06 เมษายน 2558

แม่น้ำวิปโยค

"นที" เล่าเรื่องสยองปนสลดเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่

ท่ามกลางสายชลปั่นป่วนปานจะคลุ้มคลั่ง แผ่นดินลับหายไปใต้สายน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ประหนึ่งโลกทั้งโลกมีอุทกธารท่วมท้น ปราศจากเรือกสวนไร่นา แม้แต่บ้านช่องก็ถูกกลืนกินจนหมดสิ้นเช่นกัน!

แม่กอดลูกชายตัวน้อยไว้กับอก เหม่อมองไปยังกระแสเชี่ยวกรากเหมือนจะถล่มทลายสรรพสิ่งที่ขวางหน้าให้พินาศวอดวายไปในพริบตา

"เดี๋ยวพ่อก็จะกลับมาแล้ว" แม่บอกลูกด้วยเสียงปลอบโยน แต่คล้ายจะบอกกล่าวตัวเองมากกว่า "อีกไม่นานหรอกลูก พ่อต้องได้ข้าวได้น้ำมาให้เรา อย่ากลัวไปเลยลูกเอ๋ย..."

เสียงนั้นขาดหายไปเพราะก้อนสะอื้นที่ประดังขึ้นมาจุกลำคอ เหลืออยู่แต่เสียงสายน้ำสาดซ่าครึก โครมราวกับจะประกาศก้องถึงชัยชนะยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ทรงพลังเหนือมวลมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเสมอมา!

ท้องฟ้ามืดครึ้ม หนักอึ้งด้วยเมฆฝน มีเสียงคำรามครืนครัน สะท้านสะเทือนไปถึงหัวอกหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน

แม่กอดกระชับลูกน้อยแน่นหนามากกว่าเดิม...

ปีนี้ฝนแรงเหลือเกิน ตั้งแต่เหนือลงมาโน่น เหมือนเทวดากริ้วโกรธสาดน้ำลงมาจนหมดฟ้า โหมกระหน่ำทั้งวันทั้งคืน อย่าว่าแต่ดินโคลนจากภูเขาจะถล่มทลายย่อยยับ ก้อนน้ำยิ่งรวมตัวกันเป็นเกลียวคลื่นมหึมา บ้าคลั่ง ไหลหลั่งถาโถมลงมาตามแม่น้ำลำคลองจนเอ่อท้น แผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง

ไร่นาสาโทจมหายไปใต้น้ำ บ้านเล็กเรือนน้อยจ่อมจมถึงหลังคา หลายสิบหลายร้อยหลังคาเรือน ถูกกระแสน้ำรุนแรง เชี่ยวกราก ถูกพัดกระเจิงไปใน สายชลขุ่นข้น เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ถูกถอนราก ถอนโคนล่องลอยไปลิบๆ

แม่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาอันไหลรินอาบแก้มเงียบเชียบไม่ต่างกับความทุกข์ทนของแม่พระธรณี...

วันก่อนนั้นยังเห็นบ้านช่องที่ลดหลั่นลงไปวิ่งวุ่นขนของหนีน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานก็ต้องตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไปบนหลังคา บ้างก็ลงเรือจ้าละหวั่นหลบหนีมหันตภัยที่จู่โจมเข้าใส่จนตั้งตัวไม่ทัน

อีกไม่กี่วันต่อมา บ้านที่สูงขึ้นหน่อยก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน!

อาหารการกินเริ่มหมดไป แม้แต่น้ำในตุ่มก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว พ่อต้องบุกบั่นออกไปด้านหลังเพื่อหาอาหารมาให้ลูกเมีย...

ได้ข่าวว่าทางการเขาเริ่มเอาอาหารกับน้ำลงเรือมาแจกผู้คนแล้ว...ผู้คนนับร้อยๆ ในหมู่บ้านนี้ที่กำลังอดอยาก หิวโหย ทนทุกข์ทรมาน จนหลายๆ คนซึมเศร้า ไม่ค่อยพูดค่อยจามีวี่แววว่าอยากจะฆ่าตัวตาย ทำลายชีวิตตัวเองที่ยากแค้นแสนลำเค็ญเต็มประดา

ไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่ล่องลอยมาตามน้ำ ตะขาบและแมงป่องพิษสงร้ายกาจจนต้องไล่ทุบไล่ตีกันวุ่นวายแทบไม่หยุดหย่อน

ฟ้าหมองมัว มืดครึ้มลงทุกทีแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่กลับมา...

หรือจะโดนงูร้ายขบกัดจนสิ้นใจไม่มีใครรู้เห็น?

หรือจะเฝ้ารอข้าวปลาอาหาร ที่เขาว่ามีทั้งถุงยังชีพกับข้าวกล่อง น้ำกิน พอประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ

ฟ้ามืดมัวเต็มที...น้ำตาแม่ไม่มีจะไหลแล้ว ได้แต่กอดลูกชะเง้อชะแง้แลหาพ่อ...เมื่อไหร่หนอพ่อจะกลับมา? ก่อนที่ลูกเมียจะอดตาย หรือไม่ก็น้ำท่วมจนตอนตะกายหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคาเหมือนบ้านที่อยู่ต่ำลงไป...

แต่บ้านพวกนั้นหลายสิบหลังก็จมหายไปใต้น้ำจนหมดสิ้นแล้ว!

ปีกมืดดำของราตรีกางออกปกคลุมสรรพสิ่ง โดยเฉพาะความหมองเศร้าระคนกับน่าอัปยศอดสู ทิ้งไว้แต่เสียงสะอื้นไห้กับเสียงหัวเราะครื้นเครงของสายน้ำบ้าคลั่ง ที่กระทำย่ำยีมวลมนุษย์ได้สาสมใจ

รุ่งขึ้น ตะวันสาดแสงเจิดจ้า สว่างไสว มองเห็นสายชลเวิ้งว้างแทบสุดลูกหูลูกตาตามเดิม

เรือบรรเทาทุกข์ขนอาหารและของใช้มาแจกจ่ายผู้คนที่ยังจับเจ่ารอคอย อยู่ตามหน้าต่างและหลัง คา...ล้วนแต่ยกมือท่วมหัวไปตามๆ กัน ด้วยความซาบซึ้งและระลึกถึงน้ำจิตน้ำใจที่เผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ของคนร่วมชาติ ร่วมเผ่าพันธุ์...

เมื่อจะแวะไปที่บ้านโย้เย้หลังนั้น ใครคนหนึ่งก็บอกว่าสองแม่ลูกจมน้ำตายไปสองวันแล้ว...เหลือแต่บ้านร้างไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่ชีวิตเดียว!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 3 ธันวาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น