ขั้นตอนต่อมาก็คือการล้างหน้าศพ!
ก่อนจะถูกเผาให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่รอมร่อ โดยสัปเหร่อผู้ยืนจังก้าอยู่บนเมรุ ใช้มีดผ่ามะพร้าวฝีมือช่ำชองขนาดฉัวะเดียวขาดกลาง แล้วเทน้ำมะพร้าวราดหน้าศพ บางรายก็จะใช้น้ำที่เหลือรดราดแบบสาดไปตามเนื้อตัวของศพ ที่นอนพนมมือประกบดอกไม้ธูปเทียนมัดด้วยสายสิญจน์...ราวกับจะเป็นขอขมาลาโทษเป็นครั้งสุดท้าย
รวมทั้งเอาไปกราบไหว้บูชาท่านผู้เป็นใหญ่ในภพหน้า
เนื้อมะพร้าวสองซีกในกะลา ก็โยนให้ญาติมิตรของผู้ตายที่ยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างๆ เมรุไปแบ่งกันกิน ถือซะว่าเป็นลาสต์ซัปเปอร์ละกัน
...เสร็จสรรพก็จัดการพลิกศพให้นอนคว่ำ บางทีก็มีการหักแขนหักขาน่าเสียวไส้ ก่อนจะใช้ฟืนในเมรุนั่น แหละมาทับศพไว้ราว 5-6 ท่อน เพื่อป้องกันมิให้ศพนั้นลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมาตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้คึ่กๆ เพราะเส้นเอ็นเกิดปฏิกิริยากับความร้อน จนทำให้คนขวัญอ่อนเป็นลมเป็นแล้งกันมานักต่อนักแล้ว
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการราดน้ำมันก๊าด จุดไฟลุกคึ่กๆ ขึ้นมา
ไม่ช้าควันสีดำก็พวยพุ่งจากปล่องหลังคา ท่าม กลางเสียงร้องไห้ระงมของญาติสนิทมิตรสหาย โดยมีสัปเหร่อล่าถอยหลบความร้อนในระยะห่างพอสมควร คอยถือไม้ไผ่ท่อนยาวๆ คอยเขี่ยฟืนที่ยุบลงมาบ้าง สาดน้ำใส่ไฟที่ทำท่าว่าจะร้อนแรงเกินไปบ้าง
...เดี๋ยวเกิดฟืนถูกเผาหมดก่อนศพจะเหลือแต่กระดูก ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ควรการ!
ครั้นไฟเริ่มซา แขกเหลือน้อย ญาติมิตรต่างทยอยกันกลับ จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นถึงจะนิมนต์พระท่านมาบังสุกุล ชักผ้า ก่อนจะเก็บกระดูกสำคัญ เช่น ส่วนกะโหลกชิ้นเล็กๆ ไปใส่โกศบูชาที่บ้าน
น่าสังเกตว่าวันนั้นถือเป็นวัน "ออกทุกข์" คนไทยที่แต่งกายชุดดำแบบฝรั่งมังค่ามาตั้งแต่วันที่ญาติตาย แต่วันเก็บอัฐิจะแต่งเขียวแต่งแดง ดูสดใสกันเป็นพิเศษ
แต่ใครที่ผูกพันลึกซึ้งกับผู้ตาย จะไว้ทุกข์ต่อไปอีกเดือนสองเดือนก็มี เป็นปีๆ หรือตลอดชีวิตก็มี ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนนั้นๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดหรอกครับเรื่องแบบนี้น่ะ!
เมื่อเผาผีกันเสร็จสรรพ ความกลัวผีก็มักติดตามมาไม่ช้าไม่นานนัก
เคยร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าวันตาย วันเผา มาตอนนี้ก็ชักทำนัยน์ตาลอกแลก เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงว่าผีนั้นจะกลับบ้านกลับช่องหรือเปล่า?
แหม! กระดูกก็ยังอยู่ในโกศตั้งเด่น มองเห็นอยู่ทนโท่
โบราณเชื่อกันว่า เมื่อตายไปครบ 3 วัน ผีจะเข้าบ้านเก็บรอยตีนของตน!
แต่เมื่อคนเราเกิดมาเพื่อจะกลัวผีเสียอย่าง ไม่ว่าจะตายไป 3 วันหรือเผาไป 3 วัน ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าผีจะตามมาเก็บรอยตีน หรือเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายโดยเฉพาะ อยู่ในบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ก่อนตายหรือเปล่า?
ว่ากันว่า ที่ผีมาเก็บรอยตีนนั้นก็เพื่อจะได้ลืมเลือนว่าตัวเองเคยเป็นใคร? อยู่ที่ไหนมาก่อน เพื่อตัดปัญหาในเรื่องการจดจำรำลึกชาติได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความยุ่งยากจนถึงโกลาหลอลหม่านเปล่าๆ ว่าชาติก่อนเคยเป็นพ่อแม่คนนั้น เคยเป็นลูกหลานคนนี้...
ยิ่งมีหลักฐานยืนยันได้ก็จะเกิดความวุ่นวายกันไม่เสร็จสิ้น
...ยกให้เป็นเรื่องของ "สมี" ที่ชอบอ้างว่าเคยเป็นบุตรของอุบาสิกาที่ร่ำรวยนักหนาในชาตินี้ มาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนก็แล้วกัน...แถมจำได้ว่ามีแม่หลายคนในหลายๆ ชาติอีกต่างหาก!
ความเชื่อที่ว่าผีมาเก็บรอยตีน ทำให้เกิดการพิสูจน์กันว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ด้วยการใช้แป้งข้าวเจ้าโรยไว้ที่ลานบ้าน เข้าทำนองตำรวจตรวจหาลายมือคนร้าย...บางรายก็ไม่พบเห็นอะไร แต่บางรายยืนยันว่ารุ่งเช้ารีบไปดูก็เห็นรอยตีนตามแป้งนั้นเปรอะไปหมด
แสดงว่าผีเข้ามาเก็บรอยจริงๆ อย่างที่โบราณว่า
เอาจริงเข้าก็เลยไม่ทราบแน่ว่า ผีมาเก็บรอยตีน หรือมาทิ้งรอยตีนไว้กันแน่นะครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น