ถึงแม้เรื่องผีฝรั่งผีจีนจะสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจคนไทยแค่ไหน ก่อให้เกิดความนิยมชมชอบในเรื่องสยองขวัญทำนองนี้เพียงใด แต่ก็ยังไม่มีเรื่องผีไทยๆ ปรากฏออกมาเป็นการเป็นงานซักที
หรือว่าผีฝรั่งกับผีไทยไม่เหมือนกัน?
เช่น ผีฝรั่งมักเกลียดกลัวต้นกระเทียม แม้กลิ่นกระเทียม เช่น เคาน์แดร๊กคิวล่า หรือผีดิบดูดเลือดทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะหวาดหวั่นพรั่นสยองต่อรูปไม้กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ ...จะว่าผิดหรือคล้ายกับผีไทยก็ได้ทั้งสองอย่าง
นั่นคือผีไทยกลัวต้นหนาดกับพระเครื่องหรือลูกนิมิต พัทธสีมาอันเรียงรายอยู่รอบโบสถ์
ทำไมผีฝรั่งกลัวกระเทียม?
ถ้าจะตอบแบบฝรั่งก็คงตอบได้ง่ายๆ ว่าฝรั่งทุกชาติทุกภาษาล้วนแต่เกลียดกลิ่นกระเทียมกันทั้งนั้น ยกเว้นแต่อิตาเลียนชาติเดียวที่ชอบกินกระเทียมเหมือนชาวเยอรมันชอบกลิ่นกะหล่ำปลีดอง หรือซาวน์เคลาส์แกล้มไส้กรอกก็ได้ กินกับหมูย่างก็ดีนักแล!
เชื่อกันว่าชาวอิตาเลียนชอบกินกระเทียมเพราะคบหาสมาคมกับพวกยิปซี ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ก่อนจะร่อนเร่พเนจรไปตามประเทศต่างๆ
อาหารประจำเผ่ายิปซีที่ขึ้นชื่อลือชา แพร่หลายไปทั่วโลกก็คือ "กูราจซุป" เนื้อวัวต้มเปื่อยกับมันฝรั่ง มะเขือเทศ กระเทียม โรยพริกไทยลงไปให้หนักมือหน่อย เดี๋ยวก็หอมหวนชวนน้ำลายสอได้ง่ายๆ
เมื่อชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไปในยุโรปเกลียดกระเทียม เหม็นกระเทียมจับจิตจับใจ ชาวยุโรปนั้นก็พลอยทึกทักเอาว่า ผีดิบดุร้ายกระหายเลือดอย่างเคาน์แดร๊กคิวล่าและบรรดาสาวกทั้งหลายแหล่ ย่อมจะเกลียดกลัวต้นกระเทียม หรือแม้แต่กลิ่นกระเทียมไปด้วยเป็นธรรมดา
เจอะเจอต้นกระเทียมที่ไหนเป็นเผ่นหนีกระเจิงที่นั่น นอกจากนั้น ก็ยังกลัวไม้กางเขน หรือสัญลักษณ์ของกางเขนเป็นชีวิตจิตใจ!
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับผีไทยดู ก็ปรากฏว่าหวาดเกรงต้นหนาด ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกับผีฝรั่งกลัวกระเทียม ส่วนที่ต้นหนาดหรือแม้แต่ใบหนาดจะมีอะไรลึกซึ้ง น่าพรั่นสยองสำหรับภูตผีปีศาจทั้งหลาย ตอนนี้ยังนึกไม่ออกจริงๆ ครับ
บางตำราถึงกับยืนยันว่า ถ้าเด็ดใบหนาดมาแขวนเชือกผูกคอแล้ว ภูตผีน้อยใหญ่ทั้งหลายแหล่เป็นไม่กล้าเข้ามา กล้ำกราย ทำอันตรายได้เด็ดขาด
แต่ที่ผีฝรั่งกลัวไม้กางเขน ส่วนผีไทยกลัวพระเครื่องพระบูชา พอจะกล้อมแกล้มได้ว่าคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย
ผีฝรั่งกลัวสัญลักษณ์ของไม้กางเขน เช่น ไม่ใช่กางเขนจริง แต่เอาไม้หรือเหล็กสองท่อนมาไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขน ก็ทำให้ผีดูดเลือดตระหนกอกสั่นไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว ถ้าจะเทียบกับผีไทยก็คงกลัวสายสิญจน์ อันถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน
...มีสายสิญจน์ล้อมบ้าน ก็รับรองได้ว่าไม่มีภูตผีปีศาจตนไหนกล้ากล้ำกรายเข้ามาเป็นอันขาด เพราะแตะต้องสายสิญจน์เข้าเป็นร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แสนสาหัสอย่าบอกใครเชียว
ถ้าเอาสายสิญจน์คล้องคอผี หรือคนที่ถูกผีเข้าสิงไว้ ก็จะทำให้คนหรือผีนั้นต้องดิ้นทุรนทุราย หรือแผดร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อนสุดขีด
แต่ผีไทยยังมีเรื่องราววิจิตรพิสดารกว่าผีฝรั่งเป็นไหนๆ
เช่น การรดน้ำมนต์ เฆี่ยนด้วยหวายฝังลูกนิมิต หรือกิ่งมะยมกิ่งหนาดแช่น้ำมนต์ ซัดด้วยข้าวสารเสก แทงด้วยมีดหมอของพระอาจารย์ดังๆ อย่างมีดหลวงพ่อเดิม ซึ่งเรียกขานกันอย่างยกย่องว่า "เทพอาวุธ" หรือมีดหมอของหลวงปู่เทียม แห่งวัดกษัตราธิราชอยุธยา เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังมีผ้ายันต์อีกต่างหาก...ผ้ายันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ชัยนาท ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค อยุธยา ก็ถือว่าโด่งดังสุดๆ ทั้งแคล้วคลาดและอยู่ยงคงกระพัน ชนิดตำรวจทหารชายแดนโดนศัตรูยิงตูมเข้ากลางอก กระเด้งไป 3-4 วายังลุกผางขึ้นมาสังหารศัตรูได้นี่นา
มีคำสาปว่า...ใครขายชาติต้องโดนยิงตายกลางหน้าผากทุกคนไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2552
31 ธันวาคม 2556
30 ธันวาคม 2556
ผีอินเตอร์ (2)
ลองหันไปดูทางจีนมั่ง!
ที่นั่นถือว่าเป็นราชาเรื่องผีๆ สางๆ ยิ่งกว่าตะวันตกด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นประเทศเก่าแก่ มีศิลปวัฒน ธรรมเนิ่นนานหลายพันปี ยังมีประชากรมากมายหลายร้อยล้านคนในยุคนั้น เพราะงั้นเลยมีเรื่องราวเก่าๆ ทั้งวรรณคดี นิยายรักโศกสะเทือนอารมณ์ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผีมากมายที่สุดในโลกก็ว่าได้
"ผู่ซ่งหลิง" ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดังมา 200 กว่าปีแล้วในสมัยราชวงศ์เหม็ง ชอบเขียนเรื่องผีเป็นเรื่องสั้นล้วนๆ จำนวนมากมาย บำเรอผู้อ่านที่ชมชอบเรื่องสยองขวัญจนเป็นที่กล่าวขวัญ และยอมรับนับถือทั่วไป
ได้รับคำยกย่องว่า เรื่องของผู่ซ่งหลิงเป็นเรื่องในแนวแปลก ประหลาด ที่จัดได้ว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิคของจีนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือละคร เป็นภาพยนตร์จอใหญ่จอเล็ก ล้วนแต่ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนหนังเรื่องสยองขวัญทั้งนั้นแหละ
"โปเยโปโลเย" ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งจอแก้วจอเงินออกฉายเกือบทั่วโลก ท่านผู้อ่านที่ชอบดูหนังดูทีวีคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาพอสมควร
"เรื่องประหลาดของเหลียวไจ๋" ก็อยู่ในชุดเรื่องประหลาด หรือเรื่องผีที่แต่งโดย ผู่ซ่งหลิง "เนียน" (เนียน กูรมะโรหิต) ภรรยาของ คุณสด กูรมะโรหิต นักเขียนอาวุโสของเราก็เคยนำมาแปลเป็นประจำในนิตยสารศิลปิน ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อปี 2485 ที่อยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี
"รพีพร" เขียนเรื่องแรกในนามปากกานี้แนวผีๆ สางๆ คือ "ผีก็มีหัวใจ" เป็นละครวิทยุแฟนติดงอมแงม ต่อมาเขียนเป็นนวนิยายลงในแสนสุข เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ภูตพิศวาส" โด่งดังไปทั้งประเทศยิ่งกว่าตอนเป็นละครวิทยุด้วยซ้ำไป
พระเอกมารุต กสิกรรม กับนางเอกดาว กลายเป็นคู่พระคู่นางสุดฮิตในยุคนั้นก็ว่าได้...ต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้ง เพราะความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจด้วย ลีลาของนักเขียนระดับครูบาอาจารย์ แฟนๆ ก็ตามเกรียวกราวทุกครั้งไป
"พี่ได้พล็อตมาจากเรื่องผีของจีน" "รพีพร" หรือ สุวัฒน์ วรดิลก เคยเล่าให้ผมฟังตอนที่ไปรับต้นฉบับเรื่องนี้ที่บ้านซอยไชยา นางเลิ้ง เมื่อ 40 กว่าปีก่อน แล้วแนะนำด้วยความหวังดีว่า
"ลองอ่านเรื่องจีนเยอะๆ ซี เพราะผู้คนเขามากมาย เรื่องราวแปลกๆ ก็พลอยมากไปด้วย เผื่อจะได้ไอเดียมาเขียนนิยายสไตล์ไทยๆ"
นี่ไงครับ อิทธิพลเรื่องผีจีน!
นอกจากผีจริงๆ แล้ว วรรณกรรมจีนก็ยังมีเรื่องราวทำนอง "แกล้งทำเป็นผีหลอก" เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ทั้งคนดีคน ร้าย เช่น เรื่องดังๆ อย่าง "เปาบุ้นจิ้น" เทพเจ้าแห่งความยุติธรรมแห่งศาลไคฟง ที่คนไทยเรารู้จักกันดี มีเรื่องใช้คนปลอมเป็นผีหลอกหลอนให้คนร้ายปากแข็งยอมรับสารภาพจนได้
เรื่องฆาตกรโดนขังรอขึ้นศาลหลายครั้ง แต่ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมรับสารภาพ "ท่านเปา" เลยต้องใช้ลูกน้องปลอมเป็นผีเข้าไปหลอก โดยปรากฏกายในห้องขังติดๆ กัน จนผู้ร้ายใจ แข็งเกิดอาการขวัญบิน พรั่งพรูสารภาพผิด พร้อมกับขอขมา ลาโทษเบ็ดเสร็จที่ได้ฆ่าแกงโดยไม่ได้เจตนา
รุ่งขึ้นก็โดนคำพิพากษาน่าขนหัวลุกจากท่านเปาน่ะซีครับ
"ใช้เครื่องประหารหัวสุนัข...ประหาร!!"
ติ้วแดงมรณะล่องลอยจากบัลลังก์มาตกลงตรงหน้าของคน ชะตาขาด เดี๋ยวเดียวศีรษะก็ขาดตามชะตาไปทันใด
เรื่องผีๆ สางๆ หรือมีภูตผีปีศาจมาเกี่ยวข้อง หลากหลายรูปแบบ หลั่งไหลเข้ามาในเมืองไทยเมื่อราวร้อยปีก่อน ใครได้อ่านก็ชอบอกชอบใจ คอยติดตามอ่านเล่มต่อๆ ไปเพราะได้รับอรรถรสแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ชวนให้ขนลุกซู่ซ่าอยู่เป็นประจำ
สมัยนี้นิยมเรียกขานว่า "ขนแขนสแตนด์อัพ" ไงล่ะครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2552
ที่นั่นถือว่าเป็นราชาเรื่องผีๆ สางๆ ยิ่งกว่าตะวันตกด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นประเทศเก่าแก่ มีศิลปวัฒน ธรรมเนิ่นนานหลายพันปี ยังมีประชากรมากมายหลายร้อยล้านคนในยุคนั้น เพราะงั้นเลยมีเรื่องราวเก่าๆ ทั้งวรรณคดี นิยายรักโศกสะเทือนอารมณ์ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผีมากมายที่สุดในโลกก็ว่าได้
"ผู่ซ่งหลิง" ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดังมา 200 กว่าปีแล้วในสมัยราชวงศ์เหม็ง ชอบเขียนเรื่องผีเป็นเรื่องสั้นล้วนๆ จำนวนมากมาย บำเรอผู้อ่านที่ชมชอบเรื่องสยองขวัญจนเป็นที่กล่าวขวัญ และยอมรับนับถือทั่วไป
ได้รับคำยกย่องว่า เรื่องของผู่ซ่งหลิงเป็นเรื่องในแนวแปลก ประหลาด ที่จัดได้ว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิคของจีนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือละคร เป็นภาพยนตร์จอใหญ่จอเล็ก ล้วนแต่ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนหนังเรื่องสยองขวัญทั้งนั้นแหละ
"โปเยโปโลเย" ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งจอแก้วจอเงินออกฉายเกือบทั่วโลก ท่านผู้อ่านที่ชอบดูหนังดูทีวีคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาพอสมควร
"เรื่องประหลาดของเหลียวไจ๋" ก็อยู่ในชุดเรื่องประหลาด หรือเรื่องผีที่แต่งโดย ผู่ซ่งหลิง "เนียน" (เนียน กูรมะโรหิต) ภรรยาของ คุณสด กูรมะโรหิต นักเขียนอาวุโสของเราก็เคยนำมาแปลเป็นประจำในนิตยสารศิลปิน ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อปี 2485 ที่อยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี
"รพีพร" เขียนเรื่องแรกในนามปากกานี้แนวผีๆ สางๆ คือ "ผีก็มีหัวใจ" เป็นละครวิทยุแฟนติดงอมแงม ต่อมาเขียนเป็นนวนิยายลงในแสนสุข เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ภูตพิศวาส" โด่งดังไปทั้งประเทศยิ่งกว่าตอนเป็นละครวิทยุด้วยซ้ำไป
พระเอกมารุต กสิกรรม กับนางเอกดาว กลายเป็นคู่พระคู่นางสุดฮิตในยุคนั้นก็ว่าได้...ต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้ง เพราะความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจด้วย ลีลาของนักเขียนระดับครูบาอาจารย์ แฟนๆ ก็ตามเกรียวกราวทุกครั้งไป
"พี่ได้พล็อตมาจากเรื่องผีของจีน" "รพีพร" หรือ สุวัฒน์ วรดิลก เคยเล่าให้ผมฟังตอนที่ไปรับต้นฉบับเรื่องนี้ที่บ้านซอยไชยา นางเลิ้ง เมื่อ 40 กว่าปีก่อน แล้วแนะนำด้วยความหวังดีว่า
"ลองอ่านเรื่องจีนเยอะๆ ซี เพราะผู้คนเขามากมาย เรื่องราวแปลกๆ ก็พลอยมากไปด้วย เผื่อจะได้ไอเดียมาเขียนนิยายสไตล์ไทยๆ"
นี่ไงครับ อิทธิพลเรื่องผีจีน!
นอกจากผีจริงๆ แล้ว วรรณกรรมจีนก็ยังมีเรื่องราวทำนอง "แกล้งทำเป็นผีหลอก" เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ทั้งคนดีคน ร้าย เช่น เรื่องดังๆ อย่าง "เปาบุ้นจิ้น" เทพเจ้าแห่งความยุติธรรมแห่งศาลไคฟง ที่คนไทยเรารู้จักกันดี มีเรื่องใช้คนปลอมเป็นผีหลอกหลอนให้คนร้ายปากแข็งยอมรับสารภาพจนได้
เรื่องฆาตกรโดนขังรอขึ้นศาลหลายครั้ง แต่ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมรับสารภาพ "ท่านเปา" เลยต้องใช้ลูกน้องปลอมเป็นผีเข้าไปหลอก โดยปรากฏกายในห้องขังติดๆ กัน จนผู้ร้ายใจ แข็งเกิดอาการขวัญบิน พรั่งพรูสารภาพผิด พร้อมกับขอขมา ลาโทษเบ็ดเสร็จที่ได้ฆ่าแกงโดยไม่ได้เจตนา
รุ่งขึ้นก็โดนคำพิพากษาน่าขนหัวลุกจากท่านเปาน่ะซีครับ
"ใช้เครื่องประหารหัวสุนัข...ประหาร!!"
ติ้วแดงมรณะล่องลอยจากบัลลังก์มาตกลงตรงหน้าของคน ชะตาขาด เดี๋ยวเดียวศีรษะก็ขาดตามชะตาไปทันใด
เรื่องผีๆ สางๆ หรือมีภูตผีปีศาจมาเกี่ยวข้อง หลากหลายรูปแบบ หลั่งไหลเข้ามาในเมืองไทยเมื่อราวร้อยปีก่อน ใครได้อ่านก็ชอบอกชอบใจ คอยติดตามอ่านเล่มต่อๆ ไปเพราะได้รับอรรถรสแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ชวนให้ขนลุกซู่ซ่าอยู่เป็นประจำ
สมัยนี้นิยมเรียกขานว่า "ขนแขนสแตนด์อัพ" ไงล่ะครับ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2552
28 ธันวาคม 2556
ผีอินเตอร์ (1)
อ้าว? ไหนตั้งชื่อว่า "ตำนานผีไทย" แถมกำลังเล่าเรื่องผีไทยอยู่ดีๆ เชียว แล้วไหงถึงกลายเป็นผีอินเตอร์ไปได้ล่ะวุ้ย? ผู้อ่านหลายท่านอาจจะข้องจิตขึ้นมาก็เป็นได้
ถือโอกาสบอกกล่าวเล่าสิบกันให้แจ่มแจ้งไปเลย ว่าเรื่องผีนี่เชื่อถือกันทุกชาติทุกภาษาก็ว่าได้ ส่วนมากมักจะเล่าขานกันปากต่อปาก เป็นนิทานบ้าง เป็นตำนานบ้าง หรือไม่ก็ยืนยันคอเป็นเอ็นว่าได้ยินปู่เล่าว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ปู่บอกว่าปู่ของแกก็ยืนยันยังงั้นเหมือนกัน ตอนที่เล่าให้ฟังน่ะ
จะเรียกว่าการเล่าเรื่องผีเป็นนิทานรอบกองไฟก็ยังได้!
แหม! ได้บรรยากาศชะมัดกับนิทานก่อนนอน ที่ชวนให้ขนลุกขนพองดีไม่หยอก จะบอกให้ เด็กๆ ลืมตาโพลงก่อนจะหลับตาปี๋ด้วยความสยดสยองเหลือกำลัง แล้วพานหลับผล็อยไปเลยเพราะทนง่วงนอนไม่ไหวน่ะ ไม่ใช่อะไร
ตอนนั้นยังไม่มีภาพยนตร์หรือละครทีวีอย่างสมัยนี้ ละครเวทีก็เพิ่งจะอุบัติขึ้นมา เรื่องผีแพร่หลายในหนังสือก่อน เพราะมีหลักฐานว่ามนุษย์เราคิดทำกระดาษได้เมื่อราวสองพันปีมาแล้ว...ตอนนี้ยังเถียงกันไม่เสร็จว่าใครคิดกระดาษได้ก่อน ระหว่างจีนกับอียิปต์
ฝ่ายแรกยืนยันหนักแน่นมั่นคงว่า จีนว่ะ! พวกอั๊วเอาผ้าเก่าๆ มาต้มทำกระดาษใช้ในราชสำนักล้วนๆ มาตั้งดึกดำ บรรพ์แล้ว แต่มีไอ้คนผลิตกระดาษเกิดกระทำความผิดอุกฉกรรจ์ เลยหลบหนีไปพร้อมกับสูตรลับ ดุ่มดั้นข้ามป่าเขาไปสวามิภักดิ์กับกษัตริย์ไอยคุปต์ หรือฟาโรห์นั่นปะไร!
ชาวอียิปต์ได้ฟังก็อดหัวเราะมิได้ บอกว่าน้อยๆ หน่อยเพื่อนเอ๋ย กระดาษชนิดแรกของโลกน่ะทำจากต้นปาปิรุสที่ขึ้นดกดื่นอยู่ที่ริมแม่น้ำไนล์เท่านั้น อ้อ! มีที่ซูดานอีกแห่งเดียวเองในโลกใบจ้อยๆ ลูกนี้น่ะ นอกนั้นปลูกต้นปาปิรุสไม่ขึ้นว่ะ ต่อให้เอาไปปลูกที่ไหน ทะนุถนอมปานไข่ในหินปานใด ต้นปาปิรุสก็ล้วนแต่ล้มตายแหงแก๋ทั้งนั้นเลย
แล้วจีนจะทำกระดาษเป็นชาติแรกก่อนชาวไอยคุปต์ได้ยังไง? ปัดโธ่!
เมื่อการผลิตกระดาษแพร่หลายไปทั่วโลก ก็มีการบันทึกเรื่องราวหลากหลาย เกิดตำรับตำราวิชาความรู้ คำคมคารมปราชญ์ โดยเฉพาะพระธรรมคัมภีร์ทางศาสนาต่างๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีทางการเมือง ฟุ้งเฟื่องเรื่องปรัชญาสารพัดสำนัก รวมทั้งนิทานพื้นบ้าน สารคดี เรื่องสั้นเรื่องยาวก็พรั่งพรูออกมาเป็นว่าเล่นแทบจะล้นโลก
เรื่องผีออกโรงตอนนี้เอง!
ไม่ว่าผีจีน ผีแขก ผีฝรั่งอั้งม้อ สารพัดสารพัน
ไทยเราได้อิทธิพลการเขียนอ่านมาจากฝรั่ง ที่พิมพ์หนังสือกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่นับที่จดจารึกไว้ในสมุดข่อยอันว่าด้วยตำราวิชาการต่างๆ เช่น วิชาแพทย์แผนโบราณ หรือวรรณคดีเก่าๆ ที่เรารู้จักกันดี เป็นต้น
หรือการเขียนในใบลาน ที่ส่วนหนึ่งก็คือคำสอนในพระพุทธศาสนา เรียกว่า "คัมภีร์" ที่พระท่านถือระหว่างเทศน์บนธรรมาสน์นั่นปะไรเล่า
จีนกับฝรั่งพิมพ์เรื่องสั้นเรื่องยาวให้แพร่หลาย ได้ซื้ออ่านกันทั่วถึง จนกระทั่งพิมพ์เรื่องเขย่าขวัญ หรือเรื่องราวของผีๆ สางๆ ออกมาเกือบร้อยปี ก่อนหน้าเราจะทำแบบนั้นมั่ง เมื่อความเจริญของประเทศทางตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในยุคต้นรัตนโกสินทร์
ถือว่าเป็นอิทธิพลของต่างชาติ เกี่ยวกับความเจริญทางด้านการพิมพ์ ที่ทำให้เกิดการอ่านเรื่องผีพ่วงตามเข้าไปด้วย
ทำไมถึงเรียกว่าผีอินเตอร์?
สาเหตุเพราะคนไทยได้รู้จัก "เคาต์แดร๊กคิวล่า" ชายสูงศักดิ์ชาวโรมาเนีย อุปนิสัยน่าเกลียดน่ากลัวมาก เพราะพี่แกเล่นดูดดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร โดยเฉพาะเลือดสดๆ จากลำคอสาวๆสวยๆ (ที่เห็นในภาพยนตร์น่ะ) เป็นที่โปรดปรานของท่านเคาต์นักเชียว หาเลือดสาวไม่ได้จริงๆ ถึงจะยอมดูดเลือดผู้ชาย
นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็บ้าจี้ เชื่อว่าเคาต์แดร๊กคิวล่ามีตัวตนจริงๆ ถึงกับจะทำโคลนนิ่งกันแน่ะ
ผู้เขียนเคาต์แดร๊กคิวล่าจนดังระเบิดโลกก็คือ แบรม สโต เกอร์ พิมพ์เมื่อไหร่ขายดีเมื่อนั้น สร้างหนังทีไรก็เรียกแฟนได้แน่นโรงเหมือนเรื่องแม่นากพระโขนงของเรา
ไหนจะเรื่องผีดิบ "แฟรงเก้นสไตน์" ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทคนดูพอๆ กับเรื่อง "ดร.เจนกินส์กับมิสเตอร์ไฮด์" ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน หรือเรื่อง "ความพินาศของตระกูลอัสเชอร์" ของราชาเรื่องผี เอ็ดการ์ อัลลัน โป...อ่านทีไรเป็นขนหัวลุกตั้งทุกทีไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2552
ถือโอกาสบอกกล่าวเล่าสิบกันให้แจ่มแจ้งไปเลย ว่าเรื่องผีนี่เชื่อถือกันทุกชาติทุกภาษาก็ว่าได้ ส่วนมากมักจะเล่าขานกันปากต่อปาก เป็นนิทานบ้าง เป็นตำนานบ้าง หรือไม่ก็ยืนยันคอเป็นเอ็นว่าได้ยินปู่เล่าว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ปู่บอกว่าปู่ของแกก็ยืนยันยังงั้นเหมือนกัน ตอนที่เล่าให้ฟังน่ะ
จะเรียกว่าการเล่าเรื่องผีเป็นนิทานรอบกองไฟก็ยังได้!
แหม! ได้บรรยากาศชะมัดกับนิทานก่อนนอน ที่ชวนให้ขนลุกขนพองดีไม่หยอก จะบอกให้ เด็กๆ ลืมตาโพลงก่อนจะหลับตาปี๋ด้วยความสยดสยองเหลือกำลัง แล้วพานหลับผล็อยไปเลยเพราะทนง่วงนอนไม่ไหวน่ะ ไม่ใช่อะไร
ตอนนั้นยังไม่มีภาพยนตร์หรือละครทีวีอย่างสมัยนี้ ละครเวทีก็เพิ่งจะอุบัติขึ้นมา เรื่องผีแพร่หลายในหนังสือก่อน เพราะมีหลักฐานว่ามนุษย์เราคิดทำกระดาษได้เมื่อราวสองพันปีมาแล้ว...ตอนนี้ยังเถียงกันไม่เสร็จว่าใครคิดกระดาษได้ก่อน ระหว่างจีนกับอียิปต์
ฝ่ายแรกยืนยันหนักแน่นมั่นคงว่า จีนว่ะ! พวกอั๊วเอาผ้าเก่าๆ มาต้มทำกระดาษใช้ในราชสำนักล้วนๆ มาตั้งดึกดำ บรรพ์แล้ว แต่มีไอ้คนผลิตกระดาษเกิดกระทำความผิดอุกฉกรรจ์ เลยหลบหนีไปพร้อมกับสูตรลับ ดุ่มดั้นข้ามป่าเขาไปสวามิภักดิ์กับกษัตริย์ไอยคุปต์ หรือฟาโรห์นั่นปะไร!
ชาวอียิปต์ได้ฟังก็อดหัวเราะมิได้ บอกว่าน้อยๆ หน่อยเพื่อนเอ๋ย กระดาษชนิดแรกของโลกน่ะทำจากต้นปาปิรุสที่ขึ้นดกดื่นอยู่ที่ริมแม่น้ำไนล์เท่านั้น อ้อ! มีที่ซูดานอีกแห่งเดียวเองในโลกใบจ้อยๆ ลูกนี้น่ะ นอกนั้นปลูกต้นปาปิรุสไม่ขึ้นว่ะ ต่อให้เอาไปปลูกที่ไหน ทะนุถนอมปานไข่ในหินปานใด ต้นปาปิรุสก็ล้วนแต่ล้มตายแหงแก๋ทั้งนั้นเลย
แล้วจีนจะทำกระดาษเป็นชาติแรกก่อนชาวไอยคุปต์ได้ยังไง? ปัดโธ่!
เมื่อการผลิตกระดาษแพร่หลายไปทั่วโลก ก็มีการบันทึกเรื่องราวหลากหลาย เกิดตำรับตำราวิชาความรู้ คำคมคารมปราชญ์ โดยเฉพาะพระธรรมคัมภีร์ทางศาสนาต่างๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีทางการเมือง ฟุ้งเฟื่องเรื่องปรัชญาสารพัดสำนัก รวมทั้งนิทานพื้นบ้าน สารคดี เรื่องสั้นเรื่องยาวก็พรั่งพรูออกมาเป็นว่าเล่นแทบจะล้นโลก
เรื่องผีออกโรงตอนนี้เอง!
ไม่ว่าผีจีน ผีแขก ผีฝรั่งอั้งม้อ สารพัดสารพัน
ไทยเราได้อิทธิพลการเขียนอ่านมาจากฝรั่ง ที่พิมพ์หนังสือกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่นับที่จดจารึกไว้ในสมุดข่อยอันว่าด้วยตำราวิชาการต่างๆ เช่น วิชาแพทย์แผนโบราณ หรือวรรณคดีเก่าๆ ที่เรารู้จักกันดี เป็นต้น
หรือการเขียนในใบลาน ที่ส่วนหนึ่งก็คือคำสอนในพระพุทธศาสนา เรียกว่า "คัมภีร์" ที่พระท่านถือระหว่างเทศน์บนธรรมาสน์นั่นปะไรเล่า
จีนกับฝรั่งพิมพ์เรื่องสั้นเรื่องยาวให้แพร่หลาย ได้ซื้ออ่านกันทั่วถึง จนกระทั่งพิมพ์เรื่องเขย่าขวัญ หรือเรื่องราวของผีๆ สางๆ ออกมาเกือบร้อยปี ก่อนหน้าเราจะทำแบบนั้นมั่ง เมื่อความเจริญของประเทศทางตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในยุคต้นรัตนโกสินทร์
ถือว่าเป็นอิทธิพลของต่างชาติ เกี่ยวกับความเจริญทางด้านการพิมพ์ ที่ทำให้เกิดการอ่านเรื่องผีพ่วงตามเข้าไปด้วย
ทำไมถึงเรียกว่าผีอินเตอร์?
สาเหตุเพราะคนไทยได้รู้จัก "เคาต์แดร๊กคิวล่า" ชายสูงศักดิ์ชาวโรมาเนีย อุปนิสัยน่าเกลียดน่ากลัวมาก เพราะพี่แกเล่นดูดดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร โดยเฉพาะเลือดสดๆ จากลำคอสาวๆสวยๆ (ที่เห็นในภาพยนตร์น่ะ) เป็นที่โปรดปรานของท่านเคาต์นักเชียว หาเลือดสาวไม่ได้จริงๆ ถึงจะยอมดูดเลือดผู้ชาย
นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็บ้าจี้ เชื่อว่าเคาต์แดร๊กคิวล่ามีตัวตนจริงๆ ถึงกับจะทำโคลนนิ่งกันแน่ะ
ผู้เขียนเคาต์แดร๊กคิวล่าจนดังระเบิดโลกก็คือ แบรม สโต เกอร์ พิมพ์เมื่อไหร่ขายดีเมื่อนั้น สร้างหนังทีไรก็เรียกแฟนได้แน่นโรงเหมือนเรื่องแม่นากพระโขนงของเรา
ไหนจะเรื่องผีดิบ "แฟรงเก้นสไตน์" ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทคนดูพอๆ กับเรื่อง "ดร.เจนกินส์กับมิสเตอร์ไฮด์" ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน หรือเรื่อง "ความพินาศของตระกูลอัสเชอร์" ของราชาเรื่องผี เอ็ดการ์ อัลลัน โป...อ่านทีไรเป็นขนหัวลุกตั้งทุกทีไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2552
26 ธันวาคม 2556
ปีศาจนิยาย (4)
สุวรรณี สุคนธา นักเขียนเจ้าของรางวัล ส.ป.อ.จากเรื่อง "เขาชื่อกานต์" สนิทสนมกับผม จนไปโดนผีหลอกด้วยกันที่ถนนสุโขทัยเมื่อราว 40 ปีก่อน คงจะถูกบรรณาธิการชักชวนให้เขียนปีศาจนิยาย ก็เลยมาปรึกษาหารือทำนองว่าไอ้เรื่องผีๆ สางๆ นี่มันเขียนยากมั้ย? ตัวเอง!
คงเห็นผมกำลังปั่นเรื่องผีขายดิบขายดีในนามปากกา "ใบหนาด" ละมั้ง? ผมก็ตอบไปตามที่สัตย์ที่จริงว่า จะว่ายากก็ยาก ก็จะว่าง่ายก็ง่าย ยิ่งนักเขียนที่กลัวผียิ่งเขียนง่ายขึ้นอีกตั้งพะเรอ
ว่าแต่ "เจ๊แต๋ว" กลัวผีหรือเปล่าล่ะ?
สุวรรณี สุคนธา ค้อนขวับๆ ตอบว่า...จะบ้าเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนยะไม่กลัวผีน่ะ? คืนนั้นยังต้องขอร้องให้เธอไปส่งถึงบ้านเลยเพราะเพิ่งโดนผีหลอกด้วยกันมาหยกๆ
ผมเลยทำท่าทำทางให้ดูคล้ายนักเขียนใหญ่ ก่อนจะบอกเสียงเคร่งขรึมให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย ตามที่เคยเห็นหลายๆ คนชอบกระทำกัน...ว่าถ้างั้นสบายมาก เจ๊เป็นคนพิษณุโลก ติดๆ กับสุโขทัยอยู่แล้ว ใช้ฉากที่นั่นแหละ เพราะมีบรรยากาศโบร่ำโบราณ ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจดี
พระเอกเป็นคน นางเอกเป็นผี อย่าง "ภูตพิศวาส" ของ "รพีพร" นั่นปะไร!
เรื่องฉากนี่สำคัญมากสำหรับเรื่องผี (จำมาจากคำสอนของ ครูเหม เวชกร) ถ้าใช้ฉากพัฒน์พงษ์ หรือสยามสแควร์ สี่แยกราชประสงค์ตอนเที่ยงวัน! ถ้าไม่กินยาผิดซองก็อย่าอุตริเขียนเรื่องผี หรือผีหลอกตอนนั้นดีกว่า เดี๋ยวก็เหนื่อยไม่เสร็จ
อ้อ! แล้วอย่าลืมเรื่องกลิ่นธูปควันเทียน หรือกลิ่นดอกไม้ประเภทดอกซ่อนกลิ่น ดอกสร้อยทองล่ะ...ไหนๆ เจ๊ก็อยู่บ้านในซอยเปลี่ยวใกล้วัดสร้อยทอง พระรามหกนี่นา โดยเฉพาะเสียงหมาหอนอย่าให้ขาดเชียว ตอนผีกำลังจะออกโรงน่ะ อย่าลืมซะล่ะ!
...ว่าแต่เจ๊ช่วยบอกเคล็ดลับมั่งซี ว่าเขียนแบบไหนถึงจะได้รางวัล ส.ป.อ. กะเค้ามั่ง? อยากเอาไปดูเล่นน่ะ ไม่ใช่อะไร
สุวรรณี สุคนธา หัวเราะกลิ้ง แทบน้ำหูน้ำตาไหล บอกว่าเขียนหนังสือบ้าๆ บอๆ อย่างเธอน่ะ อย่าไปคิดถึงเรื่องรางวี่รางวัลอะไรกับเขาเลยน่า...ประสาท!
ไม่ช้าไม่นาน เจ๊แต๋วก็บรรเลง "สามเงา" ออกมา ดูเหมือนจะลงในนิตยสาร "นพเก้า" ของ คุณปรีชา เหตระกูล เสร็จสรรพก็รวมพิมพ์เป็นเล่มปกแข็ง 2 เล่มจบตามสมัยนิยม เซ็นหนังสือให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าเล่ม 1 สูญหายไปไหนหลายปีแล้ว
ทั้งสุวรรณี สุคนธา และคุณปรีชา เหตระกูล ยอดปิยมิตรของผมทั้งคู่ ล้มหายตายจากไป 20 กว่าปีแล้ว...ไม่เคยมาเข้าฝันบอกหวย...เอ๊ย! เล่าสู่กันฟังมั่งเลยว่าโลกหน้าเป็นยังไงมั่ง? ปล่อยให้ บุญเสมอ แดงสังวาลย์ นั่ง เทียนเขียน "ตายแล้วมาทางนี้" กับ "ตายแล้วจะไปไหนไหน" ยังกับเคยตายมาแล้วยังงั้นแหละเอ้า!
แต่คนอ่านบอกว่าสนุกดีแฮะ เรื่องราวของชาวไร้ร่างสารพัดรูปแบบนี่น่ะ...อ่านแล้วบริหารคอดี! คือต้องคอยหันซ้ายหันขวาด้วยความหวาดระแวงอยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีใครมาแอบอยู่ข้างหลัง แล้วถอนหายใจรดต้นคอหรือเปล่า?
ปีศาจนิยายไม่เคยตาย! ยืนยงคงกระพันตลอดมา...มีแต่คนเขียนเท่าที่ต้องล้มหายตายจากกันไปเป็นธรรมดา
คำพูน บุญทวี นักเขียนรางวัลซีไรต์คนแรกของเมืองไทยจากเรื่อง "ลูกอีสาน" อันลือลั่น ไหนจะ "นายฮ้อยทมิฬ" ที่เป็นละครทีวี เคยเล่าให้ฟังว่า...เขียนเรื่องผีมาไม่มากแค่ห้า-หกร้อยเท่านั้นแหละ โอ้โฮ!
แพร โสภิณ (แสวง สิงห์โสภณ) นักเขียนที่โด่งดังจากค่ายฟ้าเมืองไทยก็ชอบเขียนเรื่องผี รายนี้มาแปลกที่ชอบนอนคว่ำเขียนหนังสือ ใช้หมอนรองอก เขียนเรื่องได้รอบตัวไม่แพ้รุ่นใหญ่
พี่คำพูนนี่แหละที่เล่าให้ฟังว่า วันดีคืนดี แพร โสภิณ กำลังนอนเขียนเรื่องผีตอนกลางวันแสกๆ เกิดเผ่นผลุงขึ้นมาร้องเอะอะโวยวาย วิ่งอ้าวออกจากบ้านพักหน้าตาตื่น ร้องตะโกนลั่นๆ ว่า "ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..."
ไม่รู้ว่าโดนเข้าจริงๆ หรือเกิด "อิน" กับเรื่องผีที่กำลังปั่นเหย็งๆ อยู่นั่นจนเกิดอุปาทานกันแน่...แหม! เกือบลืมนักเขียนเรื่องผีใหญ่มหึมาซะแล้วซี!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552
คงเห็นผมกำลังปั่นเรื่องผีขายดิบขายดีในนามปากกา "ใบหนาด" ละมั้ง? ผมก็ตอบไปตามที่สัตย์ที่จริงว่า จะว่ายากก็ยาก ก็จะว่าง่ายก็ง่าย ยิ่งนักเขียนที่กลัวผียิ่งเขียนง่ายขึ้นอีกตั้งพะเรอ
ว่าแต่ "เจ๊แต๋ว" กลัวผีหรือเปล่าล่ะ?
สุวรรณี สุคนธา ค้อนขวับๆ ตอบว่า...จะบ้าเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนยะไม่กลัวผีน่ะ? คืนนั้นยังต้องขอร้องให้เธอไปส่งถึงบ้านเลยเพราะเพิ่งโดนผีหลอกด้วยกันมาหยกๆ
ผมเลยทำท่าทำทางให้ดูคล้ายนักเขียนใหญ่ ก่อนจะบอกเสียงเคร่งขรึมให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย ตามที่เคยเห็นหลายๆ คนชอบกระทำกัน...ว่าถ้างั้นสบายมาก เจ๊เป็นคนพิษณุโลก ติดๆ กับสุโขทัยอยู่แล้ว ใช้ฉากที่นั่นแหละ เพราะมีบรรยากาศโบร่ำโบราณ ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจดี
พระเอกเป็นคน นางเอกเป็นผี อย่าง "ภูตพิศวาส" ของ "รพีพร" นั่นปะไร!
เรื่องฉากนี่สำคัญมากสำหรับเรื่องผี (จำมาจากคำสอนของ ครูเหม เวชกร) ถ้าใช้ฉากพัฒน์พงษ์ หรือสยามสแควร์ สี่แยกราชประสงค์ตอนเที่ยงวัน! ถ้าไม่กินยาผิดซองก็อย่าอุตริเขียนเรื่องผี หรือผีหลอกตอนนั้นดีกว่า เดี๋ยวก็เหนื่อยไม่เสร็จ
อ้อ! แล้วอย่าลืมเรื่องกลิ่นธูปควันเทียน หรือกลิ่นดอกไม้ประเภทดอกซ่อนกลิ่น ดอกสร้อยทองล่ะ...ไหนๆ เจ๊ก็อยู่บ้านในซอยเปลี่ยวใกล้วัดสร้อยทอง พระรามหกนี่นา โดยเฉพาะเสียงหมาหอนอย่าให้ขาดเชียว ตอนผีกำลังจะออกโรงน่ะ อย่าลืมซะล่ะ!
...ว่าแต่เจ๊ช่วยบอกเคล็ดลับมั่งซี ว่าเขียนแบบไหนถึงจะได้รางวัล ส.ป.อ. กะเค้ามั่ง? อยากเอาไปดูเล่นน่ะ ไม่ใช่อะไร
สุวรรณี สุคนธา หัวเราะกลิ้ง แทบน้ำหูน้ำตาไหล บอกว่าเขียนหนังสือบ้าๆ บอๆ อย่างเธอน่ะ อย่าไปคิดถึงเรื่องรางวี่รางวัลอะไรกับเขาเลยน่า...ประสาท!
ไม่ช้าไม่นาน เจ๊แต๋วก็บรรเลง "สามเงา" ออกมา ดูเหมือนจะลงในนิตยสาร "นพเก้า" ของ คุณปรีชา เหตระกูล เสร็จสรรพก็รวมพิมพ์เป็นเล่มปกแข็ง 2 เล่มจบตามสมัยนิยม เซ็นหนังสือให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าเล่ม 1 สูญหายไปไหนหลายปีแล้ว
ทั้งสุวรรณี สุคนธา และคุณปรีชา เหตระกูล ยอดปิยมิตรของผมทั้งคู่ ล้มหายตายจากไป 20 กว่าปีแล้ว...ไม่เคยมาเข้าฝันบอกหวย...เอ๊ย! เล่าสู่กันฟังมั่งเลยว่าโลกหน้าเป็นยังไงมั่ง? ปล่อยให้ บุญเสมอ แดงสังวาลย์ นั่ง เทียนเขียน "ตายแล้วมาทางนี้" กับ "ตายแล้วจะไปไหนไหน" ยังกับเคยตายมาแล้วยังงั้นแหละเอ้า!
แต่คนอ่านบอกว่าสนุกดีแฮะ เรื่องราวของชาวไร้ร่างสารพัดรูปแบบนี่น่ะ...อ่านแล้วบริหารคอดี! คือต้องคอยหันซ้ายหันขวาด้วยความหวาดระแวงอยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีใครมาแอบอยู่ข้างหลัง แล้วถอนหายใจรดต้นคอหรือเปล่า?
ปีศาจนิยายไม่เคยตาย! ยืนยงคงกระพันตลอดมา...มีแต่คนเขียนเท่าที่ต้องล้มหายตายจากกันไปเป็นธรรมดา
คำพูน บุญทวี นักเขียนรางวัลซีไรต์คนแรกของเมืองไทยจากเรื่อง "ลูกอีสาน" อันลือลั่น ไหนจะ "นายฮ้อยทมิฬ" ที่เป็นละครทีวี เคยเล่าให้ฟังว่า...เขียนเรื่องผีมาไม่มากแค่ห้า-หกร้อยเท่านั้นแหละ โอ้โฮ!
แพร โสภิณ (แสวง สิงห์โสภณ) นักเขียนที่โด่งดังจากค่ายฟ้าเมืองไทยก็ชอบเขียนเรื่องผี รายนี้มาแปลกที่ชอบนอนคว่ำเขียนหนังสือ ใช้หมอนรองอก เขียนเรื่องได้รอบตัวไม่แพ้รุ่นใหญ่
พี่คำพูนนี่แหละที่เล่าให้ฟังว่า วันดีคืนดี แพร โสภิณ กำลังนอนเขียนเรื่องผีตอนกลางวันแสกๆ เกิดเผ่นผลุงขึ้นมาร้องเอะอะโวยวาย วิ่งอ้าวออกจากบ้านพักหน้าตาตื่น ร้องตะโกนลั่นๆ ว่า "ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..."
ไม่รู้ว่าโดนเข้าจริงๆ หรือเกิด "อิน" กับเรื่องผีที่กำลังปั่นเหย็งๆ อยู่นั่นจนเกิดอุปาทานกันแน่...แหม! เกือบลืมนักเขียนเรื่องผีใหญ่มหึมาซะแล้วซี!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552
24 ธันวาคม 2556
ปีศาจนิยาย (3)
เมื่อเรื่องผีกลายเป็นเรื่องยอดฮิตติดตลาด นักเขียนส่วนใหญ่ก็เขียนเรื่องผีกันเอิกเกริก ตั้งแต่สมัยก่อนต่อเนื่องกันมาอีกหลายสิบปี ได้รับความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ความถนัด หรือฝีมือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้นักเขียนที่มากความสามารถ เขียนเรื่องได้รอบตัวประเภท "เมื่อปากกาอยู่ในมือข้าพเจ้า ท่านจะเป็นใครก็เร่งเข้ามา" ถือว่าได้เปรียบกว่าคนที่ถนัดแนวใดแนวหนึ่งโดยเฉพาะ
ป.อินทรปาลิต ผู้เป็นอมตะจากหัสนิยายชุดสามเกลอ นอกจากจะเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในหนังสือชุด "ศาลาปีศาจ" ก็ยังเคยเขียนเรื่องผีหลายเรื่องให้ผม รวบรวมกับนักเขียนอีกหลายๆ ท่าน จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเมื่อ พ.ศ.2510
พ็อกเกตบุ๊ก "ภูตผีปีศาจ" กับเล่มใหญ่ปกแข็ง "เปิดกรุผี" นำขบวนโดยคึกฤทธิ์ ปราโมช เขียน "เรื่องผีผี"
อุษณา เพลิงธรรม นักเขียนแนวโรแมนติก-อีโรติก ก็เขียน "ทับนาง" อ่านแล้วขนลุกขนชันอย่าบอกใครเชียว
เพ็ญแข ศุกรสูยานนท์ นักเขียนแนวเดียวกันเจ้าของผลงานรวมเรื่องสั้นอื้อฉาว (สำนวนสมัยก่อน) "เมื่อคืนนี้มีผู้หญิงกับผู้ชาย" ก็เขียนเรื่อง "ผีสุภาพ"
"นายรำคาญ" นักเขียนหัสนิยาย หรือเรื่องตลกรุ่นใหญ่ไล่ๆ กับ "ปิงปอง" อ.ร.ด."นายกล้าหาญ" ก็เขียนเรื่องผีแนวตลกเรื่อง "จุมพิตาอ่านเรื่องผี"
สุจิตต์ วงษ์เทศ เจ้าของ "ขุนเดช" อันเลื่องบันลือ รู้ว่าผมรวบรวมเรื่องผีเป็นเล่มใหญ่ปกแข็ง ก็กระวีกระวาดคว้ากระดาษวาดอักษรแต่โดยพลัน แต่เห็นชื่อเรื่องก็ขนหัวลุกกรูเกรียวแล้วครับ คือ "วิญญาณดึกดำบรรพ์ที่สุโขทัย"
อย่าว่าแต่นักเขียนใหญ่น้อยที่โด่งดัง ขนาดนักเขียนการ์ตูนยิ่งใหญ่มหึมายังโดดเข้ามาร่วมวง วางพู่กัน หยิบปากกาบรรเลงเรื่องผีด้วยนี่นา
ประยูร จรรยาวงษ์ หรือ "ศุขเล็ก" ราชาการ์ตูนระดับรางวัลแม็กไซไซเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ให้ ตั้งชื่อเรียบๆ ง่ายๆ แต่เห็นปุ๊บก็เข้าใจปั๊บทันที คือเรื่อง "ผีหลอก"
ปีศาจนิยายได้รับความนิยมจากแฟนๆ หนังสือขนาดไหนคงไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ
เมื่อคนอ่านชอบเรื่องผีขนาดนี้ เรื่องผีๆ สางๆ ก็ต้องออกมาสะพรึบสะพรั่งแทบจะล้นแผงเป็นธรรมดา
ไม่ว่านักเขียนดังมากหรือดังน้อย รวมทั้งนักเขียนโนเนมที่เขียนเรื่องสั้นแนวอื่นๆ ไม่ว่าแนวบู๊ล้างผลาญ หรือเพ้อฝันหวานหวานแหวว รวมทั้งเรื่องประเภทเบื้องหลังสังคมที่เคยขายดิบขายดี แต่มาตอนนี้กลับขายอืดเป็นเรือเกลือ สำนักพิมพ์บางแห่งก็แนะนำให้ลองเขียนเรื่องผีดูบ้างปะไร!
นอกจากสำนักพิมพ์จะเร่งผลิตเรื่องผีในรูปเล่มพ็อก เกตบุ๊ก เหมาะสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยเล็กกันอย่างแพร่หลาย นิตยสารรายสัปดาห์เด่นๆ อย่าง บางกอก สกุลไทย ศรีสยาม นพเก้า สายฝน ฟ้าเมืองไทย ฯลฯ หรือจะพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือ นิตยสารแทบทุกฉบับมักจะมีปีศาจนิยาย ไม่ว่าเรื่องยาวหรือเรื่องสั้นลงเป็นประจำ...เพราะบรรณาธิการรู้อกรู้ใจผู้อ่านดีว่ากำลังต้องการเสพสมกับเรื่องแนวไหน
"บ้านวังแดง" ของ "อรอนงค์" ก็ทำให้ยอดขายของบางกอกพุ่งกระฉูด "แก้วขนเหล็ก" กับ "ทายาทอสูร" ของตรี อภิรุม ดังระเบิดจนกลายเป็นละครวิทยุ ต่อมาเป็นหนังใหญ่โกยเงินอั๊กๆ ก่อนจะกลายเป็นละครทีวี
"ทายาทอสูร" น่ะเป็นคนละครทีวีหลายครั้งหลายคราแล้ว คุณยายวรนาฏ เสน่ห์แรงเหลือหลาย คุณชไมพร จตุรภุช ทั้งแสนสวยทั้งสง่างาม แต่นัยน์ตาที่เคยหวานใสในเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้กลับเหี้ยมเกรียมแบบเลือดเย็น เล่นเอาคนดูขนหัวลุกกันเป็นทิว
ล่าสุดได้คุณสินจัย หงษ์ไทย เป็นคุณยายวรนาฏ บทบาท เฉียบขาดชนิดไม่รู้ว่าใครเหนือกว่าใครเรียกว่ารักพี่เสียดายน้องก็แล้วกันโดยไม่เกี่ยวกับเพลง "บัวตูม-บัวบาน" ของหลวงพี่ พร ภิรมย์ แต่ประการใด สาบานให้ก็ยังได้ เอ้า!
เจอะเจอปีศาจแสนสวยเสน่ห์แรงเหลือหลายแบบนี้ พวกผู้ชายล้วนแต่คิดตรงกันหมดว่า...จะตายก็ไม่ว่า ขอชีวิตไว้ก็แล้วกัน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552
เรื่องนี้นักเขียนที่มากความสามารถ เขียนเรื่องได้รอบตัวประเภท "เมื่อปากกาอยู่ในมือข้าพเจ้า ท่านจะเป็นใครก็เร่งเข้ามา" ถือว่าได้เปรียบกว่าคนที่ถนัดแนวใดแนวหนึ่งโดยเฉพาะ
ป.อินทรปาลิต ผู้เป็นอมตะจากหัสนิยายชุดสามเกลอ นอกจากจะเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในหนังสือชุด "ศาลาปีศาจ" ก็ยังเคยเขียนเรื่องผีหลายเรื่องให้ผม รวบรวมกับนักเขียนอีกหลายๆ ท่าน จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเมื่อ พ.ศ.2510
พ็อกเกตบุ๊ก "ภูตผีปีศาจ" กับเล่มใหญ่ปกแข็ง "เปิดกรุผี" นำขบวนโดยคึกฤทธิ์ ปราโมช เขียน "เรื่องผีผี"
อุษณา เพลิงธรรม นักเขียนแนวโรแมนติก-อีโรติก ก็เขียน "ทับนาง" อ่านแล้วขนลุกขนชันอย่าบอกใครเชียว
เพ็ญแข ศุกรสูยานนท์ นักเขียนแนวเดียวกันเจ้าของผลงานรวมเรื่องสั้นอื้อฉาว (สำนวนสมัยก่อน) "เมื่อคืนนี้มีผู้หญิงกับผู้ชาย" ก็เขียนเรื่อง "ผีสุภาพ"
"นายรำคาญ" นักเขียนหัสนิยาย หรือเรื่องตลกรุ่นใหญ่ไล่ๆ กับ "ปิงปอง" อ.ร.ด."นายกล้าหาญ" ก็เขียนเรื่องผีแนวตลกเรื่อง "จุมพิตาอ่านเรื่องผี"
สุจิตต์ วงษ์เทศ เจ้าของ "ขุนเดช" อันเลื่องบันลือ รู้ว่าผมรวบรวมเรื่องผีเป็นเล่มใหญ่ปกแข็ง ก็กระวีกระวาดคว้ากระดาษวาดอักษรแต่โดยพลัน แต่เห็นชื่อเรื่องก็ขนหัวลุกกรูเกรียวแล้วครับ คือ "วิญญาณดึกดำบรรพ์ที่สุโขทัย"
อย่าว่าแต่นักเขียนใหญ่น้อยที่โด่งดัง ขนาดนักเขียนการ์ตูนยิ่งใหญ่มหึมายังโดดเข้ามาร่วมวง วางพู่กัน หยิบปากกาบรรเลงเรื่องผีด้วยนี่นา
ประยูร จรรยาวงษ์ หรือ "ศุขเล็ก" ราชาการ์ตูนระดับรางวัลแม็กไซไซเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ให้ ตั้งชื่อเรียบๆ ง่ายๆ แต่เห็นปุ๊บก็เข้าใจปั๊บทันที คือเรื่อง "ผีหลอก"
ปีศาจนิยายได้รับความนิยมจากแฟนๆ หนังสือขนาดไหนคงไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ
เมื่อคนอ่านชอบเรื่องผีขนาดนี้ เรื่องผีๆ สางๆ ก็ต้องออกมาสะพรึบสะพรั่งแทบจะล้นแผงเป็นธรรมดา
ไม่ว่านักเขียนดังมากหรือดังน้อย รวมทั้งนักเขียนโนเนมที่เขียนเรื่องสั้นแนวอื่นๆ ไม่ว่าแนวบู๊ล้างผลาญ หรือเพ้อฝันหวานหวานแหวว รวมทั้งเรื่องประเภทเบื้องหลังสังคมที่เคยขายดิบขายดี แต่มาตอนนี้กลับขายอืดเป็นเรือเกลือ สำนักพิมพ์บางแห่งก็แนะนำให้ลองเขียนเรื่องผีดูบ้างปะไร!
นอกจากสำนักพิมพ์จะเร่งผลิตเรื่องผีในรูปเล่มพ็อก เกตบุ๊ก เหมาะสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยเล็กกันอย่างแพร่หลาย นิตยสารรายสัปดาห์เด่นๆ อย่าง บางกอก สกุลไทย ศรีสยาม นพเก้า สายฝน ฟ้าเมืองไทย ฯลฯ หรือจะพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือ นิตยสารแทบทุกฉบับมักจะมีปีศาจนิยาย ไม่ว่าเรื่องยาวหรือเรื่องสั้นลงเป็นประจำ...เพราะบรรณาธิการรู้อกรู้ใจผู้อ่านดีว่ากำลังต้องการเสพสมกับเรื่องแนวไหน
"บ้านวังแดง" ของ "อรอนงค์" ก็ทำให้ยอดขายของบางกอกพุ่งกระฉูด "แก้วขนเหล็ก" กับ "ทายาทอสูร" ของตรี อภิรุม ดังระเบิดจนกลายเป็นละครวิทยุ ต่อมาเป็นหนังใหญ่โกยเงินอั๊กๆ ก่อนจะกลายเป็นละครทีวี
"ทายาทอสูร" น่ะเป็นคนละครทีวีหลายครั้งหลายคราแล้ว คุณยายวรนาฏ เสน่ห์แรงเหลือหลาย คุณชไมพร จตุรภุช ทั้งแสนสวยทั้งสง่างาม แต่นัยน์ตาที่เคยหวานใสในเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้กลับเหี้ยมเกรียมแบบเลือดเย็น เล่นเอาคนดูขนหัวลุกกันเป็นทิว
ล่าสุดได้คุณสินจัย หงษ์ไทย เป็นคุณยายวรนาฏ บทบาท เฉียบขาดชนิดไม่รู้ว่าใครเหนือกว่าใครเรียกว่ารักพี่เสียดายน้องก็แล้วกันโดยไม่เกี่ยวกับเพลง "บัวตูม-บัวบาน" ของหลวงพี่ พร ภิรมย์ แต่ประการใด สาบานให้ก็ยังได้ เอ้า!
เจอะเจอปีศาจแสนสวยเสน่ห์แรงเหลือหลายแบบนี้ พวกผู้ชายล้วนแต่คิดตรงกันหมดว่า...จะตายก็ไม่ว่า ขอชีวิตไว้ก็แล้วกัน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552
22 ธันวาคม 2556
ปีศาจนิยาย (2)
ผมมีโอกาสได้ไปพบ ครูเหม เวชกร ที่บ้านถนนตากสินเมื่อราวปี 2510 เมื่อครูเหมรู้ว่าผมเป็นแฟนเรื่องผีของท่านชนิดจับกระดูก ก็ได้กรุณาสละเวลามาพูดคุยเรื่องผีๆ สางๆ กับเด็กคราวลูกคราวหลานโดยไม่ถือเนื้อถือตัว หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บ่งบอกว่าอารมณ์ดีเหมือนเกิดมาไม่เคยโกรธเคืองใครเลยก็ว่าได้
แถมแนะนำกลเม็ดเด็ดพรายในการเขียนเรื่องผี หรือ "ปีศาจนิยาย" ให้อีกด้วย
"จะได้ช่วยกันเขียนเรื่องแนวนี้บำเรอผู้อ่านต่อๆ ไป" ครูเหมว่า
กลเม็ดที่ว่านั้นก็คือ ต้องสร้างฉากให้สมจริงไม่ใช่เลื่อน ลอยชนิด "ณ ตำบลเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในภาคเหนือ" ก็จะไม่น่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น แต่ควรจะระบุบอกให้ชัดเจนว่าเป็นตำบลใด อำเภอไหน จังหวัดอะไร
ยิ่งถ้าได้ชื่อหมู่บ้าน ชื่อวัด รวมทั้งถนนหนทางและร้านรวงต่างๆ ก็จะยิ่งดูสมจริงสมจังมากขึ้น เพราะคนอ่านที่อยู่ไกลลิบลับจากฉากนั้นๆ ก็เกิดความเชื่อถือว่าคงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่วนคนที่อยู่ในจังหวัดหรืออำเภอนั้น แม้แต่ใกล้เคียง ก็อาจจะรู้จัก หมู่บ้าน ตำบล หรือวัดนั้นวัดนี้ที่เราเขียนถึงเสียเป็นส่วนใหญ่
อ้อ! มีฉากจริงๆ แฮะ...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เราไม่ได้ข่าวคราวมาก่อนเท่านั้นเอง!
ต่อจากเรื่องฉากก็ต้องเน้นที่ความน่ากลัว "ครูเหม" นิยมใช้คำว่า "บรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ" แต่เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ความช่ำชองจากการเขียนบ่อยๆ เข้าไว้
ฝีมือใครฝีมือมัน ว่างั้นเถอะครับ
ย้อนไปเมื่อ เหม เวชกร เขียน "ผี!!" กับเรื่องต่อๆ มาขายดิบขายดีเป็นว่าเล่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติไม่นานนัก เหม เวชกร ได้เขียนเรื่องผีเล่มพิเศษเป็นรวมเรื่องสั้นค่อนข้างหนา พิมพ์เป็นปกแข็งเล่มแรก
"อสุรกาย" คือหนังสือที่ว่า
"ผี!!" ว่าโด่งดังแล้ว "อสุรกาย" กลับดังระเบิดเถิดเทิงกว่าเป็นไหนๆ
สมัยสงครามกระดาษหายากพอๆ กับทองคำ ต้องใช้กระดาษสาสีเหลืองหยาบมาพิมพ์หนังสือแก้ขัด พอจะประโลมใจผู้คนให้คลายทุกข์จากความฝืดเคืองยากเข็ญของสงครามไปได้บ้าง ครูเหมเคยแยกไปตั้งสำนักพิมพ์ "คณะเหม" อยู่พักหนึ่ง พิมพ์งานของนักเขียนใหม่ผู้ดังระเบิดในเวลาต่อมาในนามปากกา ไม้ เมืองเดิม
สงครามเลิก กระดาษดีๆ เข้ามาได้สะดวก "อสุรกาย" ของ เหม เวชกร ก็พิมพ์ใหญ่ คราวนี้พิมพ์แล้วพิมพ์อีกเพราะขายดีไม่เลิกรา ช่วงหลังๆ บรรณาคารเอามาพิมพ์ใหม่เป็นหนังสือปกอ่อนหลายเล่ม ครั้นหมดชุดก็ไปขอให้ครูเหมเขียนเรื่องใหม่มาทยอยพิมพ์ออกวางแผงเรื่อยๆ จนครูเหมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2512
เมื่อราว 20 ปีก่อน สำนักพิมพ์บันดาลสาส์นนำมาพิมพ์ซ้ำ แบ่งเป็นเล่มเล็กๆ ราวร้อยกว่าหน้าได้ประมาณ 10 เล่ม เช่น เรื่อง หมอผี, ไปฝังศพ, เมื่อแม่วันทอง, ก็ผีน่ะซี และวิญญาณพเนจร เป็นต้น ราคาเล่มละ 15 บาท ปรากฏว่าขายดิบขายดีไม่แพ้พิมพ์หนแรก
ล่าสุด สำนักพิมพ์ดอกหญ้านำเรื่อง "อสุรกาย" หรือชุด "ปีศาจไทย" ออกมารวมพิมพ์เป็นเล่มหนาๆ ได้อีก 3 เล่ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องสยองขวัญในเล่ม ก็คือคำนำเปิดอกของครูเหมในชื่อ "จุดประสงค์" ลองอ่านท่อนท้ายดูหน่อยปะไร
"สำหรับการประพันธ์เรื่องปีศาจของไทยของผู้เขียนนี้ จุดประสงค์อยู่ที่ว่าจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าการประพันธ์มีหลายแนว และเรื่องชนิดนี้ก็เป็นอีกแนวหนึ่งของการประพันธ์ มิได้มุ่งหวังให้ท่านเชื่อว่าผีมีจริง เพราะการเชื่อไม่เชื่ออยู่แต่ละบุคคล"
คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนอาวุโสเป็นแฟนครูเหมมาดึกดำบรรพ์ เคยเล่าให้ผมฟังว่าครูเหมเขียนเรื่องผีสนุกทุกเรื่องก็ว่าได้ แต่เรื่องที่ถือว่าสุดยอดก็คือเรื่องของหนุ่มขี้เหงาที่ชอบเปิดวิทยุฟังยามค่ำคืน อาศัยเป็นเพื่อนแก้เหงาเพราะสมัยนั้นยังไม่มีทีวี
...ก็เลยได้พูดคุยกับพิธีกรสาวทางโทรศัพท์ เป็นที่ถูกอกถูกใจกันเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับต้องคุยกันเป็นประจำทุกคืน ชีวิตของหนุ่มขี้เหงาก็หายเหงา ของสำคัญที่ชีวิตหนุ่มขาดหายไปก็ดูเหมือนจะเอ่อเต็มขึ้นมา
ถึงตอนจบกลับไม่มีเสียงหวานๆ ของสาวผู้นั้นอีกแล้ว แต่กลายเป็นเสียงของสาวอื่นดังขึ้นแทน ชายหนุ่มฟังจนทนไม่ไหว เพราะความคิดถึงคะนึงหาเจ้าของเสียงคนเดิมเสียนี่กระไร เลยโทรศัพท์ไปหา แต่ปรากฏว่าสาวคนใหม่ที่จัดรายการแทนเป็นผู้รับสาย
เมื่อถามถึงสาวคนเดิมที่เคยคุยกันทุกคืนก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า...เธอไปเกิดแล้วค่ะ!
ใครเจอะเจอเข้าแบบนี้ขนแขนไม่สแตนด์อัพขึ้นมาโด่เด่ก็เห็นจะผิดที! บรื๋อออ.....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552
แถมแนะนำกลเม็ดเด็ดพรายในการเขียนเรื่องผี หรือ "ปีศาจนิยาย" ให้อีกด้วย
"จะได้ช่วยกันเขียนเรื่องแนวนี้บำเรอผู้อ่านต่อๆ ไป" ครูเหมว่า
กลเม็ดที่ว่านั้นก็คือ ต้องสร้างฉากให้สมจริงไม่ใช่เลื่อน ลอยชนิด "ณ ตำบลเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในภาคเหนือ" ก็จะไม่น่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น แต่ควรจะระบุบอกให้ชัดเจนว่าเป็นตำบลใด อำเภอไหน จังหวัดอะไร
ยิ่งถ้าได้ชื่อหมู่บ้าน ชื่อวัด รวมทั้งถนนหนทางและร้านรวงต่างๆ ก็จะยิ่งดูสมจริงสมจังมากขึ้น เพราะคนอ่านที่อยู่ไกลลิบลับจากฉากนั้นๆ ก็เกิดความเชื่อถือว่าคงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่วนคนที่อยู่ในจังหวัดหรืออำเภอนั้น แม้แต่ใกล้เคียง ก็อาจจะรู้จัก หมู่บ้าน ตำบล หรือวัดนั้นวัดนี้ที่เราเขียนถึงเสียเป็นส่วนใหญ่
อ้อ! มีฉากจริงๆ แฮะ...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เราไม่ได้ข่าวคราวมาก่อนเท่านั้นเอง!
ต่อจากเรื่องฉากก็ต้องเน้นที่ความน่ากลัว "ครูเหม" นิยมใช้คำว่า "บรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ" แต่เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ความช่ำชองจากการเขียนบ่อยๆ เข้าไว้
ฝีมือใครฝีมือมัน ว่างั้นเถอะครับ
ย้อนไปเมื่อ เหม เวชกร เขียน "ผี!!" กับเรื่องต่อๆ มาขายดิบขายดีเป็นว่าเล่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติไม่นานนัก เหม เวชกร ได้เขียนเรื่องผีเล่มพิเศษเป็นรวมเรื่องสั้นค่อนข้างหนา พิมพ์เป็นปกแข็งเล่มแรก
"อสุรกาย" คือหนังสือที่ว่า
"ผี!!" ว่าโด่งดังแล้ว "อสุรกาย" กลับดังระเบิดเถิดเทิงกว่าเป็นไหนๆ
สมัยสงครามกระดาษหายากพอๆ กับทองคำ ต้องใช้กระดาษสาสีเหลืองหยาบมาพิมพ์หนังสือแก้ขัด พอจะประโลมใจผู้คนให้คลายทุกข์จากความฝืดเคืองยากเข็ญของสงครามไปได้บ้าง ครูเหมเคยแยกไปตั้งสำนักพิมพ์ "คณะเหม" อยู่พักหนึ่ง พิมพ์งานของนักเขียนใหม่ผู้ดังระเบิดในเวลาต่อมาในนามปากกา ไม้ เมืองเดิม
สงครามเลิก กระดาษดีๆ เข้ามาได้สะดวก "อสุรกาย" ของ เหม เวชกร ก็พิมพ์ใหญ่ คราวนี้พิมพ์แล้วพิมพ์อีกเพราะขายดีไม่เลิกรา ช่วงหลังๆ บรรณาคารเอามาพิมพ์ใหม่เป็นหนังสือปกอ่อนหลายเล่ม ครั้นหมดชุดก็ไปขอให้ครูเหมเขียนเรื่องใหม่มาทยอยพิมพ์ออกวางแผงเรื่อยๆ จนครูเหมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2512
เมื่อราว 20 ปีก่อน สำนักพิมพ์บันดาลสาส์นนำมาพิมพ์ซ้ำ แบ่งเป็นเล่มเล็กๆ ราวร้อยกว่าหน้าได้ประมาณ 10 เล่ม เช่น เรื่อง หมอผี, ไปฝังศพ, เมื่อแม่วันทอง, ก็ผีน่ะซี และวิญญาณพเนจร เป็นต้น ราคาเล่มละ 15 บาท ปรากฏว่าขายดิบขายดีไม่แพ้พิมพ์หนแรก
ล่าสุด สำนักพิมพ์ดอกหญ้านำเรื่อง "อสุรกาย" หรือชุด "ปีศาจไทย" ออกมารวมพิมพ์เป็นเล่มหนาๆ ได้อีก 3 เล่ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องสยองขวัญในเล่ม ก็คือคำนำเปิดอกของครูเหมในชื่อ "จุดประสงค์" ลองอ่านท่อนท้ายดูหน่อยปะไร
"สำหรับการประพันธ์เรื่องปีศาจของไทยของผู้เขียนนี้ จุดประสงค์อยู่ที่ว่าจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าการประพันธ์มีหลายแนว และเรื่องชนิดนี้ก็เป็นอีกแนวหนึ่งของการประพันธ์ มิได้มุ่งหวังให้ท่านเชื่อว่าผีมีจริง เพราะการเชื่อไม่เชื่ออยู่แต่ละบุคคล"
คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนอาวุโสเป็นแฟนครูเหมมาดึกดำบรรพ์ เคยเล่าให้ผมฟังว่าครูเหมเขียนเรื่องผีสนุกทุกเรื่องก็ว่าได้ แต่เรื่องที่ถือว่าสุดยอดก็คือเรื่องของหนุ่มขี้เหงาที่ชอบเปิดวิทยุฟังยามค่ำคืน อาศัยเป็นเพื่อนแก้เหงาเพราะสมัยนั้นยังไม่มีทีวี
...ก็เลยได้พูดคุยกับพิธีกรสาวทางโทรศัพท์ เป็นที่ถูกอกถูกใจกันเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับต้องคุยกันเป็นประจำทุกคืน ชีวิตของหนุ่มขี้เหงาก็หายเหงา ของสำคัญที่ชีวิตหนุ่มขาดหายไปก็ดูเหมือนจะเอ่อเต็มขึ้นมา
ถึงตอนจบกลับไม่มีเสียงหวานๆ ของสาวผู้นั้นอีกแล้ว แต่กลายเป็นเสียงของสาวอื่นดังขึ้นแทน ชายหนุ่มฟังจนทนไม่ไหว เพราะความคิดถึงคะนึงหาเจ้าของเสียงคนเดิมเสียนี่กระไร เลยโทรศัพท์ไปหา แต่ปรากฏว่าสาวคนใหม่ที่จัดรายการแทนเป็นผู้รับสาย
เมื่อถามถึงสาวคนเดิมที่เคยคุยกันทุกคืนก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า...เธอไปเกิดแล้วค่ะ!
ใครเจอะเจอเข้าแบบนี้ขนแขนไม่สแตนด์อัพขึ้นมาโด่เด่ก็เห็นจะผิดที! บรื๋อออ.....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552
20 ธันวาคม 2556
ปีศาจนิยาย (1)
เรื่องภูตผีปีศาจประเภทผีหลอกวิญญาณหลอน เป็นของคู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะผีไทยนี่วิจิตรพิสดารเหลือหลาย มีมากมายหลายหลากที่สุดในโลก ดังที่ได้แยกประเภทต่างๆ ไว้ในตอนแรกๆ
เผลอๆ ยังอาจหลงลืม จนหายหกตกหล่นไปอีกหลายชนิดก็เป็นได้
โดยเฉพาะเปรตนี่ยังไม่เคยได้ยินว่าชาติไหนจะมีอสุรกายสูงโย่งเย่งยิ่งกว่าเสาไฟฟ้า หรือใครเคยได้ยินฟังก็ช่วยบอกกล่าวกันบ้างก็จะเป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง
เมื่อมีการพิมพ์เผยแพร่เข้ามาในสยามประเทศ จึงมีการเขียนเรื่องภูตผีขึ้นมา
คุณวิจารณ์ ศตสุข อักษรศาสตรบัณฑิตรุ่นเดียวกับจิตร ภูมิศักดิ์ สนอกสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจนานาชาติ สะสมหนังสือสารคดีและนิยายเกี่ยวกับ "ผู้ไม่มีร่างกาย" ไม่ว่าผีฝรั่ง ผีแขก ผีจีน ผีญี่ปุ่นและผีไทยเอาไว้มากมาย เคยเล่าให้ผมฟังว่า...เริ่มแรกเป็นบันทึกเรื่องราวของภูตผีปีศาจที่เล่าต่อๆ กันมา ตั้งแต่ผีที่มีชื่อเสียงอย่างแม่นากพระโขนง หรือผีสางนางไม้ทั้งหลายที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่ากลัว จนถึงชวนให้สยดสยองพองขน เช่น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผีป่า รวมทั้งผีพยาบาทและผีที่มาขอส่วนบุญ เป็นต้น
เรียกว่าเป็นผีจริงๆ ไม่ใช่ผีหลอกๆ แม้ว่าจะเป็นผีที่มาหลอกหลอนให้ผู้คนอกสั่นขวัญกระเจิงก็เถอะน่า
หรือจะเรียกว่าเป็น "สารคดีปีศาจ" ก็คงได้!
หนังสือที่ว่านั้นเป็นการบันทึกเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟัง เรื่องไหนสนุกสนาน หรือน่าสะพรึงกลัวก็จะนำมาบันทึกไว้ เป็นที่ชอบของผู้อ่านที่มีรสนิยมในเรื่องผีๆ สางๆ ซึ่งส่วนมากมักจะกลัวผี และยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน มีส่วนน้อยที่ยืนยันว่าไม่กลัวผีเลย แม้ชอบอ่านเรื่องผี...ใครจะทำไม?
นายพันโท พระพินิจสารา เป็นผู้รวบรวมสารคดีปีศาจดังกล่าว จัดพิมพ์เมื่อประมาณปี 2470
ต่อมา เมื่อคุณเวช กระตุฤกษ์ ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ขึ้นที่แม้นศรี ตรงข้ามวัดสระเกศ ในพ.ศ. 2475 ได้จัดพิมพ์นิยายซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า "เรื่องประโลมโลกย์" ราคาเล่มละ 10 สตางค์ ปรากฏว่าขายดีเหมือนเอาไปทิ้งแม่น้ำครั้งละ 2-3 หมื่นเล่ม ขณะที่นิยายซึ่งถือว่า "ชั้นสูง" ราคาเล่มละ 1 บาท สำนักพิมพ์จะพิมพ์เพียง 1 พันเล่มเท่านั้น
เล่มไหนขายได้ 5-6 ร้อยเล่มก็ถือว่าขายดีเต็มทีแล้ว!
...ยกเว้นแต่จะเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดัง แฟนๆ ติดเกรียวกราวอย่าง "ศรีบูรพา" "ดอกไม้สด" "หม่อมเจ้าอากาศ ดำเกิง" จึงจะพิมพ์ 2 พันเล่ม แถมขายได้เกือบหมดหรือต้องพิมพ์ซ้ำอีกต่างหาก
มีการสบประมาทกันเองว่านักเขียน 10 สตางค์ เป็น "นักเขียนตลาด" หรือ เขียนให้แม่ค้าอ่านเท่านั้นแหละ
แต่นักเขียน 10 สตางค์ที่ชื่อ เหม เวชกร นี่เองที่เป็นคนเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในรูปแบบนิยาย หรือจะเรียกว่า "ปีศาจนิยาย" เป็นคนแรกของไทยเมื่อปี 2478
"ผี!!" โดยเหม เวชกร จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์
มีพล็อตเรื่องแบบเรื่องสั้น มีตัวละคร มีฉากที่น่าเชื่อถือ มีบรรยากาศที่ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจ โดยเฉพาะต้องมีผู้ไร้ร่างกายมาปรากฏ บางเรื่องอาจมีเพียงกลิ่นหรือเสียงแปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัว หรือไม่ก็คุยกันเป็นนานสองนานถึงได้รู้ว่าคุยกับผี
ขายดิบขายดีขายดีชนิดวางแผงพรึ่บเดียวเกลี้ยง!
ต้องพิมพ์ซ้ำพิมพ์ซากหลายครั้งหลายหน เพราะผู้อ่านที่ชอบเรื่องแนวนี้หาซื้ออ่านกันเป็นว่าเล่น ปากต่อปากบอกต่อๆ กันไปว่า "ผีเหม" สนุกนักหนา
เหม เวชกร เลยเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ออกมาอีกหลายเล่ม พร้อมกับเขียนภาพปกและภาพประกอบด้วยฝีมือล้ำเลิศระดับบรมครูเองอีกด้วย คนอ่านไม่ว่าจะดูรูปหรืออ่านเรื่องก็จะมีอาการขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว แต่ชอบบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจ หรือชอบขนลุกขนพองจับกระดูกเสียแล้ว...ยิ่งขนลุกบ่อยๆ ยิ่งดี
เดี๋ยวนี้มีสำบัดสำนวนสวิงสวายตามยุคสมัยว่า...อ่านแล้วรับรองว่าขนแขนสแตนด์อัพทันใด!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552
เผลอๆ ยังอาจหลงลืม จนหายหกตกหล่นไปอีกหลายชนิดก็เป็นได้
โดยเฉพาะเปรตนี่ยังไม่เคยได้ยินว่าชาติไหนจะมีอสุรกายสูงโย่งเย่งยิ่งกว่าเสาไฟฟ้า หรือใครเคยได้ยินฟังก็ช่วยบอกกล่าวกันบ้างก็จะเป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง
เมื่อมีการพิมพ์เผยแพร่เข้ามาในสยามประเทศ จึงมีการเขียนเรื่องภูตผีขึ้นมา
คุณวิจารณ์ ศตสุข อักษรศาสตรบัณฑิตรุ่นเดียวกับจิตร ภูมิศักดิ์ สนอกสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจนานาชาติ สะสมหนังสือสารคดีและนิยายเกี่ยวกับ "ผู้ไม่มีร่างกาย" ไม่ว่าผีฝรั่ง ผีแขก ผีจีน ผีญี่ปุ่นและผีไทยเอาไว้มากมาย เคยเล่าให้ผมฟังว่า...เริ่มแรกเป็นบันทึกเรื่องราวของภูตผีปีศาจที่เล่าต่อๆ กันมา ตั้งแต่ผีที่มีชื่อเสียงอย่างแม่นากพระโขนง หรือผีสางนางไม้ทั้งหลายที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่ากลัว จนถึงชวนให้สยดสยองพองขน เช่น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผีป่า รวมทั้งผีพยาบาทและผีที่มาขอส่วนบุญ เป็นต้น
เรียกว่าเป็นผีจริงๆ ไม่ใช่ผีหลอกๆ แม้ว่าจะเป็นผีที่มาหลอกหลอนให้ผู้คนอกสั่นขวัญกระเจิงก็เถอะน่า
หรือจะเรียกว่าเป็น "สารคดีปีศาจ" ก็คงได้!
หนังสือที่ว่านั้นเป็นการบันทึกเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟัง เรื่องไหนสนุกสนาน หรือน่าสะพรึงกลัวก็จะนำมาบันทึกไว้ เป็นที่ชอบของผู้อ่านที่มีรสนิยมในเรื่องผีๆ สางๆ ซึ่งส่วนมากมักจะกลัวผี และยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน มีส่วนน้อยที่ยืนยันว่าไม่กลัวผีเลย แม้ชอบอ่านเรื่องผี...ใครจะทำไม?
นายพันโท พระพินิจสารา เป็นผู้รวบรวมสารคดีปีศาจดังกล่าว จัดพิมพ์เมื่อประมาณปี 2470
ต่อมา เมื่อคุณเวช กระตุฤกษ์ ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ขึ้นที่แม้นศรี ตรงข้ามวัดสระเกศ ในพ.ศ. 2475 ได้จัดพิมพ์นิยายซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า "เรื่องประโลมโลกย์" ราคาเล่มละ 10 สตางค์ ปรากฏว่าขายดีเหมือนเอาไปทิ้งแม่น้ำครั้งละ 2-3 หมื่นเล่ม ขณะที่นิยายซึ่งถือว่า "ชั้นสูง" ราคาเล่มละ 1 บาท สำนักพิมพ์จะพิมพ์เพียง 1 พันเล่มเท่านั้น
เล่มไหนขายได้ 5-6 ร้อยเล่มก็ถือว่าขายดีเต็มทีแล้ว!
...ยกเว้นแต่จะเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดัง แฟนๆ ติดเกรียวกราวอย่าง "ศรีบูรพา" "ดอกไม้สด" "หม่อมเจ้าอากาศ ดำเกิง" จึงจะพิมพ์ 2 พันเล่ม แถมขายได้เกือบหมดหรือต้องพิมพ์ซ้ำอีกต่างหาก
มีการสบประมาทกันเองว่านักเขียน 10 สตางค์ เป็น "นักเขียนตลาด" หรือ เขียนให้แม่ค้าอ่านเท่านั้นแหละ
แต่นักเขียน 10 สตางค์ที่ชื่อ เหม เวชกร นี่เองที่เป็นคนเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในรูปแบบนิยาย หรือจะเรียกว่า "ปีศาจนิยาย" เป็นคนแรกของไทยเมื่อปี 2478
"ผี!!" โดยเหม เวชกร จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์
มีพล็อตเรื่องแบบเรื่องสั้น มีตัวละคร มีฉากที่น่าเชื่อถือ มีบรรยากาศที่ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจ โดยเฉพาะต้องมีผู้ไร้ร่างกายมาปรากฏ บางเรื่องอาจมีเพียงกลิ่นหรือเสียงแปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัว หรือไม่ก็คุยกันเป็นนานสองนานถึงได้รู้ว่าคุยกับผี
ขายดิบขายดีขายดีชนิดวางแผงพรึ่บเดียวเกลี้ยง!
ต้องพิมพ์ซ้ำพิมพ์ซากหลายครั้งหลายหน เพราะผู้อ่านที่ชอบเรื่องแนวนี้หาซื้ออ่านกันเป็นว่าเล่น ปากต่อปากบอกต่อๆ กันไปว่า "ผีเหม" สนุกนักหนา
เหม เวชกร เลยเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ออกมาอีกหลายเล่ม พร้อมกับเขียนภาพปกและภาพประกอบด้วยฝีมือล้ำเลิศระดับบรมครูเองอีกด้วย คนอ่านไม่ว่าจะดูรูปหรืออ่านเรื่องก็จะมีอาการขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว แต่ชอบบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจ หรือชอบขนลุกขนพองจับกระดูกเสียแล้ว...ยิ่งขนลุกบ่อยๆ ยิ่งดี
เดี๋ยวนี้มีสำบัดสำนวนสวิงสวายตามยุคสมัยว่า...อ่านแล้วรับรองว่าขนแขนสแตนด์อัพทันใด!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552
18 ธันวาคม 2556
ธรรมเนียมผีไทย (5)
ขั้นตอนต่อมาก็คือการล้างหน้าศพ!
ก่อนจะถูกเผาให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่รอมร่อ โดยสัปเหร่อผู้ยืนจังก้าอยู่บนเมรุ ใช้มีดผ่ามะพร้าวฝีมือช่ำชองขนาดฉัวะเดียวขาดกลาง แล้วเทน้ำมะพร้าวราดหน้าศพ บางรายก็จะใช้น้ำที่เหลือรดราดแบบสาดไปตามเนื้อตัวของศพ ที่นอนพนมมือประกบดอกไม้ธูปเทียนมัดด้วยสายสิญจน์...ราวกับจะเป็นขอขมาลาโทษเป็นครั้งสุดท้าย
รวมทั้งเอาไปกราบไหว้บูชาท่านผู้เป็นใหญ่ในภพหน้า
เนื้อมะพร้าวสองซีกในกะลา ก็โยนให้ญาติมิตรของผู้ตายที่ยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างๆ เมรุไปแบ่งกันกิน ถือซะว่าเป็นลาสต์ซัปเปอร์ละกัน
...เสร็จสรรพก็จัดการพลิกศพให้นอนคว่ำ บางทีก็มีการหักแขนหักขาน่าเสียวไส้ ก่อนจะใช้ฟืนในเมรุนั่น แหละมาทับศพไว้ราว 5-6 ท่อน เพื่อป้องกันมิให้ศพนั้นลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมาตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้คึ่กๆ เพราะเส้นเอ็นเกิดปฏิกิริยากับความร้อน จนทำให้คนขวัญอ่อนเป็นลมเป็นแล้งกันมานักต่อนักแล้ว
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการราดน้ำมันก๊าด จุดไฟลุกคึ่กๆ ขึ้นมา
ไม่ช้าควันสีดำก็พวยพุ่งจากปล่องหลังคา ท่าม กลางเสียงร้องไห้ระงมของญาติสนิทมิตรสหาย โดยมีสัปเหร่อล่าถอยหลบความร้อนในระยะห่างพอสมควร คอยถือไม้ไผ่ท่อนยาวๆ คอยเขี่ยฟืนที่ยุบลงมาบ้าง สาดน้ำใส่ไฟที่ทำท่าว่าจะร้อนแรงเกินไปบ้าง
...เดี๋ยวเกิดฟืนถูกเผาหมดก่อนศพจะเหลือแต่กระดูก ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ควรการ!
ครั้นไฟเริ่มซา แขกเหลือน้อย ญาติมิตรต่างทยอยกันกลับ จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นถึงจะนิมนต์พระท่านมาบังสุกุล ชักผ้า ก่อนจะเก็บกระดูกสำคัญ เช่น ส่วนกะโหลกชิ้นเล็กๆ ไปใส่โกศบูชาที่บ้าน
น่าสังเกตว่าวันนั้นถือเป็นวัน "ออกทุกข์" คนไทยที่แต่งกายชุดดำแบบฝรั่งมังค่ามาตั้งแต่วันที่ญาติตาย แต่วันเก็บอัฐิจะแต่งเขียวแต่งแดง ดูสดใสกันเป็นพิเศษ
แต่ใครที่ผูกพันลึกซึ้งกับผู้ตาย จะไว้ทุกข์ต่อไปอีกเดือนสองเดือนก็มี เป็นปีๆ หรือตลอดชีวิตก็มี ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนนั้นๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดหรอกครับเรื่องแบบนี้น่ะ!
เมื่อเผาผีกันเสร็จสรรพ ความกลัวผีก็มักติดตามมาไม่ช้าไม่นานนัก
เคยร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าวันตาย วันเผา มาตอนนี้ก็ชักทำนัยน์ตาลอกแลก เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงว่าผีนั้นจะกลับบ้านกลับช่องหรือเปล่า?
แหม! กระดูกก็ยังอยู่ในโกศตั้งเด่น มองเห็นอยู่ทนโท่
โบราณเชื่อกันว่า เมื่อตายไปครบ 3 วัน ผีจะเข้าบ้านเก็บรอยตีนของตน!
แต่เมื่อคนเราเกิดมาเพื่อจะกลัวผีเสียอย่าง ไม่ว่าจะตายไป 3 วันหรือเผาไป 3 วัน ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าผีจะตามมาเก็บรอยตีน หรือเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายโดยเฉพาะ อยู่ในบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ก่อนตายหรือเปล่า?
ว่ากันว่า ที่ผีมาเก็บรอยตีนนั้นก็เพื่อจะได้ลืมเลือนว่าตัวเองเคยเป็นใคร? อยู่ที่ไหนมาก่อน เพื่อตัดปัญหาในเรื่องการจดจำรำลึกชาติได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความยุ่งยากจนถึงโกลาหลอลหม่านเปล่าๆ ว่าชาติก่อนเคยเป็นพ่อแม่คนนั้น เคยเป็นลูกหลานคนนี้...
ยิ่งมีหลักฐานยืนยันได้ก็จะเกิดความวุ่นวายกันไม่เสร็จสิ้น
...ยกให้เป็นเรื่องของ "สมี" ที่ชอบอ้างว่าเคยเป็นบุตรของอุบาสิกาที่ร่ำรวยนักหนาในชาตินี้ มาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนก็แล้วกัน...แถมจำได้ว่ามีแม่หลายคนในหลายๆ ชาติอีกต่างหาก!
ความเชื่อที่ว่าผีมาเก็บรอยตีน ทำให้เกิดการพิสูจน์กันว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ด้วยการใช้แป้งข้าวเจ้าโรยไว้ที่ลานบ้าน เข้าทำนองตำรวจตรวจหาลายมือคนร้าย...บางรายก็ไม่พบเห็นอะไร แต่บางรายยืนยันว่ารุ่งเช้ารีบไปดูก็เห็นรอยตีนตามแป้งนั้นเปรอะไปหมด
แสดงว่าผีเข้ามาเก็บรอยจริงๆ อย่างที่โบราณว่า
เอาจริงเข้าก็เลยไม่ทราบแน่ว่า ผีมาเก็บรอยตีน หรือมาทิ้งรอยตีนไว้กันแน่นะครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2552
ก่อนจะถูกเผาให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่รอมร่อ โดยสัปเหร่อผู้ยืนจังก้าอยู่บนเมรุ ใช้มีดผ่ามะพร้าวฝีมือช่ำชองขนาดฉัวะเดียวขาดกลาง แล้วเทน้ำมะพร้าวราดหน้าศพ บางรายก็จะใช้น้ำที่เหลือรดราดแบบสาดไปตามเนื้อตัวของศพ ที่นอนพนมมือประกบดอกไม้ธูปเทียนมัดด้วยสายสิญจน์...ราวกับจะเป็นขอขมาลาโทษเป็นครั้งสุดท้าย
รวมทั้งเอาไปกราบไหว้บูชาท่านผู้เป็นใหญ่ในภพหน้า
เนื้อมะพร้าวสองซีกในกะลา ก็โยนให้ญาติมิตรของผู้ตายที่ยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างๆ เมรุไปแบ่งกันกิน ถือซะว่าเป็นลาสต์ซัปเปอร์ละกัน
...เสร็จสรรพก็จัดการพลิกศพให้นอนคว่ำ บางทีก็มีการหักแขนหักขาน่าเสียวไส้ ก่อนจะใช้ฟืนในเมรุนั่น แหละมาทับศพไว้ราว 5-6 ท่อน เพื่อป้องกันมิให้ศพนั้นลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมาตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้คึ่กๆ เพราะเส้นเอ็นเกิดปฏิกิริยากับความร้อน จนทำให้คนขวัญอ่อนเป็นลมเป็นแล้งกันมานักต่อนักแล้ว
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการราดน้ำมันก๊าด จุดไฟลุกคึ่กๆ ขึ้นมา
ไม่ช้าควันสีดำก็พวยพุ่งจากปล่องหลังคา ท่าม กลางเสียงร้องไห้ระงมของญาติสนิทมิตรสหาย โดยมีสัปเหร่อล่าถอยหลบความร้อนในระยะห่างพอสมควร คอยถือไม้ไผ่ท่อนยาวๆ คอยเขี่ยฟืนที่ยุบลงมาบ้าง สาดน้ำใส่ไฟที่ทำท่าว่าจะร้อนแรงเกินไปบ้าง
...เดี๋ยวเกิดฟืนถูกเผาหมดก่อนศพจะเหลือแต่กระดูก ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ควรการ!
ครั้นไฟเริ่มซา แขกเหลือน้อย ญาติมิตรต่างทยอยกันกลับ จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นถึงจะนิมนต์พระท่านมาบังสุกุล ชักผ้า ก่อนจะเก็บกระดูกสำคัญ เช่น ส่วนกะโหลกชิ้นเล็กๆ ไปใส่โกศบูชาที่บ้าน
น่าสังเกตว่าวันนั้นถือเป็นวัน "ออกทุกข์" คนไทยที่แต่งกายชุดดำแบบฝรั่งมังค่ามาตั้งแต่วันที่ญาติตาย แต่วันเก็บอัฐิจะแต่งเขียวแต่งแดง ดูสดใสกันเป็นพิเศษ
แต่ใครที่ผูกพันลึกซึ้งกับผู้ตาย จะไว้ทุกข์ต่อไปอีกเดือนสองเดือนก็มี เป็นปีๆ หรือตลอดชีวิตก็มี ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนนั้นๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดหรอกครับเรื่องแบบนี้น่ะ!
เมื่อเผาผีกันเสร็จสรรพ ความกลัวผีก็มักติดตามมาไม่ช้าไม่นานนัก
เคยร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าวันตาย วันเผา มาตอนนี้ก็ชักทำนัยน์ตาลอกแลก เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงว่าผีนั้นจะกลับบ้านกลับช่องหรือเปล่า?
แหม! กระดูกก็ยังอยู่ในโกศตั้งเด่น มองเห็นอยู่ทนโท่
โบราณเชื่อกันว่า เมื่อตายไปครบ 3 วัน ผีจะเข้าบ้านเก็บรอยตีนของตน!
แต่เมื่อคนเราเกิดมาเพื่อจะกลัวผีเสียอย่าง ไม่ว่าจะตายไป 3 วันหรือเผาไป 3 วัน ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าผีจะตามมาเก็บรอยตีน หรือเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายโดยเฉพาะ อยู่ในบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ก่อนตายหรือเปล่า?
ว่ากันว่า ที่ผีมาเก็บรอยตีนนั้นก็เพื่อจะได้ลืมเลือนว่าตัวเองเคยเป็นใคร? อยู่ที่ไหนมาก่อน เพื่อตัดปัญหาในเรื่องการจดจำรำลึกชาติได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความยุ่งยากจนถึงโกลาหลอลหม่านเปล่าๆ ว่าชาติก่อนเคยเป็นพ่อแม่คนนั้น เคยเป็นลูกหลานคนนี้...
ยิ่งมีหลักฐานยืนยันได้ก็จะเกิดความวุ่นวายกันไม่เสร็จสิ้น
...ยกให้เป็นเรื่องของ "สมี" ที่ชอบอ้างว่าเคยเป็นบุตรของอุบาสิกาที่ร่ำรวยนักหนาในชาตินี้ มาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนก็แล้วกัน...แถมจำได้ว่ามีแม่หลายคนในหลายๆ ชาติอีกต่างหาก!
ความเชื่อที่ว่าผีมาเก็บรอยตีน ทำให้เกิดการพิสูจน์กันว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ด้วยการใช้แป้งข้าวเจ้าโรยไว้ที่ลานบ้าน เข้าทำนองตำรวจตรวจหาลายมือคนร้าย...บางรายก็ไม่พบเห็นอะไร แต่บางรายยืนยันว่ารุ่งเช้ารีบไปดูก็เห็นรอยตีนตามแป้งนั้นเปรอะไปหมด
แสดงว่าผีเข้ามาเก็บรอยจริงๆ อย่างที่โบราณว่า
เอาจริงเข้าก็เลยไม่ทราบแน่ว่า ผีมาเก็บรอยตีน หรือมาทิ้งรอยตีนไว้กันแน่นะครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2552
16 ธันวาคม 2556
ธรรมเนียมผีไทย (4)
คราวนี้มาดูธรรมเนียมทั่วๆ ไปของไทยเกี่ยวกับงานศพที่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งการป้องกันอันตรายจากผีๆ สางๆ ที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จะซาๆ ไปตามยุคสมัย แต่ตามชนบทอีกมากมายก็ยังรักษาขนบเก่าๆ เอาไว้อย่างเคร่งครัดตามสมควร
อย่างแรกก็คือการอาบน้ำชำระล้างร่างกายของผู้ตาย อาจจะถึงกับทาขมิ้นดินสอพองในวันแรก แต่งกายให้อย่างสวยงามหรือเต็มยศใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้ไปเกิดใหม่ด้วยความสะอาดสะอ้าน หรือดูภูมิฐานจนท่านผู้เป็นใหญ่ในยมโลกรู้สึกเคารพนับถือ อย่างน้อยก็เกรงเนื้อเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรหักหาญรุนแรงนัก
ผีมีเส้น! ว่างั้นเถอะ
อย่างต่อมาก็คือการซื้อที่ซื้อทางให้ผี ไม่ว่าจะเป็นตอนบรรจุฮวงซุ้ยหรือยกโลงขึ้นเผาบนเมรุก็ตาม
ถ้าเป็นฮวงซุ้ยก็จะใส่เงินไว้ข้างโลงก่อนที่สัปเหร่อจะโบกปูนปิด แต่ถ้าเป็นตอนเผาจี่ก็จะเอาเงินใส่ในโลงก่อนจุดไฟ แต่บางแห่งก็เอาเงินยัดปากเรียกว่า "เงินปากผี" โดยญาติมิตรผู้ใส่เงินนั้นมักจะทำปากขมุบขมิบ หรือบอกกล่าวให้ชัดแจ้งไปเลยว่า...ให้เอาเงินไปซื้อที่ซื้อทาง!
ที่ทางอะไร?
ในเมืองผี หรือโลกของผีมีการซื้อขายที่ดินกันด้วยหรือ?
สาเหตุก็เพราะเชื่อถือกันว่า ป่าช้าทุกแห่งย่อมมีศพมากมายก่ายกอง ตายทับตายถมกันมาไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พัน อาจจะนับเป็นหมื่นๆ ศพแล้วก็เป็นได้ ขนาดเป็นบ้านช่องหรือที่ทางทั่วไป คนไทยยังเชื่อถือว่ามีเจ้าที่เจ้าทางคอยดูแลอยู่แท้ๆ นี่นา แล้วนี่เป็นป่าช้าน่าสะพรึงกลัวน้อยอยู่หรือนั่น ก็ย่อมจะมี "นายผี" หรือ "เจ้านายของผี" ผู้เป็นใหญ่คอยดูแลคุ้มครองอยู่เป็นมั่นคง
ขืนน้องใหม่โผล่เข้าไปถึงตัวเปล่าๆ ขัดสนเงินทอง ไม่มี "ส่วย" ไปจิ้มก้อง มีหวังถูกขับไล่กระเจิดกระเจิงเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญยาไส้ไปวันๆ หรือไม่งั้นก็จะโดนรังแกต่างๆ นานา เหมือนมนุษย์ที่บากหน้าไปอาศัยในบุญเขาอยู่
เออ! มีเงินทองไปจ่ายเป็นค่าที่ทางที่จะต้องอยู่อาศัยไประยะหนึ่ง นายผีก็คงต้อนรับขับสู้ด้วยความเต็มอกเต็มใจแน่นอน
อย่าหลงคิดว่าในเมืองผีไม่ต้องใช้เงินใช้ทองไปเชียว ไม่ว่าผีไทยหรือผีจีนก็ครือกัน เพราะผีไทยต้องใช้เงินซื้อที่ ผีจีนก็ได้อาศัยเงินกงเต๊กที่ญาติมิตรเผาอุทิศไปให้ใช้สอยในเมืองผี จะได้ซื้อสุราอาหาร หรือจับจ่ายยามเที่ยวเตร่โรงน้ำชา โคมเขียวโคมแดงแก้เหงา อ้อ...ไหนจะจิ้มก้องเงี่ยมล่ออ๋อง-ผู้เป็นนายใหญ่ในเมืองผีให้ได้รับความสะดวกสบายอีกต่างหาก
ผีที่ไหนไม่ชอบเงินมั่งล่ะ? พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ภาษิตจีนยังบอกไว้นี่นาว่า...มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้!
เมื่อใส่เงินให้ผีติดตัวไปซื้อที่ซื้อทางแล้ว ก็ยังเผาผีไม่ได้ ทั้งเมรุปูนหรือเมรุลอย (ที่เรียงฟืนเผากันบนดิน) ต้องมีการโปรยทานหรือหว่านเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหรียญ 10-20 สตางค์ สมัยก่อน มาถึงเหรียญบาท เหรียญ 5 บาท 10 บาทในสมัยนี้ สุดแท้แต่เจ้าภาพว่าจะมีกำลังมากน้อยเพียงไหน
เชื่อกันว่าคนที่มาแย่งทาน ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กวัดหรือเด็กๆ ในละแวกนั้น เมื่อตายไปแล้วจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้ผีที่ญาติโปรยทานให้ เหมือนกับเป็นการซื้อตัว หรือเบาะๆ ก็จ่ายมัดจำล่วงหน้า
ดูๆ ไปก็เหมือนกับการ "ตกเขียว" แฮะ!
จากนั้นก็มีการแจกดอกไม้จันทน์ให้ญาติมิตร แขกเหรื่อทั้งหลายนำไปวางที่เมรุหน้าโลงศพ เป็นการขอขมาลาโทษ อโหสิกรรมกันเป็นครั้งสุดท้าย กับขอให้วิญญาณจงไปสู่ สุคติในสัมปรายภพเทอญ
มีการร้องห่มร้องไห้ หรือกรีดน้ำตากันตามธรรม เนียมเพื่อแสดงความโศกเศร้า หรือยืนยันว่านี่เป็นงานศพนะยะ ไม่ใช่งานวิวาห์หรอก จะบอกให้...ปัดโธ่!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 ตุลาคม 2552
อย่างแรกก็คือการอาบน้ำชำระล้างร่างกายของผู้ตาย อาจจะถึงกับทาขมิ้นดินสอพองในวันแรก แต่งกายให้อย่างสวยงามหรือเต็มยศใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้ไปเกิดใหม่ด้วยความสะอาดสะอ้าน หรือดูภูมิฐานจนท่านผู้เป็นใหญ่ในยมโลกรู้สึกเคารพนับถือ อย่างน้อยก็เกรงเนื้อเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรหักหาญรุนแรงนัก
ผีมีเส้น! ว่างั้นเถอะ
อย่างต่อมาก็คือการซื้อที่ซื้อทางให้ผี ไม่ว่าจะเป็นตอนบรรจุฮวงซุ้ยหรือยกโลงขึ้นเผาบนเมรุก็ตาม
ถ้าเป็นฮวงซุ้ยก็จะใส่เงินไว้ข้างโลงก่อนที่สัปเหร่อจะโบกปูนปิด แต่ถ้าเป็นตอนเผาจี่ก็จะเอาเงินใส่ในโลงก่อนจุดไฟ แต่บางแห่งก็เอาเงินยัดปากเรียกว่า "เงินปากผี" โดยญาติมิตรผู้ใส่เงินนั้นมักจะทำปากขมุบขมิบ หรือบอกกล่าวให้ชัดแจ้งไปเลยว่า...ให้เอาเงินไปซื้อที่ซื้อทาง!
ที่ทางอะไร?
ในเมืองผี หรือโลกของผีมีการซื้อขายที่ดินกันด้วยหรือ?
สาเหตุก็เพราะเชื่อถือกันว่า ป่าช้าทุกแห่งย่อมมีศพมากมายก่ายกอง ตายทับตายถมกันมาไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พัน อาจจะนับเป็นหมื่นๆ ศพแล้วก็เป็นได้ ขนาดเป็นบ้านช่องหรือที่ทางทั่วไป คนไทยยังเชื่อถือว่ามีเจ้าที่เจ้าทางคอยดูแลอยู่แท้ๆ นี่นา แล้วนี่เป็นป่าช้าน่าสะพรึงกลัวน้อยอยู่หรือนั่น ก็ย่อมจะมี "นายผี" หรือ "เจ้านายของผี" ผู้เป็นใหญ่คอยดูแลคุ้มครองอยู่เป็นมั่นคง
ขืนน้องใหม่โผล่เข้าไปถึงตัวเปล่าๆ ขัดสนเงินทอง ไม่มี "ส่วย" ไปจิ้มก้อง มีหวังถูกขับไล่กระเจิดกระเจิงเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญยาไส้ไปวันๆ หรือไม่งั้นก็จะโดนรังแกต่างๆ นานา เหมือนมนุษย์ที่บากหน้าไปอาศัยในบุญเขาอยู่
เออ! มีเงินทองไปจ่ายเป็นค่าที่ทางที่จะต้องอยู่อาศัยไประยะหนึ่ง นายผีก็คงต้อนรับขับสู้ด้วยความเต็มอกเต็มใจแน่นอน
อย่าหลงคิดว่าในเมืองผีไม่ต้องใช้เงินใช้ทองไปเชียว ไม่ว่าผีไทยหรือผีจีนก็ครือกัน เพราะผีไทยต้องใช้เงินซื้อที่ ผีจีนก็ได้อาศัยเงินกงเต๊กที่ญาติมิตรเผาอุทิศไปให้ใช้สอยในเมืองผี จะได้ซื้อสุราอาหาร หรือจับจ่ายยามเที่ยวเตร่โรงน้ำชา โคมเขียวโคมแดงแก้เหงา อ้อ...ไหนจะจิ้มก้องเงี่ยมล่ออ๋อง-ผู้เป็นนายใหญ่ในเมืองผีให้ได้รับความสะดวกสบายอีกต่างหาก
ผีที่ไหนไม่ชอบเงินมั่งล่ะ? พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ภาษิตจีนยังบอกไว้นี่นาว่า...มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้!
เมื่อใส่เงินให้ผีติดตัวไปซื้อที่ซื้อทางแล้ว ก็ยังเผาผีไม่ได้ ทั้งเมรุปูนหรือเมรุลอย (ที่เรียงฟืนเผากันบนดิน) ต้องมีการโปรยทานหรือหว่านเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหรียญ 10-20 สตางค์ สมัยก่อน มาถึงเหรียญบาท เหรียญ 5 บาท 10 บาทในสมัยนี้ สุดแท้แต่เจ้าภาพว่าจะมีกำลังมากน้อยเพียงไหน
เชื่อกันว่าคนที่มาแย่งทาน ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กวัดหรือเด็กๆ ในละแวกนั้น เมื่อตายไปแล้วจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้ผีที่ญาติโปรยทานให้ เหมือนกับเป็นการซื้อตัว หรือเบาะๆ ก็จ่ายมัดจำล่วงหน้า
ดูๆ ไปก็เหมือนกับการ "ตกเขียว" แฮะ!
จากนั้นก็มีการแจกดอกไม้จันทน์ให้ญาติมิตร แขกเหรื่อทั้งหลายนำไปวางที่เมรุหน้าโลงศพ เป็นการขอขมาลาโทษ อโหสิกรรมกันเป็นครั้งสุดท้าย กับขอให้วิญญาณจงไปสู่ สุคติในสัมปรายภพเทอญ
มีการร้องห่มร้องไห้ หรือกรีดน้ำตากันตามธรรม เนียมเพื่อแสดงความโศกเศร้า หรือยืนยันว่านี่เป็นงานศพนะยะ ไม่ใช่งานวิวาห์หรอก จะบอกให้...ปัดโธ่!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 ตุลาคม 2552
14 ธันวาคม 2556
ธรรมเนียมผีไทย (3)
อันว่า "ตะปูตอกโลงผีตายโหง" ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณหลากหลาย แม้แต่นำมาผสมกับเหล็กอื่นๆ เช่น เจดีย์หัก ยอดโบสถ์วัดร้าง เหล็กน้ำพี้ ฯลฯ แล้วตีเป็นดาบสุดยอดแห่งความคมกริบ ฟันเหล็กขาด ใครหน้าไหนมีของดีวิเศษคุ้มครองปานใดก็ต้านไม่อยู่
บางแห่งถึงกับเรียกขานกันว่า "เทพอาวุธ" ไปโน่นเลย!
นอกจากนั้น พวกหมอไสยศาสตร์ หรือพวก "เล่นของ" ก็นิยมนำมาเสกเป่าแล้วทดลองวิชาอาคมของตนด้วยการ "ปล่อยของ" เกิดเสียงซู่ซ่าเกรียวกราวยามราตรี คนแก่เฒ่าจะสั่งสอนลูกหลานว่า ถ้าใครได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ในตอนกลางคืน "ห้ามทัก" เด็ดขาด เพราะของจะเข้าตัว เรียกกันว่า "โดนของ" ที่จะทำให้ทนทุกข์ทรมานมาก ถ้าแก้ไขไม่ทันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ
บางคนเจ็บไข้กระเสาะกระแสะอยู่เสมอ หรือไม่ก็มีเคราะห์หามยามร้ายเรียกว่า "ซวยตลอดศก" ละกัน ไปหาหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ก็จะมีพิธีตรวจตราว่าโดนของหรือคุณไสย อะไรหรือเปล่า?
นิยมใช้ไข่ไก่เรียกของร้ายๆ ออกมาจากร่างกาย เป็นต้นว่ากระดูกผีบ้าง เส้นผมผีตายโหงบ้าง แต่ตะปูยาวๆ แบบนั้นไข่ไก่เห็นจะรับไม่ไหว ต้องใช้อีกวิธีหนึ่ง คือแป้งข้าวเจ้ามานวดคลึงแล้ววางแผ่ไว้หน้าท้อง เมื่อหมอผีหรือผู้ชำนาญคุณไสย นำแป้งออกมาตรวจตราดูก็จะพบของที่ว่า...รวมทั้งตะปูสนิมเขรอะยาวเกือบคืบอีกด้วย
เชื่อกันว่าโดนของใหญ่ขนาดตะปูตอกโลงผีตายโหงนั่นเชียว!
แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีการต้มตุ๋นกันมากมาย พอๆ กับพวกที่หากินทางไล่ผีปอบในภาคอีสานนั่นแหละครับ ฟังหูไว้หูก็ดี อย่าไปหลงเชื่อถือจนกลายเป็นความงมงายก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ หรือหมูหวานของพวกมิจฉาชีพไปเปล่าๆ ไม่เข้าการ
ความเชื่อถือที่กลายเป็นธรรมเนียมระหว่างคนเป็นกับคนตายนี่เรื่องเยอะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นผีตายโหงออกจะมากมายเป็นพิเศษ
สาเหตุมาจากคนฆ่าหวาดกลัวว่าวิญญาณของคนที่ตัวฆ่าจะติดตามมาเอาชีวิตเป็นการแก้แค้น หรือศพทวงหนี้ว่างั้นเถอะ! อย่างเบาะๆ ก็คอยหลอกหลอนจนอกสั่นขวัญแขวน ประสาทกินจนถึงสติแตกไปเลย
เวลาฆ่าแกงเขาไม่ยักกลัว แต่ฆ่าคนตายแล้วกลับกลัวผีที่ตัวฆ่าเอง...พิลึก!
ทั้งๆ ที่รู้ว่าสัปเหร่อใช้ตะปูตอกฝาโลง ร่ายอาคมสะกดวิญญาณ หรือไม่ก็แอบว่าจ้างให้กระทำการที่ว่านั้นจนเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจสนิทอยู่ดี กลัวว่าปีศาจหรือวิญญาณผีตายโหงจะเฮี้ยนจัดด้วยแรงอาฆาต จัดการแหกฝาโลง ลุกทะลึ่งตึงตังออกมาตามล่าตามล้างเพื่อเอาชีวิตชดใช้ให้จงได้
แล้วจะทำยังไงกันดีเล่าหนอ?
อย่างแรกก็คือ ห้อยพระ ปลุกพระให้ท่านคุ้มครองตัวเองเป็นประจำทุกวัน อย่าได้หลงลืมอาราธนาให้ท่านติดตามไปด้วยตลอดวันตลอดคืน
เชื่อพระ นับถือพระ แต่ไหงถึงใจคอโหดร้าย ล้างผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักปลาได้ง่ายๆ ก็ไม่ทราบ? ถามเข้าก็คงตอบว่าเพราะถูกหักหลัง โดนทำร้าย ตอบแทนบุญคุณเจ้านาย หรือไม่ก็ได้รับค่าจ้างก้อนโต จนพลอยตาโต...หลงลืมบาปบุญคุณโทษไปชั่วขณะ
ฆ่าคนตายแท้ๆ พระเจ้าที่ไหนท่านจะมาคุ้มครองเล่า? ปัดโธ่!
นอกจากนั้น ก็ยังมีการห้อยตะกรุด พกยันต์หลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าป้องกันโพยภัยได้หมดทุกอย่าง ยันต์ผืนเดียวแผ่นเดียวก็มีสรรพคุณครอบจักรวาลว่างั้นเถอะครับ ป้องกันคมหอกคมดาบ ลูกปืนไม่ได้กิน ลูกระเบิดไม่ได้แอ้ม ภูตผีปีศาจเห็นเข้าเป็นเผ่นอ้าว กลับป่าช้าแทบไม่ทัน...ว่าไปโน่นเลย
มีการเอาเสื้อที่ใส่ไปฆ่าเขา ไม่ว่าจะเปรอะเปื้อนคราบเลือดคนตายหรือไม่ก็ตาม ไปให้หมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเรืองอาคมนักหนา มีเวทมนตร์คาถาสุดฉมังเหลือหลาย จัดการกระทำพิธีเสกเป่าคล้ายๆ ปัดรังควาน ไม่ให้วิญญาณที่โดนพวกตนฆ่าย้อนมาเล่นงานเอาได้ เผลอๆ ก็กลายเป็นหลักฐานเพิ่มเติมให้ตำรวจยื่นฟ้องศาลอีกด้วย
พูดก็พูดเถอะครับ ถ้ากลัวว่าวิญญาณนั้นจะมาสิงสู่อยู่ในเสื้อของตัววันที่ฆ่าเขา แค่โยนทิ้งก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว ไม่ทราบว่าต้องไปหาหมอผีให้ยุ่งยากมากเรื่องไปทำไม
คิดอีกที คนที่เป็นฆาตกรก็ต้องมีวิธีคิดอะไรแปลกๆ ค่อนข้างพิสดารยังงี้แหละครับ ไม่งั้นจะกล้าฆ่าคนได้ยังไง?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2552
บางแห่งถึงกับเรียกขานกันว่า "เทพอาวุธ" ไปโน่นเลย!
นอกจากนั้น พวกหมอไสยศาสตร์ หรือพวก "เล่นของ" ก็นิยมนำมาเสกเป่าแล้วทดลองวิชาอาคมของตนด้วยการ "ปล่อยของ" เกิดเสียงซู่ซ่าเกรียวกราวยามราตรี คนแก่เฒ่าจะสั่งสอนลูกหลานว่า ถ้าใครได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ในตอนกลางคืน "ห้ามทัก" เด็ดขาด เพราะของจะเข้าตัว เรียกกันว่า "โดนของ" ที่จะทำให้ทนทุกข์ทรมานมาก ถ้าแก้ไขไม่ทันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ
บางคนเจ็บไข้กระเสาะกระแสะอยู่เสมอ หรือไม่ก็มีเคราะห์หามยามร้ายเรียกว่า "ซวยตลอดศก" ละกัน ไปหาหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ก็จะมีพิธีตรวจตราว่าโดนของหรือคุณไสย อะไรหรือเปล่า?
นิยมใช้ไข่ไก่เรียกของร้ายๆ ออกมาจากร่างกาย เป็นต้นว่ากระดูกผีบ้าง เส้นผมผีตายโหงบ้าง แต่ตะปูยาวๆ แบบนั้นไข่ไก่เห็นจะรับไม่ไหว ต้องใช้อีกวิธีหนึ่ง คือแป้งข้าวเจ้ามานวดคลึงแล้ววางแผ่ไว้หน้าท้อง เมื่อหมอผีหรือผู้ชำนาญคุณไสย นำแป้งออกมาตรวจตราดูก็จะพบของที่ว่า...รวมทั้งตะปูสนิมเขรอะยาวเกือบคืบอีกด้วย
เชื่อกันว่าโดนของใหญ่ขนาดตะปูตอกโลงผีตายโหงนั่นเชียว!
แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีการต้มตุ๋นกันมากมาย พอๆ กับพวกที่หากินทางไล่ผีปอบในภาคอีสานนั่นแหละครับ ฟังหูไว้หูก็ดี อย่าไปหลงเชื่อถือจนกลายเป็นความงมงายก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ หรือหมูหวานของพวกมิจฉาชีพไปเปล่าๆ ไม่เข้าการ
ความเชื่อถือที่กลายเป็นธรรมเนียมระหว่างคนเป็นกับคนตายนี่เรื่องเยอะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นผีตายโหงออกจะมากมายเป็นพิเศษ
สาเหตุมาจากคนฆ่าหวาดกลัวว่าวิญญาณของคนที่ตัวฆ่าจะติดตามมาเอาชีวิตเป็นการแก้แค้น หรือศพทวงหนี้ว่างั้นเถอะ! อย่างเบาะๆ ก็คอยหลอกหลอนจนอกสั่นขวัญแขวน ประสาทกินจนถึงสติแตกไปเลย
เวลาฆ่าแกงเขาไม่ยักกลัว แต่ฆ่าคนตายแล้วกลับกลัวผีที่ตัวฆ่าเอง...พิลึก!
ทั้งๆ ที่รู้ว่าสัปเหร่อใช้ตะปูตอกฝาโลง ร่ายอาคมสะกดวิญญาณ หรือไม่ก็แอบว่าจ้างให้กระทำการที่ว่านั้นจนเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจสนิทอยู่ดี กลัวว่าปีศาจหรือวิญญาณผีตายโหงจะเฮี้ยนจัดด้วยแรงอาฆาต จัดการแหกฝาโลง ลุกทะลึ่งตึงตังออกมาตามล่าตามล้างเพื่อเอาชีวิตชดใช้ให้จงได้
แล้วจะทำยังไงกันดีเล่าหนอ?
อย่างแรกก็คือ ห้อยพระ ปลุกพระให้ท่านคุ้มครองตัวเองเป็นประจำทุกวัน อย่าได้หลงลืมอาราธนาให้ท่านติดตามไปด้วยตลอดวันตลอดคืน
เชื่อพระ นับถือพระ แต่ไหงถึงใจคอโหดร้าย ล้างผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักปลาได้ง่ายๆ ก็ไม่ทราบ? ถามเข้าก็คงตอบว่าเพราะถูกหักหลัง โดนทำร้าย ตอบแทนบุญคุณเจ้านาย หรือไม่ก็ได้รับค่าจ้างก้อนโต จนพลอยตาโต...หลงลืมบาปบุญคุณโทษไปชั่วขณะ
ฆ่าคนตายแท้ๆ พระเจ้าที่ไหนท่านจะมาคุ้มครองเล่า? ปัดโธ่!
นอกจากนั้น ก็ยังมีการห้อยตะกรุด พกยันต์หลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าป้องกันโพยภัยได้หมดทุกอย่าง ยันต์ผืนเดียวแผ่นเดียวก็มีสรรพคุณครอบจักรวาลว่างั้นเถอะครับ ป้องกันคมหอกคมดาบ ลูกปืนไม่ได้กิน ลูกระเบิดไม่ได้แอ้ม ภูตผีปีศาจเห็นเข้าเป็นเผ่นอ้าว กลับป่าช้าแทบไม่ทัน...ว่าไปโน่นเลย
มีการเอาเสื้อที่ใส่ไปฆ่าเขา ไม่ว่าจะเปรอะเปื้อนคราบเลือดคนตายหรือไม่ก็ตาม ไปให้หมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเรืองอาคมนักหนา มีเวทมนตร์คาถาสุดฉมังเหลือหลาย จัดการกระทำพิธีเสกเป่าคล้ายๆ ปัดรังควาน ไม่ให้วิญญาณที่โดนพวกตนฆ่าย้อนมาเล่นงานเอาได้ เผลอๆ ก็กลายเป็นหลักฐานเพิ่มเติมให้ตำรวจยื่นฟ้องศาลอีกด้วย
พูดก็พูดเถอะครับ ถ้ากลัวว่าวิญญาณนั้นจะมาสิงสู่อยู่ในเสื้อของตัววันที่ฆ่าเขา แค่โยนทิ้งก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว ไม่ทราบว่าต้องไปหาหมอผีให้ยุ่งยากมากเรื่องไปทำไม
คิดอีกที คนที่เป็นฆาตกรก็ต้องมีวิธีคิดอะไรแปลกๆ ค่อนข้างพิสดารยังงี้แหละครับ ไม่งั้นจะกล้าฆ่าคนได้ยังไง?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2552
12 ธันวาคม 2556
ธรรมเนียมผีไทย (2)
จากพวงหรีดหน้าโลงก็มาถึงการแต่งกายไปงานศพ
สมัยก่อนคนไทยถือว่างานศพเป็นงานรื่นเริง เช่นเดียวกับงานบวชหรืองานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก หรือแม้แต่โกนผมไฟ...นิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงสีเขียว หรือสีเหลืองสีชมพูสดใส มีการร้องรำทำเพลงครึกครื้น เพราะถือคติว่าคนตายพ้นทุกข์จากโลกมนุษย์ ไปเกิดใหม่เป็นเทวดา นางฟ้ากันเป็นทิวแถว
ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ตรงกับยุคสมัยพระนางวิกตอเรียของอังกฤษ พระนางวิกตอเรียทรงโปรดแต่งชุดดำเป็นประจำ บรรดาข้าราชบริพารก็ตามแห่ด้วยการแต่งชุดดำโดยเสด็จไปด้วย ไม่งั้นก็ไม่ทราบว่าจะเป็นข้าราชบริพารไปทำไม
ชาวบ้านร้านช่องก็พลอยเห็นดีเห็นงาม แต่งชุดดำเมื่อมีงานศพญาติมิตรเป็นการไว้ทุกข์โดยแพร่หลาย
เมื่อกรุงสยามมีความเจริญเหมือนฝรั่งแล้ว จำเป็นต้องแต่งชุดดำไว้ทุกข์ให้เหมือนฝรั่งไปด้วย โดยเฉพาะเป็นฝรั่งที่จ้องเขม็งจะกล่าวหาใครๆ ว่าด้อยพัฒนา ล้าหลังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ถือเป็นข้ออ้างในการยึดเป็นอาณานิคม
การแต่งชุดดำในงานศพก็เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กรุงสยามรอดตัวจากการตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษไป
ก็เจริญรุ่งเรืองกันแทบขาดใจมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ!
นอกจากการเชื่อถือว่าห้ามนำศพที่ตายนอกบ้านเข้ามาตั้งสวดในบ้านอย่างเด็ดขาด ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือ ห้ามนำพวงหรีดเข้าบ้านก่อนที่จะนำไปวัด ถือว่าเป็นอัปมงคลพอๆ กับการกางร่มในบ้าน หรือนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกที่เป็นทิศของการเผาผี ฝังผีโดยเฉพาะ
แวะซื้อพวงหรีดแล้วนำไปวัดเลย หรือจะสั่งให้ร้านนำพวงหรีดของตนไปตั้งที่วัดนั้น ศาลานี้ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว... ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่า
...หรือใครเบื่อโลกอยากลองดีก็ไม่ว่ากัน ขอยุให้ทำแบบบ้าบอคอแตก ท้าทายสุดๆ ไปเลย นั่นคือการเอารองเท้าไปวางไว้ที่หัวเตียง! เรื่องนี้ฝรั่งกับไทยถือตรงกันเป๊ะ ว่าจะทำให้ซวยสุดขีด แถมจะประสบเคราะห์กรรมสาหัสสากรรจ์ภายใน 3 วัน 7 วันอีกต่างหาก
คนไทยนิยมเผาศพแบบฮินดู ผิดกับมุสลิมและจีนที่ฝังศพ หรือทำฮวงซุ้ยสวยงามใหญ่โต ยิ่งร่ำรวยเท่าไรก็ยิ่งทำฮวงซุ้ยมหึมากว้างขวางขึ้นเท่านั้น เพราะธรรมเนียมจีนเชื่อว่าการทำฮวงซุ้ยให้บรรพบุรุษยิ่งใหญ่ ทำเลถูกต้องเหมาะสมกับคำแนะนำของซินแส จะทำให้ลูกหลานประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองต่อๆ ไปไม่มีวันสิ้นสุด แต่ถ้าตรงกันข้ามก็จะทำให้ย่อยยับล่มจมได้ง่ายดาย
แต่คนไทยไม่นิยมเผาศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ ถูกฆ่า หรือฆ่าตัวตาย เรียกกันว่า "ผีตายโหง" อย่างน้อยก็ต้องเก็บไว้กุดังสมัยก่อน หรือในฮวงซุ้ยสมัยนี้ อย่างน้อยก็ 1 เดือนบ้าง 100 วันบ้าง หลายๆ รายเก็บศพไว้เป็นปีก็มี กว่าญาติมิตรจะนำมาฌาปนกิจให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ผู้หญิงคลอดลูกตาย หรือตายทั้งแม่ทั้งลูกที่เรียกว่า "ตายทั้งกลม" ก็จะฝังไว้เนิ่นนาน อาจตลอดกาลจนลืมเลือนไปเลยก็เป็นได้
สาเหตุสำคัญก็เพราะเชื่อว่า ผีตายโหงหรือตายทั้งกลมเป็นการตายก่อนถึงอายุขัย โดยเฉพาะผีตายทั้งกลมที่มีทารกอยู่ในท้อง ถ้านำมาเผาจี่คงจะทุลักทุเล ดูๆ แล้วชวนสลดสังเวชนัก เดี๋ยวไฟกำลังลุกคึ่กๆ แล้วทารกที่ตายไปพร้อมแม่เกิดหลุดผลัวะออกมาในกองฟอน ถลันลุกขึ้นมานั่งหรือยืนจังก้าเพราะเส้นเอ็นพลิกตัว ก็จะทำให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวชนิด "ป่าช้าแตก"โดยง่ายดาย
หรืออาจทำให้คนแก่คนเฒ่าเป็นลมเป็นแล้ง หัวใจวายได้...อย่าทำล้อเล่นไป
นอกจากนั้นยังต้องทำพิธีสะกดวิญญาณกันอย่างแข็งขันอีกต่างหาก เพราะความเชื่อว่าผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมเฮี้ยนนัก มีฤทธิ์เดชแข็งกล้าน่าขนพองสยองเกล้า ผิดกว่าผีที่เจ็บไข้ตายเองเป็นไหนๆ
สัปเหร่อต้องใช้ตะปูพิเศษตอกฝาโลง พลางร่ายอาคมขลังไปด้วย ป้องกันไม่ให้วิญญาณดุร้ายสาหัสออกจากโลงมาเล่นงาน หรือหลอกหลอนผู้คนจนจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันได้สำเร็จ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2552
สมัยก่อนคนไทยถือว่างานศพเป็นงานรื่นเริง เช่นเดียวกับงานบวชหรืองานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก หรือแม้แต่โกนผมไฟ...นิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงสีเขียว หรือสีเหลืองสีชมพูสดใส มีการร้องรำทำเพลงครึกครื้น เพราะถือคติว่าคนตายพ้นทุกข์จากโลกมนุษย์ ไปเกิดใหม่เป็นเทวดา นางฟ้ากันเป็นทิวแถว
ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ตรงกับยุคสมัยพระนางวิกตอเรียของอังกฤษ พระนางวิกตอเรียทรงโปรดแต่งชุดดำเป็นประจำ บรรดาข้าราชบริพารก็ตามแห่ด้วยการแต่งชุดดำโดยเสด็จไปด้วย ไม่งั้นก็ไม่ทราบว่าจะเป็นข้าราชบริพารไปทำไม
ชาวบ้านร้านช่องก็พลอยเห็นดีเห็นงาม แต่งชุดดำเมื่อมีงานศพญาติมิตรเป็นการไว้ทุกข์โดยแพร่หลาย
เมื่อกรุงสยามมีความเจริญเหมือนฝรั่งแล้ว จำเป็นต้องแต่งชุดดำไว้ทุกข์ให้เหมือนฝรั่งไปด้วย โดยเฉพาะเป็นฝรั่งที่จ้องเขม็งจะกล่าวหาใครๆ ว่าด้อยพัฒนา ล้าหลังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ถือเป็นข้ออ้างในการยึดเป็นอาณานิคม
การแต่งชุดดำในงานศพก็เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กรุงสยามรอดตัวจากการตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษไป
ก็เจริญรุ่งเรืองกันแทบขาดใจมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ!
นอกจากการเชื่อถือว่าห้ามนำศพที่ตายนอกบ้านเข้ามาตั้งสวดในบ้านอย่างเด็ดขาด ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือ ห้ามนำพวงหรีดเข้าบ้านก่อนที่จะนำไปวัด ถือว่าเป็นอัปมงคลพอๆ กับการกางร่มในบ้าน หรือนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกที่เป็นทิศของการเผาผี ฝังผีโดยเฉพาะ
แวะซื้อพวงหรีดแล้วนำไปวัดเลย หรือจะสั่งให้ร้านนำพวงหรีดของตนไปตั้งที่วัดนั้น ศาลานี้ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว... ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่า
...หรือใครเบื่อโลกอยากลองดีก็ไม่ว่ากัน ขอยุให้ทำแบบบ้าบอคอแตก ท้าทายสุดๆ ไปเลย นั่นคือการเอารองเท้าไปวางไว้ที่หัวเตียง! เรื่องนี้ฝรั่งกับไทยถือตรงกันเป๊ะ ว่าจะทำให้ซวยสุดขีด แถมจะประสบเคราะห์กรรมสาหัสสากรรจ์ภายใน 3 วัน 7 วันอีกต่างหาก
คนไทยนิยมเผาศพแบบฮินดู ผิดกับมุสลิมและจีนที่ฝังศพ หรือทำฮวงซุ้ยสวยงามใหญ่โต ยิ่งร่ำรวยเท่าไรก็ยิ่งทำฮวงซุ้ยมหึมากว้างขวางขึ้นเท่านั้น เพราะธรรมเนียมจีนเชื่อว่าการทำฮวงซุ้ยให้บรรพบุรุษยิ่งใหญ่ ทำเลถูกต้องเหมาะสมกับคำแนะนำของซินแส จะทำให้ลูกหลานประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองต่อๆ ไปไม่มีวันสิ้นสุด แต่ถ้าตรงกันข้ามก็จะทำให้ย่อยยับล่มจมได้ง่ายดาย
แต่คนไทยไม่นิยมเผาศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ ถูกฆ่า หรือฆ่าตัวตาย เรียกกันว่า "ผีตายโหง" อย่างน้อยก็ต้องเก็บไว้กุดังสมัยก่อน หรือในฮวงซุ้ยสมัยนี้ อย่างน้อยก็ 1 เดือนบ้าง 100 วันบ้าง หลายๆ รายเก็บศพไว้เป็นปีก็มี กว่าญาติมิตรจะนำมาฌาปนกิจให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
ผู้หญิงคลอดลูกตาย หรือตายทั้งแม่ทั้งลูกที่เรียกว่า "ตายทั้งกลม" ก็จะฝังไว้เนิ่นนาน อาจตลอดกาลจนลืมเลือนไปเลยก็เป็นได้
สาเหตุสำคัญก็เพราะเชื่อว่า ผีตายโหงหรือตายทั้งกลมเป็นการตายก่อนถึงอายุขัย โดยเฉพาะผีตายทั้งกลมที่มีทารกอยู่ในท้อง ถ้านำมาเผาจี่คงจะทุลักทุเล ดูๆ แล้วชวนสลดสังเวชนัก เดี๋ยวไฟกำลังลุกคึ่กๆ แล้วทารกที่ตายไปพร้อมแม่เกิดหลุดผลัวะออกมาในกองฟอน ถลันลุกขึ้นมานั่งหรือยืนจังก้าเพราะเส้นเอ็นพลิกตัว ก็จะทำให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวชนิด "ป่าช้าแตก"โดยง่ายดาย
หรืออาจทำให้คนแก่คนเฒ่าเป็นลมเป็นแล้ง หัวใจวายได้...อย่าทำล้อเล่นไป
นอกจากนั้นยังต้องทำพิธีสะกดวิญญาณกันอย่างแข็งขันอีกต่างหาก เพราะความเชื่อว่าผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมเฮี้ยนนัก มีฤทธิ์เดชแข็งกล้าน่าขนพองสยองเกล้า ผิดกว่าผีที่เจ็บไข้ตายเองเป็นไหนๆ
สัปเหร่อต้องใช้ตะปูพิเศษตอกฝาโลง พลางร่ายอาคมขลังไปด้วย ป้องกันไม่ให้วิญญาณดุร้ายสาหัสออกจากโลงมาเล่นงาน หรือหลอกหลอนผู้คนจนจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันได้สำเร็จ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2552
08 ธันวาคม 2556
ธรรมเนียมผีไทย (1)
คนไทยทั่วๆ ไปเชื่อว่า เมื่อคนเราตายไปแล้วก็ต้องกลาย เป็นผีแน่นอน ไม่มีอะไรน่าสงสัยทั้งสิ้น!
ส่วนจะเป็นผีดีหรือผีร้ายก็สุดแท้แต่กรรม คือบุญกุศลบ้าง เวรกรรมที่ได้กระทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่บ้าง จะเป็นสิ่งดลบันดาลให้เป็นไปในปรโลก หรือไปสู่ภพภูมิดีชั่ว แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน
ผิดกับพวกฝรั่งที่เชื่อว่า "ตายแล้วตายเลย" ไม่มีนรก-สวรรค์ ไม่มีการเกิดใหม่ให้ยุ่งยาก ตายเมื่อไหร่เป็นได้ดับสูญไปเมื่อนั้น พวกฝรั่งอั้งม้อทั้งหลายแหล่ก็เลยไม่ค่อยแยแส กับการทำดีทำชั่วเท่าไหร่
ถ้าจะมีอะไรมั่ง ก็ต้องไปรอเอาจนถึงวันพิพากษา หรือวันล้างโลกโน่นแน่ะ!
เมื่อคนไทยเชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม ก็จะพยายามกระทำแต่คุณงามความดี หรือพากเพียรถือศีล 5 ข้อตามคำสอนของพระบรมศาสดา ซึ่งก็ถือศีลที่ว่านั้นได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยหวังว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขความเจริญ หรืออย่างน้อยก็สงบสุข ไม่มีอะไรมารบกวนให้เดือดร้อนรำคาญใจ...ตายไปก็ไม่ต้องตกนรก ถ้าถือศีล 5 ได้จริงน่ะ!
แต่ถ้าเกิดพลาดพลั้งผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ดี หรือผิดพลาดหลายข้อก็ดี ก็มักจะออกเนื้อออกตัวกับผู้อื่นและตนเองอยู่เนืองๆ ว่า "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" เป็นเชิงว่าจะให้บุญกับบาปหักลบกลบหนี้กันไปเลย
ไม่ต้องขาดทุนหรือได้กำไรก็ยังดี-ว่างั้น!
ที่แน่ๆ อีกอย่างก็คือ มีความหวังว่าลูกๆ หลานๆ หรือญาติมิตรทั้งหลายจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทำให้ตนเองได้รับส่วนบุญกุศลนั้นในปรโลก ชีวิตใหม่ที่อาจจะยังไม่ได้ตระเตรียมเสบียงกรังอะไรไว้ล่วงหน้า ก็จะได้ไม่ถึงกับเดือดร้อนลำเค็ญนัก เพราะมีคนทำบุญกรวดน้ำไปให้อย่างที่ว่า
ส่วนมากลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายก็มักจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้จริงๆ เสียด้วย...ส่วนพระท่านจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ให้หรือไม่ก็อย่ามาถกเถียงกันดีกว่า
คนไทยถือว่าคนที่ตายไปแล้วเป็นผีทั้งนั้น แยกประเภท เป็นผีธรรมดา หรือผีตายโหง ผีตายห่าก็ว่ากันไปอย่างที่เคยเล่ามาแล้ว และคนไทยก็มีวิธีปฏิบัติกับผีต่างๆ ที่เป็นญาติมิตรไม่เหมือนกัน ตามแต่วิธีการตายของแต่ละคนที่กลายเป็นผีนั้นๆ หรือตามความเชื่อถือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
ส่วนมากก็จดจำมาจากบรรพบุรุษทั้งนั้นแหละครับ
ลองเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้นก็ยังได้
คนที่ล้มตายนอกบ้านจะไม่นำศพมาเข้าบ้านเป็นอันขาด แต่จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล สวดศพที่วัดเลย ส่วนจะเป็น 3 วัน 7 วัน 100 วัน หรือแม้แต่ 1 ปีก็สุดแล้วแต่เจ้าภาพแต่ละคนจะเห็นสมควร
หรือพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือขึ้นอยู่กับฐานะ หรือกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพนั่นเอง!
คนจนตายแล้วก็รีบเผา คนรวยมักเก็บไว้นานหน่อย ให้ผู้คนมากราบไหว้ขอขมาหรือเคารพศพ ยิ่งมากมายเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นเกียรติยศแก่ผู้ตาย หรือเป็นหน้าเป็นตาของลูกหลานมากเท่านั้น ทั้งๆ ที่หลายคนอาจจะมากราบไหว้ศพ พลางร้องห่มร้องไห้ว่าทำไมถึงได้อายุยืนเหลือเกิน! ทู่ซี้ก่อกรรมทำเข็ญให้เพื่อนมนุษย์ได้เนิ่นนานนักหนาก็ไม่ทราบได้
...น่าจะตายไม่ให้หนักแผ่นดินตั้งนานแล้ว ก็เพิ่งจะมาตายเอาตอนนี้เอง! เฮ้อ...
เมื่อมางานสวดศพ ก็จำเป็นต้องมีพวงหรีดติดไม้ติดมือมาด้วย ถ้าเป็นพวงหรีดของคนใหญ่คนโตจะต้องติดไว้หน้าโลงศพ หรือโดดเด่นเป็นสง่า ยิ่งมีหลายพวงหรือหลายคนยิ่งดี เพราะแสดงว่าคนตายหรือลูกหลานคนตายมีหน้ามีตา มีเกียรติยศชื่อเสียงไม่ใช่เล่น ไม่งั้นจะมีคนเรืองอำนาจวาสนา หรือมีชื่อเสียงโด่งดังส่งหรีดมาเคารพศพได้ยังไง? ปัดโธ่!
จากหรีดดอกไม้ ดอกไม้สด ก็พัฒนามาเป็นไม้กระถาง จนถึงผ้าห่มที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าหรีดดอกไม้สด ที่มีสนนราคาหลายร้อยบาทจนถึงพันกว่าบาท เมื่อเหี่ยวเฉาหรือเสร็จงานแล้วก็โยนทิ้งไป เหลือแต่โครงที่เก็บไปขายให้ร้านทำหรีดประดับดอกไม้ใหม่เท่านั้นเอง
แต่หลายๆ งานก็ประกาศให้ทราบว่า "งดพวงหรีด" เจตนาก็คือต้องการเงินสดไปทำบุญ บริจาคให้การกุศลต่างๆ ตามแต่ผู้ตายหรือลูกหลานได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ต้น
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2552
ส่วนจะเป็นผีดีหรือผีร้ายก็สุดแท้แต่กรรม คือบุญกุศลบ้าง เวรกรรมที่ได้กระทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่บ้าง จะเป็นสิ่งดลบันดาลให้เป็นไปในปรโลก หรือไปสู่ภพภูมิดีชั่ว แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน
ผิดกับพวกฝรั่งที่เชื่อว่า "ตายแล้วตายเลย" ไม่มีนรก-สวรรค์ ไม่มีการเกิดใหม่ให้ยุ่งยาก ตายเมื่อไหร่เป็นได้ดับสูญไปเมื่อนั้น พวกฝรั่งอั้งม้อทั้งหลายแหล่ก็เลยไม่ค่อยแยแส กับการทำดีทำชั่วเท่าไหร่
ถ้าจะมีอะไรมั่ง ก็ต้องไปรอเอาจนถึงวันพิพากษา หรือวันล้างโลกโน่นแน่ะ!
เมื่อคนไทยเชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม ก็จะพยายามกระทำแต่คุณงามความดี หรือพากเพียรถือศีล 5 ข้อตามคำสอนของพระบรมศาสดา ซึ่งก็ถือศีลที่ว่านั้นได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยหวังว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขความเจริญ หรืออย่างน้อยก็สงบสุข ไม่มีอะไรมารบกวนให้เดือดร้อนรำคาญใจ...ตายไปก็ไม่ต้องตกนรก ถ้าถือศีล 5 ได้จริงน่ะ!
แต่ถ้าเกิดพลาดพลั้งผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ดี หรือผิดพลาดหลายข้อก็ดี ก็มักจะออกเนื้อออกตัวกับผู้อื่นและตนเองอยู่เนืองๆ ว่า "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" เป็นเชิงว่าจะให้บุญกับบาปหักลบกลบหนี้กันไปเลย
ไม่ต้องขาดทุนหรือได้กำไรก็ยังดี-ว่างั้น!
ที่แน่ๆ อีกอย่างก็คือ มีความหวังว่าลูกๆ หลานๆ หรือญาติมิตรทั้งหลายจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทำให้ตนเองได้รับส่วนบุญกุศลนั้นในปรโลก ชีวิตใหม่ที่อาจจะยังไม่ได้ตระเตรียมเสบียงกรังอะไรไว้ล่วงหน้า ก็จะได้ไม่ถึงกับเดือดร้อนลำเค็ญนัก เพราะมีคนทำบุญกรวดน้ำไปให้อย่างที่ว่า
ส่วนมากลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายก็มักจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้จริงๆ เสียด้วย...ส่วนพระท่านจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ให้หรือไม่ก็อย่ามาถกเถียงกันดีกว่า
คนไทยถือว่าคนที่ตายไปแล้วเป็นผีทั้งนั้น แยกประเภท เป็นผีธรรมดา หรือผีตายโหง ผีตายห่าก็ว่ากันไปอย่างที่เคยเล่ามาแล้ว และคนไทยก็มีวิธีปฏิบัติกับผีต่างๆ ที่เป็นญาติมิตรไม่เหมือนกัน ตามแต่วิธีการตายของแต่ละคนที่กลายเป็นผีนั้นๆ หรือตามความเชื่อถือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
ส่วนมากก็จดจำมาจากบรรพบุรุษทั้งนั้นแหละครับ
ลองเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้นก็ยังได้
คนที่ล้มตายนอกบ้านจะไม่นำศพมาเข้าบ้านเป็นอันขาด แต่จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล สวดศพที่วัดเลย ส่วนจะเป็น 3 วัน 7 วัน 100 วัน หรือแม้แต่ 1 ปีก็สุดแล้วแต่เจ้าภาพแต่ละคนจะเห็นสมควร
หรือพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือขึ้นอยู่กับฐานะ หรือกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพนั่นเอง!
คนจนตายแล้วก็รีบเผา คนรวยมักเก็บไว้นานหน่อย ให้ผู้คนมากราบไหว้ขอขมาหรือเคารพศพ ยิ่งมากมายเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นเกียรติยศแก่ผู้ตาย หรือเป็นหน้าเป็นตาของลูกหลานมากเท่านั้น ทั้งๆ ที่หลายคนอาจจะมากราบไหว้ศพ พลางร้องห่มร้องไห้ว่าทำไมถึงได้อายุยืนเหลือเกิน! ทู่ซี้ก่อกรรมทำเข็ญให้เพื่อนมนุษย์ได้เนิ่นนานนักหนาก็ไม่ทราบได้
...น่าจะตายไม่ให้หนักแผ่นดินตั้งนานแล้ว ก็เพิ่งจะมาตายเอาตอนนี้เอง! เฮ้อ...
เมื่อมางานสวดศพ ก็จำเป็นต้องมีพวงหรีดติดไม้ติดมือมาด้วย ถ้าเป็นพวงหรีดของคนใหญ่คนโตจะต้องติดไว้หน้าโลงศพ หรือโดดเด่นเป็นสง่า ยิ่งมีหลายพวงหรือหลายคนยิ่งดี เพราะแสดงว่าคนตายหรือลูกหลานคนตายมีหน้ามีตา มีเกียรติยศชื่อเสียงไม่ใช่เล่น ไม่งั้นจะมีคนเรืองอำนาจวาสนา หรือมีชื่อเสียงโด่งดังส่งหรีดมาเคารพศพได้ยังไง? ปัดโธ่!
จากหรีดดอกไม้ ดอกไม้สด ก็พัฒนามาเป็นไม้กระถาง จนถึงผ้าห่มที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าหรีดดอกไม้สด ที่มีสนนราคาหลายร้อยบาทจนถึงพันกว่าบาท เมื่อเหี่ยวเฉาหรือเสร็จงานแล้วก็โยนทิ้งไป เหลือแต่โครงที่เก็บไปขายให้ร้านทำหรีดประดับดอกไม้ใหม่เท่านั้นเอง
แต่หลายๆ งานก็ประกาศให้ทราบว่า "งดพวงหรีด" เจตนาก็คือต้องการเงินสดไปทำบุญ บริจาคให้การกุศลต่างๆ ตามแต่ผู้ตายหรือลูกหลานได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ต้น
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2552
06 ธันวาคม 2556
มันมาจากนรก
"อำนวย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโคราช
เรื่องแปลกประหลาดและน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่นอยู่ที่โคราช แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว แต่มันฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่มีวันลืม
"พี่เลิศ" เป็นหนุ่มหมู่บ้านเดียวกับผม แกอยู่กับลุงเหลือผู้เป็นพ่อ มีน้องชายชื่อล้ำไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกยึดอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกับคนในย่านเดียวกัน
หลังบ้านพี่เลิศเป็นลานกว้าง ถัดไปเป็นกอไผ่กับป่าละเมาะรกร้าง เล่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่ามาหลายสิบปีแล้ว แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครกลัว ตอนบ่ายๆ เย็นๆ ชอบไปวิ่งเล่นเกรียวกราวกันที่นั่น ตั้งแต่ไล่จับ ซ่อนแอบ จนถึงเตะฟุตบอลกันเฮฮาเป็นประจำ
จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เลิศเล่าให้พวกเราฟังว่าตอนโพล้เพล้แกออกไปเก็บผักหักฟืนตามปกติ ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้นเข้าพอดี!
ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแน่นอน รูปร่างบอบบาง ผิวขาว ตาดำโต ผมยาวประบ่าแต่งตัวชุดดำเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อพูดคุยด้วยก็บอกว่าเป็นคนที่อยู่หมู่บ้านถัดไป...ทางด้านหลังของป่าละเมาะที่รกทึบนั่นเอง
ต่อจากวันนั้น พวกเราก็เห็นพี่เลิศชอบเดินเตร่ไปที่ลานหลังบ้านบ่อยหน...เจ้าอั๋นเพื่อนผมมาเล่าว่า เคยเห็นพี่เลิศกับเด็กสาวคนนั้นเดินหายลับเข้าไปในดงไม้นั่นบ่อยๆ
ค่ำหนึ่งก็มีคนเห็นผู้หญิงแปลกหน้านั่นเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านใต้ถุนสูงของพี่เลิศ...ไม่ช้าก็ปรากฏว่าพี่เลิศได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเมีย และพามาอยู่กินอย่างเปิดเผย
พวกเราเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าสนใจอะไรนัก แต่แปลกอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นเมียพี่เลิศในตอนกลางวัน ยกเว้นยามเข้าไต้เข้าไฟจึงจะเห็นรูปเงาวอมแวมของเธอผ่านหน้าต่างไปมา...ไม่รู้ว่าตอนกลางวันหายไปไหนทั้งวัน
ระยะหลังๆ ไม่มีใครกล้าไปเล่นที่ลานนั้นอีกแล้ว แต่น่าสังเกตว่าพี่เลิศผ่ายผอมไปจนผิดตา ผิวพรรณดำคล้ำ แก้มตอบ นัยน์ตาลึกกลวงดูเลื่อนลอย...บางครั้งก็ฉายแววหวั่นกลัวอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
บ้านนั้นดูทึบทึม ปราศจากชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกต่อไป
บางคืนจะมีเสียงผู้ชายร้องโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!
พี่เลิศมักจะหมกอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลุงเหลือที่ออกมาทำไร่กับซื้อของกินของใช้ที่ร้านชำในหมู่บ้าน ถ้าใครถามถึงพี่เลิศแกก็จะตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า...มันไม่ค่อยสบายน่ะ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเอาดื้อๆ
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้น เมื่อพี่เลิศผูกคอตายที่ต้นมะขามหลังบ้าน!
ไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่? ลุงเหลือก็ปิดปากเงียบ...ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นานา พี่ล้ำขึ้นมางานศพพี่ชาย แต่ไม่มีใครเห็นวี่แววของเมียพี่เลิศเลย
น่าแปลกอยู่อย่างที่เผาศพพี่เลิศเสร็จ พี่ล้ำก็ไปขนของจากกรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้านเดิม อ้างว่าเพื่อมาช่วยพ่อทำไร่ทำนา...แต่ตอนค่ำคืนก็มีคนเห็นรูปเงาของผู้หญิงคนเดิมเคลื่อนไหวอยู่บนบ้านนั้นเหมือนเมื่อครั้งที่พี่เลิศยังมีชีวิตอยู่!
พี่ล้ำมาอยู่ได้เดือนเศษ รูปร่างที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกเหมือนพี่ชายในอดีตแววตาบ่งบอกความหวาดกลัวชนิดสยดสยอง...ตอนดึกๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนบาดใจไม่ผิดกับเมื่อครั้งพี่เลิศยังมีชีวิตอยู่ จนชาวบ้านซุบซิบกันว่า...พี่ล้ำได้เมียม่ายของพี่ชาย! ผู้หญิงลึกลับคนนั้นก็ได้ฉายาว่า
"คนกินผัว"
อีกราวสองเดือนต่อมา พี่ล้ำก็พบจุดจบแบบเดียวกับพี่ชาย
นั่นคือ ผูกคอตายที่มะขามต้นเดียวและกิ่งเดียวกัน!!
ลุงเหลือเหมือนคนไม่มีชีวิตวิญญาณ เพื่อนบ้านที่ไปช่วยงานศพเลียบเคียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น? แกจะต้องรู้แน่ๆ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน! แต่ลุงเหลือปิดปากเงียบ กระทั่งผู้ใหญ่บ้านอดรนทนไม่ไหว ต้องจับมือถามตรงๆ ว่า ลูกชายทั้งสองคนเป็นอะไรกันแน่? ทำไมถึงผูกคอตาย? ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน?
คราวนี้ลุงเหลือทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แก้มกระตุก ปากสั่น นัยน์ตาแดงช้ำ...หลุดปากออกมาว่า...มันมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย!
คนที่ได้ยินถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปหมด จนกระทั่งเรื่องร้ายกาจที่สุดอุบัติขึ้นมา และเป็นการปิดฉากความลี้ลับทั้งหมด เมื่อคืนหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านลุงเหลือ...ชาวบ้านที่พากันไปช่วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องเสียงโหยหวน เยือกเย็น บ่งบอกความเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ
เมื่อไฟดับมอดแล้ว บ้านหลังนั้นกลายเป็นกองเถ้าถ่านเหมือนกองฟอนในเมรุเผาศพ มีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ปัดรังควาน...เพราะเสียงร้องโหยหวนในกองไฟนั้นไม่ใช่เสียงของลุงเหลือ แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...เป็นเสียงของผีนรกนั่นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
เรื่องแปลกประหลาดและน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่นอยู่ที่โคราช แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว แต่มันฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่มีวันลืม
"พี่เลิศ" เป็นหนุ่มหมู่บ้านเดียวกับผม แกอยู่กับลุงเหลือผู้เป็นพ่อ มีน้องชายชื่อล้ำไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกยึดอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกับคนในย่านเดียวกัน
หลังบ้านพี่เลิศเป็นลานกว้าง ถัดไปเป็นกอไผ่กับป่าละเมาะรกร้าง เล่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่ามาหลายสิบปีแล้ว แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครกลัว ตอนบ่ายๆ เย็นๆ ชอบไปวิ่งเล่นเกรียวกราวกันที่นั่น ตั้งแต่ไล่จับ ซ่อนแอบ จนถึงเตะฟุตบอลกันเฮฮาเป็นประจำ
จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เลิศเล่าให้พวกเราฟังว่าตอนโพล้เพล้แกออกไปเก็บผักหักฟืนตามปกติ ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้นเข้าพอดี!
ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแน่นอน รูปร่างบอบบาง ผิวขาว ตาดำโต ผมยาวประบ่าแต่งตัวชุดดำเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อพูดคุยด้วยก็บอกว่าเป็นคนที่อยู่หมู่บ้านถัดไป...ทางด้านหลังของป่าละเมาะที่รกทึบนั่นเอง
ต่อจากวันนั้น พวกเราก็เห็นพี่เลิศชอบเดินเตร่ไปที่ลานหลังบ้านบ่อยหน...เจ้าอั๋นเพื่อนผมมาเล่าว่า เคยเห็นพี่เลิศกับเด็กสาวคนนั้นเดินหายลับเข้าไปในดงไม้นั่นบ่อยๆ
ค่ำหนึ่งก็มีคนเห็นผู้หญิงแปลกหน้านั่นเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านใต้ถุนสูงของพี่เลิศ...ไม่ช้าก็ปรากฏว่าพี่เลิศได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเมีย และพามาอยู่กินอย่างเปิดเผย
พวกเราเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าสนใจอะไรนัก แต่แปลกอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นเมียพี่เลิศในตอนกลางวัน ยกเว้นยามเข้าไต้เข้าไฟจึงจะเห็นรูปเงาวอมแวมของเธอผ่านหน้าต่างไปมา...ไม่รู้ว่าตอนกลางวันหายไปไหนทั้งวัน
ระยะหลังๆ ไม่มีใครกล้าไปเล่นที่ลานนั้นอีกแล้ว แต่น่าสังเกตว่าพี่เลิศผ่ายผอมไปจนผิดตา ผิวพรรณดำคล้ำ แก้มตอบ นัยน์ตาลึกกลวงดูเลื่อนลอย...บางครั้งก็ฉายแววหวั่นกลัวอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
บ้านนั้นดูทึบทึม ปราศจากชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกต่อไป
บางคืนจะมีเสียงผู้ชายร้องโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!
พี่เลิศมักจะหมกอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลุงเหลือที่ออกมาทำไร่กับซื้อของกินของใช้ที่ร้านชำในหมู่บ้าน ถ้าใครถามถึงพี่เลิศแกก็จะตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า...มันไม่ค่อยสบายน่ะ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเอาดื้อๆ
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้น เมื่อพี่เลิศผูกคอตายที่ต้นมะขามหลังบ้าน!
ไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่? ลุงเหลือก็ปิดปากเงียบ...ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ
นานา พี่ล้ำขึ้นมางานศพพี่ชาย แต่ไม่มีใครเห็นวี่แววของเมียพี่เลิศเลย
น่าแปลกอยู่อย่างที่เผาศพพี่เลิศเสร็จ พี่ล้ำก็ไปขนของจากกรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้านเดิม อ้างว่าเพื่อมาช่วยพ่อทำไร่ทำนา...แต่ตอนค่ำคืนก็มีคนเห็นรูปเงาของผู้หญิงคนเดิมเคลื่อนไหวอยู่บนบ้านนั้นเหมือนเมื่อครั้งที่พี่เลิศยังมีชีวิตอยู่!
พี่ล้ำมาอยู่ได้เดือนเศษ รูปร่างที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกเหมือนพี่ชายในอดีตแววตาบ่งบอกความหวาดกลัวชนิดสยดสยอง...ตอนดึกๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนบาดใจไม่ผิดกับเมื่อครั้งพี่เลิศยังมีชีวิตอยู่ จนชาวบ้านซุบซิบกันว่า...พี่ล้ำได้เมียม่ายของพี่ชาย! ผู้หญิงลึกลับคนนั้นก็ได้ฉายาว่า
"คนกินผัว"
อีกราวสองเดือนต่อมา พี่ล้ำก็พบจุดจบแบบเดียวกับพี่ชาย
นั่นคือ ผูกคอตายที่มะขามต้นเดียวและกิ่งเดียวกัน!!
ลุงเหลือเหมือนคนไม่มีชีวิตวิญญาณ เพื่อนบ้านที่ไปช่วยงานศพเลียบเคียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น? แกจะต้องรู้แน่ๆ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน! แต่ลุงเหลือปิดปากเงียบ กระทั่งผู้ใหญ่บ้านอดรนทนไม่ไหว ต้องจับมือถามตรงๆ ว่า ลูกชายทั้งสองคนเป็นอะไรกันแน่? ทำไมถึงผูกคอตาย? ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน?
คราวนี้ลุงเหลือทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แก้มกระตุก ปากสั่น นัยน์ตาแดงช้ำ...หลุดปากออกมาว่า...มันมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย!
คนที่ได้ยินถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปหมด จนกระทั่งเรื่องร้ายกาจที่สุดอุบัติขึ้นมา และเป็นการปิดฉากความลี้ลับทั้งหมด เมื่อคืนหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านลุงเหลือ...ชาวบ้านที่พากันไปช่วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องเสียงโหยหวน เยือกเย็น บ่งบอกความเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ
เมื่อไฟดับมอดแล้ว บ้านหลังนั้นกลายเป็นกองเถ้าถ่านเหมือนกองฟอนในเมรุเผาศพ มีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ปัดรังควาน...เพราะเสียงร้องโหยหวนในกองไฟนั้นไม่ใช่เสียงของลุงเหลือ แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...เป็นเสียงของผีนรกนั่นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552
03 ธันวาคม 2556
ผีแขวนคอ
"นพมาศ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเมืองสองแคว
มีผู้ถกเถียงกันมานานแล้วว่าผีมีจริงหรือเปล่า? ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนกันทั้งนั้น ยังเอาแพ้เอาชนะ หรือมีข้อสิ้นสุดยุติ ไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
แต่ที่ดิฉันและครอบครัวได้ไปประสบที่พิษณุโลกเมื่อ 3-4 เดือนนี่เอง คือเรื่องแปลกประหลาด น่าขนลุกขนพองที่สุด จนต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาและลงความเห็นว่าเรื่องผีๆ สางๆ มีจริงหรือไม่?
"ป้าเนื่อง" คือพี่สาวของดิฉันเอง แต่เรียกตามลูกๆ ทั้งสามคนที่เป็นผู้ชายล้วนๆ เป็นม่ายตัวคนเดียว ลูกสาวเข้าไปเรียนหนังสือถึงเชียงใหม่โน่น
เราได้ข่าวว่าป้าเนื่องล้มเจ็บด้วยโรคเบาหวานกับความดันสูง ไหนจะไขมันในเส้นเลือดอีกล่ะ ก็ตามแบบคนที่อายุเลยเลขห้า ไปแล้วนั่นแหละค่ะ...คนเราพอแก่ตัวลงก็มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บคอยแวะเวียนมาหาอยู่ร่ำไป
ตอนหลังได้ข่าวว่าอาการหนักถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล ร้านรวงหน้าตลาดเอกาทศรถก็ต้องให้ญาติห่างๆ กับลูกจ้างช่วยกันดูแล ลูกสาวมาเยี่ยมประเดี๋ยวประด๋าวก็ต้องรีบกลับ
ตอนที่ดิฉันกับสามีและลูกๆ ยกโขยงไปเยี่ยมน่ะ ป้าเนื่องเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน พอมองเห็นพวกเราก็ดีใจจนน้ำตาไหล เพราะญาติสนิทจริงๆ ของเราก็มีอยู่กันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น
ป้าเนื่องลุกมาต้อนรับขับสู้ คะยั้นคะยอให้ค้างคืนด้วยกัน ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมให้หมดเปลืองเปล่าๆ ยืนยันว่ารุ่งขึ้นกินอาหารที่ร้านเสร็จจะได้ไปไหว้หลวงพ่อชินราชเสียเลย เพราะวันเสาร์อาทิตย์น่ะคนแน่นเหมือนกับมีตลาดนัดเป็นประจำอยู่แล้ว
"ไหนจะวัดนางพญากับหลวงพ่อเหลืออีกล่ะ" ป้าเนื่องหว่านล้อม "มาคราวนี้จะได้ทัวร์วัดหลายๆ แห่งตามยุคสมัยไงล่ะ"
ดิฉันกับพี่สาวคุยกันในห้องนอนชั้นบน ส่วนห้องข้างๆ เป็นที่นอนของสามีกับลูกชาย...ตอนค่ำพวกหนุ่มๆ เขาก็ไปชมบ้านชมเมืองกัน แต่เรายังคุยไม่หยุดปากด้วยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กกับสาวๆ เหมือนกับคุยกันถึงเรื่องของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ
เมื่อเอ่ยถึงลุงประสงค์ที่ล่วงลับไปเมื่อปีก่อน ป้าเนื่องก็ยกมือไหว้ทำตาแดงๆ บอกว่าเคยฝันถึงครั้งเดียวเท่านั้น...ไม่เคยมาเยี่ยม เยียนอีกเลย คงจะไปสู่สุคติเรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นเอง...เราคุยกันจนผล็อยหลับไป แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ปลุกดิฉันขึ้นมาเงี่ยหูฟัง...ป้าเนื่องหลับสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ แม้ดิฉันจะยังงัวเงียอยู่ก็ตามแต่เสียงนั้นดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบเชียบ นานๆ จะมีเสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าร้านสักครั้ง...ดิฉันแทบจะกลั้นใจฟังเพราะทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
...เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากฝาห้องที่สามีกับลูกๆ นอนอยู่นั่นเอง!
ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...ลุงประสงค์ที่ตายไปแล้ว!?
เสียงสะอื้นดังขึ้นทุกที...คุณพระช่วย! เสียงของลูกชายทั้งสามคนของดิฉันนี่นา!
ตกตะลึงจนตัวชา ทำอะไรไม่ถูก พ่อก็นอนอยู่ด้วยแท้ๆ หรือว่าเขาเป็นอะไรไป...เสียงสะอื้นที่ดังชัดเจนขึ้นทำให้แน่ใจว่าพวกลูกๆ กำลังเจ็บปวดหรือหวาดกลัวอะไรอย่างรุนแรง จนทำให้ลุกพรวดพราดขึ้น ร้องออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
"ลูกแม่! เป็นอะไรไป?"
"อะไร แม่นพ?" ป้าเนื่องนอนเร็ว ร้องถามพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเช่นกัน แต่ยังช้ากว่าดิฉันที่ลุกถลาไปถอดกลอน แล้วเข้าไปทุบประตูห้องที่ลูกๆ นอนอยู่เสียงโครมคราม...สามีบ่นอะไรเสียงง่วงๆ ก่อนจะเปิดประตูออกมา ดิฉันปราดเข้าไปเปิดไฟสว่างจ้า จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
ลูกชายวัยสิบกว่าขวบทั้งสามคนนอนหงายตัวแข็งทื่อ อ้าปาก ลืมตาโพลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มทุกคน เสียงครางปนสะอื้นบาดใจปิ่มว่าชีวิตจะแหลกสลายลง
"แม่...ช่วยด้วย..."
"ไม่ต้องกลัวลูกแม่!" ขาดคำก็ถลาเข้าไปกอดรัดลูกๆ เช็ดน้ำตาพลางพร่ำถามแทบจะจับความไม่ได้ "เป็นอะไรลูก? ใครทำอะไร? บอกแม่ซิ...ทำไมไม่ปลุกพ่อ?"
สามียอมรับว่าหลับสนิท ฝันเห็นผู้หญิงวัยกลางคน ผอมบาง มีแต่หนังหุ้มกระดูกผมเป็นกระเซิง นัยน์ตาเหลือกลานแทบถลนออกมานอกเบ้า จ้องมองอย่างน่าเกลียดน่ากลัว...พวกลูกๆ ก็ลุก ขึ้นมาแย่งกันเล่าว่า พวกแกเห็นผู้หญิงยืนแขวนอยู่ที่หน้าต่าง เล่นเอาหวาดกลัวจนพูดไม่ออก นอกจากนอนน้ำตาไหล แล้วสะอึกสะอื้นดังขึ้นทุกทีปิ่มว่าจะขาดใจตาย
ดิฉันหันขวับไปหาพี่สาว แกหลบตา พูดเสียงอ่อยๆ ว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนมีญาติห่างๆ จากเหนือ บอบช้ำทรุดโทรมเต็ม ที มาอาศัยอยู่แค่คืนเดียวก็ผูกคอตายที่หน้าต่างนั่นเอง
คืนนั้น ดิฉันนอนกับลูกๆ จนรุ่งเช้า...หลังจากไปกราบขอพรจากหลวงพ่อชินราชแล้วก็ล่ำลาป้าเนื่องกลับกรุงเทพฯ ทันที...แค่นี้ก็ขนหัวลุกเหลือแหล่แล้วค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552
มีผู้ถกเถียงกันมานานแล้วว่าผีมีจริงหรือเปล่า? ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนกันทั้งนั้น ยังเอาแพ้เอาชนะ หรือมีข้อสิ้นสุดยุติ ไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
แต่ที่ดิฉันและครอบครัวได้ไปประสบที่พิษณุโลกเมื่อ 3-4 เดือนนี่เอง คือเรื่องแปลกประหลาด น่าขนลุกขนพองที่สุด จนต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาและลงความเห็นว่าเรื่องผีๆ สางๆ มีจริงหรือไม่?
"ป้าเนื่อง" คือพี่สาวของดิฉันเอง แต่เรียกตามลูกๆ ทั้งสามคนที่เป็นผู้ชายล้วนๆ เป็นม่ายตัวคนเดียว ลูกสาวเข้าไปเรียนหนังสือถึงเชียงใหม่โน่น
เราได้ข่าวว่าป้าเนื่องล้มเจ็บด้วยโรคเบาหวานกับความดันสูง ไหนจะไขมันในเส้นเลือดอีกล่ะ ก็ตามแบบคนที่อายุเลยเลขห้า ไปแล้วนั่นแหละค่ะ...คนเราพอแก่ตัวลงก็มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บคอยแวะเวียนมาหาอยู่ร่ำไป
ตอนหลังได้ข่าวว่าอาการหนักถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล ร้านรวงหน้าตลาดเอกาทศรถก็ต้องให้ญาติห่างๆ กับลูกจ้างช่วยกันดูแล ลูกสาวมาเยี่ยมประเดี๋ยวประด๋าวก็ต้องรีบกลับ
ตอนที่ดิฉันกับสามีและลูกๆ ยกโขยงไปเยี่ยมน่ะ ป้าเนื่องเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน พอมองเห็นพวกเราก็ดีใจจนน้ำตาไหล เพราะญาติสนิทจริงๆ ของเราก็มีอยู่กันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น
ป้าเนื่องลุกมาต้อนรับขับสู้ คะยั้นคะยอให้ค้างคืนด้วยกัน ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมให้หมดเปลืองเปล่าๆ ยืนยันว่ารุ่งขึ้นกินอาหารที่ร้านเสร็จจะได้ไปไหว้หลวงพ่อชินราชเสียเลย เพราะวันเสาร์อาทิตย์น่ะคนแน่นเหมือนกับมีตลาดนัดเป็นประจำอยู่แล้ว
"ไหนจะวัดนางพญากับหลวงพ่อเหลืออีกล่ะ" ป้าเนื่องหว่านล้อม "มาคราวนี้จะได้ทัวร์วัดหลายๆ แห่งตามยุคสมัยไงล่ะ"
ดิฉันกับพี่สาวคุยกันในห้องนอนชั้นบน ส่วนห้องข้างๆ เป็นที่นอนของสามีกับลูกชาย...ตอนค่ำพวกหนุ่มๆ เขาก็ไปชมบ้านชมเมืองกัน แต่เรายังคุยไม่หยุดปากด้วยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กกับสาวๆ เหมือนกับคุยกันถึงเรื่องของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ
เมื่อเอ่ยถึงลุงประสงค์ที่ล่วงลับไปเมื่อปีก่อน ป้าเนื่องก็ยกมือไหว้ทำตาแดงๆ บอกว่าเคยฝันถึงครั้งเดียวเท่านั้น...ไม่เคยมาเยี่ยม เยียนอีกเลย คงจะไปสู่สุคติเรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นเอง...เราคุยกันจนผล็อยหลับไป แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ปลุกดิฉันขึ้นมาเงี่ยหูฟัง...ป้าเนื่องหลับสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ แม้ดิฉันจะยังงัวเงียอยู่ก็ตามแต่เสียงนั้นดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบเชียบ นานๆ จะมีเสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าร้านสักครั้ง...ดิฉันแทบจะกลั้นใจฟังเพราะทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก
...เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากฝาห้องที่สามีกับลูกๆ นอนอยู่นั่นเอง!
ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...ลุงประสงค์ที่ตายไปแล้ว!?
เสียงสะอื้นดังขึ้นทุกที...คุณพระช่วย! เสียงของลูกชายทั้งสามคนของดิฉันนี่นา!
ตกตะลึงจนตัวชา ทำอะไรไม่ถูก พ่อก็นอนอยู่ด้วยแท้ๆ หรือว่าเขาเป็นอะไรไป...เสียงสะอื้นที่ดังชัดเจนขึ้นทำให้แน่ใจว่าพวกลูกๆ กำลังเจ็บปวดหรือหวาดกลัวอะไรอย่างรุนแรง จนทำให้ลุกพรวดพราดขึ้น ร้องออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
"ลูกแม่! เป็นอะไรไป?"
"อะไร แม่นพ?" ป้าเนื่องนอนเร็ว ร้องถามพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเช่นกัน แต่ยังช้ากว่าดิฉันที่ลุกถลาไปถอดกลอน แล้วเข้าไปทุบประตูห้องที่ลูกๆ นอนอยู่เสียงโครมคราม...สามีบ่นอะไรเสียงง่วงๆ ก่อนจะเปิดประตูออกมา ดิฉันปราดเข้าไปเปิดไฟสว่างจ้า จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
ลูกชายวัยสิบกว่าขวบทั้งสามคนนอนหงายตัวแข็งทื่อ อ้าปาก ลืมตาโพลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มทุกคน เสียงครางปนสะอื้นบาดใจปิ่มว่าชีวิตจะแหลกสลายลง
"แม่...ช่วยด้วย..."
"ไม่ต้องกลัวลูกแม่!" ขาดคำก็ถลาเข้าไปกอดรัดลูกๆ เช็ดน้ำตาพลางพร่ำถามแทบจะจับความไม่ได้ "เป็นอะไรลูก? ใครทำอะไร? บอกแม่ซิ...ทำไมไม่ปลุกพ่อ?"
สามียอมรับว่าหลับสนิท ฝันเห็นผู้หญิงวัยกลางคน ผอมบาง มีแต่หนังหุ้มกระดูกผมเป็นกระเซิง นัยน์ตาเหลือกลานแทบถลนออกมานอกเบ้า จ้องมองอย่างน่าเกลียดน่ากลัว...พวกลูกๆ ก็ลุก ขึ้นมาแย่งกันเล่าว่า พวกแกเห็นผู้หญิงยืนแขวนอยู่ที่หน้าต่าง เล่นเอาหวาดกลัวจนพูดไม่ออก นอกจากนอนน้ำตาไหล แล้วสะอึกสะอื้นดังขึ้นทุกทีปิ่มว่าจะขาดใจตาย
ดิฉันหันขวับไปหาพี่สาว แกหลบตา พูดเสียงอ่อยๆ ว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนมีญาติห่างๆ จากเหนือ บอบช้ำทรุดโทรมเต็ม ที มาอาศัยอยู่แค่คืนเดียวก็ผูกคอตายที่หน้าต่างนั่นเอง
คืนนั้น ดิฉันนอนกับลูกๆ จนรุ่งเช้า...หลังจากไปกราบขอพรจากหลวงพ่อชินราชแล้วก็ล่ำลาป้าเนื่องกลับกรุงเทพฯ ทันที...แค่นี้ก็ขนหัวลุกเหลือแหล่แล้วค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552
01 ธันวาคม 2556
ปีศาจดร็อก
"ธยันต์" เล่าประสบการณ์ของปีศาจทะเลที่ขั้วโลกเหนือ
ทะเลน้อยใหญ่ไปจนถึงมหาสมุทร มีเนื้อที่กว้างขวางถึงสองในสามของพื้นโลกทั้งหมด แถมมีความมหัศจรรย์พันลึกเหลือหลาย มีสิ่งเร้นลับมากมายที่ยังพิสูจน์ให้แจ่มชัดไม่ได้...ว่าคืออะไรกันแน่?
ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และคนส่วนหนึ่ง ใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาหาสู่กันและเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม หรือหลบหนีศัตรูและโรคระบาด รวมทั้งการโยกย้ายถิ่นฐาน เมื่อพบปะทำเลที่ดีกว่า เหมาะที่จะอยู่อาศัยและทำมาหากินได้สะดวกสบายยิ่งกว่าถิ่นเดิม
สัตว์โลกส่วนใหญ่ถือกำเนิดในทะเล ครั้นถึงอายุขัยก็ล้มตาย ทอดร่างไร้ลมปราณลงสู่ทะเล คนทั้งโลกจึงเชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ว่าทะเลนั้นมีปีศาจสิงสู่
ผีดุเหลือหลาย ว่างั้นเถอะ!!
ฝรั่งมีทั้งเทพเจ้าและปีศาจทะเล เทพก็คือ "โพไซดอน" คอยคุ้มครองไม่ให้เรือแตก จมน้ำตาย ส่วนปีศาจคือ "ซีแฮ็ก" เรียกตรงๆ ว่าผีทะเล! สมัยก่อนบาร์ในโรงแรมยูโรป้ามุมถนนสุรวงศ์ก็ชื่อซีแฮ็ก...ย่านนั้นเคยเป็นชุมทางของชาวเรือนานาชาติ ขึ้นฝั่งได้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ รีบบึ่งไปหาสุรานารีให้คุ้มกับที่อดอยากมาเนิ่นนาน...
เข้าไปอุ่นเครื่องเผาหัวกันที่ซีแฮ็กก่อนเป็นไร
พวกไวกิงส์ในอดีตที่ชอบแล่นเรือหัวงอนๆ ออกไปปล้นสะดมเมืองชายทะเลต่างๆ ในยุโรป ฆ่าผู้ชาย ข่มขืนผู้หญิงก่อนฆ่าทิ้ง แล้วขนสมบัติต่างๆ กลับบ้านเมืองของตน ดูเผินๆ เหมือนเก่งกาจกล้าหาญเสียเต็มประดา แต่เอาจริงเข้าก็หวาดกลัวปีศาจทะเลเหมือนคนชาติอื่นนั่นแหละน่า
ก่อนจะออกเรือก็ต้องเซ่นสรวงบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ช่วยคุ้มครองลูกเมียที่อยู่หลังอย่าให้มีนักเลงดีดอดมาตีท้ายครัวได้ รวมทั้งเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ว่าขออย่าได้ประสบพบเห็นปีศาจตนใดเข้ากลางทางเลย เจ้าประคุณเอ๋ย
พวกไวกิงส์ หรือกลายเป็นชาวสแกนดิเนเวียนในยุคนี้เชื่อกันว่า มีผีทะเลชอบแปลงกายเป็นแมวน้ำ
ถ้าฆ่าแมวน้ำไม่ตายมันจะอาฆาตจองเวรไม่ลดละ ด้วยการแปลงเป็นผีมาดักล้างแค้นเอาชีวิต ไม่ชัวร์ป้าบจริงๆ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน หลบได้ต้องหลบเอาไว้ก่อนดีกว่า...อย่าริอ่านทำล้อเล่นกับมันไปเชียว
ทุกวันนี้ชนชาวขั้วโลกเหนือ ไม่ว่าสวีเดนหรือนอร์เวย์ก็ยังกลัว "ผีดร็อก" ชนิดฝั่งจิตฝังใจ ยิ่งชาวทะเลที่ออกหาปลาพูดถึงผีชนิดนี้เมื่อไหร่ เป็นขนพองสยองเกล้าไปตามๆ กัน
คนไทยมีเคล็ดว่าออกป่าอย่าพูดคำว่า "เสือ"
คนเชื้อสายไวกิงส์ออกทะเลก็ห้ามพูดคำว่า "ดร็อก"
"ผีดร็อก" คืออะไรแน่?
"ดร็อก" คือปีศาจทะเลชนิดหนึ่ง เชื่อถือกันมาหลายร้อยปีแล้วว่าเจ้าปีศาจทะเลตนนี้ไม่เหมือนกับภูตผีธรรมดา แต่มันจะแล่นเรือ "ครึ่งลำ" ไปพร้อมกับสมุนที่จมน้ำตายเป็นโขยง ใครออกทะเลแล้วเกิดเห็นปีศาจดร็อกเข้าก็ถือว่าดวงขาด เพราะนั่นเป็นลางมรณะว่าจะต้องเรือแตก จมน้ำตายแน่นอน!
บางทีเห็นเรือแล่นมาข้างหลังในยามค่ำคืน หรืออากาศไม่แจ่มใส ก็มักคิดว่าเป็นเรือหาปลาด้วยกัน จนกระทั่งเรือลำนั้นแล่นกระชั้นเข้ามาใกล้ๆ ชักใบกินลมจนแล่นปราดมาตีคู่ถึงได้เห็นว่าเป็นเรือปีศาจดร็อก
แค่เห็นเรือที่มีแค่ครึ่งลำ (ส่วนท้าย) หัวใจก็แทบจะหล่นตุ๊บไปกองที่ตาตุ่มตามๆ กันแล้วละครับ
ยิ่งเห็นลูกเรือตัวดำๆ หันมามอง พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน โดยเฉพาะชายที่ถือพังงาอยู่ท้ายเรือ ร่างกำยำดำทะมึนหันมาด้วย...ล้วนแต่เป็นหน้าตาเหี้ยมเกรียมของภูตผีปีศาจทั้งนั้นเลย
เท่านั้นยังไม่พอ!
ชักใบแล่นเรือหนี เรือปีศาจก็เร่งขึ้นมาตีคู่ คล้ายจะชวนแข่งกันให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลยว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน? จุดหมายปลายทางน่ะเรอะ...ขุมนรกใต้ท้องทะเลไงล่ะ! ฮ่ะๆๆ
หนีเร็วแค่ไหนก็หนีไม่พ้นเรืออสุรกาย
ลงเอยด้วยการโดนพายุถล่มจมเรือ...ใครรอดตายได้ก็ถือว่าดวงเฮงเต็มทีแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2552
ทะเลน้อยใหญ่ไปจนถึงมหาสมุทร มีเนื้อที่กว้างขวางถึงสองในสามของพื้นโลกทั้งหมด แถมมีความมหัศจรรย์พันลึกเหลือหลาย มีสิ่งเร้นลับมากมายที่ยังพิสูจน์ให้แจ่มชัดไม่ได้...ว่าคืออะไรกันแน่?
ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และคนส่วนหนึ่ง ใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาหาสู่กันและเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม หรือหลบหนีศัตรูและโรคระบาด รวมทั้งการโยกย้ายถิ่นฐาน เมื่อพบปะทำเลที่ดีกว่า เหมาะที่จะอยู่อาศัยและทำมาหากินได้สะดวกสบายยิ่งกว่าถิ่นเดิม
สัตว์โลกส่วนใหญ่ถือกำเนิดในทะเล ครั้นถึงอายุขัยก็ล้มตาย ทอดร่างไร้ลมปราณลงสู่ทะเล คนทั้งโลกจึงเชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ว่าทะเลนั้นมีปีศาจสิงสู่
ผีดุเหลือหลาย ว่างั้นเถอะ!!
ฝรั่งมีทั้งเทพเจ้าและปีศาจทะเล เทพก็คือ "โพไซดอน" คอยคุ้มครองไม่ให้เรือแตก จมน้ำตาย ส่วนปีศาจคือ "ซีแฮ็ก" เรียกตรงๆ ว่าผีทะเล! สมัยก่อนบาร์ในโรงแรมยูโรป้ามุมถนนสุรวงศ์ก็ชื่อซีแฮ็ก...ย่านนั้นเคยเป็นชุมทางของชาวเรือนานาชาติ ขึ้นฝั่งได้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ รีบบึ่งไปหาสุรานารีให้คุ้มกับที่อดอยากมาเนิ่นนาน...
เข้าไปอุ่นเครื่องเผาหัวกันที่ซีแฮ็กก่อนเป็นไร
พวกไวกิงส์ในอดีตที่ชอบแล่นเรือหัวงอนๆ ออกไปปล้นสะดมเมืองชายทะเลต่างๆ ในยุโรป ฆ่าผู้ชาย ข่มขืนผู้หญิงก่อนฆ่าทิ้ง แล้วขนสมบัติต่างๆ กลับบ้านเมืองของตน ดูเผินๆ เหมือนเก่งกาจกล้าหาญเสียเต็มประดา แต่เอาจริงเข้าก็หวาดกลัวปีศาจทะเลเหมือนคนชาติอื่นนั่นแหละน่า
ก่อนจะออกเรือก็ต้องเซ่นสรวงบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ช่วยคุ้มครองลูกเมียที่อยู่หลังอย่าให้มีนักเลงดีดอดมาตีท้ายครัวได้ รวมทั้งเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ว่าขออย่าได้ประสบพบเห็นปีศาจตนใดเข้ากลางทางเลย เจ้าประคุณเอ๋ย
พวกไวกิงส์ หรือกลายเป็นชาวสแกนดิเนเวียนในยุคนี้เชื่อกันว่า มีผีทะเลชอบแปลงกายเป็นแมวน้ำ
ถ้าฆ่าแมวน้ำไม่ตายมันจะอาฆาตจองเวรไม่ลดละ ด้วยการแปลงเป็นผีมาดักล้างแค้นเอาชีวิต ไม่ชัวร์ป้าบจริงๆ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน หลบได้ต้องหลบเอาไว้ก่อนดีกว่า...อย่าริอ่านทำล้อเล่นกับมันไปเชียว
ทุกวันนี้ชนชาวขั้วโลกเหนือ ไม่ว่าสวีเดนหรือนอร์เวย์ก็ยังกลัว "ผีดร็อก" ชนิดฝั่งจิตฝังใจ ยิ่งชาวทะเลที่ออกหาปลาพูดถึงผีชนิดนี้เมื่อไหร่ เป็นขนพองสยองเกล้าไปตามๆ กัน
คนไทยมีเคล็ดว่าออกป่าอย่าพูดคำว่า "เสือ"
คนเชื้อสายไวกิงส์ออกทะเลก็ห้ามพูดคำว่า "ดร็อก"
"ผีดร็อก" คืออะไรแน่?
"ดร็อก" คือปีศาจทะเลชนิดหนึ่ง เชื่อถือกันมาหลายร้อยปีแล้วว่าเจ้าปีศาจทะเลตนนี้ไม่เหมือนกับภูตผีธรรมดา แต่มันจะแล่นเรือ "ครึ่งลำ" ไปพร้อมกับสมุนที่จมน้ำตายเป็นโขยง ใครออกทะเลแล้วเกิดเห็นปีศาจดร็อกเข้าก็ถือว่าดวงขาด เพราะนั่นเป็นลางมรณะว่าจะต้องเรือแตก จมน้ำตายแน่นอน!
บางทีเห็นเรือแล่นมาข้างหลังในยามค่ำคืน หรืออากาศไม่แจ่มใส ก็มักคิดว่าเป็นเรือหาปลาด้วยกัน จนกระทั่งเรือลำนั้นแล่นกระชั้นเข้ามาใกล้ๆ ชักใบกินลมจนแล่นปราดมาตีคู่ถึงได้เห็นว่าเป็นเรือปีศาจดร็อก
แค่เห็นเรือที่มีแค่ครึ่งลำ (ส่วนท้าย) หัวใจก็แทบจะหล่นตุ๊บไปกองที่ตาตุ่มตามๆ กันแล้วละครับ
ยิ่งเห็นลูกเรือตัวดำๆ หันมามอง พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน โดยเฉพาะชายที่ถือพังงาอยู่ท้ายเรือ ร่างกำยำดำทะมึนหันมาด้วย...ล้วนแต่เป็นหน้าตาเหี้ยมเกรียมของภูตผีปีศาจทั้งนั้นเลย
เท่านั้นยังไม่พอ!
ชักใบแล่นเรือหนี เรือปีศาจก็เร่งขึ้นมาตีคู่ คล้ายจะชวนแข่งกันให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลยว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน? จุดหมายปลายทางน่ะเรอะ...ขุมนรกใต้ท้องทะเลไงล่ะ! ฮ่ะๆๆ
หนีเร็วแค่ไหนก็หนีไม่พ้นเรืออสุรกาย
ลงเอยด้วยการโดนพายุถล่มจมเรือ...ใครรอดตายได้ก็ถือว่าดวงเฮงเต็มทีแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2552
29 พฤศจิกายน 2556
หนูหนาวเหลือเกิน
"เป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพบเด็กหญิงที่หาดระยอง
ว่ากันว่า ถ้าคนเราต้องตายก่อนวัยอันควร พูดง่ายๆ คือเกิดเหตุที่ทำให้ตายก่อนถึงวันสิ้นอายุขัยแล้ว วิญญาณจะไม่ไปไหนหรอก ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวลว่าภารกิจของตนยังไม่จบสิ้น มีสิ่งคั่งค้างที่จะต้องทำอีกมากมาย
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยกำลังหางานทำแต่ก็หายากเหลือเกิน ผมตกที่นั่งเดียวกับเพื่อนๆ คือเตะฝุ่นไปเรื่อยๆ และแบมือขอเงินแม่ใช้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ เที่ยวเตร่สนุกสนานไปด้วยซ้ำ
มีอยู่คราวหนึ่งผมไปเที่ยวระยองกับเพื่อนเกือบสิบคน ไปเช่ารีสอร์ตที่ริมทะเล พวกเราสิงสู่อยู่ชายหาดตั้งแต่จวนเย็นจนมืดค่ำ เพื่อนกลุ่มหนึ่งอาสาไปซื้อเหล้าเบียร์และกับ แกล้มมานั่งกินกันให้สำราญแถวชายหาดนั่นแหละ ส่วนผมนั่งผึ่งลมเล่น เฝ้าเสื้อเฝ้าของอยู่กับเพื่อนอีก 2-3 คน
ราวทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เพื่อนพาแฟนไปเดินเล่นกะหนุง กะหนิง ทิ้งผมนอนดูเดือนข้างขึ้นอยู่คนเดียว บรรยากาศนั้นไม่น่ากลัวหรอก เพราะมีแสงไฟรีสอร์ตค่อนข้างสว่างและไม่เปลี่ยวเท่าไรนัก
ขณะนอนเพลินๆ ผมรู้สึกว่ามีใครเดินมาอยู่ข้างๆ พอลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กตัวนิดเดียวยืนอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุราว 7 ขวบ...แสงไฟส่องให้เห็นว่าเธอใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวลายการ์ตูน กางเกงขาสั้นสีแดง เปียกโชกไปทั้งตัวรวมทั้งหัวเปียกปอนจนมีน้ำหยดติ๋งๆ
"ไม่หนาวเหรอ?" ผมทัก ในใจคิดว่าเด็กอะไรค่ำมืดยังไม่รู้จักขึ้นบ้าน
"หนาว.." เสียงเศร้าๆ ดังเคล้ากับเสียงคลื่นเซาะหาด เธอห่อไหล่ ตัวสั่นขึ้นมาทันทีจนผมอดเวทนาไม่ได้...หรือว่าเธอจะหลงทาง?
"พ่อแม่ไปไหนล่ะ ทำไมมาคนเดียว หลงกับใครรึเปล่า?"
เด็กน้อยก้มหน้า ตอบเบาๆ ว่าทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว...เป็นเรื่องละซิ! ผมเจอเด็กหลงทางเข้าจริงๆ ด้วย ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจว่าต้องช่วยเด็กคนนี้แล้วละ เลยถามว่าเธอมาจากไหน? บ้านช่องอยู่ที่ใด?
เธอตอบว่าบ้านอยู่อยุธยา มาเที่ยวทะเลกับพ่อแม่พี่น้อง และเธอกลับบ้านไม่ได้...ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง แปลกมากที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่ลมนั่นเป็นลมหนาวจนผม ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
"จะให้พี่ช่วยอะไรล่ะ? ไปหาตำรวจด้วยกันมั้ย?"
เธอไม่ตอบ แต่เงยหน้ามองผม...ตอนนั้นเองผมสังเกตว่านัยน์ตาเธอแดงก่ำเหมือนเส้นเลือดตาขาวแตก...เมื่อกี้ยังไม่เป็นไรเลยนี่นา...อากาศยิ่งหนาวเย็น เสียงคลื่นก็คล้ายเสียงใครกำลังร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
ผมรู้สึกว่ายิ่งจ้องนาน เธอเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไปทุกที มีน้ำใสๆ ไหลรินออกจากจมูก และเมื่อเธออ้าปากขึ้นก็มีน้ำไหลออกมาเหมือนกัน สีผิวทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเธอคล้ำลงต่อหน้าต่อตาผมจนดูเขียวไปหมด
คุณพระช่วย! นี่มันศพเด็กจมน้ำตายชัดๆ ผมใจหายวาบ ตัวแข็งทื่อ
"หนูอยากกลับบ้าน..." เสียงปนสะอื้นดังวู่หวิว "อยากไปโรงเรียน หนูกำลังจะสอบด้วย ฮืออออ...ช่วยหนูด้วยเถอะจ้ะ..."
ขนหัวผมลุกซ่า ม่านตาพร่าพราย แต่ยังเห็นว่าเธอพูดโดยไม่เปิดปากแม้แต่น้อย น้ำใสๆ ยังไหลพลั่กๆ ออกจากปากและจมูก แถมยังมีเลือดเป็นสายบางๆ ปนออกมาด้วย ผมรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนวูบวาบเหมือนโลกทั้งโลกกำลังหมุนติ้ว...
ทันใดนั้นเสียงเพื่อนก็เรียกชื่อผมอย่างตกใจ พอดีกับที่ผมหงายหลังผลึ่ง...ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหมดสตินั้น เด็กน้อย ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะไม่เห็นเธอ
...เมื่อฟื้นขึ้นมา เพื่อนบอกว่าผมหมดสติไปราวห้านาที พวกเขาตกใจมากที่เห็นนั่งพูดอยู่คนเดียว แล้วอยู่ดีๆ ก็โงนเงน ล้มตึงไปเฉยๆ
ทุกคนตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเล่า...เรารีบเก็บข้าวของและม้วนเสื่อขึ้นข้างบน...
ชายหาดแห่งนี้เคยมีเด็กจมน้ำตายแทบทุกปี จนเป็นที่เลื่องลือ นึกไม่ถึงว่าผมจะได้มาเจอกับวิญญาณของเด็กหญิงที่น่าสงสาร ภาพของเธอยังติดหูติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ น่าสงสารเหลือเกิน...เวลาทำบุญใส่บาตร ผมก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอสงบสุข
ผมอยากช่วยเธอมากกว่านี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ในใจคิดอยู่เสมอว่าเด็กน้อยห่วงเรียนห่วงสอบ ผมอธิษฐานจิตบอกเธอเสมอว่าไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วละ เธอจากโลกนี้ไปแล้วละ ขอให้สู่สุคติเถอะนะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552
ว่ากันว่า ถ้าคนเราต้องตายก่อนวัยอันควร พูดง่ายๆ คือเกิดเหตุที่ทำให้ตายก่อนถึงวันสิ้นอายุขัยแล้ว วิญญาณจะไม่ไปไหนหรอก ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวลว่าภารกิจของตนยังไม่จบสิ้น มีสิ่งคั่งค้างที่จะต้องทำอีกมากมาย
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยกำลังหางานทำแต่ก็หายากเหลือเกิน ผมตกที่นั่งเดียวกับเพื่อนๆ คือเตะฝุ่นไปเรื่อยๆ และแบมือขอเงินแม่ใช้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ เที่ยวเตร่สนุกสนานไปด้วยซ้ำ
มีอยู่คราวหนึ่งผมไปเที่ยวระยองกับเพื่อนเกือบสิบคน ไปเช่ารีสอร์ตที่ริมทะเล พวกเราสิงสู่อยู่ชายหาดตั้งแต่จวนเย็นจนมืดค่ำ เพื่อนกลุ่มหนึ่งอาสาไปซื้อเหล้าเบียร์และกับ แกล้มมานั่งกินกันให้สำราญแถวชายหาดนั่นแหละ ส่วนผมนั่งผึ่งลมเล่น เฝ้าเสื้อเฝ้าของอยู่กับเพื่อนอีก 2-3 คน
ราวทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เพื่อนพาแฟนไปเดินเล่นกะหนุง กะหนิง ทิ้งผมนอนดูเดือนข้างขึ้นอยู่คนเดียว บรรยากาศนั้นไม่น่ากลัวหรอก เพราะมีแสงไฟรีสอร์ตค่อนข้างสว่างและไม่เปลี่ยวเท่าไรนัก
ขณะนอนเพลินๆ ผมรู้สึกว่ามีใครเดินมาอยู่ข้างๆ พอลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กตัวนิดเดียวยืนอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุราว 7 ขวบ...แสงไฟส่องให้เห็นว่าเธอใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวลายการ์ตูน กางเกงขาสั้นสีแดง เปียกโชกไปทั้งตัวรวมทั้งหัวเปียกปอนจนมีน้ำหยดติ๋งๆ
"ไม่หนาวเหรอ?" ผมทัก ในใจคิดว่าเด็กอะไรค่ำมืดยังไม่รู้จักขึ้นบ้าน
"หนาว.." เสียงเศร้าๆ ดังเคล้ากับเสียงคลื่นเซาะหาด เธอห่อไหล่ ตัวสั่นขึ้นมาทันทีจนผมอดเวทนาไม่ได้...หรือว่าเธอจะหลงทาง?
"พ่อแม่ไปไหนล่ะ ทำไมมาคนเดียว หลงกับใครรึเปล่า?"
เด็กน้อยก้มหน้า ตอบเบาๆ ว่าทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว...เป็นเรื่องละซิ! ผมเจอเด็กหลงทางเข้าจริงๆ ด้วย ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจว่าต้องช่วยเด็กคนนี้แล้วละ เลยถามว่าเธอมาจากไหน? บ้านช่องอยู่ที่ใด?
เธอตอบว่าบ้านอยู่อยุธยา มาเที่ยวทะเลกับพ่อแม่พี่น้อง และเธอกลับบ้านไม่ได้...ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง แปลกมากที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่ลมนั่นเป็นลมหนาวจนผม ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
"จะให้พี่ช่วยอะไรล่ะ? ไปหาตำรวจด้วยกันมั้ย?"
เธอไม่ตอบ แต่เงยหน้ามองผม...ตอนนั้นเองผมสังเกตว่านัยน์ตาเธอแดงก่ำเหมือนเส้นเลือดตาขาวแตก...เมื่อกี้ยังไม่เป็นไรเลยนี่นา...อากาศยิ่งหนาวเย็น เสียงคลื่นก็คล้ายเสียงใครกำลังร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
ผมรู้สึกว่ายิ่งจ้องนาน เธอเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไปทุกที มีน้ำใสๆ ไหลรินออกจากจมูก และเมื่อเธออ้าปากขึ้นก็มีน้ำไหลออกมาเหมือนกัน สีผิวทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเธอคล้ำลงต่อหน้าต่อตาผมจนดูเขียวไปหมด
คุณพระช่วย! นี่มันศพเด็กจมน้ำตายชัดๆ ผมใจหายวาบ ตัวแข็งทื่อ
"หนูอยากกลับบ้าน..." เสียงปนสะอื้นดังวู่หวิว "อยากไปโรงเรียน หนูกำลังจะสอบด้วย ฮืออออ...ช่วยหนูด้วยเถอะจ้ะ..."
ขนหัวผมลุกซ่า ม่านตาพร่าพราย แต่ยังเห็นว่าเธอพูดโดยไม่เปิดปากแม้แต่น้อย น้ำใสๆ ยังไหลพลั่กๆ ออกจากปากและจมูก แถมยังมีเลือดเป็นสายบางๆ ปนออกมาด้วย ผมรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนวูบวาบเหมือนโลกทั้งโลกกำลังหมุนติ้ว...
ทันใดนั้นเสียงเพื่อนก็เรียกชื่อผมอย่างตกใจ พอดีกับที่ผมหงายหลังผลึ่ง...ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหมดสตินั้น เด็กน้อย ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะไม่เห็นเธอ
...เมื่อฟื้นขึ้นมา เพื่อนบอกว่าผมหมดสติไปราวห้านาที พวกเขาตกใจมากที่เห็นนั่งพูดอยู่คนเดียว แล้วอยู่ดีๆ ก็โงนเงน ล้มตึงไปเฉยๆ
ทุกคนตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเล่า...เรารีบเก็บข้าวของและม้วนเสื่อขึ้นข้างบน...
ชายหาดแห่งนี้เคยมีเด็กจมน้ำตายแทบทุกปี จนเป็นที่เลื่องลือ นึกไม่ถึงว่าผมจะได้มาเจอกับวิญญาณของเด็กหญิงที่น่าสงสาร ภาพของเธอยังติดหูติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ น่าสงสารเหลือเกิน...เวลาทำบุญใส่บาตร ผมก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอสงบสุข
ผมอยากช่วยเธอมากกว่านี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ในใจคิดอยู่เสมอว่าเด็กน้อยห่วงเรียนห่วงสอบ ผมอธิษฐานจิตบอกเธอเสมอว่าไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วละ เธอจากโลกนี้ไปแล้วละ ขอให้สู่สุคติเถอะนะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552
27 พฤศจิกายน 2556
ผีน้ำ
"มัธยันต์" เล่าเรื่องภูตผีที่สิงสู่อยู่ตามแม่น้ำลำคลองในอดีต
ผีน้ำคืออะไร?
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินโครมคราม ก็ต้องบอกว่าเป็นผีที่ไม่ได้อยู่บนบก ยกเว้นแต่ในป่าดงที่มีสระมีบึง หรือห้วยละหานธารใสไหลผ่านก็อาจจะมีผีน้ำสิงสู่อยู่บ้างก็เป็นได้
พูดง่ายๆ ว่า...เป็นผีที่อยู่ในน้ำ!
ขยายความได้ว่า เป็นผีหรือวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำนั้นๆ มาเนิ่นนานแล้ว อาจจะหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีก็ได้ พอจะจัดอยู่ในประเภท "ผีเจ้าที่เจ้าทาง" ชนิดหนึ่งได้เหมือนกัน
แต่ผีน้ำที่ทำให้คนหวาดกลัวกันนักก็คือผีตกน้ำตาย โดดน้ำตายหรือโดนฆ่าตาย...ตั้งแต่จับโยนน้ำ ถ่วงน้ำ จนถึงฆ่าตายบนบก ในบ้านช่องหรือในรถในเรือแล้วเอาศพไปทิ้งน้ำหายสาบสูญไปก็มี โผล่ขึ้นมาให้เห็นก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
เชื่อว่าศพร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ให้ตำรวจจับคนร้ายมาชดใช้กรรมในคุก!
ผีน้ำที่ถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งอุบัติเหตุเรือล่มจมน้ำตาย อะไรพวกนี้เชื่อกันว่า วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่ตัวตาย เพื่อรอเวลาล้างแค้นบ้าง รอเอาชีวิตคนดวงขาดไปเป็นผีน้ำแทนบ้าง...ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เรียกกันว่า ผีน้ำ, ผีพราย หรือพรายน้ำ
คนละชนิดกับ "โหงพราย" และ "ขุนแผน" เพราะโหงพรายของขุนแผนเป็นภูตผีทั่วไปที่ขุนแผนใช้มนต์เรียกตัวมาใช้สอย ดูแลลูกเมียและบ้านช่องเมื่อตัวเองไม่อยู่บ้าน
ขุนแผนเลี้ยงภูตพรายเอาไว้เยอะครับ คนสนิท...เอ๊ย! ผีสนิทประจำตัวก็ยังมีนี่นา!
ขนาดนางบัวคลี่ถูกตาหมื่นหาญผู้พ่อยุให้วางยาพิษผัว (ขุนแผน) เพราะอิจฉาที่ลูกเขยมีคาถาอาคมแก่กล้ากว่าตัวเองลิบลับ ยังไม่อาจเล็ดลอดหูตาโหงพรายไปได้...รีบมากระซิบบอกเจ้านายทันทีว่าบัวคลี่เอาอาหารใส่ยาพิษให้กิน อย่าเผลอไผลสวาปามเข้าไปเชียวนะเจ้าคะ...เดี๋ยวก็เด๊ดสะมอเร่ไม่รู้ตัวหรอกเจ้าค่ะ พระนายขา!
รู้แน่ว่าเมียทรยศ พระเอกของเราก็จัดการผ่าท้อง ควักลูกมาทำพิธีย่างสดจนได้ "กุมารทอง" มาใช้สอยซะอีกตัว
เสภาตอนโหงพรายช่วยชีวิตนายแม้จะสั้นๆ แต่อ่านแล้วเห็นภาพได้ชัดเจนทันที
"ครานั้นโหงพรายเจ้าพรายแก้ว เห็นแล้วว่าเขาเอายาใส่
กระซิบบอกนายพลันด้วยทันใด เดี๋ยวนี้เมียเสียไปใจไม่ตรง
ข้าวแกงที่แต่งในสำรับ มันประกับโรยมาด้วยยาผง
ล้วนยาพิษทั้งนั้นเป็นมั่นคง พ่อจงระวังระไวอย่าได้กิน"
ถ้าไม่มีโหงพรายกระซิบ ขุนแผนก็คงไปเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว....ทำให้เกิดสำนวนที่กล่าวถึงคนล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แทบไม่น่าเชื่อว่า "เหมือนมีพรายกระซิบ"
ไหนๆ เอ่ยถึงโหงพรายของขุนแผน-นิทานพื้นบ้านของไทยแล้ว ก็น่าจะเล่าถึงผีน้ำของจีนที่ปรากฏในเรื่อง "เปาเล่งถูอัน" หรือเปาบุ้นจิ้น-เทพผู้พิทักษ์ความยุติธรรมแห่งศาลไคฟงเห็นจะดีเป็นแน่เชียว
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นตอน "บัณฑิตฆาตกร"
หนุ่มนักศึกษาต้องการสอบเป็นจอหงวน (นายอำเภอ) เกิดมืดหน้าตาลาย ไปข่มขืนม่ายสาวข้างทางในคืนดึกเปลี่ยว แถวเชิงสะพานข้ามคลองใกล้หมู่บ้าน โดนขัดขืนจึงบีบคอตายคาที่ แล้วทิ้งศพไว้ปริ่มน้ำในชายคลองที่เกิดเหตุนั่นเอง
คดีฆาตกรรมรายนี้มีฆาตกรเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงผู้เดียว!
สาเหตุเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตาย มีพยานยืนยันหลายคน แต่นักศึกษาหนุ่มปากแข็ง ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิดคิดร้ายใครทั้งสิ้น! เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอจะจับกุมมาลงโทษตามกระบิลเมืองได้ เปาบุ้นจิ้นจึงปล่อยตัวไป
คืนหนึ่ง บัณฑิตฆาตกรเดินผ่านสะพานนั้นก็ต้องขนลุกซู่ ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากชายน้ำว่า...คนใจร้าย มาข่มขืนฆ่ากันได้ลงคอ ขอจองล้างจองผลาญไปตลอดกาล...
บัณฑิตหนุ่มตกใจรีบคุกเข่าลงขอขมาปากคอสั่น...ข้าผิดไปแล้ว! มิได้เจตนาฆ่านางเลย สาบานได้...ขอวิญญาณนางโปรดให้อภัย ไปสู่สุคติเสียเถิด!
เปาบุ้นจิ้นกับทหารคู่ใจพลันปรากฏกาย พร้อมกับสาวนกต่อที่ทำเสียงผีมาคร่ำครวญหลอกหลอนให้บัณฑิตฆาตกรสารภาพผิด เพราะคิดว่าโดนผีจริงๆ ที่ตัวฆ่าตามมาทวงชีวิต...โดนท่านเปาสั่งเรียกเครื่องประหารหัวสุนัขมาตัดคอชดใช้กรรมไม่ช้าที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2552
ผีน้ำคืออะไร?
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินโครมคราม ก็ต้องบอกว่าเป็นผีที่ไม่ได้อยู่บนบก ยกเว้นแต่ในป่าดงที่มีสระมีบึง หรือห้วยละหานธารใสไหลผ่านก็อาจจะมีผีน้ำสิงสู่อยู่บ้างก็เป็นได้
พูดง่ายๆ ว่า...เป็นผีที่อยู่ในน้ำ!
ขยายความได้ว่า เป็นผีหรือวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำนั้นๆ มาเนิ่นนานแล้ว อาจจะหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีก็ได้ พอจะจัดอยู่ในประเภท "ผีเจ้าที่เจ้าทาง" ชนิดหนึ่งได้เหมือนกัน
แต่ผีน้ำที่ทำให้คนหวาดกลัวกันนักก็คือผีตกน้ำตาย โดดน้ำตายหรือโดนฆ่าตาย...ตั้งแต่จับโยนน้ำ ถ่วงน้ำ จนถึงฆ่าตายบนบก ในบ้านช่องหรือในรถในเรือแล้วเอาศพไปทิ้งน้ำหายสาบสูญไปก็มี โผล่ขึ้นมาให้เห็นก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
เชื่อว่าศพร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ให้ตำรวจจับคนร้ายมาชดใช้กรรมในคุก!
ผีน้ำที่ถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งอุบัติเหตุเรือล่มจมน้ำตาย อะไรพวกนี้เชื่อกันว่า วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่ตัวตาย เพื่อรอเวลาล้างแค้นบ้าง รอเอาชีวิตคนดวงขาดไปเป็นผีน้ำแทนบ้าง...ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เรียกกันว่า ผีน้ำ, ผีพราย หรือพรายน้ำ
คนละชนิดกับ "โหงพราย" และ "ขุนแผน" เพราะโหงพรายของขุนแผนเป็นภูตผีทั่วไปที่ขุนแผนใช้มนต์เรียกตัวมาใช้สอย ดูแลลูกเมียและบ้านช่องเมื่อตัวเองไม่อยู่บ้าน
ขุนแผนเลี้ยงภูตพรายเอาไว้เยอะครับ คนสนิท...เอ๊ย! ผีสนิทประจำตัวก็ยังมีนี่นา!
ขนาดนางบัวคลี่ถูกตาหมื่นหาญผู้พ่อยุให้วางยาพิษผัว (ขุนแผน) เพราะอิจฉาที่ลูกเขยมีคาถาอาคมแก่กล้ากว่าตัวเองลิบลับ ยังไม่อาจเล็ดลอดหูตาโหงพรายไปได้...รีบมากระซิบบอกเจ้านายทันทีว่าบัวคลี่เอาอาหารใส่ยาพิษให้กิน อย่าเผลอไผลสวาปามเข้าไปเชียวนะเจ้าคะ...เดี๋ยวก็เด๊ดสะมอเร่ไม่รู้ตัวหรอกเจ้าค่ะ พระนายขา!
รู้แน่ว่าเมียทรยศ พระเอกของเราก็จัดการผ่าท้อง ควักลูกมาทำพิธีย่างสดจนได้ "กุมารทอง" มาใช้สอยซะอีกตัว
เสภาตอนโหงพรายช่วยชีวิตนายแม้จะสั้นๆ แต่อ่านแล้วเห็นภาพได้ชัดเจนทันที
"ครานั้นโหงพรายเจ้าพรายแก้ว เห็นแล้วว่าเขาเอายาใส่
กระซิบบอกนายพลันด้วยทันใด เดี๋ยวนี้เมียเสียไปใจไม่ตรง
ข้าวแกงที่แต่งในสำรับ มันประกับโรยมาด้วยยาผง
ล้วนยาพิษทั้งนั้นเป็นมั่นคง พ่อจงระวังระไวอย่าได้กิน"
ถ้าไม่มีโหงพรายกระซิบ ขุนแผนก็คงไปเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว....ทำให้เกิดสำนวนที่กล่าวถึงคนล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แทบไม่น่าเชื่อว่า "เหมือนมีพรายกระซิบ"
ไหนๆ เอ่ยถึงโหงพรายของขุนแผน-นิทานพื้นบ้านของไทยแล้ว ก็น่าจะเล่าถึงผีน้ำของจีนที่ปรากฏในเรื่อง "เปาเล่งถูอัน" หรือเปาบุ้นจิ้น-เทพผู้พิทักษ์ความยุติธรรมแห่งศาลไคฟงเห็นจะดีเป็นแน่เชียว
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นตอน "บัณฑิตฆาตกร"
หนุ่มนักศึกษาต้องการสอบเป็นจอหงวน (นายอำเภอ) เกิดมืดหน้าตาลาย ไปข่มขืนม่ายสาวข้างทางในคืนดึกเปลี่ยว แถวเชิงสะพานข้ามคลองใกล้หมู่บ้าน โดนขัดขืนจึงบีบคอตายคาที่ แล้วทิ้งศพไว้ปริ่มน้ำในชายคลองที่เกิดเหตุนั่นเอง
คดีฆาตกรรมรายนี้มีฆาตกรเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงผู้เดียว!
สาเหตุเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตาย มีพยานยืนยันหลายคน แต่นักศึกษาหนุ่มปากแข็ง ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิดคิดร้ายใครทั้งสิ้น! เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอจะจับกุมมาลงโทษตามกระบิลเมืองได้ เปาบุ้นจิ้นจึงปล่อยตัวไป
คืนหนึ่ง บัณฑิตฆาตกรเดินผ่านสะพานนั้นก็ต้องขนลุกซู่ ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากชายน้ำว่า...คนใจร้าย มาข่มขืนฆ่ากันได้ลงคอ ขอจองล้างจองผลาญไปตลอดกาล...
บัณฑิตหนุ่มตกใจรีบคุกเข่าลงขอขมาปากคอสั่น...ข้าผิดไปแล้ว! มิได้เจตนาฆ่านางเลย สาบานได้...ขอวิญญาณนางโปรดให้อภัย ไปสู่สุคติเสียเถิด!
เปาบุ้นจิ้นกับทหารคู่ใจพลันปรากฏกาย พร้อมกับสาวนกต่อที่ทำเสียงผีมาคร่ำครวญหลอกหลอนให้บัณฑิตฆาตกรสารภาพผิด เพราะคิดว่าโดนผีจริงๆ ที่ตัวฆ่าตามมาทวงชีวิต...โดนท่านเปาสั่งเรียกเครื่องประหารหัวสุนัขมาตัดคอชดใช้กรรมไม่ช้าที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2552
25 พฤศจิกายน 2556
ผีป่า
" มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของผีป่าและผีโขมด
ถึงแม้ผู้คนทั่วโลกจะเชื่อว่าผีมีจริง นอกจากจะชอบหลอกหลอนให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เผลอๆ ก็อาจตามจองล้างจองผลาญศัตรูคู่อาฆาตถึงกับล้มตายได้ แต่ดูเหมือนว่าภูตผีของชาติต่างๆ จะมีน้อยกว่าของไทยเราอย่างชนิดเทียบกันไม่ติด
"ผี" คือคำรวมๆ ที่เรียกคนตายแล้ว ไม่ว่าจะตายแบบไหนก็ตาม แต่คนไทยจะแยกแยะประเภทของคนตายให้เห็นภาพชัดเจนว่าตายเพราะอะไร
คนที่แก่เฒ่าหรือเจ็บไข้ได้ป่วยตายตามปกติก็เรียกว่า "ผี" บางท้องถิ่นเรียกการไปเผาศพว่า "ไปเผาผี" ตรงกับสำนวนไทยที่เอ่ยถึงคนที่ตนเกลียดชังว่า "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" คือผูกใจเจ็บจนไม่ยอมให้อภัย แม้ว่าจะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม
คนที่ตายเพราะโดนฆ่าบ้าง อุบัติเหตุบ้าง จงใจฆ่าตัวตายว่า ถือว่าเป็นการตายผิดปกติ หรือตายก่อนจะสิ้นอายุขัย ก็จะเรียกขานกันว่า "ผีตายโหง"
ผู้หญิงคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูกเรียกว่า "ตายทั้งกลม"
สมัยก่อนมีโรคอหิวาต์ระบาดบ่อยๆ ทำให้ผู้คนที่ล้มตายคราวละนับพันนับหมื่นเรียกว่า โรค "ห่าลง" คนที่ตายเพราะโรคนี้จึงเรียกว่า "ตายห่า" ซึ่งนิยมมาสบถสาบานให้คล้องจองกันว่า "ให้ตายโหง-ตายห่า" ซึ่งใช้ทั้งการแช่งตัวเองบ้าง แช่งผู้อื่นบ้าง หรือไม่ก็หัวเสียจนหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง
"ผีป่า" เป็นผีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะตีความได้หลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความเชื่อถือของแต่ละบุคคล หรือไม่ก็ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่าเป็นผีชนิดไหนกันแน่?
เป็นคนที่ล้มตายในป่าดง หรือเป็นภูตผีที่สิงสู่อยู่ในป่าดิบดงดำนั้นมาเนิ่นนานแล้ว
ผีชนิดแรกพอจะเข้าใจได้กว้างๆ แต่มีปัญหาว่าผีชนิดหลังมาจากไหนกัน?
มีความเชื่อถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่า ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่มีภูตผีสิงสู่ ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นิยมเรียกขานกันว่า "เจ้าที่เจ้าทาง" ขนาดบ้านช่องในเมืองน้อยใหญ่ยังตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้เจ้าที่มีร่มไม้ชายคาอยู่ มีเครื่องเซ่นให้กินเป็นประจำ
นอกจากจะต้องการให้เจ้าที่คุ้มครองคนในบ้านแล้ว ยังเป็น รปภ.ดูแลบ้านช่องคอยจับวิญญาณร่อนเร่หรือสัมภเวสี ผีไม่มีศาล ไม่ให้เข้ามาบุกรุกหรือจุ้นจ้านในเขตบ้านเรือนได้โดยง่าย
ป่าดง ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เชื่อว่ามีเจ้าที่เจ้าทางสิงสู่อยู่ทั้งนั้น!
ต้นไม้ใหญ่ๆ เช่น ต้นโพธิ์ ตันไทร ต้นรัง ฯลฯ ก็ย่อมมีผีอาศัยอยู่ทุกต้น แต่เรียกว่า "รุกขเทวา" เป็นการยกย่องให้เกียรติกันไว้ก่อน
ต้นไม้เหล่านี้ไม่นิยมนำมาปลูกไว้ในเขตบ้าน เพราะคนอยู่อาศัยซึ่งเป็นปุถุชนธรรมดา อาจจะขุ่นมัวโกรธเคืองจนถึงกับด่าทอกัน ถ้อยคำหยาบช้าล่องลอยไประคายโสตรุกขเทวาเข้า เดี๋ยวท่านรำคาญหรือโกรธกริ้ว ก็จะลงโทษให้เดือดร้อนกันทั้งบ้านก็เป็นได้ จึงนิยมปลูกไว้เขตวัดซึ่งถือว่าบริสุทธิ์สะอาดกว่าเขตบ้าน
"ผีป่า" ชนิดแรกคือคนเข้าไปตายในป่าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น เข้าป่าล่าสัตว์บ้าง หาพืชผักหรือสมุนไพรบ้าง แต่เกิดเจ็บป่วยล้มตายลงก็มี ถูกงูกัด เสือขย้ำกินก็มาก...หรือแม้แต่พลาดพลั้งหล่นเขา ตกเหวตายก็ไม่น้อย
ส่วนมากญาติหรือลูกเมียทางบ้านไม่ค่อยรู้ข่าวเพราะหายสาบสูญไปเฉยๆ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน บางรายเข้าไปหาก็ไม่พบ จะมีเจอะเจอบ้างก็น้อยรายเต็มที
คนไทยเชื่อเรื่องการทำศพ บำเพ็ญกุศลตามประเพณี ไหนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายอีกต่างหาก แต่เมื่อ "ผีป่า" เหล่านั้นตายไปแบบสาบสูญ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายอย่างไรแน่ จึงมักจะไม่มีการทำบุญแผ่กุศลไปให้ กลายเป็นผีอดอยากปากแห้ง ต้องปรากฏกายออกขอส่วนบุญกับคนเป็นๆ ซึ่งมักจะวิ่งหนีเพราะความหวาดกลัว ยกเว้นแต่พระธุดงค์ หรือผู้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าเท่านั้นจึงจะช่วยเหลือได้
"ผีป่า" นั้นเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ผีโขมด" ต่อมาได้แยกเป็น "โขมดป่าโขมดดง" ส่วนจะมีรายละเอียดวิจิตรพิสดารประการใด ผู้เขียนจะได้มาเรียบเรียงให้ท่านผู้อ่านได้รับทั้งสาระและความบันเทิงต่อไป
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2552
ถึงแม้ผู้คนทั่วโลกจะเชื่อว่าผีมีจริง นอกจากจะชอบหลอกหลอนให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เผลอๆ ก็อาจตามจองล้างจองผลาญศัตรูคู่อาฆาตถึงกับล้มตายได้ แต่ดูเหมือนว่าภูตผีของชาติต่างๆ จะมีน้อยกว่าของไทยเราอย่างชนิดเทียบกันไม่ติด
"ผี" คือคำรวมๆ ที่เรียกคนตายแล้ว ไม่ว่าจะตายแบบไหนก็ตาม แต่คนไทยจะแยกแยะประเภทของคนตายให้เห็นภาพชัดเจนว่าตายเพราะอะไร
คนที่แก่เฒ่าหรือเจ็บไข้ได้ป่วยตายตามปกติก็เรียกว่า "ผี" บางท้องถิ่นเรียกการไปเผาศพว่า "ไปเผาผี" ตรงกับสำนวนไทยที่เอ่ยถึงคนที่ตนเกลียดชังว่า "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" คือผูกใจเจ็บจนไม่ยอมให้อภัย แม้ว่าจะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม
คนที่ตายเพราะโดนฆ่าบ้าง อุบัติเหตุบ้าง จงใจฆ่าตัวตายว่า ถือว่าเป็นการตายผิดปกติ หรือตายก่อนจะสิ้นอายุขัย ก็จะเรียกขานกันว่า "ผีตายโหง"
ผู้หญิงคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูกเรียกว่า "ตายทั้งกลม"
สมัยก่อนมีโรคอหิวาต์ระบาดบ่อยๆ ทำให้ผู้คนที่ล้มตายคราวละนับพันนับหมื่นเรียกว่า โรค "ห่าลง" คนที่ตายเพราะโรคนี้จึงเรียกว่า "ตายห่า" ซึ่งนิยมมาสบถสาบานให้คล้องจองกันว่า "ให้ตายโหง-ตายห่า" ซึ่งใช้ทั้งการแช่งตัวเองบ้าง แช่งผู้อื่นบ้าง หรือไม่ก็หัวเสียจนหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง
"ผีป่า" เป็นผีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะตีความได้หลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความเชื่อถือของแต่ละบุคคล หรือไม่ก็ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่าเป็นผีชนิดไหนกันแน่?
เป็นคนที่ล้มตายในป่าดง หรือเป็นภูตผีที่สิงสู่อยู่ในป่าดิบดงดำนั้นมาเนิ่นนานแล้ว
ผีชนิดแรกพอจะเข้าใจได้กว้างๆ แต่มีปัญหาว่าผีชนิดหลังมาจากไหนกัน?
มีความเชื่อถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่า ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่มีภูตผีสิงสู่ ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นิยมเรียกขานกันว่า "เจ้าที่เจ้าทาง" ขนาดบ้านช่องในเมืองน้อยใหญ่ยังตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้เจ้าที่มีร่มไม้ชายคาอยู่ มีเครื่องเซ่นให้กินเป็นประจำ
นอกจากจะต้องการให้เจ้าที่คุ้มครองคนในบ้านแล้ว ยังเป็น รปภ.ดูแลบ้านช่องคอยจับวิญญาณร่อนเร่หรือสัมภเวสี ผีไม่มีศาล ไม่ให้เข้ามาบุกรุกหรือจุ้นจ้านในเขตบ้านเรือนได้โดยง่าย
ป่าดง ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เชื่อว่ามีเจ้าที่เจ้าทางสิงสู่อยู่ทั้งนั้น!
ต้นไม้ใหญ่ๆ เช่น ต้นโพธิ์ ตันไทร ต้นรัง ฯลฯ ก็ย่อมมีผีอาศัยอยู่ทุกต้น แต่เรียกว่า "รุกขเทวา" เป็นการยกย่องให้เกียรติกันไว้ก่อน
ต้นไม้เหล่านี้ไม่นิยมนำมาปลูกไว้ในเขตบ้าน เพราะคนอยู่อาศัยซึ่งเป็นปุถุชนธรรมดา อาจจะขุ่นมัวโกรธเคืองจนถึงกับด่าทอกัน ถ้อยคำหยาบช้าล่องลอยไประคายโสตรุกขเทวาเข้า เดี๋ยวท่านรำคาญหรือโกรธกริ้ว ก็จะลงโทษให้เดือดร้อนกันทั้งบ้านก็เป็นได้ จึงนิยมปลูกไว้เขตวัดซึ่งถือว่าบริสุทธิ์สะอาดกว่าเขตบ้าน
"ผีป่า" ชนิดแรกคือคนเข้าไปตายในป่าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น เข้าป่าล่าสัตว์บ้าง หาพืชผักหรือสมุนไพรบ้าง แต่เกิดเจ็บป่วยล้มตายลงก็มี ถูกงูกัด เสือขย้ำกินก็มาก...หรือแม้แต่พลาดพลั้งหล่นเขา ตกเหวตายก็ไม่น้อย
ส่วนมากญาติหรือลูกเมียทางบ้านไม่ค่อยรู้ข่าวเพราะหายสาบสูญไปเฉยๆ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน บางรายเข้าไปหาก็ไม่พบ จะมีเจอะเจอบ้างก็น้อยรายเต็มที
คนไทยเชื่อเรื่องการทำศพ บำเพ็ญกุศลตามประเพณี ไหนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายอีกต่างหาก แต่เมื่อ "ผีป่า" เหล่านั้นตายไปแบบสาบสูญ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายอย่างไรแน่ จึงมักจะไม่มีการทำบุญแผ่กุศลไปให้ กลายเป็นผีอดอยากปากแห้ง ต้องปรากฏกายออกขอส่วนบุญกับคนเป็นๆ ซึ่งมักจะวิ่งหนีเพราะความหวาดกลัว ยกเว้นแต่พระธุดงค์ หรือผู้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าเท่านั้นจึงจะช่วยเหลือได้
"ผีป่า" นั้นเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ผีโขมด" ต่อมาได้แยกเป็น "โขมดป่าโขมดดง" ส่วนจะมีรายละเอียดวิจิตรพิสดารประการใด ผู้เขียนจะได้มาเรียบเรียงให้ท่านผู้อ่านได้รับทั้งสาระและความบันเทิงต่อไป
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2552
24 พฤศจิกายน 2556
อาถรรพณ์พงไพร
"มัธยันต์" เล่าเรื่องของป่าอาถรรพณ์น่าขนหัวลุก
"อาถรรพณ์" คืออำนาจลึกลับ คล้ายๆ กับ "อาถรรพ์" ที่เป็นพิธีพราหมณ์...เชื่อถือกันว่าจะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น ส่วนมากจะหมายถึงเรื่องไม่ค่อยดีนะครับ เช่นถ้าพูดถึงเคราะห์ หรือคราวเคราะห์ ก็หมายถึงเรื่องร้ายๆ ทั้งนั้น
ถ้าจะให้นึกถึงเรื่องตรงข้ามก็ต้องบอกว่า "เคราะห์ดี" เป็นต้น
คำว่าอาถรรพณ์ก็เช่นกัน!
รถอาถรรพณ์, เรืออาถรรพณ์, บ้านอาถรรพณ์, ห้องอาถรรพณ์ ฯลฯ อะไรพวกนี้น่ะ ฟังแล้วเตรียมขนลุกขนพองล่วงหน้าได้เลย เพราะไม่ได้หมายถึงรถ, เรือ หรือบ้านนำโชคแหงแซะ
ส่วนมากก็คือ รถผีสิง, เรือมรณะ, บ้านผีดุ, ห้องกินคน หรือใครอยู่แล้วมันจะประสบอุบัติเหตุเภทภัยจนถึงล้มตายเป็นว่าเล่น จนต้องเรียกว่า "บ้านกินคน" ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงหรือสงสัยกันอีกต่อไป
ป่าอาถรรพณ์ก็มาอีหรอบเดียวนี้แหละครับ!
ในบ้านในเมืองที่มีผู้คนคลั่กๆ รถราขวักไขว่น่าเวียนหัว ยังมีเรื่องราวอาถรรพณ์ร้อยแปดอย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่ แล้วในป่าในดงที่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ครอบครองมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมามีมนุษย์เข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า ไม่ถึงกับตัดไม้เป็นว่าเล่นในยุคหลัง...ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยเต็มที
แล้วป่าจะไม่มีอาถรรพณ์ลึกลับ น่าขนหัวลุกยิ่งกว่าอาถรรพณ์ในบ้านในเมืองได้ยังไงกัน?
ขุนเขาเสียดยอดทะมึน บ้างก็เรียงรายราวกำแพงหนาทึบ ที่ซุกซ่อนความลี้ลับน่าพรั่นพรึงเอาไว้ ป่าดิบดงดำที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ คล้ายจะเป็นปราการน่าเกรงขาม หรือไม่ก็คือกับดักที่คอยเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย ผู้บังอาจบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวด้วยความทะนงตัว
สัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิด ราวกับเป็นทหารลาดตระเวน หรือด่านหน้าที่จะรับมือคอยสกัดกั้นมนุษย์ซุกซนไม่ให้ซอกซอนเข้าไปได้ง่ายๆ
คนดื้อรั้นต้องเอาชีวิตไปทิ้งทับถมในป่านับไม่ถ้วนมาแล้ว!
บ้างก็สาบสูญไร้ร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้
สัตว์ร้ายธรรมดาที่ว่าน่ากลัวนักหนาน่ะ ยังไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับสัตว์ที่แปลงร่างเป็นคนได้ เรียกขานกันง่ายๆ ว่า "สัตว์ผีสิง" นั่นปะไร
คนทั่วโลกก็เชื่อถือกัน อย่างเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาว่า สัตว์หลายชนิดถูกผีสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้ เช่น งูผีสิง ค้างคาวผีสิง เสือผีสิง หรือ "เสือสมิง" เป็นต้น
เรื่องทำนองนี้ในเอเชียมีเยอะครับ หรือจะเป็นเพราะสมัยก่อนมีป่าดิบดงดำมากมายก็ไม่ทราบ ไปไหนมาไหนก็มักจะหนีป่าดงไม่ค่อยพ้น ถึงได้เล่าลือถึงความอาถรรพณ์ ประเภทนี้บ่อยๆ จนแทบคุ้นหูแล้วก็ว่าได้...
ขนาดกลัวๆ ก็ยังเข้าป่าด้วยสาเหตุต่างๆ มีเหตุผลว่าเพราะความจำเป็นบ้าง หรือไม่ก็อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตัวเองบ้าง ว่าอาถรรพณ์ต่างๆ นานานั่นน่ะจะมีความจริงมากน้อยแค่ไหน?
คนจีนสมัยโบราณเชื่อกันว่า สัตว์บางตัวเฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะนั่นแน่ะ รู้กระทั่งว่าถ้าถือศีลบำเพ็ญธรรมนานๆ เข้าก็จะทำให้อายุยืนยาว ยิ่งตบะเดชะแก่กล้าก็จะมีเวทมนตร์ให้แปลงกายได้ตามใจชอบ
กลายเป็นเซียนไปเลย...ว่างั้น!
คนไทยสมัยก่อนก็เชื่อถือกันว่า ถ้าใครร่ำเรียนคาถาอาคมจนแก่กล้า ก็สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เรียกว่าเสือสมิง
แต่บางแห่งก็เชื่อว่าเสือกินคนเข้าไปมากมาย โดนวิญญาณเข้าสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้...เรื่องแบบนี้ก็สุดแท้แต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหนก็แล้วกัน รับรองว่าตำรวจไม่จับ
ตอนหน้าจะได้พาไปชมเรื่องราวน่าขนหัวลุกของงูปีศาจ ถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ที่เคยเป็นป่าดิบดงดำ ชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด แถมด้วยไข้ป่าชุกชุมน่าสยองขวัญ...แสนจะทุรกันดารจนเกินกว่าที่จะมีมนุษย์เข้าไปตั้งรกรากอยู่ได้มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว
แค่นึกถึงภาพก็ขนลุกขนพองแล้วละครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
"อาถรรพณ์" คืออำนาจลึกลับ คล้ายๆ กับ "อาถรรพ์" ที่เป็นพิธีพราหมณ์...เชื่อถือกันว่าจะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น ส่วนมากจะหมายถึงเรื่องไม่ค่อยดีนะครับ เช่นถ้าพูดถึงเคราะห์ หรือคราวเคราะห์ ก็หมายถึงเรื่องร้ายๆ ทั้งนั้น
ถ้าจะให้นึกถึงเรื่องตรงข้ามก็ต้องบอกว่า "เคราะห์ดี" เป็นต้น
คำว่าอาถรรพณ์ก็เช่นกัน!
รถอาถรรพณ์, เรืออาถรรพณ์, บ้านอาถรรพณ์, ห้องอาถรรพณ์ ฯลฯ อะไรพวกนี้น่ะ ฟังแล้วเตรียมขนลุกขนพองล่วงหน้าได้เลย เพราะไม่ได้หมายถึงรถ, เรือ หรือบ้านนำโชคแหงแซะ
ส่วนมากก็คือ รถผีสิง, เรือมรณะ, บ้านผีดุ, ห้องกินคน หรือใครอยู่แล้วมันจะประสบอุบัติเหตุเภทภัยจนถึงล้มตายเป็นว่าเล่น จนต้องเรียกว่า "บ้านกินคน" ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงหรือสงสัยกันอีกต่อไป
ป่าอาถรรพณ์ก็มาอีหรอบเดียวนี้แหละครับ!
ในบ้านในเมืองที่มีผู้คนคลั่กๆ รถราขวักไขว่น่าเวียนหัว ยังมีเรื่องราวอาถรรพณ์ร้อยแปดอย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่ แล้วในป่าในดงที่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ครอบครองมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมามีมนุษย์เข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า ไม่ถึงกับตัดไม้เป็นว่าเล่นในยุคหลัง...ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยเต็มที
แล้วป่าจะไม่มีอาถรรพณ์ลึกลับ น่าขนหัวลุกยิ่งกว่าอาถรรพณ์ในบ้านในเมืองได้ยังไงกัน?
ขุนเขาเสียดยอดทะมึน บ้างก็เรียงรายราวกำแพงหนาทึบ ที่ซุกซ่อนความลี้ลับน่าพรั่นพรึงเอาไว้ ป่าดิบดงดำที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ คล้ายจะเป็นปราการน่าเกรงขาม หรือไม่ก็คือกับดักที่คอยเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย ผู้บังอาจบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวด้วยความทะนงตัว
สัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิด ราวกับเป็นทหารลาดตระเวน หรือด่านหน้าที่จะรับมือคอยสกัดกั้นมนุษย์ซุกซนไม่ให้ซอกซอนเข้าไปได้ง่ายๆ
คนดื้อรั้นต้องเอาชีวิตไปทิ้งทับถมในป่านับไม่ถ้วนมาแล้ว!
บ้างก็สาบสูญไร้ร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้
สัตว์ร้ายธรรมดาที่ว่าน่ากลัวนักหนาน่ะ ยังไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับสัตว์ที่แปลงร่างเป็นคนได้ เรียกขานกันง่ายๆ ว่า "สัตว์ผีสิง" นั่นปะไร
คนทั่วโลกก็เชื่อถือกัน อย่างเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาว่า สัตว์หลายชนิดถูกผีสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้ เช่น งูผีสิง ค้างคาวผีสิง เสือผีสิง หรือ "เสือสมิง" เป็นต้น
เรื่องทำนองนี้ในเอเชียมีเยอะครับ หรือจะเป็นเพราะสมัยก่อนมีป่าดิบดงดำมากมายก็ไม่ทราบ ไปไหนมาไหนก็มักจะหนีป่าดงไม่ค่อยพ้น ถึงได้เล่าลือถึงความอาถรรพณ์ ประเภทนี้บ่อยๆ จนแทบคุ้นหูแล้วก็ว่าได้...
ขนาดกลัวๆ ก็ยังเข้าป่าด้วยสาเหตุต่างๆ มีเหตุผลว่าเพราะความจำเป็นบ้าง หรือไม่ก็อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตัวเองบ้าง ว่าอาถรรพณ์ต่างๆ นานานั่นน่ะจะมีความจริงมากน้อยแค่ไหน?
คนจีนสมัยโบราณเชื่อกันว่า สัตว์บางตัวเฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะนั่นแน่ะ รู้กระทั่งว่าถ้าถือศีลบำเพ็ญธรรมนานๆ เข้าก็จะทำให้อายุยืนยาว ยิ่งตบะเดชะแก่กล้าก็จะมีเวทมนตร์ให้แปลงกายได้ตามใจชอบ
กลายเป็นเซียนไปเลย...ว่างั้น!
คนไทยสมัยก่อนก็เชื่อถือกันว่า ถ้าใครร่ำเรียนคาถาอาคมจนแก่กล้า ก็สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เรียกว่าเสือสมิง
แต่บางแห่งก็เชื่อว่าเสือกินคนเข้าไปมากมาย โดนวิญญาณเข้าสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้...เรื่องแบบนี้ก็สุดแท้แต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหนก็แล้วกัน รับรองว่าตำรวจไม่จับ
ตอนหน้าจะได้พาไปชมเรื่องราวน่าขนหัวลุกของงูปีศาจ ถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ที่เคยเป็นป่าดิบดงดำ ชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด แถมด้วยไข้ป่าชุกชุมน่าสยองขวัญ...แสนจะทุรกันดารจนเกินกว่าที่จะมีมนุษย์เข้าไปตั้งรกรากอยู่ได้มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว
แค่นึกถึงภาพก็ขนลุกขนพองแล้วละครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
22 พฤศจิกายน 2556
เสือสมิงที่บ่อพลอย
"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของเสือสมิงจากป่ากาญจนบุรี
เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล เรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอยก็ถือว่าเป็นอาถรรพณ์ป่าดงอันน่าสยดสยอง ที่ชาวบ้านโจษจันกันมาถึงลาดหญ้า แพร่หลายไปยันตัวเมืองกาญจนบุรี
ขณะนั้น แม้ว่าจะเป็นกิ่งอำเภอแล้ว แต่บ่อพลอยก็ยังค่อนข้างทุรกันดารนัก จากลาดหญ้าเข้าไปมีแต่ป่าดง หนทางคดเคี้ยววกวนไปตามธรรมชาติ มีแต่รถบรรทุกซุงแล่นผ่านไปมา มีชุมเผาถ่านเป็นระยะ ลึกเข้าไปก็มีชุมตัดไม้และทำไร่เลื่อนลอย ปลูกกระท่อมอยู่ห่างๆ กันแค่ 2-3 หลัง
เสือช้างยังเป็นเจ้าถิ่น วันดีคืนดี "เจ้าหมูกยาว" ก็บุกเข้าไปทลายกระท่อมราบเป็นหน้ากลอง
ใครจะเข้าบ่อพลอยต้องแยกจากเส้นทางรถซุง ย่ำป่าไปเกือบ 10 กิโลเมตร กว่าจะถึงปากทาง เห็นถนนลูกรังสีแดงเส้นเดียวตัดตรง ซ้ายมือเป็นหมู่บ้านและห้องแถวเขรอะฝุ่นเป็นร้านค้า ขวามือเป็นที่ทำการของหลวง มีบ้านพักกระจายอยู่ราว 4-5 หลัง
มีรถกระบะขนของกินของใช้จากจังหวัดมาส่งที่นั่นอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันจันทร์ กับวันพฤหัสบดี
วันนั้นก็จะมีโอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็นกินกัน เพราะมีน้ำแข็งเข้ามาส่งด้วย!
วันไหนมีการฆ่าหมู (เสียค่าอาชญาบัตร 50 บาท) ไม่ว่าจะเป็นพวกกะเหรี่ยงบนเขา หรือบ้านไหนก็ตาม ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวานจะเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง มาซื้อหมูถึงที่ตั้งแต่เช้า ตกสายก็ขายหมดเกลี้ยง ไม่ว่าเครื่องในหมูหรือแม้แต่เลือดหมู
วันนั้นที่ร้านกาแฟก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูขาย!!
บ่อพลอยแวดล้อมด้วยป่าดง ขุนเขาลำเนาไพร ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์ ตีผึ้ง หาสมุนไพร โดยเฉพาะหน่อไม้ถือว่าเป็นอาหารสำคัญ เพราะจะมีหน่อไม้รวกต้มใบหญ้านางเดินหาบขายพอๆ กับ "น้ำขาว" ไม่มีอะไรก็เอาหน่อไม้จิ้มเต้าเจี้ยวกินกับข้าวกันได้ทั้งบ้าน
มีน้ำพริก ผักสด ผักต้ม แถมด้วยเนื้อเค็มปลาเค็ม หรือมีแกงส้มสักหม้อก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
จนเกิดมีข่าวไอ้ลายยาวแปดศอก มาคาบชาวบ้านที่เข้าป่าไปกิน 2 คน!
คนแรกก็ยังพอว่า แต่เมื่อตามไปเจอซากคนต่อมา มีปืนแก๊ปตกอยู่ใกล้ซากที่แทบจะเหลือแต่โครงกระดูก ก็ร่ำลือกันไปต่างๆ นานาว่าเป็นเสือเจ้าบ้าง เสือสมิงยิงไม่อยู่บ้าง จนถึงกับบอกว่ามันคงเป็นเสือลำบาก ล่าคนง่ายกว่าล่าสัตว์อื่น บางคนก็เชื่อว่ามันได้ลิ้มเนื้อมนุษย์แล้วติดใจ ใครเข้าป่าต้องระวังเงาหัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าป่าจะดักซุ่มอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่รู้ตัว มัวแต่ตกใจ ได้ยินเสียงโฮกเข้าใส่มีหวังมืออ่อนตีนอ่อน โดนมันขย้ำคอหอยลากไปกินเอาง่ายๆ
ปัญหาว่าเสือโคร่งตัวนี้มาจากไหน?
บ้างก็ว่ามาจากศรีสวัสดิ์ บ้างก็ว่ามาจากเขตอุทัยกับทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะได้ข่าวว่ามีพรานป่าพรานกรุงเข้าไปล่าสัตว์กันคึกคัก พวกเสือช้างกวางเก้งก็เตลิดหนีตาย...กระจัดกระจายมาถึงป่าบ่อพลอย
ชาวบ้านแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อได้ข่าวว่ามีคนเห็นมันมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บ้าน ทิ้งรอยตีนขนาดชามโคมไว้เขย่าขวัญ ค่ำคืนได้ยินเสียงร้องมาจากป่าดง ฟังแล้วสยองใจประหนึ่งมันมาร้องอยู่หน้าบ้านก็ปานกัน!
มีการจัดคณะล่าเสือกินคนขึ้นมา ตาแก่น-พรานใหญ่เป็นหัวหน้า เจ้ากิ่งกับเจ้าดั่นอาสาตามไปล่าเสือด้วย คิดว่าได้การแน่เพราะเพิ่งได้ข่าวว่ามันลงมากินน้ำที่หนองเบี้ยเมื่อคืนก่อนนี้เอง
กำลังตระเตรียมกันอยู่นั้น สาวเดือนวัย 17 ออกไปหาหน่อไม้ใกล้ๆ บ้าน ก็โดนไอ้ลายลากไปกินแล้ว! ชาวบ้านได้ยินเสียงหวีดร้องรีบไปช่วยก็พบแต่กองเลือดเท่านั้น
เจ้าดั่นแทบจะคลั่งใจตาย เพราะสาวเดือนเป็นญาติลูกผู้น้องของมันเอง
"รีบไปกันเถอะน้าแก่น ไอ้กิ่ง...ถ้ายิงมันไม่อยู่ ข้าสาบานว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ่อพลอยเด็ดขาด"
เป็นอันว่าคนทั้งสามหอบหิ้วปืนผาหน้าไม้ กับเสบียงกรังพอสมควรเข้าป่าในวันรุ่งขึ้น...มั่นอกมั่นใจว่าเสือกินคนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล เรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอยก็ถือว่าเป็นอาถรรพณ์ป่าดงอันน่าสยดสยอง ที่ชาวบ้านโจษจันกันมาถึงลาดหญ้า แพร่หลายไปยันตัวเมืองกาญจนบุรี
ขณะนั้น แม้ว่าจะเป็นกิ่งอำเภอแล้ว แต่บ่อพลอยก็ยังค่อนข้างทุรกันดารนัก จากลาดหญ้าเข้าไปมีแต่ป่าดง หนทางคดเคี้ยววกวนไปตามธรรมชาติ มีแต่รถบรรทุกซุงแล่นผ่านไปมา มีชุมเผาถ่านเป็นระยะ ลึกเข้าไปก็มีชุมตัดไม้และทำไร่เลื่อนลอย ปลูกกระท่อมอยู่ห่างๆ กันแค่ 2-3 หลัง
เสือช้างยังเป็นเจ้าถิ่น วันดีคืนดี "เจ้าหมูกยาว" ก็บุกเข้าไปทลายกระท่อมราบเป็นหน้ากลอง
ใครจะเข้าบ่อพลอยต้องแยกจากเส้นทางรถซุง ย่ำป่าไปเกือบ 10 กิโลเมตร กว่าจะถึงปากทาง เห็นถนนลูกรังสีแดงเส้นเดียวตัดตรง ซ้ายมือเป็นหมู่บ้านและห้องแถวเขรอะฝุ่นเป็นร้านค้า ขวามือเป็นที่ทำการของหลวง มีบ้านพักกระจายอยู่ราว 4-5 หลัง
มีรถกระบะขนของกินของใช้จากจังหวัดมาส่งที่นั่นอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันจันทร์ กับวันพฤหัสบดี
วันนั้นก็จะมีโอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็นกินกัน เพราะมีน้ำแข็งเข้ามาส่งด้วย!
วันไหนมีการฆ่าหมู (เสียค่าอาชญาบัตร 50 บาท) ไม่ว่าจะเป็นพวกกะเหรี่ยงบนเขา หรือบ้านไหนก็ตาม ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวานจะเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง มาซื้อหมูถึงที่ตั้งแต่เช้า ตกสายก็ขายหมดเกลี้ยง ไม่ว่าเครื่องในหมูหรือแม้แต่เลือดหมู
วันนั้นที่ร้านกาแฟก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูขาย!!
บ่อพลอยแวดล้อมด้วยป่าดง ขุนเขาลำเนาไพร ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์ ตีผึ้ง หาสมุนไพร โดยเฉพาะหน่อไม้ถือว่าเป็นอาหารสำคัญ เพราะจะมีหน่อไม้รวกต้มใบหญ้านางเดินหาบขายพอๆ กับ "น้ำขาว" ไม่มีอะไรก็เอาหน่อไม้จิ้มเต้าเจี้ยวกินกับข้าวกันได้ทั้งบ้าน
มีน้ำพริก ผักสด ผักต้ม แถมด้วยเนื้อเค็มปลาเค็ม หรือมีแกงส้มสักหม้อก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
จนเกิดมีข่าวไอ้ลายยาวแปดศอก มาคาบชาวบ้านที่เข้าป่าไปกิน 2 คน!
คนแรกก็ยังพอว่า แต่เมื่อตามไปเจอซากคนต่อมา มีปืนแก๊ปตกอยู่ใกล้ซากที่แทบจะเหลือแต่โครงกระดูก ก็ร่ำลือกันไปต่างๆ นานาว่าเป็นเสือเจ้าบ้าง เสือสมิงยิงไม่อยู่บ้าง จนถึงกับบอกว่ามันคงเป็นเสือลำบาก ล่าคนง่ายกว่าล่าสัตว์อื่น บางคนก็เชื่อว่ามันได้ลิ้มเนื้อมนุษย์แล้วติดใจ ใครเข้าป่าต้องระวังเงาหัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าป่าจะดักซุ่มอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่รู้ตัว มัวแต่ตกใจ ได้ยินเสียงโฮกเข้าใส่มีหวังมืออ่อนตีนอ่อน โดนมันขย้ำคอหอยลากไปกินเอาง่ายๆ
ปัญหาว่าเสือโคร่งตัวนี้มาจากไหน?
บ้างก็ว่ามาจากศรีสวัสดิ์ บ้างก็ว่ามาจากเขตอุทัยกับทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะได้ข่าวว่ามีพรานป่าพรานกรุงเข้าไปล่าสัตว์กันคึกคัก พวกเสือช้างกวางเก้งก็เตลิดหนีตาย...กระจัดกระจายมาถึงป่าบ่อพลอย
ชาวบ้านแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อได้ข่าวว่ามีคนเห็นมันมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บ้าน ทิ้งรอยตีนขนาดชามโคมไว้เขย่าขวัญ ค่ำคืนได้ยินเสียงร้องมาจากป่าดง ฟังแล้วสยองใจประหนึ่งมันมาร้องอยู่หน้าบ้านก็ปานกัน!
มีการจัดคณะล่าเสือกินคนขึ้นมา ตาแก่น-พรานใหญ่เป็นหัวหน้า เจ้ากิ่งกับเจ้าดั่นอาสาตามไปล่าเสือด้วย คิดว่าได้การแน่เพราะเพิ่งได้ข่าวว่ามันลงมากินน้ำที่หนองเบี้ยเมื่อคืนก่อนนี้เอง
กำลังตระเตรียมกันอยู่นั้น สาวเดือนวัย 17 ออกไปหาหน่อไม้ใกล้ๆ บ้าน ก็โดนไอ้ลายลากไปกินแล้ว! ชาวบ้านได้ยินเสียงหวีดร้องรีบไปช่วยก็พบแต่กองเลือดเท่านั้น
เจ้าดั่นแทบจะคลั่งใจตาย เพราะสาวเดือนเป็นญาติลูกผู้น้องของมันเอง
"รีบไปกันเถอะน้าแก่น ไอ้กิ่ง...ถ้ายิงมันไม่อยู่ ข้าสาบานว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ่อพลอยเด็ดขาด"
เป็นอันว่าคนทั้งสามหอบหิ้วปืนผาหน้าไม้ กับเสบียงกรังพอสมควรเข้าป่าในวันรุ่งขึ้น...มั่นอกมั่นใจว่าเสือกินคนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
21 พฤศจิกายน 2556
เสือสมิง
"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของเสือกินคน
เรื่องราวของเสือสมิง เป็นที่เชื่อถือของคนเอเชียทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในชมพูทวีปหรือในประเทศอินเดียที่เคยมีเสือมากที่สุดในโลก เสือพันธุ์เบงกอลได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด และเฉลียวฉลาดมากที่สุดเช่นกัน
รองลงมาก็เมืองไทยกับมลายู หรือมาเลเซียในปัจจุบัน แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองขยายเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะถูกมนุษย์ตามล่าเอามากินมาขายกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่สมัยก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว อยากดูเสือตัวจริงเสียงจริงก็ต้องไปดูที่สวนสัตว์
สาเหตุที่เสือถูกมนุษย์ล้างผลาญย่อยยับ ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าป่า" ก็ตามที เพราะเสือนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัวนั่นเอง
ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนก็ขายได้หมด!
ตั้งแต่เนื้อที่กินได้ หนังเสือที่มีพ่อค้ารับซื้อไม่อั้น หัวเสือนิยมนำไปประดับข้างฝาในห้องรับแขก ดูแล้วน่ากลัวไม่หยอกสมฉายาเจ้าป่าที่สู้มนุษย์เจ้าเล่ห์ไม่ไหว เพราะใช้ปืนช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรง...อย่างน้อยก็เท่กว่าหัวกระทิงหรือหัวกวางเยอะเลย
เขี้ยวเสือใช้ห้อยคอเป็นเครื่องราง ยิ่งเป็น "เขี้ยวตัน" แล้วยิ่งเชื่อว่าขลังนัก ใครมีติดตัวจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกไปโน่นแน่ะ
ไม่ยักคิดหรอกแฮะ ว่าเจ้าของเขี้ยวน่ะโดนปืนซัดตูมๆ เข้าให้จนนอนตายแหงแก๋...ขนาดเขี้ยวเต็มปากนะเนี่ย!
เลือดเสือ เล็บเสือ แม้แต่ขนเสือก็เอาไปผสมเครื่องยา ซินแสจีนนิยมกันนัก เชื่อว่าแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน กระดูกกับตัวเดียวอันเดียวเสือดองเหล้า ก็เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาะเพิ่มพลังทางเซ็กซ์ได้มหาศาล...ชายชราแต่หัวใจหนุ่มก็เลยควักกระเป๋าเป็นมันทันใด
เครื่องในเสือก็กินได้ โดยเฉพาะหัวใจเสือนั้นเชื่อว่าใครได้กินแล้วจะทำให้ใจคอกล้าหาญ ฮึกเหิมเหลือเชื่อ จนมีสำนวนว่า "กินดีหมี-หัวใจเสือมาจึงไม่รู้จักกลัวตาย"
เสือก็เลยใกล้จะหมดป่าด้วยประการฉะนี้แล!
แล้วเสือสมิงนี่เป็นเสืออะไร? มาจากไหนกันแน่? ทำไมถึงเรียกขานกันว่า "เสือสมิง" ?
เสือลายพาดกลอน หรือที่เราเรียกว่าเสือโคร่งนั่นแหละครับ ไม่ว่าในอินเดีย มลายู หรือเมืองไทย ยังไม่เคยเจอะเจอใครเห็นเสือสมิงที่เป็นเสือดาว เสือดำ เสือกินปลา หรือเสือไฟ แม้แต่รายเดียว
ไม่มีสาเหตุแน่ชัดว่า ทำไมถึงมีแต่เสือลายพาดกลอนชนิดเดียวเท่านั้น นอกจากสันนิษฐานกันเองว่า สมัยก่อนเสือชนิดนี้มีมากกว่าเสือชนิดอื่นๆ ก็เลยกินคนมากกว่าเป็นธรรมดา
แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องเสือกินคน?
และ...นี่แหละคือคำตอบว่าเสือสมิงมาจากไหน?
เชื่อกันว่าธรรมดาสัตว์ป่ามีวิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยว หรือเข้าใกล้มนุษย์อยู่แล้ว อาจจะเป็นสัญชาตญาณของพวกมันที่ทำให้รู้ว่า บรรดาส่ำสัตว์ทั้งปวงน่ะ สัตว์มนุษย์อันตรายที่สุด ทั้งดุร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุด
หลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี!
ส่งเสียงขู่คำรามเพราะสยดสยองเต็มที ก็หาว่ามันดุร้ายซะไม่มี! ยกเว้นแต่จะจวนตัว หนีไม่ทัน ถึงจะหันมาสู้แบบหมาจนตรอก หรือไม่ก็ลงมือเล่นงานคนที่ว่าจะเป็นอันตรายกับมันเสียก่อน
ปัญหาสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ ย่อมหนีไม่พ้นจากเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว
น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ เสือกินสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ต้องซมซานเข้าไปใกล้บ้านคน ด้วยความหิวโหยจนแสบท้อง เกิดมีคนชะตาขาดเดินมาเดี่ยวๆ เข้าทางมันพอดี การตัดสินใจกระโจนเข้ากัดคอหอยจนขาดใจตาย ก่อนจะขย้ำเหยื่อกินอย่างหิวโหยจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรนัก
เชื่อกันว่าเนื้อมนุษย์โอชะอย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน!
ตั้งแต่ล่าเหยื่อ กินสัตว์ต่างๆ มามากมาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนจะมีเนื้อเอร็ดอร่อย นุ่มปากนุ่มลิ้นเหมือนเนื้อมนุษย์ ก็เลยติดอกติดใจตั้งแต่นั้น
เคยกินแล้วก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อหน่าย...จนกลายเป็น "เสือสมิง" ไม่รู้ตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2552
เรื่องราวของเสือสมิง เป็นที่เชื่อถือของคนเอเชียทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในชมพูทวีปหรือในประเทศอินเดียที่เคยมีเสือมากที่สุดในโลก เสือพันธุ์เบงกอลได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด และเฉลียวฉลาดมากที่สุดเช่นกัน
รองลงมาก็เมืองไทยกับมลายู หรือมาเลเซียในปัจจุบัน แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองขยายเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะถูกมนุษย์ตามล่าเอามากินมาขายกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่สมัยก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว อยากดูเสือตัวจริงเสียงจริงก็ต้องไปดูที่สวนสัตว์
สาเหตุที่เสือถูกมนุษย์ล้างผลาญย่อยยับ ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าป่า" ก็ตามที เพราะเสือนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัวนั่นเอง
ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนก็ขายได้หมด!
ตั้งแต่เนื้อที่กินได้ หนังเสือที่มีพ่อค้ารับซื้อไม่อั้น หัวเสือนิยมนำไปประดับข้างฝาในห้องรับแขก ดูแล้วน่ากลัวไม่หยอกสมฉายาเจ้าป่าที่สู้มนุษย์เจ้าเล่ห์ไม่ไหว เพราะใช้ปืนช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรง...อย่างน้อยก็เท่กว่าหัวกระทิงหรือหัวกวางเยอะเลย
เขี้ยวเสือใช้ห้อยคอเป็นเครื่องราง ยิ่งเป็น "เขี้ยวตัน" แล้วยิ่งเชื่อว่าขลังนัก ใครมีติดตัวจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกไปโน่นแน่ะ
ไม่ยักคิดหรอกแฮะ ว่าเจ้าของเขี้ยวน่ะโดนปืนซัดตูมๆ เข้าให้จนนอนตายแหงแก๋...ขนาดเขี้ยวเต็มปากนะเนี่ย!
เลือดเสือ เล็บเสือ แม้แต่ขนเสือก็เอาไปผสมเครื่องยา ซินแสจีนนิยมกันนัก เชื่อว่าแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน กระดูกกับตัวเดียวอันเดียวเสือดองเหล้า ก็เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาะเพิ่มพลังทางเซ็กซ์ได้มหาศาล...ชายชราแต่หัวใจหนุ่มก็เลยควักกระเป๋าเป็นมันทันใด
เครื่องในเสือก็กินได้ โดยเฉพาะหัวใจเสือนั้นเชื่อว่าใครได้กินแล้วจะทำให้ใจคอกล้าหาญ ฮึกเหิมเหลือเชื่อ จนมีสำนวนว่า "กินดีหมี-หัวใจเสือมาจึงไม่รู้จักกลัวตาย"
เสือก็เลยใกล้จะหมดป่าด้วยประการฉะนี้แล!
แล้วเสือสมิงนี่เป็นเสืออะไร? มาจากไหนกันแน่? ทำไมถึงเรียกขานกันว่า "เสือสมิง" ?
เสือลายพาดกลอน หรือที่เราเรียกว่าเสือโคร่งนั่นแหละครับ ไม่ว่าในอินเดีย มลายู หรือเมืองไทย ยังไม่เคยเจอะเจอใครเห็นเสือสมิงที่เป็นเสือดาว เสือดำ เสือกินปลา หรือเสือไฟ แม้แต่รายเดียว
ไม่มีสาเหตุแน่ชัดว่า ทำไมถึงมีแต่เสือลายพาดกลอนชนิดเดียวเท่านั้น นอกจากสันนิษฐานกันเองว่า สมัยก่อนเสือชนิดนี้มีมากกว่าเสือชนิดอื่นๆ ก็เลยกินคนมากกว่าเป็นธรรมดา
แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องเสือกินคน?
และ...นี่แหละคือคำตอบว่าเสือสมิงมาจากไหน?
เชื่อกันว่าธรรมดาสัตว์ป่ามีวิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยว หรือเข้าใกล้มนุษย์อยู่แล้ว อาจจะเป็นสัญชาตญาณของพวกมันที่ทำให้รู้ว่า บรรดาส่ำสัตว์ทั้งปวงน่ะ สัตว์มนุษย์อันตรายที่สุด ทั้งดุร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุด
หลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี!
ส่งเสียงขู่คำรามเพราะสยดสยองเต็มที ก็หาว่ามันดุร้ายซะไม่มี! ยกเว้นแต่จะจวนตัว หนีไม่ทัน ถึงจะหันมาสู้แบบหมาจนตรอก หรือไม่ก็ลงมือเล่นงานคนที่ว่าจะเป็นอันตรายกับมันเสียก่อน
ปัญหาสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ ย่อมหนีไม่พ้นจากเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว
น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ เสือกินสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ต้องซมซานเข้าไปใกล้บ้านคน ด้วยความหิวโหยจนแสบท้อง เกิดมีคนชะตาขาดเดินมาเดี่ยวๆ เข้าทางมันพอดี การตัดสินใจกระโจนเข้ากัดคอหอยจนขาดใจตาย ก่อนจะขย้ำเหยื่อกินอย่างหิวโหยจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรนัก
เชื่อกันว่าเนื้อมนุษย์โอชะอย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน!
ตั้งแต่ล่าเหยื่อ กินสัตว์ต่างๆ มามากมาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนจะมีเนื้อเอร็ดอร่อย นุ่มปากนุ่มลิ้นเหมือนเนื้อมนุษย์ ก็เลยติดอกติดใจตั้งแต่นั้น
เคยกินแล้วก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อหน่าย...จนกลายเป็น "เสือสมิง" ไม่รู้ตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2552
19 พฤศจิกายน 2556
ปีศาจในดงดำ
"มัธยันต์" เล่าเรื่องงูผี ค้างคาวผีกับผีโป่งค่าง
เชื่อกันว่าในป่าดงดิบยังมีภูตผีปีศาจอีกมากมาย ที่แอบแฝงมาในรูปของสัตว์ต่างๆ เช่น งูผี ค้างคาวผี เป็นต้น ถ้าเป็นงูใหญ่ที่สิงสู่อยู่ตามจอมปลวก โพรงไม้ หรือชายน้ำ ชาวบ้านก็มักจะนับถือว่าเป็นเจ้าพ่อ เป็นพญางูเจ้าที่ เลื่อมใสจนต้องบากบั่นไปขอหวยกันตามระเบียบ
งูผีที่เชื่อกันว่าติดตามอาฆาตคนที่ทำร้ายมัน หรือคู่ของมัน จนคอยติดตามจองล้างจองผลาญจนตายกันไปข้างหนึ่ง มักจะดุร้ายน่ากลัวแทบเหลือเชื่อ
ที่จันทบุรีก็มีข่าวว่าผู้หญิงชาวไร่โดนงูจงอางกัดมือ เคยใช้มีดฟันงูตาย ตัวเองก็ต้องตัดมือทิ้ง เพื่อป้องกันพิษงูแล่นเข้าหัวใจ ปรากฏว่ามีงูตัวเมียตายจองเวรแทบปางตาย
ต้องขโมยไข่ของมันวิ่งหนี ล่อให้ตาม งูร้ายนั่นก็ตามมาติดๆ จนต้องวิ่งกันหืดจับกว่าจะถึงหน้าบ้าน แล้วโยนไข่งูลงไปในกระทะต้มน้ำเดือดๆ งูใจเพชรก็พุ่งลงกระทะเพื่อตามไข่ของมัน...ตายคาน้ำร้อนน่ะซีครับ รายการนี้
แต่คนรอดตายก็แทบหัวใจวายเหมือนกันนะเอ้า!
จากงูมาถึงค้างคาวผี...
ว่ากันว่า ค้างคาวผีมักสิงสู่อยู่ในถ้ำ คล้ายๆ กับค้างคาวทั่วไป กลางวันห้อยหัวนอนเงียบ ตกเย็นค่ำถึงจะออกหากิน ค้างคาวธรรมดาก็กินผลไม้ แต่ค้างคาวผีน่ะคอยจ้องแต่จะกินเลือดมนุษย์ท่าเดียว
ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนค้างคาวผีของฝรั่ง ที่เรียกว่า "แวมไพร์" นั่นปะไร
ผิดแปลกกันตรงที่แวมไพร์นั้นเป็นผีดิบแปลงร่าง พอโฉบเข้าห้องนอนเหยื่อซึ่งมักจะเป็นสาวๆ สวยๆ หุ่นอวบอั๋นนอนหลับตาพริ้ม ก็กลับกลายเป็นผีดิบเชื้อสายแดร็กคิวล่า สะกดจิตให้สาวสวยลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้
...เห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำ หน้าซีดขาว นัยน์ตาคมวาวทรงอำนาจก็บังเกิดความเคลิบเคลิ้ม เดินเข้าหาอ้อมกอด ผีดิบก้มลงทำท่าจะจูบไซ้ต้นคอขาวระหง แต่ที่ไหนได้...กลับสยายเขี้ยวฝังฉับลงที่เส้นเลือดใหญ่ในบัดดล!
สาวเจ้าหวีดร้อง แต่ดิ้นไม่หลุด โดนดูดเลือดจนผีดิบอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะกลายเป็นแวมไพร์ โบยบินออกไปทางหน้าต่างตามเดิม ปล่อยให้สาวเป็นลมล้มพับหมดสติคาที่
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นผีดิบเรียบร้อย ออกล่าเหยื่อเพื่อดูดเลือดต่อชีวิตตัวเองไม่มีวันสิ้นสุด
ผีดิบนี่กลัวไม้กางเขนพอๆ กับผีไทยกลัวพระ!
ผีดิบต้องใช้ไม้แหลมๆ ทะลวงอกถึงจะตายสนิท หรือโดนแสงแดดแผดเผาถึงจะร้องโหยหวน หมดพิษสง กลับกลายเป็นซากศพเละๆ หรือกองกระดูกป่นๆ แล้วแต่ว่าจะเพิ่งตายไม่นาน หรือตายมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
คิดแล้วสู้ผีไทยไม่ได้ เพราะต่อให้เอาไม้เอาเหล็กแหลมไปแทงก็เหมือนแทงอากาศ เห็นแสงแดดก็หายตัวแวบไปแล้ว...ไม่มาทู่ซี้ปรากฏตัวจนโดนแดดเผาให้โง่หรอกน่า
ไฟก็ฆ่าผีไทยไม่ได้ บอกไม่เชื่อ!
ผีไทยหายตัวว่อบแว่บเหมือนเงา จะเอาไฟไปเผาได้ยังไง? มีวิธีเดียวเท่านั้น คือใช้อาคมเรียกวิญญาณใส่หม้อ ใช้ผ้ายันต์ปิดฝาเอาไปถ่วงน้ำเหมือนเรื่องแม่นาคพระโขนงนั่นปะไร
นอกจากงูผี ค้างคาวผี ก็ยังมีผีแปลกประหลาดอีกชนิดหนึ่ง ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงชวนคลื่นไส้เบ็ดเสร็จ
คือ...ผีคนรู!!
ลำตัวเหมือนหนอนสีขาวเป็นปล้องๆ ลื่นมากเพราะเมือกเต็มตัว หน้าเหมือนคนแต่ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว กลางวันอุบเงียบอยู่ในรู ตกกลางคืนก็เลื้อยคลานกระดืบๆ ออกมาล่าเหยื่อใช้ลำตัวรัดแล้วฝังเขี้ยวดูดเลือดจนพองเป่ง สัตว์หรือคนเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อก็นอนตายแหงแก๋อยู่ป่านั่นเอง
คนที่เคยเจอะเจอผีคนรู แต่เผ่นหนีเอาตัวรอดมาได้ เล่าว่าเมือกลื่นๆ ตามลำตัวของมันทำให้ขนลุก แถมเหม็นเขียวเหม็นคาวอย่างบอกไม่ถูก...ยิ่งกว่าศพเน่าๆ ซะด้วยซ้ำไป!
นอกจากนั้นยังมีผีโป่งผีค่าง รูปร่างเหมือนลิงแต่ดุร้ายกว่า คอยจ้องจะฝังเขี้ยวดูดเลือดเหยื่อเหมือนกัน บางคนเรียกรวมๆ ว่า "ผีโป่งค่าง" ไปเลย คงจะเหมือนทั้งลิงทั้งค่างจนแยกไม่ออกก็เป็นได้
ผีอีกชนิดหนึ่งที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมานมนานแล้ว น่าแปลกที่แปลงตัวได้จากผีกลายเป็นสัตว์ จากสัตว์กลายเป็นคน...นั่นก็คือ "เสือสมิง" เจ้าเก่านั่นแล
ตอนหน้าจะได้เล่าสู่กันฟังให้ละเอียดลออต่อไปเลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2552
เชื่อกันว่าในป่าดงดิบยังมีภูตผีปีศาจอีกมากมาย ที่แอบแฝงมาในรูปของสัตว์ต่างๆ เช่น งูผี ค้างคาวผี เป็นต้น ถ้าเป็นงูใหญ่ที่สิงสู่อยู่ตามจอมปลวก โพรงไม้ หรือชายน้ำ ชาวบ้านก็มักจะนับถือว่าเป็นเจ้าพ่อ เป็นพญางูเจ้าที่ เลื่อมใสจนต้องบากบั่นไปขอหวยกันตามระเบียบ
งูผีที่เชื่อกันว่าติดตามอาฆาตคนที่ทำร้ายมัน หรือคู่ของมัน จนคอยติดตามจองล้างจองผลาญจนตายกันไปข้างหนึ่ง มักจะดุร้ายน่ากลัวแทบเหลือเชื่อ
ที่จันทบุรีก็มีข่าวว่าผู้หญิงชาวไร่โดนงูจงอางกัดมือ เคยใช้มีดฟันงูตาย ตัวเองก็ต้องตัดมือทิ้ง เพื่อป้องกันพิษงูแล่นเข้าหัวใจ ปรากฏว่ามีงูตัวเมียตายจองเวรแทบปางตาย
ต้องขโมยไข่ของมันวิ่งหนี ล่อให้ตาม งูร้ายนั่นก็ตามมาติดๆ จนต้องวิ่งกันหืดจับกว่าจะถึงหน้าบ้าน แล้วโยนไข่งูลงไปในกระทะต้มน้ำเดือดๆ งูใจเพชรก็พุ่งลงกระทะเพื่อตามไข่ของมัน...ตายคาน้ำร้อนน่ะซีครับ รายการนี้
แต่คนรอดตายก็แทบหัวใจวายเหมือนกันนะเอ้า!
จากงูมาถึงค้างคาวผี...
ว่ากันว่า ค้างคาวผีมักสิงสู่อยู่ในถ้ำ คล้ายๆ กับค้างคาวทั่วไป กลางวันห้อยหัวนอนเงียบ ตกเย็นค่ำถึงจะออกหากิน ค้างคาวธรรมดาก็กินผลไม้ แต่ค้างคาวผีน่ะคอยจ้องแต่จะกินเลือดมนุษย์ท่าเดียว
ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนค้างคาวผีของฝรั่ง ที่เรียกว่า "แวมไพร์" นั่นปะไร
ผิดแปลกกันตรงที่แวมไพร์นั้นเป็นผีดิบแปลงร่าง พอโฉบเข้าห้องนอนเหยื่อซึ่งมักจะเป็นสาวๆ สวยๆ หุ่นอวบอั๋นนอนหลับตาพริ้ม ก็กลับกลายเป็นผีดิบเชื้อสายแดร็กคิวล่า สะกดจิตให้สาวสวยลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้
...เห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำ หน้าซีดขาว นัยน์ตาคมวาวทรงอำนาจก็บังเกิดความเคลิบเคลิ้ม เดินเข้าหาอ้อมกอด ผีดิบก้มลงทำท่าจะจูบไซ้ต้นคอขาวระหง แต่ที่ไหนได้...กลับสยายเขี้ยวฝังฉับลงที่เส้นเลือดใหญ่ในบัดดล!
สาวเจ้าหวีดร้อง แต่ดิ้นไม่หลุด โดนดูดเลือดจนผีดิบอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะกลายเป็นแวมไพร์ โบยบินออกไปทางหน้าต่างตามเดิม ปล่อยให้สาวเป็นลมล้มพับหมดสติคาที่
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นผีดิบเรียบร้อย ออกล่าเหยื่อเพื่อดูดเลือดต่อชีวิตตัวเองไม่มีวันสิ้นสุด
ผีดิบนี่กลัวไม้กางเขนพอๆ กับผีไทยกลัวพระ!
ผีดิบต้องใช้ไม้แหลมๆ ทะลวงอกถึงจะตายสนิท หรือโดนแสงแดดแผดเผาถึงจะร้องโหยหวน หมดพิษสง กลับกลายเป็นซากศพเละๆ หรือกองกระดูกป่นๆ แล้วแต่ว่าจะเพิ่งตายไม่นาน หรือตายมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
คิดแล้วสู้ผีไทยไม่ได้ เพราะต่อให้เอาไม้เอาเหล็กแหลมไปแทงก็เหมือนแทงอากาศ เห็นแสงแดดก็หายตัวแวบไปแล้ว...ไม่มาทู่ซี้ปรากฏตัวจนโดนแดดเผาให้โง่หรอกน่า
ไฟก็ฆ่าผีไทยไม่ได้ บอกไม่เชื่อ!
ผีไทยหายตัวว่อบแว่บเหมือนเงา จะเอาไฟไปเผาได้ยังไง? มีวิธีเดียวเท่านั้น คือใช้อาคมเรียกวิญญาณใส่หม้อ ใช้ผ้ายันต์ปิดฝาเอาไปถ่วงน้ำเหมือนเรื่องแม่นาคพระโขนงนั่นปะไร
นอกจากงูผี ค้างคาวผี ก็ยังมีผีแปลกประหลาดอีกชนิดหนึ่ง ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงชวนคลื่นไส้เบ็ดเสร็จ
คือ...ผีคนรู!!
ลำตัวเหมือนหนอนสีขาวเป็นปล้องๆ ลื่นมากเพราะเมือกเต็มตัว หน้าเหมือนคนแต่ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว กลางวันอุบเงียบอยู่ในรู ตกกลางคืนก็เลื้อยคลานกระดืบๆ ออกมาล่าเหยื่อใช้ลำตัวรัดแล้วฝังเขี้ยวดูดเลือดจนพองเป่ง สัตว์หรือคนเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อก็นอนตายแหงแก๋อยู่ป่านั่นเอง
คนที่เคยเจอะเจอผีคนรู แต่เผ่นหนีเอาตัวรอดมาได้ เล่าว่าเมือกลื่นๆ ตามลำตัวของมันทำให้ขนลุก แถมเหม็นเขียวเหม็นคาวอย่างบอกไม่ถูก...ยิ่งกว่าศพเน่าๆ ซะด้วยซ้ำไป!
นอกจากนั้นยังมีผีโป่งผีค่าง รูปร่างเหมือนลิงแต่ดุร้ายกว่า คอยจ้องจะฝังเขี้ยวดูดเลือดเหยื่อเหมือนกัน บางคนเรียกรวมๆ ว่า "ผีโป่งค่าง" ไปเลย คงจะเหมือนทั้งลิงทั้งค่างจนแยกไม่ออกก็เป็นได้
ผีอีกชนิดหนึ่งที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมานมนานแล้ว น่าแปลกที่แปลงตัวได้จากผีกลายเป็นสัตว์ จากสัตว์กลายเป็นคน...นั่นก็คือ "เสือสมิง" เจ้าเก่านั่นแล
ตอนหน้าจะได้เล่าสู่กันฟังให้ละเอียดลออต่อไปเลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2552
17 พฤศจิกายน 2556
สองวิญญาณ
"นันทินุช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง
เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!
โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!
"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2552
เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!
โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!
"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2552
15 พฤศจิกายน 2556
ขอนั่งด้วยคน
"ขวัญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกบนรถเมล์ปรับอากาศ
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ คือ ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ดิฉันอาจโชคดีที่บ้านอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ต้องไปทำงานถึงถนนงามวงศ์วานก็ไร้ปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์รวดเดียวถึง
รถร้อนรถเย็นมีทั้งนั้นเลย!
ถึงที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ห้างพันธุ์ทิพย์แต่ก็ไม่ค่อยได้แวะดูของ เพราะช่วงเย็นรถติดกับอ่อนล้าจากงานมาทั้งวัน อยากกลับบ้านอาบน้ำ กินข้าวกับพ่อแม่ให้สบายมากกว่า
จู่ๆ ดิฉันก็ต้องพบกับเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองบนรถเมล์ปรับอากาศค่ะ
วันเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยก็ตาม มารู้สาเหตุว่าเกิดจากความจำเป็นในรอบเดือนตามประสาผู้หญิง หลังจากใช้อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยแล้ว กลับเกิดมีไข้รุมๆ และอ่อนเพลียจนรู้ตัวว่าทำงานต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
เมื่อไปปรับทุกข์กับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทุเลาก็หยุดงานไปเลย
เรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะที่จะเข้าใจและเห็นใจกัน โดยเฉพาะดิฉันมีประวัติทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี แทบจะไม่มีวันลาวันหยุดเลยในแต่ละปี ดิฉันยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้า ตัดสินใจว่าขอกลับบ้านละ ส่วนเรื่องกินยาถ้าไม่กินได้จะดีมาก
ถือคติว่า ให้ร่างกายรักษาตัวเองก่อนใช้ยารักษา!
กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร!!
ในที่สุดก็ร่ำลาเพื่อนๆ มารอรถเมล์แถวหน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ช่วงบ่ายสองโมงกว่าผู้คนยังไม่มากนัก ดิฉันขึ้นรถปอ. ได้ที่นั่งเดี่ยวทางขวามือค่อนไปด้านหลัง ถือว่าโชคดีค่ะที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับคนอื่น เดี๋ยวจะเอาเชื้อไข้ไปติดเขาเปล่าๆ โรคหวัด 2009 ยิ่งกลับมาระบาดอยู่ด้วย
ตระเตรียมแบงก์ 20 บาทไว้จ่ายค่ารถ รับเงินทอน 2 บาทมาใส่กระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก นึกภาวนาว่ารถไม่ติดแบบนี้คงจะถึงบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆ
ที่ดิฉันเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อยืนยันว่ามีอาการไข้อย่างเดียว ไม่ได้งุนงงหรือสับสนขนาดเบลอหรอกค่ะ...จนกระทั่งรถผ่านหน้าเรือนจำ ไม่ช้าก็เลี้ยวขวาไปทางถนนวิภาวดี...รถรายังมีน้อยน่าปลอดโปร่งดีจริงๆ
คิดอยู่ว่า...ถ้าถึงบ้านอาการไข้ยังไม่ลดลงจะกินยาแล้วเข้านอนพักเลย ไม่ช้าคงทุเลาจนอาบน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ แล้วเอนหลังให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
มีอะไรบางอย่างมากระทบไหล่ดิฉันเบาๆ ตอนแรกนึกวูบไปถึงพวกโรคจิตที่เคยพบบนรถเมล์ แต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นนักศึกษาสาว ผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมม้า...เธอนั่งไหล่เบียดไหล่กับดิฉัน และกำลังหันมามองยิ้มๆ น่ารักน่าเอ็นดู ดิฉันก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ โดยมิได้พูดคุยอะไรกัน
และแล้ว ดิฉันก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้านขวาตามเดิม ดูตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ทุกวันจนรู้ว่าถัดไปจะเป็นอะไร? ใกล้จะถึงไหนแล้ว? อีกไม่เกินห้านาทีก็จะผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปดินแดง! และ...
คุณพระช่วย! เหมือนมีฟ้าแลบวูบเข้าสมองจนม่านตาพร่าพรายไปชั่วขณะ!
ดิฉันนั่งเก้าอี้เดี่ยว แล้วนักศึกษาสาวน่ารักผู้นั้นจะมานั่งคู่กับดิฉันได้อย่างไรกัน นอกจากว่าเธอจะ...
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้น หนาวสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่หันขวับไปมองอีกครั้ง...คุณพระคุณเจ้า! ไม่มีนักศึกษาสาวไว้ผมม้าหน้าตาดีผู้นั้นอีกแล้วค่ะ!
พยายามนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เราหันไปทางขวาน่ะ รถจอดหรือเปล่า? แน่ใจว่าไม่ได้จอดป้ายใดๆ เลย แล้วเธอลุกออกจากรถไปได้ดื้อๆ อย่างไรกัน?
อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเธอมานั่งปร๋ออยู่เคียงคู่ ไหล่เบียดไหล่กับดิฉันหรอกค่ะ
ถึงจุดหมาย ดิฉันลุกเดินขาสั่นแทบจะลงจากรถไม่ไหว... ผู้คนและรถรามากมายขวักไขว่ไปมา...ดิฉันอาจจะตาฝาด จนเพ้อไปเองเพราะพิษไข้ก็ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นว่าเด็กสาวผู้นั้นคงเป็นภูตวิญญาณ ที่สบโอกาสตอนที่ดิฉันอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นเอง!
มองในแง่ดีว่าเธอมาปลอบใจ เพราะรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้เป็นปกติตามเดิมค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2553
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ คือ ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ดิฉันอาจโชคดีที่บ้านอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ต้องไปทำงานถึงถนนงามวงศ์วานก็ไร้ปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์รวดเดียวถึง
รถร้อนรถเย็นมีทั้งนั้นเลย!
ถึงที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ห้างพันธุ์ทิพย์แต่ก็ไม่ค่อยได้แวะดูของ เพราะช่วงเย็นรถติดกับอ่อนล้าจากงานมาทั้งวัน อยากกลับบ้านอาบน้ำ กินข้าวกับพ่อแม่ให้สบายมากกว่า
จู่ๆ ดิฉันก็ต้องพบกับเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองบนรถเมล์ปรับอากาศค่ะ
วันเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยก็ตาม มารู้สาเหตุว่าเกิดจากความจำเป็นในรอบเดือนตามประสาผู้หญิง หลังจากใช้อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยแล้ว กลับเกิดมีไข้รุมๆ และอ่อนเพลียจนรู้ตัวว่าทำงานต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
เมื่อไปปรับทุกข์กับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทุเลาก็หยุดงานไปเลย
เรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะที่จะเข้าใจและเห็นใจกัน โดยเฉพาะดิฉันมีประวัติทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี แทบจะไม่มีวันลาวันหยุดเลยในแต่ละปี ดิฉันยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้า ตัดสินใจว่าขอกลับบ้านละ ส่วนเรื่องกินยาถ้าไม่กินได้จะดีมาก
ถือคติว่า ให้ร่างกายรักษาตัวเองก่อนใช้ยารักษา!
กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร!!
ในที่สุดก็ร่ำลาเพื่อนๆ มารอรถเมล์แถวหน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ช่วงบ่ายสองโมงกว่าผู้คนยังไม่มากนัก ดิฉันขึ้นรถปอ. ได้ที่นั่งเดี่ยวทางขวามือค่อนไปด้านหลัง ถือว่าโชคดีค่ะที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับคนอื่น เดี๋ยวจะเอาเชื้อไข้ไปติดเขาเปล่าๆ โรคหวัด 2009 ยิ่งกลับมาระบาดอยู่ด้วย
ตระเตรียมแบงก์ 20 บาทไว้จ่ายค่ารถ รับเงินทอน 2 บาทมาใส่กระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก นึกภาวนาว่ารถไม่ติดแบบนี้คงจะถึงบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆ
ที่ดิฉันเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อยืนยันว่ามีอาการไข้อย่างเดียว ไม่ได้งุนงงหรือสับสนขนาดเบลอหรอกค่ะ...จนกระทั่งรถผ่านหน้าเรือนจำ ไม่ช้าก็เลี้ยวขวาไปทางถนนวิภาวดี...รถรายังมีน้อยน่าปลอดโปร่งดีจริงๆ
คิดอยู่ว่า...ถ้าถึงบ้านอาการไข้ยังไม่ลดลงจะกินยาแล้วเข้านอนพักเลย ไม่ช้าคงทุเลาจนอาบน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ แล้วเอนหลังให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
มีอะไรบางอย่างมากระทบไหล่ดิฉันเบาๆ ตอนแรกนึกวูบไปถึงพวกโรคจิตที่เคยพบบนรถเมล์ แต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นนักศึกษาสาว ผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมม้า...เธอนั่งไหล่เบียดไหล่กับดิฉัน และกำลังหันมามองยิ้มๆ น่ารักน่าเอ็นดู ดิฉันก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ โดยมิได้พูดคุยอะไรกัน
และแล้ว ดิฉันก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้านขวาตามเดิม ดูตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ทุกวันจนรู้ว่าถัดไปจะเป็นอะไร? ใกล้จะถึงไหนแล้ว? อีกไม่เกินห้านาทีก็จะผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปดินแดง! และ...
คุณพระช่วย! เหมือนมีฟ้าแลบวูบเข้าสมองจนม่านตาพร่าพรายไปชั่วขณะ!
ดิฉันนั่งเก้าอี้เดี่ยว แล้วนักศึกษาสาวน่ารักผู้นั้นจะมานั่งคู่กับดิฉันได้อย่างไรกัน นอกจากว่าเธอจะ...
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้น หนาวสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่หันขวับไปมองอีกครั้ง...คุณพระคุณเจ้า! ไม่มีนักศึกษาสาวไว้ผมม้าหน้าตาดีผู้นั้นอีกแล้วค่ะ!
พยายามนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เราหันไปทางขวาน่ะ รถจอดหรือเปล่า? แน่ใจว่าไม่ได้จอดป้ายใดๆ เลย แล้วเธอลุกออกจากรถไปได้ดื้อๆ อย่างไรกัน?
อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเธอมานั่งปร๋ออยู่เคียงคู่ ไหล่เบียดไหล่กับดิฉันหรอกค่ะ
ถึงจุดหมาย ดิฉันลุกเดินขาสั่นแทบจะลงจากรถไม่ไหว... ผู้คนและรถรามากมายขวักไขว่ไปมา...ดิฉันอาจจะตาฝาด จนเพ้อไปเองเพราะพิษไข้ก็ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นว่าเด็กสาวผู้นั้นคงเป็นภูตวิญญาณ ที่สบโอกาสตอนที่ดิฉันอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นเอง!
มองในแง่ดีว่าเธอมาปลอบใจ เพราะรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้เป็นปกติตามเดิมค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2553
13 พฤศจิกายน 2556
กลับบ้านเรา
"เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณกลับบ้าน
ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ
เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ
หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!
เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู
ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี
บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...
จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย
นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย
จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่
"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?
เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน
ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป
ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...
ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า
ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!
เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว
หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา
คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้
เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา
คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล
ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2554
ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ
เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ
หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!
เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู
ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี
บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...
จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย
นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย
จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่
"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?
เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน
ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป
ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...
ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า
ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!
เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว
หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา
คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้
เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา
คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล
ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2554
11 พฤศจิกายน 2556
วิญญาณยังอยู่
"คนนอกวัด" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อประสบกับวิญญาณกลางวันแสกๆ
"แสกอีสานส่องแสงทุกแห่งหน
แสงธรรมดลคนดีทั้งอีสาน
อีสานสืบวัฒนธรรมสืบตำนาน
สืบสายธารแห่งศักดิ์ศรีอีสานไทย"
บทกวีจากนิตยสาร "แสงอีสาน" ของมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2546-กุมภาพันธ์ 2547
จากนิตยสารเล่มเดียวกันนี้ มีพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณ พระเทพวรคุณแห่งวัดป่าแสงอรุณ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) ว่าด้วยเรื่อง "อบรมจิตใจให้ดี มีสุขทุกที่"
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับกายและจิต ผีมีจริงหรือไม่? ตายแล้วไปไหน?
ท่านเจ้าคุณเทศนาในตอนหนึ่งว่า
"...สิ่งที่เห็นอยู่เมื่อคนเราตายไปแล้วไม่ใช่หยุด ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์ หากคนคนนั้นยังมีกิเลสตัณหา ยังมีกรรมดีกรรมชั่วอยู่ ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน ไม่ใช่ตายแล้วก็ตายไป
"คนที่ฆ่าตัวตาย คนที่ทำอะไรสารพัด คิดว่าการตายเป็นการสิ้นสุดแห่งการรับกรรมดีกรรมชั่วในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ชาติหน้าไม่มี จึงทำอะไรผิดๆ ตามที่เราเห็นกัน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"
ท่านเจ้าคุณเทพวรคุณได้ยกตัวอย่างให้อุบาสกอุบาสิกา สดับตรับฟังถึงสองเรื่องด้วยกัน ดังนี้
ที่บ้านหนองโก บ้านตะเกียง พ่อสุนทรเล่าให้ฟังว่า คนไปขายเสื่อขายสาด เกิดเคราะห์หามยามร้ายรถไปคว่ำที่โคราชตอนเที่ยง คือลูกเขยพาแม่ยายไปขายเสื่อกับหมู่คณะราว 6-7 คน เมื่อพ่อสุนทรกลับจากนามากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เห็นคนตายคือยายข้างบ้านกันเดินขึ้นไปบนบ้าน จึงถามเมียว่า เอ๊ะ! เห็นยายไปขายเสื่อขึ้นไปบนบ้าน ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า?
แต่เมียยอกว่า ไม่ใช่ เขายังไม่กลับมากันเลย จะเห็นกันได้ยังไง?
ส่วนพ่อสุนทรก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ตาฝาด เพราะเพิ่งเห็นยายแกเดินขึ้นบ้านไปเมื่อตะกี้นี้เอง!
ฝ่ายเมียกลับยืนยันว่าผัวตาฝาดไปเอง ด้วยความไม่แน่ใจทั้งคู่จึงชวนกันวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปิดหน้าต่างออกมองหาแต่ไม่เจอะเจอใครเลย เกิดสังหรณ์ใจว่าคงจะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็น ลูกเขยเขากลับมา บอกว่าแม่ยายตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้แล้ว รถคว่ำตายคนเดียว!
สองผัวเมียรู้ข่าวแน่ชัดก็ตกตะลึงตัวชา ได้แต่หันมองสบตา ไม่เข้าใจว่ากลางวันแสกๆ เหตุใดผู้ตายจึงปรากฏกายกลับมาบ้านได้ในเวลานั้น เห็นเป็นรูปร่างปกติเดินขึ้นไปบนบ้านได้เล่าหนอ?
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านหัวนาคำ
พ่อใหญ่พันธ์เล่าว่า ญาติป่วยหนักอยู่ที่อำเภอโกสุมพิสัย ขณะนั้นพ่อใหญ่พันธ์ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน ได้พบกับญาติที่ป่วยอยู่นั้น...รายนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากได้พูดคุยทักทายกันด้วย ญาติผู้นั้นบอกว่ามีธุระจะไปที่อื่น ขอฝากลูกหลานให้ช่วยดูแลด้วย เขาจะไปในวันที่ 15-16 นี้เอง
พูดคุยกันแล้วก็เดินเข้าบ้านหายลับไป
พ่อใหญ่พันธ์เอารถไปจอดไว้แล้วจึงคุยกับเมียว่า พี่น้องเรามาจากโกสุมฯ เขามาทำไม เมียบอกว่าไม่มีใครมา พ่อใหญ่พันธ์ร้องว่า ไม่มีได้ยังไง เมื่อสักครู่ได้คุยกันก่อนเข้ามาในบ้าน...ว่าแล้วจึงวิ่งตามเข้าไปดูในบ้าน แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
พ่อใหญ่พันธ์จึงบอกว่าผิดปกติเสียแล้ว จะต้องเดินทางไปโกสุมฯ แล้วจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายแน่นอน
ครั้นรุ่งเช้านำกระเป๋าขึ้นรถ ได้แวะซื้ออาหารที่อำเภอเชียงยืน มีคนรู้จักเล่าให้ฟังว่า ญาติที่บ้านหัวนาคำเมื่อคืนนี้ตายแล้ว พ่อใหญ่พันธ์รีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงอำเภอโกสุมฯ ถึงบ้านญาติเห็นเขาจัดตั้งศพกำลังประดับประดาอยู่
เป็นไปได้ยังไง คนตายแล้วยังพูดได้ ไม่ใช่เห็นแต่รูปร่างเท่านั้น...ขนลุกหัวครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2553
"แสกอีสานส่องแสงทุกแห่งหน
แสงธรรมดลคนดีทั้งอีสาน
อีสานสืบวัฒนธรรมสืบตำนาน
สืบสายธารแห่งศักดิ์ศรีอีสานไทย"
บทกวีจากนิตยสาร "แสงอีสาน" ของมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2546-กุมภาพันธ์ 2547
จากนิตยสารเล่มเดียวกันนี้ มีพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณ พระเทพวรคุณแห่งวัดป่าแสงอรุณ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) ว่าด้วยเรื่อง "อบรมจิตใจให้ดี มีสุขทุกที่"
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับกายและจิต ผีมีจริงหรือไม่? ตายแล้วไปไหน?
ท่านเจ้าคุณเทศนาในตอนหนึ่งว่า
"...สิ่งที่เห็นอยู่เมื่อคนเราตายไปแล้วไม่ใช่หยุด ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์ หากคนคนนั้นยังมีกิเลสตัณหา ยังมีกรรมดีกรรมชั่วอยู่ ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน ไม่ใช่ตายแล้วก็ตายไป
"คนที่ฆ่าตัวตาย คนที่ทำอะไรสารพัด คิดว่าการตายเป็นการสิ้นสุดแห่งการรับกรรมดีกรรมชั่วในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ชาติหน้าไม่มี จึงทำอะไรผิดๆ ตามที่เราเห็นกัน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"
ท่านเจ้าคุณเทพวรคุณได้ยกตัวอย่างให้อุบาสกอุบาสิกา สดับตรับฟังถึงสองเรื่องด้วยกัน ดังนี้
ที่บ้านหนองโก บ้านตะเกียง พ่อสุนทรเล่าให้ฟังว่า คนไปขายเสื่อขายสาด เกิดเคราะห์หามยามร้ายรถไปคว่ำที่โคราชตอนเที่ยง คือลูกเขยพาแม่ยายไปขายเสื่อกับหมู่คณะราว 6-7 คน เมื่อพ่อสุนทรกลับจากนามากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เห็นคนตายคือยายข้างบ้านกันเดินขึ้นไปบนบ้าน จึงถามเมียว่า เอ๊ะ! เห็นยายไปขายเสื่อขึ้นไปบนบ้าน ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า?
แต่เมียยอกว่า ไม่ใช่ เขายังไม่กลับมากันเลย จะเห็นกันได้ยังไง?
ส่วนพ่อสุนทรก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ตาฝาด เพราะเพิ่งเห็นยายแกเดินขึ้นบ้านไปเมื่อตะกี้นี้เอง!
ฝ่ายเมียกลับยืนยันว่าผัวตาฝาดไปเอง ด้วยความไม่แน่ใจทั้งคู่จึงชวนกันวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปิดหน้าต่างออกมองหาแต่ไม่เจอะเจอใครเลย เกิดสังหรณ์ใจว่าคงจะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็น ลูกเขยเขากลับมา บอกว่าแม่ยายตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้แล้ว รถคว่ำตายคนเดียว!
สองผัวเมียรู้ข่าวแน่ชัดก็ตกตะลึงตัวชา ได้แต่หันมองสบตา ไม่เข้าใจว่ากลางวันแสกๆ เหตุใดผู้ตายจึงปรากฏกายกลับมาบ้านได้ในเวลานั้น เห็นเป็นรูปร่างปกติเดินขึ้นไปบนบ้านได้เล่าหนอ?
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านหัวนาคำ
พ่อใหญ่พันธ์เล่าว่า ญาติป่วยหนักอยู่ที่อำเภอโกสุมพิสัย ขณะนั้นพ่อใหญ่พันธ์ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน ได้พบกับญาติที่ป่วยอยู่นั้น...รายนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากได้พูดคุยทักทายกันด้วย ญาติผู้นั้นบอกว่ามีธุระจะไปที่อื่น ขอฝากลูกหลานให้ช่วยดูแลด้วย เขาจะไปในวันที่ 15-16 นี้เอง
พูดคุยกันแล้วก็เดินเข้าบ้านหายลับไป
พ่อใหญ่พันธ์เอารถไปจอดไว้แล้วจึงคุยกับเมียว่า พี่น้องเรามาจากโกสุมฯ เขามาทำไม เมียบอกว่าไม่มีใครมา พ่อใหญ่พันธ์ร้องว่า ไม่มีได้ยังไง เมื่อสักครู่ได้คุยกันก่อนเข้ามาในบ้าน...ว่าแล้วจึงวิ่งตามเข้าไปดูในบ้าน แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
พ่อใหญ่พันธ์จึงบอกว่าผิดปกติเสียแล้ว จะต้องเดินทางไปโกสุมฯ แล้วจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายแน่นอน
ครั้นรุ่งเช้านำกระเป๋าขึ้นรถ ได้แวะซื้ออาหารที่อำเภอเชียงยืน มีคนรู้จักเล่าให้ฟังว่า ญาติที่บ้านหัวนาคำเมื่อคืนนี้ตายแล้ว พ่อใหญ่พันธ์รีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงอำเภอโกสุมฯ ถึงบ้านญาติเห็นเขาจัดตั้งศพกำลังประดับประดาอยู่
เป็นไปได้ยังไง คนตายแล้วยังพูดได้ ไม่ใช่เห็นแต่รูปร่างเท่านั้น...ขนลุกหัวครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2553
08 พฤศจิกายน 2556
สระผีสิง
"เคน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหัวหิน
ผมชื่อเคนครับ กำลังเรียนอยู่ม.4 เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรง คือผมเจอมากับตัวเองเลยครับ
เดือนตุลาคมครอบครัวเราไปเที่ยวหัวหินกัน 5 วันแน่ะ เรามีอยู่ด้วยกัน 4 คนคือตัวผม พ่อกับแม่และน้องสาวชื่อเคลียอายุ 12 มีเค้าว่าโตขึ้นจะโตเป็นสาวสวยเหมือนผมซึ่งคงต้องหล่อแน่ๆ
ที่พักของเราคือรีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งริมชายหาดไม่ไกลจากเขาตะเกียบนัก
บรรยากาศดีมากๆ เลย ด้านที่ติดทะเลนั้นสวยจริงๆ มองเห็นหาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา ลมพัดโชยไม่ขาดสาย เหมาะสำหรับตั้งร้านอาหารของรีสอร์ต และมีสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักให้เราเล่นน้ำไป-ดูทะเลไปพลาง
โห...ชีวิตช่างมีความสุขซะเหลือเกิน!
ราวบ่ายสามโมง พวกเราไปอยู่ริมหาดที่ร่มรื่นกัน
พ่อกับแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนริมสระ ส่วนผมกับเคลียลงเล่นน้ำอย่างสนุก น้ำในสระใสแจ๋วและไม่ลึกมากหรอกครับ แค่อกผมเองแหละ ผมชอบนอนหงายลอยตัวดูท้องฟ้า ส่วนเคลียชอบ ดำน้ำเล่นเป็นนางเงือกอยู่คนเดียว
กำลังเล่นอยู่ดีๆ เคลียก็มาสะกิดผม
"พี่เคน เคลียเห็นเด็กนั่งยองๆ ที่ก้นสระมองดูเราอยู่ด้วยละ...เค้านั่งอยู่น้านนาน แหม! ดำน้ำอึดจัง!"
ผมตกใจหน่อยๆ รีบมุดลงไปดูบ้างแล้วก็เห็นอย่างที่น้องเห็น...คือมีเด็กคนหนึ่งตัวนิดเดียว น่าจะไม่เกิน 4 ขวบ นั่งยองๆ มองตาแป๋วแถมยังยิ้มขำๆ อีกด้วย!
"เฮ้ย! เดี๋ยวก็ตายหรอก" ผมเอ็ดตะโรอยู่ในใจ แล้วพุ่งตัวไปหาเด็กน้อยดำน้ำอึดคนนั้น
คุณพระคุณเจ้าช่วย! พอผมไปถึงเด็กนั่นก็หายตัวแวบเหมือนน้ำตาลละลายไปกับน้ำ...ชนิดต่อหน้าต่อตาเลยละครับ
ผมทะลึ่งพรวด แล้วรีบฉุดมือน้องสาวทันที
"เราขึ้นกันเถอะ ในสระนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วสิ แถมน่ากลัวอีกต่างหาก"
ผมรีบจูงมือน้องเดินหน้าตื่นเข้าไปหาพ่อกับแม่ ขาสั่นนิดๆ กับเกิดความหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรง ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายติดๆ กัน
ตอนนั้นมีเด็กเสิร์ฟผู้หญิงกำลังวางแก้วน้ำผลไม้ให้แม่พอดี
เราไม่สนใจเธอเลย ขณะที่บอกกับพ่อเสียงดังว่าเราเห็นเด็กนั่งยองๆ อยู่ก้นสระว่ายน้ำ
"ว้าย! ตายแล้ว" เด็กเสิร์ฟสาวหวีดร้อง หันซ้ายหันขวาทำท่าขนลุกขนชัน...นั่นแปลว่าต้องมีอะไรแน่แล้วจริงๆ ด้วย
ผมตรงเข้าไปประชิดตัวเธอแล้วถามเสียงแข็งว่า...เล่ามานะ ว่ามีอะไรขึ้นที่นี่? เธอทำหน้าตาเหยเก กลืนน้ำลายยากเย็นก่อนจะกระซิบกระซาบว่า...รู้แล้วอย่าเอะอะไปนะ! ผมพยักหน้าให้สัญญา เธอจึงเล่าเรื่องน่าสยองให้ฟัง
เมื่อสองเดือนก่อนมีเด็กมาจมน้ำตายในสระนี้ เป็นเด็กท้องถิ่นที่แม่ของแกพามาเดินเล่น แล้วพ่อกับแม่ก็นั่งบนหาดทรายคุยกันเพลิน ส่วนเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดอิฐของรีสอร์ต ตรงมาที่สระน้ำสีฟ้าอมเขียวแล้วกระโดดต๋อมลงไปเลย!
ตอนนั้นไม่มีใครรู้เห็น หรือแม้แต่สนใจสักคนเดียว...
จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกของรีสอร์ต ได้บอกกับแม่ผู้เป็นนางพยาบาลว่า
"แม่คะ น้องคนนั้นเก่งจัง...เค้าอยู่ใต้น้ำได้ตั้งนานแน่ะค่ะ!"
ผู้เป็นแม่หันไปเห็นภาพน่ากลัวถึงกับร้องลั่น รีบดำน้ำไปแล้วฉุดดึงเอาร่างน้อยๆ ที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เข้ามามุงดูพลางวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ทุกสิ่งสายเกินไปเสียแล้ว...เด็กน้อยจมน้ำตาย แกตายอยู่ในท่านั่งยองๆ ที่ก้นสระ!
พ่อแม่ของเด็กไม่เอาเรื่อง เพราะเป็นความสะเพร่าของพวกเขาเอง ที่ไม่ได้เอาใจใส่และดูแลลูกให้ดี
เด็กสาวพนักงานเสิร์ฟเล่าว่าทางรีสอร์ตทำบุญแล้ว และอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณของเด็กน้อยเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีแขกที่เข้าพักต่อๆ มาได้เห็นเด็กคนนี้อยู่เสมอ บางทีก็ดำผุดดำว่ายปะปนกับแขกอื่นๆ เล่นเอาพนักงานรีสอร์ตที่จำได้ถึงกับเขาอ่อนไป 2-3 คนแล้ว
บางคืนยามดึกสงัดเด็กน้อยก็มากระโดดน้ำตูมๆ จนได้ยินกันทุกคน
นี่ละครับเรื่องที่ผมเจอมา มันน่ากลัวมากและทำให้ผมเชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555
ผมชื่อเคนครับ กำลังเรียนอยู่ม.4 เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรง คือผมเจอมากับตัวเองเลยครับ
เดือนตุลาคมครอบครัวเราไปเที่ยวหัวหินกัน 5 วันแน่ะ เรามีอยู่ด้วยกัน 4 คนคือตัวผม พ่อกับแม่และน้องสาวชื่อเคลียอายุ 12 มีเค้าว่าโตขึ้นจะโตเป็นสาวสวยเหมือนผมซึ่งคงต้องหล่อแน่ๆ
ที่พักของเราคือรีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งริมชายหาดไม่ไกลจากเขาตะเกียบนัก
บรรยากาศดีมากๆ เลย ด้านที่ติดทะเลนั้นสวยจริงๆ มองเห็นหาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา ลมพัดโชยไม่ขาดสาย เหมาะสำหรับตั้งร้านอาหารของรีสอร์ต และมีสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักให้เราเล่นน้ำไป-ดูทะเลไปพลาง
โห...ชีวิตช่างมีความสุขซะเหลือเกิน!
ราวบ่ายสามโมง พวกเราไปอยู่ริมหาดที่ร่มรื่นกัน
พ่อกับแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนริมสระ ส่วนผมกับเคลียลงเล่นน้ำอย่างสนุก น้ำในสระใสแจ๋วและไม่ลึกมากหรอกครับ แค่อกผมเองแหละ ผมชอบนอนหงายลอยตัวดูท้องฟ้า ส่วนเคลียชอบ ดำน้ำเล่นเป็นนางเงือกอยู่คนเดียว
กำลังเล่นอยู่ดีๆ เคลียก็มาสะกิดผม
"พี่เคน เคลียเห็นเด็กนั่งยองๆ ที่ก้นสระมองดูเราอยู่ด้วยละ...เค้านั่งอยู่น้านนาน แหม! ดำน้ำอึดจัง!"
ผมตกใจหน่อยๆ รีบมุดลงไปดูบ้างแล้วก็เห็นอย่างที่น้องเห็น...คือมีเด็กคนหนึ่งตัวนิดเดียว น่าจะไม่เกิน 4 ขวบ นั่งยองๆ มองตาแป๋วแถมยังยิ้มขำๆ อีกด้วย!
"เฮ้ย! เดี๋ยวก็ตายหรอก" ผมเอ็ดตะโรอยู่ในใจ แล้วพุ่งตัวไปหาเด็กน้อยดำน้ำอึดคนนั้น
คุณพระคุณเจ้าช่วย! พอผมไปถึงเด็กนั่นก็หายตัวแวบเหมือนน้ำตาลละลายไปกับน้ำ...ชนิดต่อหน้าต่อตาเลยละครับ
ผมทะลึ่งพรวด แล้วรีบฉุดมือน้องสาวทันที
"เราขึ้นกันเถอะ ในสระนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วสิ แถมน่ากลัวอีกต่างหาก"
ผมรีบจูงมือน้องเดินหน้าตื่นเข้าไปหาพ่อกับแม่ ขาสั่นนิดๆ กับเกิดความหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรง ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายติดๆ กัน
ตอนนั้นมีเด็กเสิร์ฟผู้หญิงกำลังวางแก้วน้ำผลไม้ให้แม่พอดี
เราไม่สนใจเธอเลย ขณะที่บอกกับพ่อเสียงดังว่าเราเห็นเด็กนั่งยองๆ อยู่ก้นสระว่ายน้ำ
"ว้าย! ตายแล้ว" เด็กเสิร์ฟสาวหวีดร้อง หันซ้ายหันขวาทำท่าขนลุกขนชัน...นั่นแปลว่าต้องมีอะไรแน่แล้วจริงๆ ด้วย
ผมตรงเข้าไปประชิดตัวเธอแล้วถามเสียงแข็งว่า...เล่ามานะ ว่ามีอะไรขึ้นที่นี่? เธอทำหน้าตาเหยเก กลืนน้ำลายยากเย็นก่อนจะกระซิบกระซาบว่า...รู้แล้วอย่าเอะอะไปนะ! ผมพยักหน้าให้สัญญา เธอจึงเล่าเรื่องน่าสยองให้ฟัง
เมื่อสองเดือนก่อนมีเด็กมาจมน้ำตายในสระนี้ เป็นเด็กท้องถิ่นที่แม่ของแกพามาเดินเล่น แล้วพ่อกับแม่ก็นั่งบนหาดทรายคุยกันเพลิน ส่วนเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดอิฐของรีสอร์ต ตรงมาที่สระน้ำสีฟ้าอมเขียวแล้วกระโดดต๋อมลงไปเลย!
ตอนนั้นไม่มีใครรู้เห็น หรือแม้แต่สนใจสักคนเดียว...
จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกของรีสอร์ต ได้บอกกับแม่ผู้เป็นนางพยาบาลว่า
"แม่คะ น้องคนนั้นเก่งจัง...เค้าอยู่ใต้น้ำได้ตั้งนานแน่ะค่ะ!"
ผู้เป็นแม่หันไปเห็นภาพน่ากลัวถึงกับร้องลั่น รีบดำน้ำไปแล้วฉุดดึงเอาร่างน้อยๆ ที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เข้ามามุงดูพลางวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ทุกสิ่งสายเกินไปเสียแล้ว...เด็กน้อยจมน้ำตาย แกตายอยู่ในท่านั่งยองๆ ที่ก้นสระ!
พ่อแม่ของเด็กไม่เอาเรื่อง เพราะเป็นความสะเพร่าของพวกเขาเอง ที่ไม่ได้เอาใจใส่และดูแลลูกให้ดี
เด็กสาวพนักงานเสิร์ฟเล่าว่าทางรีสอร์ตทำบุญแล้ว และอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณของเด็กน้อยเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีแขกที่เข้าพักต่อๆ มาได้เห็นเด็กคนนี้อยู่เสมอ บางทีก็ดำผุดดำว่ายปะปนกับแขกอื่นๆ เล่นเอาพนักงานรีสอร์ตที่จำได้ถึงกับเขาอ่อนไป 2-3 คนแล้ว
บางคืนยามดึกสงัดเด็กน้อยก็มากระโดดน้ำตูมๆ จนได้ยินกันทุกคน
นี่ละครับเรื่องที่ผมเจอมา มันน่ากลัวมากและทำให้ผมเชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555
07 พฤศจิกายน 2556
ห้องน้ำนรก
"นก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องน้ำผีสิง
นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่องจากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง
โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำ สีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด
เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!
วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้
นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลังมีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ
มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว
จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...
รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!
เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง
เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ ข้างนอก
เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง...เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ
นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่
ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?
ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง
"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."
คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องน้ำราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?
โครม! โครม!!
สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องน้ำกระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา
คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!
ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตามด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวากรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหู จึงได้ลืมตามอง
เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ
วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียน ม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555
นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่องจากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง
โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำ สีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด
เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!
วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้
นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลังมีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ
มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว
จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...
รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!
เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง
เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ ข้างนอก
เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง...เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ
นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่
ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?
ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง
"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."
คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องน้ำราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?
โครม! โครม!!
สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องน้ำกระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา
คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!
ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตามด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวากรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหู จึงได้ลืมตามอง
เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ
วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียน ม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555
05 พฤศจิกายน 2556
วิญญาณพยาบาท
"ผาแดง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแรงอาฆาตบบบเรื่องผีๆ สางๆ มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ คนที่ยืนยันว่าไม่เชื่อเรื่องผี ไม่กลัวผี และไม่เคยถูกผีหลอก มักชอบพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนเราตายไปแล้วก็เรียกว่าผีทั้งนั้นแหละ...ถ้าผีมีจริงคนที่ถูกฆ่าก็ต้องกลับไปแก้แค้นคนที่ฆ่าตัวเองแน่ๆ นักโทษคดีฆ่าคนตายคงจะไม่แน่นโรงแน่นศาล หรือแน่นคุกตะรางอย่างทุกวันนี้เป็นแน่
เรื่องนี้น่าคิดนะครับ ผมขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ท่านผู้อ่านพิจารณา...ตัดสินว่า "วิญญาณพยาบาท" จะมีจริงๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเอง
ผมเป็นเด็กอีสาน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนชาวบ้านยังเชื่อถือเรื่องภูตผีต่างๆ ไม่ว่าผีฟ้า ผีแผน หรือผีป่า ผีโขมด ถ้าใครประสบกับสิ่งอัปมงคลก็เชื่อกันว่าเกิดจากภูตผีไม่พอใจแน่นอน
หมู่บ้านผมมีหมอไสยศาสตร์ หรือหมอผีชื่อดัง คือหมอคง เป็นชาวเขมรที่อพยพมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปลูกบ้านอยู่ใต้หมู่ต้นตาล แถมมีกอไผ่ร่มครึ้มล้อมรอบ บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจจนพวกเด็กๆ ไม่กล้าไปวิ่งเล่นก็แล้วกัน!
หมอคงเป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวชื่อคำแก้ว เพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้นเอง...ลือกันว่าแกฝังศพเมียแกไว้ที่โคนต้นตาลหลังบ้าน ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปแถวนั้น ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตอนกลางวันมักจะมีคนเลื่อมใสวนเวียนไปหาหมอคงอยู่เสมอ พวกผู้ชายก็ไปขอของดีประเภทอยู่ยงคงกระพัน กับยาเสน่ห์ที่ทำให้สาวหลง พวกผู้หญิงก็มักจะไปปรึกษาเรื่องผัวขี้เหล้ากับผัวเจ้าชู้ คนที่สมปรารถนาก็จะเอาเงินทองของกำนัลไปให้หมอคงเป็นสิ่งตอบแทน
พี่คำแก้วเป็นสาวสวยคม ผิวพรรณขาวสะอาดผิด กว่าคนส่วนมาก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นที่มีไอ้หนุ่มบางคนเปรียบเปรยว่า "เหมือนนางอัปสร" แต่ไม่มีใครกล้าตีสนิทด้วย เพราะกลัวคาถาอาคมของอาจารย์คง
ตอนเย็นๆ พี่คำแก้วมักจะเดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่งไปให้พ่อ พวกหนุ่มๆ ได้แต่มองตาเป็นมัน คนใจกล้าก็ทักทายชวนคุย พี่คำแก้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดน่ารักกับทุกคน...บางทีก็เย้าแหย่ว่าหมู่นี้ไม่ค่อยไปหาพ่อเธอเลย สงสัยว่าคงจะสมรักสมความปรารถนาแล้วกระมัง?
ค่ำวันเกิดเหตุ หมอคงนุ่งโสร่ง เปลือยอกเห็นรอยสักดำมืด เดินเทิ่งๆ ถือไฟฉายขนาดสามท่อนมาที่ร้านชำถามหาลูกสาว แป๊ะเห่งยืนยันว่าคำแก้วออกจากร้านไปนานแล้ว...
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ อาจารย์คงหันกลับเดินจ้ำอ้าว มีชาวบ้านเดินตามห่างๆ ไปจนถึงดงตาลหนาทึบใกล้บ้าน...พี่คำแห้วนอนตะแคงแต่ใบหน้าพลิกหงาย ตาถลนลิ้นจุกปาก ผ้าซิ่นถูกรวบอยู่ที่เอว...โดนบีบคอข่มขืนจนขาดใจตาย
ตำรวจยังคงสืบหาฆาตกรโหด อาจารย์คงจัดการกับศพลูกสาวเงียบๆ ขอร้องแกมสั่งไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง...เชื่อกันว่าคงจะฝังศพพี่คำแก้วข้างๆ กับศพแม่ของเธอนั่นแหละ
ชาวบ้านก็ได้แต่ซุบซิบกันอย่างหวาดระแวงว่าใครเป็นตัวการ? จะโทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่มีหลักฐาน พวกคอเหล้าที่อยู่ในร้านวันที่พี่คำแก้วถูกฆ่า ก็ไม่มีใครออกจากร้านในเวลาใกล้ๆ กับตอนพี่คำแก้วออกไปแม้แต่คนเดียว
ฆาตกรไม่ได้อยู่ในร้าน แต่ดักซุ่มอยู่กลางทาง!
ปัญหาก็คือใคร? ช่วงนั้นก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ยามค่ำคืนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแว่วมากับสายลม ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนน่าขนหัวลุก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกางมุ้งนอนเร็วกว่าปกติ บางคืนได้ยินเสียงร้องโหวกโหวย วิ่งพลางร้องพลางว่าโดนผีหลอกไปตลอดทาง
ปรากฏว่าเดินมาดีๆ ก็เห็นพี่คำแก้วเดินร้องห่มร้องไห้สวนทางมา ไม่ว่าใครก็ต้องเผ่นกระเจิงกันทุกคน
อาจารย์คงไม่ต้อนรับแขกเหรื่ออีกต่อไป นานๆ แกก็เดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่ง ด้วยหน้าตาตายสนิทเหมือนรูปสลัก...หมู่บ้านเรามีแต่ความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิมเพราะแรงพยาบาทของอาจารย์คง
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
พระที่ออกบิณฑบาตพบศพชายนอนคว่ำ ตะแคงหน้าอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพพี่คำแก้วนั่นเอง...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ ยกเว้นแต่ลำคอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบเค้นอย่างรุนแรงจนสิ้นใจ นัยน์ตาเบิกโพลง มีเหล้าขาวที่ยังไม่ได้เปิดขวดหนึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ศพด้วย
เจ้าเขื่อน-ลูกจ้างไร่ข้าวโพดที่ปลูกกระท่อมอยู่ห่างจากหมู่บ้านนั่นเองที่เป็นคนเคราะห์ร้าย...ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเพราะแรงอาฆาตของวิญญาณพี่คำแก้ว และบ้างก็ว่าเกิดจากคาถาอาคมของอาจารย์คงที่ส่งภูตผีมาฆ่า
คนที่ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ก็เดาว่าเจ้าเขื่อนคงจะรีบเดินจนพลาดล้ม คอหักตายก็เป็นได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เสียงร้องห่มร้องไห้น่าขนหัวลุกในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555
เรื่องนี้น่าคิดนะครับ ผมขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ท่านผู้อ่านพิจารณา...ตัดสินว่า "วิญญาณพยาบาท" จะมีจริงๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเอง
ผมเป็นเด็กอีสาน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนชาวบ้านยังเชื่อถือเรื่องภูตผีต่างๆ ไม่ว่าผีฟ้า ผีแผน หรือผีป่า ผีโขมด ถ้าใครประสบกับสิ่งอัปมงคลก็เชื่อกันว่าเกิดจากภูตผีไม่พอใจแน่นอน
หมู่บ้านผมมีหมอไสยศาสตร์ หรือหมอผีชื่อดัง คือหมอคง เป็นชาวเขมรที่อพยพมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปลูกบ้านอยู่ใต้หมู่ต้นตาล แถมมีกอไผ่ร่มครึ้มล้อมรอบ บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจจนพวกเด็กๆ ไม่กล้าไปวิ่งเล่นก็แล้วกัน!
หมอคงเป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวชื่อคำแก้ว เพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้นเอง...ลือกันว่าแกฝังศพเมียแกไว้ที่โคนต้นตาลหลังบ้าน ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปแถวนั้น ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตอนกลางวันมักจะมีคนเลื่อมใสวนเวียนไปหาหมอคงอยู่เสมอ พวกผู้ชายก็ไปขอของดีประเภทอยู่ยงคงกระพัน กับยาเสน่ห์ที่ทำให้สาวหลง พวกผู้หญิงก็มักจะไปปรึกษาเรื่องผัวขี้เหล้ากับผัวเจ้าชู้ คนที่สมปรารถนาก็จะเอาเงินทองของกำนัลไปให้หมอคงเป็นสิ่งตอบแทน
พี่คำแก้วเป็นสาวสวยคม ผิวพรรณขาวสะอาดผิด กว่าคนส่วนมาก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นที่มีไอ้หนุ่มบางคนเปรียบเปรยว่า "เหมือนนางอัปสร" แต่ไม่มีใครกล้าตีสนิทด้วย เพราะกลัวคาถาอาคมของอาจารย์คง
ตอนเย็นๆ พี่คำแก้วมักจะเดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่งไปให้พ่อ พวกหนุ่มๆ ได้แต่มองตาเป็นมัน คนใจกล้าก็ทักทายชวนคุย พี่คำแก้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดน่ารักกับทุกคน...บางทีก็เย้าแหย่ว่าหมู่นี้ไม่ค่อยไปหาพ่อเธอเลย สงสัยว่าคงจะสมรักสมความปรารถนาแล้วกระมัง?
ค่ำวันเกิดเหตุ หมอคงนุ่งโสร่ง เปลือยอกเห็นรอยสักดำมืด เดินเทิ่งๆ ถือไฟฉายขนาดสามท่อนมาที่ร้านชำถามหาลูกสาว แป๊ะเห่งยืนยันว่าคำแก้วออกจากร้านไปนานแล้ว...
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ อาจารย์คงหันกลับเดินจ้ำอ้าว มีชาวบ้านเดินตามห่างๆ ไปจนถึงดงตาลหนาทึบใกล้บ้าน...พี่คำแห้วนอนตะแคงแต่ใบหน้าพลิกหงาย ตาถลนลิ้นจุกปาก ผ้าซิ่นถูกรวบอยู่ที่เอว...โดนบีบคอข่มขืนจนขาดใจตาย
ตำรวจยังคงสืบหาฆาตกรโหด อาจารย์คงจัดการกับศพลูกสาวเงียบๆ ขอร้องแกมสั่งไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง...เชื่อกันว่าคงจะฝังศพพี่คำแก้วข้างๆ กับศพแม่ของเธอนั่นแหละ
ชาวบ้านก็ได้แต่ซุบซิบกันอย่างหวาดระแวงว่าใครเป็นตัวการ? จะโทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่มีหลักฐาน พวกคอเหล้าที่อยู่ในร้านวันที่พี่คำแก้วถูกฆ่า ก็ไม่มีใครออกจากร้านในเวลาใกล้ๆ กับตอนพี่คำแก้วออกไปแม้แต่คนเดียว
ฆาตกรไม่ได้อยู่ในร้าน แต่ดักซุ่มอยู่กลางทาง!
ปัญหาก็คือใคร? ช่วงนั้นก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ยามค่ำคืนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแว่วมากับสายลม ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนน่าขนหัวลุก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกางมุ้งนอนเร็วกว่าปกติ บางคืนได้ยินเสียงร้องโหวกโหวย วิ่งพลางร้องพลางว่าโดนผีหลอกไปตลอดทาง
ปรากฏว่าเดินมาดีๆ ก็เห็นพี่คำแก้วเดินร้องห่มร้องไห้สวนทางมา ไม่ว่าใครก็ต้องเผ่นกระเจิงกันทุกคน
อาจารย์คงไม่ต้อนรับแขกเหรื่ออีกต่อไป นานๆ แกก็เดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่ง ด้วยหน้าตาตายสนิทเหมือนรูปสลัก...หมู่บ้านเรามีแต่ความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิมเพราะแรงพยาบาทของอาจารย์คง
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
พระที่ออกบิณฑบาตพบศพชายนอนคว่ำ ตะแคงหน้าอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพพี่คำแก้วนั่นเอง...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ ยกเว้นแต่ลำคอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบเค้นอย่างรุนแรงจนสิ้นใจ นัยน์ตาเบิกโพลง มีเหล้าขาวที่ยังไม่ได้เปิดขวดหนึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ศพด้วย
เจ้าเขื่อน-ลูกจ้างไร่ข้าวโพดที่ปลูกกระท่อมอยู่ห่างจากหมู่บ้านนั่นเองที่เป็นคนเคราะห์ร้าย...ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเพราะแรงอาฆาตของวิญญาณพี่คำแก้ว และบ้างก็ว่าเกิดจากคาถาอาคมของอาจารย์คงที่ส่งภูตผีมาฆ่า
คนที่ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ก็เดาว่าเจ้าเขื่อนคงจะรีบเดินจนพลาดล้ม คอหักตายก็เป็นได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เสียงร้องห่มร้องไห้น่าขนหัวลุกในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)