27 กุมภาพันธ์ 2559

ตาลยอดด้วน!

"นายต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนตีกบ

ผมเคยเป็นเด็ก อ.บ้านนา จ.นครนายก อาชีพทำไร่ทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะครับ แต่ต่อมาคงจะมองเห็นความจริงว่ากระดูกสันหลังล้วนผุกร่อนแทบจะหักกลางทั้งนั้น คำว่ากระดูกสันหลังของชาติก็เลยค่อยๆ ซาไป

ยุคต่อๆ มาพวกลูกๆ หลานๆ ของชาวนาก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่กับญาติบ้าง อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงอาหลวงลุงประทังชีวิตบ้าง...จบออกมาเป็นเจ้าใหญ่นายโตกันนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีปัญญาเล่าเรียนก็เร่ร่อนออกไปหางานทำสารพัดชนิด

สมัยนี้ตามท้องไร่ท้องนาไม่ค่อยมีหนุ่มๆ สาวๆ แล้วล่ะครับ เหลืออยู่แต่คนเฒ่าคนแก่กับเด็กๆ ที่ยังไปไหนไม่ไหว...อีกหน่อยก็คงไม่เหลือชาวนา-คนปลูกข้าวให้เรากินแล้ว

อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกนะเนี่ย...ไม่รู้ไปพูดถึงเรื่องน่าเศร้าทำไม?

สมัยผมเด็กๆ น่ะ หน้าร้อนกับหน้าหนาวสนุกที่สุด หน้าฝนแย่หน่อย แต่พวกเด็กๆ ก็หาเรื่องสนุกจนได้ ไม่ว่าการหากุ้งหาปลามาให้แม่เป็นกับข้าว ถ้าวันไหนฝนตกแรงๆ ตอนเย็น คืนนั้นเราก็เตรียมตัวออกไปตีกบกันให้สนุกครึกครื้น โอ้อวดกันว่าใครจะเก่งกว่าใคร?

เรื่องโดนผีหลอกตอนไปตีกบนี่มีเยอะครับ ผมได้ยินพวกรุ่นพี่มันเล่าเขย่าขวัญน่าดู ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแหกตา เพราะไม่อยากให้พวกเราไปแย่งตีกบกับพวกมันน่ะสิคุณ

แหม! บรรยากาศตอนค่ำคืนตามท้องไร่ท้องนาน่ะมันชวนขวัญหายไม่หยอก จะบอกให้!

พี่เต๋า เล่าว่า กำลังตีกบอยู่ดีๆ ก็เจอเด็กแปลกหน้าไว้จุกมายืนอยู่ข้างๆ หันไปเจอเข้าเล่นเอาสะดุ้งโหยง ได้เด็กเปรตนั่นตาแดงก่ำเชียว บอกเสียงแหบๆ ว่า...ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ขอกบตัวอ้วนมากินหน่อยสิ!

ว่าแล้วเจ้าจุกมหากาฬก็ยื่นหน้าเข้ามาหา แลบลิ้นแผล็บๆ เหมือนจะเลียหน้า เล่นเอาพี่เต๋าร้องจ๊าก ไฟฉายกับไม้ตีกบหล่นจากมือ หันกลับได้ก็วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต...ตอนหลังเลยไม่กล้าออกไปตีกบคนเดียว แต่ต้องชวนพรรคพวกไปเป็นแพเชียวเพราะกลัวเจอเด็กผีเข้าให้

พี่โจ๊ก อายุแก่กว่าผมราว 3-4 ปีก็เล่าเรื่องมหาโหดอย่าบอกใครเชียว

ที่กลางนามีตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่าเมื่อปีกลายอยู่ต้นหนึ่ง ยืนโด่เด่อยู่เดียวดาย มองไกลๆ คล้ายกับเปรตยืนสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า พี่โจ๊กบอกว่าเจอผีที่ดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าพี่เต๋าเจอะเจอมาซะด้วยซ้ำไป เพราะตาลยอดด้วนกลายเป็นเปรตร้องวี้ดๆ ตาแดงจ้า เดินโย่งเย่งเข้ามาหาจนแทบช็อกคาที่...วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจนถึงบ้าน ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?

ผมกับ เจ้าต๋อง เพื่อนซี้ผู้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน หันหน้าไปอมยิ้มทางอื่น...แหม! เรารู้ทันน่ะสิครับว่าพวกรุ่นพี่เล่าเรื่องแหกตา พวกเราจะได้ปอดกระเส่า ไม่กล้าไปหาตีกบแถวนั้นแข่งกับพวกแกน่ะสิ โธ่เอ๊ย!

คืนนั้น ฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็นจนมืดค่ำถึงได้ซาเม็ด ผมกับเจ้า ต๋องชักชวนกันออกไปตีกบแต่โดยพลัน

ใกล้ตายอดด้วนเข้าไป กบตัวอ้วนๆ ยิ่งหนาตาจนเราหวดปั๊บๆ จับใส่ตะข้องแทบไม่ทัน เห็นแสงไฟของนักตีกบคนอื่นๆ วูบวาบที่นั่นที่นี่ แต่เราไม่อยากสนใจให้เสียเวลา

ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหาเหยื่อตัวอวบอ้วนอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนๆ ก่อนจะแลบวาบ ผ่าเปรี้ยงจนแสบแก้วหูใกล้ๆ กับตาลยอดด้วนดังโครมสนั่น...แต่ตอนที่ฟ้าแลบวาบนั่นน่ะ ผมมองไปทางตาลยอดด้วนเดี่ยวๆ เหมือนเปรตจำแลงนั่นพอดี...เอ๊ะ! ทำไมมีสองต้น?!

หลังจากฟ้าผ่าก็จ้องมองไปที่ต้นตาลนั่นอีกที เพราะมีอะไรผิดหูผิดตาบอกไม่ถูก...ในความมืดสลัวของราตรี เห็นทิวไม้เบื้องหน้าลิบๆ ตาลยอดด้วนโดดเด่นสะดุดตา...แต่ว่ามันไม่ได้มีอยู่ต้นเดียวตามเดิมซะแล้วสิ...

จู่ๆ ก็มีตาลยอดด้วนยืนติดกัน 3 ต้นขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้น!

เพ่งมองจนปวดตา ใจเต้นตุ๊บๆ ชอบกล...ต้นตาลต้นหนึ่งหรือสองต้นกำลังเดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ ครั้นใช้หลังมือขยี้ตา แหงนเถ่อขึ้นไปจ้องมองอีกครั้งให้แน่ใจ ก็ยังเห็นตาลบ้าๆ ทั้งสองต้นเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ตาลยอดด้วนเสียแล้ว เพราะมีมือทั้งสองข้างแกว่งไกว...สองต้นนั่นคือสองขาที่กำลังก้าวเข้ามาหา

ยอดตาลคือใบหน้าดำเกรียม ดวงตาแดงฉาน ส่งเสียงวี้ดๆๆ เคล้ามากับสายลมตลอดเวลา...หัวโตขนาดพ้อมใส่ข้าวก้มต่ำลงมาหา ตาแดงก่ำจ้องมองอย่างดุร้าย

เสียงร้องเอะอะคล้ายจะจางหายไปในเสียงฟ้าร้องครืนๆ ผมกับเจ้าต๋องกันกลับออกวิ่งไม่คิดชีวิต ร้องโว้ยๆ ไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เจ้าต๋องตะโกนแต่ว่า...ไป๊! อย่าตามกูมาเลย...กูกลัวแล้วโว้ย! โอ๊ย...จะตามกูมาทำมั้ย?

"คว้ากกก..!" เสียงอุบาทว์ทำให้เบรกพรืดจนหัวแทบคะมำ ส่วนเจ้าต๋องถึงกับล้มแผละลงบนดินลื่นๆ หันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตอนแรกนึกว่าเปรตมันแหกอกหลอกอย่างที่เขาเล่าเรื่องผีดุกัน...แต่เปล่าหรอกครับ อสุรกายตนนั้นใช้มือกระชากหัวของมันออกมากวัดแกว่งต่างหากล่ะ ก่อนจะโยนโครมเข้าใส่ เล่นเอาผมกระโดดตัวลอย เจ้าต๋องที่นอนแอ้งแม้งก็กลับเด้งผึงขึ้นมาด่าขรม ออกตะกายหนีกันไม่คิดชีวิต

นรกเป็นพยาน! หัวอุบาทว์นั่นกลิ้งหลุนๆ เข้าใส่ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบโหยดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

กว่าจะซมซานมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน...ผมเชื่อพี่เต๋ากับพี่โจ๊กแล้วว่าแถวตาลยอดด้วนผีดุจริงๆ ถ้าไม่ไปเป็นโขยงรับรองว่าไม่กล้าออกไปตีกบเด็ดขาดเลยครับ... บรื๋ออออ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น