ้

พี่รุ่ง-พี่สะใภ้ดิฉันเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิตมาก เธอมีลูกสาวอายุ 7 ขวบกับ 5 ขวบ น้องพิมกับน้องพลอย ซึ่งเธอรักเป็นชีวิตจิตใจ มุ่งหวังอย่างแรงที่จะให้ลูกมีอนาคตที่ดี พูดตรงๆ ก็คือเธอตั้งความหวังไว้สูงมาก ส่งลูกๆ เข้าโรงเรียนที่เธอเห็นว่าเป็นเลิศ แม้ค่าเล่าเรียนจะแพงเท่าไหร่ก็ยอม

เธอจึงทำงานหนักสุดชีวิต ไขว่คว้าทุกอย่างที่เป็นเงินเป็นทอง แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงกะทันหัน!

นอกจากจะทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แล้ว พี่รุ่งยังเป็นนายหน้าขายที่ดิน และเป็นตัวแทนขายประกันด้วย แต่แม้ว่าจะได้ค่าจ้างและเงินเดือนมากมายสักเท่าไหร่ เธอก็ยังไม่พอ จนทำให้เครียดและบ่นเสมอว่าเงินไม่พอ

ดิฉันไม่ทราบหรอกค่ะว่าเธอมีเท่าไหร่ รู้แต่พี่รุ่งซื้อของแพงๆ หาอาหารแพงๆ ปรนเปรอลูกๆ และตัวเอง ขณะเดียวกันก็พร่ำบ่นว่าพี่ชายของดิฉันอ่อนแอ ทำงานหาเงินได้น้อยนิด มีดีแต่ทรัพย์สินที่ดิน ที่แม่ของดิฉันยกให้ไว้ก่อนที่จะแต่งงานกับเธอ

พี่รุ่งร่ำๆ อยากจะขายมันเร็วๆ ติดอยู่แต่พี่ชายดิฉันยังไม่ยอมขาย

เมื่อก่อน พี่รุ่งอยู่กับเราในบ้านหลังใหญ่ ที่มีกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่พอลูกคนโตเกิดมาได้ไม่นานเธอก็ไปซื้อบ้านในหมู่บ้านที่มีแต่คนร่ำรวยอยู่ แถวๆ บางนา...ไกลจากพวกเรา ไกลจากที่ทำงาน พวกเราเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ต้องขับรถกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ของเธอ

บอกแล้วว่าพี่รุ่งมีธุรกิจมากมายไปหมด!

และแล้ว สิ่งที่เราเป็นห่วงมาตลอดก็กลายเป็นจริงจนได้...พี่รุ่งหลับใน รถพุ่งชนต้นไม้ เธอไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

แน่ล่ะค่ะ พวกเรากลัวผีกันแทบตาย ขนาดอาบน้ำคนเดียวดิฉันยังไม่กล้าเลย ต้องให้พี่สาวอีกคนมาอยู่หน้าประตูห้องน้ำเป็นเพื่อน เพราะเราเชื่อว่าพี่รุ่งตายขณะที่จิตใจยังเป็นกังวลว่า...สิ่งที่เธอมุ่งมาดปรารถนานั้นยังไม่บรรลุผล

เธอเคยบอกดิฉันว่าจะทำเงินในบัญชีวิตไว้มากๆ ดิฉันถามว่าเท่าไหร่ล่ะที่พี่รุ่งว่ามากน่ะ? เธอตอบว่าเป็นร้อยล้านถึงจะทำให้เธอสบายใจได้!

ดิฉันนับถือพี่รุ่งในความมุ่งมั่น และเชื่อว่าเธอต้องทำได้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจหากเธอยังมีชีวิตอยู่ และด้วยเหตุนี้เช่นกัน ที่ทำให้ดิฉันมั่นใจว่าวิญญาณพี่รุ่งยังไม่สงบ

คืนที่เกิดอุบัติเหตุนั้นเกือบจะสองยามแล้วค่ะ!

พี่ชายของดิฉันยังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ น้องพิมน้องพลอยหลับอยู่ในห้อง ส่วนคำกับอ้อย สองสาวใช้ก็ดูทีวีอยู่ในห้องของพวกเธอ ทุกคนคือ คำ อ้อย และพี่ชายของดิฉันเล่าว่า ได้ยินเสียงรถพี่รุ่งเข้ามาในบ้านเหมือนปกติทุกอย่าง คำกับอ้อยแน่ใจว่าพี่รุ่งขับเข้าโรงรถเรียบร้อยดังเช่นทุกคืน แล้วก็เปิดประตูเข้าบ้าน

พี่ชายดิฉันได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันได เดินไปที่ห้องนอน พ่อแม่ลูกจะนอนรวมกันในห้องใหญ่ เลยห้องทำงานของพี่ชายไปค่ะ...จากนั้น ทุกอย่างก็เงียบกริบ

สิบห้านาทีต่อมา พี่ชายถึงได้รู้ว่าไม่มีพี่รุ่งอยู่ในบ้าน และเมื่อลงไปดูที่โรงรถก็ปราศจากวี่แวว ทั้งที่คำกับอ้อยยืนยันว่าพี่รุ่งมาถึงบ้านนานแล้ว! ตอนนั้นแหละที่ทุกคนมองหน้ากัน และสังหรณ์ถึงเหตุร้ายแรง ราวตีสองถึงได้ทราบข่าวร้าย...

เมื่อพี่ชายดิฉันไปถึงโรงพยาบาล พี่รุ่งก็สิ้นใจแล้ว!

ในที่ทำงานของพี่รุ่งตอนเช้าตรู่ ยามเล่าว่าเห็นพี่รุ่งขับรถมาทำงานตามปกติ ยามยังคิดว่าวันนี้เธอมาทำงานแต่เช้าเชียว

คนในบริษัทไม่เชื่อว่าพี่รุ่งตาย เพราะเช้านั้นมีหลายคนเห็นเธอจริงๆ แต่เหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดคือเรื่องของเจี๊ยบ-ลูกน้องของพี่รุ่งเอง

พี่เจี๊ยบเล่าว่า เช้านั้นราวเจ็ดโมงเช้า พี่เจี๊ยบไปถึงที่ทำงานก็กดลิฟต์ พอลิฟต์เปิดเธอเห็นพี่รุ่งยืนอยู่ตรงมุมด้านใน เธอยังสงสัยว่าทำไมพี่รุ่งยืนอยู่ในลิฟต์ แต่กระนั้นพี่เจี๊ยบก็ยังทัก และก้าวเข้าลิฟต์ ประตูปิด ลิฟต์เลื่อนช้าๆ ขึ้นไปยังชั้นที่ 15...

ระหว่างนั้น พี่รุ่งยืนก้มหน้า พี่เจี๊ยบถามว่าไม่สบายหรือเปล่า? พี่รุ่งเงยหน้าขึ้น...ใบหน้าเหมือนคนปกติ พี่เจี๊ยบเลยเพ่งมอง ปรากฏว่าใบหน้านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ พี่รุ่งเหลือบตาดำขึ้นข้างบนเห็นแต่ตาขาว ขณะที่ลิ้นสีซีดๆ แลบออกจากปาก...

พี่เจี๊ยบหวีดร้องบอกว่าพี่รุ่งเล่นอะไรไม่รู้ น่ากลัวจัง!

ขณะเดียวกัน ประตูลิฟต์ก็เปิดออก พี่เจี๊ยบวิ่งหนีออกมา ใจหนึ่งคิดว่าพี่รุ่งแกล้ง อีกใจหนึ่งก็นึกว่า...คนอะไรทำเป็นผีได้เหมือนจริงๆ

สายวันนั้น พอรู้ข่าวการตายของพี่รุ่ง พี่เจี๊ยบถึงกับลมใส่ เป็นไข้ไปเลย...เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาในบริษัทมาก เขาเอามาเล่ากันขรมในงานศพ ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

น้องพลอยเองก็เถอค่ะ ขณะที่พระสวดจบแล้ว แขกเหรื่อยังนั่งคุยกันอยู่เธอหายเข้าไปข้างหลังโลงศพ เด็กน้อยอายุ 5 ขวบไม่รู้หรอกค่ะว่าความตายคืออะไร...น้องพลอยหัวร่อร่า บอกว่าแม่พาเข้าไปตรงนั้น!

ทุกวันนี้ ครบรอบหนึ่งปีการตายของเธอแล้ว พี่ชายดิฉันยังอยู่ที่บ้านนั้นกับลูกๆ โดยมีคุณแม่พี่รุ่งไปอยู่เป็นเพื่อน คำกับอ้อยก็ยังทำงาน ไม่ได้ลาออกไปไหน เงินที่พี่รุ่งเก็บไว้รวมกับค่าประกันอีกมากมาย มีพอสำหรับอนาคตน้องพิมน้องพลอยอย่างสบาย

พี่ชายของดิฉันก็ยังทำงานหาเงินอย่างเพียงพอ วิญญาณพี่รุ่งน่าจะสงบ แต่ยังค่ะ ดิฉันยังรู้สึกว่าเธอไม่ได้ไปไหน...แต่วนเวียนอยู่ในบ้านนั้น

สักวันหนึ่ง ดิฉันหวังว่าวิญญาณพี่รุ่งจะปล่อยวางจากสิ่งที่เธอยึดติด และไปสู่สุคติได้ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 6 กรกฎาคม 2550

05 กรกฎาคม 2558

ไปสู่ชะตากรรม

"บุญประคอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกคำทำนายมรณะ

ดิฉันเคยพบกับเรื่องแปลกประหลาด น่าหวั่นหวาดและแสนสยดสยองที่สุดในชีวิต แต่ก็ไม่อาจจะหาคำตอบได้ว่า มันเป็นเรื่องภูตผีปีศาจ หรือความเร้นลับที่น่าขนลุกขนพองอย่างไม่เคยประสบมาก่อน...หรือว่า มันเป็นเรื่องของชะตากรรม เป็นพรหมลิขิตที่กำหนดเส้นทางของชีวิตมนุษย์ไว้แล้ว โดยที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ

เปิ้ล - เพื่อนรักของดิฉันคือเหยื่อของมันค่ะ!

เราทำงานที่บริษัทการเงินแห่งหนึ่งแถวอโศก และเช่าห้องอยู่ด้วยกันในย่านทองหล่อ เอกมัย โดยที่ต่างคนต่างอยู่มาก่อน แต่ด้วยความสนิทสนมรักใคร่กัน กับที่อยู่เดิมของเราค่อนข้างไกลจากที่ทำงาน เมื่อมาได้หอพักแห่งใหม่ทำให้ไปกลับได้สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาโหนรถเมล์วันละ 2-3 ชั่วโมงอีกแล้ว

เปิ้ลเป็นลูกครึ่งจีนค่อนข้างสวย ร่างเล็กแต่สมส่วน ดูบอบบางแต่แข็งแรง...เชื่อเรื่องลี้ลับ ชอบดูดวงเป็นประจำ แล้วเชื่อถือเป็นตุเป็นตะ...แต่ถือว่าเป็นธรรมดาของผู้หญิงส่วนมากนะคะ

ก่อนจะเกิดเรื่องสยองขวัญ มันเริ่มที่เปิ้ลเล่าว่า ห้องพักของเรามีอะไรบางอย่างแฝงตัวอยู่ เพราะเธอเคยเห็นเงาวูบๆ วาบๆ บ่อยครั้ง ที่หน้าต่างบ้าง ห้องน้ำบ้าง บางทีก็เห็นรูปเงาแปลกๆ ในกระจก รู้สึกเหมือนมีใครคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา

ตรงกันข้าม ดิฉันที่อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ กลับไม่เคยเห็นอะไรเลย!

ต้องยอมรับว่า เรื่องที่เปิ้ลเล่าทำให้ใจคอไม่ดีเหมือนกัน ได้แต่ปลอบโยนเธอว่าคงจะอุปาทานไปเอง ไม่มีอะไรหรอก เปิ้ลก็ได้แต่พยักหน้า กลืนน้ำลาย เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง เล่นเอาดิฉันพลอยขนลุกซ่าอย่างช่วยไม่ได้

ต่อมา เปิ้ลก็เล่าว่าเธอฝันเห็นผู้ชายร่างผอมดำผู้หนึ่งมานั่งจ้องมองที่หน้าต่าง เมื่อสะดุ้งตื่นก็ยังเห็นร่างเลือนๆ ก่อนจะจางหายไป

เช้าวันหนึ่ง เปิ้ลตื่นขึ้นมานั่งซึมที่โต๊ะกินข้าว ดิฉันอาบน้ำแต่งตัวพร้อมที่จะไปทำงาน แต่เปิ้ลทำตาแดงๆ บอกว่า ฝันเห็นผู้ชายคนนั้นมาบอกว่า...วันนี้อย่าออกไปไหน ไม่งั้นจะตายโหง!

ดิฉันทั้งโมโหทั้งอดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าอย่าเชื่อความฝันเหลวไหลเลยน่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะหยุดงาน หัวหน้าต้องโกรธแน่ๆ ถ้ารู้ว่าลางานเพราะเรื่องไร้สาระ! แต่เปิ้ลน้ำตาไหลพราก หน้าขาวซีด กอดอกตัวสั่นเทา ปากสั่นระริก ได้แต่ส่ายหน้า จ้องมองอย่างวิงวอนจนดิฉันใจอ่อน...ตกลงออกจากห้องพักเพื่อไปรอรถเมล์ที่ปากซอยเพียงคนเดียว

เพียงแต่ก้าวพ้นประตูรั้วออกไปเท่านั้น ดิฉันก็แทบช็อกคาที่!

มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งก็พุ่งมาจากข้างหลัง เฉียดร่างดิฉันหวุดหวิดเสียหลักเข้าชนเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งเต็มรัก ได้ยินเสียงหวีดร้อง เห็นทั้งคนทั้งรถล้มระเนระนาด เด็กชายนอนแน่นิ่ง เลือดนองถนน...คนขี่มอเตอร์ไซค์ลุกขึ้นมาประคองเด็ก ผู้คนเข้ามามุงดูขณะที่ดิฉันตาพร่า ใจเต้นระทึกไม่หาย

เด็กเคราะห์ร้ายถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ดิฉันเดินใจสั่นไปที่ปากซอย แข้งขาแทบหมดแรง...ถ้าเปิ้ลออกมาพร้อมๆ กันล่ะ?

"ถ้าเขาไม่ห้ามไว้เปิ้ลคงตายแน่ๆ" เธอระล่ำระลักเมื่อพบกันตอนเย็น ดิฉันได้แต่กลืนน้ำลาย พูดอะไรไม่ออก...มันอาจจะเป็นการบังเอิญก็ได้ จริงไหมคะ?

วันรุ่งขึ้น เราก็ออกไปทำงานด้วยกันตามปกติ หัวหน้าถามเปิ้ลนิดหน่อย แต่เมื่อเห็นหน้าซีดๆ นัยน์ตาลึกโหล ยังมีแววหวาดกลัวก็คิดว่าเข้าใจ เตือนให้ดูแลสุขภาพด้วย

อาทิตย์ต่อมา เปิ้ลก็ฝันร้ายอีกแล้วค่ะ!

"อย่าออกจากบ้าน ไม่งั้นจะตายโหง!" คือคำบอกเล่าของชายผิวดำที่มาเข้าฝัน แม้ดิฉันจะปลอบใจเท่าไหร่ก็ไร้ผล...วันนั้นตอนเย็นงานเลิกก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อ ลิฟต์จากชั้นสี่เกิดค้าง ดิฉันกับคนอื่นๆ ติดอยู่ในลิฟต์เกือบ 15 นาทีแน่ะ...

ถึงเปิ้ลจะมาติดอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร!

"ใครว่าล่ะ?" เปิ้ลร้องเสียงแหลมเมื่อดิฉันเล่าเรื่องให้ฟัง "เปิ้ลทั้งเป็นโรคหัวใจ ทั้งกลัวที่แคบ พอลิฟต์ติดเปิ้ลก็คงช็อกตายคาที่แล้ว"

ถัดมาอีกเจ็ดวัน ผีร้ายนั่นก็มาเข้าฝันอีกแล้ว ห้ามออกจากห้องตามเคย!

คราวนี้ดิฉันได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นใจ เมื่อคนเราเชื่อมั่นในสิ่งใดอย่างฝังหัวก็ควรปล่อยเลยตามเลยดีกว่า...อีกใจหนึ่งก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าถ้าเปิ้ลออกจากห้องพักมาทำงานตามปกติจะมีอะไรเกิดขึ้น

จนกระทั่งตกเย็น ดิฉันออกมายืนรอรถเมล์ท่ามกลางผู้คนหลายสิบ จู่ๆ ก็มีรถเมล์คันหนึ่งเสียหลักพุ่งทะยานเข้าใส่ เสียงหวีดร้องแสบแก้วหูทำให้ทุกคนหันขวับไปดูก่อนจะแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางเหมือนผึ้งแตกรัง

เสียงโครมสนั่น! รถเมล์พุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าสิ้นฤทธิ์...มีคนโดนเฉี่ยวลงไปนอนจมกองเลือด 3 คน เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ทำให้ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

นี่มันนรกจกเปรตอะไรกัน? ถ้าเปิ้ลมาด้วยจะเกิดอะไรขึ้น?

อาทิตย์ต่อมา เปิ้ลก็ฝันสยองตามเคย ดิฉันเองก็พลอยขนลุกขนพองไปด้วย ในสมองมีคำพูดของเธอกึกก้อง...อย่าออกไปไหน วันนี้เป็นวันตายของเธอแล้ว!!

ดิฉันไม่ได้ปลอบใจหรือคะยันคะยอเปิ้ลอีกเลย แต่งตัวไปทำงานคนเดียว รู้สึกสยองอย่างบอกไม่ถูก...แต่วันนั้นไม่ได้มีเหตุการณ์น่าขนลุกอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งกลับถึงห้องพักก็เห็นเปิ้ลนอนตายอยู่บนเตียงเพราะเชือดคอตัวเอง

มีจดหมายสั้นๆ เขียนไว้ว่า...ขอกำหนดชะตากรรมตัวเองดีกว่าคอยให้ผู้อื่นมาบงการ!!...นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 5 กรกฎาคม 2550

04 กรกฎาคม 2558

เจ้าของห้อง

"ภูธน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านผีสิง

ผมซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านเสรี หัวหมาก เมื่อพ.ศ.2540 ที่ซื้อเพราะผมชอบแปลนบ้านและวิธีปลูกสร้างของช่างสมัยก่อน ที่มั่นคงแข็งแรง และมีความละเอียดละออกว่าช่างสมัยนี้มากนัก

บ้านหลังนี้ปลูกเมื่อราว พ.ศ.2520 โน่นแน่ะครับ เห็นว่าเจ้าของขายเพราะย้ายไปอยู่เมืองนอกกันทั้งครอบครัว

ตอนซื้อบ้านผมอายุ 45 ปี เป็นอาจารย์สอนหนังสือเช่นเดียวภรรยาซึ่งมีอายุเท่ากัน เรามีลูกสาวคนหนึ่งชื่อนิด อายุ 17 และหนุ่ม ลูกชายวัย 14

สมาชิกในบ้านยังมีแม่ยายซึ่งทำกับข้าวอร่อยมาก ทำเอาเราอ้วนกันทุกคน มีสาวใช้วัย 20 ชื่อเอี้ยง รวมแล้ว 6 คน นับเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเชียวล่ะครับ ลูกๆ เราเรียนดี เป็นเด็กดีที่เราภูมิใจ นี่ถ้ายายนิดไม่อ้วนเป็นโดราเอม่อนล่ะก็ ผมจับประกวดนางสาวไทยไปแล้ว เพราะเธอมีนิสัยรักเด็กทุกคนในโลก ยกเว้นน้องชายตัวเอง

ขนาดให้นอนคนละห้องแล้วยังอดทะเลาะกันไม่ได้ เจ้าหนุ่มตัวดีเริ่มก่อนทุกที ชอบยั่วพี่เขาดีนัก

วันหนึ่ง หลังจากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านนี้ได้เดือนเศษ หนุ่มก็มาบ่นที่โต๊ะกินข้าวตอนเช้าว่า เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะมีใครไม่รู้มาดึงผ้าห่มไปทางปลายเท้าทั้งคืน!

ขาดคำหนุ่ม นิดก็มองน้องตาเขียว เธอคิดว่าน้องแกล้งอำว่ามีผี พี่สาวจะได้กลัว ฝ่ายหนุ่มก็หัวเราะขำๆ ผมกับภรรยาเลยคิดว่าไม่มีอะไรมาก

คืนนั้นเอง ลูกนิดมาเคาะห้องผมกลางดึก บอกว่าเตียงสั่นจนนอนไม่ได้...แม่เขาถามว่าฝันร้ายหรือเปล่า? นิดทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ เธออธิบายว่า ก่อนจะเคลิ้มหลับ เตียงก็กระตุกจนร่างเธอกระดอนขึ้น เหมือนมันมีชีวิตขึ้นมาซะยังงั้น

ตอนแรกคิดว่าเป็นอาการของคนกำลังจะหลับ แบบกระตุกทั้งร่างน่ะครับ แต่พอนอนลงมันก็เป็นอีก!

ผมมองหน้าลูกก็รู้ว่าเธอพูดจริง และกำลังกลัวด้วยสิ! ผมก็เลยให้ลูกเอาหมอนกับผ้าห่มมานอนหน้าเตียง เอาที่นอนปิกนิกมาปู

สัปดาห์ถัดมา ทั้งนิดและหนุ่มมานอนหน้าเตียงพ่อแม่เป็นการถาวร!

ถึงตอนนี้ผมชักคิดล่ะสิว่า...บ้านนี้มีผีสิงเหรอ?!

ภรรยาของผมซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมเชื่อเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ เธอเลยอยากพิสูจน์โดยไปนอนที่ห้องของนิด

คืนแรกไม่มีอะไรหรอกครับ นอกจากแอร์ห้องนั้นหนาวจัด แม้จะปรับลงมามากแล้วก็ตาม

ภรรยากระซิบบอกผมว่า ห้องของนิดมีปรากฏการณ์ประหลาดจริงๆ เตียงมันโยกได้คล้ายเรือที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เธอรู้สึกถึงอาการนี้ขณะกำลังใกล้หลับ ก็เลยตื่นขึ้นเต็มตา และรอดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ปรากฏว่าที่ประตูห้องนอนมีแสงสว่างสีเขียวเรืองๆ สว่างขึ้นเป็นรูปไข่ จะว่าเป็นแสงสะท้อนมาจากภายนอกก็ไม่ใช่

ที่ร้ายกว่านั้นคือ ในห้องนอนของลูกนิดเกิดมีหมอกประหลาด มัวไปทั้งห้องอย่างน่าตกใจ และผมยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากสายไฟชำรุด หรืออะไรทำนองนั้น

ในที่สุด เรื่องเร้นลับก็ลามมาถึงห้องของผม!

มันเริ่มจากความหนาวจนสะท้าน ผมหนาวเหมือนมีอะไรผ่านเข้ามาในร่าง มันน่ากลัวมากครับ และที่น่าแปลกก็คือ ในห้องของแม่ยายและสาวใช้ไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เลย ทั้งสองคนหลับสบาย แต่ชักหวาดๆ เมื่อฟังเรื่องประหลาดจากเรา

คืนหนึ่ง ผมหนาวสะท้านจนต้องตื่นขึ้นมานั่งสั่นอยู่คนเดียว ขณะที่ลูกๆ และภรรยากำลังหลับสนิท และแล้ว...ผมก็เห็นแสงสว่างสีเขียวเป็นรูปไข่ ค่อยๆ เรืองแสงขึ้นที่ฝาผนังห้อง

ผมจ้องมองดูด้วยใจระทึก แล้วก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งอยู่กลางแสงเรื่องนั้น ใบหน้าเธอขาวซีด ดวงตาดำ ไม่เห็นตาขาวเลย ปากก็ดำสนิท เธอปรากฏตัวอยู่ไม่ถึงนาที ก็ค่อยๆ จางไปพร้อมกับแสง

ที่ไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริงก็เริ่มเชื่อแล้วล่ะครับ!

ผมติดต่อกับคนที่ขายบ้านนี้ให้ผม เขาสารภาพว่า บ้านหลังนี้เจ้าของเดิมเป็นนักธุรกิจ เป็นคนดุและเข้มงวด มีลูกสาววัยรุ่นที่เขาเคี่ยวเข็ญจะให้เรียนแพทย์ให้ได้ แต่เด็กคนนี้เรียนไม่เก่ง คะแนนไม่ถึงที่จะเรียนสายวิทย์ เธอทำให้คุณพ่อโมโหโกรธาที่ไม่ได้ดั่งใจ เด็กสาวน้อยใจและผูกคอตายในห้องนอนที่ตอนนี้เป็นห้องของนิด

ตอนนั้นผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกเมียฟังเลย ได้แต่คิดแล้วคิดอีกว่าจะทำยังไงดี? จะย้ายบ้านหรือก็ยุ่งยาก เงินผมก็ไม่มีพอที่จะขนย้าย หรือซื้อบ้านใหม่หรอกครับ

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจได้ในกลางดึกคืนหนึ่ง...

นั่นคือ ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นตามลำพัง นั่งลงบนเตียง แล้วตั้งต้นพูดกับวิญญาณเด็กสาว เหมือนครูที่กำลังให้คำปรึกษา ปลอบโยนลูกศิษย์ด้วยความเข้าใจและเห็นใจ ที่สำคัญคือรักและเมตตา!

เชื่อไหมครับ วิญญาณเธอสงบ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มาหลอกหลอนเลย เหมือนเธอไปสู่สุคติแล้ว

หลายปีต่อมา นิดกับหนุ่มโตขึ้นและกลับไปอยู่ห้องของตัว...ปัจจุบันนี้นิดแต่งงานแยกบ้านไปแล้ว หนุ่มยังอยู่กับผม...บ้านเราอบอุ่นและมีความรักเสมอครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 4 กรกฎาคม 2550

03 กรกฎาคม 2558

วิญญาณฝาแฝด

"ณิชมน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสวนทับกวาง

บ้านหลังนั้นถึงจะเป็นบ้านเก่า แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนักหนา ที่สำคัญมันเป็นบ้านของสามีดิฉันเองค่ะ แม้จะมาที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ดิฉันก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่สามี พี่สาวและคุณป้า

น่าแปลกที่ตลอดเวลานั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองและเดินตามทุกฝีก้าว จากผู้ที่มองไม่เห็นร่างกาย!

หลังจากดิฉันรู้จักกับเมฆได้ปีกว่าๆ เราก็แต่งงานกัน ครอบครัวของเขาดีทุกคน คุณพ่อคุณแม่เป็นชาวสวนอยู่แถวทับกวาง มีบ้านเป็นเรือนไม้หลังใหญ่กลางแมกไม้ร่มรื่น เมื่อแต่งงานกันได้สองเดือน สามีก็พาดิฉันมาพักที่นี่ในวันหยุดสุดสัปดาห์...ดิฉันชื่นชมความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และความใจดีมีเมตตาของทุกคนในบ้านมากเลยค่ะ

คู่ครองของดิฉันมีน้องชายฝาแฝดด้วย ชื่อหมอก น่าเสียใจที่หมอกเสียชีวิตไปแล้วเมื่อตอนอายุ 27 ก่อนที่เมฆจะรู้จักดิฉันได้แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง!

เมฆเล่าว่า หมอกอ่อนแอมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะเคยเป็นไข้ปอดบวม จากนั้นหมอกก็เป็นหืดหอบ น่าสงสารมาก เขาเป็นๆ หายๆ ต้องหาหมอคนจนเบื่อ ในที่สุด โรคหอบก็คร่าชีวิตเขาไปจนได้ ดิฉันทราบรายละเอียดเพียงเท่านี้

ว่ากันว่า ฝาแฝดนั้นมีสายใยผูกพันกันมาก เมฆกับหมอกก็เช่นกัน!

ตอนเด็กๆ เขาเรียนที่ต่างจังหวัดด้วยกัน แต่เมื่อจบชั้นมัธยม เมฆก็ได้ทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย ขณะที่หมอกผู้เจ็บออดๆ แอดๆ เลือกที่จะช่วยงานพ่อแม่อยู่ที่บ้านสวน เขาเป็นคน "มือเย็น" คือปลูกต้นไม้ได้เจริญงอกงาม ผลิดอกออกผลเป็นที่น่าชื่นใจ เป็นกำลังสำคัญที่สร้างรายได้เข้าบ้านเป็นกอบเป็นกำ

น่าเสียดายจริงๆ ที่ดิฉันไม่มีโอกาสได้รู้จักกับหมอก ชายหนุ่มผู้รักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ!

การมาค้างบ้านสามีครั้งนี้ เรามาตั้งแต่เย็นวันศุกร์มาถึงบ้านก็ค่ำแล้ว เกือบสองทุ่มแน่ะค่ะ คุณแม่ทำกับข้าวไว้รอท่า อาหารอร่อยมาก เป็นน้ำปลิกปลาทูกับผักต้มราดกะทิ และแกงต้มยำไก่บ้าน เจริญอาหารไปตามๆ กัน

เมื่อกินข้าวเสร็จ ดิฉันก็ช่วยคุณแม่และคุณป้าล้างจาน จากนั้นก็อาบน้ำ

ห้องน้ำที่นี่อยู่บริเวณนอกชาน แม่กับพี่สาวบอกว่า ตอนกลางคืนถ้าลูกจะเข้าห้องน้ำจะต้องเดินออกมาจากห้องนอน ถ้ากลัวก็ปลุกสามีมาเป็นเพื่อน และต้องเดินอย่างระวังให้ดีเพราะมียกพื้นต่างระดับ ถ้าคนไม่คุ้นเคยอาจจะหกล้มหกลุกได้

คืนนั้นไม่มีปัญหาอะไร เพราะดิฉันหลับสนิทตลอดคืนค่ะ อากาศดีจริงๆ

ลืมบอกไปว่าตอนนั้นเป็นฤดูหนาวเดือนธันวาคม ดิฉันชอบมาก ยิ่งมาอยู่กลางสวนแบบนี้มันทั้งหอมกลิ่นต้นไม้และสดชื่นมาก มีความสุขเลยล่ะค่ะ...ยังคิดว่าต้องมาบ่อยๆ เรากางมุ้งนอนด้วย แปลกดี

คืนวันเสาร์ ราวๆ ตีสามดิฉันตื่นขึ้นมา รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำมาก เมื่อคืนดื่มน้ำเยอะไปหน่อย...

พอตื่นขึ้นมาก็ไม่อยากปลุกสามีหรอกค่ะ เพราะว่าเขากำลังหลับสนิททีเดียว ไม่เป็นไร...ดิฉันไม่กลัวหรอก! แต่เมื่อลุกออกจากมุ้งก็รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว แต่มีใครบางคนตื่นอยู่ใกล้ๆ นี่เอง!

ดิฉันมองไม่เห็น มันมืดมาก มีแต่แสงเดือนสลัวๆ บางทีอาจจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ก็ได้ ดิฉันคิดว่าชาวสวนมักจะตื่นแต่เช้ามืดเสมอ ทั้งๆที่อากาศค่อนข้างจะเย็นยะเยือกจนขนลุก

ความที่คิดนั่นคิดนี่เพลิน ทำให้ดิฉันลืมเรื่องพื้นที่ต่างระดับ เท้าจึงก้าวพลาด เสียหลัก ใจหายวูบ...วินาทีนั้นคิดว่าเราต้องล้มก้นกระแทกแน่ๆ เลย

แต่ทันใดนั้น มีวงแขนมารับตัวดิฉันไว้ พร้อมกับเสียงบอกเบาๆ ว่า...ระวัง!

เฮ้อ...สามีนั่นเอง ดิฉันไม่ได้หันไปมองหน้าเขาหรอกค่ะ...แต่มันจะใครซะอีกล่ะ จริงไหมคะ?

เขายืดแขนดิฉันไว้จนตั้งหลักได้ ดิฉันก็หัวเราะเก้อๆ พลางถามเขาว่าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่? ตะกี้ไม่ได้ปลุกเพราะเห็นว่าหลับอยู่...เขาก็หัวเราะหึๆ

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ออกจากห้องน้ำก็เห็นเงาตะคุ่มๆ

แน่ะ! เขายังรออยู่...

ร่างนั้นเดินนำหน้าเข้าไปในห้องนอน ดิฉันเดินตาม แล้วเปิดมุ้งขึ้นเตียง...เอ๊ะ! สามีดิฉันนอนกรน! อะไรกันนี่...เป็นไปไม่ได้! หรือว่าเขาแกล้ง? ดิฉันเขย่าตัวเขาเบาๆ ปรากฏว่าเขาหลับสนิทจริงๆ

ขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที...แล้วตะกี้ใครกัน?

ดิฉันใจหายวูบ และนึกวาบถึงหมอก!

จริงซิ...ร่างนั้นต้องเป็นหมอกแน่ๆ เขาเป็นฝาแฝดกัน...เหมือนกันราวกับถอดอีกต่างหาก! ทุกคนเชื่อเช่นเดียวกับที่ดิฉันคิด วิญญาณหมอกอย่างไม่มีปัญหา ที่ช่วยมาประคองดิฉันไม่ให้หกล้ม!

หลังจากนั้นเดือนหนึ่ง ดิฉันก็ทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์! ใช่แล้วค่ะ...คืนที่อยู่บ้านสวน มีชีวิตน้อยๆ อยู่ในร่างดิฉัน!!

ยิ่งทราบเช่นนี้ ดิฉันยิ่งนึกรักและขอบคุณหมอกอย่างลึกซึ้ง ไม่คิดหวาดกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย

ทุกวันนี้ลูกชายดิฉันอายุได้ขวบกว่าแล้ว และเราพากันไปค้างบ้านสวนแทบทุกเดือนเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 3 กรกฎาคม 2550

02 กรกฎาคม 2558

ป้าพริ้งกลับบ้าน

"นายตี๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้วยขวาง

ผมเป็นเด็กห้วยขวางมาแต่กำเนิด เมื่อเกือบ 30 ปีมาแล้วพ่อแม่มาซื้อบ้านจัดสรรในซอยสุดท้าย มีแต่หลุมบ่อและบึงกว้างน่าใจหาย แต่ก็สมราคาตารางวาละ 700 บาทดีหรอกครับ

เขาจัดสรรแปลงละ 50 ตารางวา พ่อผมซื้อไว้ 2 แปลง รวมเป็นเงิน 7 หมื่นบาท สมัยนั้นไม่ใช่น้อยนะครับ พ่อต้องผ่อนอยู่หลายปีกว่าจะหมด

ห้วยขวางเจริญขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ไม่กี่ปีก็ไม่เหลือความเปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป บ้านเรือนและตึกรามขึ้นสะพรั่ง รถราคึ่กๆ ที่ดินขึ้นราคาสูงลิ่ว ในสมัยพลเอกชาติชายเป็นนายกฯ น่ะ ปาเข้าไปตั้งตารางวาละ 7-8 หมื่นบาทแน่ะครับ

ก่อนจะเกิด รสช.ในปี 2534 มีพวกคนจีนจากไต้หวันและฮ่องกงมาขอซื้อถึงตารางวาละ 8-9 หมื่นบาท ตกลงขายไปหลายราย แต่มีอยู่ 4-5 รายไม่ยอมขาย จะเอาตารางวาละ 1 แสนบาท เลยไม่ได้ตกลงกัน

พ่อผมตัดขายไป 1 แปลง ตั้งแต่ตอนตารางวาละ 5 หมื่นแล้วครับ ฝากแบงก์กินดอกเบี้ยสบายแฮ คนที่ยังไม่ขายเยาะเย้ยใหญ่ว่าทิ้งเงินไปตั้งหลายล้าน ใจร้อนไปได้นี่นา!

เรื่องนี้พ่อไม่แยแส บอกว่าเราพอใจแค่ไหนก็แค่นั้น ได้ลาภแล้วอย่าโลภ...ขืนโลภมากมักลาภหาย! ปรากฏว่าพ่อผมคิดถูกครับ พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจมาถึงยุคฟองสบู่แตกคนที่เคยเกี่ยงจะเอาตารางวาละ 1 แสนบาทน่ะ แทบจะผูกคอตายไปตามๆ กัน เพราะแค่ 5 หมื่นบาทก็ไม่มีใครซื้อ

มาถึงตอนนี้ก็ยังตารางวาละ 4-5 หมื่นบาท ใครสนใจไปดูได้ เห็นมีประกาศขายหลายแปลง...แถวๆ สี่แยกเหม่งจ๋ายนี่เองครับ

อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังนะเนี่ย!

เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนราคาที่ดินพุ่งพรวดๆ เหมือนติดจรวดน่ะ มีคนมาถามมาซื้อ มาต่อรองราคาขวักไขว่เหมือนกับซื้อของกินของใช้ พวกนายหน้าเดินกันให้ว่อน ไหนจะพวกประเมินราคาอีกล่ะ

สนุกครับตอนนั้น...ไม่มีใครคิดว่าเศรษฐกิจมันจะหักมุมชนิด 360 องศา ดิ่งลงเหวได้ในเวลาไม่ช้าไม่นาน...แถมเกิดเรื่องสยองขวัญอีกต่างหาก

ป้าพริ้งเป็นนายหน้าขายที่ดินคนหนึ่ง บ้านช่องก็อยู่ในซอยเดียวกับผม แกมาเช่าบ้านอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ มีหลานสาวน่ารักคนหนึ่ง ตอนเช้าพ่อแม่ลูกก็พากันออกจากบ้าน ตกเย็นก็กลับ มีไอ้แบ๊ก-หมาดำปลอดคอยวิ่งส่งวิ่งรับเป็นประจำ

ตกสาย ป้าพริ้งก็แต่งตัวออกมั่ง แกอายุราว 50 แล้วแต่ยังมีเค้าสวย ผิวขาวแก้มอูม ดัดผมหยิกฟูแถมย้อมซะดำปี๋ ชอบนุ่งกระโปรงลายดอก สวมเสื้อสีสดใส หิ้วกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไม่เคยขาด...ได้ข่าวว่าแกเป็นโรคหัวใจแต่ก็ยังดูแข็งแรงดีนะครับ

ไม่รู้ว่าป้าพริ้งไปไหน? บางทีก็กลับบ้านตอนบ่ายๆ แต่บางวันก็ค่ำมืด กว่าจะเดินเข้าซอยมา...ไอ้แบ๊กดูเหมือนจะติดป้าพริ้งมากกว่าคนอื่น มันวิ่งมาคอยรับแกทุกวัน

"คุณป้าไปเที่ยวไหนครับ?" ผมเคยถาม ป้าพริ้งก็ยิ้มให้ ตอบสั้นๆ ว่าไปธุระ แล้วเดินฉับๆ ผ่านหน้าบ้านผมไป วันต่อมาผมเคยถามอีก แกก็ตอบว่า...ไม่ขายที่จ้ะพ่อตี๋ ไปกับป้าไหมล่ะ?

อดสงสัยไม่ได้ว่าป้าพริ้งไปขายที่อะไรทุกๆวัน ผมเลยไปถามแม่จนได้คำตอบว่า...แกเป็นนายหน้าขายที่ดิน! ตอนนั้นผมยังงงๆ จนแม่อธิบายว่า นายหน้าคือคนที่พาคนซื้อไปพบคนขาย ถ้าตกลงกันได้ตัวเองก็จะได้รับส่วนแบ่ง จะ 3 หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่จะตกลงกันไว้...ป้าพริ้งยึดอาชีพนายหน้าเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ผัวตายแล้ว

ตอนเย็นๆ ผมกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน แม่หาอะไรให้กินแล้วก็ออกมาวิ่งกับเพื่อนๆ แถวร้านกาแฟอาโกกับเจ๊เฮียงที่อยู่กลางซอย พอใกล้ค่ำก็มักจะเห็นป้าพริ้งเดินเข้ามา ผมถูกชะตากับแกก็เข้าไปทักทายเป็นประจำ

บางวันป้าพริ้งก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ควักขนมอร่อยๆ ให้ไปกินกับเพื่อน แต่บางวันแกก็หน้าบึ้งหน้างอ ผมทักทายแกยังแทบไม่มองหน้าซะด้วยซ้ำไป

แม่ไขข้อข้องใจให้ฟังตามเคย!

ป้าพริ้งไม่ได้วิ่งขายที่ทุกวันหรอกครับ ส่วนมากแกจะไปเข้าบ่อนไพ่ตองในซอยใกล้ๆ กัน วันไหนรวยมาก็อารมณ์ดี แต่ถ้าเสียไพ่ก็อารมณ์บูดเน่า...แม่เคยได้ยินทะเลาะกับลูกชายบ่อยๆ เรื่องเล่นไพ่

วันหนึ่ง ตอนปลายปี 2533 ผมไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แถวร้านกาแฟตามเคย...จนกระทั่งใกล้ค่ำ ป้าพริ้งก็เดินเข้าซอยมากับชาวบ้านแถวนั้นอีกหลายคน

คุณพระช่วย! วันนั้นป้าพริ้งหน้าตาเหมือนยักษ์มารไม่มีผิด ทั้งหงิกงอและบูดบึ้ง ตาโปนแทบถลนออกมานอกเบ้า ผมเร่เข้าไปจะทักทายแกตามเคย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้า นัยน์ตาที่จ้องลงมาก็ขุ่นขวาง ดุดันจนน่าตกใจ

"เสียไพ่มาแน่ๆ เลย!" ผมนึก มองตามหลังแกไปด้วยความงุนงงราวกับถูกสะกด จนกระทั่งได้ยินเสียงไอ้แบ๊กเห่าขรมตามเคย...

อะไรกัน? มันหยุดเห่าแล้วโก่งคอหอนเสียงโหยหวน ยิ่งป้าพริ้งเดินใกล้เข้าไป ไอ้แบ๊กยิ่งถอยกรูดๆ แล้ววิ่งหนีไปในอาการลนลาน ผู้คนต่างหันมองสบตากันอย่างงุนงง...ผมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นแกเลือนรางจางหาย แต่เมื่อขยี้ตาอีกครั้งก็เห็นป้าพริ้งเดินเข้าประตูบ้านไป

ผมรีบเผ่นเข้าบ้าน ใจเต้นระทึก ขนลุกขนพองซะไม่มี

ไอ้แบ๊กเห่าหอนโหยหวนแทบทั้งคืน...รุ่งขึ้นถึงได้ข่าวว่าป้าพริ้งเป็นลมคาบ่อนไพ่ เขาพาแกส่งโรงพยาบาลไปสิ้นใจตอนใกล้ค่ำนั่นเอง...ขนหัวลุกจริงๆ ครับ บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 36 - ฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม 2550