"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอยุธยา
ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า
ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง
นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่านอกจากจิตใจยังไม่เข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็ เป็นได้
สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ
เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบไปเที่ยวสิงห์บุรี และอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง... ล่าสุดก็ไปไหว้พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์
คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่อยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย
มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลังโบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด
จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเรียบร้อย ภรรยาพาลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ
ก่อนจะถึงปากทางเข้าร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง
แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...
ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ เช่นจามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทางเบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้าบรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล
ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?
"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"
เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู
"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"
"ใต้ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"
"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชายเห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ
"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"
ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซ่า รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอกพลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"
ผมเชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น