อันว่า "ตะปูตอกโลงผีตายโหง" ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณหลากหลาย แม้แต่นำมาผสมกับเหล็กอื่นๆ เช่น เจดีย์หัก ยอดโบสถ์วัดร้าง เหล็กน้ำพี้ ฯลฯ แล้วตีเป็นดาบสุดยอดแห่งความคมกริบ ฟันเหล็กขาด ใครหน้าไหนมีของดีวิเศษคุ้มครองปานใดก็ต้านไม่อยู่
บางแห่งถึงกับเรียกขานกันว่า "เทพอาวุธ" ไปโน่นเลย!
นอกจากนั้น พวกหมอไสยศาสตร์ หรือพวก "เล่นของ" ก็นิยมนำมาเสกเป่าแล้วทดลองวิชาอาคมของตนด้วยการ "ปล่อยของ" เกิดเสียงซู่ซ่าเกรียวกราวยามราตรี คนแก่เฒ่าจะสั่งสอนลูกหลานว่า ถ้าใครได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ในตอนกลางคืน "ห้ามทัก" เด็ดขาด เพราะของจะเข้าตัว เรียกกันว่า "โดนของ" ที่จะทำให้ทนทุกข์ทรมานมาก ถ้าแก้ไขไม่ทันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ
บางคนเจ็บไข้กระเสาะกระแสะอยู่เสมอ หรือไม่ก็มีเคราะห์หามยามร้ายเรียกว่า "ซวยตลอดศก" ละกัน ไปหาหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ก็จะมีพิธีตรวจตราว่าโดนของหรือคุณไสย อะไรหรือเปล่า?
นิยมใช้ไข่ไก่เรียกของร้ายๆ ออกมาจากร่างกาย เป็นต้นว่ากระดูกผีบ้าง เส้นผมผีตายโหงบ้าง แต่ตะปูยาวๆ แบบนั้นไข่ไก่เห็นจะรับไม่ไหว ต้องใช้อีกวิธีหนึ่ง คือแป้งข้าวเจ้ามานวดคลึงแล้ววางแผ่ไว้หน้าท้อง เมื่อหมอผีหรือผู้ชำนาญคุณไสย นำแป้งออกมาตรวจตราดูก็จะพบของที่ว่า...รวมทั้งตะปูสนิมเขรอะยาวเกือบคืบอีกด้วย
เชื่อกันว่าโดนของใหญ่ขนาดตะปูตอกโลงผีตายโหงนั่นเชียว!
แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีการต้มตุ๋นกันมากมาย พอๆ กับพวกที่หากินทางไล่ผีปอบในภาคอีสานนั่นแหละครับ ฟังหูไว้หูก็ดี อย่าไปหลงเชื่อถือจนกลายเป็นความงมงายก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ หรือหมูหวานของพวกมิจฉาชีพไปเปล่าๆ ไม่เข้าการ
ความเชื่อถือที่กลายเป็นธรรมเนียมระหว่างคนเป็นกับคนตายนี่เรื่องเยอะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นผีตายโหงออกจะมากมายเป็นพิเศษ
สาเหตุมาจากคนฆ่าหวาดกลัวว่าวิญญาณของคนที่ตัวฆ่าจะติดตามมาเอาชีวิตเป็นการแก้แค้น หรือศพทวงหนี้ว่างั้นเถอะ! อย่างเบาะๆ ก็คอยหลอกหลอนจนอกสั่นขวัญแขวน ประสาทกินจนถึงสติแตกไปเลย
เวลาฆ่าแกงเขาไม่ยักกลัว แต่ฆ่าคนตายแล้วกลับกลัวผีที่ตัวฆ่าเอง...พิลึก!
ทั้งๆ ที่รู้ว่าสัปเหร่อใช้ตะปูตอกฝาโลง ร่ายอาคมสะกดวิญญาณ หรือไม่ก็แอบว่าจ้างให้กระทำการที่ว่านั้นจนเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจสนิทอยู่ดี กลัวว่าปีศาจหรือวิญญาณผีตายโหงจะเฮี้ยนจัดด้วยแรงอาฆาต จัดการแหกฝาโลง ลุกทะลึ่งตึงตังออกมาตามล่าตามล้างเพื่อเอาชีวิตชดใช้ให้จงได้
แล้วจะทำยังไงกันดีเล่าหนอ?
อย่างแรกก็คือ ห้อยพระ ปลุกพระให้ท่านคุ้มครองตัวเองเป็นประจำทุกวัน อย่าได้หลงลืมอาราธนาให้ท่านติดตามไปด้วยตลอดวันตลอดคืน
เชื่อพระ นับถือพระ แต่ไหงถึงใจคอโหดร้าย ล้างผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักปลาได้ง่ายๆ ก็ไม่ทราบ? ถามเข้าก็คงตอบว่าเพราะถูกหักหลัง โดนทำร้าย ตอบแทนบุญคุณเจ้านาย หรือไม่ก็ได้รับค่าจ้างก้อนโต จนพลอยตาโต...หลงลืมบาปบุญคุณโทษไปชั่วขณะ
ฆ่าคนตายแท้ๆ พระเจ้าที่ไหนท่านจะมาคุ้มครองเล่า? ปัดโธ่!
นอกจากนั้น ก็ยังมีการห้อยตะกรุด พกยันต์หลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าป้องกันโพยภัยได้หมดทุกอย่าง ยันต์ผืนเดียวแผ่นเดียวก็มีสรรพคุณครอบจักรวาลว่างั้นเถอะครับ ป้องกันคมหอกคมดาบ ลูกปืนไม่ได้กิน ลูกระเบิดไม่ได้แอ้ม ภูตผีปีศาจเห็นเข้าเป็นเผ่นอ้าว กลับป่าช้าแทบไม่ทัน...ว่าไปโน่นเลย
มีการเอาเสื้อที่ใส่ไปฆ่าเขา ไม่ว่าจะเปรอะเปื้อนคราบเลือดคนตายหรือไม่ก็ตาม ไปให้หมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเรืองอาคมนักหนา มีเวทมนตร์คาถาสุดฉมังเหลือหลาย จัดการกระทำพิธีเสกเป่าคล้ายๆ ปัดรังควาน ไม่ให้วิญญาณที่โดนพวกตนฆ่าย้อนมาเล่นงานเอาได้ เผลอๆ ก็กลายเป็นหลักฐานเพิ่มเติมให้ตำรวจยื่นฟ้องศาลอีกด้วย
พูดก็พูดเถอะครับ ถ้ากลัวว่าวิญญาณนั้นจะมาสิงสู่อยู่ในเสื้อของตัววันที่ฆ่าเขา แค่โยนทิ้งก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว ไม่ทราบว่าต้องไปหาหมอผีให้ยุ่งยากมากเรื่องไปทำไม
คิดอีกที คนที่เป็นฆาตกรก็ต้องมีวิธีคิดอะไรแปลกๆ ค่อนข้างพิสดารยังงี้แหละครับ ไม่งั้นจะกล้าฆ่าคนได้ยังไง?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น