พิพัฒน์ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวันเทศน์ใหญ่ที่พิจิตร
ถึงแม้โลกเราจะเจริญก้าวหน้าสู่ยุคไอทีแล้วก็ตาม แต่ยังมีเรื่องราวลี้ลับ น่ามหัศจรรย์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ จนหลายๆ คนยอมรับว่าโลกเรามีภูตผีหรือวิญญาณอยู่จริงๆ
โดยเฉพาะวิญญาณเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ที่เคยสิงสู่วนเวียนอยู่ เนิ่นนานมาแล้ว อาจจะมีความผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง จนไม่อาจไปสู่สุคติได้สำเร็จ
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เป็นสิ่งที่มนุษย์เราควรยึดถือไว้ให้มั่นคง ดังเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้
วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ จ.พิจิตร มีพระประธานที่ชาวบ้านนับถือ ปัจจุบันก็ยังใช้ทำพิธีสงฆ์อยู่ตามเดิม
วัดนี้มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ประมาณ 15 รูป
กาลเวลาที่ผ่านมา 300 กว่าปีที่ทำให้หลังคาโบสถ์ชำรุดทรุดโทรมลง ทางวัดได้สร้างหลังคาชั่วคราวไว้ เนื่องจากกรมศิลปากรไม่อนุญาตให้สร้างใหม่ คงปล่อยไว้เป็นโบราณวัตถุตามเดิม
..และที่วัดนี้เอง บรรดาชาวบ้านและพระในวัดต่างพูดกันว่า "แรงมาก" หรือ "เฮี้ยน" จริงๆ มีผู้ประสบพบเห็นภาพน่าสยองพองขนมาหลายรายด้วยกัน
หลังจาก 2-3 ทุ่มไปแล้ว พระในวัดบอกว่า เมื่อมองไปทางหลังโบสถ์จะเห็นทหารกล้าในชุดโบราณ เดินถือดาบไปมา ร่างกายนั้นก็มิได้แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีชีวิต ยกเว้นแต่ท่วงท่าเดินเหินค่อนข้างจะแข็งทื่อ...เชื่อว่าเป็นวิญญาณทหารสมัยโบราณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่างแน่นอน!
แถวกุฏิที่พระจำวัดนั้น หลังจาก 4 ทุ่มไปแล้วพระมักจะไม่กล้าออกเดิน สาเหตุมาจากความเกรงกลัวว่าจะประสบกับภาพน่าขนลุกขนพองสิ้นดี
นั่นคือ ภาพของแม่ชีไม่มีหัว เดินไปเดินมาอยู่ในแสงจันทร์ มองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน!
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนแห่งหนึ่งได้จัดอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา มีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมงานมากมายน่าปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
วันที่ 19 ตุลาคม มีการเทศน์หน้าศาลา โดยพระบวชใหม่ชื่อ พระสุรพล
การเทศนาคราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 13.00 น.
พระสุรพลขึ้นเทศน์โดยไม่มีใครจุดธูปบอกกล่าว...เมื่อเทศน์ไปได้ครึ่งชั่วโมงเศษพระสุรพลแสดงอาการแน่นหน้าอก หายใจแทบไม่ออก บอกว่ารู้สึกเหมือนมีเท้าที่มองไม่เห็นมาถีบอย่างรุนแรง จนต้องยุติการเทศน์ลงเพียงนั้น
วันที่ 21 ตุลาคม มีการเทศน์ใหญ่ โดยอาจารย์ราชันย์และคณะ กำหนดเริ่ม 13.00 น.ตามเดิม
ก่อนการเทศน์ ประมาณเที่ยงเศษ รองเจ้าอาวาสได้ใช้ให้ "โยมกิม" กับ "โยมยา" นำสุราขาว, ไก่ต้ม ไปไหว้นายพัน-วิญญาณเฝ้าประตูโบสถ์ โดยให้บอกกล่าวด้วยว่าจะมีการเทศน์วันนี้เพื่อนำเงินเข้าวัด
โยมกิมกับโยมยานำของไหว้นายพันแล้วเข้าไปไหว้หลวงพ่อโต
ของไหว้นายพันวางไว้ตรงประตูโบสถ์ (มี 3 ประตู คือกลางใหญ่ ซ้าย-ขวา เล็กกว่า) โดยไม่มีคนเฝ้า..ปรากฏว่ามีสุนัขฝูงหนึ่งจำนวน 6 ตัว นอนหมอบดูของเซ่นไหว้ห่างเพียงประมาณ 1 วา โดยไม่แตะต้องไก่ต้มนั้นเลย!
โยมกิมและโยมยาได้บอกกล่าวหลวงพ่อโตแล้ว โยมกิมก็ตัวสั่น เอามือทุบต้นขาตัวเองหลายทีอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่แสดงความโกรธเคืองว่า
"พวกมึงทำอะไรไม่บอกให้กูรู้ กูจึงไม่ยอมให้มีการเทศน์ไงล่ะ!"
โยมยารีบยกมือไหว้ พลางบอกกล่าวด้วยเสียงตื่นตระหนกแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
"ขอโทษด้วย วันที่ 19 ลองเทศน์ดูเท่านั้น จึงไม่ได้บอกกล่าวให้หลวงพ่อโตทราบ วันนี้ขออนุญาตเทศน์ใหญ่เพื่อเอาเงินเข้าบำรุงวัด"
โยมกิมซึ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่มีสิ่งเร้นลับสิงอยู่ก็หัวเราะเสียงดังด้วยความพึงพอใจ
"เออ! ดีแล้วที่บอกให้กูรู้ เอาเงินเข้าวัดให้หมดนะโว้ย! ดีแล้ว...ดีมาก"
ต่อจากนั้น โยมกิมก็กลับรู้สึกตัวตามเดิม..
การเทศน์ใหญ่ในวันนี้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. จนสิ้นสุดลงอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ในเวลา 15.00 น. ได้เงินเข้าวัด 120,000 บาทเศษ ทางอาจารย์ราชันย์และคณะคือพระเฉลากับพระสุรพล ไม่ยอมรับเงินแม้แต่บาทเดียว
การเทศน์ใหญ่ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ได้ผ่านไปอย่างรื่น ไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ เกิดขึ้น แตกต่างจากการเทศน์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านโจษจันกันแพร่หลาย คนที่รู้เห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดล้วนแต่ขนหัวลุกไปตามๆ กัน...สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถึงแม้ว่าท่านผู้ใดไม่เชื่อถือก็จงอย่าได้หลบหลู่เลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น