"ขวัญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกบนรถเมล์ปรับอากาศ
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ คือ ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ดิฉันอาจโชคดีที่บ้านอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ต้องไปทำงานถึงถนนงามวงศ์วานก็ไร้ปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์รวดเดียวถึง
รถร้อนรถเย็นมีทั้งนั้นเลย!
ถึงที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ห้างพันธุ์ทิพย์แต่ก็ไม่ค่อยได้แวะดูของ เพราะช่วงเย็นรถติดกับอ่อนล้าจากงานมาทั้งวัน อยากกลับบ้านอาบน้ำ กินข้าวกับพ่อแม่ให้สบายมากกว่า
จู่ๆ ดิฉันก็ต้องพบกับเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองบนรถเมล์ปรับอากาศค่ะ
วันเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยก็ตาม มารู้สาเหตุว่าเกิดจากความจำเป็นในรอบเดือนตามประสาผู้หญิง หลังจากใช้อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยแล้ว กลับเกิดมีไข้รุมๆ และอ่อนเพลียจนรู้ตัวว่าทำงานต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
เมื่อไปปรับทุกข์กับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทุเลาก็หยุดงานไปเลย
เรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะที่จะเข้าใจและเห็นใจกัน โดยเฉพาะดิฉันมีประวัติทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี แทบจะไม่มีวันลาวันหยุดเลยในแต่ละปี ดิฉันยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้า ตัดสินใจว่าขอกลับบ้านละ ส่วนเรื่องกินยาถ้าไม่กินได้จะดีมาก
ถือคติว่า ให้ร่างกายรักษาตัวเองก่อนใช้ยารักษา!
กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร!!
ในที่สุดก็ร่ำลาเพื่อนๆ มารอรถเมล์แถวหน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ช่วงบ่ายสองโมงกว่าผู้คนยังไม่มากนัก ดิฉันขึ้นรถปอ. ได้ที่นั่งเดี่ยวทางขวามือค่อนไปด้านหลัง ถือว่าโชคดีค่ะที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับคนอื่น เดี๋ยวจะเอาเชื้อไข้ไปติดเขาเปล่าๆ โรคหวัด 2009 ยิ่งกลับมาระบาดอยู่ด้วย
ตระเตรียมแบงก์ 20 บาทไว้จ่ายค่ารถ รับเงินทอน 2 บาทมาใส่กระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก นึกภาวนาว่ารถไม่ติดแบบนี้คงจะถึงบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆ
ที่ดิฉันเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อยืนยันว่ามีอาการไข้อย่างเดียว ไม่ได้งุนงงหรือสับสนขนาดเบลอหรอกค่ะ...จนกระทั่งรถผ่านหน้าเรือนจำ ไม่ช้าก็เลี้ยวขวาไปทางถนนวิภาวดี...รถรายังมีน้อยน่าปลอดโปร่งดีจริงๆ
คิดอยู่ว่า...ถ้าถึงบ้านอาการไข้ยังไม่ลดลงจะกินยาแล้วเข้านอนพักเลย ไม่ช้าคงทุเลาจนอาบน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ แล้วเอนหลังให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
มีอะไรบางอย่างมากระทบไหล่ดิฉันเบาๆ ตอนแรกนึกวูบไปถึงพวกโรคจิตที่เคยพบบนรถเมล์ แต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นนักศึกษาสาว ผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมม้า...เธอนั่งไหล่เบียดไหล่กับดิฉัน และกำลังหันมามองยิ้มๆ น่ารักน่าเอ็นดู ดิฉันก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ โดยมิได้พูดคุยอะไรกัน
และแล้ว ดิฉันก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้านขวาตามเดิม ดูตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ทุกวันจนรู้ว่าถัดไปจะเป็นอะไร? ใกล้จะถึงไหนแล้ว? อีกไม่เกินห้านาทีก็จะผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปดินแดง! และ...
คุณพระช่วย! เหมือนมีฟ้าแลบวูบเข้าสมองจนม่านตาพร่าพรายไปชั่วขณะ!
ดิฉันนั่งเก้าอี้เดี่ยว แล้วนักศึกษาสาวน่ารักผู้นั้นจะมานั่งคู่กับดิฉันได้อย่างไรกัน นอกจากว่าเธอจะ...
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้น หนาวสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่หันขวับไปมองอีกครั้ง...คุณพระคุณเจ้า! ไม่มีนักศึกษาสาวไว้ผมม้าหน้าตาดีผู้นั้นอีกแล้วค่ะ!
พยายามนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เราหันไปทางขวาน่ะ รถจอดหรือเปล่า? แน่ใจว่าไม่ได้จอดป้ายใดๆ เลย แล้วเธอลุกออกจากรถไปได้ดื้อๆ อย่างไรกัน?
อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเธอมานั่งปร๋ออยู่เคียงคู่ ไหล่เบียดไหล่กับดิฉันหรอกค่ะ
ถึงจุดหมาย ดิฉันลุกเดินขาสั่นแทบจะลงจากรถไม่ไหว... ผู้คนและรถรามากมายขวักไขว่ไปมา...ดิฉันอาจจะตาฝาด จนเพ้อไปเองเพราะพิษไข้ก็ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นว่าเด็กสาวผู้นั้นคงเป็นภูตวิญญาณ ที่สบโอกาสตอนที่ดิฉันอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นเอง!
มองในแง่ดีว่าเธอมาปลอบใจ เพราะรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้เป็นปกติตามเดิมค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น