"ปราง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรถผีสิง
บ่ายวันเสาร์นั้น เรา 4 คน พ่อ แม่ ลูก เดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าชื่อดัง หลังจากพากันมาดูหนัง กินข้าว และซื้อของกลับบ้าน...พูดคุยกันถึงมุขตลกในหนังที่เราเพิ่งดูหยกๆ
เมื่อมาถึงลานจอดรถ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถของเราแล้ว แม่ก็ชะงักกึก ทำหน้างงๆ พลางบ่นออกมาดังๆ
"แหม! ไม่อยากทำให้กลัวกันหรอกนะ แต่เมื่อกี้น่ะ..."
"แม่เห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่ในรถ!" ฉันชิงพูดขึ้นมา แม่หันขวับมาจ้องหน้า ทำตาโต ฉันได้ทีเลยเอ่ยต่อไปอย่างมั่นอกมั่นใจ "เป็นคนแก่ ผู้ชายตัวโตๆ ผมขาว ใส่เสื้อสีน้ำตาลลายดำ นั่งอยู่ที่เบาะหลังตรงกลางเป๊ะ"
พ่อยิ้มฝืนๆ ส่ายหัวไปมาขณะเปิดล็อกประตูรถ แม่เดินอ้อมไปนั่งข้างคนขับ น้องชายตัวกะเปี๊ยกเปิดประตู ปีนไปนั่งเบาะหลังอย่างหวาดๆ
ฉันก้าวตามเข้าไป ทุกคนเงียบกริบ แต่ฉันรู้ว่าในใจน่ะอึงอลเชียวล่ะ!
รถเก๋งยี่ห้อดีสีเทาเงินมันวับคันนี้ พ่อซื้อมาจากเต็นท์ขายรถมือสอง ราคาสมเหตุสมผล และพ่อก็พอใจกับสภาพรถที่ดีเยี่ยม มีอายุใช้งานผ่านมาไม่ถึง 3 ปีด้วยซ้ำ...ที่สำคัญคือคนขายรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่ารถคันนี้ไม่เคยมีอุบัติเหตุมาก่อนเลย แม้แต่แมวข่วน...
แต่ใครจะว่ายังไงก็ช่างเถอะ ฉันเชื่อของฉันอย่างรุนแรงว่า รถคันนี้มีผีสิง!!!
ฉันจำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นรถ ฉันถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว มันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งความรู้สึกนี้ ฉันสัมผัสได้เพียงคนเดียว
จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่คนที่มีสัมผัสพิเศษเลยสักนิด! ฉันเป็นคนธรรมดา ไม่เคยเจอผีทั้งๆ ที่กลัวผี ไม่เคยมีสังหรณ์หรืออะไรก็ตามที่เหนือธรรมชาติ...แต่เรื่องรถคันนี้ไม่รู้มันเป็นยังไง?
ฉันพยายามวิเคราะห์ความรู้สึกของตัวเอง...
ทุกครั้งที่ไปที่รถ ฉันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนจ้องมองตาเขม็งอย่างดุดัน อารมณ์รุนแรงไปในทางลบ คือไม่เป็นมิตรเลยล่ะ! ทุกคน คือ พ่อ แม่และป้อม ล้วนเห่อกันมาก แต่ฉันไม่สบายใจ...อึดอัดพิลึก! เวลานั่งรถคันนี้ฉันจะกลัว ที่นั่งประจำของฉันคือเบาะหลังด้านเดียวกับคนขับ...
ตอนซื้อรถมาใหม่ๆ วันเสาร์อาทิตย์พ่อจะปลุกเราแต่เช้าตรู่ นั่งรถไปเรื่อยๆ พ่อขับรถเล่น พาเราเที่ยว บางทีก็ไปถึงหัวหินแน่ะ...แวะเล่นน้ำทะเลสักพัก บ่ายๆ ก็กลับ
เวลานั่งไปนั้นฉันจะเสียบหูฟังเพลง ตาก็ดูวิวไปตลอดทาง...ถึงจะเพลิดเพลิน แต่มันมีอะไรไม่รู้ที่ทำให้ฉันเป็นกังวล
วันหนึ่ง เรากลับจากหัวหินตอนเย็นๆ และมาถึงแสมดำตอนหกโมงกว่าๆ พระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ฟ้ายังมีแสงเรืองๆ ฉันเบือนหน้ามาทางป้อมที่นั่งเล่นเกมกดอยู่ข้างๆ
เชื่อมั้ย ฉันเห็นตาป้อมเป็นคนแก่?!
มันเกิดขึ้นชั่วแว่บเดียว แต่ฉันจำได้ติดตา...เขาเป็นชายแก่อายุคง จะเลย 70 แล้วล่ะ ตัวใหญ่ ผมขาว หน้าดุ ใส่เสื้อสีน้ำตาลลายดำ! ฉันเห็นชัดเจนถึงขนาดนั้น...และเพียงเสี้ยววินาที ก็กลายเป็นป้อม เด็กชายตัวผอมๆ เล็กๆ เหมือนเดิม
ชายแก่ผู้นั้นดูท่าจะมาปรากฏตัวขวางอยู่ระหว่างฉันกับป้อม
ฉันพูดไม่ออก ไม่รู้จะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี...เขายิ่งชอบว่าฉันเป็นเด็กช่างเพ้อช่างฝันอยู่ด้วย!
บางคืน ฉันนั่งรถมากับพ่อสองคน โดยนั่งคู่กับพ่อที่ด้านหน้า และต้องรู้สึกเสียววาบๆ เหมือนมีคนนั่งข้างหลัง ...จ้องมองด้วยแววตามุ่งร้ายหมายขวัญจนน่ากลัวไปตลอดทาง
วันเสาร์นั้น แม่เห็นสิ่งเดียวกับที่ฉันเห็น...ดีใจจัง!
เจ้าบริตนี่ย์ - หมาที่บ้านก็ชอบเห่ารถเปล่าๆ ที่จอดอยู่ในบ้าน ตาป้อมถึงกับอ้าปากหวอ ฉันเองก็รู้สึกเย็นสันหลังวูบวาบ ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น! บางคืนเจ้าบริตนี่ย์ถึงกับหอนเสียงโหยหวน เยือกเย็น น่าขนลุกขนพองสิ้นดี...
หลังจากที่แม่เห็นชายแก่นั่น แม่ก็เป็นอีกคนที่ไม่สบายใจ และมีอาการหนักกว่าฉันด้วยซ้ำ
รถคันนี้ไม่เคยมีอุบัติเหตุ แต่มีผีสิง!
มันมาจากไหนหรือคะ?
เด็กที่อู่รถนั่น ซึ่งรู้จักกันพอดี ยอมบอกพ่อในภายหลังว่า คุณตา - ซึ่งเป็นพ่อของเจ้าของรถคนเดิมน่ะ หัวใจวายตายในรถคันนี้! เจ้าของก็เลยขายรถเพราะคนที่บ้านเขากลัวกัน
อ้อ! เป็นอย่างนี้เอง ฉันเดาได้ว่าคุณตาท่านนี้ต้องเป็นคนที่ห่วงและหวงสมบัติขนาดหนัก ท่านคงไม่อยากตายและคงยังมีภาระต้องสะสางอีกหลายเรื่อง วิญญาณถึงได้ติดอยู่ในรถคันนี้ ไม่ยอมไปไหนซะที...น่าสงสารมากๆ
สุดท้าย พ่อเอารถคันนี้ไปเทิร์นและซื้อคันอื่นมา หมดเรื่องซะทีนะ...เราสบายใจขึ้น แม้คันที่ซื้อมาใหม่จะไม่สวยเหมือนคันเดิม แต่ก็ดีกว่าตรงที่ไม่มีผีแถมมาด้วย!
นึกแล้วก็น่าห่วงเหมือนกันว่า ป่านนี้รถคันนั้นจะไปอยู่กับใครนะ? และเขาจะเจอเรื่องแปลกๆ อย่างเราหรือเปล่า...
คุณตาท่านนั้นจะไปผุดไปเกิดหรือยังหนอ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
28 กุมภาพันธ์ 2559
27 กุมภาพันธ์ 2559
ตาลยอดด้วน!
"นายต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนตีกบ
ผมเคยเป็นเด็ก อ.บ้านนา จ.นครนายก อาชีพทำไร่ทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะครับ แต่ต่อมาคงจะมองเห็นความจริงว่ากระดูกสันหลังล้วนผุกร่อนแทบจะหักกลางทั้งนั้น คำว่ากระดูกสันหลังของชาติก็เลยค่อยๆ ซาไป
ยุคต่อๆ มาพวกลูกๆ หลานๆ ของชาวนาก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่กับญาติบ้าง อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงอาหลวงลุงประทังชีวิตบ้าง...จบออกมาเป็นเจ้าใหญ่นายโตกันนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีปัญญาเล่าเรียนก็เร่ร่อนออกไปหางานทำสารพัดชนิด
สมัยนี้ตามท้องไร่ท้องนาไม่ค่อยมีหนุ่มๆ สาวๆ แล้วล่ะครับ เหลืออยู่แต่คนเฒ่าคนแก่กับเด็กๆ ที่ยังไปไหนไม่ไหว...อีกหน่อยก็คงไม่เหลือชาวนา-คนปลูกข้าวให้เรากินแล้ว
อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกนะเนี่ย...ไม่รู้ไปพูดถึงเรื่องน่าเศร้าทำไม?
สมัยผมเด็กๆ น่ะ หน้าร้อนกับหน้าหนาวสนุกที่สุด หน้าฝนแย่หน่อย แต่พวกเด็กๆ ก็หาเรื่องสนุกจนได้ ไม่ว่าการหากุ้งหาปลามาให้แม่เป็นกับข้าว ถ้าวันไหนฝนตกแรงๆ ตอนเย็น คืนนั้นเราก็เตรียมตัวออกไปตีกบกันให้สนุกครึกครื้น โอ้อวดกันว่าใครจะเก่งกว่าใคร?
เรื่องโดนผีหลอกตอนไปตีกบนี่มีเยอะครับ ผมได้ยินพวกรุ่นพี่มันเล่าเขย่าขวัญน่าดู ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแหกตา เพราะไม่อยากให้พวกเราไปแย่งตีกบกับพวกมันน่ะสิคุณ
แหม! บรรยากาศตอนค่ำคืนตามท้องไร่ท้องนาน่ะมันชวนขวัญหายไม่หยอก จะบอกให้!
พี่เต๋า เล่าว่า กำลังตีกบอยู่ดีๆ ก็เจอเด็กแปลกหน้าไว้จุกมายืนอยู่ข้างๆ หันไปเจอเข้าเล่นเอาสะดุ้งโหยง ได้เด็กเปรตนั่นตาแดงก่ำเชียว บอกเสียงแหบๆ ว่า...ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ขอกบตัวอ้วนมากินหน่อยสิ!
ว่าแล้วเจ้าจุกมหากาฬก็ยื่นหน้าเข้ามาหา แลบลิ้นแผล็บๆ เหมือนจะเลียหน้า เล่นเอาพี่เต๋าร้องจ๊าก ไฟฉายกับไม้ตีกบหล่นจากมือ หันกลับได้ก็วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต...ตอนหลังเลยไม่กล้าออกไปตีกบคนเดียว แต่ต้องชวนพรรคพวกไปเป็นแพเชียวเพราะกลัวเจอเด็กผีเข้าให้
พี่โจ๊ก อายุแก่กว่าผมราว 3-4 ปีก็เล่าเรื่องมหาโหดอย่าบอกใครเชียว
ที่กลางนามีตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่าเมื่อปีกลายอยู่ต้นหนึ่ง ยืนโด่เด่อยู่เดียวดาย มองไกลๆ คล้ายกับเปรตยืนสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า พี่โจ๊กบอกว่าเจอผีที่ดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าพี่เต๋าเจอะเจอมาซะด้วยซ้ำไป เพราะตาลยอดด้วนกลายเป็นเปรตร้องวี้ดๆ ตาแดงจ้า เดินโย่งเย่งเข้ามาหาจนแทบช็อกคาที่...วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจนถึงบ้าน ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?
ผมกับ เจ้าต๋อง เพื่อนซี้ผู้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน หันหน้าไปอมยิ้มทางอื่น...แหม! เรารู้ทันน่ะสิครับว่าพวกรุ่นพี่เล่าเรื่องแหกตา พวกเราจะได้ปอดกระเส่า ไม่กล้าไปหาตีกบแถวนั้นแข่งกับพวกแกน่ะสิ โธ่เอ๊ย!
คืนนั้น ฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็นจนมืดค่ำถึงได้ซาเม็ด ผมกับเจ้า ต๋องชักชวนกันออกไปตีกบแต่โดยพลัน
ใกล้ตายอดด้วนเข้าไป กบตัวอ้วนๆ ยิ่งหนาตาจนเราหวดปั๊บๆ จับใส่ตะข้องแทบไม่ทัน เห็นแสงไฟของนักตีกบคนอื่นๆ วูบวาบที่นั่นที่นี่ แต่เราไม่อยากสนใจให้เสียเวลา
ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหาเหยื่อตัวอวบอ้วนอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนๆ ก่อนจะแลบวาบ ผ่าเปรี้ยงจนแสบแก้วหูใกล้ๆ กับตาลยอดด้วนดังโครมสนั่น...แต่ตอนที่ฟ้าแลบวาบนั่นน่ะ ผมมองไปทางตาลยอดด้วนเดี่ยวๆ เหมือนเปรตจำแลงนั่นพอดี...เอ๊ะ! ทำไมมีสองต้น?!
หลังจากฟ้าผ่าก็จ้องมองไปที่ต้นตาลนั่นอีกที เพราะมีอะไรผิดหูผิดตาบอกไม่ถูก...ในความมืดสลัวของราตรี เห็นทิวไม้เบื้องหน้าลิบๆ ตาลยอดด้วนโดดเด่นสะดุดตา...แต่ว่ามันไม่ได้มีอยู่ต้นเดียวตามเดิมซะแล้วสิ...
จู่ๆ ก็มีตาลยอดด้วนยืนติดกัน 3 ต้นขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้น!
เพ่งมองจนปวดตา ใจเต้นตุ๊บๆ ชอบกล...ต้นตาลต้นหนึ่งหรือสองต้นกำลังเดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ ครั้นใช้หลังมือขยี้ตา แหงนเถ่อขึ้นไปจ้องมองอีกครั้งให้แน่ใจ ก็ยังเห็นตาลบ้าๆ ทั้งสองต้นเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ตาลยอดด้วนเสียแล้ว เพราะมีมือทั้งสองข้างแกว่งไกว...สองต้นนั่นคือสองขาที่กำลังก้าวเข้ามาหา
ยอดตาลคือใบหน้าดำเกรียม ดวงตาแดงฉาน ส่งเสียงวี้ดๆๆ เคล้ามากับสายลมตลอดเวลา...หัวโตขนาดพ้อมใส่ข้าวก้มต่ำลงมาหา ตาแดงก่ำจ้องมองอย่างดุร้าย
เสียงร้องเอะอะคล้ายจะจางหายไปในเสียงฟ้าร้องครืนๆ ผมกับเจ้าต๋องกันกลับออกวิ่งไม่คิดชีวิต ร้องโว้ยๆ ไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เจ้าต๋องตะโกนแต่ว่า...ไป๊! อย่าตามกูมาเลย...กูกลัวแล้วโว้ย! โอ๊ย...จะตามกูมาทำมั้ย?
"คว้ากกก..!" เสียงอุบาทว์ทำให้เบรกพรืดจนหัวแทบคะมำ ส่วนเจ้าต๋องถึงกับล้มแผละลงบนดินลื่นๆ หันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนแรกนึกว่าเปรตมันแหกอกหลอกอย่างที่เขาเล่าเรื่องผีดุกัน...แต่เปล่าหรอกครับ อสุรกายตนนั้นใช้มือกระชากหัวของมันออกมากวัดแกว่งต่างหากล่ะ ก่อนจะโยนโครมเข้าใส่ เล่นเอาผมกระโดดตัวลอย เจ้าต๋องที่นอนแอ้งแม้งก็กลับเด้งผึงขึ้นมาด่าขรม ออกตะกายหนีกันไม่คิดชีวิต
นรกเป็นพยาน! หัวอุบาทว์นั่นกลิ้งหลุนๆ เข้าใส่ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบโหยดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ
กว่าจะซมซานมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน...ผมเชื่อพี่เต๋ากับพี่โจ๊กแล้วว่าแถวตาลยอดด้วนผีดุจริงๆ ถ้าไม่ไปเป็นโขยงรับรองว่าไม่กล้าออกไปตีกบเด็ดขาดเลยครับ... บรื๋ออออ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551
ผมเคยเป็นเด็ก อ.บ้านนา จ.นครนายก อาชีพทำไร่ทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะครับ แต่ต่อมาคงจะมองเห็นความจริงว่ากระดูกสันหลังล้วนผุกร่อนแทบจะหักกลางทั้งนั้น คำว่ากระดูกสันหลังของชาติก็เลยค่อยๆ ซาไป
ยุคต่อๆ มาพวกลูกๆ หลานๆ ของชาวนาก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่กับญาติบ้าง อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงอาหลวงลุงประทังชีวิตบ้าง...จบออกมาเป็นเจ้าใหญ่นายโตกันนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีปัญญาเล่าเรียนก็เร่ร่อนออกไปหางานทำสารพัดชนิด
สมัยนี้ตามท้องไร่ท้องนาไม่ค่อยมีหนุ่มๆ สาวๆ แล้วล่ะครับ เหลืออยู่แต่คนเฒ่าคนแก่กับเด็กๆ ที่ยังไปไหนไม่ไหว...อีกหน่อยก็คงไม่เหลือชาวนา-คนปลูกข้าวให้เรากินแล้ว
อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกนะเนี่ย...ไม่รู้ไปพูดถึงเรื่องน่าเศร้าทำไม?
สมัยผมเด็กๆ น่ะ หน้าร้อนกับหน้าหนาวสนุกที่สุด หน้าฝนแย่หน่อย แต่พวกเด็กๆ ก็หาเรื่องสนุกจนได้ ไม่ว่าการหากุ้งหาปลามาให้แม่เป็นกับข้าว ถ้าวันไหนฝนตกแรงๆ ตอนเย็น คืนนั้นเราก็เตรียมตัวออกไปตีกบกันให้สนุกครึกครื้น โอ้อวดกันว่าใครจะเก่งกว่าใคร?
เรื่องโดนผีหลอกตอนไปตีกบนี่มีเยอะครับ ผมได้ยินพวกรุ่นพี่มันเล่าเขย่าขวัญน่าดู ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแหกตา เพราะไม่อยากให้พวกเราไปแย่งตีกบกับพวกมันน่ะสิคุณ
แหม! บรรยากาศตอนค่ำคืนตามท้องไร่ท้องนาน่ะมันชวนขวัญหายไม่หยอก จะบอกให้!
พี่เต๋า เล่าว่า กำลังตีกบอยู่ดีๆ ก็เจอเด็กแปลกหน้าไว้จุกมายืนอยู่ข้างๆ หันไปเจอเข้าเล่นเอาสะดุ้งโหยง ได้เด็กเปรตนั่นตาแดงก่ำเชียว บอกเสียงแหบๆ ว่า...ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ขอกบตัวอ้วนมากินหน่อยสิ!
ว่าแล้วเจ้าจุกมหากาฬก็ยื่นหน้าเข้ามาหา แลบลิ้นแผล็บๆ เหมือนจะเลียหน้า เล่นเอาพี่เต๋าร้องจ๊าก ไฟฉายกับไม้ตีกบหล่นจากมือ หันกลับได้ก็วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต...ตอนหลังเลยไม่กล้าออกไปตีกบคนเดียว แต่ต้องชวนพรรคพวกไปเป็นแพเชียวเพราะกลัวเจอเด็กผีเข้าให้
พี่โจ๊ก อายุแก่กว่าผมราว 3-4 ปีก็เล่าเรื่องมหาโหดอย่าบอกใครเชียว
ที่กลางนามีตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่าเมื่อปีกลายอยู่ต้นหนึ่ง ยืนโด่เด่อยู่เดียวดาย มองไกลๆ คล้ายกับเปรตยืนสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า พี่โจ๊กบอกว่าเจอผีที่ดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าพี่เต๋าเจอะเจอมาซะด้วยซ้ำไป เพราะตาลยอดด้วนกลายเป็นเปรตร้องวี้ดๆ ตาแดงจ้า เดินโย่งเย่งเข้ามาหาจนแทบช็อกคาที่...วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจนถึงบ้าน ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?
ผมกับ เจ้าต๋อง เพื่อนซี้ผู้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน หันหน้าไปอมยิ้มทางอื่น...แหม! เรารู้ทันน่ะสิครับว่าพวกรุ่นพี่เล่าเรื่องแหกตา พวกเราจะได้ปอดกระเส่า ไม่กล้าไปหาตีกบแถวนั้นแข่งกับพวกแกน่ะสิ โธ่เอ๊ย!
คืนนั้น ฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็นจนมืดค่ำถึงได้ซาเม็ด ผมกับเจ้า ต๋องชักชวนกันออกไปตีกบแต่โดยพลัน
ใกล้ตายอดด้วนเข้าไป กบตัวอ้วนๆ ยิ่งหนาตาจนเราหวดปั๊บๆ จับใส่ตะข้องแทบไม่ทัน เห็นแสงไฟของนักตีกบคนอื่นๆ วูบวาบที่นั่นที่นี่ แต่เราไม่อยากสนใจให้เสียเวลา
ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหาเหยื่อตัวอวบอ้วนอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนๆ ก่อนจะแลบวาบ ผ่าเปรี้ยงจนแสบแก้วหูใกล้ๆ กับตาลยอดด้วนดังโครมสนั่น...แต่ตอนที่ฟ้าแลบวาบนั่นน่ะ ผมมองไปทางตาลยอดด้วนเดี่ยวๆ เหมือนเปรตจำแลงนั่นพอดี...เอ๊ะ! ทำไมมีสองต้น?!
หลังจากฟ้าผ่าก็จ้องมองไปที่ต้นตาลนั่นอีกที เพราะมีอะไรผิดหูผิดตาบอกไม่ถูก...ในความมืดสลัวของราตรี เห็นทิวไม้เบื้องหน้าลิบๆ ตาลยอดด้วนโดดเด่นสะดุดตา...แต่ว่ามันไม่ได้มีอยู่ต้นเดียวตามเดิมซะแล้วสิ...
จู่ๆ ก็มีตาลยอดด้วนยืนติดกัน 3 ต้นขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้น!
เพ่งมองจนปวดตา ใจเต้นตุ๊บๆ ชอบกล...ต้นตาลต้นหนึ่งหรือสองต้นกำลังเดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ ครั้นใช้หลังมือขยี้ตา แหงนเถ่อขึ้นไปจ้องมองอีกครั้งให้แน่ใจ ก็ยังเห็นตาลบ้าๆ ทั้งสองต้นเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ตาลยอดด้วนเสียแล้ว เพราะมีมือทั้งสองข้างแกว่งไกว...สองต้นนั่นคือสองขาที่กำลังก้าวเข้ามาหา
ยอดตาลคือใบหน้าดำเกรียม ดวงตาแดงฉาน ส่งเสียงวี้ดๆๆ เคล้ามากับสายลมตลอดเวลา...หัวโตขนาดพ้อมใส่ข้าวก้มต่ำลงมาหา ตาแดงก่ำจ้องมองอย่างดุร้าย
เสียงร้องเอะอะคล้ายจะจางหายไปในเสียงฟ้าร้องครืนๆ ผมกับเจ้าต๋องกันกลับออกวิ่งไม่คิดชีวิต ร้องโว้ยๆ ไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เจ้าต๋องตะโกนแต่ว่า...ไป๊! อย่าตามกูมาเลย...กูกลัวแล้วโว้ย! โอ๊ย...จะตามกูมาทำมั้ย?
"คว้ากกก..!" เสียงอุบาทว์ทำให้เบรกพรืดจนหัวแทบคะมำ ส่วนเจ้าต๋องถึงกับล้มแผละลงบนดินลื่นๆ หันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนแรกนึกว่าเปรตมันแหกอกหลอกอย่างที่เขาเล่าเรื่องผีดุกัน...แต่เปล่าหรอกครับ อสุรกายตนนั้นใช้มือกระชากหัวของมันออกมากวัดแกว่งต่างหากล่ะ ก่อนจะโยนโครมเข้าใส่ เล่นเอาผมกระโดดตัวลอย เจ้าต๋องที่นอนแอ้งแม้งก็กลับเด้งผึงขึ้นมาด่าขรม ออกตะกายหนีกันไม่คิดชีวิต
นรกเป็นพยาน! หัวอุบาทว์นั่นกลิ้งหลุนๆ เข้าใส่ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบโหยดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ
กว่าจะซมซานมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน...ผมเชื่อพี่เต๋ากับพี่โจ๊กแล้วว่าแถวตาลยอดด้วนผีดุจริงๆ ถ้าไม่ไปเป็นโขยงรับรองว่าไม่กล้าออกไปตีกบเด็ดขาดเลยครับ... บรื๋ออออ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551
26 กุมภาพันธ์ 2559
สื่อมฤตยู
"พลอย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน
ดิฉันเป็นคนมีการศึกษาพอสมควร ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีเหตุมีผล เชื่อในสิ่งที่มองเห็นและพิสูจน์ได้ ไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหวไร้สาระใดๆ เลย! ไม่ว่าเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด
จนกระทั่งเหตุการณ์แปลกประหลาดอุบัติขึ้นมา!
ป้าผ่องศรีเป็นญาติห่างๆ แต่มาอยู่กับเราเมื่อราว 20 ปีมาแล้ว...แกเป็นม่ายสามีตายเมื่ออายุราว 60 ปี และไม่มีลูกเต้าเลยแม้แต่คนเดียว ดิฉันเป็นหลานคนโปรดมาตั้งแต่คุณลุงวิทย์ยังไม่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์มาแล้วค่ะ
คุณลุงเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับที่ดิน ส่วนคุณป้าเป็นแม่บ้านที่อยู่กับคนรับใช้ ชีวิตที่ขาดลูกเต้าคงจะหงอยเหงาเอาการนะคะ...แต่ตอนนั้นดิฉันยังคิดไม่ถึง
เมื่อมาอยู่กับเรา ป้าผ่องศรีก็เริ่มเข้าครัวช่วยทำกับข้าว ดูแลเรื่องของกินของใช้...เป็นห่วงไปหมดว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ยิ่งหลานคนโปรดยิ่งดูแลเป็นพิเศษ กลับจากโรงเรียนจะหิวมา...ป้าทำนั่นทำนี่ไว้ให้พลอยกิน!
ป้าผ่องศรีไม่ชอบไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปพักผ่อนชายทะเล บอกว่าขอเฝ้าบ้านดีกว่า
เวลาผ่านไปราว 10 ปี วันหนึ่ง ป้าผ่องศรีก็เกิดอุบัติเหตุหกล้มในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรงจนสลบคาที่ ดิฉันเพิ่งกลับจากทำงานมาพบเข้า...เราช่วยกันนำแกส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ป้าผ่องศรีไม่ได้สติไปถึง 2 คืนถึงได้ฟื้นขึ้นมา
เมื่อหายดีแล้วป้าผ่องศรีก็ดูเป็นปกติตามเดิม เพียงว่าค่อนข้างเงียบขรึมไป เข้าใจว่าคงจะห่วงใยสุขภาพตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนเช้าก็เข้าไปทักทายล่ำลา ตอนเย็นกลับมาก็เข้าไปหาในห้อง มีขนมบ้างผลไม้บ้างไปฝากเป็นประจำ ป้าผ่องศรีจะกอดรัด จูบแก้ม จูบผม พึมพำแต่ว่า...ลูกแม่! ลูกรักของแม่
...เป็นคำพูดที่ชินหูมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี!
เย็นหนึ่ง ดิฉันซื้อขนมครกเจ้าอร่อยไปฝาก ขณะนั่งด้วยกันในห้องนอนของคุณป้า แกก็บอกเสียงเรียบๆ ว่า "โทรศัพท์แน่ะลูก" ดิฉันย้อนถามว่า "อะไรนะคะ?" ป้าผ่องศรีก็มองหน้า "เพื่อนโทรศัพท์มาหาพลอยน่ะ"
แทบจะไม่ขาดคำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...เพื่อนเก่าชื่อเฟินโทร.มาหา พูดคุยกันตามประสาผู้หญิงราว 10 นาที...แต่เมื่อวางหูแล้วดิฉันก็ฉุกใจวูบว่าป้าผ่องศรีรู้ได้ยังไงว่าจะมีใครโทรศัพท์มาหา? หรือว่าแกหูไวกว่าดิฉัน? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณป้าจะล่วงรู้ว่าคนที่โทรศัพท์มาเป็นเพื่อนดิฉันได้ยังไงกัน?
มีเหตุการณ์แบบนี้ 2-3 ครั้ง แต่ต่อมาคุณป้าจะไม่บอกล่วงหน้า นอกจากจะหันไปมองโทรศัพท์เวลาอยู่ที่ห้องรับแขก...ถ้าดิฉันหรือพ่อแม่มองตามเพียงไม่กี่วินาที เสียงกริ๊งๆ จะดังขึ้นจนเราแทบสะดุ้งเฮือกไปตามๆ กัน
คืนหนึ่ง ป้าผ่องศรีพูดลอยๆ ว่าขโมยชุมน่ากลัว กำชับให้ดิฉันอย่าลืมปิดประตูหน้าต่าง...พ่อคงเลื่อมใสการรู้ล่วงหน้าของคุณป้า จึงเปิดไฟสว่างทั้งประตูรั้วและหน้าบ้านไว้เลย...ปรากฏว่าคืนนั้นมีขโมยเข้าบ้านข้างๆ เรา ขนทรัพย์สินไปได้มากพอดู
หลังจากนั้น คุณป้าก็บอกเราล่วงหน้าว่าจะมีใครมาหา...ตั้งแต่ญาติมิตรไปจนถึงพนักงานเก็บค่าน้ำค่าไฟ (เมื่อราวสิบปีมาแล้ว) จนกระทั่งเกิดเรื่องราวน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
วันนั้น พ่อดิฉันกลับบ้านค่อนข้างค่ำ ขณะที่เรานั่งดูทีวีกันอยู่...ป้าผ่องศรีก็ยิ้มกับพ่อ พูดเรียบๆ ตามเคยว่า...เพื่อนเขามาส่งถึงหน้าประตูแน่ะ! พ่อถึงกับผงะหน้าหันขวับ ก่อนจะถามว่าเพื่อนที่ไหน? ผมขับรถกลับบ้านมาคนเดียวแท้ๆ
"เพื่อนคนอ้วนๆ ผมบาง สูบบุหรี่จัดน่ะ...อ้อ! เขากลับไปแล้วละ"
พ่อถึงกับนั่งแปะลงข้างแม่ บอกว่าเพิ่งไปรดน้ำศพเพื่อนที่ตายเพราะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน...รูปร่างท้วมและผมบางอย่างที่คุณป้าพูดจริงๆ
พวกเราตกตะลึงไปตามๆ กัน...ป้าผ่องศรีไม่เพียงแต่รู้ล่วงหน้า แต่ยังมองเห็นคนตายอีกต่างหาก!
วันหนึ่ง จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ตอนเย็นๆ ฟ้าครึ้มฝน ป้าผ่องศรีนอนซมมาตั้งแต่เมื่อคืน บ่นว่าปวดเมื่อยและอ่อนเพลียบอกไม่ถูก ดิฉันก็หายาและอาหารเข้าไปดูแล...ใบหน้าคุณป้าซีดเซียว นัยน์ตาว่างเปล่าดูเลื่อนลอยจนน่าใจหาย ก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ มองสบตาดิฉัน
"แม่คงอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้หรอกลูก...รู้มั้ยว่าชาติก่อนพลอยเป็นลูกแม่" แกพึมพำ มือเย็นชืดกำมือดิฉันที่วางบนนอก "ลาก่อนละนะลูก แม่ทำบุญมาแค่นี้เอง...ชาติหน้าเราต้องได้พบกันอีก แม่รักพลอยมาก..."
ดิฉันฝืนยิ้ม คิดว่าคุณป้าตีตนไปก่อนไข้เพราะอาการไม่ได้หนักหนาอะไร...แต่คำพูดต่อมาทำให้เย็นวูบที่ต้นคอ หนาวเยือกไปถึงไขสันหลัง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
"ลุงวิทย์มาหาแม่เมื่อคืนนี้เอง" เสียงนั้นคล้ายคนเพ้อพกเพราะพิษไข้ "จำลุงวิทย์ที่ตายเพราะรถชนกันได้ใช่มั้ยลูก...เขาบอกว่าวันนี้ถึงเวลาแล้ว ตอนค่ำๆ เขาจะมารับแม่ไปอยู่ด้วยกัน..."
"อะไรนะคะ..." ดิฉันพูดตะกุกตะกัก ป้าผ่องศรีก็เบือนหน้าไปที่ประตูปิดสนิทพลางยิ้มละไม "นั่นแน่ะ! ลุงวิทย์มาพอดี..."
ดิฉันหันขวับ พบแต่ความว่างเปล่าเยือกเย็น ครั้นหันมามองคุณป้าอีกครั้งก็เห็นแววตาสดใส แต่ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริกขณะพึมพำเป็นครั้งสุดท้าย...ลาก่อน! แม่รักพลอย...
ป้าผ่องศรีสิ้นใจอยู่ในอ้อมแขนดิฉัน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละค่ะ ว่าโลกนี้มีสิ่งลี้ลับที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะวิญญาณมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551
ดิฉันเป็นคนมีการศึกษาพอสมควร ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีเหตุมีผล เชื่อในสิ่งที่มองเห็นและพิสูจน์ได้ ไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหวไร้สาระใดๆ เลย! ไม่ว่าเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า โดยเฉพาะเรื่องผีๆ สางๆ ไม่ยอมเชื่อเด็ดขาด
จนกระทั่งเหตุการณ์แปลกประหลาดอุบัติขึ้นมา!
ป้าผ่องศรีเป็นญาติห่างๆ แต่มาอยู่กับเราเมื่อราว 20 ปีมาแล้ว...แกเป็นม่ายสามีตายเมื่ออายุราว 60 ปี และไม่มีลูกเต้าเลยแม้แต่คนเดียว ดิฉันเป็นหลานคนโปรดมาตั้งแต่คุณลุงวิทย์ยังไม่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์มาแล้วค่ะ
คุณลุงเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับที่ดิน ส่วนคุณป้าเป็นแม่บ้านที่อยู่กับคนรับใช้ ชีวิตที่ขาดลูกเต้าคงจะหงอยเหงาเอาการนะคะ...แต่ตอนนั้นดิฉันยังคิดไม่ถึง
เมื่อมาอยู่กับเรา ป้าผ่องศรีก็เริ่มเข้าครัวช่วยทำกับข้าว ดูแลเรื่องของกินของใช้...เป็นห่วงไปหมดว่าใครชอบอะไรไม่ชอบอะไร ยิ่งหลานคนโปรดยิ่งดูแลเป็นพิเศษ กลับจากโรงเรียนจะหิวมา...ป้าทำนั่นทำนี่ไว้ให้พลอยกิน!
ป้าผ่องศรีไม่ชอบไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปพักผ่อนชายทะเล บอกว่าขอเฝ้าบ้านดีกว่า
เวลาผ่านไปราว 10 ปี วันหนึ่ง ป้าผ่องศรีก็เกิดอุบัติเหตุหกล้มในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกพื้นอย่างแรงจนสลบคาที่ ดิฉันเพิ่งกลับจากทำงานมาพบเข้า...เราช่วยกันนำแกส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ป้าผ่องศรีไม่ได้สติไปถึง 2 คืนถึงได้ฟื้นขึ้นมา
เมื่อหายดีแล้วป้าผ่องศรีก็ดูเป็นปกติตามเดิม เพียงว่าค่อนข้างเงียบขรึมไป เข้าใจว่าคงจะห่วงใยสุขภาพตัวเอง ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนเช้าก็เข้าไปทักทายล่ำลา ตอนเย็นกลับมาก็เข้าไปหาในห้อง มีขนมบ้างผลไม้บ้างไปฝากเป็นประจำ ป้าผ่องศรีจะกอดรัด จูบแก้ม จูบผม พึมพำแต่ว่า...ลูกแม่! ลูกรักของแม่
...เป็นคำพูดที่ชินหูมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี!
เย็นหนึ่ง ดิฉันซื้อขนมครกเจ้าอร่อยไปฝาก ขณะนั่งด้วยกันในห้องนอนของคุณป้า แกก็บอกเสียงเรียบๆ ว่า "โทรศัพท์แน่ะลูก" ดิฉันย้อนถามว่า "อะไรนะคะ?" ป้าผ่องศรีก็มองหน้า "เพื่อนโทรศัพท์มาหาพลอยน่ะ"
แทบจะไม่ขาดคำ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น...เพื่อนเก่าชื่อเฟินโทร.มาหา พูดคุยกันตามประสาผู้หญิงราว 10 นาที...แต่เมื่อวางหูแล้วดิฉันก็ฉุกใจวูบว่าป้าผ่องศรีรู้ได้ยังไงว่าจะมีใครโทรศัพท์มาหา? หรือว่าแกหูไวกว่าดิฉัน? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณป้าจะล่วงรู้ว่าคนที่โทรศัพท์มาเป็นเพื่อนดิฉันได้ยังไงกัน?
มีเหตุการณ์แบบนี้ 2-3 ครั้ง แต่ต่อมาคุณป้าจะไม่บอกล่วงหน้า นอกจากจะหันไปมองโทรศัพท์เวลาอยู่ที่ห้องรับแขก...ถ้าดิฉันหรือพ่อแม่มองตามเพียงไม่กี่วินาที เสียงกริ๊งๆ จะดังขึ้นจนเราแทบสะดุ้งเฮือกไปตามๆ กัน
คืนหนึ่ง ป้าผ่องศรีพูดลอยๆ ว่าขโมยชุมน่ากลัว กำชับให้ดิฉันอย่าลืมปิดประตูหน้าต่าง...พ่อคงเลื่อมใสการรู้ล่วงหน้าของคุณป้า จึงเปิดไฟสว่างทั้งประตูรั้วและหน้าบ้านไว้เลย...ปรากฏว่าคืนนั้นมีขโมยเข้าบ้านข้างๆ เรา ขนทรัพย์สินไปได้มากพอดู
หลังจากนั้น คุณป้าก็บอกเราล่วงหน้าว่าจะมีใครมาหา...ตั้งแต่ญาติมิตรไปจนถึงพนักงานเก็บค่าน้ำค่าไฟ (เมื่อราวสิบปีมาแล้ว) จนกระทั่งเกิดเรื่องราวน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
วันนั้น พ่อดิฉันกลับบ้านค่อนข้างค่ำ ขณะที่เรานั่งดูทีวีกันอยู่...ป้าผ่องศรีก็ยิ้มกับพ่อ พูดเรียบๆ ตามเคยว่า...เพื่อนเขามาส่งถึงหน้าประตูแน่ะ! พ่อถึงกับผงะหน้าหันขวับ ก่อนจะถามว่าเพื่อนที่ไหน? ผมขับรถกลับบ้านมาคนเดียวแท้ๆ
"เพื่อนคนอ้วนๆ ผมบาง สูบบุหรี่จัดน่ะ...อ้อ! เขากลับไปแล้วละ"
พ่อถึงกับนั่งแปะลงข้างแม่ บอกว่าเพิ่งไปรดน้ำศพเพื่อนที่ตายเพราะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน...รูปร่างท้วมและผมบางอย่างที่คุณป้าพูดจริงๆ
พวกเราตกตะลึงไปตามๆ กัน...ป้าผ่องศรีไม่เพียงแต่รู้ล่วงหน้า แต่ยังมองเห็นคนตายอีกต่างหาก!
วันหนึ่ง จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ตอนเย็นๆ ฟ้าครึ้มฝน ป้าผ่องศรีนอนซมมาตั้งแต่เมื่อคืน บ่นว่าปวดเมื่อยและอ่อนเพลียบอกไม่ถูก ดิฉันก็หายาและอาหารเข้าไปดูแล...ใบหน้าคุณป้าซีดเซียว นัยน์ตาว่างเปล่าดูเลื่อนลอยจนน่าใจหาย ก่อนจะกะพริบตาถี่ๆ มองสบตาดิฉัน
"แม่คงอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้หรอกลูก...รู้มั้ยว่าชาติก่อนพลอยเป็นลูกแม่" แกพึมพำ มือเย็นชืดกำมือดิฉันที่วางบนนอก "ลาก่อนละนะลูก แม่ทำบุญมาแค่นี้เอง...ชาติหน้าเราต้องได้พบกันอีก แม่รักพลอยมาก..."
ดิฉันฝืนยิ้ม คิดว่าคุณป้าตีตนไปก่อนไข้เพราะอาการไม่ได้หนักหนาอะไร...แต่คำพูดต่อมาทำให้เย็นวูบที่ต้นคอ หนาวเยือกไปถึงไขสันหลัง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
"ลุงวิทย์มาหาแม่เมื่อคืนนี้เอง" เสียงนั้นคล้ายคนเพ้อพกเพราะพิษไข้ "จำลุงวิทย์ที่ตายเพราะรถชนกันได้ใช่มั้ยลูก...เขาบอกว่าวันนี้ถึงเวลาแล้ว ตอนค่ำๆ เขาจะมารับแม่ไปอยู่ด้วยกัน..."
"อะไรนะคะ..." ดิฉันพูดตะกุกตะกัก ป้าผ่องศรีก็เบือนหน้าไปที่ประตูปิดสนิทพลางยิ้มละไม "นั่นแน่ะ! ลุงวิทย์มาพอดี..."
ดิฉันหันขวับ พบแต่ความว่างเปล่าเยือกเย็น ครั้นหันมามองคุณป้าอีกครั้งก็เห็นแววตาสดใส แต่ริมฝีปากซีดเซียวสั่นระริกขณะพึมพำเป็นครั้งสุดท้าย...ลาก่อน! แม่รักพลอย...
ป้าผ่องศรีสิ้นใจอยู่ในอ้อมแขนดิฉัน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละค่ะ ว่าโลกนี้มีสิ่งลี้ลับที่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะวิญญาณมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551
25 กุมภาพันธ์ 2559
ปีศาจคะนอง
"ใบโพธิ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่า
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยเช่าห้องแถวอยู่กับเพื่อนที่บางโพเกือบ 2 ปี เงินเดือนข้าราชการคนละพันกว่าๆ แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง เคราะห์ดีที่ยังไม่มีภาระเรื่องลูกเมียเพราะเราเพิ่งจะอายุ 20 เศษๆ เท่านั้นเอง
ห้องเช่าของเราเป็นเรือนแถวไม้ 2 ชั้น อยู่ทางหลังวัดญวน แต่ใกล้กับโรงเลื่อยที่มีคลองไหลผ่าน เส้นทางเข้าออกระหว่างที่พักกับถนน ส่วนมากเราจะใช้ด้านหน้า เป็นทางดินลุ่นๆ ที่ผู้คนย่ำกันเป็นเทือก เลียบข้างตึกแถวไปโผล่ที่ถนนใหญ่พอดี
เรื่องอาหารการกินก็ไร้ปัญหาใดๆ
บางวันลงจากรถศิริมิตร ที่เราเรียก "รถสีโกโก้" ที่วิ่งระหว่างวงศ์สว่าง-สามแยก ถ้าต้นเดือนก็แวะร้านข้าวต้มกุ๊ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีลานดินโล่งๆ หน้าตึกแถวสองชั้นที่เพิ่งสร้างใหม่...สั่งเหล้าแบนโซดาสองขวด กับแกล้มง่ายๆ อย่างใบปอ หมูผัดขิง เลือดเป็ดพะโล้...ตบท้ายข้าวสวยคนละสองถ้วยจนอิ่มหนำสำราญ
ถ้าปลายเดือนก็แวะร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง ไม่ก็ซื้อลาบกับข้าวเหนียวไปกินในห้อง ไม่เดือดร้อนอะไร จนกระทั่งถึงวันดีคืนร้าย โดนผีหลอกที่ห้องแถวจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อตายไปตามๆ กัน!
ผมกับเจ้าโก้อยู่ห้องชั้นบนริมสุด ติดกับบ้านชั้นเดียวริมคลองพอดี ส่วนห้องน้ำมีอยู่ห้องเดียวที่ชั้นล่างใต้บันได ใกล้ๆ กันก็ยังเป็นห้องเช่ายืดยาวอีกราว 4-5 ห้องไปจนถึงข้างรั้วสังกะสี พวกที่มาเช่าห้องส่วนมากจะเป็นหนุ่มๆ สาวๆ มีทั้งช่างตัดผม นายตรวจรถเมล์ คนทำงานบริษัท สาวโรงงาน..อยู่กันเป็นคู่ๆ ก็มี อยู่กับเพื่อนแบบเราก็มี
จะอยู่กี่คนก็ไม่ว่า ถึงเดือนจ่ายให้เจ้าของบ้านที่อยู่ริมรั้วเดือนละ 300 บาทละกัน
ผัวเมียคู่หนึ่งอยู่ชั้นล่าง ชื่อวินกับบุหงา ฝ่ายชายหน้าตาหล่อเหลาคนเข้ม สูงคล้ำล่ำสัน อาชีพช่างตัดผมอยู่บางกระบือ บุหงาหน้าตาดี ผิวขาว หุ่นอวบอั๋น พอผัวไปทำงานเธอก็ออกจากบ้านไปเข้าวงไพ่ผสมสิบที่บ้านริมคลอง
ได้ข่าวว่าเมียใจแตก ผัวขี้หึง! เหมาะเจาะกันอะไรจะปานนั้น
คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย เมื่อบุหงาอาบน้ำแบบประเจิดประเจ้อ คนที่เช่าอยู่ห้องริมชื่อป๋อ เดินอัดบุหรี่วนเวียนไปมา เดี๋ยวๆ ก็แง้มประตูมอง แว่วเสียงบุหงาหัวเราะคิกคักออกมา
ชาวห้องน่ะ รู้เรื่องนี้กันแทบทุกคน ยกเว้นวิน! เคราะห์หามยามร้ายที่เขาเปิดประตูออกมาเห็นภาพบาดใจเข้าพอดี! วินเข้าไปด่าป๋ออย่างรุนแรง เกิดการโต้เถียงแล้วต่อสู้กัน วินเล่นงานจนป๋อกระเด็นเข้าไปในห้อง ก่อนจะสวนกลับด้วยมีดปลายแหลมที่เสียบอยู่ข้างฝา...สวบเดียวเข้าลิ้นปี่ วินเลือดตกในตายคาที่ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องแสบแก้วหู
ป๋อฉวยโอกาสชุลมุนเผ่นหนีไป บุหงาร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย เพราะรักผัวหรือกลัวผีก็ยังไม่แน่นัก แต่อีก 2-3 คืนต่อมาก็ได้ข่าวว่าเธอชวนหนุ่มข้างห้องไปนอนเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้ว...ไม่ช้าก็มีคนเห็นผีนายวินปรากฏตัวขึ้นมา!
วิญญาณที่เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน...วิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้นมักจะเดินวนเวียนอยู่ที่ลานหน้าห้องแถวบ้าง ไปเคาะประตูบ่อนไพ่กลางวันแสกๆ บ้าง คนที่กลับมาตอนค่ำคืนจ๊ะเอ๋กับปีศาจนายวินบนทางเดินลูกระนาดที่แยกจากซอยมาสู่ห้องแถว! เล่นเอาร้องโหวกโหวย กระโดดลงจากทางเดิน ออกวิ่งกระเซอะกระเซิงไป
บุหงาคนสวยต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะลืมตาขึ้นมากลางดึกก็เห็นอดีตผัวรักมานอนเลือดท่วมตัวอยู่ข้างๆ นัยน์ตาเบิกโพลง จ้องมองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ในที่สุด เราก็เจอเข้ากับตัวเองเต็มเปา ในคืนที่เป็นวันเงินเดือนออกพอดี!
ผมกับเจ้าโก้อิ่มหนำสำราญมาจากร้านข้าวต้ม คืนนั้นฟาดเข้าไปถึงสองแบนเพราะมีฝนตกปรอยๆ มาตอนหัวค่ำเป็นข้ออ้าง...กว่าจะกลับถึงที่พักก็ 4 ทุ่มกว่า สมัยนั้นถือว่าดึกดื่นเต็มทีแล้ว เราผลัดเสื้อผ้ากางมุ้งนอน...พอหัวถึงหมอนก็หลับผล็อยไป
มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เพราะเสียงฝีเท้าย่ำโครมครามอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง วนเวียนไปมาดังตึงๆ ขนาดเจ้าโก้ขี้เซายังลืมตาตื่น ถามว่าเสียงอะไร? ผมจุ๊ย์ปากให้มันเงียบก่อนเงี่ยหูฟัง
ตีสองกว่าแล้ว สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัด เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ ทำให้ฝนที่ค้างอยู่หยดลงมาโดนหลังคาสังกะสีดังเปาะแปะ หมาหอนโจ๋วมาจากวัดญวน ตามด้วยเสียงทอดถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังขึ้นในบรรยากาศที่เยือกเย็นสิ้นดี!
"ใครวะ?" เจ้าโก้ลืมตาโพลง ถามเสียงกระซิบ ผมจุ๊ย์ปากอีกครั้ง..เสียงเคาะประตูดังมากระทบหู ผมกระเดือกน้ำลายลงคอแห้งผาก เจ้าโก้ถามเสียงสั่นๆ ตามเคยว่าใคร?
คำตอบคือเสียงถอนใจยืดยาว ผมผงะหน้า แต่เจ้าโก้ดันลุกพรวดพราดขึ้นนั่งบอกว่าจะไปดู ผมร้องห้ามแต่มันไม่ฟังเสียง..เผ่นออกไปถอดกลอนขณะที่ผมแทบกลั้นใจ เจ้าโก้บอกว่าไม่เห็นมีใครซักคน! เอ๊ะ...นั่นใครล่ะ?
ผมลุกพรวดไปคว้าแขนเพื่อนให้เข้าห้องปิดประตู แต่มันกลับชี้มือไปที่หัวบันได...ผมมองไปตามระเบียงที่มีราวลูกกรงเตี้ยๆ แสงจันทร์ข้างแรมส่องให้เห็นร่างกำยำดำทะมึนทำท่าว่าจะก้าวลงบันได แต่เจ้าโก้ดันร้องขึ้นว่า...เฮ้ย! ใครวะ?
ร่างนั้นชะงักกึกก่อนจะค่อยๆ หันมาอย่างเชื่องช้า...ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว คว้าแขนเพื่อนแต่มันกลับสะบัดพรืด ป้องหน้ามอง ขณะที่ใบหน้าดำเกรียมหันมาทางเราเต็มตา
นรกเป็นพยาน! ปีศาจนายวินนั่นเองที่ยืนจังก้า จ้องมองมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ เจ้าโก้ร้องว่า เอ๊ะ! เจ้าวิน...แต่ผมเผ่นพรวดเข้าห้อง แว่วเสียงหัวเราะแหบโหย พริบตานั้น เจ้าโก้ก็แผดร้องเสียงหลง กระโจนพรวดเข้ามาปิดประตูโครมคราม คลุมโปงครางฮือๆ เหมือนคนใกล้ตายเต็มประดา
วันรุ่งขึ้น มีห้องว่างหน้ากรมชลฯ ที่ศรีย่าน เรารีบขนข้าวของย้ายห้องทันที ไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตายโดยไม่จำเป็นน่ะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยเช่าห้องแถวอยู่กับเพื่อนที่บางโพเกือบ 2 ปี เงินเดือนข้าราชการคนละพันกว่าๆ แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง เคราะห์ดีที่ยังไม่มีภาระเรื่องลูกเมียเพราะเราเพิ่งจะอายุ 20 เศษๆ เท่านั้นเอง
ห้องเช่าของเราเป็นเรือนแถวไม้ 2 ชั้น อยู่ทางหลังวัดญวน แต่ใกล้กับโรงเลื่อยที่มีคลองไหลผ่าน เส้นทางเข้าออกระหว่างที่พักกับถนน ส่วนมากเราจะใช้ด้านหน้า เป็นทางดินลุ่นๆ ที่ผู้คนย่ำกันเป็นเทือก เลียบข้างตึกแถวไปโผล่ที่ถนนใหญ่พอดี
เรื่องอาหารการกินก็ไร้ปัญหาใดๆ
บางวันลงจากรถศิริมิตร ที่เราเรียก "รถสีโกโก้" ที่วิ่งระหว่างวงศ์สว่าง-สามแยก ถ้าต้นเดือนก็แวะร้านข้าวต้มกุ๊ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีลานดินโล่งๆ หน้าตึกแถวสองชั้นที่เพิ่งสร้างใหม่...สั่งเหล้าแบนโซดาสองขวด กับแกล้มง่ายๆ อย่างใบปอ หมูผัดขิง เลือดเป็ดพะโล้...ตบท้ายข้าวสวยคนละสองถ้วยจนอิ่มหนำสำราญ
ถ้าปลายเดือนก็แวะร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง ไม่ก็ซื้อลาบกับข้าวเหนียวไปกินในห้อง ไม่เดือดร้อนอะไร จนกระทั่งถึงวันดีคืนร้าย โดนผีหลอกที่ห้องแถวจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อตายไปตามๆ กัน!
ผมกับเจ้าโก้อยู่ห้องชั้นบนริมสุด ติดกับบ้านชั้นเดียวริมคลองพอดี ส่วนห้องน้ำมีอยู่ห้องเดียวที่ชั้นล่างใต้บันได ใกล้ๆ กันก็ยังเป็นห้องเช่ายืดยาวอีกราว 4-5 ห้องไปจนถึงข้างรั้วสังกะสี พวกที่มาเช่าห้องส่วนมากจะเป็นหนุ่มๆ สาวๆ มีทั้งช่างตัดผม นายตรวจรถเมล์ คนทำงานบริษัท สาวโรงงาน..อยู่กันเป็นคู่ๆ ก็มี อยู่กับเพื่อนแบบเราก็มี
จะอยู่กี่คนก็ไม่ว่า ถึงเดือนจ่ายให้เจ้าของบ้านที่อยู่ริมรั้วเดือนละ 300 บาทละกัน
ผัวเมียคู่หนึ่งอยู่ชั้นล่าง ชื่อวินกับบุหงา ฝ่ายชายหน้าตาหล่อเหลาคนเข้ม สูงคล้ำล่ำสัน อาชีพช่างตัดผมอยู่บางกระบือ บุหงาหน้าตาดี ผิวขาว หุ่นอวบอั๋น พอผัวไปทำงานเธอก็ออกจากบ้านไปเข้าวงไพ่ผสมสิบที่บ้านริมคลอง
ได้ข่าวว่าเมียใจแตก ผัวขี้หึง! เหมาะเจาะกันอะไรจะปานนั้น
คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย เมื่อบุหงาอาบน้ำแบบประเจิดประเจ้อ คนที่เช่าอยู่ห้องริมชื่อป๋อ เดินอัดบุหรี่วนเวียนไปมา เดี๋ยวๆ ก็แง้มประตูมอง แว่วเสียงบุหงาหัวเราะคิกคักออกมา
ชาวห้องน่ะ รู้เรื่องนี้กันแทบทุกคน ยกเว้นวิน! เคราะห์หามยามร้ายที่เขาเปิดประตูออกมาเห็นภาพบาดใจเข้าพอดี! วินเข้าไปด่าป๋ออย่างรุนแรง เกิดการโต้เถียงแล้วต่อสู้กัน วินเล่นงานจนป๋อกระเด็นเข้าไปในห้อง ก่อนจะสวนกลับด้วยมีดปลายแหลมที่เสียบอยู่ข้างฝา...สวบเดียวเข้าลิ้นปี่ วินเลือดตกในตายคาที่ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องแสบแก้วหู
ป๋อฉวยโอกาสชุลมุนเผ่นหนีไป บุหงาร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย เพราะรักผัวหรือกลัวผีก็ยังไม่แน่นัก แต่อีก 2-3 คืนต่อมาก็ได้ข่าวว่าเธอชวนหนุ่มข้างห้องไปนอนเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้ว...ไม่ช้าก็มีคนเห็นผีนายวินปรากฏตัวขึ้นมา!
วิญญาณที่เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน...วิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้นมักจะเดินวนเวียนอยู่ที่ลานหน้าห้องแถวบ้าง ไปเคาะประตูบ่อนไพ่กลางวันแสกๆ บ้าง คนที่กลับมาตอนค่ำคืนจ๊ะเอ๋กับปีศาจนายวินบนทางเดินลูกระนาดที่แยกจากซอยมาสู่ห้องแถว! เล่นเอาร้องโหวกโหวย กระโดดลงจากทางเดิน ออกวิ่งกระเซอะกระเซิงไป
บุหงาคนสวยต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะลืมตาขึ้นมากลางดึกก็เห็นอดีตผัวรักมานอนเลือดท่วมตัวอยู่ข้างๆ นัยน์ตาเบิกโพลง จ้องมองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
ในที่สุด เราก็เจอเข้ากับตัวเองเต็มเปา ในคืนที่เป็นวันเงินเดือนออกพอดี!
ผมกับเจ้าโก้อิ่มหนำสำราญมาจากร้านข้าวต้ม คืนนั้นฟาดเข้าไปถึงสองแบนเพราะมีฝนตกปรอยๆ มาตอนหัวค่ำเป็นข้ออ้าง...กว่าจะกลับถึงที่พักก็ 4 ทุ่มกว่า สมัยนั้นถือว่าดึกดื่นเต็มทีแล้ว เราผลัดเสื้อผ้ากางมุ้งนอน...พอหัวถึงหมอนก็หลับผล็อยไป
มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เพราะเสียงฝีเท้าย่ำโครมครามอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง วนเวียนไปมาดังตึงๆ ขนาดเจ้าโก้ขี้เซายังลืมตาตื่น ถามว่าเสียงอะไร? ผมจุ๊ย์ปากให้มันเงียบก่อนเงี่ยหูฟัง
ตีสองกว่าแล้ว สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัด เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ ทำให้ฝนที่ค้างอยู่หยดลงมาโดนหลังคาสังกะสีดังเปาะแปะ หมาหอนโจ๋วมาจากวัดญวน ตามด้วยเสียงทอดถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังขึ้นในบรรยากาศที่เยือกเย็นสิ้นดี!
"ใครวะ?" เจ้าโก้ลืมตาโพลง ถามเสียงกระซิบ ผมจุ๊ย์ปากอีกครั้ง..เสียงเคาะประตูดังมากระทบหู ผมกระเดือกน้ำลายลงคอแห้งผาก เจ้าโก้ถามเสียงสั่นๆ ตามเคยว่าใคร?
คำตอบคือเสียงถอนใจยืดยาว ผมผงะหน้า แต่เจ้าโก้ดันลุกพรวดพราดขึ้นนั่งบอกว่าจะไปดู ผมร้องห้ามแต่มันไม่ฟังเสียง..เผ่นออกไปถอดกลอนขณะที่ผมแทบกลั้นใจ เจ้าโก้บอกว่าไม่เห็นมีใครซักคน! เอ๊ะ...นั่นใครล่ะ?
ผมลุกพรวดไปคว้าแขนเพื่อนให้เข้าห้องปิดประตู แต่มันกลับชี้มือไปที่หัวบันได...ผมมองไปตามระเบียงที่มีราวลูกกรงเตี้ยๆ แสงจันทร์ข้างแรมส่องให้เห็นร่างกำยำดำทะมึนทำท่าว่าจะก้าวลงบันได แต่เจ้าโก้ดันร้องขึ้นว่า...เฮ้ย! ใครวะ?
ร่างนั้นชะงักกึกก่อนจะค่อยๆ หันมาอย่างเชื่องช้า...ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว คว้าแขนเพื่อนแต่มันกลับสะบัดพรืด ป้องหน้ามอง ขณะที่ใบหน้าดำเกรียมหันมาทางเราเต็มตา
นรกเป็นพยาน! ปีศาจนายวินนั่นเองที่ยืนจังก้า จ้องมองมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ เจ้าโก้ร้องว่า เอ๊ะ! เจ้าวิน...แต่ผมเผ่นพรวดเข้าห้อง แว่วเสียงหัวเราะแหบโหย พริบตานั้น เจ้าโก้ก็แผดร้องเสียงหลง กระโจนพรวดเข้ามาปิดประตูโครมคราม คลุมโปงครางฮือๆ เหมือนคนใกล้ตายเต็มประดา
วันรุ่งขึ้น มีห้องว่างหน้ากรมชลฯ ที่ศรีย่าน เรารีบขนข้าวของย้ายห้องทันที ไม่อยากขวัญหนีดีฝ่อตายโดยไม่จำเป็นน่ะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551
22 กุมภาพันธ์ 2559
ไปสู่ความหลัง
"ป้างาม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในอดีต
ดิฉันเคยอยู่ที่ซอยอินทรพิทักษ์ วงเวียนใหญ่ ธนบุรี นานมาแล้ว...สมัยนั้นยังเป็นซอยแคบๆนะคะ ไม่ใช่ถนนกว้างขวางผิดหูผิดตาเหมือนสมัยนี้
พวกเราสาวรุ่นๆ ในละแวกนั้น เวลาไปโรงเรียนก็ต้องมารอขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงหนังเฉลิมเกียรติ จำได้ว่าค่าตั๋ว 4.50 บาท แต่นานๆ ถึงจะได้ดูหนังให้สนุกสมใจสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็ได้แต่เดินดูหนังแผ่นท่ามกลางผู้คนคึกคัก กับหาซื้อขนมกินก่อนเดินกลับบ้าน
ดิฉันมีประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยบ้านนั่นเอง!
สมัยนั้น จากปากซอยเข้าไปมีตึกแถวเก่าๆ ทั้งสองฟาก ยาวเป็นช่วงๆ เข้าไปลึกเอาการ กว่าจะถึงบ้านเรือนที่ส่วนมากเป็นเรือนไม้ ตอนกลางวันมีผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย รถราก็มักเป็นมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถเก๋ง แต่ตอนกลางคืนน่ะ พอเลยค่ำไปแล้วค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวบรรยากาศเยือกเย็นน่าดู
ใต้ชายคาของตึกแถวมีฟุตปาธแคบๆ ดิฉันเคยเดินเข้าซอยกับพ่อแม่ตอนกลางคืน ร้านค้าต่างๆ ปิดกันเกือบหมดสิ้น รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีสายตาของใครจ้องมองมาอย่างเร้นลับน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
มีซอยแยกเล็กๆ ทั้งซ้ายและขวา ทำให้หวาดระแวงว่าพอเราเดินไปถึงตรงนั้นจะมีอะไรโผล่ออกมาก็ไม่รู้...ทั้งมืดและทั้งเงียบน่าเสียวสันหลังจริงๆ พอโตขึ้นถึงได้นึกออกว่าคนเราส่วนมากมักจะกลัวความมืด...กลัวสิ่งที่ไม่รู้จักแน่นอนว่าจะมีหรือไม่มีกันแน่?
พูดตรงๆ คือกลัวผีนั่นแหละค่ะ!
น่าแปลกอยู่อย่างที่ดิฉันไม่เคยโดนผีหลอกตอนกลางคืน แต่กลับประสบกับภาพสยองขวัญในตอนกลางวัน...เวลาราวห้าโมงเย็นกว่าๆ ในหน้าหนาว ค่อนข้างจะมืดค่ำเร็วกว่าเวลาหน้าร้อน...เหมือนพลัดเข้าไปในดินแดนลี้ลับ ที่เขาเรียกว่า "แดนสนธยา"
ก่อนจะถึงบ้านดิฉัน 3-4 หลังเป็นบ้านของคุณยายอุบล...ที่นั่นเองที่ทำให้ดิฉันเห็นภาพน่าขนหัวลุก ติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้!
คุณยายอุบลเป็นคนเก่าแก่ก่อนพ่อแม่ดิฉันเสียอีก ครอบครัวเราสนิทกันมาตั้งแต่ดิฉันจำความได้ พ่อแม่เรียกแกว่า "คุณป้า" จนถึงตอนเกิดเหตุหลอนสุดขีดนั้น ดิฉันยังเรียนมัธยมปลาย คุณยายอุบลคงอายุราว 75 ปีได้ค่ะ
ตอนเย็นๆ หลังโรงเรียนเลิก ดิฉันลงรถเมล์ที่วงเวียนใหญ่แล้วเดินเลี้ยวมาเข้าซอย ผู้คนยังหนาตา เด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวน่าสนุก...จนกระทั่งถึงบ้านคุณยายอุบล
มองผ่านรั้วไม้ระแนงที่มีกอกุหลาบบานสะพรั่ง...ที่เฉลียงหน้าบ้านมักจะเห็นคุณยายอุบลนั่งเก้าอี้นวมหลังโต๊ะเล็กๆ ที่เฉลียงร่มรื่น มีแว่นตาวางอยู่บนหนังสืออยู่ 2-3 เล่ม ผมสั้นดัดเป็นลอนขาวโพลนเหมือนปุยฝ้าย...นัยน์ตาเหม่อลอยแบบคนช่างคิดช่างฝัน
ตอนนั้นดิฉันอยากรู้จริงๆ ว่าความคิดฝันของคนชราจะมีอะไรบ้างหนอ?
พอแกเหลือบเห็นดิฉัน รอยยิ้มจะผุดขึ้นที่มุมปากจนไฝดำเม็ดเขื่องคล้ายกระตุกนิดๆ อย่างมีชีวิตชีวา ก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
ดิฉันยกมือไหว้นอบน้อม คุณยายอุบลจะลูบหลังลูบไหล่ ชวนให้กินขนมอร่อยๆ บางวันก็เป็นขนมใส่น้ำแข็งน้ำหวาน ทำให้ชื่นใจดีค่ะ....เสียงแหบพร่านิดๆ ของคุณยายอุบลจะพูดจาชมเชยว่าดิฉันสะสวย น่ารัก พร้อมกับจ้องมองอย่างชื่นชมตลอดเวลา
"เมื่อสาวๆ ยายก็สวยน่ารักนะหนู" เสียงพูดปนหัวเราะขบขัน "ขนาดแก่เฒ่าป่านนี้แล้วยังจำได้เลยว่าตัวเองเคยสะสวยยังไง...หน้าตึง ตาคม แก้มเป็นพวงเหมือนกระติกเลย"
บางวันคุณยายอุบลก็ขอให้ดิฉันยืนหมุนตัวให้ดู ไม่ได้อายหรอกค่ะแต่เขินนิดหน่อยเมื่อเห็นแววตาชื่นชมของคุณยายอุบลผู้จ้องมองแทบไม่วางตา พึมพำว่า...สมัยก่อนยายก็เคยมีรูปร่างอย่างนี้เหมือนกัน!
เดี๋ยวนี้ดิฉันเข้าใจจนซาบซึ้งแล้วค่ะว่าคุณยายอุบลคิดฝันถึงเรื่องอะไร?
วันหนึ่ง เหตุการณ์หลอนสุดขีดก็อุบัติขึ้น!
ปีนั้นฤดูหนาวมาเร็วกว่าปกติ เดือนพฤศจิกายนก็หนาวแล้ว พวกเราต้องสวมเสื้อสเวตเตอร์ไปโรงเรียน หลายๆ คนก็ได้โอกาสอวดเสื้อหนาวกันค่ะ
เย็นนั้น ดิฉันเดินเข้าซอยบ้านเหมือนเคย ใจจดจ่ออยู่กับคุณยายอุบลอย่างบอกไม่ถูก...จนกระทั่งมาถึงรั้วไม้ระแนงที่มีกุหลาบแดงบานสะพรั่ง มองเข้าไปก็ต้องย่นคิ้วงุนงง
ไม่มีคุณยายอุบลนั่งอยู่เฉลียง! แต่นั่นยังไม่เท่ากับมีหญิงสาวผมดำขลับสวมเสื้อไหมพรมสีเหลืองอร่าม ผ้าพันคอสีฟ้าสด กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ...อาจจะเป็นลูกสาวหลานสาวก็ได้ ดิฉันเกือบจะหันกลับก็พอดีหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง...
คุณพระช่วย! หน้าตาเหมือนคุณยายอุบลเมื่อสาวๆ ดิฉันรู้เพราะเคยดูรูปถ่ายสมัยก่อนของแก...ผู้หญิงคนนั้นกวักมือเรียก รอยยิ้มแตกซ่านจนเห็นไฝดำเม็ดเขื่องเต้นระริก!
"คุณยาย..." ดิฉันอุทาน รู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายโลกหมุนเร็วขึ้น...ผละออกวิ่งไปบ้านด้วยหัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมเหมือนจะแตกทำลายไป...ได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วๆ แต่ไม่ยอมหันไปมอง...ไม่ได้เล่าให้ใครฟังด้วยซ้ำว่าเห็นภาพหลอนสุดขีดมาหยกๆ
เปล่าค่ะ คุณยายอุบลไม่ได้ล้มตายแล้วมาหลอกหลอน ได้ข่าวว่าสุขภาพแกไม่ค่อยดี มีโรคภัยต่างๆ ตามประสาคนแก่...อีกราว 4-5 เดือนต่อมาถึงได้สิ้นใจตายอย่างสงบ
เดี๋ยวนี้ดิฉันย้ายที่อยู่และเกษียณออกมาหลายปีแล้ว ชอบนั่งทอดอารมณ์ที่ระเบียงบ้าน อ่านหนังสือกับมีขนมไว้ให้เด็กสาวๆ ข้างบ้านกิน...คิดถึงความหลังเก่าๆ แล้วรู้สึกกลับเป็นสาวอีกครั้ง...
บางวันเห็นเด็กวัยรุ่นมาหาที่หน้าบ้าน ดิฉันขวักมือเรียกแต่แกกลับผงะหน้า ออกวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย...ไม่รู้ว่าแกหวาดกลัวอะไรนะคะ!?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551
ดิฉันเคยอยู่ที่ซอยอินทรพิทักษ์ วงเวียนใหญ่ ธนบุรี นานมาแล้ว...สมัยนั้นยังเป็นซอยแคบๆนะคะ ไม่ใช่ถนนกว้างขวางผิดหูผิดตาเหมือนสมัยนี้
พวกเราสาวรุ่นๆ ในละแวกนั้น เวลาไปโรงเรียนก็ต้องมารอขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงหนังเฉลิมเกียรติ จำได้ว่าค่าตั๋ว 4.50 บาท แต่นานๆ ถึงจะได้ดูหนังให้สนุกสมใจสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็ได้แต่เดินดูหนังแผ่นท่ามกลางผู้คนคึกคัก กับหาซื้อขนมกินก่อนเดินกลับบ้าน
ดิฉันมีประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยบ้านนั่นเอง!
สมัยนั้น จากปากซอยเข้าไปมีตึกแถวเก่าๆ ทั้งสองฟาก ยาวเป็นช่วงๆ เข้าไปลึกเอาการ กว่าจะถึงบ้านเรือนที่ส่วนมากเป็นเรือนไม้ ตอนกลางวันมีผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย รถราก็มักเป็นมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถเก๋ง แต่ตอนกลางคืนน่ะ พอเลยค่ำไปแล้วค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวบรรยากาศเยือกเย็นน่าดู
ใต้ชายคาของตึกแถวมีฟุตปาธแคบๆ ดิฉันเคยเดินเข้าซอยกับพ่อแม่ตอนกลางคืน ร้านค้าต่างๆ ปิดกันเกือบหมดสิ้น รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีสายตาของใครจ้องมองมาอย่างเร้นลับน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
มีซอยแยกเล็กๆ ทั้งซ้ายและขวา ทำให้หวาดระแวงว่าพอเราเดินไปถึงตรงนั้นจะมีอะไรโผล่ออกมาก็ไม่รู้...ทั้งมืดและทั้งเงียบน่าเสียวสันหลังจริงๆ พอโตขึ้นถึงได้นึกออกว่าคนเราส่วนมากมักจะกลัวความมืด...กลัวสิ่งที่ไม่รู้จักแน่นอนว่าจะมีหรือไม่มีกันแน่?
พูดตรงๆ คือกลัวผีนั่นแหละค่ะ!
น่าแปลกอยู่อย่างที่ดิฉันไม่เคยโดนผีหลอกตอนกลางคืน แต่กลับประสบกับภาพสยองขวัญในตอนกลางวัน...เวลาราวห้าโมงเย็นกว่าๆ ในหน้าหนาว ค่อนข้างจะมืดค่ำเร็วกว่าเวลาหน้าร้อน...เหมือนพลัดเข้าไปในดินแดนลี้ลับ ที่เขาเรียกว่า "แดนสนธยา"
ก่อนจะถึงบ้านดิฉัน 3-4 หลังเป็นบ้านของคุณยายอุบล...ที่นั่นเองที่ทำให้ดิฉันเห็นภาพน่าขนหัวลุก ติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้!
คุณยายอุบลเป็นคนเก่าแก่ก่อนพ่อแม่ดิฉันเสียอีก ครอบครัวเราสนิทกันมาตั้งแต่ดิฉันจำความได้ พ่อแม่เรียกแกว่า "คุณป้า" จนถึงตอนเกิดเหตุหลอนสุดขีดนั้น ดิฉันยังเรียนมัธยมปลาย คุณยายอุบลคงอายุราว 75 ปีได้ค่ะ
ตอนเย็นๆ หลังโรงเรียนเลิก ดิฉันลงรถเมล์ที่วงเวียนใหญ่แล้วเดินเลี้ยวมาเข้าซอย ผู้คนยังหนาตา เด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวน่าสนุก...จนกระทั่งถึงบ้านคุณยายอุบล
มองผ่านรั้วไม้ระแนงที่มีกอกุหลาบบานสะพรั่ง...ที่เฉลียงหน้าบ้านมักจะเห็นคุณยายอุบลนั่งเก้าอี้นวมหลังโต๊ะเล็กๆ ที่เฉลียงร่มรื่น มีแว่นตาวางอยู่บนหนังสืออยู่ 2-3 เล่ม ผมสั้นดัดเป็นลอนขาวโพลนเหมือนปุยฝ้าย...นัยน์ตาเหม่อลอยแบบคนช่างคิดช่างฝัน
ตอนนั้นดิฉันอยากรู้จริงๆ ว่าความคิดฝันของคนชราจะมีอะไรบ้างหนอ?
พอแกเหลือบเห็นดิฉัน รอยยิ้มจะผุดขึ้นที่มุมปากจนไฝดำเม็ดเขื่องคล้ายกระตุกนิดๆ อย่างมีชีวิตชีวา ก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
ดิฉันยกมือไหว้นอบน้อม คุณยายอุบลจะลูบหลังลูบไหล่ ชวนให้กินขนมอร่อยๆ บางวันก็เป็นขนมใส่น้ำแข็งน้ำหวาน ทำให้ชื่นใจดีค่ะ....เสียงแหบพร่านิดๆ ของคุณยายอุบลจะพูดจาชมเชยว่าดิฉันสะสวย น่ารัก พร้อมกับจ้องมองอย่างชื่นชมตลอดเวลา
"เมื่อสาวๆ ยายก็สวยน่ารักนะหนู" เสียงพูดปนหัวเราะขบขัน "ขนาดแก่เฒ่าป่านนี้แล้วยังจำได้เลยว่าตัวเองเคยสะสวยยังไง...หน้าตึง ตาคม แก้มเป็นพวงเหมือนกระติกเลย"
บางวันคุณยายอุบลก็ขอให้ดิฉันยืนหมุนตัวให้ดู ไม่ได้อายหรอกค่ะแต่เขินนิดหน่อยเมื่อเห็นแววตาชื่นชมของคุณยายอุบลผู้จ้องมองแทบไม่วางตา พึมพำว่า...สมัยก่อนยายก็เคยมีรูปร่างอย่างนี้เหมือนกัน!
เดี๋ยวนี้ดิฉันเข้าใจจนซาบซึ้งแล้วค่ะว่าคุณยายอุบลคิดฝันถึงเรื่องอะไร?
วันหนึ่ง เหตุการณ์หลอนสุดขีดก็อุบัติขึ้น!
ปีนั้นฤดูหนาวมาเร็วกว่าปกติ เดือนพฤศจิกายนก็หนาวแล้ว พวกเราต้องสวมเสื้อสเวตเตอร์ไปโรงเรียน หลายๆ คนก็ได้โอกาสอวดเสื้อหนาวกันค่ะ
เย็นนั้น ดิฉันเดินเข้าซอยบ้านเหมือนเคย ใจจดจ่ออยู่กับคุณยายอุบลอย่างบอกไม่ถูก...จนกระทั่งมาถึงรั้วไม้ระแนงที่มีกุหลาบแดงบานสะพรั่ง มองเข้าไปก็ต้องย่นคิ้วงุนงง
ไม่มีคุณยายอุบลนั่งอยู่เฉลียง! แต่นั่นยังไม่เท่ากับมีหญิงสาวผมดำขลับสวมเสื้อไหมพรมสีเหลืองอร่าม ผ้าพันคอสีฟ้าสด กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ...อาจจะเป็นลูกสาวหลานสาวก็ได้ ดิฉันเกือบจะหันกลับก็พอดีหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง...
คุณพระช่วย! หน้าตาเหมือนคุณยายอุบลเมื่อสาวๆ ดิฉันรู้เพราะเคยดูรูปถ่ายสมัยก่อนของแก...ผู้หญิงคนนั้นกวักมือเรียก รอยยิ้มแตกซ่านจนเห็นไฝดำเม็ดเขื่องเต้นระริก!
"คุณยาย..." ดิฉันอุทาน รู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายโลกหมุนเร็วขึ้น...ผละออกวิ่งไปบ้านด้วยหัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมเหมือนจะแตกทำลายไป...ได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วๆ แต่ไม่ยอมหันไปมอง...ไม่ได้เล่าให้ใครฟังด้วยซ้ำว่าเห็นภาพหลอนสุดขีดมาหยกๆ
เปล่าค่ะ คุณยายอุบลไม่ได้ล้มตายแล้วมาหลอกหลอน ได้ข่าวว่าสุขภาพแกไม่ค่อยดี มีโรคภัยต่างๆ ตามประสาคนแก่...อีกราว 4-5 เดือนต่อมาถึงได้สิ้นใจตายอย่างสงบ
เดี๋ยวนี้ดิฉันย้ายที่อยู่และเกษียณออกมาหลายปีแล้ว ชอบนั่งทอดอารมณ์ที่ระเบียงบ้าน อ่านหนังสือกับมีขนมไว้ให้เด็กสาวๆ ข้างบ้านกิน...คิดถึงความหลังเก่าๆ แล้วรู้สึกกลับเป็นสาวอีกครั้ง...
บางวันเห็นเด็กวัยรุ่นมาหาที่หน้าบ้าน ดิฉันขวักมือเรียกแต่แกกลับผงะหน้า ออกวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย...ไม่รู้ว่าแกหวาดกลัวอะไรนะคะ!?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551
20 กุมภาพันธ์ 2559
ปล่อยวิญญาณ
"หลานปอ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทางสามแพร่ง
บ้านของแต๋มอยู่ตรงทางสามแพร่ง
คุณลองนึกถึงอักษรตัว T ดูนะคะ ถ้าเรามาจากหน้าปากซอยที่ติดกับถนนใหญ่ ตรงลิ่วเข้าไป นี่ก็คือเส้นตั้งที่เป็นส่วนตัวของอักษร T สุดซอยจะมีกำแพงกั้นจนลวงตานึกว่าทางตัน แต่เปล่าหรอก...มันมีถนนแยกออกเป็น 2 ทาง จะไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ได้
นี่คือส่วนเส้นพาดบนหัวตัว T ไงคะ และดิฉันเจอผีตรงนี้แหละ
วันนั้นเป็นวันเสาร์ตอนพลบค่ำ เกือบทุ่มหนึ่งแล้วละ ดิฉันเดินเข้าซอยมากับแต๋ม เราหิ้วถุงกับข้าวและขนมนมเนยที่ซื้อมาจากร้านเซเว่นฯ พะรุงพะรังเชียว เพราะคืนนี้ดิฉันจะมาค้างบ้านแต๋มค่ะ
เราสองคนเรียนอยู่ปี 2 จะต้องทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ให้ทันภายในวันอังคารที่จะถึงนี้ ดิฉันกับแต๋มเพิ่งรู้จักกันตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่เองค่ะ
แต๋มนิสัยดี เป็นผู้หญิงห้าวๆ แต่ไม่ใช่ทอมนะคะ เธอมีแฟนแล้ว สวีตกันจี๋เชียว... เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์ตอนเย็นๆ เขาก็จะมาหา มากินข้าวด้วย อย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ
ในซอยน่ะมืดตึ๊ดตื๋อ คนเขาเข้าบ้านปิดประตูเงียบเชียว ยังหัวค่ำอยู่เลย แต่ลมแรงมากนะคะ ลมพัดอู้ๆ น่ากลัว ไฟถนนส่องแสงมลังเมลือง ดิฉันกับแต๋มคุยกันมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงกำแพง...ก็กำแพงบ้านแต๋มละค่ะ ขวางซอยเป็นแนวยาวเหมือนเส้นพาดบนอักษรตัว T อย่างที่ดิฉันบอกข้างต้น
ด้วยเหตุที่ตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง ถ้าอยู่ในบ้านแต๋มละก็เราจะเห็นถนนพุ่งเข้าใส่ซึ่งโบราณว่าไม่ดี! คุณพ่อแต๋มเลยทำประตูเข้าบ้านเลี่ยงถนนซะ คือเราต้องเดินเลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง ก็จะเป็นประตูรั้วให้รถยนต์แล่นเข้าได้ และมีประตูเล็กติดอยู่ข้างๆ
พอเลี้ยวปุ๊บดิฉันก็ชะงึกกึก เพราะสายตาปะทะเข้ากับร่างๆ หนึ่ง!
ร่างนั้นเป็นผู้ชาย ท่าทางจะหนุ่มแน่นเชียว เขาเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างน่ะ นุ่งขาสั้นสีมอๆ และเขานั่งขัดสมาธิตัวตรง แต่ลำตัวกับศีรษะพิงแนบกำแพงติดกับประตูบานเล็ก ดิฉันเห็นหน้าเขาไม่ถนัดหรอกค่ะ มันมืดสลัว แม้จะมีไฟถนนส่องลงมา แต่ลมแรงก็พัดกิ่งมะม่วงที่อยู่เหนือประตูนั้น
เงาของใบมะม่วงแกว่งวูบวาบ ทำให้เกิดเหมือนภาพหลอนแปลกๆ น่าขนลุก
เมื่อดิฉันชะงักและกระตุกมือแต๋มเบาๆ แต๋มก็หันขวับมามองหน้าดิฉัน...แล้วมองตามสายตาไปที่ข้างประตูเล็ก
"เห็นอะไรเหรอ? เออ...ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาไม่ทำอะไรหรอก"
เธอหยิบกุญแจจากกระเป๋า เดินเข้าไปไขอย่างไม่เกรงกริ่งอะไรทั้งนั้น ดิฉันซะอีกใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวว่าร่างที่เห็นจะเป็นขี้ยา หรือคนเมายาบ้า เดี๋ยวพี่แกลุกขึ้นมาบีบคอเราจะว่ายังไง? แต่เมื่อผู้นำ...เอ๊ย! แต๋มเดินเข้าบ้านผ่านหน้าเขาไปอย่างองอาจ ดิฉันก็ตะกายตาม
เฮ้อ! ปิดประตูรั้วแทบไม่ทัน มือไม้สั่นไปหมด
"กลัวอะไร?" แต๋มหัวเราะกิ๊ก
"ผีหรือคนก็ไม่รู้สิ" ดิฉันตอบเสียงพร่า ใจคอหายหมด "ถ้าเป็นคนก็น่ากลัวกว่าผีเยอะเลยนะ ว่ามั้ย?"
"ฮ้า..." แต๋มร้องแบบขำๆ "เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ ง่ะ? งั้นจะบอกให้ก็ได้ว่า นั่นน่ะไม่ใช่คน! เธอเห็นแต่ฉันไม่เห็น...แต่ฉันรู้! เมื่อ 5 ปีก่อนตำรวจต้อนผู้ร้ายมาแล้วก็มายิงกันตรงนี้! แน่ละ...ตำรวจชนะ ผู้ร้ายน่ะตายแหงแก๋ เลือดยังเป็นทางติดกำแพงอยู่เลย พรุ่งนี้จะชี้ให้ดู ล้างเท่าไหร่ก็ล้างไม่ออก"
แต๋มเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นละครทีวี ไม่ใช่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าบ้านเธอ!
"ไม่ต้องกลัวหรอกน่า" แต๋มยังมาปลอบดิฉันอีก "นี่ปอ...เธอไม่รู้เหรอว่าเขาเจอกันทั้งนั้น บางทีก็มานั่งพิงกำแพงตรงที่เขาตาย บางทีก็เดินวนไปวนมา"
แหม! แต๋มใจแข็งนี่นา คนใจแข็งมักไม่ค่อยมีผีมาปรากฏให้เห็นหรอก
"สงสารนะ! บ้านเราทำบุญให้บ่อยๆ แต่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดซะที" เธอบ่น...ดิฉันสิ เนื้อตัวเย็นเฉียบเลยนะ แถมคืนนี้ยังต้องค้างที่นี่อีก....ทำไงดีละคราวนี้?
ดึกดื่นคืนนั้น เราทำรายงานกันเกือบเสร็จแล้ว แต่แต๋มง่วงนอน...เธอคลานขึ้นเตียงและหลับไปแทบทันที ดิฉันเหลือบดูนาฬิกา...ตีสองกว่าๆ แล้ว แต่ท่าทางดิฉันจะนอนไม่หลับละนา...มันแปลกที่ค่ะ และกลัวผีด้วย!
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ดิฉันแอบมองที่ม่าน...นั่นไง? ชายที่ไม่ใส่เสื้อ นุ่งแต่ขาสั้นสีมอๆ เดินวนไปวนมา จริงอย่างแต๋มว่า
ดิฉันนึกสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ แต่อึดใจต่อมาก็ตั้งสติได้...ท่าทางของชายคนนี้เหมือนคนธรรมดาๆ เราดีๆ นี่เอง...หรือว่าเพื่อนจะอำเราเล่น?
ไม่รู้นึกยังไง ดิฉันอธิษฐานอยู่ในใจว่า บุญกุศลที่ทำมาดิฉันขออุทิศให้ชายคนนี้ ให้เขาไปสู่ภพภูมิตามที่ถูกที่ควร อย่าติดค้างเป็นวิญญาณพเนจรอยู่บนโลกมนุษย์อย่างนี้เลย!
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองดิฉัน...เชื่อไหมคะ? ตาเขาแดงวาบเหมือนแสงธูป พริบตาต่อมาเขาก็หายวับไปเลยละค่ะ...หายไปกับตาดิฉันนี่แหละ
ดิฉันเผลอปล่อยมือจากม่าน ก้าวถอยหลัง ใจสั่นระรัว แล้วรีบมุดเข้าใต้ผ้าห่ม หลับตาปี๋...เชื่อแล้วว่าผีมีจริง! แต๋มไม่ได้หลอกเล่น
รุ่งเช้าก็เล่าให้แต๋มฟัง เธอหัวเราะพอใจ บอกว่าดิฉันอาจเป็นคนปลดปล่อยวิญญาณก็ได้...ดีแล้ว ได้บุญดี!
คิดๆ แล้วยังสยองไม่หายเลย...นี่เป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551
บ้านของแต๋มอยู่ตรงทางสามแพร่ง
คุณลองนึกถึงอักษรตัว T ดูนะคะ ถ้าเรามาจากหน้าปากซอยที่ติดกับถนนใหญ่ ตรงลิ่วเข้าไป นี่ก็คือเส้นตั้งที่เป็นส่วนตัวของอักษร T สุดซอยจะมีกำแพงกั้นจนลวงตานึกว่าทางตัน แต่เปล่าหรอก...มันมีถนนแยกออกเป็น 2 ทาง จะไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ได้
นี่คือส่วนเส้นพาดบนหัวตัว T ไงคะ และดิฉันเจอผีตรงนี้แหละ
วันนั้นเป็นวันเสาร์ตอนพลบค่ำ เกือบทุ่มหนึ่งแล้วละ ดิฉันเดินเข้าซอยมากับแต๋ม เราหิ้วถุงกับข้าวและขนมนมเนยที่ซื้อมาจากร้านเซเว่นฯ พะรุงพะรังเชียว เพราะคืนนี้ดิฉันจะมาค้างบ้านแต๋มค่ะ
เราสองคนเรียนอยู่ปี 2 จะต้องทำงานกลุ่มส่งอาจารย์ให้ทันภายในวันอังคารที่จะถึงนี้ ดิฉันกับแต๋มเพิ่งรู้จักกันตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่เองค่ะ
แต๋มนิสัยดี เป็นผู้หญิงห้าวๆ แต่ไม่ใช่ทอมนะคะ เธอมีแฟนแล้ว สวีตกันจี๋เชียว... เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์ตอนเย็นๆ เขาก็จะมาหา มากินข้าวด้วย อย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ
ในซอยน่ะมืดตึ๊ดตื๋อ คนเขาเข้าบ้านปิดประตูเงียบเชียว ยังหัวค่ำอยู่เลย แต่ลมแรงมากนะคะ ลมพัดอู้ๆ น่ากลัว ไฟถนนส่องแสงมลังเมลือง ดิฉันกับแต๋มคุยกันมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงกำแพง...ก็กำแพงบ้านแต๋มละค่ะ ขวางซอยเป็นแนวยาวเหมือนเส้นพาดบนอักษรตัว T อย่างที่ดิฉันบอกข้างต้น
ด้วยเหตุที่ตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง ถ้าอยู่ในบ้านแต๋มละก็เราจะเห็นถนนพุ่งเข้าใส่ซึ่งโบราณว่าไม่ดี! คุณพ่อแต๋มเลยทำประตูเข้าบ้านเลี่ยงถนนซะ คือเราต้องเดินเลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง ก็จะเป็นประตูรั้วให้รถยนต์แล่นเข้าได้ และมีประตูเล็กติดอยู่ข้างๆ
พอเลี้ยวปุ๊บดิฉันก็ชะงึกกึก เพราะสายตาปะทะเข้ากับร่างๆ หนึ่ง!
ร่างนั้นเป็นผู้ชาย ท่าทางจะหนุ่มแน่นเชียว เขาเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างน่ะ นุ่งขาสั้นสีมอๆ และเขานั่งขัดสมาธิตัวตรง แต่ลำตัวกับศีรษะพิงแนบกำแพงติดกับประตูบานเล็ก ดิฉันเห็นหน้าเขาไม่ถนัดหรอกค่ะ มันมืดสลัว แม้จะมีไฟถนนส่องลงมา แต่ลมแรงก็พัดกิ่งมะม่วงที่อยู่เหนือประตูนั้น
เงาของใบมะม่วงแกว่งวูบวาบ ทำให้เกิดเหมือนภาพหลอนแปลกๆ น่าขนลุก
เมื่อดิฉันชะงักและกระตุกมือแต๋มเบาๆ แต๋มก็หันขวับมามองหน้าดิฉัน...แล้วมองตามสายตาไปที่ข้างประตูเล็ก
"เห็นอะไรเหรอ? เออ...ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาไม่ทำอะไรหรอก"
เธอหยิบกุญแจจากกระเป๋า เดินเข้าไปไขอย่างไม่เกรงกริ่งอะไรทั้งนั้น ดิฉันซะอีกใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวว่าร่างที่เห็นจะเป็นขี้ยา หรือคนเมายาบ้า เดี๋ยวพี่แกลุกขึ้นมาบีบคอเราจะว่ายังไง? แต่เมื่อผู้นำ...เอ๊ย! แต๋มเดินเข้าบ้านผ่านหน้าเขาไปอย่างองอาจ ดิฉันก็ตะกายตาม
เฮ้อ! ปิดประตูรั้วแทบไม่ทัน มือไม้สั่นไปหมด
"กลัวอะไร?" แต๋มหัวเราะกิ๊ก
"ผีหรือคนก็ไม่รู้สิ" ดิฉันตอบเสียงพร่า ใจคอหายหมด "ถ้าเป็นคนก็น่ากลัวกว่าผีเยอะเลยนะ ว่ามั้ย?"
"ฮ้า..." แต๋มร้องแบบขำๆ "เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ ง่ะ? งั้นจะบอกให้ก็ได้ว่า นั่นน่ะไม่ใช่คน! เธอเห็นแต่ฉันไม่เห็น...แต่ฉันรู้! เมื่อ 5 ปีก่อนตำรวจต้อนผู้ร้ายมาแล้วก็มายิงกันตรงนี้! แน่ละ...ตำรวจชนะ ผู้ร้ายน่ะตายแหงแก๋ เลือดยังเป็นทางติดกำแพงอยู่เลย พรุ่งนี้จะชี้ให้ดู ล้างเท่าไหร่ก็ล้างไม่ออก"
แต๋มเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นละครทีวี ไม่ใช่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าบ้านเธอ!
"ไม่ต้องกลัวหรอกน่า" แต๋มยังมาปลอบดิฉันอีก "นี่ปอ...เธอไม่รู้เหรอว่าเขาเจอกันทั้งนั้น บางทีก็มานั่งพิงกำแพงตรงที่เขาตาย บางทีก็เดินวนไปวนมา"
แหม! แต๋มใจแข็งนี่นา คนใจแข็งมักไม่ค่อยมีผีมาปรากฏให้เห็นหรอก
"สงสารนะ! บ้านเราทำบุญให้บ่อยๆ แต่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดซะที" เธอบ่น...ดิฉันสิ เนื้อตัวเย็นเฉียบเลยนะ แถมคืนนี้ยังต้องค้างที่นี่อีก....ทำไงดีละคราวนี้?
ดึกดื่นคืนนั้น เราทำรายงานกันเกือบเสร็จแล้ว แต่แต๋มง่วงนอน...เธอคลานขึ้นเตียงและหลับไปแทบทันที ดิฉันเหลือบดูนาฬิกา...ตีสองกว่าๆ แล้ว แต่ท่าทางดิฉันจะนอนไม่หลับละนา...มันแปลกที่ค่ะ และกลัวผีด้วย!
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ดิฉันแอบมองที่ม่าน...นั่นไง? ชายที่ไม่ใส่เสื้อ นุ่งแต่ขาสั้นสีมอๆ เดินวนไปวนมา จริงอย่างแต๋มว่า
ดิฉันนึกสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ แต่อึดใจต่อมาก็ตั้งสติได้...ท่าทางของชายคนนี้เหมือนคนธรรมดาๆ เราดีๆ นี่เอง...หรือว่าเพื่อนจะอำเราเล่น?
ไม่รู้นึกยังไง ดิฉันอธิษฐานอยู่ในใจว่า บุญกุศลที่ทำมาดิฉันขออุทิศให้ชายคนนี้ ให้เขาไปสู่ภพภูมิตามที่ถูกที่ควร อย่าติดค้างเป็นวิญญาณพเนจรอยู่บนโลกมนุษย์อย่างนี้เลย!
ทันใดนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองดิฉัน...เชื่อไหมคะ? ตาเขาแดงวาบเหมือนแสงธูป พริบตาต่อมาเขาก็หายวับไปเลยละค่ะ...หายไปกับตาดิฉันนี่แหละ
ดิฉันเผลอปล่อยมือจากม่าน ก้าวถอยหลัง ใจสั่นระรัว แล้วรีบมุดเข้าใต้ผ้าห่ม หลับตาปี๋...เชื่อแล้วว่าผีมีจริง! แต๋มไม่ได้หลอกเล่น
รุ่งเช้าก็เล่าให้แต๋มฟัง เธอหัวเราะพอใจ บอกว่าดิฉันอาจเป็นคนปลดปล่อยวิญญาณก็ได้...ดีแล้ว ได้บุญดี!
คิดๆ แล้วยังสยองไม่หายเลย...นี่เป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551
19 กุมภาพันธ์ 2559
วิญญาณหลอน
"ดำเนิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่า
ผมเช่าห้องอยู่บนชั้น 3 ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถวราชเทวีนี่เอง เขาว่าห้องที่ผมเช่านี้ เมื่อก่อนเคยมีนักศึกษาคนหนึ่งอาศัยอยู่ เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาดี แต่มีอันเป็นไป ต้องตายก่อนวัยอันสมควร
ตอนผมย้ายเข้ามาใหม่ๆ ห้องนี้ยังมีกลิ่นอายของผู้หญิงอยู่! อ้าว? ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ
ถึงแม้ข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกขนย้ายไปหมดไม่เหลือหลอ ญาติๆ ของเธอมาขนไปน่ะครับ กระทั่งผ้าม่านก็เอาไปด้วย คนในอพาร์ตเมนต์บอกว่า เมื่อก่อนเคยเป็นม่านลายกุหลาบสวยจับใจ มันถูกปลดไปแล้ว ผมต้องหาผ้าม่านสีน้ำเงินทึบมาใส่แทน
เตียงนอนผมก็ซื้อเอง ไม่ได้ใช้ของคนที่เคยอยู่มาก่อนหรอกครับ แต่กระนั้น ผมจำได้ว่าวันแรกที่อยู่ในห้องนี้ตามลำพัง ผมได้กลิ่น กุหลาบอ่อนๆ เป็นน้ำหอมคล้ายๆ ทีโรส...หอมชื่นใจซะไม่มี!
นี่ถ้าเป็นคนขวัญอ่อนละก็กลัวปอดแหกไปแล้ว แต่ผมคิดว่ากลิ่นมันยังอวลอยู่เป็นธรรมดา เจ้าของห้องคนก่อนคงจะฉีดละอองน้ำหอมกลิ่นนี้ทุกวี่ทุกวันแน่ๆ เลย
นึกหลับตาเห็นภาพเลยละครับ...
สาวน้อยร่างอรชรในชุดนักศึกษา คงหันซ้ายหันขวาอยู่ที่หน้ากระจกแต่งตัวสำรวจความเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ก่อนจะคลาไคลไปเรียนหนังสือ! เฮ้อ...น่าเสียดายจริงๆ เธอไม่น่าอายุสั้นเลย
ผมไม่เคยเห็นตัวตนของเธอหรอก แต่คนแถวนี้บอกว่าเธอสวย ผมก็นึกวาดภาพเอาตามสเป๊กของผมเอง...อย่าถือสาหนุ่มโสด พนักงานบริษัทโฆษณาอย่างผมเลย
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าๆ ผมสุขสบายพอตัว คนแถวนี้แซวว่าไม่กลัวผีเหรอ? แหม! ผมไม่กลัวหรอกครับ คนเราตายแล้วตายเลย จะกลับมาหลอกหลอนได้ไง? คนกลัวผีน่ะหลอกตัวเองทั้งเพนะ ผมว่า...
ขืนคนตายกลับมาหาคนเป็นได้จริงๆ ป่านนี้คงเจอะเจอกันถ้วนหน้าแล้วละมั้ง?
สุดสัปดาห์ก่อนพี่สาวผมแวะมาเยี่ยม พาหลานอายุ 12 ขวบมาด้วย เป็นหลานสาวครับ ชื่อน้องแก้ม น่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาไปทะเลที่ระยองกันมา น้องแก้มตัวดำเป็นเหนี่ยงเชียว สงสัยเล่นน้ำทะเลทั้งวัน หลานผมคนนี้ว่ายน้ำเก่ง
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่พวกเขามาหาผม แวะเอาขนมของฝากมาให้...ห้องผมก็พลันมีกลิ่นแปลกๆ มันเป็นกลิ่นเน่าเค็มๆ ที่ตอนแรกก็โชยมาอ่อนๆ เหม็นตุๆ แล้วก็แรงขึ้นๆ จนผมแทบทนไม่ได้...
ตัวอะไรมาตายวะ...เหม็นเน่าคลุ้งไปหมด!
และแล้วผมก็หาจนพบ มันเป็นปูเสฉวนตัวใหญ่มาก...ใหญ่เกือบเท่ากำปั้นเราแน่ะ! ตัวมันโตกว่าปูเค็มที่เขาใส่ส้มตำ มันตายจนเน่าเป็นฟองน่าขยะแขยง แถมเหม็นร้ายกาจ
ผมโทร.ไปบอกพี่แต้วว่า น้องแก้มมาลืมเสฉวนไว้ที่ระเบียงห้องผม...พี่แต้วงงใหญ่ เรียกน้องแก้มที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมาถาม น้องแก้มคุยกับผม เธอยืนยันว่าไม่ได้จับปูจับปลาอะไรมาทั้งนั้น เธอมีแต่โมบายเปลือกหอยที่ซื้อมาฝากผมเท่านั้นจริงๆ
เอ...แล้วเจ้าเสฉวนตัวเหม็นนี่มันจะมาได้ยังไง?
นี่มันสัตว์ทะเลนะ! ถ้าไม่มีใครพามันมา มันก็ปีนขึ้นมานอนแอ้งแม้งตายอนาถบนชั้น 3 นี่ไม่ได้หรอกน่า!
เสียงน้องแก้มยืนยันหนักแน่น จนผมเชื่อว่าเธอไม่ได้จับสัตว์ทะเลใดๆ มาเลย แต่ทีนี้ผมก็งงซิ...ถ้าน้องแก้มไม่ได้เอามา แล้วมันมาได้ไง? โอย...ช่างเถอะ! คิดแล้วปวดหัวเปล่าๆ
คืนนั้นผมฝันครับ...ผมเห็นเด็กสาวผมยาวกำลังเล่นน้ำทะเลกับเพื่อนๆ แล้วเธอก็จมน้ำ ขณะที่เพื่อนๆ ไม่มีใครสนใจเหลียวมาดูเลย
ในฝัน...ผมถูกเธอฉุดลงไปในทะเลลึกด้วยกัน ผมเห็นความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผมรู้สึกถึงความแสบสุดขีด ทั้งจมูก ปากและช่องอก ผมรู้สึกถึงแรงสะอึกเป็นครั้งสุดท้าย ที่ลมทะลักพรวดออกจากปอด น้ำทะเลไหลเข้าไปแทนที่...
มันอึดอัดก่อนจะปล่อยร่างไปตามแรงคลื่น เหมือนตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว ผมที่สยายแผ่ไปรอบๆ คล้ายกับสาหร่าย...
ผมตื่นขึ้นด้วยใจระทึก เหนื่อยมาก ปวดในอกเหมือนคนเป็นโรคหัวใจจนต้องกำหน้าอกแน่น เหงื่อแตกซิกทั้งๆ ที่แอร์เย็นเฉียบ รู้สึกว่าผมจมน้ำตายแล้วในความฝัน...และนี่ ผมตื่นจากความตาย!
มันน่ากลัวและเป็นจริงเป็นจังจนผมไปเล่าให้แม่ค้าข้าวแกงชั้นล่างอพาร์ตเมนต์ฟัง เธอถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ถามว่า...รู้มั้ยว่าเจ้าของห้องเขาเป็นอะไรตาย?
เออ! จริงซิ ผมไม่เคยรู้เลย งั้นผมขอเดาเล่นๆ แล้วกัน...จมน้ำตาย!?
ใช่! เธอที่น่าสงสารจมน้ำตายที่ระยอง!
เป็นไปได้ไงเนี่ย? บังเอิญซะละมั้ง...หลานสาวกับพี่สาวเพิ่งกลับจากระยอง...เสฉวนปริศนาที่มาตายบนระเบียง! กลิ่นเน่าที่ยังติดจมูก...
ทุกอย่างนี่อาจทำให้ผมเพ้อเจ้อ จินตนาการเห็นความตายของเด็กสาว...มันอาจไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ผมคงประมวลเอาข้อมูลในโลกความจริงทุกอย่างมาแต่งเรื่องฝันขึ้นมาเอง
ผมไม่เชื่อเรื่องผีนี่นา...
กินข้าวเสร็จผมก็กลับขึ้นห้อง พอเปิดประตูเข้าไปผมก็แว่วเสียงคล้ายผู้หญิงทักทาย! เอาละซิ...ผมคิดไปเองอีกแล้ว ผีไม่มีจริงหรอกครับคุณ! บรื๋ออออ....
ผมเช่าห้องอยู่บนชั้น 3 ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถวราชเทวีนี่เอง เขาว่าห้องที่ผมเช่านี้ เมื่อก่อนเคยมีนักศึกษาคนหนึ่งอาศัยอยู่ เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาดี แต่มีอันเป็นไป ต้องตายก่อนวัยอันสมควร
ตอนผมย้ายเข้ามาใหม่ๆ ห้องนี้ยังมีกลิ่นอายของผู้หญิงอยู่! อ้าว? ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ
ถึงแม้ข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกขนย้ายไปหมดไม่เหลือหลอ ญาติๆ ของเธอมาขนไปน่ะครับ กระทั่งผ้าม่านก็เอาไปด้วย คนในอพาร์ตเมนต์บอกว่า เมื่อก่อนเคยเป็นม่านลายกุหลาบสวยจับใจ มันถูกปลดไปแล้ว ผมต้องหาผ้าม่านสีน้ำเงินทึบมาใส่แทน
เตียงนอนผมก็ซื้อเอง ไม่ได้ใช้ของคนที่เคยอยู่มาก่อนหรอกครับ แต่กระนั้น ผมจำได้ว่าวันแรกที่อยู่ในห้องนี้ตามลำพัง ผมได้กลิ่น กุหลาบอ่อนๆ เป็นน้ำหอมคล้ายๆ ทีโรส...หอมชื่นใจซะไม่มี!
นี่ถ้าเป็นคนขวัญอ่อนละก็กลัวปอดแหกไปแล้ว แต่ผมคิดว่ากลิ่นมันยังอวลอยู่เป็นธรรมดา เจ้าของห้องคนก่อนคงจะฉีดละอองน้ำหอมกลิ่นนี้ทุกวี่ทุกวันแน่ๆ เลย
นึกหลับตาเห็นภาพเลยละครับ...
สาวน้อยร่างอรชรในชุดนักศึกษา คงหันซ้ายหันขวาอยู่ที่หน้ากระจกแต่งตัวสำรวจความเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ก่อนจะคลาไคลไปเรียนหนังสือ! เฮ้อ...น่าเสียดายจริงๆ เธอไม่น่าอายุสั้นเลย
ผมไม่เคยเห็นตัวตนของเธอหรอก แต่คนแถวนี้บอกว่าเธอสวย ผมก็นึกวาดภาพเอาตามสเป๊กของผมเอง...อย่าถือสาหนุ่มโสด พนักงานบริษัทโฆษณาอย่างผมเลย
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าๆ ผมสุขสบายพอตัว คนแถวนี้แซวว่าไม่กลัวผีเหรอ? แหม! ผมไม่กลัวหรอกครับ คนเราตายแล้วตายเลย จะกลับมาหลอกหลอนได้ไง? คนกลัวผีน่ะหลอกตัวเองทั้งเพนะ ผมว่า...
ขืนคนตายกลับมาหาคนเป็นได้จริงๆ ป่านนี้คงเจอะเจอกันถ้วนหน้าแล้วละมั้ง?
สุดสัปดาห์ก่อนพี่สาวผมแวะมาเยี่ยม พาหลานอายุ 12 ขวบมาด้วย เป็นหลานสาวครับ ชื่อน้องแก้ม น่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาไปทะเลที่ระยองกันมา น้องแก้มตัวดำเป็นเหนี่ยงเชียว สงสัยเล่นน้ำทะเลทั้งวัน หลานผมคนนี้ว่ายน้ำเก่ง
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่พวกเขามาหาผม แวะเอาขนมของฝากมาให้...ห้องผมก็พลันมีกลิ่นแปลกๆ มันเป็นกลิ่นเน่าเค็มๆ ที่ตอนแรกก็โชยมาอ่อนๆ เหม็นตุๆ แล้วก็แรงขึ้นๆ จนผมแทบทนไม่ได้...
ตัวอะไรมาตายวะ...เหม็นเน่าคลุ้งไปหมด!
และแล้วผมก็หาจนพบ มันเป็นปูเสฉวนตัวใหญ่มาก...ใหญ่เกือบเท่ากำปั้นเราแน่ะ! ตัวมันโตกว่าปูเค็มที่เขาใส่ส้มตำ มันตายจนเน่าเป็นฟองน่าขยะแขยง แถมเหม็นร้ายกาจ
ผมโทร.ไปบอกพี่แต้วว่า น้องแก้มมาลืมเสฉวนไว้ที่ระเบียงห้องผม...พี่แต้วงงใหญ่ เรียกน้องแก้มที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมาถาม น้องแก้มคุยกับผม เธอยืนยันว่าไม่ได้จับปูจับปลาอะไรมาทั้งนั้น เธอมีแต่โมบายเปลือกหอยที่ซื้อมาฝากผมเท่านั้นจริงๆ
เอ...แล้วเจ้าเสฉวนตัวเหม็นนี่มันจะมาได้ยังไง?
นี่มันสัตว์ทะเลนะ! ถ้าไม่มีใครพามันมา มันก็ปีนขึ้นมานอนแอ้งแม้งตายอนาถบนชั้น 3 นี่ไม่ได้หรอกน่า!
เสียงน้องแก้มยืนยันหนักแน่น จนผมเชื่อว่าเธอไม่ได้จับสัตว์ทะเลใดๆ มาเลย แต่ทีนี้ผมก็งงซิ...ถ้าน้องแก้มไม่ได้เอามา แล้วมันมาได้ไง? โอย...ช่างเถอะ! คิดแล้วปวดหัวเปล่าๆ
คืนนั้นผมฝันครับ...ผมเห็นเด็กสาวผมยาวกำลังเล่นน้ำทะเลกับเพื่อนๆ แล้วเธอก็จมน้ำ ขณะที่เพื่อนๆ ไม่มีใครสนใจเหลียวมาดูเลย
ในฝัน...ผมถูกเธอฉุดลงไปในทะเลลึกด้วยกัน ผมเห็นความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผมรู้สึกถึงความแสบสุดขีด ทั้งจมูก ปากและช่องอก ผมรู้สึกถึงแรงสะอึกเป็นครั้งสุดท้าย ที่ลมทะลักพรวดออกจากปอด น้ำทะเลไหลเข้าไปแทนที่...
มันอึดอัดก่อนจะปล่อยร่างไปตามแรงคลื่น เหมือนตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว ผมที่สยายแผ่ไปรอบๆ คล้ายกับสาหร่าย...
ผมตื่นขึ้นด้วยใจระทึก เหนื่อยมาก ปวดในอกเหมือนคนเป็นโรคหัวใจจนต้องกำหน้าอกแน่น เหงื่อแตกซิกทั้งๆ ที่แอร์เย็นเฉียบ รู้สึกว่าผมจมน้ำตายแล้วในความฝัน...และนี่ ผมตื่นจากความตาย!
มันน่ากลัวและเป็นจริงเป็นจังจนผมไปเล่าให้แม่ค้าข้าวแกงชั้นล่างอพาร์ตเมนต์ฟัง เธอถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ถามว่า...รู้มั้ยว่าเจ้าของห้องเขาเป็นอะไรตาย?
เออ! จริงซิ ผมไม่เคยรู้เลย งั้นผมขอเดาเล่นๆ แล้วกัน...จมน้ำตาย!?
ใช่! เธอที่น่าสงสารจมน้ำตายที่ระยอง!
เป็นไปได้ไงเนี่ย? บังเอิญซะละมั้ง...หลานสาวกับพี่สาวเพิ่งกลับจากระยอง...เสฉวนปริศนาที่มาตายบนระเบียง! กลิ่นเน่าที่ยังติดจมูก...
ทุกอย่างนี่อาจทำให้ผมเพ้อเจ้อ จินตนาการเห็นความตายของเด็กสาว...มันอาจไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ผมคงประมวลเอาข้อมูลในโลกความจริงทุกอย่างมาแต่งเรื่องฝันขึ้นมาเอง
ผมไม่เชื่อเรื่องผีนี่นา...
กินข้าวเสร็จผมก็กลับขึ้นห้อง พอเปิดประตูเข้าไปผมก็แว่วเสียงคล้ายผู้หญิงทักทาย! เอาละซิ...ผมคิดไปเองอีกแล้ว ผีไม่มีจริงหรอกครับคุณ! บรื๋ออออ....
18 กุมภาพันธ์ 2559
บ้านปริศนา
"จันทร์ฉาย" เล่าประสบการณ์สยองขวัญ
เรื่องลึกลับน่าสยองขวัญในบ้านริมแม่น้ำ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เกิดขึ้นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่?
ผู้ใหญ่อาจจะไม่กลัว หรือไม่ก็ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับเด็กๆวัยสิบขวบเศษอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ ภาพหลอนอารมณ์สุดขีดยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ไม่มีวันจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ แน่นอน
สมัยนั้น พวกเราเรียกว่า "บ้านผีสิง" ค่ะ!
จากสถานีรถไฟ ผ่านตลาดไปสู่ถนนเลียบแม่น้ำ มีบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกกันห่างๆ ส่วนมากเป็นบ้านสองชั้น ที่เป็นชั้นเดียวก็นิยมลาดปูนใต้ถุนเรือน มีโต๊ะใหญ่สารพัดประโยชน์ ตั้งอยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและโต๊ะรับแขกพร้อมสรรพ
มองจากหน้าบ้านเข้าไปมักจะเป็นที่โล่งๆ มีโต๊ะหินสำหรับนั่งเล่น บางบ้านก็มีกรงนกเขาแขวนที่ระเบียง แม่ไก่คุมฝูงลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหากินเป็นภาพที่เห็นจนเจนตาเจนใจ
ทั่วๆ ไปมักไม่มีรั้วหรอกค่ะ นิยมปลูกมะพร้าว มะละกอ ขนุน มะม่วงหรือมะยมไว้หน้าบ้าน อย่างดีก็ปักเสาห่างๆ ใช้ไม้ไผ่พาดตามขวางไว้ 3-4 ท่อน บางบ้านก็ปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรยไว้ข้างรั้ว
บ้านติดๆ กับดิฉันคือลุงยิ่งกับป้าแย้ม มีอาชีพค้าขายในตลาด ลูกสาวคนเดียวชื่อลำไย อายุราว 17 ปี หน้าตาสะสวยคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เรียนแค่ ม.3 ก็ออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน บางวันโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็ญถึงจะยอมออกไปช่วยขายของ
ลำไยชอบหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ นัยน์ตาแวววาวหยาดเยิ้มที่ชาวบ้านนินทาว่า "เจ้าชู้" ตกเย็นลุงยิ่งเมาเหล้าเข้าไปเป็นร้องด่าลูกสาว หาว่าชอบให้ท่าผู้ชาย พอป้าแย้มร้องห้ามก็ยิ่งยั่วโทสะให้เสียงดังเหมือนตะโกน มีการทุบตีลูกเมียจนดังโครมครามน่าตกใจ
ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเสียงทะเลาะกับเสียงทุบตี ตามด้วยเสียงหวีดร้องของลำไย...ก็ได้ข่าวว่าป้าแย้มตกบันไดลงมาคอหักตาย!
ลุงยิ่งจมอยู่กับขวดเหล้า ลำไยก็เอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งงานศพผ่านไป...
ไม่มีใครเห็นหน้าลำไยอีกเลย ลุงยิ่งก็เลิกไปขายของที่ตลาด นานๆ ถึงจะขับรถกระบะออกจากบ้าน ซื้ออาหารทั้งสดและแห้งมาตุนไว้ มีคนเล่าว่าแกรูปร่างผ่ายผอมผิดตา หน้าดำคล้ำ นัยน์ตาลึกโหลแดงก่ำเหมือนกะปูด มองใครก็มีแววขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต
ทุกคนพูดตรงกันว่า ลุงยิ่งเหม็นสาบเหม็นสางราวกับคนจรจัด ใครถามถึงลูกสาวลุงยิ่งก็ขบกราม นัยน์ตาขุ่นขวางยิ่งกว่าเดิม ตอบห้วนๆ ว่า...มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว...
นอกจากลำไย ดูเหมือนลุงยิ่งก็สูญหายไปอีกคน!
ไม่มีใครเห็นแกนั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะใหญ่ใต้ถุนบ้าน เพื่อนฝูงจากตลาดมาหา ทั้งตะโกนทั้งกดแตรเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ...บางคนก็เดาว่าลุงยิ่งคงจะออกไปตามหาลูกสาว แต่บาง คนก็เดาว่า แกคงจะเมากลิ้งอยู่บนบ้าน หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วโดยไม่มีใครล่วงรู้
แต่ยังหรอกค่ะ...ลุงยิ่งยังไม่ตาย! เพราะตอนกลางคืนพวกเราเห็นไฟสว่างจ้าที่ชั้นบน บางคืนก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของแกยืนทะมึนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าลุงยิ่งยังมีชีวิตอยู่...
ตอนเย็นๆ พวกเราชอบไปเดินเล่นที่ริมตลิ่ง ลมจากแม่น้ำพัดโชยเข้ามาเยือกเย็น แต่บางวันก็พัดแรงจนดิฉันขนลุกเกรียว...ตกค่ำเดินกลับบ้านก็อดมองไปทางบ้านลุงยิ่งไม่ได้...มันมืดครึ้มน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับจะมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝง ซุกซ่อนไว้ในนั้นอย่างน่าสยดสยอง...
จู่ๆ ก็มีไฟเปิดพรึ่บขึ้นที่ชั้นบน ดิฉันเงยหน้ามองก็เห็นลุงยิ่งยืนจังก้า สองมือเท้าขอบหน้าต่าง ท่าทางเหมือนจะกระโจนลงมาหาในพริบตา
วิ่งซีคะ...รวดเดียวถึงบ้าน หอบแฮกๆ แทบจะขาดใจตาย!
ชาวบ้านพูดกันว่า ลุงยิ่งคงเสียใจสุดขีด ไหนจะเมียตายอย่างน่าสยอง ไหนจะลูกสาวหายสาบสูญไปโดยไม่มีร่องรอย จนแกสติแตก ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับใคร ไม่โผล่ไปให้ใครเห็นหน้า คล้ายจะเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวจนถึงวันตาย! บางคนส่ายหน้า บอกว่าหมกอยู่กับน้ำเมาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะหมดสติ ไม่ช้าก็คงตายตามป้าแย้มไปจริงๆ
บางคนก็หลุดปากว่า...ตายิ่งแกอาจจะฆ่าลูกสาวหมกไว้หลังบ้านที่เป็นป่าละเมาะก็ได้? แกคงเมาจนขาดสติ พลั้งเผลอทำอะไรลงไป แต่โดนขัดขืนก็เลยบันดาลโทสะ กลายเป็นฆาตกรใจโหดในพริบตา!
บ้านนั้นกลายเป็นบ้านปริศนา ใครผ่านก็หันมอง วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา...จนกระทั่งมีคนสังเกตว่า ไม่มีแสงไฟในยามค่ำคืนมานานแล้ว หน้าต่างยังเปิดโล่งตามเดิม แต่ไม่มีใครเห็นลุงยิ่งมายืนที่หน้าต่างอีกต่อไป
ในที่สุด มีญาติจากราชบุรีมาหา...ครั้นรู้เรื่องจากชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านตั้งสิบกว่าคนที่ตามเข้าไป รวมทั้งเด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอย่างพวกเรา
ดิฉันใจเต้นตึกตัก มือเย็นเท้าเย็นไปหมด นึกวาดภาพว่าจะเห็นศพลุงยิ่งอยู่ในห้องนอน กำลังขึ้นอืดหรือเน่าเฟะ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไร นอกจากกลิ่นอับๆ และสาบสางเตะจมูก...ไม่มีวี่แววของลุงยิ่งหรือลำไยในบ้านนั้นเลย!
หลายๆ คนเข้าไปสำรวจหลังบ้าน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เช่นหลุมศพของลำไยที่ลือกันว่าถูกพ่อฆ่าแล้วฝัง...คนทั้งสองดูเหมือนจะหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น
พวกญาติลุงยิ่งมาขนข้าวของใส่รถบรรทุกไป บอกฝากขายบ้านไว้ด้วย...ยังไม่ทันมีใครจะมาติดต่อขอซื้อหรือขอดู จู่ๆ บ้านหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก รุ่งเช้าก็เหลือแต่เถ้าถ่านกองใหญ่ ควันลอยกรุ่น...ติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้!
เรื่องลึกลับน่าสยองขวัญในบ้านริมแม่น้ำ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เกิดขึ้นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่?
ผู้ใหญ่อาจจะไม่กลัว หรือไม่ก็ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับเด็กๆวัยสิบขวบเศษอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ ภาพหลอนอารมณ์สุดขีดยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ไม่มีวันจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ แน่นอน
สมัยนั้น พวกเราเรียกว่า "บ้านผีสิง" ค่ะ!
จากสถานีรถไฟ ผ่านตลาดไปสู่ถนนเลียบแม่น้ำ มีบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกกันห่างๆ ส่วนมากเป็นบ้านสองชั้น ที่เป็นชั้นเดียวก็นิยมลาดปูนใต้ถุนเรือน มีโต๊ะใหญ่สารพัดประโยชน์ ตั้งอยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและโต๊ะรับแขกพร้อมสรรพ
มองจากหน้าบ้านเข้าไปมักจะเป็นที่โล่งๆ มีโต๊ะหินสำหรับนั่งเล่น บางบ้านก็มีกรงนกเขาแขวนที่ระเบียง แม่ไก่คุมฝูงลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหากินเป็นภาพที่เห็นจนเจนตาเจนใจ
ทั่วๆ ไปมักไม่มีรั้วหรอกค่ะ นิยมปลูกมะพร้าว มะละกอ ขนุน มะม่วงหรือมะยมไว้หน้าบ้าน อย่างดีก็ปักเสาห่างๆ ใช้ไม้ไผ่พาดตามขวางไว้ 3-4 ท่อน บางบ้านก็ปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรยไว้ข้างรั้ว
บ้านติดๆ กับดิฉันคือลุงยิ่งกับป้าแย้ม มีอาชีพค้าขายในตลาด ลูกสาวคนเดียวชื่อลำไย อายุราว 17 ปี หน้าตาสะสวยคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เรียนแค่ ม.3 ก็ออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน บางวันโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็ญถึงจะยอมออกไปช่วยขายของ
ลำไยชอบหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ นัยน์ตาแวววาวหยาดเยิ้มที่ชาวบ้านนินทาว่า "เจ้าชู้" ตกเย็นลุงยิ่งเมาเหล้าเข้าไปเป็นร้องด่าลูกสาว หาว่าชอบให้ท่าผู้ชาย พอป้าแย้มร้องห้ามก็ยิ่งยั่วโทสะให้เสียงดังเหมือนตะโกน มีการทุบตีลูกเมียจนดังโครมครามน่าตกใจ
ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเสียงทะเลาะกับเสียงทุบตี ตามด้วยเสียงหวีดร้องของลำไย...ก็ได้ข่าวว่าป้าแย้มตกบันไดลงมาคอหักตาย!
ลุงยิ่งจมอยู่กับขวดเหล้า ลำไยก็เอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งงานศพผ่านไป...
ไม่มีใครเห็นหน้าลำไยอีกเลย ลุงยิ่งก็เลิกไปขายของที่ตลาด นานๆ ถึงจะขับรถกระบะออกจากบ้าน ซื้ออาหารทั้งสดและแห้งมาตุนไว้ มีคนเล่าว่าแกรูปร่างผ่ายผอมผิดตา หน้าดำคล้ำ นัยน์ตาลึกโหลแดงก่ำเหมือนกะปูด มองใครก็มีแววขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต
ทุกคนพูดตรงกันว่า ลุงยิ่งเหม็นสาบเหม็นสางราวกับคนจรจัด ใครถามถึงลูกสาวลุงยิ่งก็ขบกราม นัยน์ตาขุ่นขวางยิ่งกว่าเดิม ตอบห้วนๆ ว่า...มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว...
นอกจากลำไย ดูเหมือนลุงยิ่งก็สูญหายไปอีกคน!
ไม่มีใครเห็นแกนั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะใหญ่ใต้ถุนบ้าน เพื่อนฝูงจากตลาดมาหา ทั้งตะโกนทั้งกดแตรเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ...บางคนก็เดาว่าลุงยิ่งคงจะออกไปตามหาลูกสาว แต่บาง คนก็เดาว่า แกคงจะเมากลิ้งอยู่บนบ้าน หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วโดยไม่มีใครล่วงรู้
แต่ยังหรอกค่ะ...ลุงยิ่งยังไม่ตาย! เพราะตอนกลางคืนพวกเราเห็นไฟสว่างจ้าที่ชั้นบน บางคืนก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของแกยืนทะมึนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าลุงยิ่งยังมีชีวิตอยู่...
ตอนเย็นๆ พวกเราชอบไปเดินเล่นที่ริมตลิ่ง ลมจากแม่น้ำพัดโชยเข้ามาเยือกเย็น แต่บางวันก็พัดแรงจนดิฉันขนลุกเกรียว...ตกค่ำเดินกลับบ้านก็อดมองไปทางบ้านลุงยิ่งไม่ได้...มันมืดครึ้มน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับจะมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝง ซุกซ่อนไว้ในนั้นอย่างน่าสยดสยอง...
จู่ๆ ก็มีไฟเปิดพรึ่บขึ้นที่ชั้นบน ดิฉันเงยหน้ามองก็เห็นลุงยิ่งยืนจังก้า สองมือเท้าขอบหน้าต่าง ท่าทางเหมือนจะกระโจนลงมาหาในพริบตา
วิ่งซีคะ...รวดเดียวถึงบ้าน หอบแฮกๆ แทบจะขาดใจตาย!
ชาวบ้านพูดกันว่า ลุงยิ่งคงเสียใจสุดขีด ไหนจะเมียตายอย่างน่าสยอง ไหนจะลูกสาวหายสาบสูญไปโดยไม่มีร่องรอย จนแกสติแตก ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับใคร ไม่โผล่ไปให้ใครเห็นหน้า คล้ายจะเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวจนถึงวันตาย! บางคนส่ายหน้า บอกว่าหมกอยู่กับน้ำเมาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะหมดสติ ไม่ช้าก็คงตายตามป้าแย้มไปจริงๆ
บางคนก็หลุดปากว่า...ตายิ่งแกอาจจะฆ่าลูกสาวหมกไว้หลังบ้านที่เป็นป่าละเมาะก็ได้? แกคงเมาจนขาดสติ พลั้งเผลอทำอะไรลงไป แต่โดนขัดขืนก็เลยบันดาลโทสะ กลายเป็นฆาตกรใจโหดในพริบตา!
บ้านนั้นกลายเป็นบ้านปริศนา ใครผ่านก็หันมอง วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา...จนกระทั่งมีคนสังเกตว่า ไม่มีแสงไฟในยามค่ำคืนมานานแล้ว หน้าต่างยังเปิดโล่งตามเดิม แต่ไม่มีใครเห็นลุงยิ่งมายืนที่หน้าต่างอีกต่อไป
ในที่สุด มีญาติจากราชบุรีมาหา...ครั้นรู้เรื่องจากชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านตั้งสิบกว่าคนที่ตามเข้าไป รวมทั้งเด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอย่างพวกเรา
ดิฉันใจเต้นตึกตัก มือเย็นเท้าเย็นไปหมด นึกวาดภาพว่าจะเห็นศพลุงยิ่งอยู่ในห้องนอน กำลังขึ้นอืดหรือเน่าเฟะ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไร นอกจากกลิ่นอับๆ และสาบสางเตะจมูก...ไม่มีวี่แววของลุงยิ่งหรือลำไยในบ้านนั้นเลย!
หลายๆ คนเข้าไปสำรวจหลังบ้าน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เช่นหลุมศพของลำไยที่ลือกันว่าถูกพ่อฆ่าแล้วฝัง...คนทั้งสองดูเหมือนจะหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น
พวกญาติลุงยิ่งมาขนข้าวของใส่รถบรรทุกไป บอกฝากขายบ้านไว้ด้วย...ยังไม่ทันมีใครจะมาติดต่อขอซื้อหรือขอดู จู่ๆ บ้านหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก รุ่งเช้าก็เหลือแต่เถ้าถ่านกองใหญ่ ควันลอยกรุ่น...ติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้!
15 กุมภาพันธ์ 2559
กลิ่นน้ำอบไทย
"บิลลี่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอยุธยา
ตอนเด็กๆ หมอดูเคยบอกว่า ดวงผมน่ะจะให้ดีต้องพลัดถิ่นไปอยู่แดนไกล!
บอกตรงๆ ว่าฟังแล้วผมใจหายวาบๆ กอดแขนแม่แจ นึกด่าหมอดูในใจไปด้วย ที่ไหนได้ พอโตขึ้นผมกลับต้องนึกถึงคำของหมอดูอย่างสุดแสนจะนับถือ เพราะคำทำนายของแกแม่นยำราวกับตาเห็น
ผมเรียนจบ ม.6 แล้วเข้ามหาวิทยาลัยได้ 2 ปี แต่ให้ตายเถอะ! ผมดันไปเข้าคณะที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลยจริงๆ เลือกไปได้ไงก็ไม่รู้ตอนนั้นเพียงขอให้เอ็นท์ติดเท่านั้นแหละ...ผลก็คือฝืนทนจนสุดจะกล้ำกลืน พอดี๊พอดีผมไปเยี่ยมญาติที่อเมริกากับพ่อแม่และน้องสาว ดวงชะตาผมแผลงฤทธิ์ตั้งแต่บัดนั้น!
อาของผมชวนให้อยู่ด้วยกันที่โน่น ผมก็ว่าง่ายครับ อยู่กับอาเลย...หาเรื่องเรียนสิ่งที่ผมชอบเป็นคอร์สๆ ไป ขณะเดียวกันก็ช่วยคุณอาทำร้านอาหาร
จากนั้นมาจนทุกวันนี้ ผมมีภรรยาเป็นคนอเมริกัน และได้ดิบได้ดี มีลูกๆ มีบ้านมีการงานทำ อยู่อย่างสบายแฮ นานๆ ทีถึงจะเดินทางกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่เมืองไทย คิดๆ แล้วก็ราวๆ 3-4 ปีครั้ง เราไม่ค่อยติดต่อกันนัก เพราะขี้เกียจโทรศัพท์ ขี้เกียจเขียนจดหมาย ขี้เกียจส่งอีเมล์...ถึงยังไงเราก็รักกันเหนียวแน่น ไม่มีเสื่อมคลายหรอกครับ
พ่อแม่และน้องสาวอยู่คอนโดมิเนียมที่พระรามสาม เวลาผมนึกจะกลับบ้านก็มักขึ้นเครื่องบิน บินตรงมาลงกรุงเทพฯ ถือกระเป๋าใบเดียว จับแท็กซี่ดิ่งมาคอนโดฯ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทุกที
นิสัยผมเป็นอย่างนี้แหละ บางทีก็บอกล่วงหน้า บางทีก็ไม่บอก...เซอร์ไพรส์เล่นให้ตื่นเต้นดีใจกันซะยังงั้น
เมื่อปีกลายก็เหมือนกัน ผมบอกลูกกับเมียว่า ขอกลับมาอยู่เมืองไทยสัก 2 สัปดาห์ช่วงปีใหม่ เพราะอยู่ๆ ก็คิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าแล้วก็บินโลด!
นึกแล้วสมน้ำหน้าตัวเองชะมัด อยากไม่แจ้งล่วงหน้า! พอมาถึงปรากฏว่า พ่อแม่กับน้องไม่อยู่หรอก คงจะไปเที่ยวกันน่ะ ทำยังไงดี? ผมหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมขึ้นรถทัวร์ไปอยุธยาดีกว่า อ๋อ! ผมมีเหตุผลตามสมควรซีครับ
ญาติผมอยู่ที่นั่น คนญาติเยอะครับ ผมน่ะ...คุณอาอยู่อเมริกา ส่วนที่อยุธยาน่ะลุงกับป้าอยู่ พื้นเพเดิมของพ่อแม่ผมก็เป็นคนอยุธยา บ้านผมจริงๆ น่ะอยู่ที่นั่นแหละ...ว่าจะอยู่ซักวันสองวัน แล้วโทร.บอกพ่อกับแม่ ไม่เลวแฮะ! ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมแพงๆ ด้วย
ผมมาถึงอยุธยาราว 5 โมงเย็น ซึ่งในหน้าหนาวน่ะใกล้จะมืดแล้ว นะครับ
อ้าว? เรือนไม้ขนาดใหญ่ของคุณป้าไม่มีคนอยู่อีกแหละ อะไรกันเนี่ย?
ผมหันซ้ายหันขวา งงเอาการ...พอดีมีเสียงเรียกจากชั้นบน ผมมองขึ้นไปก็เห็นพี่สาวของผมอยู่ที่หน้าต่าง แหม...ดีใจนะ พี่ตุ๊กเป็นญาติคนแรกที่ผมได้เห็นหน้า ตอนกลับมาเมืองไทยคราวนี้...พี่ตุ๊กเรียกให้ผมเข้าบ้าน เธอมาเปิดประตูให้ ผมเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่สลัวๆ เพราะใกล้ค่ำ พอเปิดไฟก็ได้ยินเสียงพี่ตุ๊กบอกว่าปิดเถอะ! ตาของเธอสู้แสงไม่ได้ ตอนนี้ตาเจ็บ...ผมเลยปิดไฟกลางห้อง แล้วเปิดไฟที่มุมห้องแทน
แสงไฟสีส้มที่ไม่สว่างนักก่อให้เกิดเงาแปลกๆ พี่ตุ๊กดูซูบซีดพิกล แต่ผมรู้มาก่อนแล้วว่าราว 2 ปีมานี่พี่ตุ๊กไม่สบาย เป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ เธอผ่าตัดแล้วอาการดีขึ้น...เท่าที่รู้น่ะเธอก็อยู่ได้เรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มต้นเป็นเท่านั้นเอง
ใจผมน่ะคิดว่าพี่ตุ๊กหายดีแล้วนะ มะเร็งนี่ถ้าเจอระยะแรกๆ ก็มีโอกาสหายได้...ผมถามว่าใครต่อใครไปไหนกันหมด พี่ตุ๊กตอบว่าไปงานศพ ผมถามต่อว่างานศพใครล่ะ? พี่ตุ๊กตอบเสียงเย็นๆ ว่า "งานศพพี่แกละ"
ใครหว่า พี่แกละ? เออ...ช่างเถอะ ผมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าใคร?
ตอนนั้นผมเริ่มเหนื่อยๆ และง่วง อากาศยามค่ำค่อนข้างเยือกเย็นน่าดู แว่วเสียงเรือยนต์ดังมากระทบหู พี่ตุ๊กบอกว่า...คืนนี้นอนในห้องพี่ก็ได้นะ พี่ย้ายไปนอนที่อื่นแล้ว!
ฟังแบบนี้ ไอ้ผมก็คิดว่าเธอคงหมายถึงย้ายไปนอนห้องอื่น บ้านนี้มีหลายห้องครับ เพราะเป็นบ้านใหญ่ คนอยู่น้อย
ขณะนั้น พี่ตุ๊กนั่งบนเก้าอี้รับแขก ผมเอนหลังนอนเล่นที่โซฟาตรงข้ามกับเธอ พี่ตุ๊กนั่งเรียบร้อยเชียว นิ่งราวกับหุ่น แสงไฟเหลืองรัวจากด้านหลังเฉียงๆ ทำให้ใบหน้าเธอเกิดรูปเงาประหลาด...ดูๆ แล้วทำไมรู้สึกขนลุกก็ไม่รู้เหมือนกัน
พี่ตุ๊กเคยเป็นคนร่าเริงนี่นา ทำไมตอนนี้ดูนิ่งราวกับหุ่น? ผมเลยถามว่าอาการโรคเก่าเธอเป็นไงบ้าง? พี่ตุ๊กหัวเราะหึๆ ไม่พูดอะไร
ระหว่างนั้น มีกลิ่นน้ำอบไทยโชยกรุ่นมาเข้าจมูก เลยถามเธอว่ากลิ่นมาจากไหน? พี่ตุ๊กยกมือขวาให้ดู บอกว่ามาจากนี่แหละ! พูดแล้วก็ยื่นมือมาหา...
เออ! จริงด้วย...หอมจนฉุนเชียว!
ผมง่วง เปลือกตาหนักอึ้ง เธอบอกให้ผมนอนซะ ผมก็เลยหลับผล็อยไป...
ตื่นมาอีกที เสียงผู้คนเอะอะ อ้าว? ลุง ป้า รวมทั้งพ่อ แม่กับน้องสาวผมก็อยู่ด้วย...เอ๊ะ! อะไรกัน? เมื่อผมบอกว่าพี่ตุ๊กเปิดบ้านให้และนั่งคุยกัน พวกเขาตกใจมาก ตื่นเต้นยิ่งกว่าเห็นผมกลับมาจากอเมริกาด้วยซ้ำ
ครับ...ใช่แล้ว! พี่ตุ๊กตายเมื่อคืน วันนี้รดน้ำศพ...ผมฟังจากเธอเป็น "ศพพี่แกละ" ทั้งๆ ที่บอกตามตรงว่า "ศพพี่แหละ!"
แม่บอกว่าโทร.ไปบอกข่าวที่อเมริกาก็ไม่มีคนรับ โทร.เข้ามือถือก็ไม่ติด
ผมพลาดข่าวการตายของพี่ตุ๊ก แต่ผมไม่ได้พลาดที่ได้คุย ได้เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้าย...สิ่งที่ประทับใจผมที่สุดคือ มือขวาที่ยื่นมาหา...มือขวาที่หอมกลิ่นน้ำอบไทย!
ตอนเด็กๆ หมอดูเคยบอกว่า ดวงผมน่ะจะให้ดีต้องพลัดถิ่นไปอยู่แดนไกล!
บอกตรงๆ ว่าฟังแล้วผมใจหายวาบๆ กอดแขนแม่แจ นึกด่าหมอดูในใจไปด้วย ที่ไหนได้ พอโตขึ้นผมกลับต้องนึกถึงคำของหมอดูอย่างสุดแสนจะนับถือ เพราะคำทำนายของแกแม่นยำราวกับตาเห็น
ผมเรียนจบ ม.6 แล้วเข้ามหาวิทยาลัยได้ 2 ปี แต่ให้ตายเถอะ! ผมดันไปเข้าคณะที่ตัวเองไม่ได้ชอบเลยจริงๆ เลือกไปได้ไงก็ไม่รู้ตอนนั้นเพียงขอให้เอ็นท์ติดเท่านั้นแหละ...ผลก็คือฝืนทนจนสุดจะกล้ำกลืน พอดี๊พอดีผมไปเยี่ยมญาติที่อเมริกากับพ่อแม่และน้องสาว ดวงชะตาผมแผลงฤทธิ์ตั้งแต่บัดนั้น!
อาของผมชวนให้อยู่ด้วยกันที่โน่น ผมก็ว่าง่ายครับ อยู่กับอาเลย...หาเรื่องเรียนสิ่งที่ผมชอบเป็นคอร์สๆ ไป ขณะเดียวกันก็ช่วยคุณอาทำร้านอาหาร
จากนั้นมาจนทุกวันนี้ ผมมีภรรยาเป็นคนอเมริกัน และได้ดิบได้ดี มีลูกๆ มีบ้านมีการงานทำ อยู่อย่างสบายแฮ นานๆ ทีถึงจะเดินทางกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่เมืองไทย คิดๆ แล้วก็ราวๆ 3-4 ปีครั้ง เราไม่ค่อยติดต่อกันนัก เพราะขี้เกียจโทรศัพท์ ขี้เกียจเขียนจดหมาย ขี้เกียจส่งอีเมล์...ถึงยังไงเราก็รักกันเหนียวแน่น ไม่มีเสื่อมคลายหรอกครับ
พ่อแม่และน้องสาวอยู่คอนโดมิเนียมที่พระรามสาม เวลาผมนึกจะกลับบ้านก็มักขึ้นเครื่องบิน บินตรงมาลงกรุงเทพฯ ถือกระเป๋าใบเดียว จับแท็กซี่ดิ่งมาคอนโดฯ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทุกที
นิสัยผมเป็นอย่างนี้แหละ บางทีก็บอกล่วงหน้า บางทีก็ไม่บอก...เซอร์ไพรส์เล่นให้ตื่นเต้นดีใจกันซะยังงั้น
เมื่อปีกลายก็เหมือนกัน ผมบอกลูกกับเมียว่า ขอกลับมาอยู่เมืองไทยสัก 2 สัปดาห์ช่วงปีใหม่ เพราะอยู่ๆ ก็คิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าแล้วก็บินโลด!
นึกแล้วสมน้ำหน้าตัวเองชะมัด อยากไม่แจ้งล่วงหน้า! พอมาถึงปรากฏว่า พ่อแม่กับน้องไม่อยู่หรอก คงจะไปเที่ยวกันน่ะ ทำยังไงดี? ผมหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมขึ้นรถทัวร์ไปอยุธยาดีกว่า อ๋อ! ผมมีเหตุผลตามสมควรซีครับ
ญาติผมอยู่ที่นั่น คนญาติเยอะครับ ผมน่ะ...คุณอาอยู่อเมริกา ส่วนที่อยุธยาน่ะลุงกับป้าอยู่ พื้นเพเดิมของพ่อแม่ผมก็เป็นคนอยุธยา บ้านผมจริงๆ น่ะอยู่ที่นั่นแหละ...ว่าจะอยู่ซักวันสองวัน แล้วโทร.บอกพ่อกับแม่ ไม่เลวแฮะ! ไม่ต้องเสียค่าโรงแรมแพงๆ ด้วย
ผมมาถึงอยุธยาราว 5 โมงเย็น ซึ่งในหน้าหนาวน่ะใกล้จะมืดแล้ว นะครับ
อ้าว? เรือนไม้ขนาดใหญ่ของคุณป้าไม่มีคนอยู่อีกแหละ อะไรกันเนี่ย?
ผมหันซ้ายหันขวา งงเอาการ...พอดีมีเสียงเรียกจากชั้นบน ผมมองขึ้นไปก็เห็นพี่สาวของผมอยู่ที่หน้าต่าง แหม...ดีใจนะ พี่ตุ๊กเป็นญาติคนแรกที่ผมได้เห็นหน้า ตอนกลับมาเมืองไทยคราวนี้...พี่ตุ๊กเรียกให้ผมเข้าบ้าน เธอมาเปิดประตูให้ ผมเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่สลัวๆ เพราะใกล้ค่ำ พอเปิดไฟก็ได้ยินเสียงพี่ตุ๊กบอกว่าปิดเถอะ! ตาของเธอสู้แสงไม่ได้ ตอนนี้ตาเจ็บ...ผมเลยปิดไฟกลางห้อง แล้วเปิดไฟที่มุมห้องแทน
แสงไฟสีส้มที่ไม่สว่างนักก่อให้เกิดเงาแปลกๆ พี่ตุ๊กดูซูบซีดพิกล แต่ผมรู้มาก่อนแล้วว่าราว 2 ปีมานี่พี่ตุ๊กไม่สบาย เป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ เธอผ่าตัดแล้วอาการดีขึ้น...เท่าที่รู้น่ะเธอก็อยู่ได้เรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเพิ่งเริ่มต้นเป็นเท่านั้นเอง
ใจผมน่ะคิดว่าพี่ตุ๊กหายดีแล้วนะ มะเร็งนี่ถ้าเจอระยะแรกๆ ก็มีโอกาสหายได้...ผมถามว่าใครต่อใครไปไหนกันหมด พี่ตุ๊กตอบว่าไปงานศพ ผมถามต่อว่างานศพใครล่ะ? พี่ตุ๊กตอบเสียงเย็นๆ ว่า "งานศพพี่แกละ"
ใครหว่า พี่แกละ? เออ...ช่างเถอะ ผมนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าใคร?
ตอนนั้นผมเริ่มเหนื่อยๆ และง่วง อากาศยามค่ำค่อนข้างเยือกเย็นน่าดู แว่วเสียงเรือยนต์ดังมากระทบหู พี่ตุ๊กบอกว่า...คืนนี้นอนในห้องพี่ก็ได้นะ พี่ย้ายไปนอนที่อื่นแล้ว!
ฟังแบบนี้ ไอ้ผมก็คิดว่าเธอคงหมายถึงย้ายไปนอนห้องอื่น บ้านนี้มีหลายห้องครับ เพราะเป็นบ้านใหญ่ คนอยู่น้อย
ขณะนั้น พี่ตุ๊กนั่งบนเก้าอี้รับแขก ผมเอนหลังนอนเล่นที่โซฟาตรงข้ามกับเธอ พี่ตุ๊กนั่งเรียบร้อยเชียว นิ่งราวกับหุ่น แสงไฟเหลืองรัวจากด้านหลังเฉียงๆ ทำให้ใบหน้าเธอเกิดรูปเงาประหลาด...ดูๆ แล้วทำไมรู้สึกขนลุกก็ไม่รู้เหมือนกัน
พี่ตุ๊กเคยเป็นคนร่าเริงนี่นา ทำไมตอนนี้ดูนิ่งราวกับหุ่น? ผมเลยถามว่าอาการโรคเก่าเธอเป็นไงบ้าง? พี่ตุ๊กหัวเราะหึๆ ไม่พูดอะไร
ระหว่างนั้น มีกลิ่นน้ำอบไทยโชยกรุ่นมาเข้าจมูก เลยถามเธอว่ากลิ่นมาจากไหน? พี่ตุ๊กยกมือขวาให้ดู บอกว่ามาจากนี่แหละ! พูดแล้วก็ยื่นมือมาหา...
เออ! จริงด้วย...หอมจนฉุนเชียว!
ผมง่วง เปลือกตาหนักอึ้ง เธอบอกให้ผมนอนซะ ผมก็เลยหลับผล็อยไป...
ตื่นมาอีกที เสียงผู้คนเอะอะ อ้าว? ลุง ป้า รวมทั้งพ่อ แม่กับน้องสาวผมก็อยู่ด้วย...เอ๊ะ! อะไรกัน? เมื่อผมบอกว่าพี่ตุ๊กเปิดบ้านให้และนั่งคุยกัน พวกเขาตกใจมาก ตื่นเต้นยิ่งกว่าเห็นผมกลับมาจากอเมริกาด้วยซ้ำ
ครับ...ใช่แล้ว! พี่ตุ๊กตายเมื่อคืน วันนี้รดน้ำศพ...ผมฟังจากเธอเป็น "ศพพี่แกละ" ทั้งๆ ที่บอกตามตรงว่า "ศพพี่แหละ!"
แม่บอกว่าโทร.ไปบอกข่าวที่อเมริกาก็ไม่มีคนรับ โทร.เข้ามือถือก็ไม่ติด
ผมพลาดข่าวการตายของพี่ตุ๊ก แต่ผมไม่ได้พลาดที่ได้คุย ได้เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้าย...สิ่งที่ประทับใจผมที่สุดคือ มือขวาที่ยื่นมาหา...มือขวาที่หอมกลิ่นน้ำอบไทย!
14 กุมภาพันธ์ 2559
วิญญาณบาป
"ปัทมา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของวิญญาณอาฆาต
บ้านดิฉันอยู่ในซอยแถวถนนรัชดา เป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นคึกคักสุดๆ ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้าศุกร์เสาร์ต้นเดือนรถจะติดกันเป็นแพ ยาวเหยียดจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยก็ว่าได้สถานบริการเพียบ ทั้งโรงแรมโรงนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ สปาจริงและบังหน้าค้ากาม ไหนจะมีโคโยตี้ล่อตาล่อใจพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก
ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ!
บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน
อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม
ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
คืนหนึ่ง เรื่องร้ายก็อุบัติขึ้นจริงๆ
เสียงปืนดังสนั่นราว 4-5 นัดติดๆ กันจนดิฉันกับสามีสะดุ้งตื่น ลงมาจากชั้นบนก็พบน้องสาวที่กำลังตื่นเต้น...เพื่อนบ้านเปิดไฟทั้งสองฝั่ง ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าๆ พวกเราออกไปดูเหตุการณ์กันที่หน้าประตูรั้ว...แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดเรื่องที่บ้านหลังไหน?
ไม่ช้าตำรวจก็มาถึง...น่าแปลกที่ไม่มีเจ้าทุกข์หรอกค่ะ!
เสียงโจษจันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าบ้านนั้น บ้างก็ว่าบ้านนี้...ผู้คนออกมาดูกันมากขึ้นทุกที จนกระทั่งไปพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ข้างถนนใต้ต้นไม้ ถัดจากบ้านดิฉันไปไม่ไกลนัก โดนยิงที่อกซ้ายจนเลือดแดงฉานไหลนองน่าเสียวไส้ คุณป้าคุณน้ามองเห็นก็ร้องหวีดว้าย บางคนถึงกับเป็นลมไปก็มี
รถมูลนิธิแล่นเข้ามา แสงไฟวูบวาบน่าเวียนหัว...ตำรวจสอบถามใครก็ไม่ได้เรื่องล้วนแต่บอกว่าได้ยินเสียงปืนจนตกใจตื่นกันทั้งนั้น...น้องสาวกอดแขนดิฉันแน่น ถามแต่ว่าใครคะ...ขโมยมันขึ้นบ้านใคร? ดิฉันส่ายหน้า หันไปทางสามี...เขากระซิบว่าเจ้าของบ้านคงยิงขโมยตาย แต่กลัวจะมีเรื่องเดือดร้อนทีหลังเลยไม่ยอมปริปาก
หรือว่าจะเป็นพ่อบ้านอารมณ์ร้อน คนที่เคยประกาศว่าจะยิงทิ้งคนร้าย...ดิฉันมองหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย หันไปทางบ้านนั้นก็พบว่าปิดไฟเงียบเชียบ...
เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปเดือนเศษก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา!
คืนนั้นฝนตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำ อากาศเย็นสบายจนน่านอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างทำให้ดิฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก...สามีบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัด เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงน้องสาวที่นอนคนเดียวในห้องชั้นล่าง ลูกๆ ยังหลับอยู่ในห้องติดๆ กันนี่เอง
ดิฉันกระโดดลงบันไดอย่างลืมตัว ปากก็ร้องตะโกนชื่อน้อง...ยายนิดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตลอดเวลา เกือบพร้อมๆ กับที่น้องถลาออกมาที่ห้องรับแขก เปิดไฟสว่างจ้า พอเห็นดิฉันก็โผเข้ากอดไว้แน่น ร้องไห้โฮ...พร่ำแต่ว่า "ช่วยด้วยๆ" อยู่ไม่ขาดปาก
ในห้องนอนน้องไม่มีอะไรผิดปกติ หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดและมุ้งลวด...มองออกไปเห็นถนนเปียกโชก เป็นเงาวับอยู่ในแสงไฟ มีรถแล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา
น้องสาวก็เล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!
ขณะที่นอนหลับก็มีเสียงครวญครางเบาๆ มากระทบหู เสียงอะไรลากไปตามพื้นใกล้ๆ หน้าต่าง อดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงย่องไปดู...ท่ามกลางแสงสว่างเหลืองรัวจากเสาไฟฟ้า ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นเต็มม่านตา...
ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังเดินลากขา ท่าทางโซซัดโซเซ มือหนึ่งกุมอกไว้ ใบหน้าเงยแหงนไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม...สีแดงฉานไหลจากง่ามนิ้วมาถึงท่อนแขน! เลือดสดๆ เหมือนเลือดที่ไหลนองบนพื้นถนนในคืนที่เกิดเหตุร้ายไม่มีผิดเลย
ภาพที่เห็นทำให้เธอหวิดจะช็อกคาที่ หลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว...คุณพระช่วย!
ฉับพลันนั้นเอง ร่างอุบาทว์ที่กำลังจะเดินผ่านไปก็กลับชะงักงัน! เธออ้าปากค้างตะลึงมอง ใบหน้าของมันค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคงแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
จากด้านหลังจนเห็นเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียม...มันค่อยๆ หันมาขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเหลือกลาน อยากจะหันหน้าหนี อยากจะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด หรือไม่ก็หายวับไปเสียเลย ภูตร้ายจะได้มองไม่เห็น...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป...
ในที่สุด ภูตนรกตนนั้นก็หันมาจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาวไม่ผิดกับเปลวไฟ!
"ว้าย! ช่วยด้วยๆ..." ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าใส่จนแทบจะช็อกตายคาที่ แผดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งเปิดประตูมือไม้สั่นพลางหวีดร้องไปด้วย...จนกระทั่งดิฉันวิ่งลงมาพบเธอ
"ตาฝาดน่ะ! หรือไม่ก็คิดมากไปเอง" นั่นเป็นอย่างมากที่ดิฉันจะปลอบน้องได้...ก่อนจะพาเธอขึ้นไปนอนด้วย คืนนั้นดิฉันหลับๆ ตื่นๆ จิตใจสับสนวุ่นวายบอกไม่ถูก ภาพของศพหัวขโมยคืนนั้นยังติดหูติดตาไม่รู้ลืม
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย...พ่อบ้านที่เคยประกาศว่าจะฆ่าโจรเมื่อเดือนก่อนหัวใจวายตายคาที่นอน ภรรยาเขาเล่าว่าเห็นศพสามีอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเหมือนเห็นภาพอันน่าสยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
บ้านดิฉันอยู่ในซอยแถวถนนรัชดา เป็นที่รู้กันว่าย่านนั้นคึกคักสุดๆ ตั้งแต่สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้าศุกร์เสาร์ต้นเดือนรถจะติดกันเป็นแพ ยาวเหยียดจนแทบจะไม่ขยับเขยื้อนเลยก็ว่าได้สถานบริการเพียบ ทั้งโรงแรมโรงนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ สปาจริงและบังหน้าค้ากาม ไหนจะมีโคโยตี้ล่อตาล่อใจพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักอีกต่างหาก
ดิฉันรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าให้ฟังค่ะ!
บ้านเราอยู่ค่อนข้างลึก นับว่าดีไปอย่างที่ห่างจากปากซอย เพราะที่นั่นมีทั้งผับและโรงนวด แสงไฟสว่างไสว เสียงก็ดังไปจนดึกดื่น เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บอกว่าแทบจะไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนแรกๆ ประสาทจะกินตายก็แล้วกัน
อาศัยว่าดิฉันกับน้องสาวเป็นคนเก่าแก่ อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่จำความได้ เลยรู้จักคนในซอยมากมายค่ะ หลายๆ คนเรียนหนังสือมาด้วยกัน เติบโตจนทำงานและมีครอบครัว มีลูกเต้าแล้วก็ยังอยู่ที่นั่นตามเดิม
ระยะหลังๆ พวกขโมยขโจรชักจะหนาตาขึ้นทุกที เดี๋ยวขึ้นบ้านนั้น เดี๋ยวเข้าบ้านนี้ เชื่อว่าเป็นพวกติดยากับไม่มีงานทำ เพื่อนบ้านได้แต่บอกกล่าวและปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเตือนกันให้ช่วยระวังตัว พ่อบ้านบางคนอารมณ์ร้อนถึงกับประกาศว่าถ้าขโมยขึ้นบ้านเขาเมื่อไหร่จะยิงทิ้งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
คืนหนึ่ง เรื่องร้ายก็อุบัติขึ้นจริงๆ
เสียงปืนดังสนั่นราว 4-5 นัดติดๆ กันจนดิฉันกับสามีสะดุ้งตื่น ลงมาจากชั้นบนก็พบน้องสาวที่กำลังตื่นเต้น...เพื่อนบ้านเปิดไฟทั้งสองฝั่ง ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าๆ พวกเราออกไปดูเหตุการณ์กันที่หน้าประตูรั้ว...แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดเรื่องที่บ้านหลังไหน?
ไม่ช้าตำรวจก็มาถึง...น่าแปลกที่ไม่มีเจ้าทุกข์หรอกค่ะ!
เสียงโจษจันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าบ้านนั้น บ้างก็ว่าบ้านนี้...ผู้คนออกมาดูกันมากขึ้นทุกที จนกระทั่งไปพบศพคนร้ายนอนตายอยู่ข้างถนนใต้ต้นไม้ ถัดจากบ้านดิฉันไปไม่ไกลนัก โดนยิงที่อกซ้ายจนเลือดแดงฉานไหลนองน่าเสียวไส้ คุณป้าคุณน้ามองเห็นก็ร้องหวีดว้าย บางคนถึงกับเป็นลมไปก็มี
รถมูลนิธิแล่นเข้ามา แสงไฟวูบวาบน่าเวียนหัว...ตำรวจสอบถามใครก็ไม่ได้เรื่องล้วนแต่บอกว่าได้ยินเสียงปืนจนตกใจตื่นกันทั้งนั้น...น้องสาวกอดแขนดิฉันแน่น ถามแต่ว่าใครคะ...ขโมยมันขึ้นบ้านใคร? ดิฉันส่ายหน้า หันไปทางสามี...เขากระซิบว่าเจ้าของบ้านคงยิงขโมยตาย แต่กลัวจะมีเรื่องเดือดร้อนทีหลังเลยไม่ยอมปริปาก
หรือว่าจะเป็นพ่อบ้านอารมณ์ร้อน คนที่เคยประกาศว่าจะยิงทิ้งคนร้าย...ดิฉันมองหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววเขาเลย หันไปทางบ้านนั้นก็พบว่าปิดไฟเงียบเชียบ...
เหตุการณ์น่าตื่นเต้นผ่านไปเดือนเศษก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา!
คืนนั้นฝนตกหนักมาตั้งแต่หัวค่ำ อากาศเย็นสบายจนน่านอนหลับอุตุอยู่ใต้ผ้าห่ม จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างทำให้ดิฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก...สามีบังเอิญไปทำธุระต่างจังหวัด เสียววูบไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงน้องสาวที่นอนคนเดียวในห้องชั้นล่าง ลูกๆ ยังหลับอยู่ในห้องติดๆ กันนี่เอง
ดิฉันกระโดดลงบันไดอย่างลืมตัว ปากก็ร้องตะโกนชื่อน้อง...ยายนิดๆ เป็นอะไรหรือเปล่า? ตลอดเวลา เกือบพร้อมๆ กับที่น้องถลาออกมาที่ห้องรับแขก เปิดไฟสว่างจ้า พอเห็นดิฉันก็โผเข้ากอดไว้แน่น ร้องไห้โฮ...พร่ำแต่ว่า "ช่วยด้วยๆ" อยู่ไม่ขาดปาก
ในห้องนอนน้องไม่มีอะไรผิดปกติ หน้าต่างมีทั้งเหล็กดัดและมุ้งลวด...มองออกไปเห็นถนนเปียกโชก เป็นเงาวับอยู่ในแสงไฟ มีรถแล่นผ่านไปมาค่อนข้างบางตา
น้องสาวก็เล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟัง!
ขณะที่นอนหลับก็มีเสียงครวญครางเบาๆ มากระทบหู เสียงอะไรลากไปตามพื้นใกล้ๆ หน้าต่าง อดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงย่องไปดู...ท่ามกลางแสงสว่างเหลืองรัวจากเสาไฟฟ้า ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นเต็มม่านตา...
ชายร่างสูงคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังเดินลากขา ท่าทางโซซัดโซเซ มือหนึ่งกุมอกไว้ ใบหน้าเงยแหงนไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม...สีแดงฉานไหลจากง่ามนิ้วมาถึงท่อนแขน! เลือดสดๆ เหมือนเลือดที่ไหลนองบนพื้นถนนในคืนที่เกิดเหตุร้ายไม่มีผิดเลย
ภาพที่เห็นทำให้เธอหวิดจะช็อกคาที่ หลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว...คุณพระช่วย!
ฉับพลันนั้นเอง ร่างอุบาทว์ที่กำลังจะเดินผ่านไปก็กลับชะงักงัน! เธออ้าปากค้างตะลึงมอง ใบหน้าของมันค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า แต่มั่นคงแน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด!
จากด้านหลังจนเห็นเสี้ยวหน้าเหี้ยมเกรียม...มันค่อยๆ หันมาขณะที่เธอยืนตัวแข็งทื่อ นัยน์ตาเหลือกลาน อยากจะหันหน้าหนี อยากจะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด หรือไม่ก็หายวับไปเสียเลย ภูตร้ายจะได้มองไม่เห็น...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป...
ในที่สุด ภูตนรกตนนั้นก็หันมาจ้องมองเธอด้วยแววตาลุกวาวไม่ผิดกับเปลวไฟ!
"ว้าย! ช่วยด้วยๆ..." ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าใส่จนแทบจะช็อกตายคาที่ แผดร้องสุดเสียงก่อนจะวิ่งเปิดประตูมือไม้สั่นพลางหวีดร้องไปด้วย...จนกระทั่งดิฉันวิ่งลงมาพบเธอ
"ตาฝาดน่ะ! หรือไม่ก็คิดมากไปเอง" นั่นเป็นอย่างมากที่ดิฉันจะปลอบน้องได้...ก่อนจะพาเธอขึ้นไปนอนด้วย คืนนั้นดิฉันหลับๆ ตื่นๆ จิตใจสับสนวุ่นวายบอกไม่ถูก ภาพของศพหัวขโมยคืนนั้นยังติดหูติดตาไม่รู้ลืม
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ได้ข่าวร้าย...พ่อบ้านที่เคยประกาศว่าจะฆ่าโจรเมื่อเดือนก่อนหัวใจวายตายคาที่นอน ภรรยาเขาเล่าว่าเห็นศพสามีอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงเหมือนเห็นภาพอันน่าสยดสยองสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
13 กุมภาพันธ์ 2559
ฝันสยอง
"สมพงษ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องผีสิง
ผมเป็นคนต่างจังหวัด แต่มาได้งานเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอยู่ในกรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้องหาห้องเช่า ซึ่งจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ...ในซอยใกล้ๆ ที่ผมทำงานนั่นแหละมีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งราคาถูกมากจนน่าตกใจ
อดรนทนไม่ไหว ผมเลยต้องถามสาวสวยผิวขาว หน้าคมผมยาวที่ดูแลห้องเช่านั้นว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่?
"พี่อาจจะเจออะไรแปลกๆ ก็ได้ค่ะ" เธอตอบยิ้มๆ จนผมยั้งปากไม่ทัน
"มีผีเรอะเนี่ย..."
"ไม่รู้ซีคะ" เธอย่นคิ้วนิดๆ "เคยมีผู้หญิงท้องแก่เช่าอยู่ แล้วเขาเกิดหกล้มในห้องน้ำ...."
"ตายเลยซิท่า?" ผมเดา สาวน้อยก็พยักหน้านิดๆ
"ไปตายที่โรงพยาบาลน่ะพี่ รับรองว่าไม่ได้ตายที่นี่แน่ๆ ค่ะ"
ผมถามว่าเรื่องสยองนี่เกิดขึ้นนานหรือยัง? เธอก็บอกว่าตั้งปีกว่าๆ มาแล้ว
"คงไปเกิดแล้วมั้ง ป่านนี้น่ะ" ผมเปรยเล่นๆ เธอไม่ยักหัวเราะ แต่ทำหน้าแปลกๆ ผมเลยถามว่าเคยมีคนมาเช่าอยู่หรือเปล่าล่ะ? เธอบอกว่ามีอยู่ 4-5 รายแล้ว อยู่ได้รายละเดือนสองเดือน บางรายก็ตั้งสามเดือนกว่าๆ แน่ะ
ผมสรุปเอาเองว่า ถ้างั้นคงไม่มีผีสางอะไรหรอก...แหม! ถ้ามีผีหลอกหลอนจริงๆ พวกเขาจะอยู่ได้นานขนาดนั้นได้ไง?
"แต่ห้องนี้ไม่มีคนเช่ามาสองเดือนแล้วนะ รายล่าสุดอยู่ได้สามวันเอง"
คนสวยเล่าอย่างไม่ปิดบัง แต่เอาเถอะ! ผมไม่ใช่คนกลัวผี แถมจำเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยด่วนจี๋ด้วย อ้อ! อีกอย่างก็คือประทับใจน้องคนสวยที่อุตส่าห์บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา
"เราไม่เอาเปรียบลูกค้าหรอกค่ะ" เธอเปิดใจ "มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ถึงจะปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ คนแถวนี้ช่างพูดกันทั้งนั้น ขืนลูกค้ารู้จากปากชาวบ้านมันก็ไม่ดีใช่มั้ย? ตกลงพี่จะเช่านะคะ"
เป็นอันว่าผมย้ายนิวาสสถานเข้ามาอยู่ในหอพักอย่างสบายใจ จะมีกังวลบ้างก็นิดหน่อยตอนเดินเข้าห้องก้าวแรก ...มันปึ้บ! เหมือนถูกไฟฟ้าอ่อนๆ ชอร์ตแปล๊บหนึ่งละครับ
คงคิดไปเองมากกว่ามั้ง ...ห้องนี้สะอาดสะอ้าน หน้าต่างเปิดโล่งสว่างไสว มีพัดลมเพดาน ...ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะผมแพ้แอร์ครับ
ลองชะโงกเข้าไปดูห้องน้ำ มันเป็นห้องแคบๆ มีอ่างล้าง หน้า โถส้วมแบบชักโครกและอ่างอาบน้ำสีขาว ... อือม์! ไม่เลวแฮะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คือที่เกิดเหตุ ...ผู้หญิงที่น่าสงสารนั่นล้มอีท่าไหนนะ?
ผีตายทั้งกลม!! คำนี้ผุดขึ้นมาในสมองอย่างน่าโมโห ผมอดด่าตัวเองในใจไม่ไหวจริงๆ
นับแต่บัดนั้น ชีวิตในหอพักของผมก็สะดวกสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากเสียงประหลาดๆในห้องน้ำ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นเสียงลมจากเครื่องปั๊มน้ำที่ดันออกมาตามท่อ มันเลยส่งเสียงคล้ายๆ คนเปิด-ปิดก๊อกน้ำ และมันมักจะดังเอาตอนดึกๆ
สาวประจำหอพักที่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าชื่อ "เหมียว" คอยถามอยู่เรื่อยว่าเจอะเจออะไรมั้ย? ผมก็ตอบไปว่ามีแต่เสียงลมฟู่ๆ หรือขลุกขลักๆ อยู่ในก๊อกน้ำเท่านั้น ซึ่งมันปกติมาก ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ผีสางแต่อย่างใด
คนเราน่ะ ลองไม่เชื่อซะอย่าง มันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก จริงมั้ยครับ? อย่างที่ว่ากันว่า ...ชีวิตคนจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของคนๆ นั้นเอง!
ใจผมบอกตัวเองว่าไม่เชื่อ แต่จิตใต้สำนึกคงจะหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ...ดังนั้น คืนหนึ่งผมจึงฝันไป..
ในฝันซึ่งเหมือนจริงจนน่าขนลุกนั้น ผมได้ยินเสียงร้องไห้หงิงๆ ในห้องน้ำ เลยลุกจากเตียงเดินเข้าไปดู ...เห็นหญิงสาวผมยาวประบ่า ใบหน้าซีดขาว มีเค้าสวยเชียวละ เธอเปียกซ่กไปทั้งร่างที่เกือบเปลือย แต่มีผ้าขนหนูกระโจมอกแบบหลุดๆ ลุ่ยๆ
คุณพระช่วย! มันเปรอะเลือดที่ไหลโชกมาจากด้านหลังศีรษะ....
เธอกำลังร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ยื่นมือส่งอะไรบางอย่างมาให้ผม ...มันเป็นทารกที่ตายแล้ว ตัวแดงเล็กนิดเดียวนั้นดูเหมือนลูกแมวไร้ชีวิต ผมผงะถอยหลัง เซมานั่งบนเตียง...และผมก็ตื่นขึ้นในท่านั้นแหละครับ คือนั่งอยู่ขอบเตียง ตาจ้องเข้าไปในความมืดของห้องน้ำที่เปิดประตูอ้าไว้ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มตัว
นี่ผมละเมอขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย?!
ผมเล่าเรื่องฝันให้เหมียวฟัง แต่ก่อนที่จะบรรยายลักษณะหญิงคนนั้น เหมียวก็ชิงพูดก่อนว่าเธอลักษณะอย่างไร...มันตรงกับผู้หญิงในฝันสยองของผมเป๊ะ! น่าขนลุกจังเลยครับ
สัปดาห์ต่อมา มีข่าวดีจากเหมียว คือผู้เช่าคนหนึ่งย้ายออกไป ห้องนั้นว่าง...เหมียวถามผมว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยแล้วย้ายห้องดีไหม? ผมตอบตกลงทันที
เฮ้อ...โล่งอก!!
ห้องใหม่ของผมอยู่ถัดจากห้องเดิมมาสองห้องเท่านั้น ทุกวันนี้ยังไม่มีใครมาเช่าเลยครับ
ผมประทับใจประสบการณ์ที่เกิดกับผมในห้องนั้นมาก มันทำให้ผมรู้สึกกลัวผีเป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่ม...ขอสารภาพตามตรงเลยว่า เดี๋ยวนี้เชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
ผมเป็นคนต่างจังหวัด แต่มาได้งานเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอยู่ในกรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้องหาห้องเช่า ซึ่งจะโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ ...ในซอยใกล้ๆ ที่ผมทำงานนั่นแหละมีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งราคาถูกมากจนน่าตกใจ
อดรนทนไม่ไหว ผมเลยต้องถามสาวสวยผิวขาว หน้าคมผมยาวที่ดูแลห้องเช่านั้นว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่?
"พี่อาจจะเจออะไรแปลกๆ ก็ได้ค่ะ" เธอตอบยิ้มๆ จนผมยั้งปากไม่ทัน
"มีผีเรอะเนี่ย..."
"ไม่รู้ซีคะ" เธอย่นคิ้วนิดๆ "เคยมีผู้หญิงท้องแก่เช่าอยู่ แล้วเขาเกิดหกล้มในห้องน้ำ...."
"ตายเลยซิท่า?" ผมเดา สาวน้อยก็พยักหน้านิดๆ
"ไปตายที่โรงพยาบาลน่ะพี่ รับรองว่าไม่ได้ตายที่นี่แน่ๆ ค่ะ"
ผมถามว่าเรื่องสยองนี่เกิดขึ้นนานหรือยัง? เธอก็บอกว่าตั้งปีกว่าๆ มาแล้ว
"คงไปเกิดแล้วมั้ง ป่านนี้น่ะ" ผมเปรยเล่นๆ เธอไม่ยักหัวเราะ แต่ทำหน้าแปลกๆ ผมเลยถามว่าเคยมีคนมาเช่าอยู่หรือเปล่าล่ะ? เธอบอกว่ามีอยู่ 4-5 รายแล้ว อยู่ได้รายละเดือนสองเดือน บางรายก็ตั้งสามเดือนกว่าๆ แน่ะ
ผมสรุปเอาเองว่า ถ้างั้นคงไม่มีผีสางอะไรหรอก...แหม! ถ้ามีผีหลอกหลอนจริงๆ พวกเขาจะอยู่ได้นานขนาดนั้นได้ไง?
"แต่ห้องนี้ไม่มีคนเช่ามาสองเดือนแล้วนะ รายล่าสุดอยู่ได้สามวันเอง"
คนสวยเล่าอย่างไม่ปิดบัง แต่เอาเถอะ! ผมไม่ใช่คนกลัวผี แถมจำเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยด่วนจี๋ด้วย อ้อ! อีกอย่างก็คือประทับใจน้องคนสวยที่อุตส่าห์บอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา
"เราไม่เอาเปรียบลูกค้าหรอกค่ะ" เธอเปิดใจ "มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ถึงจะปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ คนแถวนี้ช่างพูดกันทั้งนั้น ขืนลูกค้ารู้จากปากชาวบ้านมันก็ไม่ดีใช่มั้ย? ตกลงพี่จะเช่านะคะ"
เป็นอันว่าผมย้ายนิวาสสถานเข้ามาอยู่ในหอพักอย่างสบายใจ จะมีกังวลบ้างก็นิดหน่อยตอนเดินเข้าห้องก้าวแรก ...มันปึ้บ! เหมือนถูกไฟฟ้าอ่อนๆ ชอร์ตแปล๊บหนึ่งละครับ
คงคิดไปเองมากกว่ามั้ง ...ห้องนี้สะอาดสะอ้าน หน้าต่างเปิดโล่งสว่างไสว มีพัดลมเพดาน ...ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะผมแพ้แอร์ครับ
ลองชะโงกเข้าไปดูห้องน้ำ มันเป็นห้องแคบๆ มีอ่างล้าง หน้า โถส้วมแบบชักโครกและอ่างอาบน้ำสีขาว ... อือม์! ไม่เลวแฮะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่คือที่เกิดเหตุ ...ผู้หญิงที่น่าสงสารนั่นล้มอีท่าไหนนะ?
ผีตายทั้งกลม!! คำนี้ผุดขึ้นมาในสมองอย่างน่าโมโห ผมอดด่าตัวเองในใจไม่ไหวจริงๆ
นับแต่บัดนั้น ชีวิตในหอพักของผมก็สะดวกสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากเสียงประหลาดๆในห้องน้ำ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นเสียงลมจากเครื่องปั๊มน้ำที่ดันออกมาตามท่อ มันเลยส่งเสียงคล้ายๆ คนเปิด-ปิดก๊อกน้ำ และมันมักจะดังเอาตอนดึกๆ
สาวประจำหอพักที่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าชื่อ "เหมียว" คอยถามอยู่เรื่อยว่าเจอะเจออะไรมั้ย? ผมก็ตอบไปว่ามีแต่เสียงลมฟู่ๆ หรือขลุกขลักๆ อยู่ในก๊อกน้ำเท่านั้น ซึ่งมันปกติมาก ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ผีสางแต่อย่างใด
คนเราน่ะ ลองไม่เชื่อซะอย่าง มันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก จริงมั้ยครับ? อย่างที่ว่ากันว่า ...ชีวิตคนจะเป็นยังไง ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของคนๆ นั้นเอง!
ใจผมบอกตัวเองว่าไม่เชื่อ แต่จิตใต้สำนึกคงจะหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ...ดังนั้น คืนหนึ่งผมจึงฝันไป..
ในฝันซึ่งเหมือนจริงจนน่าขนลุกนั้น ผมได้ยินเสียงร้องไห้หงิงๆ ในห้องน้ำ เลยลุกจากเตียงเดินเข้าไปดู ...เห็นหญิงสาวผมยาวประบ่า ใบหน้าซีดขาว มีเค้าสวยเชียวละ เธอเปียกซ่กไปทั้งร่างที่เกือบเปลือย แต่มีผ้าขนหนูกระโจมอกแบบหลุดๆ ลุ่ยๆ
คุณพระช่วย! มันเปรอะเลือดที่ไหลโชกมาจากด้านหลังศีรษะ....
เธอกำลังร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ ยื่นมือส่งอะไรบางอย่างมาให้ผม ...มันเป็นทารกที่ตายแล้ว ตัวแดงเล็กนิดเดียวนั้นดูเหมือนลูกแมวไร้ชีวิต ผมผงะถอยหลัง เซมานั่งบนเตียง...และผมก็ตื่นขึ้นในท่านั้นแหละครับ คือนั่งอยู่ขอบเตียง ตาจ้องเข้าไปในความมืดของห้องน้ำที่เปิดประตูอ้าไว้ เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มตัว
นี่ผมละเมอขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย?!
ผมเล่าเรื่องฝันให้เหมียวฟัง แต่ก่อนที่จะบรรยายลักษณะหญิงคนนั้น เหมียวก็ชิงพูดก่อนว่าเธอลักษณะอย่างไร...มันตรงกับผู้หญิงในฝันสยองของผมเป๊ะ! น่าขนลุกจังเลยครับ
สัปดาห์ต่อมา มีข่าวดีจากเหมียว คือผู้เช่าคนหนึ่งย้ายออกไป ห้องนั้นว่าง...เหมียวถามผมว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยแล้วย้ายห้องดีไหม? ผมตอบตกลงทันที
เฮ้อ...โล่งอก!!
ห้องใหม่ของผมอยู่ถัดจากห้องเดิมมาสองห้องเท่านั้น ทุกวันนี้ยังไม่มีใครมาเช่าเลยครับ
ผมประทับใจประสบการณ์ที่เกิดกับผมในห้องนั้นมาก มันทำให้ผมรู้สึกกลัวผีเป็นครั้งแรกในชีวิตหนุ่ม...ขอสารภาพตามตรงเลยว่า เดี๋ยวนี้เชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
12 กุมภาพันธ์ 2559
หลอนสุดขีด
"หลานแป้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปงานศพ 5 ดิฉันมีเรื่องผีมาเล่า...คิดดูแล้วเป็นเรื่องผีที่แปลกมากค่ะ ตรงที่ไม่ได้เห็นผี แต่ขนพองสยองเกล้ายิ่งกว่าคนโดนผีหลอกซะอีกแน่ะ!
ใครจะหาว่าเป็นคนหัวโบราณ มีความเชื่องมงายในเรื่องภูตผีก็ตามใจ แต่ดิฉันขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนกลัวผีมากค่ะ กลัวมาตั้งแต่เด็กๆ จนฝังจิตฝังใจมาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วก็ยังรู้สึกหวาดเสียวเรื่องผีๆ สางๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จะว่าเป็นเพราะสมัยเด็กๆ เคยได้ฟังพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีให้ฟัง หรืออ่านเรื่องผีและดูหนังผีมาเป็นสิบๆ ปี ก็คงไม่ใช่อีกน่ะแหละ! แหม... พวกเพื่อนๆ ของดิฉันก็เคยฟังเรื่องผีดูหนังและอ่านเรื่องผีมาทุกคน ตอนเด็กๆ พวกเขาอาจจะกลัวผี แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็หายกลัว เลิกกลัวกันทุกคน ไม่เห็นเหมือนดิฉันซักคน
ก็มันกลัวจริงๆ นี่คะ ไม่รู้จะทำยังไง?
ไม่เคยโดนผีหลอกจังๆ ซักครั้ง นอกจากจะเห็นวอบๆ แวบๆ ก็ทำให้ใจเต้นตูมๆ เหมือนพระย่ำกลองเพลแล้วค่ะ ตอนหลังมาคิดอีกที...เอ! เราคงไม่ได้โดนผีหลอกแฮะ แต่ว่านึกคิดไปเอง เกิดจินตนาการไปเอง อย่างที่พูดกันแน่ๆ เลยค่ะว่า...คนเรามักจะเชื่อตามที่นัยน์ตาเห็น!
ไปที่ไหนก็รู้สึกว่าจะมีผู้ไร้ร่างกายแวดล้อมอยู่รอบๆ ตัว หรือไม่ก็จ้องมองอย่างเยาะเย้ย มุ่งร้ายหมายขวัญ จนทำให้ขนอุยที่ต้นคอลุกชัน
เวลาเดินเข้าซอยบ้านตอนเย็นๆ หรือใกล้ค่ำ ทั้งๆ ที่ไม่เปลี่ยวซักหน่อย มีคนเดินคึ่กๆ ด้วยซ้ำ แต่ดิฉันก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า คนที่ล้มตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหลายรายมาแล้ว วิญญาณคงจะสิงสู่อยู่ที่นั่นแน่ๆ
คนในซอยเขาก็เล่าลือกันว่าผีดุค่ะ เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้โดนหลอกเป็นประจำ
ล่าสุดก็มี "ยายก้อย" เด็กผู้หญิงข้างบ้านอายุราว 7-8 ขวบ แกเล่าว่าเห็นคนรู้จักที่ตายไปแล้วเดินไปเดินมาในซอย บางคนก็เดินเล่น บางคนก็เดินเข้าบ้านเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด...
หลายๆ คนก็หาว่ายายก้อยโกหก หรือไม่ก็ช่างคิดช่างฝันตามประสาเด็ก แต่ดิฉันไม่รู้เป็นไง...เชื่อว่าแกเห็นจริงๆ ค่ะ
เรื่องน่าขนหัวลุกมาเกิดขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้วนี่เอง!
"ตุ่ม" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงาน รูปร่างเธอค่อนข้างตุ้ยนุ้ยสมชื่อค่ะ แก้มขาวเป็นพวงเชียว อารมณ์ดีชอบหัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นประจำ...ระยะหลังๆ ตุ่มดูซีดเซียว ตาลอย เพื่อนแซวกันว่าสงสัยจะคิดถึงแฟน! หรือไม่ก็อกหัก? ทั้งๆ ที่รู้ก็รู้กันอยู่ว่าตุ่มไม่เคยมีแฟนเลย เพราะเธอสนใจเรื่อง อาหารอร่อยๆ มากกว่าจะสนใจเพศตรงข้าม
เพื่อนสนิทของดิฉันก็มีตุ่มรวมอยู่ด้วย...ที่เหมือนกันมากก็คือเรากลัวผีจับอกจับใจทั้งคู่เลยค่ะ!
วันหนึ่ง ตุ่มก็จากพวกเราไปโดยไม่มีวันกลับ
เธอหัวใจวายตายในลิฟต์เพียงเดียวดาย เพิ่งจะรู้สาเหตุกันตอนนั้นเองว่าตุ่มอยากลดน้ำหนักทางลัด เลยซื้อยามากิน...และเพราะยาลดความอ้วนนั่นแหละค่ะที่ทำให้เพื่อนรักของดิฉันสิ้นใจตายก่อนเวลาอันสมควร
วันรุ่งขึ้น พวกเพื่อนๆ ก็นัดกันแต่งดำไปงานสวดศพตุ่ม บรรยา กาศโศกจนน่าสลดหดหู่มากเลยค่ะ แม่เธอที่เป็นม่ายร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายตามลูกสาวไปจริงๆ
บอกตรงๆ ว่าดิฉันอึดอัด กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย อยากเร่งเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ เพราะความที่ไม่ชอบงานศพ...กลัวค่ะ! หลบได้เป็นหลบ ไม่ว่าจะเป็นวันสวดหรือวันเผา! แต่งานนี้หลบ ไม่ได้จริงๆ ตั้งใจว่าขอมาคืนเดียวเท่านั้นแหละ จะมาอีกก็วันเผาเลย!
ระหว่างนั้น ดิฉันพยายามไม่หันไปทางภาพถ่ายของตุ่มที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลงแทบจะท่วมดอกไม้...กลัวเธอจะยิ้มกว้าง หรือหลิ่วตาให้ดิฉันน่ะซีคะ
อ้อ! ทางโลงศพก็ไม่อยากมองตรงๆ กลัวว่าจะเห็นภาพชวนขนหัวลุกค่ะ
โชคดีอย่างที่สมัยนี้พระสวดเร็ว พอหกโมงครึ่งก็เริ่มสวดแล้ว ไม่ถึงทุ่มก็สวดเสร็จเรียบร้อย ดิฉันรีบลุกไปลาแม่ของตุ่ม...เพื่อนเข้ามาถามว่าจะกลับละหรือ? ดิฉันพยักหน้าแต่เพื่อนจอมแสบกลับเอียงหน้ามากระซิบ
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันบอกตุ่มไว้แล้วว่าเธอกลัวผีมาก ใครๆ ก็รู้...ขอให้ตุ่มช่วยไปส่งเธอที่บ้านด้วยละกัน"
แหม! ถ้าไม่เกรงใจญาติๆ ของตุ่ม ดิฉันคงจะด่าเพื่อนให้แสบ... ป.ม.ที่สุด!
จากวัดมาถึงซอยบ้านไม่ไกลนัก...ตลอดทางรู้สึกเสียวสังหรณ์ ยังไงก็ไม่ทราบว่าตุ่มเกิดบ้าจี้ ตามมาส่งดิฉันจริงๆ เพราะแรงยุของ เพื่อนปากไม่ดี...ได้แต่นึกในใจว่า ไปที่ชอบๆ เถอะตุ่มจ๋า ไม่ต้องมาส่งฉันหรอก! โธ่...
ราวทุ่มครึ่งก็เดินเข้าซอยบ้าน ผู้คนเข้าออกกันหนาตา ดิฉันยังรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รู้สึกเหมือนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่น เสียงใครถอนใจเบาๆ อยู่ข้างหู...ดิฉันใจเต้นระทึก ใครจะว่าขี้ขลาดตาขาว กลัวไม่เข้าเรื่องก็ยอมละ!
จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วยิ่งจ้ำอ้าว...ยายก้อย-เด็กข้างบ้านก็โผล่หน้าออกมาทักทาย
"น้าๆ รีบเดินไปไหนคะ?" แกทักเสียงใสเชียว "ทำไมไม่รอเพื่อนน้าด้วยล่ะ?"
ดิฉันหันขวับ ถามเสียงแหบว่าเพื่อนที่ไหน? ยายก้อยก็ชี้มือไปข้างหลังดิฉัน บอกว่า...นั่นไงคะ เขายิ่งอ้วนๆ อยู่ด้วยก็เดินตามน้าไม่ทันน่ะซี
ข้างหลังไม่เห็นตุ่มหรอก แต่ดิฉันขนลุกจริงๆ ค่ะ!
ใครจะหาว่าเป็นคนหัวโบราณ มีความเชื่องมงายในเรื่องภูตผีก็ตามใจ แต่ดิฉันขอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเป็นคนกลัวผีมากค่ะ กลัวมาตั้งแต่เด็กๆ จนฝังจิตฝังใจมาเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้วก็ยังรู้สึกหวาดเสียวเรื่องผีๆ สางๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
จะว่าเป็นเพราะสมัยเด็กๆ เคยได้ฟังพวกผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีให้ฟัง หรืออ่านเรื่องผีและดูหนังผีมาเป็นสิบๆ ปี ก็คงไม่ใช่อีกน่ะแหละ! แหม... พวกเพื่อนๆ ของดิฉันก็เคยฟังเรื่องผีดูหนังและอ่านเรื่องผีมาทุกคน ตอนเด็กๆ พวกเขาอาจจะกลัวผี แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็หายกลัว เลิกกลัวกันทุกคน ไม่เห็นเหมือนดิฉันซักคน
ก็มันกลัวจริงๆ นี่คะ ไม่รู้จะทำยังไง?
ไม่เคยโดนผีหลอกจังๆ ซักครั้ง นอกจากจะเห็นวอบๆ แวบๆ ก็ทำให้ใจเต้นตูมๆ เหมือนพระย่ำกลองเพลแล้วค่ะ ตอนหลังมาคิดอีกที...เอ! เราคงไม่ได้โดนผีหลอกแฮะ แต่ว่านึกคิดไปเอง เกิดจินตนาการไปเอง อย่างที่พูดกันแน่ๆ เลยค่ะว่า...คนเรามักจะเชื่อตามที่นัยน์ตาเห็น!
ไปที่ไหนก็รู้สึกว่าจะมีผู้ไร้ร่างกายแวดล้อมอยู่รอบๆ ตัว หรือไม่ก็จ้องมองอย่างเยาะเย้ย มุ่งร้ายหมายขวัญ จนทำให้ขนอุยที่ต้นคอลุกชัน
เวลาเดินเข้าซอยบ้านตอนเย็นๆ หรือใกล้ค่ำ ทั้งๆ ที่ไม่เปลี่ยวซักหน่อย มีคนเดินคึ่กๆ ด้วยซ้ำ แต่ดิฉันก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า คนที่ล้มตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหลายรายมาแล้ว วิญญาณคงจะสิงสู่อยู่ที่นั่นแน่ๆ
คนในซอยเขาก็เล่าลือกันว่าผีดุค่ะ เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้โดนหลอกเป็นประจำ
ล่าสุดก็มี "ยายก้อย" เด็กผู้หญิงข้างบ้านอายุราว 7-8 ขวบ แกเล่าว่าเห็นคนรู้จักที่ตายไปแล้วเดินไปเดินมาในซอย บางคนก็เดินเล่น บางคนก็เดินเข้าบ้านเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด...
หลายๆ คนก็หาว่ายายก้อยโกหก หรือไม่ก็ช่างคิดช่างฝันตามประสาเด็ก แต่ดิฉันไม่รู้เป็นไง...เชื่อว่าแกเห็นจริงๆ ค่ะ
เรื่องน่าขนหัวลุกมาเกิดขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้วนี่เอง!
"ตุ่ม" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงาน รูปร่างเธอค่อนข้างตุ้ยนุ้ยสมชื่อค่ะ แก้มขาวเป็นพวงเชียว อารมณ์ดีชอบหัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นประจำ...ระยะหลังๆ ตุ่มดูซีดเซียว ตาลอย เพื่อนแซวกันว่าสงสัยจะคิดถึงแฟน! หรือไม่ก็อกหัก? ทั้งๆ ที่รู้ก็รู้กันอยู่ว่าตุ่มไม่เคยมีแฟนเลย เพราะเธอสนใจเรื่อง อาหารอร่อยๆ มากกว่าจะสนใจเพศตรงข้าม
เพื่อนสนิทของดิฉันก็มีตุ่มรวมอยู่ด้วย...ที่เหมือนกันมากก็คือเรากลัวผีจับอกจับใจทั้งคู่เลยค่ะ!
วันหนึ่ง ตุ่มก็จากพวกเราไปโดยไม่มีวันกลับ
เธอหัวใจวายตายในลิฟต์เพียงเดียวดาย เพิ่งจะรู้สาเหตุกันตอนนั้นเองว่าตุ่มอยากลดน้ำหนักทางลัด เลยซื้อยามากิน...และเพราะยาลดความอ้วนนั่นแหละค่ะที่ทำให้เพื่อนรักของดิฉันสิ้นใจตายก่อนเวลาอันสมควร
วันรุ่งขึ้น พวกเพื่อนๆ ก็นัดกันแต่งดำไปงานสวดศพตุ่ม บรรยา กาศโศกจนน่าสลดหดหู่มากเลยค่ะ แม่เธอที่เป็นม่ายร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายตามลูกสาวไปจริงๆ
บอกตรงๆ ว่าดิฉันอึดอัด กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย อยากเร่งเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ เพราะความที่ไม่ชอบงานศพ...กลัวค่ะ! หลบได้เป็นหลบ ไม่ว่าจะเป็นวันสวดหรือวันเผา! แต่งานนี้หลบ ไม่ได้จริงๆ ตั้งใจว่าขอมาคืนเดียวเท่านั้นแหละ จะมาอีกก็วันเผาเลย!
ระหว่างนั้น ดิฉันพยายามไม่หันไปทางภาพถ่ายของตุ่มที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลงแทบจะท่วมดอกไม้...กลัวเธอจะยิ้มกว้าง หรือหลิ่วตาให้ดิฉันน่ะซีคะ
อ้อ! ทางโลงศพก็ไม่อยากมองตรงๆ กลัวว่าจะเห็นภาพชวนขนหัวลุกค่ะ
โชคดีอย่างที่สมัยนี้พระสวดเร็ว พอหกโมงครึ่งก็เริ่มสวดแล้ว ไม่ถึงทุ่มก็สวดเสร็จเรียบร้อย ดิฉันรีบลุกไปลาแม่ของตุ่ม...เพื่อนเข้ามาถามว่าจะกลับละหรือ? ดิฉันพยักหน้าแต่เพื่อนจอมแสบกลับเอียงหน้ามากระซิบ
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันบอกตุ่มไว้แล้วว่าเธอกลัวผีมาก ใครๆ ก็รู้...ขอให้ตุ่มช่วยไปส่งเธอที่บ้านด้วยละกัน"
แหม! ถ้าไม่เกรงใจญาติๆ ของตุ่ม ดิฉันคงจะด่าเพื่อนให้แสบ... ป.ม.ที่สุด!
จากวัดมาถึงซอยบ้านไม่ไกลนัก...ตลอดทางรู้สึกเสียวสังหรณ์ ยังไงก็ไม่ทราบว่าตุ่มเกิดบ้าจี้ ตามมาส่งดิฉันจริงๆ เพราะแรงยุของ เพื่อนปากไม่ดี...ได้แต่นึกในใจว่า ไปที่ชอบๆ เถอะตุ่มจ๋า ไม่ต้องมาส่งฉันหรอก! โธ่...
ราวทุ่มครึ่งก็เดินเข้าซอยบ้าน ผู้คนเข้าออกกันหนาตา ดิฉันยังรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รู้สึกเหมือนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่น เสียงใครถอนใจเบาๆ อยู่ข้างหู...ดิฉันใจเต้นระทึก ใครจะว่าขี้ขลาดตาขาว กลัวไม่เข้าเรื่องก็ยอมละ!
จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วยิ่งจ้ำอ้าว...ยายก้อย-เด็กข้างบ้านก็โผล่หน้าออกมาทักทาย
"น้าๆ รีบเดินไปไหนคะ?" แกทักเสียงใสเชียว "ทำไมไม่รอเพื่อนน้าด้วยล่ะ?"
ดิฉันหันขวับ ถามเสียงแหบว่าเพื่อนที่ไหน? ยายก้อยก็ชี้มือไปข้างหลังดิฉัน บอกว่า...นั่นไงคะ เขายิ่งอ้วนๆ อยู่ด้วยก็เดินตามน้าไม่ทันน่ะซี
ข้างหลังไม่เห็นตุ่มหรอก แต่ดิฉันขนลุกจริงๆ ค่ะ!
11 กุมภาพันธ์ 2559
สามกองสยองขวัญ
"โพแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงไพ่สามกอง
เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ผมกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งจะนัดพบกันทุกเย็นวันศุกร์ที่บ้านเพื่อนชื่ออำนวย อยู่ในซอยตรงข้ามศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตั้งวงดื่มกินกันอย่างสนุกสนานที่โต๊ะอาหาร ถัดจากโต๊ะรับแขกและตู้หนังสือขนาดใหญ่
เฮียเลง, วิชิตและผม คือขาประจำที่ว่า อำนวยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง และเป็นพ่อม่ายเมียตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปีกลาย โชคดีที่พ่อตาแม่ยายรับหลานทั้งสองคนไปเลี้ยง เพราะเป็นห่วงว่าลูกเขยจะมีเมียใหม่ หลานๆ จะโดนแม่เลี้ยงรังแกเอา
นงลักษณ์-ภรรยาของอำนวยที่อายุสั้นเป็นคนสวยมาก นิสัยดี สุภาพเรียบร้อย ญาติมิตรล้วนรักใคร่เธอทั้งนั้น...ภาพถ่ายของเธอโดดเด่นอยู่ในห้องรับแขก แววตาสดใสที่มองตอบมานั้น เห็นแล้วเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่ตามเดิม!
ปรากฏว่าอำนวยหันไปแก้เหงาด้วยการทำงานหนัก ตกเย็นก็พักผ่อนด้วยสุรากับเพื่อนฝูง หรือไม่ก็หมกอยู่กับหนังสือที่สะสมเอา ไว้ ใครถามว่าไม่หาคู่ชีวิตคนใหม่หรือ? อำนวยก็ตอบว่าอายุตั้ง 45 ปี ไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคออีกแล้ว ทำงานหาเงินเอาไว้ส่งเสียลูกเต้าดีกว่า
เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ป้าลำยอง-คนรับใช้เก่าแก่ลาออกไปแล้ว พวกเราเห็นสาวสวยหุ่นสูงโปร่งแต่ดูอวบอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่งตัวดีเหมือนเป็นญาติกับอำนวย แต่เขาแนะนำว่าเธอชื่อ "ลดา" มาทำงานบ้านให้แทนคนเก่า
ลดาทั้งสะสวยทั้งมีเสน่ห์แบบเซ็กซี่ จนพวกเราหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลดาคอยดูแลเครื่องดื่มและกับแกล้ม ขณะที่พวกเราเริ่มต้นเล่นไพ่สามกองกัน เหมือนที่เคยทำมาราว 2-3 ปี ตั้งแต่ภรรยาของอำนวยยังมีชีวิตอยู่
เคยเรียกการเล่นไพ่แบบนี้ว่า "แบล็กแจ๊กรัสเซียน" หรือไม่ก็ "โป๊ก เกอร์รัสเซียน" แต่คนส่วนมากนิยมเรียกง่ายๆ ว่า "ไพ่สามกอง" ขาไพ่ 4 คน แจกทีเดียวคนละ 13 ใบ จัดไพ่ 3 กอง กองหน้า 3 ใบ กองกลางและกองหลังอย่างละ 5 ใบ
กองหน้าต้องไพ่เล็กกว่ากองกลาง ส่วนกองกลางก็ต้องเล็กกว่ากองหลัง ...บางคนอยากจัดคู่เอในกองหน้าเพราะได้ 2 ต่อ แต่หากองกลางใหญ่กว่าไม่ได้ เรียกกันว่า "คู่เอตกรถ"
บางทีได้ไพ่มา 5 คู่ เรียกว่า "สิบล้อ" ไม่รู้จะจัดยังไงเหมือนกันครับ?
อ้าว? ลืมไปว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุก!
คืนวันศุกร์แรกๆ ที่เราพบสาวใช้คนใหม่ของอำนวยนั้น ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่อดนินทากันไม่ได้ว่า "น้ำตาลใกล้มด" ใครจะอดได้ล่ะ? พวกเราเองยอมรับกันทุกคนว่าลดาสวยเซ็กซี่เหลือหลาย ไม่รู้อำนวยอดใจได้ยังไง?
จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ ที่ทำให้วงเหล้าวงไพ่ของพวกเราแตกกระเจิงไป...
ตอนนั้นราว 5 ทุ่มเศษ...ไม่มีใครสนใจเรื่องอื่นแล้วครับ ยกเว้นไพ่ในมือ คนไหนจัดเก่ง จัดเร็ว วางไพ่ลงไปแล้วก็ได้โอกาสยั่วเย้าคนที่ยังจัดไม่เสร็จ ประเภท...เก่งไม่กลัว กลัวช้า! ให้เพื่อนหงุดหงิด รีบจัดไพ่ลวกๆ ลงมาวาง โดยที่เราเล่นกันจนรู้นิสัยว่าใครชอบจัดไพ่ให้แข็งกองหน้า หรือกองกลาง
ลดา...เธออยู่ไหนก็ไม่รู้ คงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพราะโซดาใกล้หมดก็จะเปิดขวดใหม่มาให้ กับแกล้มง่ายๆ อย่างถั่วคั่ว เม็ดมะม่วง มันทอดหรือหมูแผ่นก็คอยมาเติมให้ ไม่ต้องร้องเรียกสักคำ...จะไม่ให้พวกเพื่อนๆ อิจฉาอำนวยได้ยังไง?
คืนนั้นไพ่ไม่ขึ้นมือผมเสียเลย!
ตะละตาล้วนแต่ได้ไพ่แหลกเหลว น่าปวดหัวสิ้นดี บทจะได้จัดเห่า ในกองหลังก็เป็นประเภทเห่า 2 หรือเห่า 3 คือเห่าเล็กๆ ที่มีศัพท์เรียก กันว่า "หัดเห่า" หมายถึงเห่าแบบเด็กๆ ถ้าเกิดไปชนกับเห่าใครเข้าก็แพ้วันยังค่ำ
ขณะนั้นเอง เฮียเล้งแจกไพ่เรียบร้อย เราลุ้นกันใจระทึก วิชิตขยับแว่นจุ๊ย์ปากจึ๊กจั๊ก...แสดงว่าไพ่ไม่สวย จัดยาก ตรงข้ามกับเฮียเล้งที่กางไพ่แล้วยิ้มละไม ส่วนอำนวยก็ยิ้มแตกซ่านเต็มหน้า...เป็นที่รู้กันว่าพ่อม่ายเมีย ตายนี่กำลังรอ "เบิ้ล" หรือไม่ก็ "รีดับเบิ้ล" เพราะได้ไพ่งามๆ อย่างแน่นอน!
อ้าว? ผมเกิดได้ไพ่ดีเหลือเชื่อ กองหน้าตอง กองกลางเสตต กองหลัง 4 ตัว...มีหวัง "ทะลุ" หมด ให้มันได้ยังงี้ซิน่า! หันไปมองเฮียเล้งที่หันหลังให้ตู้หนังสือ...เอ๊ะ! นั่นอะไร?
ในแสงสลัวท่ามกลางความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ผมเห็นเงาใครผ่านไปมาวอบแวบ...คงจะเป็นลดาคนสวยล่ะมั้ง? แต่กลิ่นน้ำหอมที่อวลซ่านมากระทบจมูกก็ทำให้พร่ามึนอย่างบอกไม่ถูก ...นงลักษณ์!? ภรรยาของอำนวยที่ล้มตายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ภาพใบหน้าในรูปถ่ายของเธอลอยเด่นขึ้นมาในความทรงจำ เล่นเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ในบัดดล
ทันใดนั้น ลดาก็ก้าวเข้ามาช้าๆ ในชุดเสื้อกระโปรงสีม่วงลายขาว..เธอคงจะเอาน้ำแข็งหรือโซดามาเติมให้ที่พวกเรา แต่แขนทั้งสองทิ้งอยู่ข้างตัว ทรวงอกไหวกระเพื่อมนิดๆ ขณะเดินเข้ามาหาอำนวย ผู้หันขวับไปมองพอดี
"พี่ขา..." เสียงเยือกเย็นดังขึ้นจนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน "พรุ่งนี้ไล่ลดามันไป...ไม่งั้นลักษณ์จะฆ่ามัน!"
"เฮ้ย!!" ไม่รู้ใครร้องลั่น ทุกคนผงะหน้า ตาเหลือกลาน...ไม่ต้องบอกก็จำได้ว่าเป็นเสียงนงลักษณ์แน่นอน...ขณะที่ร่างของลดาทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นห้อง พวกเราเผ่นผลุงขึ้นยืน เสียงร้องอุทานดังขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟในห้องรับแขกสว่างพรึ่บขึ้นมา
ลดาคนสวยได้สติอีกครั้ง เฮียเล้งมองหน้าวิชิต ทั้งสองหันมามองผม...พวกเราหันไปจ้องหน้าอำนวย เขาหลบตา กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
ได้ข่าวว่าลดาขนของออกไปแล้ว แต่พวกเราก็ไม่กล้าย่างเหยียบไปที่บ้านอำนวยจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่อยากช็อกตาย...วงไพ่คืนวันศุกร์กลายเป็นอดีตโดยสิ้นเชิง!
เมื่อราว 5-6 ปีก่อน ผมกับเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งจะนัดพบกันทุกเย็นวันศุกร์ที่บ้านเพื่อนชื่ออำนวย อยู่ในซอยตรงข้ามศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตั้งวงดื่มกินกันอย่างสนุกสนานที่โต๊ะอาหาร ถัดจากโต๊ะรับแขกและตู้หนังสือขนาดใหญ่
เฮียเลง, วิชิตและผม คือขาประจำที่ว่า อำนวยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง และเป็นพ่อม่ายเมียตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปีกลาย โชคดีที่พ่อตาแม่ยายรับหลานทั้งสองคนไปเลี้ยง เพราะเป็นห่วงว่าลูกเขยจะมีเมียใหม่ หลานๆ จะโดนแม่เลี้ยงรังแกเอา
นงลักษณ์-ภรรยาของอำนวยที่อายุสั้นเป็นคนสวยมาก นิสัยดี สุภาพเรียบร้อย ญาติมิตรล้วนรักใคร่เธอทั้งนั้น...ภาพถ่ายของเธอโดดเด่นอยู่ในห้องรับแขก แววตาสดใสที่มองตอบมานั้น เห็นแล้วเหมือนเธอยังมีชีวิตอยู่ตามเดิม!
ปรากฏว่าอำนวยหันไปแก้เหงาด้วยการทำงานหนัก ตกเย็นก็พักผ่อนด้วยสุรากับเพื่อนฝูง หรือไม่ก็หมกอยู่กับหนังสือที่สะสมเอา ไว้ ใครถามว่าไม่หาคู่ชีวิตคนใหม่หรือ? อำนวยก็ตอบว่าอายุตั้ง 45 ปี ไม่คิดจะหาห่วงมาผูกคออีกแล้ว ทำงานหาเงินเอาไว้ส่งเสียลูกเต้าดีกว่า
เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ป้าลำยอง-คนรับใช้เก่าแก่ลาออกไปแล้ว พวกเราเห็นสาวสวยหุ่นสูงโปร่งแต่ดูอวบอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่งตัวดีเหมือนเป็นญาติกับอำนวย แต่เขาแนะนำว่าเธอชื่อ "ลดา" มาทำงานบ้านให้แทนคนเก่า
ลดาทั้งสะสวยทั้งมีเสน่ห์แบบเซ็กซี่ จนพวกเราหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลดาคอยดูแลเครื่องดื่มและกับแกล้ม ขณะที่พวกเราเริ่มต้นเล่นไพ่สามกองกัน เหมือนที่เคยทำมาราว 2-3 ปี ตั้งแต่ภรรยาของอำนวยยังมีชีวิตอยู่
เคยเรียกการเล่นไพ่แบบนี้ว่า "แบล็กแจ๊กรัสเซียน" หรือไม่ก็ "โป๊ก เกอร์รัสเซียน" แต่คนส่วนมากนิยมเรียกง่ายๆ ว่า "ไพ่สามกอง" ขาไพ่ 4 คน แจกทีเดียวคนละ 13 ใบ จัดไพ่ 3 กอง กองหน้า 3 ใบ กองกลางและกองหลังอย่างละ 5 ใบ
กองหน้าต้องไพ่เล็กกว่ากองกลาง ส่วนกองกลางก็ต้องเล็กกว่ากองหลัง ...บางคนอยากจัดคู่เอในกองหน้าเพราะได้ 2 ต่อ แต่หากองกลางใหญ่กว่าไม่ได้ เรียกกันว่า "คู่เอตกรถ"
บางทีได้ไพ่มา 5 คู่ เรียกว่า "สิบล้อ" ไม่รู้จะจัดยังไงเหมือนกันครับ?
อ้าว? ลืมไปว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุก!
คืนวันศุกร์แรกๆ ที่เราพบสาวใช้คนใหม่ของอำนวยนั้น ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่อดนินทากันไม่ได้ว่า "น้ำตาลใกล้มด" ใครจะอดได้ล่ะ? พวกเราเองยอมรับกันทุกคนว่าลดาสวยเซ็กซี่เหลือหลาย ไม่รู้อำนวยอดใจได้ยังไง?
จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญ ที่ทำให้วงเหล้าวงไพ่ของพวกเราแตกกระเจิงไป...
ตอนนั้นราว 5 ทุ่มเศษ...ไม่มีใครสนใจเรื่องอื่นแล้วครับ ยกเว้นไพ่ในมือ คนไหนจัดเก่ง จัดเร็ว วางไพ่ลงไปแล้วก็ได้โอกาสยั่วเย้าคนที่ยังจัดไม่เสร็จ ประเภท...เก่งไม่กลัว กลัวช้า! ให้เพื่อนหงุดหงิด รีบจัดไพ่ลวกๆ ลงมาวาง โดยที่เราเล่นกันจนรู้นิสัยว่าใครชอบจัดไพ่ให้แข็งกองหน้า หรือกองกลาง
ลดา...เธออยู่ไหนก็ไม่รู้ คงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพราะโซดาใกล้หมดก็จะเปิดขวดใหม่มาให้ กับแกล้มง่ายๆ อย่างถั่วคั่ว เม็ดมะม่วง มันทอดหรือหมูแผ่นก็คอยมาเติมให้ ไม่ต้องร้องเรียกสักคำ...จะไม่ให้พวกเพื่อนๆ อิจฉาอำนวยได้ยังไง?
คืนนั้นไพ่ไม่ขึ้นมือผมเสียเลย!
ตะละตาล้วนแต่ได้ไพ่แหลกเหลว น่าปวดหัวสิ้นดี บทจะได้จัดเห่า ในกองหลังก็เป็นประเภทเห่า 2 หรือเห่า 3 คือเห่าเล็กๆ ที่มีศัพท์เรียก กันว่า "หัดเห่า" หมายถึงเห่าแบบเด็กๆ ถ้าเกิดไปชนกับเห่าใครเข้าก็แพ้วันยังค่ำ
ขณะนั้นเอง เฮียเล้งแจกไพ่เรียบร้อย เราลุ้นกันใจระทึก วิชิตขยับแว่นจุ๊ย์ปากจึ๊กจั๊ก...แสดงว่าไพ่ไม่สวย จัดยาก ตรงข้ามกับเฮียเล้งที่กางไพ่แล้วยิ้มละไม ส่วนอำนวยก็ยิ้มแตกซ่านเต็มหน้า...เป็นที่รู้กันว่าพ่อม่ายเมีย ตายนี่กำลังรอ "เบิ้ล" หรือไม่ก็ "รีดับเบิ้ล" เพราะได้ไพ่งามๆ อย่างแน่นอน!
อ้าว? ผมเกิดได้ไพ่ดีเหลือเชื่อ กองหน้าตอง กองกลางเสตต กองหลัง 4 ตัว...มีหวัง "ทะลุ" หมด ให้มันได้ยังงี้ซิน่า! หันไปมองเฮียเล้งที่หันหลังให้ตู้หนังสือ...เอ๊ะ! นั่นอะไร?
ในแสงสลัวท่ามกลางความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ผมเห็นเงาใครผ่านไปมาวอบแวบ...คงจะเป็นลดาคนสวยล่ะมั้ง? แต่กลิ่นน้ำหอมที่อวลซ่านมากระทบจมูกก็ทำให้พร่ามึนอย่างบอกไม่ถูก ...นงลักษณ์!? ภรรยาของอำนวยที่ล้มตายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ภาพใบหน้าในรูปถ่ายของเธอลอยเด่นขึ้นมาในความทรงจำ เล่นเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ในบัดดล
ทันใดนั้น ลดาก็ก้าวเข้ามาช้าๆ ในชุดเสื้อกระโปรงสีม่วงลายขาว..เธอคงจะเอาน้ำแข็งหรือโซดามาเติมให้ที่พวกเรา แต่แขนทั้งสองทิ้งอยู่ข้างตัว ทรวงอกไหวกระเพื่อมนิดๆ ขณะเดินเข้ามาหาอำนวย ผู้หันขวับไปมองพอดี
"พี่ขา..." เสียงเยือกเย็นดังขึ้นจนทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน "พรุ่งนี้ไล่ลดามันไป...ไม่งั้นลักษณ์จะฆ่ามัน!"
"เฮ้ย!!" ไม่รู้ใครร้องลั่น ทุกคนผงะหน้า ตาเหลือกลาน...ไม่ต้องบอกก็จำได้ว่าเป็นเสียงนงลักษณ์แน่นอน...ขณะที่ร่างของลดาทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นห้อง พวกเราเผ่นผลุงขึ้นยืน เสียงร้องอุทานดังขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟในห้องรับแขกสว่างพรึ่บขึ้นมา
ลดาคนสวยได้สติอีกครั้ง เฮียเล้งมองหน้าวิชิต ทั้งสองหันมามองผม...พวกเราหันไปจ้องหน้าอำนวย เขาหลบตา กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
ได้ข่าวว่าลดาขนของออกไปแล้ว แต่พวกเราก็ไม่กล้าย่างเหยียบไปที่บ้านอำนวยจนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่อยากช็อกตาย...วงไพ่คืนวันศุกร์กลายเป็นอดีตโดยสิ้นเชิง!
08 กุมภาพันธ์ 2559
ผีเรือน
"ปราง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านโบราณ 5 สามีของดิฉันเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ดีเก่า เมื่อแต่งงานแล้วเขาพาดิฉันเข้าไปอยู่ในบ้านช่องที่โอ่อ่าสง่างาม เป็นบ้านที่สร้างขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่เจ็ด ฟังแล้วเหมือนพจมานในบ้านทรายทองไหมคะ?
ดิฉันพูดเล่นน่ะ แต่บ้านนี้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ บ้านที่มีประวัติ มีความรัก และเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทว่า ในตอนนั้นดิฉันไม่ได้ตระหนักถึงความหมายเหล่านั้นเลย!
ตอนนั้นเป็น พ.ศ.2529 ดิฉันแต่งงานและเข้าอยู่ในบ้านนี้...นอกจากสามีแล้วก็มีคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่าเท่านั้นเอง สามีดิฉันเป็นลูกชายคนเดียว ส่วนญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ คือคุณอา คุณป้า ต่างไปอยู่ที่อื่นกันหมด คุณอาไปอยู่อเมริกา คุณป้าไปมีบ้านอยู่หัวหิน นานๆ ทีเราถึงจะได้เจอกัน
สรุปว่า บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงคุณพ่อสามีดิฉัน และแน่ล่ะค่ะ! สามีดิฉันก็ต้องได้รับช่วงต่ออย่างเต็มภาคภูมิ
บ้านหลังนี้สวยและมีเสน่ห์สไตล์บ้านเก่าแก่ทั้งหลาย แถมยังทำเลดี ตั้งอยู่ในแถบสาทร ดังนั้น จึงมีคนมาจีบขอซื้อเพื่อจะทำร้านอาหาร เขาว่าบรรยากาศดีมาก สุดแสนจะคลาสสิค ดิฉันน่ะฟังแล้วใจรอนๆ นึกลุ้นอยากให้ขายน่ะซิคะ!
แหม! คิดๆ แล้วดิฉันไม่ได้มีอะไรผูกพันกับบ้านหลังนี้สักหน่อยอีกอย่างหนึ่ง...โปรดสังเกตคำว่า "ผู้ดีเก่า" ดิฉันขอพูดถึงด้วยความเคารพนะคะ ว่าเป็นตระกูลที่น่าภาคภูมิใจมาก ต้นตระกูลมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง สมัยก่อนโน้นน่ะมีอำนาจวาสนาข้าทาสบริวารล้นเหลือ แต่มาถึงยุคนี้มันก็เหลือแต่เกียรติประวัติที่น่าภูมิใจเท่านั้น
พูดตรงๆ ว่าเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่รวยกันเป็นพันๆ ล้าน เพราะทำธุรกิจการค้า ลงทุนมากมายใหญ่โต
ดิฉันนึกฝันหวาน...ถ้าขายบ้านพร้อมที่ดินในพื้นที่ไร่เศษๆ นี้ไปได้ล่ะก็... โอ้โฮ! เราคงรวยน่าดู มูลค่าของบ้านและที่ดินในย่านนั้นมันช่างเย้ายวนใจเสียนี่กระไร!
แต่ดูเหมือนจะมีเพียงดิฉันคนเดียวเท่านั้นละมังคะ ที่นั่งตาโต ขนลุกซู่ๆ เมื่อมีคนมาพูดจาแทะโลม...เอ๊ย! เกลี้ยกล่อมให้สามีและคุณพ่อสามีขายบ้านให้เขา หรืออย่างน้อยก็ให้เขาเช่าทำร้านค้า ร้านอาหาร
"แล้วเราจะไปอยู่ไหนกันล่ะ?" สามีพูดหัวเราะๆ เมื่อฟังความเห็นของดิฉัน
เฮ้อ...จะนั่งครอบครองบ้านเก่าแก่บนที่ดินราคาหลายสิบล้าน ทั้งๆ ที่เงินทองของเราก็ยอบแยบแบบนี้น่ะหรือ...
พ.ศ.2530 ดิฉันตั้งครรภ์ และเมื่อท้องได้ราว 5 เดือนก็เริ่มคิดว่า พอคลอดลูกดิฉันอาจต้องลาออกจากงานที่ทำเพื่อมาเลี้ยงดูลูกเอง...แต่ให้สามีทำงานคนเดียวนี่น่ะ จะหาเงินพอเหรอ? คิดๆ แล้วน่ากลุ้มใจค่ะ
คืนนั้น ดิฉันนั่งอยู่คนเดียวบนเตียงในห้องนอน สามีกลับดึกค่ะ เขาโทร.มา บอกแล้ว...ตอนนั้นราว 5 ทุ่มครึ่ง ดิฉันครึ่งนั่งครึ่งนอน บนตักมีหนังสือตำราเกี่ยวกับการเลี้ยงดูทารกวางแผ่อยู่ จิตใจล่องลอยไปไกล...นึกถึงฐานะการเงินของครอบ ครัว แล้วก็นึกไปถึงเรื่องที่มีนายทุนอยากมาซื้อบ้านเรา...
แหม! ถ้าเป็นของดิฉันน่ะจะขายไปเลย ไม่รีรออ้อยสร้อยอยู่อย่างนี้หรอก!
ทันใดนั้น มีสิ่งหนึ่งห้อยลงมาตรงหน้า...คุณพระช่วย! นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ
หัวคนค่ะ สิ่งที่ห้อยลงมาจากเพดาน ประจันหน้ากับดิฉันเป็นศีรษะกลับหัวของหญิงชรา ผมทรงดอกกระทุ่มสีเทาเงิน ใบหน้าแหลมเรียวเล็ก คอระหงและบ่าที่เปล่าเปลือย...เธอคาดอกด้วยผ้าแถบสีแดงคล้ำๆ ปากเธอเปรอะเลือด...ไม่ใช่ คงจะเป็นน้ำหมากต่างหาก
ดวงตาคมกล้า วาวโรจน์ จ้องตากับดิฉันห่างกันแค่คืบ!
เป็นไปไม่ได้! ดิฉันบอกตัวเองเช่นนั้น...เราต้องฝันไปแน่ๆ ไม่ใช่ความจริง! สติของดิฉันเลื่อนลอย มันขัดกับธรรมชาติที่จะมีคนแก่ห้อยหัวลงมาจากเพดาน แต่มันก็อยู่ตรงหน้านี่แล้ว...
เมื่อจ้องดวงตาคู่นั้น ดิฉันก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังย้อนยุค! รับรู้ทันทีว่าหญิงชราผู้นี้ต้องเป็นผีบ้านผีเรือน...ภาพความเป็นอยู่ในอดีต และความรู้สึกต่างๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ ในสมอง...เหมือนเราดูหนัง! มันเป็นสิ่งที่พรั่งพรูเข้ามาขณะประสานตากับภูตวิญญาณ...
และแล้ว ภาพอันน่าพรั่นพรึงก็หายไป!
ดิฉันพบตัวเองนั่งนิ่งขึง ตะลึงอยู่บนเตียง ทุกอย่างสับสน งุนงง แต่ไม่ใช่ความกลัว...ทั้งๆ ที่ดิฉันน่าจะกลัวไม่ใช่หรือคะ?
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนถูกสะกดจิต ดิฉันไถลตัวช้าๆ ลงนอนแล้วก็หลับไป...หลับจนกระทั่งสามีกลับมาและเขาหอมแก้ม ดิฉันลืมตาตื่น... เล่าให้เขาฟัง สามีเพียงแต่หัวเราะบอกว่าบ้านเก่าๆ จะมีผีบ้านผีเรือนคุ้มครอง ไม่ต้องกลัว!
เชื่อไหมคะว่าดิฉันไม่กลัวแบบที่น่าจะกลัวผี...
ตรงกันข้าม มันกลับมีความรู้สึกทึ่งอย่างประหลาด กึ่งๆ จะอบอุ่นใจอย่างสามีว่าจริงๆ ด้วย ว่ามีวิญญาณคอยปกปักรักษาเราอยู่
ตั้งแต่นั้นมา ความคิดของดิฉันก็เปลี่ยนไป...ดิฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้ และมีความสุขมาก...
ปัจจุบันลูกสาวลูกชายของดิฉันจบการศึกษา กำลังจะไปต่อที่อังกฤษ... ฐานะเราไม่ได้ยากจนอย่างที่ดิฉันคิดหรอกค่ะ เรารุ่งเรืองเชียวล่ะ ...ส่วนหนึ่งคงมาจากผีบ้านผีเรือน...ท่านมาให้คุณน่ะค่ะ ไม่ใช่มาให้โทษอย่างที่หลายๆ คนอาจจะเคยหวาดระแวง!
ดิฉันพูดเล่นน่ะ แต่บ้านนี้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ บ้านที่มีประวัติ มีความรัก และเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทว่า ในตอนนั้นดิฉันไม่ได้ตระหนักถึงความหมายเหล่านั้นเลย!
ตอนนั้นเป็น พ.ศ.2529 ดิฉันแต่งงานและเข้าอยู่ในบ้านนี้...นอกจากสามีแล้วก็มีคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่าเท่านั้นเอง สามีดิฉันเป็นลูกชายคนเดียว ส่วนญาติผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ คือคุณอา คุณป้า ต่างไปอยู่ที่อื่นกันหมด คุณอาไปอยู่อเมริกา คุณป้าไปมีบ้านอยู่หัวหิน นานๆ ทีเราถึงจะได้เจอกัน
สรุปว่า บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงคุณพ่อสามีดิฉัน และแน่ล่ะค่ะ! สามีดิฉันก็ต้องได้รับช่วงต่ออย่างเต็มภาคภูมิ
บ้านหลังนี้สวยและมีเสน่ห์สไตล์บ้านเก่าแก่ทั้งหลาย แถมยังทำเลดี ตั้งอยู่ในแถบสาทร ดังนั้น จึงมีคนมาจีบขอซื้อเพื่อจะทำร้านอาหาร เขาว่าบรรยากาศดีมาก สุดแสนจะคลาสสิค ดิฉันน่ะฟังแล้วใจรอนๆ นึกลุ้นอยากให้ขายน่ะซิคะ!
แหม! คิดๆ แล้วดิฉันไม่ได้มีอะไรผูกพันกับบ้านหลังนี้สักหน่อยอีกอย่างหนึ่ง...โปรดสังเกตคำว่า "ผู้ดีเก่า" ดิฉันขอพูดถึงด้วยความเคารพนะคะ ว่าเป็นตระกูลที่น่าภาคภูมิใจมาก ต้นตระกูลมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง สมัยก่อนโน้นน่ะมีอำนาจวาสนาข้าทาสบริวารล้นเหลือ แต่มาถึงยุคนี้มันก็เหลือแต่เกียรติประวัติที่น่าภูมิใจเท่านั้น
พูดตรงๆ ว่าเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย ไม่เหมือนพวกเศรษฐีใหม่ที่รวยกันเป็นพันๆ ล้าน เพราะทำธุรกิจการค้า ลงทุนมากมายใหญ่โต
ดิฉันนึกฝันหวาน...ถ้าขายบ้านพร้อมที่ดินในพื้นที่ไร่เศษๆ นี้ไปได้ล่ะก็... โอ้โฮ! เราคงรวยน่าดู มูลค่าของบ้านและที่ดินในย่านนั้นมันช่างเย้ายวนใจเสียนี่กระไร!
แต่ดูเหมือนจะมีเพียงดิฉันคนเดียวเท่านั้นละมังคะ ที่นั่งตาโต ขนลุกซู่ๆ เมื่อมีคนมาพูดจาแทะโลม...เอ๊ย! เกลี้ยกล่อมให้สามีและคุณพ่อสามีขายบ้านให้เขา หรืออย่างน้อยก็ให้เขาเช่าทำร้านค้า ร้านอาหาร
"แล้วเราจะไปอยู่ไหนกันล่ะ?" สามีพูดหัวเราะๆ เมื่อฟังความเห็นของดิฉัน
เฮ้อ...จะนั่งครอบครองบ้านเก่าแก่บนที่ดินราคาหลายสิบล้าน ทั้งๆ ที่เงินทองของเราก็ยอบแยบแบบนี้น่ะหรือ...
พ.ศ.2530 ดิฉันตั้งครรภ์ และเมื่อท้องได้ราว 5 เดือนก็เริ่มคิดว่า พอคลอดลูกดิฉันอาจต้องลาออกจากงานที่ทำเพื่อมาเลี้ยงดูลูกเอง...แต่ให้สามีทำงานคนเดียวนี่น่ะ จะหาเงินพอเหรอ? คิดๆ แล้วน่ากลุ้มใจค่ะ
คืนนั้น ดิฉันนั่งอยู่คนเดียวบนเตียงในห้องนอน สามีกลับดึกค่ะ เขาโทร.มา บอกแล้ว...ตอนนั้นราว 5 ทุ่มครึ่ง ดิฉันครึ่งนั่งครึ่งนอน บนตักมีหนังสือตำราเกี่ยวกับการเลี้ยงดูทารกวางแผ่อยู่ จิตใจล่องลอยไปไกล...นึกถึงฐานะการเงินของครอบ ครัว แล้วก็นึกไปถึงเรื่องที่มีนายทุนอยากมาซื้อบ้านเรา...
แหม! ถ้าเป็นของดิฉันน่ะจะขายไปเลย ไม่รีรออ้อยสร้อยอยู่อย่างนี้หรอก!
ทันใดนั้น มีสิ่งหนึ่งห้อยลงมาตรงหน้า...คุณพระช่วย! นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ
หัวคนค่ะ สิ่งที่ห้อยลงมาจากเพดาน ประจันหน้ากับดิฉันเป็นศีรษะกลับหัวของหญิงชรา ผมทรงดอกกระทุ่มสีเทาเงิน ใบหน้าแหลมเรียวเล็ก คอระหงและบ่าที่เปล่าเปลือย...เธอคาดอกด้วยผ้าแถบสีแดงคล้ำๆ ปากเธอเปรอะเลือด...ไม่ใช่ คงจะเป็นน้ำหมากต่างหาก
ดวงตาคมกล้า วาวโรจน์ จ้องตากับดิฉันห่างกันแค่คืบ!
เป็นไปไม่ได้! ดิฉันบอกตัวเองเช่นนั้น...เราต้องฝันไปแน่ๆ ไม่ใช่ความจริง! สติของดิฉันเลื่อนลอย มันขัดกับธรรมชาติที่จะมีคนแก่ห้อยหัวลงมาจากเพดาน แต่มันก็อยู่ตรงหน้านี่แล้ว...
เมื่อจ้องดวงตาคู่นั้น ดิฉันก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังย้อนยุค! รับรู้ทันทีว่าหญิงชราผู้นี้ต้องเป็นผีบ้านผีเรือน...ภาพความเป็นอยู่ในอดีต และความรู้สึกต่างๆ ไหลเข้ามาในจิตใจ ในสมอง...เหมือนเราดูหนัง! มันเป็นสิ่งที่พรั่งพรูเข้ามาขณะประสานตากับภูตวิญญาณ...
และแล้ว ภาพอันน่าพรั่นพรึงก็หายไป!
ดิฉันพบตัวเองนั่งนิ่งขึง ตะลึงอยู่บนเตียง ทุกอย่างสับสน งุนงง แต่ไม่ใช่ความกลัว...ทั้งๆ ที่ดิฉันน่าจะกลัวไม่ใช่หรือคะ?
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนถูกสะกดจิต ดิฉันไถลตัวช้าๆ ลงนอนแล้วก็หลับไป...หลับจนกระทั่งสามีกลับมาและเขาหอมแก้ม ดิฉันลืมตาตื่น... เล่าให้เขาฟัง สามีเพียงแต่หัวเราะบอกว่าบ้านเก่าๆ จะมีผีบ้านผีเรือนคุ้มครอง ไม่ต้องกลัว!
เชื่อไหมคะว่าดิฉันไม่กลัวแบบที่น่าจะกลัวผี...
ตรงกันข้าม มันกลับมีความรู้สึกทึ่งอย่างประหลาด กึ่งๆ จะอบอุ่นใจอย่างสามีว่าจริงๆ ด้วย ว่ามีวิญญาณคอยปกปักรักษาเราอยู่
ตั้งแต่นั้นมา ความคิดของดิฉันก็เปลี่ยนไป...ดิฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้ และมีความสุขมาก...
ปัจจุบันลูกสาวลูกชายของดิฉันจบการศึกษา กำลังจะไปต่อที่อังกฤษ... ฐานะเราไม่ได้ยากจนอย่างที่ดิฉันคิดหรอกค่ะ เรารุ่งเรืองเชียวล่ะ ...ส่วนหนึ่งคงมาจากผีบ้านผีเรือน...ท่านมาให้คุณน่ะค่ะ ไม่ใช่มาให้โทษอย่างที่หลายๆ คนอาจจะเคยหวาดระแวง!
07 กุมภาพันธ์ 2559
แรงอาถรรพณ์
พิพัฒน์ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวันเทศน์ใหญ่ที่พิจิตร
ถึงแม้โลกเราจะเจริญก้าวหน้าสู่ยุคไอทีแล้วก็ตาม แต่ยังมีเรื่องราวลี้ลับ น่ามหัศจรรย์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ จนหลายๆ คนยอมรับว่าโลกเรามีภูตผีหรือวิญญาณอยู่จริงๆ
โดยเฉพาะวิญญาณเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ที่เคยสิงสู่วนเวียนอยู่ เนิ่นนานมาแล้ว อาจจะมีความผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง จนไม่อาจไปสู่สุคติได้สำเร็จ
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เป็นสิ่งที่มนุษย์เราควรยึดถือไว้ให้มั่นคง ดังเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้
วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ จ.พิจิตร มีพระประธานที่ชาวบ้านนับถือ ปัจจุบันก็ยังใช้ทำพิธีสงฆ์อยู่ตามเดิม
วัดนี้มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ประมาณ 15 รูป
กาลเวลาที่ผ่านมา 300 กว่าปีที่ทำให้หลังคาโบสถ์ชำรุดทรุดโทรมลง ทางวัดได้สร้างหลังคาชั่วคราวไว้ เนื่องจากกรมศิลปากรไม่อนุญาตให้สร้างใหม่ คงปล่อยไว้เป็นโบราณวัตถุตามเดิม
..และที่วัดนี้เอง บรรดาชาวบ้านและพระในวัดต่างพูดกันว่า "แรงมาก" หรือ "เฮี้ยน" จริงๆ มีผู้ประสบพบเห็นภาพน่าสยองพองขนมาหลายรายด้วยกัน
หลังจาก 2-3 ทุ่มไปแล้ว พระในวัดบอกว่า เมื่อมองไปทางหลังโบสถ์จะเห็นทหารกล้าในชุดโบราณ เดินถือดาบไปมา ร่างกายนั้นก็มิได้แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีชีวิต ยกเว้นแต่ท่วงท่าเดินเหินค่อนข้างจะแข็งทื่อ...เชื่อว่าเป็นวิญญาณทหารสมัยโบราณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่างแน่นอน!
แถวกุฏิที่พระจำวัดนั้น หลังจาก 4 ทุ่มไปแล้วพระมักจะไม่กล้าออกเดิน สาเหตุมาจากความเกรงกลัวว่าจะประสบกับภาพน่าขนลุกขนพองสิ้นดี
นั่นคือ ภาพของแม่ชีไม่มีหัว เดินไปเดินมาอยู่ในแสงจันทร์ มองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน!
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนแห่งหนึ่งได้จัดอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา มีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมงานมากมายน่าปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
วันที่ 19 ตุลาคม มีการเทศน์หน้าศาลา โดยพระบวชใหม่ชื่อ พระสุรพล
การเทศนาคราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 13.00 น.
พระสุรพลขึ้นเทศน์โดยไม่มีใครจุดธูปบอกกล่าว...เมื่อเทศน์ไปได้ครึ่งชั่วโมงเศษพระสุรพลแสดงอาการแน่นหน้าอก หายใจแทบไม่ออก บอกว่ารู้สึกเหมือนมีเท้าที่มองไม่เห็นมาถีบอย่างรุนแรง จนต้องยุติการเทศน์ลงเพียงนั้น
วันที่ 21 ตุลาคม มีการเทศน์ใหญ่ โดยอาจารย์ราชันย์และคณะ กำหนดเริ่ม 13.00 น.ตามเดิม
ก่อนการเทศน์ ประมาณเที่ยงเศษ รองเจ้าอาวาสได้ใช้ให้ "โยมกิม" กับ "โยมยา" นำสุราขาว, ไก่ต้ม ไปไหว้นายพัน-วิญญาณเฝ้าประตูโบสถ์ โดยให้บอกกล่าวด้วยว่าจะมีการเทศน์วันนี้เพื่อนำเงินเข้าวัด
โยมกิมกับโยมยานำของไหว้นายพันแล้วเข้าไปไหว้หลวงพ่อโต
ของไหว้นายพันวางไว้ตรงประตูโบสถ์ (มี 3 ประตู คือกลางใหญ่ ซ้าย-ขวา เล็กกว่า) โดยไม่มีคนเฝ้า..ปรากฏว่ามีสุนัขฝูงหนึ่งจำนวน 6 ตัว นอนหมอบดูของเซ่นไหว้ห่างเพียงประมาณ 1 วา โดยไม่แตะต้องไก่ต้มนั้นเลย!
โยมกิมและโยมยาได้บอกกล่าวหลวงพ่อโตแล้ว โยมกิมก็ตัวสั่น เอามือทุบต้นขาตัวเองหลายทีอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่แสดงความโกรธเคืองว่า
"พวกมึงทำอะไรไม่บอกให้กูรู้ กูจึงไม่ยอมให้มีการเทศน์ไงล่ะ!"
โยมยารีบยกมือไหว้ พลางบอกกล่าวด้วยเสียงตื่นตระหนกแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
"ขอโทษด้วย วันที่ 19 ลองเทศน์ดูเท่านั้น จึงไม่ได้บอกกล่าวให้หลวงพ่อโตทราบ วันนี้ขออนุญาตเทศน์ใหญ่เพื่อเอาเงินเข้าบำรุงวัด"
โยมกิมซึ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่มีสิ่งเร้นลับสิงอยู่ก็หัวเราะเสียงดังด้วยความพึงพอใจ
"เออ! ดีแล้วที่บอกให้กูรู้ เอาเงินเข้าวัดให้หมดนะโว้ย! ดีแล้ว...ดีมาก"
ต่อจากนั้น โยมกิมก็กลับรู้สึกตัวตามเดิม..
การเทศน์ใหญ่ในวันนี้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. จนสิ้นสุดลงอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ในเวลา 15.00 น. ได้เงินเข้าวัด 120,000 บาทเศษ ทางอาจารย์ราชันย์และคณะคือพระเฉลากับพระสุรพล ไม่ยอมรับเงินแม้แต่บาทเดียว
การเทศน์ใหญ่ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ได้ผ่านไปอย่างรื่น ไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ เกิดขึ้น แตกต่างจากการเทศน์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านโจษจันกันแพร่หลาย คนที่รู้เห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดล้วนแต่ขนหัวลุกไปตามๆ กัน...สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถึงแม้ว่าท่านผู้ใดไม่เชื่อถือก็จงอย่าได้หลบหลู่เลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551
ถึงแม้โลกเราจะเจริญก้าวหน้าสู่ยุคไอทีแล้วก็ตาม แต่ยังมีเรื่องราวลี้ลับ น่ามหัศจรรย์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ จนหลายๆ คนยอมรับว่าโลกเรามีภูตผีหรือวิญญาณอยู่จริงๆ
โดยเฉพาะวิญญาณเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ที่เคยสิงสู่วนเวียนอยู่ เนิ่นนานมาแล้ว อาจจะมีความผูกพันกับบางสิ่งบางอย่าง จนไม่อาจไปสู่สุคติได้สำเร็จ
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เป็นสิ่งที่มนุษย์เราควรยึดถือไว้ให้มั่นคง ดังเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้
วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ จ.พิจิตร มีพระประธานที่ชาวบ้านนับถือ ปัจจุบันก็ยังใช้ทำพิธีสงฆ์อยู่ตามเดิม
วัดนี้มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ประมาณ 15 รูป
กาลเวลาที่ผ่านมา 300 กว่าปีที่ทำให้หลังคาโบสถ์ชำรุดทรุดโทรมลง ทางวัดได้สร้างหลังคาชั่วคราวไว้ เนื่องจากกรมศิลปากรไม่อนุญาตให้สร้างใหม่ คงปล่อยไว้เป็นโบราณวัตถุตามเดิม
..และที่วัดนี้เอง บรรดาชาวบ้านและพระในวัดต่างพูดกันว่า "แรงมาก" หรือ "เฮี้ยน" จริงๆ มีผู้ประสบพบเห็นภาพน่าสยองพองขนมาหลายรายด้วยกัน
หลังจาก 2-3 ทุ่มไปแล้ว พระในวัดบอกว่า เมื่อมองไปทางหลังโบสถ์จะเห็นทหารกล้าในชุดโบราณ เดินถือดาบไปมา ร่างกายนั้นก็มิได้แตกต่างจากคนทั่วไปที่มีชีวิต ยกเว้นแต่ท่วงท่าเดินเหินค่อนข้างจะแข็งทื่อ...เชื่อว่าเป็นวิญญาณทหารสมัยโบราณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่างแน่นอน!
แถวกุฏิที่พระจำวัดนั้น หลังจาก 4 ทุ่มไปแล้วพระมักจะไม่กล้าออกเดิน สาเหตุมาจากความเกรงกลัวว่าจะประสบกับภาพน่าขนลุกขนพองสิ้นดี
นั่นคือ ภาพของแม่ชีไม่มีหัว เดินไปเดินมาอยู่ในแสงจันทร์ มองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน!
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนแห่งหนึ่งได้จัดอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา มีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมงานมากมายน่าปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง
วันที่ 19 ตุลาคม มีการเทศน์หน้าศาลา โดยพระบวชใหม่ชื่อ พระสุรพล
การเทศนาคราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 13.00 น.
พระสุรพลขึ้นเทศน์โดยไม่มีใครจุดธูปบอกกล่าว...เมื่อเทศน์ไปได้ครึ่งชั่วโมงเศษพระสุรพลแสดงอาการแน่นหน้าอก หายใจแทบไม่ออก บอกว่ารู้สึกเหมือนมีเท้าที่มองไม่เห็นมาถีบอย่างรุนแรง จนต้องยุติการเทศน์ลงเพียงนั้น
วันที่ 21 ตุลาคม มีการเทศน์ใหญ่ โดยอาจารย์ราชันย์และคณะ กำหนดเริ่ม 13.00 น.ตามเดิม
ก่อนการเทศน์ ประมาณเที่ยงเศษ รองเจ้าอาวาสได้ใช้ให้ "โยมกิม" กับ "โยมยา" นำสุราขาว, ไก่ต้ม ไปไหว้นายพัน-วิญญาณเฝ้าประตูโบสถ์ โดยให้บอกกล่าวด้วยว่าจะมีการเทศน์วันนี้เพื่อนำเงินเข้าวัด
โยมกิมกับโยมยานำของไหว้นายพันแล้วเข้าไปไหว้หลวงพ่อโต
ของไหว้นายพันวางไว้ตรงประตูโบสถ์ (มี 3 ประตู คือกลางใหญ่ ซ้าย-ขวา เล็กกว่า) โดยไม่มีคนเฝ้า..ปรากฏว่ามีสุนัขฝูงหนึ่งจำนวน 6 ตัว นอนหมอบดูของเซ่นไหว้ห่างเพียงประมาณ 1 วา โดยไม่แตะต้องไก่ต้มนั้นเลย!
โยมกิมและโยมยาได้บอกกล่าวหลวงพ่อโตแล้ว โยมกิมก็ตัวสั่น เอามือทุบต้นขาตัวเองหลายทีอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่แสดงความโกรธเคืองว่า
"พวกมึงทำอะไรไม่บอกให้กูรู้ กูจึงไม่ยอมให้มีการเทศน์ไงล่ะ!"
โยมยารีบยกมือไหว้ พลางบอกกล่าวด้วยเสียงตื่นตระหนกแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
"ขอโทษด้วย วันที่ 19 ลองเทศน์ดูเท่านั้น จึงไม่ได้บอกกล่าวให้หลวงพ่อโตทราบ วันนี้ขออนุญาตเทศน์ใหญ่เพื่อเอาเงินเข้าบำรุงวัด"
โยมกิมซึ่งไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แต่มีสิ่งเร้นลับสิงอยู่ก็หัวเราะเสียงดังด้วยความพึงพอใจ
"เออ! ดีแล้วที่บอกให้กูรู้ เอาเงินเข้าวัดให้หมดนะโว้ย! ดีแล้ว...ดีมาก"
ต่อจากนั้น โยมกิมก็กลับรู้สึกตัวตามเดิม..
การเทศน์ใหญ่ในวันนี้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น. จนสิ้นสุดลงอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ในเวลา 15.00 น. ได้เงินเข้าวัด 120,000 บาทเศษ ทางอาจารย์ราชันย์และคณะคือพระเฉลากับพระสุรพล ไม่ยอมรับเงินแม้แต่บาทเดียว
การเทศน์ใหญ่ในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ได้ผ่านไปอย่างรื่น ไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ เกิดขึ้น แตกต่างจากการเทศน์เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านโจษจันกันแพร่หลาย คนที่รู้เห็นเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดล้วนแต่ขนหัวลุกไปตามๆ กัน...สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ถึงแม้ว่าท่านผู้ใดไม่เชื่อถือก็จงอย่าได้หลบหลู่เลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551
06 กุมภาพันธ์ 2559
กุหลาบในโลงศพ
"น้องออย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณพี่สาวมาหา
"ถ้าฉันตาย เธอต้องเอาดอกไม้ใส่ไปในโลงฉันเยอะๆ นะ ฉันชอบ! มันคงทั้งสวยทั้งหอมน่าดูเชียวล่ะ!" อี๊ฟบอกกับฉันในบ่ายวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง...
ฉันค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น พูดบ้าๆ อะไรอย่างนี้นะ! ใครเขาเอาเรื่องตัวเองเป็นศพมาพูดเล่นกัน? พี่อี๊ฟนี่ประหลาดคนจริงๆ เธอยังสาวยังแส้แท้ๆ อายุเพิ่ง 25 ปี สวยเสียด้วยสิ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ฉันรักมาก
พี่อี๊ฟแก่กว่าฉัน 8 ปี เธอไม่มีน้องสาว ส่วนฉันก็ไม่มีพี่สาว เราจึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เวลาไปเที่ยวก็ไปด้วยกันสองคนเสมอ
วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ พี่อี๊ฟจะแต่งตัวสวยๆ ขับรถมารับฉันไปดูหนัง และเดินช็อปปิ้ง เราจะไปซื้อเครื่องสำอาง น้ำหอมและเสื้อผ้าเก๋ๆ สัปดาห์ไหนที่พี่อี๊ฟไม่ว่าง ฉันจะเหงามากเลย
เสาร์สุดท้ายที่ดิฉันได้เห็นเธอขณะมีชีวิตอยู่ คือวันที่เธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ...อยู่ดีๆ เธอก็พูดค่ะ! ตอนนั้นเรากำลังกินอาหารญี่ปุ่นกันอร่อยเชียว...คำพูดของเธอเล่นเอาฉันหมดอร่อยในฉับพลัน มันน่าโมโหมั้ยล่ะ?
"ทำไมพูดแบบนั้น" ดิฉันโวย "เขาไม่เอามาทำเป็นเล่นกันหรอกนะ จะรีบตายไปทำไมฮึ?"
"อ้าว? คนเรามันแน่ที่ไหน" อี๊ฟหัวเราะอย่างสนุก "อย่าลืมล่ะ...อ้อ! ฉันชอบดอกกุหลาบ เอาหลายๆ สีเลยนะ"
ฉันใจหาย...มันฟังดูเป็นจริงเป็นจังจนน่าขนหัวลุก!
และแล้ว สัปดาห์ถัดมา พี่อี๊ฟก็ขับรถไปเที่ยวบ้านแฟนของเธอที่อุทัยธานี พวกเขาไปกับสองคน ไปแต่เช้าและกลับตอนค่ำๆ
ขณะขับรถบนถนนแคบๆ ที่มีเพียงสองเลนให้รถแล่นสวนกันนั้น พี่อี๊ฟขับรถค่อนข้างเร็วเพราะเห็นถนนว่าง เธอไม่รู้ว่ามีกองอ้อยกองมหึมา ตกจากรถบรรทุกมาขวางถนนอยู่ข้างหน้า กว่าจะเห็นเธอก็หักหลบโดยไม่ทันระวังตัว...ผลก็คือประสานงากับรถกระบะที่สวนมาอย่างจัง พี่อี๊ฟของฉันตายทันที ส่วนพี่จ๊อบ-แฟนของเธอบาดเจ็บสาหัส!
พี่จ๊อบนั้นหัวแตก จมูกหัก ไหปลาร้าหัก ซี่โครง แขน ขา หักหมด ส่วนพี่อี๊ฟหน้าแตก ตาหลุดห้อยลงมาข้างหนึ่ง และเนื้อตัวยับเยิน กระดูกแขนขาของเธอน่ะ...เขาไม่เรียกว่าหักแล้วล่ะค่ะ ต้องเรียกว่าป่นเลยเชียว เพราะมันแตกละเอียดจนน่าใจหาย
ดิฉันจับที่แขนศพของเธอ มันดังกร๊อบแกร็บเหมือนใครทุบแก้วหรือกระเบื้องให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเอาใส่ไว้ในถุงผ้าแคบๆ ยาวๆ น่าสยดสยองจริงๆ
เวลาที่ตั้งศพรดน้ำนั้น เขาต้องเอาผ้าปิดหน้าที่เคยงดงามของพี่อี๊ฟไว้ เพื่อไม่ให้ญาติมิตรต้องสะเทือนใจ...โผล่มาแต่แขนที่เคยเรียวงาม แต่บัดนี้ดูเป็นแขนที่ดูผิดรูปยังไงชอบกล และซีดเซียวเขียวช้ำไปหมด
ฉันรู้แล้วว่าคำพูดน่าใจหายประโยคนั้น มันคือลางสังหรณ์ และฉันถือว่าเป็นปรารถนาครั้งสุดท้ายของเธอ ฉันเล่าให้ใครๆ หลายคนฟัง ดังนั้น เมื่อเอาพี่อี๊ฟลงโลง เราจึงวางดอกกุหลาบหลากสีให้เธอ จนมองดูคล้ายผ้าห่มดอกกุหลาบไปเลย!
คุณลุงคุณป้าเก็บศพพี่อี๊ฟไว้ 100 วันจึงเผา ระหว่างนั้นฉันกลัวผีมาก...กลัวซะจนต้องหอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกับพ่อกับแม่
มันอาจจะเป็นเพราะแปลกที่ หรือเพราะความกลัวก็ได้ที่ทำให้ฉันกระสับกระส่ายหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน ตื่นมาทีไรก็หลอนตัวเองว่าเป็นเงาร่างศพพี่อี๊ฟมานั่งอยู่ตามมุมมืดของห้อง!
คืนนั้นฉันฝัน มันน่ากลัวเหลือเกินและเหมือนจริงมากที่สุด...
ในฝันนั้นฉันนอนอยู่อย่างนี้แหละ และตื่นขึ้นมา...พี่อี๊ฟมานั่งข้างๆ ที่นอน! เธอมาในรูปศพ มีผ้าคลุมใบหน้า แขนขาเขียวเป็นจ้ำๆ และปูดเป็นปุ่มปมเพราะกระดูกในนั้นแตกป่นปี้...เธอมานั่งพับเพียบ เพราะฉันปูที่นอนกับพื้นข้างเตียงกับพ่อแม่ไงคะ
ในฝันนั้นฉันกลัว แต่ก็ยังกล้าที่จะพูดกับศพพี่สาว...ฉันถามเธอว่าเป็นยังไง? เจ็บมากมั้ย?
"เจ็บ...อยากดูหน้าพี่มั๊ยล่ะ?" เธอถามเสียงเศร้าๆ เย็นๆ ฉันบอกว่าก็ได้ ถ้าเธอต้องการให้ฉันเห็น!
พี่อี๊ฟเลื่อนผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ มันเป็นหน้าที่ยังมีเค้าความสวยงามอยู่ก็จริง แต่มันน่าสงสารมาก...ดวงตาข้างหนึ่งซึ่งเคยทะลักออกมา หมอเขายัดกลับเข้าไปแล้วเย็บเปลือกตาปิดเข้าด้วยกัน อีกข้างหนึ่งยังลืมอยู่ มันมีแววเคว้งคว้างเหมือนตาของปลาตาย...ปากเธอฉีก และมีรอยด้ายเย็บอีนุงตุงนัง
แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือราเป็นปุยขาวคลายสำลี ขึ้นตามใบหน้าและตามตัว...
ในฝันนั้นฉันกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ...เธอหายไปพร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วๆแล้วฉันก็ตื่นขึ้นมาด้วยใจระทึก
ครบ 100 วันก็ถึงฌาปนกิจ สัปเหร่อเปิดโรงให้เราดูหน้าพี่อี๊ฟเป็นครั้งสุดท้าย
คุณลุงค่อยๆ เลื่อนผ้าคลุมหน้าศพออก...
คุณพระช่วย! ฉันเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ให้ตายสิ! ใบหน้านั้นคือใบหน้าที่ฉันเห็นในฝันไม่ผิดเพี้ยน ที่สำคัญเธอมีราขึ้นเป็นปุยขาวที่หน้าและลำตัว ...มันเป็นราที่ขึ้นจากดอกกุหลาบที่ดารดาษอยู่ในโลงของเธอ ดอกไม้พวกนั้นมันชื้นไงคะ ราก็เลยเจริญเติบโตอย่างดี
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงว่าผีไม่มีจริง...เชื่อแล้วว่าพี่อี๊ฟมาหาฉันจริงๆ นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ ุ6 กุมภาพันธ์ 2551
"ถ้าฉันตาย เธอต้องเอาดอกไม้ใส่ไปในโลงฉันเยอะๆ นะ ฉันชอบ! มันคงทั้งสวยทั้งหอมน่าดูเชียวล่ะ!" อี๊ฟบอกกับฉันในบ่ายวันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง...
ฉันค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น พูดบ้าๆ อะไรอย่างนี้นะ! ใครเขาเอาเรื่องตัวเองเป็นศพมาพูดเล่นกัน? พี่อี๊ฟนี่ประหลาดคนจริงๆ เธอยังสาวยังแส้แท้ๆ อายุเพิ่ง 25 ปี สวยเสียด้วยสิ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ฉันรักมาก
พี่อี๊ฟแก่กว่าฉัน 8 ปี เธอไม่มีน้องสาว ส่วนฉันก็ไม่มีพี่สาว เราจึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เวลาไปเที่ยวก็ไปด้วยกันสองคนเสมอ
วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ พี่อี๊ฟจะแต่งตัวสวยๆ ขับรถมารับฉันไปดูหนัง และเดินช็อปปิ้ง เราจะไปซื้อเครื่องสำอาง น้ำหอมและเสื้อผ้าเก๋ๆ สัปดาห์ไหนที่พี่อี๊ฟไม่ว่าง ฉันจะเหงามากเลย
เสาร์สุดท้ายที่ดิฉันได้เห็นเธอขณะมีชีวิตอยู่ คือวันที่เธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ...อยู่ดีๆ เธอก็พูดค่ะ! ตอนนั้นเรากำลังกินอาหารญี่ปุ่นกันอร่อยเชียว...คำพูดของเธอเล่นเอาฉันหมดอร่อยในฉับพลัน มันน่าโมโหมั้ยล่ะ?
"ทำไมพูดแบบนั้น" ดิฉันโวย "เขาไม่เอามาทำเป็นเล่นกันหรอกนะ จะรีบตายไปทำไมฮึ?"
"อ้าว? คนเรามันแน่ที่ไหน" อี๊ฟหัวเราะอย่างสนุก "อย่าลืมล่ะ...อ้อ! ฉันชอบดอกกุหลาบ เอาหลายๆ สีเลยนะ"
ฉันใจหาย...มันฟังดูเป็นจริงเป็นจังจนน่าขนหัวลุก!
และแล้ว สัปดาห์ถัดมา พี่อี๊ฟก็ขับรถไปเที่ยวบ้านแฟนของเธอที่อุทัยธานี พวกเขาไปกับสองคน ไปแต่เช้าและกลับตอนค่ำๆ
ขณะขับรถบนถนนแคบๆ ที่มีเพียงสองเลนให้รถแล่นสวนกันนั้น พี่อี๊ฟขับรถค่อนข้างเร็วเพราะเห็นถนนว่าง เธอไม่รู้ว่ามีกองอ้อยกองมหึมา ตกจากรถบรรทุกมาขวางถนนอยู่ข้างหน้า กว่าจะเห็นเธอก็หักหลบโดยไม่ทันระวังตัว...ผลก็คือประสานงากับรถกระบะที่สวนมาอย่างจัง พี่อี๊ฟของฉันตายทันที ส่วนพี่จ๊อบ-แฟนของเธอบาดเจ็บสาหัส!
พี่จ๊อบนั้นหัวแตก จมูกหัก ไหปลาร้าหัก ซี่โครง แขน ขา หักหมด ส่วนพี่อี๊ฟหน้าแตก ตาหลุดห้อยลงมาข้างหนึ่ง และเนื้อตัวยับเยิน กระดูกแขนขาของเธอน่ะ...เขาไม่เรียกว่าหักแล้วล่ะค่ะ ต้องเรียกว่าป่นเลยเชียว เพราะมันแตกละเอียดจนน่าใจหาย
ดิฉันจับที่แขนศพของเธอ มันดังกร๊อบแกร็บเหมือนใครทุบแก้วหรือกระเบื้องให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเอาใส่ไว้ในถุงผ้าแคบๆ ยาวๆ น่าสยดสยองจริงๆ
เวลาที่ตั้งศพรดน้ำนั้น เขาต้องเอาผ้าปิดหน้าที่เคยงดงามของพี่อี๊ฟไว้ เพื่อไม่ให้ญาติมิตรต้องสะเทือนใจ...โผล่มาแต่แขนที่เคยเรียวงาม แต่บัดนี้ดูเป็นแขนที่ดูผิดรูปยังไงชอบกล และซีดเซียวเขียวช้ำไปหมด
ฉันรู้แล้วว่าคำพูดน่าใจหายประโยคนั้น มันคือลางสังหรณ์ และฉันถือว่าเป็นปรารถนาครั้งสุดท้ายของเธอ ฉันเล่าให้ใครๆ หลายคนฟัง ดังนั้น เมื่อเอาพี่อี๊ฟลงโลง เราจึงวางดอกกุหลาบหลากสีให้เธอ จนมองดูคล้ายผ้าห่มดอกกุหลาบไปเลย!
คุณลุงคุณป้าเก็บศพพี่อี๊ฟไว้ 100 วันจึงเผา ระหว่างนั้นฉันกลัวผีมาก...กลัวซะจนต้องหอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกับพ่อกับแม่
มันอาจจะเป็นเพราะแปลกที่ หรือเพราะความกลัวก็ได้ที่ทำให้ฉันกระสับกระส่ายหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน ตื่นมาทีไรก็หลอนตัวเองว่าเป็นเงาร่างศพพี่อี๊ฟมานั่งอยู่ตามมุมมืดของห้อง!
คืนนั้นฉันฝัน มันน่ากลัวเหลือเกินและเหมือนจริงมากที่สุด...
ในฝันนั้นฉันนอนอยู่อย่างนี้แหละ และตื่นขึ้นมา...พี่อี๊ฟมานั่งข้างๆ ที่นอน! เธอมาในรูปศพ มีผ้าคลุมใบหน้า แขนขาเขียวเป็นจ้ำๆ และปูดเป็นปุ่มปมเพราะกระดูกในนั้นแตกป่นปี้...เธอมานั่งพับเพียบ เพราะฉันปูที่นอนกับพื้นข้างเตียงกับพ่อแม่ไงคะ
ในฝันนั้นฉันกลัว แต่ก็ยังกล้าที่จะพูดกับศพพี่สาว...ฉันถามเธอว่าเป็นยังไง? เจ็บมากมั้ย?
"เจ็บ...อยากดูหน้าพี่มั๊ยล่ะ?" เธอถามเสียงเศร้าๆ เย็นๆ ฉันบอกว่าก็ได้ ถ้าเธอต้องการให้ฉันเห็น!
พี่อี๊ฟเลื่อนผ้าคลุมหน้าออกช้าๆ มันเป็นหน้าที่ยังมีเค้าความสวยงามอยู่ก็จริง แต่มันน่าสงสารมาก...ดวงตาข้างหนึ่งซึ่งเคยทะลักออกมา หมอเขายัดกลับเข้าไปแล้วเย็บเปลือกตาปิดเข้าด้วยกัน อีกข้างหนึ่งยังลืมอยู่ มันมีแววเคว้งคว้างเหมือนตาของปลาตาย...ปากเธอฉีก และมีรอยด้ายเย็บอีนุงตุงนัง
แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือราเป็นปุยขาวคลายสำลี ขึ้นตามใบหน้าและตามตัว...
ในฝันนั้นฉันกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ...เธอหายไปพร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วๆแล้วฉันก็ตื่นขึ้นมาด้วยใจระทึก
ครบ 100 วันก็ถึงฌาปนกิจ สัปเหร่อเปิดโรงให้เราดูหน้าพี่อี๊ฟเป็นครั้งสุดท้าย
คุณลุงค่อยๆ เลื่อนผ้าคลุมหน้าศพออก...
คุณพระช่วย! ฉันเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ให้ตายสิ! ใบหน้านั้นคือใบหน้าที่ฉันเห็นในฝันไม่ผิดเพี้ยน ที่สำคัญเธอมีราขึ้นเป็นปุยขาวที่หน้าและลำตัว ...มันเป็นราที่ขึ้นจากดอกกุหลาบที่ดารดาษอยู่ในโลงของเธอ ดอกไม้พวกนั้นมันชื้นไงคะ ราก็เลยเจริญเติบโตอย่างดี
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงว่าผีไม่มีจริง...เชื่อแล้วว่าพี่อี๊ฟมาหาฉันจริงๆ นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ ุ6 กุมภาพันธ์ 2551
05 กุมภาพันธ์ 2559
บ้านผีสิง
"นายตั้ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเช่า
ตอนที่ผมขนของเข้ามาอยู่ในบ้านเช่าราคาถูก (แต่ดี) หลังนี้ ดูเหมือนผู้คนทั้งซอยจะลอบมองผมด้วยสายตาพิกลๆ ยังไงชอบกลอยู่
ผมหล่อเหรอครับ? เอ่อ...ก็ใช่นะ มีส่วนมากเชียวละ ผมมีส่วนละม้ายคล้ายป๋าเทพแต่ผมหนุ่มกว่า อายุเพิ่ง 32 ยังไม่มีลูกเมีย ทำงานเป็นพนักงานดูแลซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง งานล้นมือจริงๆ แต่ถ้าคอมพ์ของคุณเสีย จะเรียกผมไปดูให้ก็ได้นะครับ
คนในซอยนี้พอรู้เข้าก็มาพูดจาแทะโลม...เอ๊ย! จับจองตัวผมกันเป็นแถว!
ก็เพราะงานล้นมือนี่ละ ทำให้ผมต้องกราบลาคุณพ่อคุณแม่เป็นการชั่วคราว ระเห็จออกจากคฤหาสน์ที่อยู่มาแต่อ้อนแต่ออก มาเช่าบ้านกับเพื่อนให้มันใกล้ที่ทำงานเข้าไว้ก่อน
ป๊อก-คือเจ้าเพื่อนที่ว่า มีเมียแล้ว สวยด้วยและมีลูกเล็กๆ อายุขวบกว่าคนหนึ่งกำลังหัดพูดหัดคุย เป็นเด็กผู้ชายครับ โตขึ้นสงสัยจะหล่อเชียวเพราะเหมือนแม่
ป๊อกกับลูกเมียน่ะอยู่ชั้นบน ส่วนผมนอนที่ห้องข้างล่าง ติดกับห้องรับแขกและห้องครัว
บ้านที่เรามาเช่ากันนี้ไม่กระจอกนะครับ จะบอกให้ เป็นบ้านผู้ดีมีระดับเชียวละ ข้างล่างเป็นไม้ ข้างบนก่ออิฐถือปูน อายุอานามของบ้านหลังนี้คงราวๆ ซัก 40-50 ปี แต่ยังแข็งแรง ฝีมือช่างสมัยนั้นดีมาก วัสดุก่อสร้างก็ยอดเยี่ยมคงทน
ที่นี่เป็นบ้านขนาดกลาง อยู่สบายในเนื้อที่ 200 ตารางวา มีต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างมะม่วงและต้นจำปี มะม่วงงี้ออกลูกดกเชียว
เจ้าของบ้านเป็นข้าราชการเกษียณแล้ว แหม! อายุท่านตั้งเกือบ 80 แล้วนะครับ...ท่านให้เช่าถูกๆ เพราะบ้านนี้ผีดุ!
ตกใจมั้ยครับ ผมพูดตรงๆ แบบนี้แหละ! เจ้าของบ้านท่านก็ไม่ได้ปิดบัง จะว่าไปเรามีอารมณ์ขันเข้ากันได้ พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ถูกชะตากันแล้ว แต่เรื่องผีดุนี่ไม่ใช่ล้อเล่นให้เห็นตลก...บ้านนี้มีคนตายครับ
ฟังแล้วสยองจังเลย ท่านเล่าว่าเมื่อ 20 ปีก่อน บ้านนี้มีคนอยู่กันคึกคัก ทั้งท่านเอง ภรรยาและลูกๆ อีก 4 คน รวมทั้งคนใช้อีก 3 คน เป็นบ้านที่มีความสุขและอบอุ่น ท่านรักที่นี่มากเพราะเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมา หวังจะให้อยู่กันอย่างสุขสบายชั่วนิรันดร์
แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย มีขโมยปีนเข้าบ้าน เป็นจังหวะพอดีกับสาวใช้คนสวยกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ
เรือนคนใช้นี่อยู่ทางด้านขวาของบ้าน ปลูกต่างหากแยกออกไป แต่ปัจจุบันรื้อทิ้งไปแล้ว เพราะอย่างที่บอกน่ะครับ...ผีดุ!!
เล่าต่อนะครับ...เมื่อโจรเห็นสาวใช้งัวเงียออกมา มันก็จับตัวไว้ มัดเป็นหมูและข่มขืน ที่หฤโหดกว่านั้นคือ...มันบีบคอเธอจนตายคามือ! น่าสงสารที่สุดเลย
ตั้งแต่นั้นก็อยู่กันไม่เป็นสุขแล้วละครับ
โอ้โฮ! มีคนถูกฆ่าตายในบ้านใครจะไปอยู่ได้ แต่เจ้าของบ้านไม่อยากขาย แม้จะอพยพโยกย้ายไปอยู่คอนโดฯ กันแล้วก็ตาม บ้านหลังนี้ยังเป็นสมบัติของท่าน ตอนแรกมันถูกทิ้งร้างว่างเปล่าและรกเรื้อ แต่เมื่อมีคนมาขอเช่าอยู่ ท่านก็จ้างคนงานมาถากถางทำความสะอาด ปลูกหญ้าใหม่ ปลูกดอกไม้ให้สดใส...
แต่ถึงกระนั้น คนที่มาเช่ารายแล้วรายเล่าก็มักจะเจอดี แม้แต่คนในซอยนี้ก็เคยมองเข้ามา แล้วเห็นเธอนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งมะม่วง ...บริเวณนี้แหละที่เธอถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนถามเจ้าของบ้านว่าน้องหนูที่โดนฆาตกรรมนั้น ยามมีชีวิตอยู่น่ะ นิสัยใจคอเป็นยังไง? ท่านตอบว่า เป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อารมณ์ดี รักเด็ก รักสัตว์ รักต้นไม้...
เฮ้อ! ฟังแล้วหวังว่าเธอคงยังไม่เปลี่ยนนิสัยนะ
อันที่จริงพวกเรา 3 คนคือตัวผม เจ้าป๊อกและน้องอี๊ดเมียมันนั้น กลัวผีกันทุกคน แต่ความงกมีมากกว่าครับ เราจะเช่าบ้านราคาถูกๆ ยังงี้ได้ที่ไหน? เราเลยตกลงใจอยู่ที่นี่...ขอลองดูสักพักเถอะน่า!
ตอนเข้าบ้าน ผมจุดธูปปักไว้ใต้ต้นมะม่วง ขอฝากตัวกับน้องพิม...อ้อ! สาวใช้ที่ตายชื่อพิมครับ บอกเธอว่าเห็นใจคนยากเถอะ
จริงๆ แล้วผมได้ยินเสียงประหลาด คล้ายแมวหรือลูกหมาร้องครวญคราง ถ้าฟังดีๆ จะได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงสาวๆ ร้องยามใกล้สิ้นใจด้วยความทรมาน! เวลาได้ยินผมจะคลุมโปง ท่องนะโม แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ ผมจะหลับหูหลับตาไม่มองไปที่หน้าต่าง ที่เปิดไปทางมะม่วงต้นนั้น
ป๊อกกับอี๊ดก็เคยเห็นเงาผู้หญิงผ่านหางตา แวบไปแวบมา แต่เราถือว่าเราอยู่คนละมิติ ผีทำอะไรเราไม่ได้ คนต่างหากที่น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
มันอาจเป็นเพราะเรา 3 คนมีความสงสาร และอยากให้วิญญาณสาวพิมพ้นทุกข์ เราส่งแรงใจที่ปรารถนาดีไปยังเธอผู้นั้นให้หายเจ็บหายกลัว
"มันผ่านไปแล้วนะ นาทีมรณะนั่น...ให้มันผ่านไปเถอะ! วิญญาณเธอหายเจ็บแล้ว และไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีก อย่าจมอยู่กับความทุกข์ที่โหดร้ายนั่นเลย...จงเป็นอิสระเถิด"
ผมพึมพำแบบนี้เสมอ ผลก็คือใจคอผมสบายขึ้นเยอะเลย...
แปลกนะครับ ผมรับรู้ว่าวิญญาณที่น่าสงสารก็ตอบรับเหมือนกัน ด้วยสายลมแผ่วๆ และความสงบสันติ สุข...ทุกวันนี้ผมจึงอยู่ที่นี่ได้สบายดี กลัวผีบ้างแต่ก็พอทนครับ!
ตอนที่ผมขนของเข้ามาอยู่ในบ้านเช่าราคาถูก (แต่ดี) หลังนี้ ดูเหมือนผู้คนทั้งซอยจะลอบมองผมด้วยสายตาพิกลๆ ยังไงชอบกลอยู่
ผมหล่อเหรอครับ? เอ่อ...ก็ใช่นะ มีส่วนมากเชียวละ ผมมีส่วนละม้ายคล้ายป๋าเทพแต่ผมหนุ่มกว่า อายุเพิ่ง 32 ยังไม่มีลูกเมีย ทำงานเป็นพนักงานดูแลซ่อมแซมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่ง งานล้นมือจริงๆ แต่ถ้าคอมพ์ของคุณเสีย จะเรียกผมไปดูให้ก็ได้นะครับ
คนในซอยนี้พอรู้เข้าก็มาพูดจาแทะโลม...เอ๊ย! จับจองตัวผมกันเป็นแถว!
ก็เพราะงานล้นมือนี่ละ ทำให้ผมต้องกราบลาคุณพ่อคุณแม่เป็นการชั่วคราว ระเห็จออกจากคฤหาสน์ที่อยู่มาแต่อ้อนแต่ออก มาเช่าบ้านกับเพื่อนให้มันใกล้ที่ทำงานเข้าไว้ก่อน
ป๊อก-คือเจ้าเพื่อนที่ว่า มีเมียแล้ว สวยด้วยและมีลูกเล็กๆ อายุขวบกว่าคนหนึ่งกำลังหัดพูดหัดคุย เป็นเด็กผู้ชายครับ โตขึ้นสงสัยจะหล่อเชียวเพราะเหมือนแม่
ป๊อกกับลูกเมียน่ะอยู่ชั้นบน ส่วนผมนอนที่ห้องข้างล่าง ติดกับห้องรับแขกและห้องครัว
บ้านที่เรามาเช่ากันนี้ไม่กระจอกนะครับ จะบอกให้ เป็นบ้านผู้ดีมีระดับเชียวละ ข้างล่างเป็นไม้ ข้างบนก่ออิฐถือปูน อายุอานามของบ้านหลังนี้คงราวๆ ซัก 40-50 ปี แต่ยังแข็งแรง ฝีมือช่างสมัยนั้นดีมาก วัสดุก่อสร้างก็ยอดเยี่ยมคงทน
ที่นี่เป็นบ้านขนาดกลาง อยู่สบายในเนื้อที่ 200 ตารางวา มีต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างมะม่วงและต้นจำปี มะม่วงงี้ออกลูกดกเชียว
เจ้าของบ้านเป็นข้าราชการเกษียณแล้ว แหม! อายุท่านตั้งเกือบ 80 แล้วนะครับ...ท่านให้เช่าถูกๆ เพราะบ้านนี้ผีดุ!
ตกใจมั้ยครับ ผมพูดตรงๆ แบบนี้แหละ! เจ้าของบ้านท่านก็ไม่ได้ปิดบัง จะว่าไปเรามีอารมณ์ขันเข้ากันได้ พูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ถูกชะตากันแล้ว แต่เรื่องผีดุนี่ไม่ใช่ล้อเล่นให้เห็นตลก...บ้านนี้มีคนตายครับ
ฟังแล้วสยองจังเลย ท่านเล่าว่าเมื่อ 20 ปีก่อน บ้านนี้มีคนอยู่กันคึกคัก ทั้งท่านเอง ภรรยาและลูกๆ อีก 4 คน รวมทั้งคนใช้อีก 3 คน เป็นบ้านที่มีความสุขและอบอุ่น ท่านรักที่นี่มากเพราะเก็บหอมรอมริบสร้างขึ้นมา หวังจะให้อยู่กันอย่างสุขสบายชั่วนิรันดร์
แต่วันหนึ่งก็เกิดเรื่องร้าย มีขโมยปีนเข้าบ้าน เป็นจังหวะพอดีกับสาวใช้คนสวยกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ
เรือนคนใช้นี่อยู่ทางด้านขวาของบ้าน ปลูกต่างหากแยกออกไป แต่ปัจจุบันรื้อทิ้งไปแล้ว เพราะอย่างที่บอกน่ะครับ...ผีดุ!!
เล่าต่อนะครับ...เมื่อโจรเห็นสาวใช้งัวเงียออกมา มันก็จับตัวไว้ มัดเป็นหมูและข่มขืน ที่หฤโหดกว่านั้นคือ...มันบีบคอเธอจนตายคามือ! น่าสงสารที่สุดเลย
ตั้งแต่นั้นก็อยู่กันไม่เป็นสุขแล้วละครับ
โอ้โฮ! มีคนถูกฆ่าตายในบ้านใครจะไปอยู่ได้ แต่เจ้าของบ้านไม่อยากขาย แม้จะอพยพโยกย้ายไปอยู่คอนโดฯ กันแล้วก็ตาม บ้านหลังนี้ยังเป็นสมบัติของท่าน ตอนแรกมันถูกทิ้งร้างว่างเปล่าและรกเรื้อ แต่เมื่อมีคนมาขอเช่าอยู่ ท่านก็จ้างคนงานมาถากถางทำความสะอาด ปลูกหญ้าใหม่ ปลูกดอกไม้ให้สดใส...
แต่ถึงกระนั้น คนที่มาเช่ารายแล้วรายเล่าก็มักจะเจอดี แม้แต่คนในซอยนี้ก็เคยมองเข้ามา แล้วเห็นเธอนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งมะม่วง ...บริเวณนี้แหละที่เธอถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนถามเจ้าของบ้านว่าน้องหนูที่โดนฆาตกรรมนั้น ยามมีชีวิตอยู่น่ะ นิสัยใจคอเป็นยังไง? ท่านตอบว่า เป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย อารมณ์ดี รักเด็ก รักสัตว์ รักต้นไม้...
เฮ้อ! ฟังแล้วหวังว่าเธอคงยังไม่เปลี่ยนนิสัยนะ
อันที่จริงพวกเรา 3 คนคือตัวผม เจ้าป๊อกและน้องอี๊ดเมียมันนั้น กลัวผีกันทุกคน แต่ความงกมีมากกว่าครับ เราจะเช่าบ้านราคาถูกๆ ยังงี้ได้ที่ไหน? เราเลยตกลงใจอยู่ที่นี่...ขอลองดูสักพักเถอะน่า!
ตอนเข้าบ้าน ผมจุดธูปปักไว้ใต้ต้นมะม่วง ขอฝากตัวกับน้องพิม...อ้อ! สาวใช้ที่ตายชื่อพิมครับ บอกเธอว่าเห็นใจคนยากเถอะ
จริงๆ แล้วผมได้ยินเสียงประหลาด คล้ายแมวหรือลูกหมาร้องครวญคราง ถ้าฟังดีๆ จะได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงสาวๆ ร้องยามใกล้สิ้นใจด้วยความทรมาน! เวลาได้ยินผมจะคลุมโปง ท่องนะโม แล้วแผ่ส่วนกุศลให้ ผมจะหลับหูหลับตาไม่มองไปที่หน้าต่าง ที่เปิดไปทางมะม่วงต้นนั้น
ป๊อกกับอี๊ดก็เคยเห็นเงาผู้หญิงผ่านหางตา แวบไปแวบมา แต่เราถือว่าเราอยู่คนละมิติ ผีทำอะไรเราไม่ได้ คนต่างหากที่น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
มันอาจเป็นเพราะเรา 3 คนมีความสงสาร และอยากให้วิญญาณสาวพิมพ้นทุกข์ เราส่งแรงใจที่ปรารถนาดีไปยังเธอผู้นั้นให้หายเจ็บหายกลัว
"มันผ่านไปแล้วนะ นาทีมรณะนั่น...ให้มันผ่านไปเถอะ! วิญญาณเธอหายเจ็บแล้ว และไม่มีใครทำร้ายเธอได้อีก อย่าจมอยู่กับความทุกข์ที่โหดร้ายนั่นเลย...จงเป็นอิสระเถิด"
ผมพึมพำแบบนี้เสมอ ผลก็คือใจคอผมสบายขึ้นเยอะเลย...
แปลกนะครับ ผมรับรู้ว่าวิญญาณที่น่าสงสารก็ตอบรับเหมือนกัน ด้วยสายลมแผ่วๆ และความสงบสันติ สุข...ทุกวันนี้ผมจึงอยู่ที่นี่ได้สบายดี กลัวผีบ้างแต่ก็พอทนครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2551
04 กุมภาพันธ์ 2559
ผีวัดร้าง
"นายอ๊อด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมฝั่งสะแกกรัง
ผมเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี หลายๆ คนเชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ ชาวบ้านขุดได้อาวุธสมัยหิน เช่น ดาบ ขวาน อยู่บ่อยๆ ไหนจะเครื่องประดับอย่างสร้อยและกำไล อายุกือบพันปีได้ละมั้ง?
ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าจะมีผีดุขนาดไหน!
สมัยเด็กๆ ผมยังเคยเห็นวัดร้างและเจดีย์หักอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ซากวัดผุพังที่ซุกตัวอยู่ได้ซุ้มไม้ดกหนา พวกผมเข้าไปวิ่งเล่นกันมั่ง เล่นซ่อนแอบมั่ง มองเห็นซากโบสถ์กับศาลาวัดที่มีอิฐหักๆ กองเกลื่อนกลาด บางครั้งก็เห็นเงาใครเดินผ่านวับๆ แวมๆ ในบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก
ไอ้จุก-เพื่อนผมคนหนึ่งมันเล่าว่าเคยเห็นพระแก่ๆ ยืนมองมาจากซุ้มไผ่ตายซากที่ข้างคูแห้งๆ ด้วย! เอ๊ะ...ที่นั่นเป็นวัดร้างแท้ๆ แล้วจะมีพระอยู่ได้ยังไงล่ะ? นอกจาก...
พอดีหลวงตากวักมือเรียกยิ้มๆ ยอดไม้สะบัดกราวตามสายลม ไอ้จุกขยี้ตามองแต่ไม่เห็นพระรูปนั้นเสียแล้ว คล้ายกับท่านหายตัวได้ยังงั้นแหละ เอ้า!
วิ่งซีครับ...ไอ้จุกเล่าว่ามันวิ่งหนีชนิดปอดอ้าไปตามตลิ่งสูงๆ ตอนหน้าแล้ง ขนาดอยากจะร้องโหวกโหวยยังร้องไม่ออก พอดีเจอลุงที่แบกคันเบ็ด หิ้วข้องปลาผ่านมาพอดี ไอ้จุกเลยวิ่งเข้าไปหา...เพิ่งจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นเอง
พอรู้เรื่องลุงก็ดุใหญ่ บอกว่าทีหน้าทีหลังอย่าอุตริไปเล่นที่วัดร้างนั่นอีกเป็นอันขาด ผีดุ! มีคนโดนหลอกกระเจิงมาหลายคนแล้ว
ไม่ช้าพวกเราเด็กๆ ก็ลืมเรื่องนี้ ชวนกันไปวิ่งเล่นซุกซนตามเคย!
ที่วัดร้างนั่นมีดงตะขบดกหนา ถ้าใครเคยเป็นเด็กบ้านนอกอย่างผมจะรู้ดีว่าลูกตะขบสุกๆ มันหวานอร่อยแค่ไหน ใกล้ๆ กันก็มีดงมะขามเทศดกสะพรั่ง ตามกิ่งก้านออกฝักระย้าเชียวครับ ถ้าไม่มีใครไปสอยมากิน ฝักมันก็ปริออกเห็นเนื้อแดงๆ ตอนนี้แหละออกรสชาติหวานๆ มันๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว
พวกเราไม่ค่อยกลัวผีกันเท่าไหร่ ไม่งั้นไม่กล้าเข้าไปเล่นในวัดร้างหรอกครับ ภูตผีก็เห็นจะมาหลอกหลอนเด็กๆ ผมมาคิดตอนหลังว่า พวกผีที่สิงสู่อยู่ในวัดร้างมาหลายสิบปี หรือเป็นร้อยๆ น่ะคงจะเหงาเอาการเหมือนกัน
เด็กๆ เข้าไปยิ่งเล่นครืนๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ อาจจะทำให้ผีหายเหงาก็เป็นได้
เผลอๆ ก็อยากออกมาเล่นกับเด็กๆ มั่งน่ะซี!
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พวกเราหยุดเรียนจึงออกจากบ้านไปเล่นเฮๆ กันริมแม่น้ำสะแกกรัง ที่โล่งทำให้ลมหนาวพัดตึง หนาวสะท้านไปตามๆ กัน เพื่อนผม 3 คนเชื่อไอ้ชา ไอ้เข กับไอ้หวิง บอกกล่าวกันว่าหลบลมหนาวเข้าไปเล่นแถววัดร้างดีกว่า มะขามเทศเต็มต้นกำลังสุกอร่ามพอดี
ว่าอะไรว่าตามกันซีน่า...ไม้ช้าพวกเราก็ไปเล่นกันที่นั่น...อ้อ! ไม่ได้เข้าไปในเขตวัดที่มีโบสถ์พังๆ กับศาลาการเปรียญโย้เย้ เสาไม้ 2 ต้น ตรงโคนก่ออิฐแตกหัก ทรุดลงมาข้างหนึ่งจนเอียงกระเท่เร่...แต่เราพากันไปที่ดงตะขบกับดงมะขามเทศต่างหากล่ะ
จู่ๆ ไอ้เขก็ตั้งปัญหาขึ้นว่า...ป่าช้าวัดนี้อยู่ที่ไหน?
สาบานได้ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แถมไม่รู้อีกต่างหาก ไอ้หวิงร้องด่า ...อยากรู้ไปหาหอกอะไรวะ? สงสัยจะอยู่แถวดงตะขบนี่ละมั้ง? ไอ้ชาเสริมขึ้นว่า...คงจริงแฮะ เพราะตะขบมันอยู่เหนือหลุมศพจึงดกชะมัดเตี่ย!
เราหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก จัดการหยิบไม้ไผ่ที่พาดกิ่งตะขบไปสอยมะขามเทศกัน...ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าไม้ไผ่นั่นมาจากไหน แถมไม่สนใจอีกต่างหาก
อากาศตอนบ่ายแก่ๆ มืดครึ้มเหมือนใกล้ค่ำ เพราะมีเมฆหนาทึบบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น ความเยือกเย็นก็เพิ่มขึ้นทุกที ลมพัดฮือมาตามยอดไม้เกิดเสียงซู่ซ่า...กอไผ่ตายซากก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงออดแอด ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี
พวกเรากำลังแหงนหน้ามองมะขามเทศฝักโตๆ แตกปริจนเห็นเนื้อชมพูอมแดง...นึกถึงรสชาติหวานมันในปากเราแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย
ไอ้เขกับไอ้ชาช่วยกันสอย ไอ้หวิงกับผมช่วยกันเก็บฝักที่ร่วงปุๆ หยิบมาปอกเปลือกยัดใส่ปากทันที...ไม่มีใครห้ามหวงหรอกครับ เพราะมันดกชนิดกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
"กิ่งนี้โว้ย..." เสียงไอ้เขร้อง แหงนหน้าส่งไม้สอยเหยงๆ ไอ้ชาก็ร้อง "กิ่งนี้ๆ" เหมือนกัน...ตามด้วยเสียงไอ้เขดังลั่น "ส่งมาซีวะ! เออ...ส่งมาหลายๆ พวงเลย!"
ไอ้หวิงกับผมเอะใจ แหงนหน้าขึ้นมองมั่ง เห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งไม้ พลางยื่นฝักมะขามเทศเสียบไม้สอย...ไม่ได้ทำตะกร้อไว้แบบไม้สอยมะม่วงนี่ครับ...เสียงไอ้เขร้องเร่งฟังแล้วน่าขนลุกขนพอง
"เสียบหลายๆ พวงซีวะไอ้หวิง...ไอ้อ๊อด!"
"กูอยู่นี่!" ไอ้หวิงกับผมร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ้เขกับไอ้ชาหันขวับมามอง ทำตาเหลือกก่อนจะหันไปเงยหน้า...เราเห็นเด็กชายไว้จุกก้มลงมอง ยิ้มแป้นเห็นฟันขาวเต็มปาก แต่นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนนกกะปูด...ไอ้เขกับไอ้ชาผงะหน้า ร้องจ๊าก ไม้ไผ่หลุดจากมือบัดดล
"ผีหลอก...ผีหลอกโว้ย!!"
ไม่รู้ใครตะโกนแสบแก้วหู วิ่งชนกันจนล้มลุกคลุกคลาน...เสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังเล่นเอาเร่งสปีดกันไม่คิดชีวิต...นอกจากจะไม่ย่างกรายไปที่วัดร้าง ผมยังเลิกกินตะขบกับมะขามเทศมาถึงทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551
ผมเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี เมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์หลายร้อยปี หลายๆ คนเชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ ชาวบ้านขุดได้อาวุธสมัยหิน เช่น ดาบ ขวาน อยู่บ่อยๆ ไหนจะเครื่องประดับอย่างสร้อยและกำไล อายุกือบพันปีได้ละมั้ง?
ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าจะมีผีดุขนาดไหน!
สมัยเด็กๆ ผมยังเคยเห็นวัดร้างและเจดีย์หักอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ซากวัดผุพังที่ซุกตัวอยู่ได้ซุ้มไม้ดกหนา พวกผมเข้าไปวิ่งเล่นกันมั่ง เล่นซ่อนแอบมั่ง มองเห็นซากโบสถ์กับศาลาวัดที่มีอิฐหักๆ กองเกลื่อนกลาด บางครั้งก็เห็นเงาใครเดินผ่านวับๆ แวมๆ ในบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก
ไอ้จุก-เพื่อนผมคนหนึ่งมันเล่าว่าเคยเห็นพระแก่ๆ ยืนมองมาจากซุ้มไผ่ตายซากที่ข้างคูแห้งๆ ด้วย! เอ๊ะ...ที่นั่นเป็นวัดร้างแท้ๆ แล้วจะมีพระอยู่ได้ยังไงล่ะ? นอกจาก...
พอดีหลวงตากวักมือเรียกยิ้มๆ ยอดไม้สะบัดกราวตามสายลม ไอ้จุกขยี้ตามองแต่ไม่เห็นพระรูปนั้นเสียแล้ว คล้ายกับท่านหายตัวได้ยังงั้นแหละ เอ้า!
วิ่งซีครับ...ไอ้จุกเล่าว่ามันวิ่งหนีชนิดปอดอ้าไปตามตลิ่งสูงๆ ตอนหน้าแล้ง ขนาดอยากจะร้องโหวกโหวยยังร้องไม่ออก พอดีเจอลุงที่แบกคันเบ็ด หิ้วข้องปลาผ่านมาพอดี ไอ้จุกเลยวิ่งเข้าไปหา...เพิ่งจะร้องไห้ออกมาตอนนั้นเอง
พอรู้เรื่องลุงก็ดุใหญ่ บอกว่าทีหน้าทีหลังอย่าอุตริไปเล่นที่วัดร้างนั่นอีกเป็นอันขาด ผีดุ! มีคนโดนหลอกกระเจิงมาหลายคนแล้ว
ไม่ช้าพวกเราเด็กๆ ก็ลืมเรื่องนี้ ชวนกันไปวิ่งเล่นซุกซนตามเคย!
ที่วัดร้างนั่นมีดงตะขบดกหนา ถ้าใครเคยเป็นเด็กบ้านนอกอย่างผมจะรู้ดีว่าลูกตะขบสุกๆ มันหวานอร่อยแค่ไหน ใกล้ๆ กันก็มีดงมะขามเทศดกสะพรั่ง ตามกิ่งก้านออกฝักระย้าเชียวครับ ถ้าไม่มีใครไปสอยมากิน ฝักมันก็ปริออกเห็นเนื้อแดงๆ ตอนนี้แหละออกรสชาติหวานๆ มันๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว
พวกเราไม่ค่อยกลัวผีกันเท่าไหร่ ไม่งั้นไม่กล้าเข้าไปเล่นในวัดร้างหรอกครับ ภูตผีก็เห็นจะมาหลอกหลอนเด็กๆ ผมมาคิดตอนหลังว่า พวกผีที่สิงสู่อยู่ในวัดร้างมาหลายสิบปี หรือเป็นร้อยๆ น่ะคงจะเหงาเอาการเหมือนกัน
เด็กๆ เข้าไปยิ่งเล่นครืนๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ อาจจะทำให้ผีหายเหงาก็เป็นได้
เผลอๆ ก็อยากออกมาเล่นกับเด็กๆ มั่งน่ะซี!
วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พวกเราหยุดเรียนจึงออกจากบ้านไปเล่นเฮๆ กันริมแม่น้ำสะแกกรัง ที่โล่งทำให้ลมหนาวพัดตึง หนาวสะท้านไปตามๆ กัน เพื่อนผม 3 คนเชื่อไอ้ชา ไอ้เข กับไอ้หวิง บอกกล่าวกันว่าหลบลมหนาวเข้าไปเล่นแถววัดร้างดีกว่า มะขามเทศเต็มต้นกำลังสุกอร่ามพอดี
ว่าอะไรว่าตามกันซีน่า...ไม้ช้าพวกเราก็ไปเล่นกันที่นั่น...อ้อ! ไม่ได้เข้าไปในเขตวัดที่มีโบสถ์พังๆ กับศาลาการเปรียญโย้เย้ เสาไม้ 2 ต้น ตรงโคนก่ออิฐแตกหัก ทรุดลงมาข้างหนึ่งจนเอียงกระเท่เร่...แต่เราพากันไปที่ดงตะขบกับดงมะขามเทศต่างหากล่ะ
จู่ๆ ไอ้เขก็ตั้งปัญหาขึ้นว่า...ป่าช้าวัดนี้อยู่ที่ไหน?
สาบานได้ว่าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แถมไม่รู้อีกต่างหาก ไอ้หวิงร้องด่า ...อยากรู้ไปหาหอกอะไรวะ? สงสัยจะอยู่แถวดงตะขบนี่ละมั้ง? ไอ้ชาเสริมขึ้นว่า...คงจริงแฮะ เพราะตะขบมันอยู่เหนือหลุมศพจึงดกชะมัดเตี่ย!
เราหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก จัดการหยิบไม้ไผ่ที่พาดกิ่งตะขบไปสอยมะขามเทศกัน...ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าไม้ไผ่นั่นมาจากไหน แถมไม่สนใจอีกต่างหาก
อากาศตอนบ่ายแก่ๆ มืดครึ้มเหมือนใกล้ค่ำ เพราะมีเมฆหนาทึบบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น ความเยือกเย็นก็เพิ่มขึ้นทุกที ลมพัดฮือมาตามยอดไม้เกิดเสียงซู่ซ่า...กอไผ่ตายซากก็เสียดสีกันจนเกิดเสียงออดแอด ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี
พวกเรากำลังแหงนหน้ามองมะขามเทศฝักโตๆ แตกปริจนเห็นเนื้อชมพูอมแดง...นึกถึงรสชาติหวานมันในปากเราแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย
ไอ้เขกับไอ้ชาช่วยกันสอย ไอ้หวิงกับผมช่วยกันเก็บฝักที่ร่วงปุๆ หยิบมาปอกเปลือกยัดใส่ปากทันที...ไม่มีใครห้ามหวงหรอกครับ เพราะมันดกชนิดกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
"กิ่งนี้โว้ย..." เสียงไอ้เขร้อง แหงนหน้าส่งไม้สอยเหยงๆ ไอ้ชาก็ร้อง "กิ่งนี้ๆ" เหมือนกัน...ตามด้วยเสียงไอ้เขดังลั่น "ส่งมาซีวะ! เออ...ส่งมาหลายๆ พวงเลย!"
ไอ้หวิงกับผมเอะใจ แหงนหน้าขึ้นมองมั่ง เห็นเด็กชายคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งไม้ พลางยื่นฝักมะขามเทศเสียบไม้สอย...ไม่ได้ทำตะกร้อไว้แบบไม้สอยมะม่วงนี่ครับ...เสียงไอ้เขร้องเร่งฟังแล้วน่าขนลุกขนพอง
"เสียบหลายๆ พวงซีวะไอ้หวิง...ไอ้อ๊อด!"
"กูอยู่นี่!" ไอ้หวิงกับผมร้องขึ้นพร้อมๆ กัน ไอ้เขกับไอ้ชาหันขวับมามอง ทำตาเหลือกก่อนจะหันไปเงยหน้า...เราเห็นเด็กชายไว้จุกก้มลงมอง ยิ้มแป้นเห็นฟันขาวเต็มปาก แต่นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนนกกะปูด...ไอ้เขกับไอ้ชาผงะหน้า ร้องจ๊าก ไม้ไผ่หลุดจากมือบัดดล
"ผีหลอก...ผีหลอกโว้ย!!"
ไม่รู้ใครตะโกนแสบแก้วหู วิ่งชนกันจนล้มลุกคลุกคลาน...เสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังเล่นเอาเร่งสปีดกันไม่คิดชีวิต...นอกจากจะไม่ย่างกรายไปที่วัดร้าง ผมยังเลิกกินตะขบกับมะขามเทศมาถึงทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551
01 กุมภาพันธ์ 2559
คืนเดียวก็เกินพอ
พระพิพัฒน์ วรญาโน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ.2550 โรงเรียนเทคนิคจังหวัดพิจิตร ได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยอุปสมบท 9 วัด วัดละ 12 รูป
หลังจากอุปสมบทเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุ 108 รูปได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
9 วัดที่ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้อบรมนวกภิกษุอย่างเข้มงวดยิ่ง
วันที่ 15 ตุลาคม พระต้นอยากทำสมาธิ จึงได้ไปปักกลดนอนบริเวณป่าช้าเก่าแต่ปรับเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี พระต้นก็ทราบว่าบริเวณนั้นเป็นป่าช้าเก่า แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีพระบวชใหม่ด้วยกันไปปักกลดนอนที่นั่นอีก 2 รูป
คืนแรกขึ้น 4 ค่ำ ประมาณ 2 ทุ่ม พระต้นก็เข้ากลดสวดมนต์ ทำสมาธิจนเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง...
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันมีเสียงมโหรีดังแว่วมาตามลมจากวิหารเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่พระต้นปักกลดทำสมาธิอยู่นั่นเอง!
เสียงมโหรีโหยหวนเยือกเย็น ดังอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ จางหายไปในความเงียบเชียบ เกิดความสงบสงัดตามเดิม
จู่ๆ ก็มีเสียงต้นไม้ใหญ่ข้างกลดส่งเสียงซูซ่า ราวกับมีใครอุตริขึ้นไปจับเขย่าอย่างรุนแรง...
ต้นตะเคียน 2 ต้น!
พระต้นกำหนดจิตให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นมา...
ท่ามกลางแสงดาวกระจ่างฟ้า สายลมคร่ำครวญคละเคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเป็นเพื่อนรัตติกาล สตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวโดดเด่น เห็นได้เลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นว่าเป็นสตรีวัยกลางคน เดินออกมาจากต้นตะเคียนนั้น เบื้องหลังของนางคือชายชราผิวดำ ผมขาวโพลน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่สวมเสื้อ เดินตามมาช้าๆ
หญิงนั้นเดินมาหาพระต้น ปากเผยอนิดๆ ขณะเสียงถามเยือกเย็น ดังวู่หวิวมาว่า
"ท่านมานอนขวางทางเดินของเราทำไม?"
พระต้นทราบแน่ว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด กำหนดจิตให้เข้มแข็งสมกับเป็นศิษย์ของสมณะโคดม พลางเอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงเป็นปกติ
"อาตมาไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นที่นอนของโยม อาตมาต้องขอโทษด้วย...พรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้"
สตรีในชุดขาวกับชายชรามองสบตากัน พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันกลับแล้วออกเดินเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงสุนัขจากวัดโพธิ์ประทับช้างโก่งคอหอนโหยหวน เหมือนพวกมันได้ประสบกับภาพอันน่าสยดสยองอย่างเหลือประมาณ
ร่างทั้งสองพลันเลือนหายไปแถวต้นตะเคียนนั่นเอง!
พระบวชใหม่สำรวมจิตจะออกจากสมาธิ แต่ต้องเกิดอาการสะดุ้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา...เป็นเสียงหัวเราะของเด็กอายุราว 4-5 ขวบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใดกันแน่?
ฉับพลันนั้น เด็กชายไว้จุกก็ปรากฏร่างมายืนจับกลด ชะโงกหน้าเข้ามาหาพลางร้องว่า...พระนี่หว่า!
ขาดเสียงก็หัวเราะร่า ออกวิ่งเล่นรอบกลดด้วยอาการคึกคะนองตามประสาเด็ก แถมยังกระตุกกลดทั้งหน้าและหลังเล่นด้วยความซุกซน ท่ามกลางสายลมที่คร่ำครวญหวีดหวิวมาจากต้นตะเคียนทั้งสองต้น...
พระต้นรู้สึกว่าจิตของตนบังเกิดอาการระส่ำระสายแล้ว ผีเด็กก็ยังวิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน...ทั้งวิ่งรอบกลดทั้งกระตุกกลดเล่นไม่หยุดหย่อน
เสียงฝีเท้าคึ่กๆ กับเสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้เลย!
พระบวชใหม่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้อนรับเหตุการณ์เขย่าขวัญ ถึงกับเหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผาก หัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมแทบจะกระทบโพรงอก ปากคอแห้งผากราวกับผุยผงก็ปานกัน
เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะแสนจะสะท้านสะเทือนใจนัก!
พระต้นพยายามสวดมนต์ตามแต่จะนึกออก ขอโทษขอโพยอยู่ในใจว่าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้...แต่ผีเด็กก็ยังไม่ยอมไปไหน คงวิ่งรอบกลดและส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มประดา...
กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน...เหงื่อจากหน้าผากพระต้นไหลย้อยมาท่วมเปลือกตาและสันแก้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว จิตใจสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่หยุดหย่อน
เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เบาบางลงจนเงียบหายไปในที่สุด
คืนนั้นพระต้นนอนไม่หลับเลย...วันรุ่งขึ้นก็ไม่กล้าไปปักกลดนอนที่บริเวณป่าช้าเก่าอีก จนถึงวันที่ 23 ตุลาคมก็เกิดอาพาธ ปรารภกับพระบวชใหม่ด้วยกันว่า สึกแล้วจะให้โยมพ่อพาไปหาหมอ...คืนเดียวก็เข็ดหลาบไปตลอดชีวิตแล้ว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ.2550 โรงเรียนเทคนิคจังหวัดพิจิตร ได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยอุปสมบท 9 วัด วัดละ 12 รูป
หลังจากอุปสมบทเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุ 108 รูปได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
9 วัดที่ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้อบรมนวกภิกษุอย่างเข้มงวดยิ่ง
วันที่ 15 ตุลาคม พระต้นอยากทำสมาธิ จึงได้ไปปักกลดนอนบริเวณป่าช้าเก่าแต่ปรับเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี พระต้นก็ทราบว่าบริเวณนั้นเป็นป่าช้าเก่า แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีพระบวชใหม่ด้วยกันไปปักกลดนอนที่นั่นอีก 2 รูป
คืนแรกขึ้น 4 ค่ำ ประมาณ 2 ทุ่ม พระต้นก็เข้ากลดสวดมนต์ ทำสมาธิจนเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง...
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันมีเสียงมโหรีดังแว่วมาตามลมจากวิหารเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่พระต้นปักกลดทำสมาธิอยู่นั่นเอง!
เสียงมโหรีโหยหวนเยือกเย็น ดังอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ จางหายไปในความเงียบเชียบ เกิดความสงบสงัดตามเดิม
จู่ๆ ก็มีเสียงต้นไม้ใหญ่ข้างกลดส่งเสียงซูซ่า ราวกับมีใครอุตริขึ้นไปจับเขย่าอย่างรุนแรง...
ต้นตะเคียน 2 ต้น!
พระต้นกำหนดจิตให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นมา...
ท่ามกลางแสงดาวกระจ่างฟ้า สายลมคร่ำครวญคละเคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเป็นเพื่อนรัตติกาล สตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวโดดเด่น เห็นได้เลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นว่าเป็นสตรีวัยกลางคน เดินออกมาจากต้นตะเคียนนั้น เบื้องหลังของนางคือชายชราผิวดำ ผมขาวโพลน นุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่สวมเสื้อ เดินตามมาช้าๆ
หญิงนั้นเดินมาหาพระต้น ปากเผยอนิดๆ ขณะเสียงถามเยือกเย็น ดังวู่หวิวมาว่า
"ท่านมานอนขวางทางเดินของเราทำไม?"
พระต้นทราบแน่ว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด กำหนดจิตให้เข้มแข็งสมกับเป็นศิษย์ของสมณะโคดม พลางเอ่ยตอบด้วยสุ้มเสียงเป็นปกติ
"อาตมาไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นที่นอนของโยม อาตมาต้องขอโทษด้วย...พรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้"
สตรีในชุดขาวกับชายชรามองสบตากัน พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันกลับแล้วออกเดินเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงสุนัขจากวัดโพธิ์ประทับช้างโก่งคอหอนโหยหวน เหมือนพวกมันได้ประสบกับภาพอันน่าสยดสยองอย่างเหลือประมาณ
ร่างทั้งสองพลันเลือนหายไปแถวต้นตะเคียนนั่นเอง!
พระบวชใหม่สำรวมจิตจะออกจากสมาธิ แต่ต้องเกิดอาการสะดุ้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา...เป็นเสียงหัวเราะของเด็กอายุราว 4-5 ขวบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใดกันแน่?
ฉับพลันนั้น เด็กชายไว้จุกก็ปรากฏร่างมายืนจับกลด ชะโงกหน้าเข้ามาหาพลางร้องว่า...พระนี่หว่า!
ขาดเสียงก็หัวเราะร่า ออกวิ่งเล่นรอบกลดด้วยอาการคึกคะนองตามประสาเด็ก แถมยังกระตุกกลดทั้งหน้าและหลังเล่นด้วยความซุกซน ท่ามกลางสายลมที่คร่ำครวญหวีดหวิวมาจากต้นตะเคียนทั้งสองต้น...
พระต้นรู้สึกว่าจิตของตนบังเกิดอาการระส่ำระสายแล้ว ผีเด็กก็ยังวิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน...ทั้งวิ่งรอบกลดทั้งกระตุกกลดเล่นไม่หยุดหย่อน
เสียงฝีเท้าคึ่กๆ กับเสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้เลย!
พระบวชใหม่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้อนรับเหตุการณ์เขย่าขวัญ ถึงกับเหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผาก หัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมแทบจะกระทบโพรงอก ปากคอแห้งผากราวกับผุยผงก็ปานกัน
เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะแสนจะสะท้านสะเทือนใจนัก!
พระต้นพยายามสวดมนต์ตามแต่จะนึกออก ขอโทษขอโพยอยู่ในใจว่าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้...แต่ผีเด็กก็ยังไม่ยอมไปไหน คงวิ่งรอบกลดและส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มประดา...
กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน...เหงื่อจากหน้าผากพระต้นไหลย้อยมาท่วมเปลือกตาและสันแก้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว จิตใจสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่หยุดหย่อน
เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เบาบางลงจนเงียบหายไปในที่สุด
คืนนั้นพระต้นนอนไม่หลับเลย...วันรุ่งขึ้นก็ไม่กล้าไปปักกลดนอนที่บริเวณป่าช้าเก่าอีก จนถึงวันที่ 23 ตุลาคมก็เกิดอาพาธ ปรารภกับพระบวชใหม่ด้วยกันว่า สึกแล้วจะให้โยมพ่อพาไปหาหมอ...คืนเดียวก็เข็ดหลาบไปตลอดชีวิตแล้ว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)