"อดุลย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองแสนแสบ
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่ที่บ้านครัว ริมคลองแสนแสบ เจริญผลนี่เอง แถวนี้มีคนหลายชาติหลายภาษาอยู่ร่วมกันมานานถึงร้อยกว่าปีแล้ว มีแต่รักใคร่ปรองดองกันดีครับ
ครั้งก่อนเรียกว่า "หมู่บ้านอาสาจาม" เพราะแขกจามอาสาศึกตั้งแต่สงครามเก้าทัพ ต่อมาก็ยกครอบครัวมาลงหลักปักฐานกันมากมาย สมัยก่อนเรียกว่า "ยกครัว" นับวันยิ่งมีการอพยพครอบครัวมาอยู่กันมากขึ้นทุกที เลยเรียกว่า "บ้านครัว"
แขกจามที่นับถือศาสนาอิสลามก็เรียกว่า "แขกครัว"
ชาวเขมรก็มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มมะเปรียง, พุมมะปรางค์, พุมมะเปรย เป็นต้น...อาชีพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาคือทอผ้าไหม จิม ทอมป์สัน "ราชาผ้าไหมไทย" ก็มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ รุ่งเรืองสุดๆ โด่งดังไปทั้งโลก จนหายสาบสูญไปในมาเลเซียเมื่อราว 30-40 ปีมาแล้ว
อาชีพรองลงมาคือทำประมงน้ำจืด เก่งทางดำน้ำ ว่ายน้ำ จับปลา เพราะเคยทำมาก่อนเมื่อตอนอยู่ริมทะเลสาบในกัมพูชา
ทั้งปลาสด ปลากรอบ ปลารมควัน (ด้วยกาบมะพร้าว) สมัยก่อนทั้งกินทั้งขาย แถมนำไปแลกเปลี่ยนกับของกินของใช้ต่างๆ แม้แต่เส้นไหมดิบที่สั่งมาจากเขมรและญวน รวมทั้งภาคอีสานของเราเพื่อนำมาทอเป็นผืนผ้าต่อไป
พวกผู้ใหญ่เล่าว่า การย้อมผ้าเขาถือเคล็ดลางกัน เช่น เวลาย้อมจะต้องออกไปไกลผู้คน ไม่ให้พระสงฆ์ หรือผู้หญิงมีครรภ์เข้าใกล้ เชื่อกันว่าจะทำให้สีผ้าซีดจางจนใช้ไม่ได้
ช่วงที่ผมแตกเนื้อหนุ่ม ผ้าไหมบ้านครัวขายดีมากจนทอไม่ทัน จิม ทอมป์สันเห็นว่าการทอผ้าแบบโบราณ ใช้กี่พุ่งทอด้วยมือเสียเวลาโดยใช่เหตุ จึงนำกี่กระตุกซึ่งใช้ทั้งมือและเท้า ทำให้ทอผ้าได้รวดเร็วขึ้นมาใช้งานแทน
แทบทุกบ้านจะมีเส้นไหมสีสวยๆ ตากไว้ตามระเบียงจนกว่าจะแห้ง แล้วกรอเข้าหลอด นำเส้นไหมมาหวี เข้ากี่เพื่อทอเป็นผืนผ้าต่อไปตามต้องการ ทั้งผ้าขาวม้า ผ้าโสร่งมีหมด
บ้านผมยกพื้นใต้ถุนสูงอยู่ใกล้ๆ คลอง ตอนนั้นน้ำยังใสสะอาด มีแพผักบุ้งผักกระเฉดงามสะพรั่ง พอถึงหน้าน้ำเคยมีศพลอยมาแค่ 2-3 ศพ ก็ขนหัวลุกไปตามๆ กัน...พวกผู้ใหญ่ลือว่าผีดุนัก บางทีผีที่ลอยน้ำมาก็ทะลึ่งตึงตังขึ้นดื้อๆ บางทีก็จมหัวดิ่งแต่ชูขาทั้งสองข้างขึ้นมากวัดแกว่งให้เห็นตำตา!
ตกค่ำยังเคยมีคนเห็นร่างดำๆ ลุยน้ำขึ้นมาจากคลองแสนแสบ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆ โหยหวนเยือกเย็นน่ากลัว จนคนที่ได้ยินวิ่งอ้าวกลับบ้าน นอนคลุมโปงตัวสั่นเทาไปทั้งคืน
ไหนจะผีที่กุโบร์อีกล่ะ!!
เขาว่าตอนดึกๆ จะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็นั่งกอดเข่าอยู่ตามหลุมนั้นหลุมนี้ บางทีก็ยืดตัวสูงลิ่วขึ้นไปเหนือหลังคา...พวกเด็กๆ ที่เคยซุกซน วิ่งเล่นเกรียวกราวกันตั้งแต่เย็นจนถึงมืดค่ำ...พอตะวันตกดินก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วละครับ อารามกลัวโดนผีหลอกน่ะซี
ลุงหมัดกับป้าก๊ะบ้านอยู่ใกล้ๆ ผม เคยบอกกับใครๆ ว่าแกไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ หรอก ขืนมัวแต่กลัวผีก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี!
ลุงกับป้ามีอาชีพทอดแหหาปลาตอนกลางคืน แกบอกว่าปลาชุกชุมกว่าตอนกลางวัน บางคืนยังได้งูเหลือมมาขายอีกต่างหาก...ก่อนจะขึ้นบ้านก็แวะเก็บผักบุ้งผักกระเฉดไปส่งแม่ค้าที่ตลาดเจริญผล
คืนหนึ่งก็เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
สาเหตุมาจากตอนเย็นที่มีศพลอยน้ำคว่ำหน้ามาติดที่แพผักบุ้ง ชาวบ้านมุงดูกันเต็มฝั่ง เห็นสวมเสื้อแดงลอยปริ่มๆ น้ำ บางคนบอกว่าผีคงติดใจที่นี่ถึงไม่ลอยไปที่อื่น บางคนบอกว่าเป็นศพผู้ชายน่ะเพราะนอนคว่ำ ถ้าศพ ผู้หญิงต้องนอนหงายแน่นอน
ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องสัปดน แต่เชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วครับ
ลุงหมัดชวนพวกหนุ่มๆ มาช่วยใช้ไม้ยาวๆ ค้ำศพให้ลอยไปที่อื่น แม้ว่าจะมีคนท้วงให้ไปแจ้งตำรวจ ลุงหมัดก็ไม่ยอมย้อนถามว่า...พวกมึงจะให้เขาขนศพผ่านหมู่บ้านเราหรือ?
ผมเห็นภาพนั้นแล้วขนลุก ติดหูติดตามาถึงป่านนี้!
พอไม้กระทบศพเนื้อหนังก็พลันหลุดออกเป็นแผ่นๆ บางทีก็ทั้งกระบิ...ในที่สุดร่างนั้นก็หลุดจากแพผักบุ้งลอยตามน้ำไป ผู้หญิงบางคนว่าคงกินผักบุ้งไม่ลงไปอีกนาน
คืนนั้นลุงหมัดกับป้าก๊ะก็ออกไปหาปลาตามเคย ครั้นตกดึกได้ยินเสียงร้องเอะอะจนชาวบ้านแตกตื่น พากันถือไฟฉายไปดูก็เห็นลุงกับป้าวิ่งอ้าว ตะโกนลั่นๆ ว่าผีหลอกโว้ย! ใครไม่เชื่อก็ไปดูเอาเองโว้ย....
ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ หาว่าลุงหมัดกับป้าก๊ะตาฝาดไปเอง แต่พอไปดูก็เห็นศพสวมเสื้อแดงนอนคว่ำปริ่มๆ น้ำกระเพื่อม ไปมาอยู่ที่แพผักบุ้งนั่นเอง...ขนหัวลุกไปตามๆ กัน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 26 ธันวาคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น