30 เมษายน 2558

วงเหล้าเขย่าขวัญ

คนอารีฯ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวงเหล้าวัดมะกอก

เมื่อสมัยหนุ่มผมเคยอยู่หลังแฟลตตำรวจที่สนามเป้า มีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่สิบหลังเพราะยังไม่มีถนนตัดผ่าน ส่วนมากเป็นป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว แต่เมื่อเราเดินจนชินแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว

ทางออกที่ใกล้ที่สุดคือวัดมะกอก กลางวันคนคึกคัก กลางคืนเดินผ่านป่าช้าทำให้เสียวสันหลังเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยโดนผีหลอกซักที

บางคืนขี้เกียจเดินก็นั่งแท็กซี่เข้าอารีสัมพันธ์ซอย 1 สุดซอยเป็นเพิงขายอาหาร เดินทะลุผ่านดงหญ้าและต้นไม้ร่มครึ้มไม่นานก็ถึงบ้าน ตอนเย็นๆ มีเด็กมาวิ่งเล่นกันเกรียว บ้างก็ใช้หนังสติ๊กยิงนกบ้าง ปีนต้นไม้เล่นบ้าง เห็นแล้วทำให้นึกอยากย้อนเวลาไปเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมมีเพื่อนบ้านใกล้ๆ ชื่อนพ เราสนิทกันมากเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนด้วยกัน โดดเรียนไปดูหนังด้วยกัน โรงใกล้หน่อยก็คือเอเธนส์ แมคเคนน่า เดี๋ยวนี้เหลือแต่ชื่อไปแล้ว

ขนาดตัดผมเรายังไปร้านเดียวกัน คือเฉลียวบาร์เบอร์ที่ปากซอยวัดมะกอกใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

มีเพื่อนรุ่นพี่หลายคนชอบไปตั้งวงเหล้ากันในดงไม้หลังวัด เรารุ่นน้องก็ไปดูเขา ไปฟังเขาคุยกัน เลยได้รู้ว่าการตั้งวงเหล้าที่นั่นไม่ต้องเสียเงินมาก ซื้อลาบกับน้ำตกบ้าง แหนมกับส้มตำปูมาแกล้มก็พอแล้ว มีเหล้ากับน้ำแข็งใส่ถังวางอยู่ใกล้ๆ มือ เขาบอกว่าสวรรค์อยู่แค่เอื้อม

พวกเขามีทั้งคนขับรถ ช่างไม้ช่างปูน กับรับจ้างจิปาถะ ท่าทางออกจะนักเลงแต่คุยสนุกด้วยเรื่องร้อยแปด ทั้งเรื่องบู๊ เรื่องผู้หญิงอย่างว่า จนผมกับเจ้านพติดใจชอบไปนั่งฟังกันเพลิน บางทีก็ช่วยวิ่งซื้อบุหรี่หรือน้ำแข็งที่ร้านหน้าวัดให้ ถ้าไม่มืดค่ำจนเกินไปนัก

โธ่! ก็กลัวผีน่ะซีครับ

พวกรุ่นพี่ชวนเราดื่มเหล้าด้วย ตอนแรกก็ทั้งขมทั้งเหม็น แต่ไม่นานก็กลับเดินสะดวก ส่อแววว่าอนาคตคงไม่แคล้วเป็นคอทองแดงเหมือนรุ่นพี่พวกนี้แน่

คราวนี้เราช่วยออกเงินซื้อน้ำแข็งบ้าง กับแกล้มอย่างละห้าบาท-สิบบาท ไปซื้อบุหรี่ตอนกลางคืนก็ไม่กลัวผีอีกแล้ว เพราะใจคอคึกคัก พวกรุ่นพี่ก็ยิ่งสนับสนุนว่าผีมันกลัวคนกินเหล้า เดี๋ยวจะโดนไล่เตะเอา ถ้าเจอผีผู้หญิงก็จะปล้ำเอามาทำเมียเสียเลย...ว่าแล้วก็หัวเราะกันตึง

วงเหล้าที่ว่าไม่ได้ตั้งกันทุกคืนนะครับ พวกช่างไม้ที่รับงานไกลๆ ก็มักไปค้างที่นั่น คนขับรถออกต่างจังหวัดก็หายไปทีละ 2-3 คืน ส่วนมากต้องอยู่ครบสี่คนถึงจะตั้งวงเหล้ากัน

ตอนกลางคืนใช้ก่อไฟกองเล็กๆ จุดยากันยุงเป็นแท่งใส่ถาดยาวๆ มีขดลวดตรงกลางให้สอดได้พอดี ยิ่งหน้าหนาวยิ่งสนุก ผมกับเจ้านพคอยหากิ่งไม้แห้งๆ มาเติมไฟ ฟังเขาเล่าเรื่องผีบ้าง เรื่องสัปดนบ้าง หัวเราะกันครึกครื้นแต่ไม่ได้รบกวนใครเพราะห่างบ้านผู้คน

คืนหนึ่ง พี่ทอง-ช่างไม้ไปปลูกบ้านถึงแค มาเล่าว่ามีแม่ค้าร้านชำแถวนั้นเป็นม่ายผัวตาย ทั้งสวยทั้งขี้เล่น ใครอยากไปจีบก็แวะไปหาได้ พี่ปั่นคนขับรถกระบะรับจ้างรีบตกลงทันที คนอื่นๆ ก็อยากไปดูคนสวยของพี่ทองเหมือนกัน

คืนต่อมา เจ้านพมาหาผมที่บ้าน ชวนไปหาอะไรกินกันที่ปากซอยตั้งแต่เย็น..ติดเหล้าติดลมไปจนสามทุ่มกว่าถึงได้เดินเซนิดๆ กลับบ้าน

เมาแล้วไม่กลัวผีจริงๆ ด้วยครับ หมาจะหอนโหยหวนแค่ไหนก็ไม่สนใจกลับไล่ตะเพิดเอาด้วยซ้ำ จนเข้าทางเดินแคบๆ ที่มีแต่ป่าละเมาะกับต้นไม้อยู่ในความเงียบเชียบ สายลมพัดวู่หวิวเยือกเย็นทำให้เกือบส่างเมา

เกือบจะเลี้ยวเข้าบ้านอยู่แล้ว พอดีเหลือบเห็นแสงไฟสว่างวูบวาบมาจากที่เราตั้งวงเหล้ากันเป็นประจำ รู้ทันทีว่าพวกรุ่นพี่กลับมาแล้ว เลยชวนกันเดินเข้าไปหาเพื่อร่วมวงด้วย

พวกเขากำลังดวดเหล้ากันอยู่หน้ากองไฟใต้ร่มไม้ พี่ทองหันมามองพลางหัวเราะร่า ชูแก้วให้เรา

"มาโว้ย ไอ้น้อง! ดวดเหล้าที่ไหนก็ไม่เข้าไส้เหมือนที่บ้านเรา ถิ่นเราว่ะ"

ผมกับเจ้านพเข้าร่วมวงทันที..แต่หน้าตาพี่ทองมีเลือดไหลมาจากแผลเบ้อที่หน้าผาก หันไปมองคนอื่นๆ ที่กำลังหัวเราะร่าก็เห็นแหลกยับ เลือดท่วมตัวไปตามๆ กัน!

"กินเหล้าเถอะน่า" พี่ทองหัวเราะร่วน "ไอ้ปั่นมันว่าไปกินเหล้าที่ไหนก็ไม่สนุกเหมือนที่นี่ พากันบึ่งรถมาจนชนกับสิบล้อ..ตายโหงหมดทั้งคันเลยว่ะ ฮ่าๆๆ"

ผมผงะหน้า ตาลาย ได้ยินเสียงหัวเราะครืนใหญ่ แล้วรุ่นพี่ทั้งสี่กับกองไฟก็จางหายไปต่อหน้าต่อตา เจ้านพร้องเฮ้ย! กระโดดตัวลอยขึ้นพร้อมๆ กับผม ดูเหมือนเราจะโผเข้าหากันแต่ก็ไม่ได้ขยับไปไหน พิษเหล้าหายหมดเป็นปลิดทิ้ง

ความกลัวจุกคอหอยจนร้องไม่ออก รอบๆ ตัวมีแต่ความมืดสลัว..เราวิ่งล้มลุกคลุกคลานมาถึงบ้านผมก่อน เจ้านพอาศัยนอนด้วย..รุ่งขึ้นจึงรู้ข่าวว่าพวกรุ่นพี่ทั้งสี่ตายหมดจริงๆ เราเองก็ไม่ยอมเดินผ่านที่นั่นตอนกลางคืนอีกเลย

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 7 กรกฏาคม 2547

28 เมษายน 2558

ลาก่อน...เพื่อนรัก

"เอื้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในสวนลุมพินี

หนูเป็นเด็กตจว. ญาติห่างๆ ชื่อน้าอ๋อยชวนมาทำงานร้านเสริมสวยในซอยสวนเงิน กทม. ได้ราว 4-5 เดือนแล้ว น้าอ๋อยก็สอนเรื่องสระผม ทำเล็บ พอจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ ค่ะแต่เพราะมีแขกประจำมากพอสมควร

น้าอ๋อยก็เลยไม่ค่อยมีเวลาสอนหนูเท่าไหร่นัก

ในที่สุด มีลูกค้าคนหนึ่งแนะนำให้หนูไปเรียนที่สวนลุมพินี เป็นศูนย์ฝึกวิชาชีพของรัฐบาล ไม่ต้องเสียค่าเรียน นอกจากอุปกรณ์เท่านั้นที่เราต้องหาไปเอง

ที่นั่นเปิดสอนตั้งแต่สามโมงเช้าถึงสามโมงเย็น มีวิชาชีพให้เลือกหลายอย่างค่ะ ทั้งเย็บปักถักร้อย ตัดเย็บเสื้อผ้า จัดดอกไม้ เพนต์สีและเสริมสวย สำหรับผู้ชายก็มีแก้ทีวี ซ่อมคอมพิวเตอร์ ซ่อมรถยนต์ ตัดผม ฯลฯ ใครเรียนจบก็ใช้วิชาไปทำมาหากินได้เลย

คนที่ยังไม่มีงานทำหรือมีเวลามากพอก็จะเรียน ทุกวัน หลักสูตรเดือนเดียวจบ แต่ถ้าเวลาน้อยแบบหนูก็ไปเรียนอาทิตย์ละวัน แต่ต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือนจึงจะจบหลักสูตรรุ่นแรก น้าอ๋อยก็ใจดีให้หนูไปเรียนทุกอาทิตย์

ตอนเช้าๆ เย็นๆ จะมีหนุ่มสาวเดินกันขวักไขว่หลายร้อยคน อากาศดีเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆ เยอะแยะ สถานที่กว้างขวาง มีหลังคากันแดดกันฝน ใจจริงหนูอยากเรียนทุกวันด้วยซ้ำ จะได้จบรุ่นแรกเร็วๆ

วันแรกก็ได้เพื่อน 2-3 คน ต่อมาสนิทสนมอยู่คนหนึ่งชื่อส้มโอ เธอหน้าตาสะสวย ผมยาว รูปร่างขาวบาง ปากติดยิ้มนิดๆ นิสัยชอบฟังมากกว่าพูด ตาใสน่ารักมากค่ะ ส้มโอมีชีวิตคล้ายๆ หนู คือมาจากตจว. และอยู่ร้านเสริมสวยเหมือนกัน มาหาความรู้เพิ่มเติมอาทิตย์และวัน ตอนสายๆ วันอาทิตย์ก็ได้พบกันแล้ว พอบ่ายสามออกจากสวนลุมฯ เดินคุยกันสองคน อยากไปเที่ยวต่อก็ไม่มีเวลา เพราะต้องรีบไปทำงานที่ร้าน

วันหนึ่งมีผู้ชายมายืนรอส้มโอที่หน้าประตูด้านนอก เธอหันมายิ้มอายๆ ก่อนบอกเสียงเบา...ไปก่อนนะ วันนี้แฟนมารับ! หนูอดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าโชคดีนะ...แต่อาทิตย์ต่อมาก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นอีกเลย

เมื่อเข้าเดือนที่สองก็ได้เรียนตัดเล็บ ทำเล็บ ครูให้จับคู่กันทำ แน่ล่ะค่ะ! หนูกับส้มโอก็จับคู่กันโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา

มีการแช่มือและเท้าในอ่างน้ำสักพักแล้วใช้แปรงถูสบู่ขัดเล็บ เช็ดแห้งแล้วลงวาสลีนให้หนังนุ่มก่อนจะเช็ดออกเพื่อตัดหนังด้านๆ ออกไป เสร็จแล้วถึงจะตัดเล็บ ลงตะไบ

ครูมาเดินดูยิ้มๆ เพราะรู้ว่าเรามีประสบการณ์มาพอสมควร

หนูจำได้ว่าวันนั้นอาทิตย์ที่หกพอดี เราผลัดกันทำเล็บโดยหนูทำให้ส้มโอก่อน เสร็จแล้วครูก็มาตรวจดูบอกว่าใช้ได้ พอถึงตาส้มโอทำให้หนูถึงได้สังเกตว่าเธอใจลอยชอบกล เดี๋ยวๆ ก็หันไปมองข้างนอกที่มีคนเดินผ่านไปมา แล้วก็ถอนใจ...

หนูเห็นชัดเพราะส้มโอนั่งบนม้าเตี้ยๆ ต่ำกว่าหนู!

ตอนตัดหนังเล็บมือก็เผลอจนหนูเจ็บจี๊ด ร้องอุทานเบาๆ จนครูเดินมาดู นิ้วก้อยข้างซ้ายมีเลือดซึมเลยค่ะ ส้มโอกดแผล หน้าซีด พร่ำขอโทษไม่ขาดปาก หนูบอกไม่เป็นไร... แต่ครูดุส้มโอที่ไม่ระวัง กับสอนให้ตั้งใจมากๆ ตอนตัดหนังตรงจมูกเล็บเพราะตัดยาก ถ้าไม่ประณีตจะโดนลูกค้าตำหนิเอาได้

วันนั้นส้มโอหน้าตาไม่สบายเลย ดูเป็นกังวลอะไรชอบกล จนถึงตอนพักเที่ยงออกไปกินอาหารกลางวันเธอก็เหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุด หนูถามว่ามีอะไรก็บอกว่าเปล่า แต่หลบตาวูบวาบ ก่อนเข้าเรียนตอนบ่ายขอตัวไปห้องน้ำ แต่พอเริ่มเรียนแล้วเธอก็ยังไม่กลับมา

วันนั้นฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตก จู่ๆ ส้มโอก็เข้ามานั่งข้างหนู ครูกำลังสอนเพิ่มเติมเรื่องตัดแต่งเล็บ รวมทั้งความสะอาดเครื่องมือต่างๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ตอนเลิกเรียนมีฝนตกพรำๆ หนูเตรียมร่มไว้แล้วและกางเผื่อส้มโอด้วย เธอเงียบผิดปกติ ขณะที่เดินไปตามทางออกซึ่งมีต้นไม้เรียงราย คนอื่นๆ ก็รีบเดินบ้าง ร้องทักทายกันบ้างมีคนเรียกชื่อหนูจนหันไปมอง เห็นพี่คนหนึ่งเรียนตัดเย็บร้องถามว่า...วันนี้กลับคนเดียวเหรอ? เพื่อนซี้หายไปไหน?

หนูหัวเราะเพราะนึกว่าโดนอำ แต่เมื่อหันกลับก็เห็นส้มโอเดินลิ่วๆ ไปจนใกล้ประตูรั้วแล้ว...ดูสับสนปนเปไปกับคนอื่นในสายฝนบางๆ แต่ก็ดูคล้ายจะหายไปเฉยๆ จนหนูขนลุกซ่าอย่างบอกไม่ถูก

วันรุ่งขึ้น หนูเห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าผู้หญิงถูกชายคนรักแทงตายคาที่เพราะความหึงหวงหน้าสวนลุมฯ เวลาประมาณบ่ายสามโมง แล้วฆาตกรก็หลบหนีไป

หนังสือพิมพ์ร่วงจากมือ...หนูเห็นรูปถ่ายของส้มโอมองสบตาเศร้าๆ เหมือนจะบอกว่าลาก่อน เมื่อวานวิญญาณเธอกลับมาเรียนหรือมาลาหนูกันแน่คะ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 29 ธันวาคม 2557

26 เมษายน 2558

ศพทวนน้ำ

"อดุลย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองแสนแสบ

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่ที่บ้านครัว ริมคลองแสนแสบ เจริญผลนี่เอง แถวนี้มีคนหลายชาติหลายภาษาอยู่ร่วมกันมานานถึงร้อยกว่าปีแล้ว มีแต่รักใคร่ปรองดองกันดีครับ

ครั้งก่อนเรียกว่า "หมู่บ้านอาสาจาม" เพราะแขกจามอาสาศึกตั้งแต่สงครามเก้าทัพ ต่อมาก็ยกครอบครัวมาลงหลักปักฐานกันมากมาย สมัยก่อนเรียกว่า "ยกครัว" นับวันยิ่งมีการอพยพครอบครัวมาอยู่กันมากขึ้นทุกที เลยเรียกว่า "บ้านครัว"

แขกจามที่นับถือศาสนาอิสลามก็เรียกว่า "แขกครัว"

ชาวเขมรก็มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มมะเปรียง, พุมมะปรางค์, พุมมะเปรย เป็นต้น...อาชีพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาคือทอผ้าไหม จิม ทอมป์สัน "ราชาผ้าไหมไทย" ก็มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ รุ่งเรืองสุดๆ โด่งดังไปทั้งโลก จนหายสาบสูญไปในมาเลเซียเมื่อราว 30-40 ปีมาแล้ว

อาชีพรองลงมาคือทำประมงน้ำจืด เก่งทางดำน้ำ ว่ายน้ำ จับปลา เพราะเคยทำมาก่อนเมื่อตอนอยู่ริมทะเลสาบในกัมพูชา

ทั้งปลาสด ปลากรอบ ปลารมควัน (ด้วยกาบมะพร้าว) สมัยก่อนทั้งกินทั้งขาย แถมนำไปแลกเปลี่ยนกับของกินของใช้ต่างๆ แม้แต่เส้นไหมดิบที่สั่งมาจากเขมรและญวน รวมทั้งภาคอีสานของเราเพื่อนำมาทอเป็นผืนผ้าต่อไป

พวกผู้ใหญ่เล่าว่า การย้อมผ้าเขาถือเคล็ดลางกัน เช่น เวลาย้อมจะต้องออกไปไกลผู้คน ไม่ให้พระสงฆ์ หรือผู้หญิงมีครรภ์เข้าใกล้ เชื่อกันว่าจะทำให้สีผ้าซีดจางจนใช้ไม่ได้

ช่วงที่ผมแตกเนื้อหนุ่ม ผ้าไหมบ้านครัวขายดีมากจนทอไม่ทัน จิม ทอมป์สันเห็นว่าการทอผ้าแบบโบราณ ใช้กี่พุ่งทอด้วยมือเสียเวลาโดยใช่เหตุ จึงนำกี่กระตุกซึ่งใช้ทั้งมือและเท้า ทำให้ทอผ้าได้รวดเร็วขึ้นมาใช้งานแทน

แทบทุกบ้านจะมีเส้นไหมสีสวยๆ ตากไว้ตามระเบียงจนกว่าจะแห้ง แล้วกรอเข้าหลอด นำเส้นไหมมาหวี เข้ากี่เพื่อทอเป็นผืนผ้าต่อไปตามต้องการ ทั้งผ้าขาวม้า ผ้าโสร่งมีหมด

บ้านผมยกพื้นใต้ถุนสูงอยู่ใกล้ๆ คลอง ตอนนั้นน้ำยังใสสะอาด มีแพผักบุ้งผักกระเฉดงามสะพรั่ง พอถึงหน้าน้ำเคยมีศพลอยมาแค่ 2-3 ศพ ก็ขนหัวลุกไปตามๆ กัน...พวกผู้ใหญ่ลือว่าผีดุนัก บางทีผีที่ลอยน้ำมาก็ทะลึ่งตึงตังขึ้นดื้อๆ บางทีก็จมหัวดิ่งแต่ชูขาทั้งสองข้างขึ้นมากวัดแกว่งให้เห็นตำตา!

ตกค่ำยังเคยมีคนเห็นร่างดำๆ ลุยน้ำขึ้นมาจากคลองแสนแสบ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆ โหยหวนเยือกเย็นน่ากลัว จนคนที่ได้ยินวิ่งอ้าวกลับบ้าน นอนคลุมโปงตัวสั่นเทาไปทั้งคืน

ไหนจะผีที่กุโบร์อีกล่ะ!!

เขาว่าตอนดึกๆ จะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็นั่งกอดเข่าอยู่ตามหลุมนั้นหลุมนี้ บางทีก็ยืดตัวสูงลิ่วขึ้นไปเหนือหลังคา...พวกเด็กๆ ที่เคยซุกซน วิ่งเล่นเกรียวกราวกันตั้งแต่เย็นจนถึงมืดค่ำ...พอตะวันตกดินก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วละครับ อารามกลัวโดนผีหลอกน่ะซี

ลุงหมัดกับป้าก๊ะบ้านอยู่ใกล้ๆ ผม เคยบอกกับใครๆ ว่าแกไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ หรอก ขืนมัวแต่กลัวผีก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี!

ลุงกับป้ามีอาชีพทอดแหหาปลาตอนกลางคืน แกบอกว่าปลาชุกชุมกว่าตอนกลางวัน บางคืนยังได้งูเหลือมมาขายอีกต่างหาก...ก่อนจะขึ้นบ้านก็แวะเก็บผักบุ้งผักกระเฉดไปส่งแม่ค้าที่ตลาดเจริญผล

คืนหนึ่งก็เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

สาเหตุมาจากตอนเย็นที่มีศพลอยน้ำคว่ำหน้ามาติดที่แพผักบุ้ง ชาวบ้านมุงดูกันเต็มฝั่ง เห็นสวมเสื้อแดงลอยปริ่มๆ น้ำ บางคนบอกว่าผีคงติดใจที่นี่ถึงไม่ลอยไปที่อื่น บางคนบอกว่าเป็นศพผู้ชายน่ะเพราะนอนคว่ำ ถ้าศพ ผู้หญิงต้องนอนหงายแน่นอน

ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องสัปดน แต่เชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วครับ

ลุงหมัดชวนพวกหนุ่มๆ มาช่วยใช้ไม้ยาวๆ ค้ำศพให้ลอยไปที่อื่น แม้ว่าจะมีคนท้วงให้ไปแจ้งตำรวจ ลุงหมัดก็ไม่ยอมย้อนถามว่า...พวกมึงจะให้เขาขนศพผ่านหมู่บ้านเราหรือ?

ผมเห็นภาพนั้นแล้วขนลุก ติดหูติดตามาถึงป่านนี้!

พอไม้กระทบศพเนื้อหนังก็พลันหลุดออกเป็นแผ่นๆ บางทีก็ทั้งกระบิ...ในที่สุดร่างนั้นก็หลุดจากแพผักบุ้งลอยตามน้ำไป ผู้หญิงบางคนว่าคงกินผักบุ้งไม่ลงไปอีกนาน

คืนนั้นลุงหมัดกับป้าก๊ะก็ออกไปหาปลาตามเคย ครั้นตกดึกได้ยินเสียงร้องเอะอะจนชาวบ้านแตกตื่น พากันถือไฟฉายไปดูก็เห็นลุงกับป้าวิ่งอ้าว ตะโกนลั่นๆ ว่าผีหลอกโว้ย! ใครไม่เชื่อก็ไปดูเอาเองโว้ย....

ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ หาว่าลุงหมัดกับป้าก๊ะตาฝาดไปเอง แต่พอไปดูก็เห็นศพสวมเสื้อแดงนอนคว่ำปริ่มๆ น้ำกระเพื่อม ไปมาอยู่ที่แพผักบุ้งนั่นเอง...ขนหัวลุกไปตามๆ กัน!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 26 ธันวาคม 2557

25 เมษายน 2558

อวนลอยที่เขียวไข่กา

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอวนลอยสยองขวัญ

ข่าวคราวชุมชนเขียวไข่กา บางกระบือ ถูกน้ำท่วมเพราะอุทกภัยหนักหนาสาหัสในปีนี้ ทำให้สลดใจมากๆ ครับ เนื่องจากสมัยหนุ่มคะนองเคยอาศัยอยู่ที่นั่น สนุกซุกซนไปกับเพื่อนๆ จนทะลุปรุโปร่งไปหมด

เคยเป็นชุมทางผีเสื้อราตรีกับดงนักเลง มีเรื่องยกพวกเข้าห้ำหั่นกับทหารม้า หรือเหล่ายานเกราะบ่อยครั้ง ไล่ตีกันกระเจิดกระเจิงไปถึงศาลานกกระจอกหน้าโรงเรียนราชินีบน ซึ่งเป็นปลายทางของรถรางสายบางซื่อ-บางกระบือ ระยะสั้นๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของรถรางสายยาวที่มี 2 ตู้คือ บางกระบือ-วิทยุ

ตอนนั้นผมยังเล็กมาก พอรู้ความเขาก็เลิกรถรางไปตั้งปีมะโว้แล้วครับ

นอกจากท่าเขียวไข่กาที่มีเรือจ้างข้ามฟากไปฝั่งธนฯ ส่วนมากเป็นย่านบางอ้อ กับเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาไปถนนทหาร เกียกกาย หรือไม่ก็ท่าตาแหนวัดแก้วฟ้า ถ้าจะข้ามไปวัดเทพนารีแถวบางพลัดก็ไปลงเรือจ้างที่ท่าน้ำสามเสนดีกว่า

บ้านผมอยู่ริมน้ำ คล้อยไปทางท่าวัดจันทร์สโมสรที่ทางเข้าอยู่ตรงข้ามกับตลาดบางกระบือ พวกเพื่อนๆ ทโมนไพรก็อยู่บ้านช่องใกล้ๆ กันทั้งนั้น

อ้อ! ไม่ใช่ว่าเที่ยวเตร่หรือซุกซนไร้สาระเท่านั้นนะครับ พวกผมยังช่วยพ่อแม่ทำมาหากินอีกต่างหาก!

แหม...คนแม่น้ำซะอย่าง อะไรมันจะถนัดไม้ถนัดมือยิ่งกว่าการหากุ้งหาปลาล่ะครับ? แถมสนุกสนานตื่นเต้นอย่าได้บอกใครเชียว

สมัยนั้นกุ้งปลาชุกชุมมาก แม่น้ำก็ไม่สกปรกเหมือนทุกวันนี้ พวกเราดำน้ำลงไปตามเสา ไม่ช้าก็คว้ากุ้งก้ามกรามตัวโตๆ ติดมือขึ้นมาแล้ว ส่วนพวกมืออาชีพที่เขาหากินทางตกกุ้งอย่างเดียวก็จอดเรือบดขวางน้ำ นั่งนิ่งเป็นรูปปั้น ได้ทั้งกุ้งนางกับก้ามกรามมาขายเป็นกอบเป็นกำ เลี้ยงลูกเมียได้สบายมาก

ปลาสังกะวาดก็ชุมชะมัด เราเรียกกันว่า "ปลาแขยง"

มันชุมขนาดหว่านแหโครม หรือไม่ก็ใช้สวิงตักได้ทีละหลายสิบตัว แม้ว่าจะไม่ค่อยมีราคาค่างวดอะไรเพราะตัวมันเล็กขนาดหัวแม่มือ แต่เอามาผัดเผ็ดกินกับข้าว หรือให้พ่อแกล้มเหล้าก็รับรองว่าอร่อยที่ซู้ดดด...

ปลากระทิงชอบอยู่น้ำลึก เนื้อก็เหนียวเป็นบ้า จนพวกเราไม่อยากยุ่งกับมัน แต่ปลาสวายนี่ซีครับที่น่าสนใจ นอกจากเนื้อหวาน มันย่องแล้วยังชุกชุมอยู่ไม่เบา ตอนนั้นน่ะ

ผมกับเพื่อนๆ ชอบจับปลาสวายกัน แม้กรรมวิธีจะยุ่งยากนิดหน่อยแต่ก็ไม่เกี่ยงงอนอะไร...ไม่นึกว่าจะโดนผีหลอกเข้าเต็มเปาจนหวิดหัวโกร๋นไปตามๆ กัน!

วันเกิดเหตุตอนบ่ายในฤดูหนาวเหมือนตอนนี้แหละครับ

วันนั้นฟ้าครึ้มจนไม่เห็นแดด ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ฝนหลงฤดูหรือฝนสั่งฟ้าจะเทกระหน่ำลงมา...ไอ้โหนกกับไอ้แป้นพายเรือไปวางลอบลอยไม่ไกลจากฝั่งนัก ส่วนผมกับไอ้โก้รอคอยทำหน้าที่สำคัญอยู่ที่ชายน้ำ...นั่นคือการช้อนปลาสวายตัวโตๆ เกือบเท่าปลากดคังที่มันเล่นน้ำมาจนพลัดเข้าไปในลอบลอยของเรา

เข้าไปแล้วว่ายหนีไม่สำเร็จหรอกครับ แถมเงี่ยงยังติดตาข่ายพลางดิ้นโผงผางให้เห็นกระจะตาอีกด้วย...

ไอ้สองเกลอนั่นพายเรือเข้าฝั่งแล้ว เดี๋ยวเดียวก็เห็นเหยื่อติดลอบดิ้นน้ำกระจาย เล่นเอาผมกับไอ้โก้พยักเพยิดให้กัน...ลงเรือไปพร้อมกับสวิงขนาดเหมาะมือเพื่อจะช้อนเหยื่อตัวอ้วนๆ ใส่เรือ

ไอ้โก้ถือท้าย ผมคุกเข่าอยู่หัวเรือ ส่วนไอ้สองคนแรกคงยืนลุ้นแทบไม่วางตา...ปลาสวายหลายตัวกำลังตกคลั่กอยู่ในลอบจนแทบไม่เชื่อตาตัวเอง รีบเงื้อสวิงจ้วงพรวดแล้วตวัดขึ้นมา รับรองว่าไม่มีทางดิ้นหลุดลงน้ำไปได้เด็ดขาด...

แต่ไหงในสวิงมีแต่ความว่างเปล่าก็ไม่รู้?

"เอ๊ะ! อะไรกันวะ" ผมกับไอ้โก้ร้องเกือบพร้อมๆ กัน เสียงฟ้าร้องครืน รับกันเป็นทอดๆ ไม่ได้ทำให้เราสะดุ้งสะเทือนอะไรหรอกครับ แต่ที่ทำให้เราตกตะลึงพรึงเพริดก็คือเห็นแต่หัวกะโหลกตาโบ๋ อ้าปากปะหงับๆ คล้ายจะหัวเราะร่าอยู่ในอวนลอยนับสิบๆ หัว!

ผมตกใจสุดขีดจนทิ้งสวิง โดดน้ำตูม ไอ้โก้โดดตามพลางแหกปากจ้า...รอด้วย...รอกูด้วย! แต่ผมหูอื้อตาลาย จ้วงน้ำพรวดๆ ตะกายขึ้นฝั่งได้ยังไงก็ไม่รู้ตัว

ส่วนไอ้แป้น กับไอ้โหนกคงเห็นเหตุการณ์น่าขนลุกทุกอย่างแล้ว...โธ่! ก็พวกมันนั่งก้นจ้ำเบ้า อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง...เล่นเอาเราเข็ดหลาบการออกไปหากุ้งหาปลาตั้งแต่นั้นมา ขนาดทุกวันนี้นึกถึงภาพนั้นผมยังขนหัวตั้งอยู่เลยครับ! บรื๋อออ..

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 25 ธันวาคม 2557

24 เมษายน 2558

วิญญาณที่รอคอย

"ไพศาล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจสยอง

ผมเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ เป็นบริษัทที่รับงานจากญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทำโครงเหล็ก และส่วนอื่นๆ ที่เป็นเหล็กประกอบรถยนต์ในไทย

โรงงานเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง เช่น นิคมอมตะ ชลบุรี, นิคมนวนคร ปทุมธานี หรือนิคมเกตเวย์ ในฉะเชิงเทรา เป็นต้น

เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว ผมย้ายไปทำงานที่นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี มีหน้าที่ไปทุกนิคมเพื่อตรวจตราความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งงานเอกสารซื้อ - ขาย บางครั้งก็ส่งตัวอย่างของให้ทางไซต์งานดู

ตอนเย็นวันนั้น ทางไซต์งานกบินทร์บุรี ต้องการอุปกรณ์ด่วนมาก จำเป็นต้องใช้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ต้องรีบหาซื้อและจัดส่งโดยเร็วที่สุด ผมไม่รอช้า จัดการจนเรียบร้อยเมื่อใกล้จะหกโมงเย็น เส้นทางที่ใช้ต่อจากทางด่วนก็คือเส้น 304 จากแปดริ้วไปโคราช ออกจากบริษัทแล้ววิ่งรถไปได้ค่อนข้างช้า เพราะว่าหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้มานิคมฯ แห่งนี้เลยครับ

ไปถึงจุดหมายสองทุ่มเห็นจะได้...หลังจากส่งของให้ทีมงานเรียบร้อยแล้วก็รีบบึ่งรถกลับ เพราะดูท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตั้งเค้าทะมึน จะเทโครมครามลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ออกจากนิคมผ่านตัวเมืองกบินทร์ ถนนค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ทำให้เยือกเย็นหัวอกหัวใจอย่างบอกไม่ถูก...ผ่านแผงขายข้าวโพดต้มแปดแถวที่แสนอร่อย รสชาติหอมหวานมีที่เดียวคือที่นี่...แหม! ถ้าไม่มืดค่ำขนาดนี้ คงได้แวะซื้อข้าวโพดกินเล่นแน่นอน

คิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยมาแวะซื้อข้าวโพดต้มจากแม่ค้าเจ้าหนึ่ง ตั้งแผงอยู่ใกล้ๆ เชิงสะพาน ติดกับต้นไม้ใหญ่ริมทาง...หน้าคมผมยาวดูสะดุดตาไม่หยอก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปหลายเดือนแล้วเธอจะยังขายข้าวโพดต้มอยู่หรือเปล่าหนอ?

ทันใดนั้น เมื่อรถแล่นมาเกือบใกล้สะพาน ที่มีต้นยางใหญ่สูงตระหง่านอยู่ข้างถนน ผมก็เหลือบไปเห็นแม่ค้าสาวคนที่ผมกำลังนึกถึงเธอพอดี!

แผงอื่นๆ เลิกไปหมดแล้ว เหลืออยู่แต่แผงของเธอเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น

ผมจอดรถแล้วเดินไปเพื่อจะซื้อข้าวโพดแปดแถวที่ตั้งใจไว้ มีเพียงแสงตะเกียงโป๊ะที่เธอมีไว้เพื่อส่องสว่างพอเห็น กันได้ ผมบอกซื้อข้าวโพดพวงหนึ่งประมาณ 4-5 ฝัก เธอยิ้มให้แล้วถามยิ้มๆ ว่า...คุณไม่ได้มานานแล้วใช่ไหมจ๊ะ?

เอ๊ะ! เธอจำผมได้ด้วยหรือนี่? เลยยอมรับว่าใช่...ไม่ได้มาหลายเดือนแล้ว ถามเธอบ้างว่าสบายดี...ขายดีนะ เธอตอบว่า จ้ะ! สบายดี...

เสียงเย็นๆ ของเธอกับบรรยากาศเปล่าเปลี่ยวรอบตัวทำให้ผมรู้สึกขนลุกซ่าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ถามเธอว่าทำไมจึงยังขายอยู่จนมืดค่ำป่านนี้ล่ะ? เธอยิ้มเศร้าๆ ตอบว่าวันนี้ขายไม่ค่อยดี เลยอยู่จนมืดค่ำจ้ะ! ผมร่ำลาเธอ ก่อนจะบอกว่า...แล้วจะแวะมาซื้ออีกนะ! เธอยิ้มหวาน แต่ดวงตาดูเศร้าสร้อยภายใต้แสงตะเกียงแดงๆ นั้น!

ผมกลับขึ้นรถขับมาเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกศรีมหาโพธิ์ ฝนตั้งเค้าทะมึนดูหนักหน่วงขึ้นทุกที ลมพัดอู้ๆ น่ากลัว...รู้สึกมีกลิ่นเหม็นติดจมูกเรื่อยมาตั้งแต่แวะซื้อข้าวโพดแล้ว แต่คิดว่ารถคงขนพวกปลาป่นหรือกระดูกสัตว์เข้าโรงงานอะไรสักอย่าง ทั้งที่ในรถปิดกระจกเปิดแอร์...ลืมคิดถึงเรื่องข้าวโพดไปสนิท

ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาแล้ว ฟ้าแลบแปลบ แสงข้างทางที่เลยสี่แยกมหาโพธิ์มาแล้วมีต้นไม้น้อยใหญ่หนาทึบ สรรพสิ่งแทบจะมืดมิด มีแต่แสงไฟจากรถผมเท่านั้นที่ส่องสว่างตัดสายฝนที่เริ่มหนาเม็ดขึ้นทุกที

แรงลมทำให้ต้นไม้โอนเอนไปมาในเงามืดเหมือน มือของผีเปรตที่กำลังร้องขอส่วนบุญ ฟ้าแลบวูบวาบ ผ่าเปรี้ยงปร้างคึกคะนองคล้ายจะเผาไหม้ผีเปรตเหล่านั้นให้วอดวายไป

บรรยากาศมันน่ากลัวมากๆ แม้จะอยู่ในรถก็เถอะ แต่อยู่คนเดียวนะครับ!

เปิดวิทยุก็ไม่ติด มีแต่เสียงฟ้าร้องครืนๆ เข้าคลื่นจนต้องปิด จะหยุดรถก็ใช่ที่เพราะมันเปลี่ยวมากๆ แข็งใจขับรถฝ่าสายฝนโหมกระหน่ำหนักหน่วง ฟ้าแลบฟ้าผ่าเป็นระยะๆ จนหูอื้อไปหมด เหมือนขับรถอยู่ในนรกอเวจีก็ปานกัน

ผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ถึงแยกที่ไปสัตหีบและแยกมาฉะเชิงเทรา ขึ้นเนินซักพักก็ถึงปั๊มปตท.ซ้ายมือ ที่มีนักเล่นจากบ่อนปอยเปตมาแวะซื้อของ กินข้าวกันคึกคักทุกวัน...พอเห็นแสงไฟจากป้ายปั๊มแล้วฝนก็หยุดตก ลมสงบ กลิ่นเหม็นติดจมูกก็หายไป

เมื่อเลี้ยวเข้าปั๊ม จอดรถแล้วควานหาพวงข้าวโพดที่วางไว้ใกล้ๆ เอ๊ะ! ไม่เห็นมี

แปลกใจมากๆ ก็วางไว้กับมือแท้ๆ มันจะหายไปได้ยังไง? ช่างเถอะ ลงไปหาอะไรกินดีกว่า

อีก 3-4 วันต่อมา ผมมีโอกาสไปที่ไซต์งานกบินทร์บุรีอีก คราวนี้ไปตอนเช้า ได้มีเวลาคุยกับหัวหน้างาน ผมเล่าให้ฟังถึงเรื่องข้าวโพดต้ม แต่เขากลับบอกว่าเมื่อต้นเดือนก่อนมีสิบล้อเสยตายคาที่ไปหนึ่งราย อยู่ใกล้สะพานที่มีต้นยางใหญ่นั่นเอง...ผมขนหัวลุกเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม 2557

23 เมษายน 2558

วิญญาณเฮี้ยน

"ป้าแจ๋ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ่อนผีสิง

ป้าอยู่ที่ตลิ่งชันมาตั้งแต่สมัยรุ่นสาวแล้ว รกรากดั้งเดิมน่ะอยู่บางระกำ พิษณุโลกโน่นแน่ะ ไม่รู้ว่าใครช่างตั้งชื่อว่า "บางระกำ" นะ เพราะผู้คนต้องพลอยระกำสมชื่อจากพิษสงของน้ำท่วมทุกปี ยิ่งปีก่อนด้วยแล้วสุดระกำช้ำชอกจริงๆ ค่ะ

น้ำท่วมบ้านถึงชั้นสอง หลายๆ หลังอยู่ที่ลุ่มหน่อยก็ถึงกับเกือบมิดหลังคา ข้าวของพินาศวอดวายไปกับสายน้ำ ไร่นาล่มจมถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆ กัน ต้องออกมานอนเรียงรายตามข้างถนนเป็นคนจรจัด! ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือหรือแก้ไขเยียวยายังไงมั่ง?

ข้อสำคัญจงอย่าลืมผู้คนทุกข์ยาก แสนจะลำเค็ญสุดๆ ก็แล้วกัน เจ้าประคุณเอ๋ย!

จะว่ารอดตัวเพราะมาอยู่ตลิ่งชันก็พูดได้ไม่เต็มปาก ไม่รู้ว่าน้ำเหนือจะไหลบ่าเข้ามาถล่มกรุงเทพฯ เมื่อไหร่? ยิ่งแถวเหนือขึ้นไปมีฝนตกกระหน่ำทั้งวันทั้งคืนจนเขื่อนเจ้าพระยารับน้ำไม่ไหว คนปากน้ำโพอ้อนวอนให้ปล่อยน้ำ แต่คนอยุธยาขอให้กักกันไว้ก่อนซักครึ่งนากลางเดือน จะได้เก็บเกี่ยวข้าวกล้าได้ทันการณ์

แต่พระพิรุณท่านซ้ำเติมจนทางเขื่อนก็สุดทน ต้องพร่องน้ำลงมาจนได้แหละคุณ

ในยามเดือดร้อนกันแทบทุกหัวระแหงแบบนี้ ผีสางอีนางโกงก็คงจะอดอยากปากหมองเพราะไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เลยออกมาเพ่นพ่านขอส่วนบุญ แต่ผู้คนเห็นเข้าก็อกสั่นขวัญแขวน บอกว่าโดนผีหลอกจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

ป้าเองก็โดนเข้าจังเบอร์เลยค่ะ!

เมื่ออาทิตย์ก่อนไปเยี่ยมญาติที่พิษณุโลกเสียหลายวัน ถามข่าวคราวถึงพี่น้องที่บางระกำว่าจะทนทานไปได้แค่ไหน? คนเราจะเห็นใจกันก็ในยามทุกข์ยากเดือดร้อนแบบนี้ล่ะค่ะ ช่วยอะไรไม่ได้ก็ปลอบอกปลอบใจกันไปตามเพลง

กลับบ้านคืนแรกก็เจอดีเลยเชียว!

วันนั้นฟ้าครึ้มทั้งวันแต่ไม่มีฝน พวกลูกๆ หลานๆ ป้าได้รับของฝากจากเมืองสองแควแล้วก็หายเงียบอยู่ข้างบน ป้าอาบน้ำกินข้าวว่าจะเข้าไปเอนหลังเสียหน่อย ราวสองทุ่มกว่าๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกป้าแย้ม...ป้าแย้ม...มาจากหน้าต่าง

ได้ยินเสียงก็จำได้ว่าเป็นแม่แตงคนในซอย เป็นม่ายผัวตายตั้งแต่อายุสี่สิบต้นๆ แต่แกก็ขยันทำกินเลี้ยงลูกชายสองคน กลางวันขี่จักรยานส่งขนมปัง หรือเรียกกันโก้ๆ ว่า

"เอเยนต์เบเกอรี่" ตกบ่ายเดินโพยหวย ตกค่ำออกตามขาไพ่ถ้ามากันไม่ครบสำหรับไพ่ตอง หรือน้อยคนเกินไปสำหรับวงผสมสิบกับป๊อกเด้ง

ไหนจะปั่นรถไปซื้ออาหารมาเลี้ยงพวกขาไพ่อีกล่ะ อย่างก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ หรือ ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว...ขาดขา(ไพ่) จริงๆ แม่แตงก็ต้องลง "คันขา" ไม่งั้นไม่ครบองค์ประชุมเจ้าค่ะ

ร่างผอมดำ ผมตัดสั้นเป็นกระเซิง ดูแข็งแรงเกินตัว ไม่ว่าใครก็เวทนาแม่ม่ายตัวคนเดียวที่ต้องเลี้ยงลูกกำลังกินกำลังนอน และเรียนหนังสือถึงสองคนกันทั้งนั้น...ขนาดป้าว่าจะเอนหลังเสียหน่อยก็ยังอดตามแกไปบ้านแม่ระเบียบที่เขาติดบ่อนป๊อกเด้งไม่ได้

อ้อ! ต้องมาเรียกขานกันเบาๆ แล้วตามกันไปเงียบๆ ด้วยนะคะ เพราะพวกลูกหลานป้ามันคอยห้ามปราม หรือไม่ก็กระแหนะกระแหน ไม่อยากให้ไปเล่นไพ่ดึกๆ ดื่นๆ อดตาหลับขับตานอน เดี๋ยวก็จะเป็นลมเป็นแล้งไป แต่ป้าก็ทำเสียงแข็งว่าเรื่องของฉัน ทำงานงกๆ มาแต่สาวยันแก่แล้ว ก็อยากจะหาความสุขก่อนตายให้ตัวเองมั่ง

ที่จริงป้าชอบไพ่ตองมากกว่า มันสุขุมนุ่มนวลดี ไม่ต้องรีบล่กๆ ตาหูเหลือกเหมือนผสมสิบหรือป๊อกเด้ง เสียแต่ขาไพ่ตองมักเป็นคนแก่ขนาด 70-80 ขึ้นทั้งนั้น ค่อยๆ ทยอยอำลาไปเกิดใหม่ แทบจะหาคนเล่นให้ครบ 7 คนได้ยากเย็นเต็มที

ป๊อกเด้งก็ป๊อกเด้ง เดี๋ยวก็ 2 เด้ง 3 เด้ง...จะเด้งเขาหรือเด้งเราก็วัดดวงดูแล้วกัน

ขึ้นบันไดไปบนบ้านแม่ระเบียบ มีรั้วรอบขอบชิด หมาเห่าเบาๆ ตามประสาหมาปากเปราะแม้ว่าจะคุ้นเคยกันดี เจอะเจอขาไพ่ 3-4 คนก็ไม่แปลกใจอะไรเพราะแม่แตงบอกว่าจะไปตามขาไพ่อีก 2-3 คนมาเพิ่มเติมให้ครึกครื้นหน่อย ก่อนจะแยกกันที่หน้าประตู

พี่ทองทิพย์เท้าแชร์ประจำซอย แม่ถวิล แม่ชื่น กับล้อมวงอยู่บนเสื่อกับเจ้าของบ้าน ถามไถ่กันว่าป้าหายไปไหนมาหลายวัน? ได้ข่าวว่าไปเยี่ยมญาติโดนน้ำท่วมต่างจังหวัด...อ้อ! แล้วนี่ป้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมถึงรู้ว่าพวกเรากำลังรอขาอยู่พอดี?

"แม่แตงไปตามน่ะซี" ป้าตอบไปตามตรง "เพิ่งแยกกันที่หน้าบ้านเมื่อตะกี้..."

เสียงวี้ดว้ายดังระงม ทุกคนผงะหน้า เบิกตากว้าง แม่ชื่นยกมือปิดปาก เบิกตาโพลง ส่วนพี่ทองทิพย์อ้าปากค้าง แม่ถวิลเรอเอิ๊กเหมือนจะเป็นลม แม่ระเบียบเจ้าของบ้านครางเบาๆ ว่า...ยายแตงเป็นลมตายเมื่อตอนเย็นนี้เอง ตอนนี้ศพยังอยู่ที่วัด! โอย...

บ่อนป๊อกเด้งยังปิดเงียบเชียบมาจนเดี๋ยวนี้...แต่ป้าน่ะเข็ดเรื่องเล่นไพ่ไปจนตายเลยค่ะ กลัวจะมีผีมาตามเข้าบ่อนน่ะซีคะ! บรื๋ออออ....

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2557

21 เมษายน 2558

เสียงสุดสยอง

"โก้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสวนยางที่ระยอง

สมัยหนุ่มผมเคยเป็นลูกจ้างทำสวนยางระยะหนึ่งที่จังหวัดระยองนี่เอง!

ผมตกงานที่กรุงเทพฯ ได้ไม่นานก็พบเพื่อนสมัยนักเรียนด้วยกันชื่อ เจ้าอู๋ เป็นคนดูแลสวนยางของลุงที่มีอยู่หลายร้อยไร่ ใกล้ๆ กับถนนสุขุมวิท พอรู้ว่าผมเตะฝุ่นย่ำต๊อกจนหวิดเกือกขาดมันก็ชวนไปทำ งานที่นั่นทันที ในฐานะผู้ช่วยหัวหน้าคนงาน

ตอนนั้นยางราคาดีครับ ยางแผ่นกิโลกรัมละ 40-50 บาท ยังไม่ทะรูดทะราดลงมาเหลือแค่ 20-30 บาทจนเจ๊งกันเป็นทิว จนต้องตัดต้นยางทิ้งแล้วหันไปปลูกผลไม้อย่างเงาะ ลองกอง แล้วกลับมาแพงลิ่วในระยะ หลังๆ จนพุ่งไปถึง 100 กว่าบาทอย่างที่รู้ๆ กันอยู่

ใครมีต้นยาง 1,000 ต้น แค่รองน้ำยางได้ต้นละ 4-5 บาทก็เท่ากับรับทรัพย์เหนาะๆ วันละ 4-5 พันบาทแล้ว ไม่นับตอนกรีดยางได้เป็นกอบเป็นกำอีกต่างหาก

เจ้าอู๋ขับรถปิกอัพเข้าสวนยางไปไกลโขจนถึงบ้านพักหัวหน้าคนงานวัยสี่สิบเศษชื่อ พี่ชาญ หน้าเข้ม ร่างสูงใหญ่กำยำสมหน้าที่ แต่อัธยาศัยใจคอน่ารัก โดยฝากฝังให้ผมอยู่กินที่นั่นเลย ถึงเวลาก็จะมีรถเสบียงมาส่งอาหารให้เรียบร้อย

ถึงแม้จะไม่เคยทำงานในป่าดงหรือไร่สวนมาก่อน แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องลองสู้กับมันสักตั้ง จะไหว หรือไม่ไหวเดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า!

ผมได้ห้องพักติดกับพี่ชาญในเรือนไม้เตี้ยๆ ค่อนข้างเก่า มีพืชผักสวนครัวอยู่ด้านหลัง มองไปรอบๆ เห็นแต่ต้นยางสูงทะมึนรายรอบ ถัดไปเห็นยอดเขาสีเทา ด้านหลังอยู่ลิบๆ ห่างไกลจากแสงสีแบบเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง หงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวทั้งกายใจน่าดู

หลังจากเจ้าอู๋ขับรถจากไป ผมก็อาบน้ำอาบท่ามาช่วยพี่ชาญหุงข้าวต้มแกงกินกัน มีต้มยำปลากระป๋อง รสแซ่บกับผัดบวบแค่สองอย่าง แต่ยามเหน็ดเหนื่อยหิวโหยก็เหมือนได้กินอาหารทิพย์

พี่ชาญเป็นคนพูดน้อย แต่ยังอุตส่าห์อธิบายให้ความรู้ว่าต้นยางพวกนี้จะเริ่มให้น้ำยางเมื่ออายุ 7-8 ปี แต่คนใจร้อนเพราะร้อนเงินมักจะกรีดยางเมื่ออายุ 7 ปี ถ้าปล่อยไปจนถึง 8-9 ปีจะได้ผลดีกว่า จนกระทั่งอายุราว 30 ปีก็โค่นทิ้ง ขายเหมาไปได้เงินเป็นกอบเป็นกำสำหรับเริ่มลงมือปลูกกล้ายางกันใหม่

ผมเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกตั้งแต่คืนแรกเลยครับ!

คืนนั้นหัวถึงหมอนก็หลับทันที...คิดว่าคงหลับไปนานโขแบบหลับสนิท หลับลึกจนไม่น่าจะตื่นง่ายๆ แต่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมานอนนิ่งๆ ด้วยความสงสัยตัวเอง...จนกระทั่งได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังอยู่ข้างๆ เรือนพักนั่นเอง

เสียงเด็กกลุ่มหนึ่งหัวเราะคิกคัก ได้ยินถนัดชัดเจนจนแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่วไปเองแน่ๆ นอกจากสงสัยว่า เด็กที่ไหนมาเล่น มาหัวเราะในสวนยางเปล่าเปลี่ยวยามดึกดื่นแบบนี้? "อะไรกันวะ?" ผมหลุดปากพึมพำกับตัวเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าขาดคำเสียงคิกคักพวกนั้นก็เงียบกริบไปทันใด...มีแต่เสียงยอดไม้สะบัดใบซู่ซ่ากับสายลม ผมถอนใจยาว พลิกตัวจะหลับต่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักงันเหมือนหนังค้างยังไงยังงั้น

คุณพระช่วย! เสียงสะอื้นเบาๆ ดังขึ้นมาแทนที่ ก่อนจะดังขึ้นทุกทีจนรู้แน่ว่าเป็นเสียงผู้หญิง...ส่วนจะดังมาจากทางไหนไม่สามารถจับได้ นอกจากจะรู้แต่ว่าดังมาจากใกล้ๆ บ้านพักเท่านั้นเอง

จากเสียงเด็กหัวเราะกลายเป็นเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้น ฟังแล้วขนลุกซ่าไปทั้งตัวปากคอแห้งผากเหมือนกลืนทรายเข้าไปหนึ่งกำมือ!

ผมกระเดือกน้ำลายอย่างช่วยไม่ได้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในความมืดสลัว นึกจะออกไปเคาะประตูเรียกพี่ชาญก็เกรงใจ...แกอาจจะกำลังหลับสนิทอยู่ก็เป็นได้ หรือจะเป็นโจรผู้ร้าย?

แต่ที่นี่เป็นแค่เรือนพักเก่าๆ ไม่มีสมบัติพัสถานอะไรมีค่านี่นา โจรบ้าที่ไหนจะบุกบั่นเข้ามาปล้นสะดมให้เสียเวลา...

นรกเป็นพยาน! เสียงสะอึกสะอื้นยังดังระงมอยู่รอบๆ ด้าน จนผมใจเต้นแรงสองมือชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศเย็นยะเยือก...ทันใดเสียงหัวเราะครืนใหญ่ก็ดังมาจากเบื้องบนเล่นเอาผมเผ่นพรวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สุดจะทนทานหรือทู่ซี้กับเสียงสยองเพียงลำพังได้อีกแล้ว

ตะกายออกไปทุบประตูห้องพี่ชาญ ไฟสว่างขึ้นเมื่อประตูห้องเปิดกว้าง ผมถลาเข้าไปบอกกล่าวละล่ำละลัก ...ผีหลอกครับพี่ ทั้งเสียงเด็กหัวเราะ ผู้หญิงร้องไห้ ผู้ชายหัวเราะ...พี่ชาญปิดประตูใส่กลอน พยักหน้ารับฟังก่อนจะบอกเสียงเรียบๆ ว่า

"เจ้าที่เจ้าทางน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว คืนนี้ จะนอนห้องพี่ก่อนก็ได้"

สาเหตุเพราะพี่ชาญลืมบอกให้ผมจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่ก่อนจะหลับนอนน่ะครับเล่นเอาขนหัวลุกแทบตายแน่ะ...บรื๋อส์!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 22 ธันวาคม 2557

19 เมษายน 2558

หลังคาพาสยอง

"โอ๊ค" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเด็ก

สิ่งที่ย่ำแย่สุดๆ ของคนเราก็คือนานๆ ถึงจะโชคดีซักครั้ง แต่เรื่องเคราะห์ร้ายนี่ค่อนข้างมาบ่อย แถมกำลังรับเคราะห์อย่างหนึ่งยังไม่พอ ดันผ่ามีเคราะห์ใหม่ เข้ามาซ้ำเติมซะอีกแน่ะ อย่างที่เรียกกันว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" นั่นแหละครับ

ผมเองก็เคยเจอะเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว อย่างแรก บริษัทที่ผมทำงานอยู่ใกล้ๆ บ้านในนนทบุรีเกิดเลิก กิจการดื้อๆ โดยมีสาเหตุมาจากการขาดทุนย่อยยับ ไหนจะมีข่าวเรื่องการปรับค่าแรงขึ้นเป็นวันละ 300 บาทอีกล่ะ ถึงกับร้องไอ๊หยา อั๊วทู่ซี้ต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ! แต่ ยังมีน้ำใจจ่ายเงินเดือนให้พนักงานคนละ 3 เดือน ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายขายใครต่อก็ไม่รู้? อ้าว? แฟนผม ที่ขายของอยู่หน้าตลาดกำลังรักกันจี๋จ๋าอยู่ดีๆ พอรู้ว่าผมตกงานออกมาเตะฝุ่นได้ไม่นาน คุณเธอก็มีไอ้หนุ่มคนใหม่ขับรถเก๋งมารับตอนเย็นๆ ให้เห็นตำตา...ตัดสวาทขาดสัมพันธ์กับผมไปดื้อๆ ซะยังงั้นแหละเอ้า!

นี่ไงครับ ที่ทำให้ผมเชื่อสนิทแล้วว่าเคราะห์ร้ายไม่ได้มาครั้งเดียว แถมถาโถมมาพร้อมๆ กัน...เท่านั้นยังไม่พอ หน็อย! ดันผ่าถูกผีหลอกเข้าจั๋งหนับอีกต่างหาก

เรื่องเป็นยังงี้ครับ

เย็นนั้นผมไปนั่งดวดเหล้าแก้กลุ้มอยู่ที่ร้านข้าวต้มอ้วนผอมเพียงเดียวดาย เพื่อนฝูงที่เคยมีเป็นกะตั๊กก็ไม่รู้หายหัวไปไหนหมด ไม่อยากคิดถึงคำพังเพยเก่าๆ ให้ช้ำใจเปล่าๆ

"ยามมั่งมีผีผอมตอมกันแดก ยามถังแตกผีอ้วนชวนกันหนี" ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละครับ ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากตามประสาคนวัยเลยสามสิบไม่เท่าไหร่ ยังไม่มีลูกเมียให้ห่วงใย เงินทองก็ยังพออุ่นกระเป๋า เอาไว้ให้หายเซ็งซักพักค่อยดิ้นรนหางานการทำกันใหม่

"ไอ้เอ๋โว้ย พ่อมึงมาหาแล้วว่ะ!"

เสียงคุ้นหูดังขึ้นใกล้ๆ โต๊ะ หันขวับไปเห็นไอ้โห้เพื่อนเกลอก็ดีใจแทบกระโดดกอด ชักชวนให้มันนั่งร่วมโต๊ะ สั่งแก้วมาเพิ่ม ตั้งปัญหาว่ามันอยู่บางกรวยแล้วถ่อมาทำอะไรถึงนี่? มันก็ตอบสั้นๆ ว่าได้ข่าวผมตกงานก็เลยรีบมาเยี่ยม ไปหาที่บ้านไม่เจอก็เดาว่าคงมาซัดเหล้าแก้กลุ้มแถวปากซอยน่ะซี

ฟังเพื่อนแล้วซึ้งครับ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เพื่อนกินเพื่อนกัน เพื่อนรู้ไม่ทัน เพื่อนกันก็เอาไปกิน ซะทั้งนั้น ไอ้ที่มีน้ำจิตน้ำใจลูกผู้ชายก็ยังมี ใช่ว่าจะเป็น "ตุ๊ดใจมด" ไปซะทั้งหมด

สรุปว่าคืนนั้นเราซัดเหล้ากันครึกครื้นแค่สองคน ไอ้โห้ชวนไปต่อที่บ้านมัน จะได้เปลี่ยนบรรยากาศใหม่ๆ ซะมั่ง ไม่ต้องจมอยู่กับที่เก่าเรื่องเก่าให้ปวดกะโหลกเปล่าๆ คืนนี้ก็นอนค้างที่นั่นด้วยกัน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน...ขึ้นรถเมล์ สายท่าน้ำนนท์-บางบัวทองไปได้เลย

อ๊ะ! เงินทองยังเต็มกระเป๋า ผมบอกไปแท็กซี่ดีกว่า คนมีเงินใจร้อนว่ะ!

แวะบรรเลงสุรากันอีกกลม ก่อนจะเดินข้ามสะพานคลองบางกรวยไปบ้านไอ้โห้ที่มันอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ห้องนอนชั้นบนดูปลอดโปร่ง แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ยืนทะมึนอยู่ในราตรี ยังมีบรรยากาศของเรือกสวน อย่างในตัวจังหวัดสมัยผมเด็กๆ

ขณะนั้นดึกมากแล้ว ไอ้โห้หลับสนิทอยู่ในมุ้ง ส่วนผมกลับตาแข็ง อยากได้หงส์มาเป็นเพื่อนใจอีก ซักแบน เพราะนอนตื่นใกล้เที่ยงมาหลายวันแล้วตั้งแต่ ตกงานมาน่ะ

เสียงยอดไม้คร่ำครวญกับสายลม คืนนั้นไร้เมฆฝน เห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยอ้างว้างอยู่กลางหาว แมลงกลางคืนขยับปีกเป็นเพื่อนยามราตรี ความคิดผมฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ...ว่าจะหักใจลืมจากอดีตสาวคนรักก็ลืมไม่ลง...ป่านนี้เธออาจจะหลับใหลอยู่เดียวดาย หรือกกกอดอยู่กับชายคนใหม่ ก็ไม่ทราบ? คงจริงอย่างที่เพลงเก่าๆ เขาร้อง

...ใจนางเหมือนดั่งทางรถ เคี้ยวคดเหมือนทางรถเมล์! เฮ้อ...

เอ๊ะ! เสียงแกรกกรากอะไรค่อนข้างดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง?

ตอนแรกนึกว่าหูแว่วไปเอง แต่เสียงนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที จนทำให้ผมอดรนทนไม่ไหว ต้องเปิดมุ้งออกไปดูที่หน้าต่าง...แล้วก็ได้เห็นภาพแปลกประหลาดที่สุด ในชีวิต

แสงจันทร์ส่องสว่างให้เห็นร่างของเด็กชายอายุราว 7-8 ขวบ เปลือยเปล่าแทบไม่น่าเชื่อเพราะอากาศยามดึกในฤดูฝนค่อนข้างเยือกเย็นเอาการ กำลังเดินอยู่บน หลังคาบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน...เด็กอะไรมาแก้ผ้าเดินบนหลังคายามดึกดื่นแบบนี้ล่ะ?

หรือว่าเด็กนั่นไม่ใช่คนอย่างเราๆ แต่...ความคิดผมสะดุดกึกเมื่อเด็กเจ้ากรรมก็หยุดชะงัก ค่อยๆ หันหน้ามามองผมอย่างเชื่องช้า ตาดำขลับจ้องเขม็ง ปากแดงระเรื่อยิ้มคล้ายแสยะ แต่ทำให้ผมรู้สึกขนหัวลุกกรูเกรียว ปากคอแห้งผากไปหมด...

หัวใจเต้นโครมคราม รีบเผ่นกลับเข้ามุ้งทันทีทันใด!

ตอนสายวันรุ่งขึ้น ผมยังไม่ทันเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ ไอ้โห้ฟัง ก็พอดีหันไปมองทางหน้าต่างนั้นอีกครั้ง คราวนี้ตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นตุ๊กตาดินเผาตัวโตเหมือนเด็กสองขวบนั่งเอกเขนกพิงเสาไฟฟ้าโดดเด่นอยูในแสงแดดบนหลังคา...ขนหัวลุกซีครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 19 ธันวาคม 2557

18 เมษายน 2558

สามเกลอเจอผี

"แฟนประจำ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพัทยา

ชมพู่, มด และ ดิฉัน เป็นเพื่อนร่วมงานที่ซี้กันมาก ชมพู่น่ะทำท่าว่าจะอำลาหลัก 3 ไปเข้าหออยู่รอมร่อ แต่เกิดเหตุการณ์สุดช็อก...แฟนเธอกลับโดนคาบไปกินซะงั้น! เมื่อเดือนที่แล้ว ชมพู่กระดี๊กระด๊ามาบอกว่า พี่โอ๊ต หนุ่มออฟฟิศโน้นจะให้คุณแม่มาขอ เขาพาเธอไปพบท่านมาแล้วด้วย...งานนี้ชัวร์ยิ่ง! แต่อาทิตย์ถัดมาเท่านั้นแหละ ไอ้ที่เคยมารับมาส่งก็เปลี่ยนไป พี่โอ๊ตเกิดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเอาอกเอาใจสาวชมพู่เหมือนเดิม

ไม่ช้าก็ความแตก...ไอ้ที่เขามัวไปยุ่งอยู่น่ะคือการแจกการ์ดแต่งงานค่ะ แต่ไม่ใช่กับชมพู่หรอก ชื่อเจ้าสาวในการ์ดคือสาวในที่ทำงานของเขาเอง!

ชมพู่ไม่ได้รับการ์ดบ้าๆ นั่นก็จริง แต่มีผู้หวังดีมา บอกและให้ดูเป็นการยืนยัน ขณะที่เธอเปิดหนังสือแฟชั่นชุดวิวาห์หลากหลายอย่างเพลิดเพลิน ถึงแม้จะสังหรณ์ใจอยู่บ้างแต่ชมพู่ก็อดช็อกไม่ได้ เธอไม่มีน้ำตาสักหยก ใบหน้าขาวซีดนิดหน่อยยังดูเรียบเฉย เลิกคิ้วนิดๆ คล้ายแปลกใจหน่อยๆ "งั้นเรอะ?"

คนมาบอกอาจหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาเม็ดโตๆ กับเสียงกรี๊ดกร๊าดแสบแก้วหูแบบละครหลังข่าว แต่พอเห็นท่าทีเฉยเมยราบเรียบก็ต้องจ๋อยกลับไป...ขอโทษแต่ขอบคุณที่มาบอก

มีแต่มดและดิฉันที่รู้ว่าชมพู่เจ็บลึก เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับรูปสลักนั้น บางครั้งมีรอยยิ้มแบบวิกลจริต ดูน่าขนลุกยังไงชอบกลอยู่...แบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิคะ!

เราทำแบบ...ช่างมันฉันไม่แคร์! แล้วคว้าเสื้อผ้าสองสามชิ้นกับบิกินีไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า! เอ...จะไปไหนดี? หัวหินก็สงบเกินไป ระยองก็ไกลเปล่าๆ งั้นเอาพัทยาก็แล้วกัน

ดิฉันขับรถญี่ปุ่นคันเล็กคู่ใจ มีมดนั่งข้างๆ ชมพู่สวาปามลองกองอยู่เบาะหลัง

ไปถึงพัทยาสายวันเสาร์...นั่นไง นึกแล้ว! ไม่มีที่พัก โรงแรมดีๆ เต็มหมด เราทำอะไรตามอารมณ์ก็ต้อง "ทำใจ" แม้ว่าอยากค้างซักคืน...เฮ้อ! ไม่อยากให้เรื่องนี้ มีโชคร้ายเล้ย แต่พวกเราดันได้รีสอร์ตแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายทะเลเสียด้วย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว

รีสอร์ตนี้ปลูกเรียงเป็นแถวๆ แต่ละหลังเป็นห้องชุด เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถึงห้องรับแขกไม่กว้างนัก ดูอึดอัดด้วยซ้ำ เขาตั้งชุดรับแขกที่มีโซฟา เก้าอี้ และโต๊ะเตี้ยๆ ถัดจากห้องรับแขกมีประตูสู่ห้องนอน ทางขวาเป็นห้องน้ำ ทางซ้าย เป็นโต๊ะเครื่องแป้งราคาถูกๆ ตู้เสื้อผ้าแบบบิลต์อินใช้ไม้คุณภาพต่ำ ประตูบานเลื่อนทำท่าจะหลุดจากราง ปิดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เตียงนอนแบบซิงเกิ้ลนอนได้สองคนสบายมาก แต่ถ้าสามคนก็เบียดกันหน่อย เขาตั้งโซฟาหนังเทียมตัวยาวสีขาวไว้ให้ด้วย เจตนาคงให้เป็นเตียงเสริม

เมื่อเก็บของแล้วเราก็ออกไปตะลุยพัทยากันสนุกสนาน พอตกค่ำก็หาล็อบสเตอร์อบเนยกินกันอย่างมีความสุข ชมพู่ผู้ไม่เคยแตะต้องเครื่องดองของเมา สั่งเบียร์มาดื่มอั๊กๆ เข้าไปตั้งสองขวดใหญ่ ดังนั้นแค่สามทุ่มเธอก็หมดสภาพ ต้องกลับไปนอนแทบสลบไสล ส่วนมดกับดิฉันกำลังมึนพอสบายๆ เลยออกมานั่งริมทะเลรับลมกัน

รีสอร์ตมีเก้าอี้ให้เช่า ครัวก็เปิดจนดึกดื่น เรานั่งคุยกันตามสบาย ฟังเสียงคลื่นคร่ำครวญกับสายลมกระซิบกระซาบชายหาด ให้พวกศิลปินเขาได้แรงบันดาลใจมาเขียนนิยาย และแต่งเพลงรักหวานกับเศร้าสลดนับไม่ถ้วน

เรานั่งคุยกันตามสบาย...อย่างน้อยชมพู่ก็นอนอยู่ใกล้ๆ ในห้อง

ราวห้าทุ่ม เราเดินเอื่อยๆ กลับที่พัก มดไขกุญแจเข้าไป ดิฉันเคาะทรายออกจากรองเท้า กำลังเคาะอยู่ดีๆ ก็เกือบหน้าคะมำเพราะมดถอยหลังมาชน

"อ้อ!" เธอไม่ได้อุทานหรอกค่ะ แต่ออกชื่อดิฉัน "ใครนั่งอยู่ในห้องก็ไม่รู้?"

ใจหายวาบ มือคว้าประตูเพื่อดูเลขห้องให้ถูกต้อง...ห้องของเรานี่นา จำไม่ผิดแน่!

"เออ..." มดทำท่าเหมือนจะร้องไห้ "ชมพู่ก็นอนอยู่ แต่มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งดูชมพู่อยู่ที่ข้างเตียงน่ะ"

"เฮ้ย!" ดิฉันร้อง รีบพุ่งไปยังประตูห้องนอน...ชมพู่นอนตะแคงหันหน้ามาหา ถัดไปเป็นผู้หญิงนั่งพิงพนัก มือทั้งสองวางปล่อยๆ บนตัก เธอผมยาว เป็นสาววัยยี่สิบเศษ สวมชุดไนลอนสีเนื้อ หน้าเธอเขียวๆ ก้มนิดๆ กำลังทำตาคว่ำจ้องชมพู่เขม็ง...

ดิฉันถอยกรูด...ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คน! มดยืนเอามืออุดปากตัวเอง หน้าย่นยู่อย่างเสียวไส้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามดกำลังคิด...จะปลุกชมพู่อีท่าไหน? ดิฉันตะโกนลั่น "ไปบอกผู้จัดการ!"

ผู้จัดการไม่อยู่ แต่คนดูแลได้รับฟังเรื่องของเรา เขาทำหน้าตื่นเต้นเอามากๆ รีบไปตามผู้หญิงมาสองคน พวก เธอทำท่าขนลุกขนชัน กลัวมากกว่ากล้า แต่ต้องมาที่ห้องเราอยู่...เราเปิดไฟสว่างจ้าแล้วเก็บข้าวของชนิดมือไม้สั่น ชมพู่ตื่นขึ้นมาอย่างงุนงง เราเก็บของทุกอย่างให้เธอแล้วขึ้นรถ...ออกจากที่นั่นได้ก็บึ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที

ชมพู่เล่าว่าเธอรู้สึกเหมือนถูกผีอำ เห็นภาพดิฉันกับมดเข้าไปหาแต่ขยับไม่ได้ จนคนมาเยอะแยะ ผีตนนั้นก็หายไป...ชมพู่โชคดีที่หายเศร้าเพราะอกหักแต่หันมากลัวผีสุดๆ ค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2557

17 เมษายน 2558

ทีวีผีสิง

"วิทยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทีวีในบ้าน

ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองมีประสาทสัมผัสพิเศษ จนสามารถรับรู้สิ่งที่อยู่เหนือมิติโลกได้ แต่ผมเชื่อว่าใครๆ ก็คงจะเคยมีประสบการณ์อย่างผมมาบ้างแล้วทั้งนั้น

ตั้งแต่เล็กๆ น่ะผมเกลียดการนอนเป็นที่สุด แม่บอกว่าเลี้ยงยากชะมัดเลย กว่าจะกล่อมเห่ให้นอนได้ก็แทบหมดแรง พ่อกับแม่ต้องผลัดกันอุ้มผมเดินไปรอบบ้านแน่ะกว่าจะหลับ

จนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ยังคงนิสัยเดิม คือนอนดึกมาก-ตื่นเช้ามาก วันๆ ผมนอนประมาณ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมก็สุขภาพดี เรียนดีด้วย

ประสาทสัมผัสมักจะแผลงฤทธิ์ตอนผมนอนหลับนี่เอง!

เป็นไปได้ว่าผมจะอยู่จนง่วงจริงๆ ง่วงมากๆ จึงจะยอมเข้านอน พอหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บ และหลับลึกด้วย...ในความหลับใหลนั้น ผมมักฝันถึงสถานที่แปลกๆ ผู้คนแปลกๆ เหมือนดูหนังย้อนยุค

บางครั้งก็ฝันถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า เชื่อว่าหลายคนคงมีฝันแบบนี้เช่นกัน!

ยกตัวอย่างเช่นผมฝันเห็นกบตัวโต พอรุ่งขึ้นก็เห็นหนังสือพิมพ์ลงกบประหลาด และวันนั้นทั้งวันผมจะเจอแต่กบ คืนไหนเห็นไฟไหม้ รุ่งขึ้นก็จะมีข่าวไฟไหม้

ประสาทสัมผัสแบบนี้บังคับกันไม่ได้ และผมก็ไม่ใช่ว่าจะฝันแม่นไปซะทุกคืน! มันเป็นช่วงๆ ครับ เช่นเดือนนี้ฝันแม่น อีก 2-3 เดือนต่อไปก็เป็นปกติ...เผลอๆ ความแม่นยำราวกับมีแววเป็นนอสตราดามุสจะกลับมาเกิดใหม่ แล้วก็หายไป...เป็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้ว

ฉะนั้นใครอย่ามาถามเลขเด็ดเลยครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะฝันแม่นในช่วงเวลาไหน

ที่น่าขนลุกที่สุด คืนหนึ่งผมฝันเห็นผู้หญิงถูกจับมัดมือไพล่หลัง มัดเท้ามัดปาก แล้วมีคนจับเธอไปโยนไว้บนเบาะหลังรถ จากนั้นยิงเธอหลายนัด...เจ็บปวดสาหัสจนขาดใจตาย

ผมตกใจตื่น เจ็บในหน้าอกมากๆ หัวใจยังเต้นราวกับจะระเบิด เหนื่อยจนบอกไม่ถูก เหงื่อแตกพลั่กโซมตัวทั้งที่แอร์ในห้องเย็นเฉียบ แถมยังกลัวแบบคนประสาทเสียอยู่นาน

ผมรีบลุกแต่เช้า คว้าหนังสือพิมพ์เพิ่งส่งมาอ่าน...

นั่นไง! เหมือนที่ผมฝันเป๊ะ...ตำรวจพบศพหญิงสาวถูกมัดแล้วยิงทิ้งในรถของเธอเอง ผู้ร้ายมันเอาไปจอดในป่าที่ต่างจังหวัดโน่น...ผมเศร้าใจมาก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่รับรู้นาทีมรณะของคนคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย!

ผมฝันเห็นการฆาตกรรมอยู่ 4-5 ครั้งในช่วงเวลา 3 ปี คือตอนที่อยู่มัธยมต้น จากนั้นก็ไม่ได้ฝันเรื่องแบบนี้อีก ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ผมกลัวจริงๆ ไม่ชอบเลย ไม่รู้จะฝันไปทำไม ไร้ประโยชน์...ถ้าฝันแล้วช่วยชีวิตเขาได้ก็จะดีหรอก

ที่บีบคั้นหัวใจสุดขีด คือการฝันถึงผู้หญิงถูกเอาไม้ฟาดหัวเพื่อชิงทรัพย์เสียงโพละ! สยองมากครับ ยังดีที่วันต่อมามีข่าวนี้จริงๆ ผู้หญิงเจ็บหนักแต่รอดตาย

เมื่อ 3-4 เดือนก่อนนี้ ลูกพี่ลูกน้องผมยกทีวีมาให้เครื่องหนึ่ง...พี่บอยเป็นนักเรียนเทคนิค ชอบเครื่องไฟฟ้าเลยรับจ๊อบเป็นคนซ่อมแอร์ วิทยุ ทีวี อยู่ดีๆ พี่บอยบอกว่ามีทีวีใหม่เอี่ยมอยู่เครื่องหนึ่ง เจ้าของไม่ใช้แล้ว พี่บอยได้มาฟรีๆ ก็เลยเอามาให้ผมดูในห้องนอน

พอทีวีมาตั้งปุ๊บ พี่บอยก็ตั้งช่อง ปรับหาคลื่นให้ผม ทีวีเครื่องนี้ต้องกดปุ่มค้างไว้ ตัวเลขจากจอจะวิ่งจากแปดร้อยกว่าๆ ไปที่ห้าร้อยกว่าๆ เสียอย่างเดียวที่กว่ามันจะวิ่งไปยังเลขที่เราต้องการน่ะ มันเสียเวลาเอาการ

ระหว่างนั้น ตาเราก็จ้องจอเครื่อง ส่วนปากก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนตัวเลขวิ่งมาอยู่ที่ห้าร้อยกว่าๆ ก็ทำท่าจะรับภาพได้....คุณผู้อ่านนึกภาพตามนะครับ...

จอทีวีจะเป็นแสงขาว มีจุดพร่าๆ วิ่งยุกยิกๆ เต็มไปหมด แล้วมันก็แว้บๆ มีภาพเงาๆ ของผู้คนเป็นสีขาวดำ เดี๋ยวๆ ก็ทำท่าจะชัด เดี๋ยวๆ ก็เลือนกลายเป็นจุดพร่า

ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่พักเดียวเราก็หยุดพูด เอาแต่จ้อง...เงาเลือนๆ ในจอพอที่จะปะติดปะต่อได้ว่าเป็นเรื่องฆ่ากันตาย ผู้ชายสองคนทะเลาะกันในห้องนอน...ผมเห็นเตียง คนอ้วนเตี้ยวิ่งไปที่นั่น คนสูงล่ำตามไปเตะต่อย...

ภาพแว้บหายพร่าเลือน...เมื่อปรากฏชัดอีกครั้ง คนสูงกำลังจ้วงแทงคนอ้วน!

ผมวิ่งไปห้องนั่งเล่น แย่งรีโมตจากแม่กดไปทุกช่องสถานี แต่ไม่มีช่องไหนออกอากาศหนังละครที่มีฉากสยองอย่างผมเห็น พอกลับขึ้นไปก็เห็นพี่บอยหน้าซีด เหงื่อแตก แล้วบอกว่าอย่าเอาทีวีเครื่องนี้เลยนะ เอาไปถวายวัดดีกว่า

พี่ชายตัวดีผมสารภาพว่า เขาได้ทีวีเครื่องนี้มาจากญาติของเกย์คนหนึ่งที่ถูกคู่ขาฆ่าตาย หมกศพไว้จนอืด ตอนนี้ตำรวจจับคนร้ายได้แล้ว...แต่ทำไมภาพนาทีมรณะของเขามาปรากฏบนจอได้ก็ไม่รู้....พี่บอยคิดว่าผีหลอกแน่เพราะจำหน้าผู้ชายคนตายได้

เรายกทีวีถวายวัด ผมไปนอนกับแม่ ไม่กล้านอนห้องตัวเองทั้งที่ไม่มีทีวีอุบาทว์นั่นแหละ...จนวันนี้ผมยังนอนที่พื้นข้างเตียงพ่อแม่อยู่เลยครับ นึกแล้วขนหัวลุก จริงๆ เอ้า!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 17 ธันวาคม 2557

16 เมษายน 2558

สองแม่ลูก

"แก้วตา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากร้านเสริมสวย

ดิฉันเป็นลูกมือช่างทำผมของญาติที่มีร้านเสริมสวยอยู่ในซอยแถวสนามเป้า เป็นตึกสองชั้นใกล้ๆ กับร้านขายของชำ ร้านซักรีด มีบ้านเรือนปลูกติดๆ กัน ไม่น่ากลัวอะไรเลย

น้าแต๋วเจ้าของร้านบ้านอยู่ลาดพร้าว เช้ามาเย็นกลับ ดิฉันนอนชั้นสองกับพี่ไก่ ช่างผมและช่างเล็บ ตอนเช้าเปิดร้านทยอยเข้ามาเรื่อย รถรากับผู้คนผ่านไปมาแทบไม่ขาดสาย ในซอยมีของกินเยอะแยะค่ะ ทั้งอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง หมูปิ้ง ไก่ย่าง ข้าวเหนียวกับส้มตำ มีทั้งรถเข็นและแผงลอยเกือบสิบเจ้า

ก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าอร่อยประจำซอยต้องยกให้ป้าตุ่มค่ะ!

ตอนสายๆ รถเข็นก็จะออกจากทางแคบๆ ใกล้ร้านเรามาปักหลักขายหน้าร้านกาแฟ ตั้งโต๊ะสองตัว มีลูกค้าขาประจำเยอะมาก ทั้งพวกอยู่หอพัก พวกแม่บ้าน ส่วนมากจะซื้อใส่ถุงไปกินบ้านเพราะไม่มีที่นั่ง

พวกที่มาทำผมทำเล็บร้านเราก็สั่งมากิน ลูกมือป้าตุ่มก็จะยกมาเสิร์ฟพร้อมกับเครื่องพวง วันไหนขายดีก็มักทิ้งเครื่องพวงไว้ที่ร้านเราเลย

ป้าตุ่มเป็นม่ายมาหลายปีแล้ว อยู่กับลูกสาวคนเดียวชื่อต่ายกำลังเรียน ม.3 เป็นวัยรุ่นหน้าตาสะสวยแต่ท่าทางก๋ากั่นน่าดู ปากจัด มักทะเลาะกับแม่บ่อยๆ เรื่องไม่ยอมมาช่วยขายก๋วยเตี๋ยววันเสาร์อาทิตย์ แถมเกเรอีกต่างหาก กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำแทบทุกวัน

ป้าตุ่มเองก็พอกัน แกชอบด่าลูกปาวๆ ว่าใจแตก ริชอบเที่ยวแต่เด็ก ไม่ยอมมาช่วยแม่ทำงาน แต่ตัวเองขายของเสร็จก็เข้าบ่อนป๊อกเด้งในซอย รุ่งขึ้นหน้าดำคร่ำเครียดเพราะเสียไพ่จนหมดตัว...บางวันจมอยู่ในบ่อนจนดึกดื่นค่อนคืน ตอนเช้าก็ขายก๋วยเตี๋ยวไม่ไหวแล้ว

ดิฉันเคยได้ยินแม่ลูกโต้เถียงกันจากบ้านไม้ชั้นเดียว ที่อยู่หลังร้านทำผมบ่อยๆ ส่วนมากมักจะมาจากความ ดื้อรั้นของลูกสาว

"ทำไมกลับบ้านค่ำนักวะต่าย โรงเรียนเลิกแล้วทำไมไม่รีบกลับบ้าน?"

"ไม่อยากกลับ ไม่รู้จะกลับมาทำไม?"

"ก็กลับมาทำการบ้าน ทำงานบ้านน่ะซี เอ็งยังเรียนหนังสืออยู่นะโว้ย วันๆ เอาแต่เที่ยว อีกหน่อยก็ติดเหล้าติดยา โดนผู้ชายหลอกไปข่มขืนป่นปี้"

"ต่ายไม่โง่ยังงั้นหรอกแม่..."

"เออ...เอ็งเก่ง! เถียงคำไม่ตกฟาก เมื่อไหร่จะรีบกลับบ้านเร็วๆ ซะที"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากกลับ" ลูกสาวขึ้นเสียง "ถ้าอยากกลับก็กลับเอง...ไม่รู้จะกลับมาทำไม แม่ก็อยู่ในบ่อน ไปเที่ยวกับเพื่อนสนุกกว่า"

ป้าตุ่มเงียบเสียงไป ก่อนจะต่อรองว่าลูกสาวกลับเร็ว แกจะไม่เข้าบ่อน แต่ต่ายก็เถียงว่าเคยกลับเร็วแล้ว แม่พูดคุยสองสามคำก็ออกไปเล่นไพ่จนได้ ป้าตุ่มสบถสาบานว่าแกจะเลิกเข้าบ่อน...ลงท้ายก็ทะเลาะกันเสียงดังน่ารำคาญ

วันนั้นฝนตกตั้งแต่เย็น...ตกค่ำผู้คนในซอยบางตาเพราะฝนยังปรอยไม่ขาดสาย

จู่ๆ ป้าตุ่มก็โผล่พรวดเข้ามาในร้าน ถามว่าเห็นลูกสาวแกบ้างไหม? ป่านนี้ยังไม่กลับบ้าน พี่ไก่กำลังฉีดสเปรย์ให้ลูกค้า บอกว่ายังไม่เห็นผ่านมาเลย ให้ป้าตุ่มนั่งรอในร้านก็ได้

"ดูมัน! ป่านนี้ยังไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องเสียที นังต่ายไม่รู้หรอกว่าแม่เป็นห่วงมันแค่ไหน" ป้าตุ่มบ่นพลางหันไปมองหน้าร้าน ผุดลุกผุดนั่งได้ครู่หนึ่งก็ขอตัวกลับบ้าน...ลูกค้าคนสุดท้ายออกไปแล้ว ดิฉันเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง พี่ไก่นินทาว่าป้าตุ่มจะไปรอลูกสาวที่ปากซอย หรือเข้าบ่อนไพ่ก็ไม่รู้?

...แทบจะไม่ขาดเสียง ป้าตุ่มก็โผล่เข้ามานั่งที่โซฟา หันไปมองหน้าร้านที่เห็นละอองฝนเบาบางอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น ท่าทางกระวนกระวายจนน่าสงสาร ดิฉันกวาดร้าน พี่ไก่เลยขอตัวไปอาบน้ำก่อน

ป้าตุ่มนั่งไม่ติดตามเคย เดี๋ยวเดียวก็ออกจากร้านไป!

คล้อยหลังแกไม่นาน ต่ายก็เดินหน้าตาซีดเซียวเข้ามาถามถึงแม่ ดิฉันบอกว่าแม่มานั่งรอสองพักแล้วนะ เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี่เอง! แต่ต่ายยืนยันว่าไปบ้านแล้วไม่เจอแม่

"สงสัยเข้าบ่อนอีกแล้ว รู้งี้เราไปเที่ยวกับเพื่อนต่อก็ดีหรอก" เสียงเธอปนสะอื้น ดิฉันอยากปิดร้านเต็มทีแล้ว จึงบอกให้ต่ายกลับไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง

คืนนั้นไม่รู้เป็นไร หมาในซอยเห่าหอนโหยหวนน่าขนหัวลุก บรรยากาศในห้องนอนก็รู้สึกเยือกเย็น วังเวงน่ากลัวชอบกล...ดิฉันฝันเห็นป้าตุ่มกับลูกสาวของแกวนเวียนมาถามถึงกันที่ร้านทำผมเกือบทั้งคืน

รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าต่ายถูกแก๊งวัยรุ่นมอมยา ฉุดไปข่มขืนฆ่าแถวคลองเตย...ป้าตุ่มกรีดร้องโหยหวนจนคนในซอยขนลุกขนชันไปตามๆ กัน

ดิฉันอาการหนักกว่าใคร เล่าว่าต่ายมาถามหาแม่ก่อนปิดร้านก็ไม่มีใครเชื่อ...พี่ไก่ยืนยันว่าจะเข้าห้องน้ำยังเห็นดิฉันพูดเองเออเองคนเดียว! ใครจะรู้ตัวว่ากำลังคุยกับผีอยู่ล่ะคะ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2557

14 เมษายน 2558

ปีศาจบ้ากาม

"ลำยอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจคะนอง

ดิฉันเป็นคนเชื่อเรื่องเร้นลับ แปลกประหลาดที่ยังพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ รวมทั้งเรื่องผีๆ สางๆ ที่คนครึ่งค่อนโลกก็เชื่อถือกันทั้งนั้น ตัวเองก็เคยพบเห็นมาแล้วด้วยค่ะ

คุณยายที่นางเลิ้งใกล้ๆ บ้าน พอผีเข้าก็พูดภาษาจีนเร็วปรื๋อ ทั้งๆ ที่รู้จักภาษาจีนแค่สองคำคือ อั๊ว - ลื้อ เท่านั้น ต้องตามคนจีนมาพูดคุยด้วย ได้ความว่าเป็นวิญญาณคนจีนมาจากต่างจังหวัด โดนรถชนตายกลายเป็นศพไม่มีญาติ อยากให้ช่วยบอกลูกหลานให้รับรู้ด้วย

หลังจากบอกที่อยู่แล้ว ผีตัวนั้นก็ออกจากร่างคุณยายไป!

นอกจากนั้นคือผีผู้หญิงที่มาในร่างของคน เข้าไปหาผู้ชายที่ตนพึงใจถึงห้องนอนในยามค่ำคืน มีการหลับนอนกันเหมือนผู้คนทั่วไป จนฝ่ายชายผ่ายผอม นัยน์ตาลึกกลวงปานคนไข้หนัก ในที่สุดต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น

เคยได้ยินมาสองรายแล้วค่ะ ที่สะพานขาวกับ วัดโสมฯ ต้องรื้อห้องแถวทิ้งทั้งสองแห่ง...ไม่ทราบว่าจะเรียกผีเข้าหรือผีสิงกันแน่คะ?

สมัยสาวๆ ดิฉันมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้กับ วลัยพร เมื่อไปเช่าห้องอยู่ในซอยที่ถนนประชาธิปไตย ใกล้ๆ กับทางเข้าป่าช้าวัดมกุฏฯ คนเก่าๆ เล่าว่าที่นั่นเคยมีผู้หญิงโสเภณีอยู่มาก สมัยนั้นเรียกว่า "นางโลม" เอ่ยชื่อซ่องยี่สุ่นเหลืองเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเที่ยวเสเพล ตอนที่ดิฉันไปเช่าอยู่กับเพื่อนนั้น ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แล้วค่ะ

เราทำงานที่เดียวกันในรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งที่ถนนราชดำเนินกลาง ระยะทางไม่ไกล การเดินทางก็สะดวกดี ตกเย็นทำอาหารง่ายๆ กินบ้าง ซื้อแกงถุงมากินบ้าง ราวสามทุ่มก็แยกกันเข้าห้องนอนที่อยู่ติดๆ กัน

จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์น่าขนหัวลุกขึ้นมา!

คืนหนึ่ง ดิฉันได้ยินเสียงพูดคุยงึมงำมาจากห้องเพื่อน นึกว่าวลัยพรนอนละเมอ ตามด้วยเสียงอึกอักคล้ายมีการดิ้นรน...ไม่ช้าเสียงต่าง ๆ ก็เงียบหายไป

รุ่งขึ้น สังเกตว่าเพื่อนสาวเคยหน้าตาสะสวยเปล่งปลั่งตอนนี้กลับซีดเซียว ท่าทางหวาดระแวงหรือกังวลใจอยู่ตลอด เผลอตัวถอนใจยาวบ่อยๆ ดิฉันถามว่าเป็นอะไรก็ฝืนยิ้ม หลบตา จนไม่อยากถามเซ้าซี้อีกต่อไป

คืนต่อมาก็มีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นตามเดิม คราวนี้วลัยพรหน้าตาร่วงโรยจนผิดสังเกต ถามอะไรก็ไม่ยอม เอาแต่เม้มปาก น้ำตาคลอเบ้า

ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ดิฉันฟังจนหมดสิ้น!

...ขณะที่หลับอยู่ดี ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะมีร่างใครไม่รู้มานอนอยู่ข้างๆ หันไปมองก็ใจหายวับเพราะเป็นชายหนุ่มผิวดำ รูปกายล่ำสัน โถมเข้ากอดรัดจนเธออ้าปากจะหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด แต่ชายนั้นเอารีบมือปิดปากไว้ พลางกอดจูบลูบคลำตามเนื้อตัวอย่างรุนแรง แสดงความหื่นกระหายสุดขีด

ลงเอยด้วยการยัดเยียดความเป็นสามีให้เธออย่างรุนแรงตลอดคืน!

"ฉันถูกผีข่มขืนมาสองคืนติดๆ กันแล้ว พยายามต่อสู้ดิ้นรนก็ต้านทานมันไม่ไหวตื่นมาเจ็บระบมไปทั้งตัว ใจริกๆ คล้ายจะเป็นลม...โอย! ช่วยด้วยเถอะ ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"

พูดจบก็ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ดิฉันกอดเพื่อนไว้พลางพูดปลอบใจต่างๆ นานาตามแต่จะนึกได้...ก่อนจะถามว่าเธอรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นผี?

วลัยพรยืนยันว่าเธอปิดประตูลงกลอนทุกครั้ง หน้าต่าง มุ้งลวดก็มีเหล็กดัดแน่นหนา ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะเข้ามาได้แน่ๆ ตอนรุ่งเช้าก็เห็นประตูหน้าต่างปิดสนิทตามเดิม

"มันบอกว่าถูกแทงตายที่ซ่องยี่สุ่นเหลืองมานานแล้ว" วลัยพรเล่าเสียงสะอื้น "วิญญาณสิงสู่อยู่แถวนี้แหละ จนกระทั่งเห็นฉันเข้าก็หลงรัก ห้ามใจไม่ไหวจึงบุกรุกเข้ามาหา...มันบอกว่าจะมานอนกับฉันทุกคืน"

เล่าจบก็ร้องไห้โฮ วันนั้นตรงกับวันเสาร์ ดิฉันเลยพาเพื่อนเดินทะลุซอยไปวัดอินทร์ ผู้คนขวักไขว่หนาตา เราจุดธูปเทียนบูชาหลวงพ่อโต ตักน้ำมนตร์จากบ่อใส่ขวดกลับบ้าน...เป็นที่รู้กันว่าน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ร้อยแปดอาจารย์ที่วัดนั้นทรงคุณวิเศษยิ่งนัก ใช้ได้ทั้งเมตตามหานิยม ขับไล่อัปมงคลและเสนียดจัญไรต่างๆ โดยเฉพาะภูตผีปีศาจได้ชงัดนัก

เมื่อกลับถึงบ้านเช่าเราก็ทั้งกินทั้งอาบ มีเคล็ดตรงที่อย่าใช้น้ำเปล่าเติมน้ำมนตร์ แต่ให้เติมน้ำมนตร์ลงในน้ำเปล่า น้ำนั้นก็จะกลายเป็นน้ำมนตร์ทันที

คืนนั้นดิฉันให้วลัยพรมานอนด้วย...ตอนดึกๆ ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนแถวหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงทุบประตูหน้าต่างปึงปัง ทำให้สะดุ้งผวา แต่วิญญาณบ้ากามก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาในบ้านได้เลย...นึกถึงแล้วยังขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2557

12 เมษายน 2558

แม่ค้าส้มตำ

"บุญยิ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแม่ค้าส้มตำหัวลำโพง

ปีนี้ไม่รู้ว่าเกิดอาเพศอะไรขึ้นมา เดือนพฤศจิกายนแท้ๆ กลับหนาวยะเยือกไม่จบสิ้น พอหายหนาวก็กลับเกิดมรสุมน้อยใหญ่ ฝนฟ้าตกกระหน่ำเป็นว่าเล่นไม่หยุดหย่อนจนน้ำท่วมไปแทบทั้งประเทศมาจนจะใกล้ฤดูหนาวอยู่รอมร่อ

ที่เคยเดือดร้อนกันเรื่องฝนแล้งจนแทบไม่มีน้ำ ทำนา กลับต้องเก็บเกี่ยวกันก่อนที่จะล้มตายไปในสายน้ำ...หาความพอดีไม่ได้ซะเลย

วันนี้ผมจะเล่าเรื่องขนหัวลุกใจกลางกรุงให้ฟังกันครับ!

ตอนนั้นสงกรานต์เพิ่งผ่านพ้นไปใหม่ๆ ยังดีที่ไม่มีฝนฟ้ามาทำลายบรรยากาศนอกจากตกที่นั่นที่นี่นิดๆ หน่อยๆ ส่วนใหญ่แดดจ้า น่าสาดน้ำประแป้งกันให้ ชุ่มฉ่ำ ยิ่งพวกหนุ่มๆ สาวๆ เขาชอบกันนักแล

เย็นนั้น ผมออกจากบ้านที่สะพานเหลืองมาพบกับไอ้ฮุยเพื่อนซี้ ส่วนมากเรามักจะไปหาที่แปลกๆ ดวดดื่มกันตามประสาหนุ่มใหญ่วัยใกล้เลขสี่อยู่รอมร่อ บางวันไปถึงราชวงศ์ บางวันก็แค่ตรอกโรงหมูใกล้ๆ ที่เปลี่ยนชื่อซะหรูหราว่า "ถนนมิตรภาพไทย-จีน" วันนี้ข้ามฟากไปวัดดวงแข ตรอกสลักหิน เตร็ดเตร่ไปถึงรองเมือง ก่อนจะเลี้ยวเข้าดูบรรยากาศสถานีรถไฟเสียหน่อย

แหม! หัวลำโพงกำลังคึกคักเชียวครับ เพราะผู้คนที่เพิ่งทยอยกันกลับกรุงเทพฯ หลังเล่นสงกรานต์ กับเยี่ยมเยียนพ่อแม่ญาติมิตรแล้ว เราเดินทะลุออกด้านข้างแล้วเลี้ยวซ้ายไปด้านหน้า...แหม! คน จรจัดนอนข้างทางเรียงรายกันเป็นแถวใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปูนอน

มีอยู่รายหนึ่งโก้กว่าเพื่อน เพราะพี่แกมีเตียงเตี้ยๆ ราวศอกเดียวไว้นอนหลับอุตุฝันหวานสบายแฮไป

ทะลุออกด้านหน้าอีกครั้ง...มีอะไรผิดหูผิดตา ไปแฮะ!

ก่อนถึงถนนพระรามสี่ที่มีรถราขวักไขว่ตามปกติ ถนนสายแรกก็รถจากถนนเลียบคลองผดุงฯ เลี้ยวไปทางรองเมือง ถัดไปก็ขึ้นทางด่วน...ระหว่างนั้นมีลานโล่งๆ ทั้งซ้ายและขวา เราชวนกันเดินข้ามไปเงียบๆ คงคิดตรงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ไหนดี?

เอ๊าะอ๋อ! แม่ค้าส้มตำสาวๆ สวยๆ ราวสิบเจ้าที่ ปูเสื่อขายสินค้าอยู่บนลานแคบๆ นั่นน่ะซีครับ เราเคยมาอุดหนุนพวกเธอ 2-3 ครั้งแล้ว

"เฮ้ย! วันนี้หายไปไหนกันหมดวะ?" ไอ้ฮุยหลุดปากเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ "ทำไมไม่เหลือซักเจ้าเดียว"

"ยังไม่กลับจากเที่ยวสงกรานต์น่ะซี" ผมก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน" อีก 3-4 วันก็มาขายลานตาเหมือนเดิมแหละว้า! เอ๊ะ..."

เสียงผมขาดหายไป เมื่อเห็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมยาว นั่งพับเพียบอยู่บนเสื่อใกล้หาบส้มตำ ที่มีมะละกอกับมะม่วงดิบ พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน...จะขาดก็แต่ลูกค้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เคยมานั่งอุดหนุนเท่านั้นแหละ

"โธ่เอ๊ย! กูก็เพิ่งเห็น" ไอ้ฮุยร้อง "เอาที่นี่แหละวะ กูย่ำต๊อกซะเมื่อยขาแล้ว"

อีกครู่ใหญ่ๆ ต่อมา เราก็ไปนั่งขัดสมาธิบนเสื่อ ซดเหล้ากับส้มตำปูรสแซ่บ ของแม่ค้าวัยรุ่นผิวขาวอล่อง ชม้อยชม้ายชายตายั่วเย้าเล่นเอาหนุ่มเหลือน้อยอย่างพวกเราชักจะเลือดลมแล่นซู่ซ่าขึ้นมา

เผลอๆ ก็ต้องลงเอยด้วยส้มตำครกพิเศษ ตามสำนวนนักเที่ยว "ครกละห้าร้อย ครกละพัน" กับแม่ค้าคนสวยจนได้...คนเสเพลอย่างพวกเรารู้กันดีครับว่าคุณเธอขายส้มตำบังหน้าการค้าประเวณีเท่านั้นเอง

ยั่วเย้ากระเซ้าแหย่ ต่อปากต่อคำกันเพลิดเพลิน เธอเองก็ช่างพูดช่างคุย มีการแซวว่า...พี่สองคนหล่อ พอๆ กันเลยค่ะ หล่อซะจนหนูไม่รู้จะเลือกใคร เดี๋ยวก็เหมาซะทั้งคู่!

ไอ้ฮุยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ผมเองก็รู้สึกเหมือนเสียงรถราและผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ตัวเราหายไป โลกนี้ราวกับไม่มีใครอื่นอีกเลยนอกจากเราสามคนเท่านั้น ภาพและเสียงต่างๆ พร่าเลือนไปหมด แม้แต่ใบหน้าขาวแฉล้มของแม่ค้าตาคมก็เช่นกัน

...จู่ๆ ภาพเธอก็เลือนรางจางหายไป แล้วก็กลับชัดเจนขึ้นมาใหม่ ปากที่ยิ้มละไมดูจะกว้างขึ้นคล้ายแสยะ นัยน์ตาดำขลับก็กลับขยายใหญ่ พองโตแทบทะลักออกมานอกเบ้า...เสียงหัวเราะหวานใสก็กลายเป็นเย้ยหยัน เขย่าขวัญสิ้นดี!

"อะไรวะ?" ไอ้ฮุยร้องสุดเสียง ผงะหน้า หงายหลัง ดีแต่ใช้สองมือยันพื้นไว้ทันท่วงที...ในแสงไสวของราตรีไม่มีแม่ค้าหน้าหวาน ตาคมอีกต่อไปแล้ว ตะกร้าใส่ข้าวของก็หายไป...ไม่เหลือแม้แต่เสื่อผืนนั้น นอกจาก พื้นแข็งกระด้างที่เรานั่งตะลึงพรึงเพริดอยู่กับที่

"ผีหลอกโว้ย!" ไอ้ฮุยร้องอีก เราลุกพรวดพราดขึ้นมายืนพร้อมกัน เหลียวซ้ายแลขวาที่มีรถราและผู้คนคับคั่ง...เราหลุดเข้าไปในมิติอะไรก็ไม่รู้...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 12 ธันวาคม 2557

11 เมษายน 2558

วิญญาณห่วง

"มาโนช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรม ผีสิง

ผมทำงานธนาคารอยู่ที่ภาคเหนือตอนล่างมาหลายปีแล้ว แต่ต้องไปประชุมที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ เดือนละครั้ง ขับรถไปกลับเอง เช่าโรงแรมแถวสุขุมวิท 5 ครั้งละ 2-3 คืนจนกลายเป็นขาประจำไปเลย

ประชุมเสร็จก็กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม นัดเพื่อนฝูงหลายคนที่ล็อบบี้บ้าง ในช็อปบ้าง ดื่มเบียร์อุ่นเครื่องกันนิดหน่อย ก่อนจะออกไปตระเวนกรุงเทพฯ กันทุกคืน

การขับรถระยะไกลๆ มีเพื่อนเตือนให้ระวังโดนผีหลอก ทั้งผีตามท้องถนนกับผีในโรงแรม อย่างแรกก็คล้ายๆ กัน เช่น เห็นคนวิ่งตัดหน้าตรงทางเปลี่ยวบ้าง บางทีพ้นโค้งก็เจอผู้หญิงยืนจังก้าอยู่กลางถนน เล่นเอาคนขวัญอ่อนหักรถหลบจนชนต้นไม้บ้าง ตกถนนบ้าง ถึงไม่ตายก็คางเหลืองไปตามๆ กัน

ผีในโรงแรมก็มีหลากหลายรูปแบบเหลือเชื่อ ทั้งมาเคาะประตูบ้าง เปิดปิดทีวีตอนเราอยู่ในห้องน้ำบ้าง แถมหมุนหาช่องนั้นช่องนี้อีกต่างหาก หนักกว่านั้นก็มาหลอกหลอนตอนเรานอนหลับ

กำลังตกอยู่ในสุขารมย์ก็มีเสียงผู้หญิงร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ เตีย

ง เมื่อเปิดไฟสว่างก็ไม่เห็นใครเลย เล่นเอาประสาทเสีย ใกล้สติแตก ต้องเผ่นลงไปชั้นล่าง หลับนกอยู่ที่ล็อบบี้จนรุ่งเช้า แล้วรีบเช็กเอาต์ออกไปก่อนจะหัวใจวายตาย

บางรายหลับสบายๆ อยู่คนเดียว รู้สึกว่ามีใครมานอนเบียดอยู่ในผ้าห่ม...ลืมตามองเห็นสาวสวยนอนตะแคงจ้องมองด้วยดวงตาดำขลับ ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม...ไม่ว่าจะแสนสวยหรือหวานหยาดเยิ้ม สุดเซ็กซี่แค่ไหนคนที่เห็นก็ร้องจ้า กระเด้งตัวเผ่นอ้าวออกจากห้องอุบาทว์โดยไม่คิดชีวิตทั้งนั้นแหละ

ยอมรับว่าบางครั้งมานอนโรงแรมในกรุงเทพฯ ก็ทำให้ผมนึกเสียวสันหลัง แต่ส่วนมากมักเฉยๆ อาจจะเกิดจากความเคยชินในการนอนโรงแรมมานับสิบปีแล้วก็เป็นได้

อ้อ! ผมมักจะได้ห้องเดิมที่ชั้น 5 พบรูมเมดคือน้าเบียบกับหนูตุ๊กเป็นประจำ

น้าเบียบอายุสี่สิบเศษ ขาวท้วม อารมณ์ดี อ่อนกว่าผมราว 4-5 ปี ผมเรียกน้าตามหนูตุ๊กวัยเบญจเพส หน้าตาเรียบๆ แต่รูปร่างดีเหมือนพวกดารานางแบบ เราพบกันบ่อยๆ จนสนิทสนมคุ้นเคยกัน

ผมให้ทิปไว้ล่วงหน้าคนละ 100 บาท ก่อนจะกลับอีก 100 บาททุกครั้ง ถ้าไม่พบก็จะจ่ายเพิ่มในครั้งต่อไป

บางครั้งแขกเยอะจนต้องแยกย้ายกันไปทำห้อง ผมก็จะฝากเงินไว้ให้อีกคน บางครั้งก็มีขนมหรือผลไม้มาฝาก ซื้อหาจากปากซอยใกล้ๆ ฟู้ดแลนด์ ถือว่าเป็นมิตรจิตมิตรใจครับ...ที่แน่ๆ คือผมได้พักห้องนอนและห้องน้ำสะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไรตำหนิติติงได้เลย

ครั้งล่าสุดที่ไปกรุงเทพฯ ผมก็ประสบเรื่องสยองเข้าเต็มเปา!

ขณะที่ขับรถมาตามทางหลวงเอเชีย เข้าเขตจังหวัดสิงห์บุรีตอนบ่าย เจอรถติดเป็นแพเพราะมีอุบัติเหตุ รถกระบะชนรถตู้ มีรถทัวร์ถล่มซ้ำ..กำลังช่วยเหลือคนเจ็บจากสองคันแรกทุลักทุเล เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด...ภาพจากริมถนนทำให้ต้องเบือนหน้าหนี

คนตายนอนเรียงรายกันราว 5-6 ศพ แถมยังมี เจ้าหน้าที่ช่วยกันหามร่องแร่งลงมาอีก...เลือดแดงฉานไหลนองจากร่างที่มีบาดแผลเหวอะหวะยับเยิน ผมไม่เคยเจออุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้มาก่อนเลย เล่นเอามือเท้าอ่อน ปากคอแห้งผากไปหมด ขับรถอย่างระมัดระวังจนถึงจุดหมายปลายทาง

ไขกุญแจเข้าห้องได้ก็พอดีได้ยินเสียงเคาะประตู หนูตุ๊กหยิบผ้าเช็ดตัวจากรถเข็นบอกว่าแขกเยอะมาก แถมเช็กเอาต์ช้าทำให้เสียเวลาทำห้อง ผมบอกให้จัดการกับห้องนอนไปพลางๆ ขอตัวเข้าอาบน้ำก่อนล่ะ

ผมใช้วิธียืนอาบน้ำในอ่าง ไม่ต้องเสียเวลา...ได้ยินเสียงเปิดทีวีก็นึกสงสัยว่าหนูตุ๊ก บริการแขก หรือตัวเองอยากดูละครตอนเย็นกันแน่?

เสร็จสรรพสวมเสื้อคลุมออกมา ปรากฏว่าทีวีเปิดอยู่จริงๆ เห็นน้าเบียบกำลังเหน็บชายผ้าที่หัวเตียง แกหันมายกมือไหว้ ผมก็ถามว่าเสร็จจากห้องอื่นแล้วเหรอ ถึงมาช่วยตุ๊กทำห้องน่ะ?

ขาดคำก็เห็นน้าเบียบอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง หน้าซีดเผือดอยู่ในแสงไฟ

"ตุ๊กมาทำห้องเหรอคะ? โธ่! มันทะเลาะกับผัวจนคิดสั้น ผูกคอตายไปเมื่อคืนนี้เอง พบศพตอนเช้ามืด...มันคงห่วงงานน่ะ หรือไม่ก็รู้ว่าคุณจะมา..."

ผมเข่าอ่อนยวบ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ฝากเงินน้าเบียบไปช่วยงานศพหนึ่งพันบาท...แน่ใจว่าคงไม่เคยมีใครโดนผีหลอกในโรงแรมแบบที่ผมเจอะเจอมาแน่นอน...เดือนหน้าผมต้องย้ายโรงแรมใหม่แล้วล่ะครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2557

10 เมษายน 2558

ปลาอุบาทว์

"สิงหา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากการวิดปลา

ผมเป็นเด็ก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี แม้จะอยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ เมืองหลวงก็จริง แต่กลับเป็นเมืองเก่าแก่ โบร่ำโบราณที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยก็ว่าได้นะครับ

มีหลักฐานทางโบราณคดีว่าสุพรรณบุรีมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,500 ปีมาแล้ว ได้ขุดพบโบราณวัตถุทั้งยุคหินใหม่ ยุคสำริดและยุคเหล็ก วัฒนธรรมก็สืบทอดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ, ฟูนัน, ทวารวดี, ศรีวิชัย และสุพรรณบุรี

บ้านเมืองเก่าแก่หลายพันปีนะครับ เรื่องผีๆ สางๆ ถือว่าเป็นธรรมดามาก!

วันหนึ่งตอนเย็น ลมตก นกกาเจี๊ยวจ๊าวอยู่ตามยอดไม้ พวกสาวๆ หาบของเดินเลาะคันนามาเป็นแถว ผมกับเพื่อนๆ กำลังดูตาล้อมกับลุงเพ็งวิดปลาอยู่เหย็งๆ บังเอิญมหาอ้วน-สมัยก่อนบวชเป็นเพื่อนกับลุงเพ็งผ่านมาพอดี

นอกจากจะแวะมองแล้ว มหาอ้วนยังพูดเปรยๆ ว่า...ชาวบ้านเขามีแต่จะปล่อยนกปล่อยปลากันเพื่อเอาบุญ พวกแกกลับมาวิดปลาเอาไปกินอีก ไม่กลัวบาปกรรมเสียมั่งเลย

ตาล้อมยกมือไหว้ ตัวแช่อยู่ในโคลน บอกว่าไม่จับปลากินแล้วจะให้ไปจับจระเข้ที่ไหนกินล่ะหลวงพี่? ทั้งไอ้ดุกไอ้ช่อนตัวอ้วนๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าใครๆ เขาก็จับไปทำของกินมั่ง ถวายพระมั่ง มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว...เดี๋ยวนี้หลวงพี่ฉันมังสวิรัติแล้วหรือขอรับ?

มหาอ้วนทำไขหู ถามว่ารู้ไหมทำไมเขาปล่อยปลาเอาบุญกัน? ตาล้อมกับลุงเพ็งสบตากันแล้วส่ายหน้า มหาอ้วนก็บอกว่าดีล่ะ จะบอกให้เอาบุญ!

สมัยพุทธกาล พระสารีบุตรท่านเห็นด้วยญาณทิพย์ว่าเณรรูปหนึ่งจะต้องสิ้นชีวิตภายใน 7 วัน ท่านบังเกิดเมตตาจึงสั่งให้เณรกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างเมือง แต่ไม่ได้บอกว่าเพื่อให้ผู้บังเกิดเกล้าได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย!

ระหว่างทางนั้น เณรน้อยได้เห็นปลาฝูงหนึ่งตกคลั่กอยู่ในหนองน้ำใกล้จะแห้งขอด เกิดเวทนาสัตว์ร่วมโลกจึงช้อนปลาฝูงนั้นไปปล่อยในน้ำแห่งใหม่ เป็นการช่วยชีวิตปลาทั้งฝูงให้รอดตายไปได้

เมื่อสามเณรกลับมาจนเลย 7 วันไปแล้ว ก็มิได้ล้มตายตามญาณทิพย์ของพระสารีบุตร ท่านจึงเรียกเณรมาถามว่า ระหว่างทางไปกลับได้พบเห็นสิ่งไรบ้าง? เณรน้อยก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟังจนหมดสิ้น

พระสารีบุตรจึงทรงทราบว่าการช่วยชีวิตผู้อื่นนั้นบันดาลให้เกิดกุศลสูงส่งยิ่งนัก การปล่อยปลาและสัตว์อื่นๆ เพื่อบุญกุศลจึงเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกึ่งพุทธกาลนั่นเอง!

ลุงเพ็งยกมือไหว้ แต่ตาล้อมหัวเราะ บอกว่าวันนี้จะจับปลาพอหม้อแกง ไม่เหลือใส่บาตรแล้ว บาปกรรมจะได้ลดลง พระเจ้าก็จะได้รอดตัวด้วย ดังสำนวนเก่าๆ ที่ว่า "บาปอยู่ที่คนทำกรรม-กรรมอยู่ที่คนกิน"

มหาอ้วนถอนใจปลงอนิจจัง มองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งคล้ายจะแผ่เมตตาให้สัตว์โลกทั้งหลาย ก่อนจะเดินกลับวัดไป

ใกล้จะค่ำแล้ว ตาล้อมกับลุงเพ็งได้ปลาเกือบเต็มข้อง จู่ๆ ลมแรงก็พัดมาฮือใหญ่ ยอดไม้ส่งเสียงกระโชกน่ากลัว เพื่อนๆ ผมผละวิ่งกลับบ้าน...ตาล้อมกับลุงเพ็งก็เดินลุยโคลนมาที่ขอบสระ

ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์น่าขนหัวลุกก็อุบัติขึ้นกะทันหัน!

"เฮ้ย! ปลาอะไรวะนี่? ตัวใหญ่ขนาดเด็กอ่อนๆ แน่ะ" ตาล้อมร้องขึ้น "ช่วยกันจับเร็วๆ เถอะ เอาไปขายได้เงินโขเลยโว้ย"

ลุงเพ็งหันขวับ ผมเกือบจะวิ่งกลับบ้านอยู่แล้ว แต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าปลาอะไรตัวใหญ่นัก...ปราดเข้าไปดูพร้อมๆ กับลุงเพ็งก็ช่วยจับปลาที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในโคลนตม

"เอ็งจับหางมันแน่นๆ ซี่ไอ้เพ็ง ข้าจับหัวมันได้แล้ว เอ้า! ช่วยกันโยนขึ้นบกเลย มันจะได้หนีไม่พ้น...อ้าวเฮ้ย! อะไรวะ..."

เสียงตาล้อมดังลั่น ผงะหน้า ตาเหลือกลาน เมื่อหัวปลาโผล่พรวดขึ้นจากโคลนมาสะบัดพึ่บๆ ท่ามกลางเสียงลมพัดอื้ออึง ให้ตายดับไปเถอะ! มันไม่ใช่ปลายักษ์ปลามารอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ดิ้นเร่าๆ สะบัดโคลนกระจายอยู่ระหว่างคนสองคนนั้นคือศีรษะมนุษย์!

ใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่หงำเหงือก ตาแดงจ้าปานแสงไฟ เล่นเอาตาล้อมกับลุงเพ็งผงะหงาย ปล่อยมือ ก้นจ้ำเบ้า ร้องร่ำแต่เฮ้ยๆ ตะเกียกตะกายลุยโคลนเข้าหาฝั่งตาลีตาเหลือก...สองมือโกยขี้เลนท่าทางเหมือนกำลังว่ายน้ำหนีสุดฤทธิ์

ผมเองอยากวิ่งหนีใจจะขาด แต่แข้งขาหนักอึ้งราวถูกก้อนหินถ่วงจนยกไม่ไหว

ปลาจากนรกจมหายไปในน้ำโคลนแล้ว แต่มันยังฟาดหัวฟาดหางตูมตาม...ผมเพิ่งจะมีแรงตั้งหลักเผ่นอ้าวจนลมออกหู...ได้ข่าวว่าตาล้อมกับลุงเพ็งเลิกวิดปลาตั้งแต่นั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2557

09 เมษายน 2558

ซอยนี้...ผีดุ!

"โก้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยผีสิง

ผมเป็นนักศึกษาภาคค่ำของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คืนนั้นหลังเลิกเรียนเพื่อนก็ชวนไปกินข้าว เราคุยกันเพลินมาก กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเกือบสองยามแน่ะครับ

เพื่อนขับรถไปส่ง แต่บ้านผมอยู่ในซอยแคบและลึกมาก แถมกำลังมีการขุดถนนเพื่อปรับปรุงท่อประปา ด้วยความเกรงใจจึงขอให้เพื่อนจอดรถหน้าปากซอยแล้วเดินเข้าไป...ความจริงก็กลัวเหมือนกันครับ เพราะเดือนที่แล้วมีคนถูกฆ่าตายแถวๆ นี้

สาเหตุคือที่ปากซอยมีร้านอาหารคาราโอเกะ คนเมาเกิดทะเลาะกันและยิงกันตาย ผมจำได้เพราะคืนนั้นผมก็กลับดึกแบบนี้แหละครับ

เหตุเกิดราวสองยาม...เหมือนคืนนี้เป๊ะเลย!

คืนนั้นผมกำลังจะเดินเข้าซอย ก็ได้ยินเสียงตะโกนด่ากันโหวกเหวก พอหันไปมองก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก นั่นล่ะ...เสียงปืน! แต่มันไม่ได้ดังเปรี้ยงๆ แบบในหนัง

ชายคนหนึ่งล้มลง แล้วคนยิงก็วิ่งหนีไป ขณะที่มีคนในร้ายมากมายวิ่งออกมา เกิดวุ่นวายกันพักใหญ่ ผู้หญิงบางคนกรีดร้องอย่างเดียว ผู้ชายคนหนึ่งใช้มือถือเพื่อแจ้งเหตุร้าย..ผู้คนแถวนี้พากันออกมาดู ผมเดินไปมุงกับเขาบ้าง เห็นชายที่โดนยิงกำลังกระตุก มีเลือดทะลักออกมาทางปากและจมูก...

เขาโดนกระสุนเจาะลำคอ นัยน์ตาเขาเหลือกลาน

ภาพคนตายติดตาอยู่หลายวันจนผมเกือบลืมไปแล้ว...จนกระทั่งคืนนี้!

แต่ทำไมคืนนี้ดูแปลกจัง ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ปกติจะมีคนนั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ แต่คืนนี้ไม่มีเลย ห้องแถวหน้าร้านก็ปิดประตู ปิดไฟเงียบ...คงจะหลับหมดแล้วมั้ง?

สรุปว่าในนาทีนี้มีผมยืนอยู่เดียวดาย

มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะมองตรงไปที่ผู้ชายคนนั้นล้มลงตาย!

พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า แต่ภาพศพอันน่าสยดสยองของเขา กลับผุดขึ้นมาแจ่มชัดในความทรงจำของผม

แหม...อยากให้มอเตอร์ไซค์ผ่านมาซักคันหนึ่งจัง! คืนนี้เป็นอะไรนะไม่มีรถราซักคันเดียว! ผมถอนใจยาว...ตัดสินใจเดินเข้าซอยตามลำพัง ความรู้สึกไม่ค่อยจะมั่นคงชอบกล มันวูบๆ วาบๆ ยังไงพิลึก...ไม่อาจสลัดภาพศพถูกฆ่าออกไปจากสมองได้สำเร็จ!

ทันใดนั้น ผมสะดุดก้อนหินใหญ่จนหัวคะมำ เท้าพลิก ใจหายวาบ ขวัญผวาไปหมด หลุดปากอุทานอย่างลืมตัว! เฮ้อ...เจ็บข้อเท้าจังเลย นี่ละผลของการขุดถนน! ยังดีนะที่ผมไม่ตกลงไปในหลุม ที่เขาขุดน่ะ ใจผมยังเต้นตึ๊กๆ อยู่เลยเพราะอารามตกใจ

เมื่อตั้งสติได้ ก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาข้างหลัง...โจรรึเปล่า?

ผมหันไปดู แต่เห็นหน้าไม่ถนัดเพราะมันมืด เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่กว่าผม...คงจะไม่ใช่ผู้ร้ายหรอก เพราะเขาเดินดุ่มๆ นำหน้าผมเข้าไปในซอย...เดินเร็วมากเลยครับ คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อน ผมเดินตามเขาไปห่างๆ และรู้สึกสบายใจขึ้นมา

ในซอยนี้บางบ้านก็เปิดไฟรั้ว ผนวกกับไฟถนนที่ห่างเป็นระยะๆ ทำให้มีแสงพอมองเห็นได้ ดีกว่าตรงปากซอยที่มันดับไปดวงหนึ่ง กระนั้นบรรยากาศก็ยังค่อนข้างน่ากลัว มันดูเงียบสงัด แต่มีลมพัดอู้ๆ แล้วก็แรงขึ้นๆ ผมแหงนดูท้องฟ้า...มันมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก!

ผมรีบเดินเร็วๆ ชายคนนั้นยังนำหน้าผม ห่างกันราวสิบก้าว ผมรักษาระยะห่างนั้นไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะทอดจังหวะการเดินเป็นช้าลง...ช้าลง...

เอ๊ะ! หรือว่าจะหลอกให้ผมตายใจ พอเดินไปทันเขาอาจควักอาวุธมาทำร้ายผมดื้อๆ ก็เป็นได้ อันธพาลหรือโจร...

"กลัวรึ? ฮึๆ" เสียงพูดนั้นมาจากเขาแน่นอน ตอนนี้เขาอยู่ห่างผมราว 4-5 ก้าว...เขาไม่หันมาเลย ผมชักตกใจ ชะงักฝีเท้าเหมือนถูกตรึงโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่ผมกำลังละล้าละลังอยู่นั้น เขาก็หันขวับมา...แสงไฟส่องเต็มหน้าพอดี!

คุณพระช่วย! ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนตายชัดๆ ปากและจมูกมีเลือดเอ่อ เสื้อด้านหน้าเปรอะเลือดไปหมด...ผมจ้องมองภาพนั้นเหมือนถูกสะกดจิต อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก แข้งขาหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ ครับ

ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง...พัดเอาร่างน่าสยองของชาย ผู้นั้นสลายไปกับอากาศธาตุโดยไม่มีร่องรอยว่าเคยยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นมาก่อนเลย!

น้ำตาผมไหลพราก พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ออกวิ่ง ทั้งแข็งใจและกลั้นใจเดินช้าๆ ผ่านไปตรงที่เขาเคยยืนอยู่ แต่อึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว...ผมเผ่นกระเจิงจนมาถึงบ้าน

เมื่อแม่ทราบเรื่องนี้จากผม แม่ก็ให้จุดธูปไหว้พระ บอกว่าตอนที่สะดุดหินน่ะใจหายวูบ และเป็นช่องทาง ให้ภูตผี วิญญาณแทรกเข้ามาได้...ทีหลังอย่ากลับดึกก็ แล้วกัน

ตั้งแต่นั้นมาผมเข็ดหลาบ ไม่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อีกเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 9 ธันวาคม 2557

08 เมษายน 2558

โรงแรมผีสิง

"สหชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมสยองขวัญ

ผมต้องไปประชุมสัมมนาวิชาการที่กาญจนบุรี และต้องพักโรงแรมด้วยครับ คณะของเราไปกัน 5 คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว สาวๆ เลยจับคู่กันนอน 2 ห้อง ห้องละ 2 คน ส่วนผมน่ะเป็นเศษเกินครับ คิดอีกทีก็สบายไปอย่าง

โรงแรมที่เราพักอยู่ริมแม่น้ำ อีกด้านหนึ่งยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร อากาศดีมาก ยิ่งเป็นฤดูหนาวด้วยแล้วยิ่งเย็นเยือกกว่าในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แถมมีเครื่องปรับอากาศอีกด้วย

ที่จริงนอนคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน นึกอยากไปท่องราตรีดูแต่มาคิดถึงการงานพรุ่งนี้แล้วตัดใจได้ ผมกลับเข้าห้องหลังอาหารค่ำราวสองทุ่มเศษ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนของโรงแรม...แหม! เป็นชุดลายทางผ้าคอตตอนอย่างดี สวมใส่สบายตัวจริงๆ

ผมขึ้นไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง เอาหมอนเป็นที่พิงหลังแล้วก็เปิดดูทีวี เออ...เพลิดเพลินกับหนังสไตล์บู๊แอ๊กชั่นของฮอลลีวู้ด มีดารานำคือบรู๊ซ วิลลิส พระเอกคนโปรดซะด้วยซี...เดี๋ยวหนังจบราวห้าหุ่มได้เวลานอนพอดี

พรุ่งนี้กะตื่นราว 7 โมงเช้า เพราะมีตารางว่าต้องกินอาหารบุฟเฟต์ในโรงแรมตอน 8 โมง...ปกติผมตื่นเช้าอยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์เลยโทร.ไปสั่งโอปะเรเตอร์ให้ "มอร์นิ่งคอลล์" เผื่อจะหลับเพลินเกินไป

หนังกำลังมันส์ๆ เพราะใกล้จะถึงตอนจบอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูขัดอารมณ์

ผมต้องจำใจลุกไปดูซิว่าใครมาหา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว?

พอถึงประตูก็ก้มมองที่ตาแมว ปรากฏว่าเป็น ผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้...ไม่ใช่พวกสาวๆ ที่มา กับผมแน่ เอ...ใครนะ? สงสัยจะเข้าห้องผิด! ผมรีบ เปิดประตูออกไปเพื่อจะบอกเธอว่าเคาะผิดห้อง แต่ไม่ได้ปลดโซ่ที่คล้องไว้ ก่อนจะเอียงหน้ามอง... คุณครับ!

อ้าว? หน้าประตูมีแต่ความว่างเปล่า ผมรีบปลดโซ่แล้วเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อชะโงกออกไปมองซ้ายขวา แต่ไม่เห็นมีใครซักคน เอ๊ะ! แปลก...ผมคิดแค่นั้นโดยไม่ได้นึกถึงผีเผออะไรเลย ใจพะวงอยู่แต่หนังมันๆ ก็เลยปิดประตูล็อก แล้วคล้องโซ่ไว้ตามเดิม จากนั้นก็ขึ้นเตียงดูหนังที่พระเอกกับพะบู๊กับผู้ร้ายเป็นโขยง..แต่ในพริบตานั้นเองก็มี

เสียง...ก๊อกๆๆ อะไรกันวะ เพิ่งจะผละมาหยกๆ นี่แหละมาเคาะประตูอีกแล้ว! ผมหัวเสียจริงๆ เฮ้อ...ตะกี้ไปหลบอยู่ซะที่ไหนล่ะ สงสัยอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับแฟนแล้วมาเคาะผิดห้อง

จะทำไงได้ล่ะครับ ก็ต้องลุกไปเปิดอยู่ดีแหละ!

ผมมองที่ตาแมวก่อน...ผู้หญิงคนเดิมยืนหันหลังให้ เห็นแต่ผมยาวเหยียดตรงและชุดแส็กสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูกระจายไปทั่วๆ ผมปลดทั้งล็อกและโซ่ เปิดประตูผาง...ลมเย็นๆ พัดสวนเข้ามาวูบหนึ่ง สงสัยผมจะเปิดประตูแรงไปหน่อยล่ะมั้ง?

เหมือนเดิม! หน้าประตูว่างเปล่า เธอคงอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง แล้วฉวยโอกาสไม่กี่วินาทีขณะผมปลดโซ่ แอบผลุบเข้าประตูไป! เออ...ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเคาะห้องผิดนี่นา

นี่เธอจะเล่นอะไรกันนะเนี่ย? หาเรื่องรบกวนคนอื่นเพื่อเอาสนุกคนเดียวเรอะไง?

ผมบ่นอุบอิบ...หนังจบเรื่องกำลังสต๊อปแอ๊กชั่นพอดี เสียอารมณ์ชะมัดเลยครับ!

ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหยด แปะ...แปะ...มาจากเตียงข้างๆ อันว่างเปล่า ทำให้ผมหันขวับไปมองโดยสัญชาตญาณ

ทั้งห้องมีแต่แสงจากจอทีวีเท่านั้น เตียงที่ว่านั้นค่อนข้างมืดสลัว แต่ก็ยังมองเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งห้อยขา ที่ขอบเตียง แต่งชุดแส็กออกสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูประไปทั่ว...ผมเธอปรกหน้าตาเพราะนั่งก้มหน้า สองแขนวางพาดที่หน้าตัก ผมมองไปที่ข้อมือทั้งสอง ข้าง มันเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดไหลปรี่เหมือนก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท

เลือดที่หยดนี่เองมันดังแปะ...แปะ...ผมลุกพรวดขึ้นยืน จ้องมองหญิงผู้นั้นชนิดตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง...เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไงกัน?

จังหวะนั้นเอง เธอเงยหน้าช้าๆ ขึ้นสบตาผม นรกเป็นพยาน! เธอไม่มีนัยน์ตา!

ตรงที่ควรเป็นนัยน์ตามันลึกกลวงเข้าไป เหมือนกับเราจ้องมองดูหุบเหวล้ำลึกไม่มีวันสิ้นสุด...ผมจะอยู่ทำไมล่ะครับนอกจากจะเผ่นอ้าวไปที่ประตูไม่คิดชีวิต...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปลดล็อกปลดโซ่ออกมาได้ยังไง

ในที่สุด ผมก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงลงมาถึงล็อบบี้เปล่าเปลี่ยวจนได้...พวกพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ดูจะไม่ตื่นเต้น หรือแม้แต่แสดงความแปลกใจด้วยซ้ำไป

ผมอยู่จนเช้าแล้วให้คนเข้าไปช่วยเก็บของ ไม่ประชุมอะไรแล้วละครับ ขอกลับบ้านเลยทันที ใครถามอะไรก็บอกแต่ว่าปวดหัวหนักจนต้องไปหาแพทย์...เอาไว้ไปเล่าเรื่องขนหัวลุกที่กรุงเทพฯ แล้วกัน! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 2557

ปีศาจขึ้นจากหลุม

"มหาบุญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชายแดนเขมร

สมัยก่อนผมอยู่บ้านช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ แดนดินถิ่นปราสาทขอม มีประวัติยาวนานนับพันปี เรื่องผีๆ สางๆ มีเยอะครับ ไม่ว่าผีบ้านผีป่ามีทั้งนั้น...ยิ่งพวกเขมรรบกันหนัก เขมรแดงหลบมาอยู่แถวชายแดนใกล้ๆ บ้าน โดนฝ่ายรัฐบาลเข่นฆ่าล้มตายมากมาย

ยิ่งตายมาก ผีก็ยิ่งดุมากน่ะซีครับ!!

แถวบ้านผมไม่ว่าช่องจอม บ้านด่านหรือบ้านปวงตึกมักจะนิยมเลี้ยงเป็ดกัน นอกจากเลี้ยงง่ายแล้วยังขายไข่ได้ราคาดีอีกต่างหาก

ลูกค้ารายใหญ่กลับไม่ใช่คนไทย แต่เป็นพวกเขมรที่ชอบกินไข่เป็ดมากกว่าไข่ไก่ ขับรถข้ามแดนมาซื้อถึงเล้าเลยแหละ แถมไม่จู้จี้เหมือนลูกค้าคนไทยอีกด้วย แตกนิดบุบหน่อยก็ไม่เอา...ลูกค้าเขมรไม่เคยปริปากต่อว่า ขนซื้อไปขายได้กำไรเพียบไปตามๆ กัน

พวกเราก็เลยมีลูกค้าเขมรมากกว่าคนไทยเป็นธรรมดา!

เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นเพราะมีตายายคู่หนึ่ง คือ ตาเพ็ญกับยายลออมีเป็ดเล้าใหญ่อยู่ใกล้ๆ บ้านผม แกเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งฝูงใหญ่ กับมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่หลังบ้านด้วย สองผัวเมียนี่อยู่กันตามลำพังเพราะลูกชาย 2 คนไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ นานทีปีหนถึงจะกลับบ้าน

พวกเด็กๆ มักกลัวตาเพ็ญเพราะหน้าแกบึ้งตึง ตาดุจนเรียกว่า "ตาเพ็ญตาเสือ"

ตอนเย็นตาเพ็ญจะนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียวมาซื้อเหล้าที่ร้านเจ๊กฮงใกล้ตลาด เห็นรอยสักตามหน้าอกกับแผ่นหลังเป็นอักขระสีดำมืดกลมกลืนกับผิวของแกเพราะตาเพ็ญไม่ชอบใส่เสื้อ แกไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ตกค่ำเมาเหล้าก็ทะเลาะกับเมียเสียงดังลั่นเป็นประจำ

ยามค่ำคืนมีคนเห็นตาเพ็ญนั่งสูบยาแดงวาบๆ อยู่ใต้ต้นกระบกหน้าเล้าเป็ด ถ้ามีใครหยุดมองแกจะ ลุกพรวดขึ้นยืน มือถือมีดขอคมปลาบ ต้องเผ่นหนีทั้งนั้นไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่

ดูเหมือนตาเพ็ญจะคบแต่พวกเขมรที่เป็นลูกค้า ขาประจำเท่านั้นเอง!

ก่อนจะเกิดเหตุร้าย มีคนผ่านไปทางนั้นแต่ไม่เห็น ตาเพ็ญมานั่งสูบยาที่นั่นตามเคย แต่กลายเป็นยายลออมานั่งแทนที่ พอเข้าไปทักทายแกกลับสะบัดหน้าหนี เลยเอามานินทา

ว่าผัวเมียคู่นี้ไม่เอาเพื่อนบ้านพอๆ กัน

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งมาจากบ้านตาเพ็ญตามเคย ไม่ช้ายายลออก็ออกมาร้องไห้ที่ต้นกระบก...ลมพัดแรงจนได้ยินชัดเจนคล้ายแกมาร้องไห้อยู่ใกล้ๆ บ้านนี่เอง

ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที!

จู่ๆ หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น บรรยากาศยามราตรียิ่งวังเวงจนผมขนลุก แม่ผมบ่นว่าอยากไปดูยายลออหน่อยว่าแกเป็นไร แต่พ่อห้ามว่ากลางค่ำกลางคืนอย่าไปดูเลย

ตั้งแต่นั้นมา เสียงยายลออก็มาร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่เดิมติดๆ กัน 3-4 คืน จนพ่อแม่อดรนทนไม่ไหว เราเลยต้องชวนกันออกไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นมา?

ท้องฟ้ามีแต่แสงดาวส่องสลัว ลมหนาวพัดวู่หวิวราวจะแทรกเนื้อหนังเข้าไปถึงกระดูก เสียงฝูงหมาเห่าหอนน่าขนลุก มองไปที่บ้านอื่นก็ดับไฟนอนกันหมด พ่อฉายไฟวูบวาบไปที่ต้นกระบก แต่ก็ยังเห็นอะไรไม่ ชัดเจนนัก...

จนกระทั่งถึงจุดหมาย!

ลำแสงของไฟฉายส่องจ้าไปกระทบร่างดำๆ ของ ยายลออ...แต่แกไม่มีหัว! เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง ผวาไปกอดแขนแม่ แต่พอเรียกชื่อแกเบาๆ ร่างนั้นก็ขยับไปมา...อ๋อ! แกนั่งชนเข่าฟุบหน้าอยู่บนรากใหญ่ของต้นไม้ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเชื่องช้า

คุณพระช่วย! ผมจะไม่มีวันลืมภาพนั้นไปชั่วชีวิต!!

ใบหน้าเล็กๆ โดดเด่นอยู่ในแสงไฟ ผมหงอกกระเซิงน่ากลัว นัยน์ตาดำปี๋พองโตน้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มเหี่ยวแห้ง จนถึงมุมปากห้อยย้อย เสียงคร่ำครวญ วู่หวิว...ช่วยด้วย...

แม่เรอเอิ๊กแล้วเป็นลมไป ผมร้องแต่ช่วยด้วยๆ ขณะที่พ่อหันมาหา...เมื่อส่องไฟฉายไปอีกทีก็ไม่เห็นร่างน่าเกลียดน่ากลัวนั่นเสียแล้ว

รุ่งเช้า มีคนไปพบตาเพ็ญนอนตายอยู่ข้างๆ ขวดเหล้า นัยน์ตาลืมโพลง แต่ไม่มีวี่แววของเมียแก พอชวนเพื่อนบ้านไปที่โคนกระบกก็เห็นหลุมที่เพิ่งกลบได้ไม่นาน...ศพที่กำลังเน่าของยายลออถูกฝังอยู่ที่นั่นเอง

วิญญาณแกมาร้องไห้จนเราได้ยินก็พอจะเข้าใจ แต่ทำไมตาเพ็ญฆ่าเมียแล้วเอาศพไปฝัง ไม่มีใครรู้ว่าสาเหตุจากอะไร? พ่อกับแม่ได้ยินผมถามเรื่องนี้ก็ได้แต่สบตากันแล้วถอนใจยืดยาว...แปลกจริงๆ ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2557

07 เมษายน 2558

ลางมรณะ

"ก้อย" เล่าเรื่องสยองขวัญจากร้านเสริมสวย

เมื่อพูดถึงเรื่องถือโชคถือลาง หนูเองแม้จะเป็นคนต่างจังหวัด ยอมรับว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อาจจะมีจริงก็ได้ หรืออาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้ จนกระทั่งหนูได้พบกับเรื่องลางร้ายน่ากลัวที่กรุงเทพฯ นี่เอง

สาเหตุจากการมาทำงานในร้านเสริมสวยของน้านิด ญาติข้างแม่หนู เป็นตึกแถวคูหาเดียว ตอนแรกก็เป็นลูกมือไปก่อน มีผู้ช่วยในร้านชื่อเพ็ญ โดยเพ็ญเป็นช่างเล็บกับช่วยสระผม ส่วนการซอยและไดร์ผมเป็นหน้าที่ของมืออาชีพอย่างน้านิดเท่านั้นค่ะ

น้านิดบอกให้หนูคอยดูกับสังเกตเอาไว้ แบบ ครูพักลักจำไงคะ!

ถ้าว่างน้านิดก็จะสอนเรื่องสระผม เกาและนวดหนังศีรษะ ใช้แชมพูกับครีมนวดให้ถูกต้อง คอยจดจำไว้ด้วยว่าลูกค้าคนไหนชอบหนัก-เบายังไง กับใครมีแชมพูพิเศษ มาฝากไว้บ้าง ทั้งเอามาเองกับซื้อทางร้านแล้วฝากไว้เลย

ลูกค้าส่วนมากเป็นคนในซอย ประเภทขาประจำกันทั้งนั้นแหละค่ะ บางคนย้ายบ้านไปแล้วก็ยังต้องมาทำผมที่ร้านเรา บอกว่าไปทำร้านอื่นแล้วไม่ถูกใจ

คุณป้าดวงแขอยู่กลางซอย ทำให้หนูได้รู้เรื่องลางร้ายแปลกๆ น่าขนลุกขึ้นมา!

คุณป้าอายุหกสิบเศษ ฐานะดี รูปร่างบอบบาง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส สวมแว่นกรอบทอง เครื่องประดับเพียบตัว ทั้งสร้อย แหวน กำไล ตุ้มหู ชอบเดินกางร่มมาทำผมทำเล็บบ่อยๆ หรือไม่ก็เดินไปตลาด เข้า-ออกเป็นประจำทุกวัน บางวันก็เดินผ่าน 2-3 ครั้งแน่ะค่ะ

ความที่เป็นคนเก่าแก่จึงรู้จักคนเกือบทั้งซอย เดินยิ้มเดินทักทายกันตลอดทาง...หนูล่ะกลัวแทนจริงๆ เพราะมีรถรากับผู้คนหนาตา ซอยนี้ก็มีทางเข้าออกหลายทางเสียด้วย

ขาไปก็จะแวะทักทายน้านิด ถามว่าจะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า? บางทีไม่ได้ฝากซื้อแต่คุณป้าก็ซื้อมาฝาก ผลไม้บ้าง แกงถุงบ้าง บอกว่าเห็นน่ากินก็นึกถึง ส่วนมากน่ะไม่ได้คิดเงินหรอกค่ะ

วันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ตอนเย็น...

คุณป้าดวงแขมาสระผม หนูเป็นคนสระ น้านิดเป็นคนไดร์...เก้าอี้ข้างๆ พี่เพ็ญกำลังโกรกสีผมให้น้าหนุ่ม-ลูกค้ารายนี้อายุเกือบ 40 แล้วแต่ยังโสด แต่ก่อนเคยเช่าบ้านอยู่ในซอยกับพี่น้อง เพิ่งย้ายไปอยู่บ้านจัดสรรแถวคู้บอนได้ไม่กี่เดือนนี่เอง

น้าหนุ่มชอบพูดทีเล่นทีจริงกับคุณป้าดวงแขบ่อยๆ ว่าอยากมีแฟนกับเขาสักคน ขอไหว้วานให้คุณป้าช่วยหาแฟนให้หน่อยเถิด

มีลูกค้าอีกสองคนเข้ามานั่งรอ เสียงคุยกันแจ้วๆ สารพัดเรื่อง...จู่ๆ น้านก-บ้านอยู่ถัดเข้าไปก็เดินเข้าซอยมาหยุดหน้าร้าน ร้องว่า อ้าว? นึกว่าว่างแล้วจะมาสระผมหน่อย น้านิดบอกให้เข้ามารอก่อน หรือเดี๋ยวค่อยออกมาก็ได้...แต่น้านกโผล่เข้ามาแล้วอ้าปากค้าง

"เอ๊ะ! พี่แข...มานั่งสระผมตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็เพิ่งสวนทางกันหยกๆ นี่เอง"

คุณป้าดวงแขหัวเราะชอบใจ ว่าน้านกตาฝาด แต่ฝ่ายนั้นยืนยันเสียงแข็งว่าเพิ่งเห็นคุณป้าหยกๆ ไม่เกินห้านาทีแน่นอน!

"หนูเห็นพี่แขเลี้ยวออกจากซอย ยังยิ้มให้หนูเลย...ว่าจะทักก็รีบเดินมาที่ร้านนิดเขานี่แหละ"

คนอื่นๆ หัวเราะกันใหญ่ ยืนยันตรงกันว่าคุณป้าดวงแขมาสระผม แล้วก็นั่งให้น้านิดไดร์ผมอยู่นี่ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว! น้านกตาฝาดแน่ๆ หรือไม่ก็คงยั่วเย้ากันเล่น แต่น้านกสีหน้าไม่ค่อยดี...อ้อมแอ้มว่าขอกลับบ้านก่อนแล้วจะกลับออกมาใหม่

คล้อยหลังไปไม่นาน ครูติ๋วก็เดินถือถุงอาหารสำเร็จรูปเข้ามาในร้าน ทักทายคนนั้นคนนี้แล้วเงยหน้ามองกระจก ทำตาโตจ้องหน้าคุณป้าดวงแข

"พี่แขซื้ออะไรมาคะ เร็วจัง เพิ่งเห็นเดินเข้าตลาดเมื่อตะกี้เอง!"

เสียงหัวเราะดังตามเคย แต่แล้วก็ค่อยๆ เงียบหาย หน้าตาไม่ค่อยดีจนถึงขาวซีดไปตามๆ กัน

ครูติ๋วมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความงุนงง คุณป้าดวงแขยืนยันว่ายังไม่ได้ไปตลาดเลย คิดว่าทำผมเสร็จก็เดินไปหาซื้ออะไรหน่อย เผื่อจะได้ของกินอร่อยๆ ติดไม้ติดมือมาฝากมากินกัน

ค่ำนั้น ปิดร้านแล้วน้านิดกับพี่เพ็ญก็กลับบ้าน หนูอาบน้ำกินข้าวแล้วรีบขึ้นห้อง นอนชั้นบน รู้สึกใจคอเต้นระทึก ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลาย...ฝันร้ายแทบตลอดคืน

มารู้ข่าวตอนเช้าว่าคุณป้าดวงแขโดนจี้กลางทาง ขัดขืนเลยโดนคนร้ายแทงตายคาที่ ก่อนจะบึ่งมอเตอร์ไซค์หนีไปได้

ใครเคยเจอลางร้ายแบบนี้บ้างไหมคะ? บรื๋อออ...นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 4 ธันวาคม 2557

06 เมษายน 2558

แม่น้ำวิปโยค

"นที" เล่าเรื่องสยองปนสลดเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่

ท่ามกลางสายชลปั่นป่วนปานจะคลุ้มคลั่ง แผ่นดินลับหายไปใต้สายน้ำเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ประหนึ่งโลกทั้งโลกมีอุทกธารท่วมท้น ปราศจากเรือกสวนไร่นา แม้แต่บ้านช่องก็ถูกกลืนกินจนหมดสิ้นเช่นกัน!

แม่กอดลูกชายตัวน้อยไว้กับอก เหม่อมองไปยังกระแสเชี่ยวกรากเหมือนจะถล่มทลายสรรพสิ่งที่ขวางหน้าให้พินาศวอดวายไปในพริบตา

"เดี๋ยวพ่อก็จะกลับมาแล้ว" แม่บอกลูกด้วยเสียงปลอบโยน แต่คล้ายจะบอกกล่าวตัวเองมากกว่า "อีกไม่นานหรอกลูก พ่อต้องได้ข้าวได้น้ำมาให้เรา อย่ากลัวไปเลยลูกเอ๋ย..."

เสียงนั้นขาดหายไปเพราะก้อนสะอื้นที่ประดังขึ้นมาจุกลำคอ เหลืออยู่แต่เสียงสายน้ำสาดซ่าครึก โครมราวกับจะประกาศก้องถึงชัยชนะยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ที่ทรงพลังเหนือมวลมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเสมอมา!

ท้องฟ้ามืดครึ้ม หนักอึ้งด้วยเมฆฝน มีเสียงคำรามครืนครัน สะท้านสะเทือนไปถึงหัวอกหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน

แม่กอดกระชับลูกน้อยแน่นหนามากกว่าเดิม...

ปีนี้ฝนแรงเหลือเกิน ตั้งแต่เหนือลงมาโน่น เหมือนเทวดากริ้วโกรธสาดน้ำลงมาจนหมดฟ้า โหมกระหน่ำทั้งวันทั้งคืน อย่าว่าแต่ดินโคลนจากภูเขาจะถล่มทลายย่อยยับ ก้อนน้ำยิ่งรวมตัวกันเป็นเกลียวคลื่นมหึมา บ้าคลั่ง ไหลหลั่งถาโถมลงมาตามแม่น้ำลำคลองจนเอ่อท้น แผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง

ไร่นาสาโทจมหายไปใต้น้ำ บ้านเล็กเรือนน้อยจ่อมจมถึงหลังคา หลายสิบหลายร้อยหลังคาเรือน ถูกกระแสน้ำรุนแรง เชี่ยวกราก ถูกพัดกระเจิงไปใน สายชลขุ่นข้น เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ถูกถอนราก ถอนโคนล่องลอยไปลิบๆ

แม่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาอันไหลรินอาบแก้มเงียบเชียบไม่ต่างกับความทุกข์ทนของแม่พระธรณี...

วันก่อนนั้นยังเห็นบ้านช่องที่ลดหลั่นลงไปวิ่งวุ่นขนของหนีน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานก็ต้องตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไปบนหลังคา บ้างก็ลงเรือจ้าละหวั่นหลบหนีมหันตภัยที่จู่โจมเข้าใส่จนตั้งตัวไม่ทัน

อีกไม่กี่วันต่อมา บ้านที่สูงขึ้นหน่อยก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน!

อาหารการกินเริ่มหมดไป แม้แต่น้ำในตุ่มก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว พ่อต้องบุกบั่นออกไปด้านหลังเพื่อหาอาหารมาให้ลูกเมีย...

ได้ข่าวว่าทางการเขาเริ่มเอาอาหารกับน้ำลงเรือมาแจกผู้คนแล้ว...ผู้คนนับร้อยๆ ในหมู่บ้านนี้ที่กำลังอดอยาก หิวโหย ทนทุกข์ทรมาน จนหลายๆ คนซึมเศร้า ไม่ค่อยพูดค่อยจามีวี่แววว่าอยากจะฆ่าตัวตาย ทำลายชีวิตตัวเองที่ยากแค้นแสนลำเค็ญเต็มประดา

ไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่ล่องลอยมาตามน้ำ ตะขาบและแมงป่องพิษสงร้ายกาจจนต้องไล่ทุบไล่ตีกันวุ่นวายแทบไม่หยุดหย่อน

ฟ้าหมองมัว มืดครึ้มลงทุกทีแล้ว แต่พ่อก็ยังไม่กลับมา...

หรือจะโดนงูร้ายขบกัดจนสิ้นใจไม่มีใครรู้เห็น?

หรือจะเฝ้ารอข้าวปลาอาหาร ที่เขาว่ามีทั้งถุงยังชีพกับข้าวกล่อง น้ำกิน พอประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ

ฟ้ามืดมัวเต็มที...น้ำตาแม่ไม่มีจะไหลแล้ว ได้แต่กอดลูกชะเง้อชะแง้แลหาพ่อ...เมื่อไหร่หนอพ่อจะกลับมา? ก่อนที่ลูกเมียจะอดตาย หรือไม่ก็น้ำท่วมจนตอนตะกายหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคาเหมือนบ้านที่อยู่ต่ำลงไป...

แต่บ้านพวกนั้นหลายสิบหลังก็จมหายไปใต้น้ำจนหมดสิ้นแล้ว!

ปีกมืดดำของราตรีกางออกปกคลุมสรรพสิ่ง โดยเฉพาะความหมองเศร้าระคนกับน่าอัปยศอดสู ทิ้งไว้แต่เสียงสะอื้นไห้กับเสียงหัวเราะครื้นเครงของสายน้ำบ้าคลั่ง ที่กระทำย่ำยีมวลมนุษย์ได้สาสมใจ

รุ่งขึ้น ตะวันสาดแสงเจิดจ้า สว่างไสว มองเห็นสายชลเวิ้งว้างแทบสุดลูกหูลูกตาตามเดิม

เรือบรรเทาทุกข์ขนอาหารและของใช้มาแจกจ่ายผู้คนที่ยังจับเจ่ารอคอย อยู่ตามหน้าต่างและหลัง คา...ล้วนแต่ยกมือท่วมหัวไปตามๆ กัน ด้วยความซาบซึ้งและระลึกถึงน้ำจิตน้ำใจที่เผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ของคนร่วมชาติ ร่วมเผ่าพันธุ์...

เมื่อจะแวะไปที่บ้านโย้เย้หลังนั้น ใครคนหนึ่งก็บอกว่าสองแม่ลูกจมน้ำตายไปสองวันแล้ว...เหลือแต่บ้านร้างไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่ชีวิตเดียว!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 3 ธันวาคม 2557

05 เมษายน 2558

วิญญาณคะนอง

"ป้าแจ่ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจขี้เล่น

เขาว่าคนโดนผีหลอกมักจะเป็นคนประสาทอ่อน จิตใจอ่อนไหวง่าย เช่นทารกที่ยังไม่รู้ความกับเด็กๆ ทั่วไป รวมทั้งหนุ่มสาวอีกด้วย ส่วนคนแก่มักจะไม่ค่อยโดนผีหลอก

"โอ๊ย! คนแก่น่ะผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน ไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนอะไรง่ายๆ ผีรู้ดีว่าต่อให้พวกมันหลอกหลอนแค่ไหนก็ไม่กลัว มันเลยไม่อยากยุ่งให้เสียเวลา"

พอฟังได้ใช่ไหมคะ แต่ลองฟังอีกคนพูดบ้างสิคุณ

"ผีมันเห็นว่าแก่ซะขนาดนี้ ไม่ช้าก็กลายเป็นผีอยู่ด้วยกันแล้ว เผลอๆ ผีมันเห็นยังตกกะใจ...นึกว่าเจอผีหลอกซะอีกแน่ะ!"

แหม! ขอโทษเถอะ...ฟังแล้วป้าอยากตบปากมันจังเลยค่ะ!

หลานสาวป้าชื่ออัมพร ชื่อเล่นไม่มี เรียกกันแต่พรๆ ตอนมันยังเล็กก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอแตกเนื้อสาวเข้าหน่อยมันบอกว่าเพื่อนๆ เรียก "พอลล่า" กันทั้งนั้นเลย

โธ่เอ๊ย! อีแหม่มกะปิ! มันกลับทำหน้างงๆ ถามว่าแหม่มชอบกินกะปิก็มีหรือยาย? พูดถึงสาวๆ สมัยนี้แล้วอ่อนใจ ใครพูดถึง "สำเพ็ง" มันคงนึกว่าชวนไปเที่ยวที่นั่นละมั้งคะ? เซ็งว่ะ...เอ๊ย! เซ็งค่ะ แฮ่ะๆ

คนปูนป้าน่ะส่วนมากเลิกทำการงานแล้ว ป้าก็เช่นกัน โชคดีที่มีลูกๆ หลานๆ ดูแล แต่ป้าก็มีบำนาญกินในฐานะครูเก่า วันๆ ก็ช่วยดูแลบ้าน ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะทำได้ ตอนเย็นๆ ก็มานั่งคอยหลานๆ ทั้งหญิงและชาย ซนเป็นทโมนไพรเชียว...แต่ก็รักมันนะ

บางวันก็ไปวัด ไม่ว่าวัดอินทร์ วัดสามพระยา วัดเอี่ยมวรนุช...วัดหลังนี่ไปบ่อย ไหว้ท่านท้าวมหาพรหมบ้าง หลวงปู่ทวดบ้าง เจ้าแม่กวนอิมบ้าง...นึกครึ้มๆ ก็ไปเสี่ยงเซียมซีเอาเลขไปเล่นหวยน่ะซีคะ...ผู้หญิงม่ายคราวป้าจะมีอะไรให้ลุ้นล่ะคุณ?

ป้าเคยถูกเลขท้ายสองตัวหลายครั้งนะ ทำเป็นล้อเล่นไป พอลล่า เอ๊ย! หลานยายได้เงินพิเศษไปหนึ่งพันบาท ดีอกดีใจเข้ามาจูบซ้ายจูบขวา ป้าชื่นใจนะ แต่แกล้งทำหน้าตาย ถามว่ามาประจบแบบนี้เพราะอยากได้เงินอีกใช่มั้ย? มันตอบว่าไงรู้ไหมคะ

"โอ๊ย! หนูรักยายต่างหากล่ะ ยายหนูน่ะ...สวยขนาดนั้น หวานขนาดนี้ แถมใจดีอีกต่างหาก จะไม่ให้หนูรักยาย เป็นปลื้มกับยายได้ยังไงคะ ยายขา"

เวียนหัวกับคำพูดของมัน แต่อดยิ้มไม่ได้หรอกค่ะ

มัวแต่เรื่อยเปื่อยเรื่องอื่นเสียเวลา ขอเข้าเรื่องขนหัวลุกเลยนะคะ!

เมื่อตอนต้นปีก่อนเขามีเรื่องมีราวกันที่ท้องสนามหลวง ตาอ๋อ - คนในซอยไปเฮ้วๆ กับเขา ขากลับโดนรถชนตายคาที่...ที่เรียกตาอ๋อน่ะไม่ใช่คนแก่นะคุณ เราชอบเรียกคนรุ่นลูกรุ่นหลานว่าพ่อนั่นแม่นี่, ตานั่นยายนี่ จนติดปาก...ตาอ๋ออายุสามสิบกว่าแล้ว อ่อนกว่าลูกชายคนโตของป้าด้วยซ้ำ นิสัยแกเมาแล้วซ่าเป็นประจำ

มาถึงเรื่องสำคัญคือเขาลือว่าผีตาอ๋อเฮี้ยนนัก ไม่ต้องพูดถึงกลางค่ำกลางคืนถึงจะมาหลอกหลอนเลยค่ะ นั่นน่ะผีเบ็ดเตล็ดหรือผีกิ๊กก๊อก! แต่ตาอ๋อนี่ระดับผีมีปริญญานะคุณ

แกมาหลอกกลางวันแสกๆ ตั้งแต่บ่ายโมงไป ยันโพล้เพล้ เดินปะปนไปกับคนในซอยน่ะแหละ ไม่ค่อยมีใครสนใจจนมองหน้าจังๆ ตาอ๋อก็ยิ้มให้ พอจำได้ก็ร้องโวยวายราวกับคนบ้าหรือเจ๊กตื่นไฟ โว้ยๆ จนแตกตื่นกันทั้งซอย!

ตอนแรกก็ว่าตาฝาด แต่เอ๊ะ! นับวันยิ่งหนาหูขึ้นทุกที ป้านั่งเล่นหน้าบ้านคอยหลานเล็กๆ รุ่นน้องแม่อัมพร มองดูคนเดินผ่านไปมา รู้จักกันก็ทักทายกัน...แต่ไม่เคยเจอตาอ๋อซักที ตอนแกยังไม่ตายก็ถูกชะตากันดีค่ะ

เย็นหนึ่งป้าก็เจอดีเข้าให้ คือมองดูคนเดินผ่านแล้วนึกถึงตาอ๋อ...คนไหนนะ? เอ๊ย! ตัวไหนนะ ผีที่เดินปะปนมากับคนตามที่เขาร่ำลือกันน่ะ แต่ก็ไม่เห็น ซักที จนห้าโมงกว่าๆ ฟ้าครึ้มเชียว แสงแดดหายไปหมด ก็พอดีมองเห็น...นั่นตาอ๋อนี่นา!

ยกมือป้องหน้า ขยับแว่นมองให้แน่ใจ นึกกลัวนิดๆ แต่พอเขาเดินใกล้เข้ามาก็ไม่ใช่ตาอ๋อหรอกค่ะ แต่เป็นตาเบิ้ม สูงต่ำดำขาวพอๆ กัน...ตาเบิ้มยิ้มให้ ป้าจนกำลังจะเดินผ่านไปรอมร่อ นึกยังไงไม่รู้ดัน หันขวับมามองทันใด

"ว้าย...ตาเถนหัวถลอก!"

ป้าหลุดออกไปเต็มปากเต็มคำ เพราะใบหน้านั้นคือตาอ๋อชัดๆ แถมยืดคอเข้ามาหาจนป้าผงะหงาย มันร้องแว่! จนป้าหวิดสลบ ตาเหลือก ยกมือขึ้นกุมอกใจเต้นโครมคราม...ตาเบิ้มเดินผ่านป้าไปแล้ว

พุทโธธัมโม! จะหลอกก็หลอกกันดีๆ ซี่ ดันแปลงตัวมาหลอกหลอนแบบนี้น่ะไม่แฟร์ย่ะ! คนแก่ก็มีหัวใจ นะยะ...ขอบอก! เอิ๊ก...ลมใส่ซีคะคุณ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 2 ธันวาคม 2557

03 เมษายน 2558

เด็กในขวดดอง

"เคย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องสยองขวัญ

ห้องพยาบาลของโรงเรียนผมอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียนที่สูง 3 ชั้น ใครขี้เกียจเรียนหรือทำการบ้านไม่เสร็จ กลัวครูดุ ก็มักอาศัยห้องนี้เป็นที่หลบภัย อ้างว่าปวดหัวปวดท้องไปตามเรื่อง ครูพยาบาลจะจับกรอกยาแล้วให้นอนพัก

ที่ตู้กระจกใกล้ๆ เตียงพยาบาลมีขวดโหลหลายใบตั้งโชว์อยู่ ขวดใสมีน้ำสีเหลืองแช่อวัยวะที่ตัดจากศพ สมอง หัวใจ ปอดและเด็กดอง!

สมองเป็นของคนเส้นเลือดแตก หัวใจจากคน ถูกยิง ปอดนั้นตัดจากคนที่สูบบุหรี่จัดจนดำไปแถบหนึ่ง ส่วนเด็กดองที่แช่อยู่ในแต่ละโหล เป็นเด็กที่ตายในครรภ์ตั้งแต่ 5-7 เดือน แต่ละคนจะพิการไปคนละอย่าง ดูยังไงก็เหมือนภูตหรืออะไรที่น่าขนลุก

แหม...ตอนที่เรียนอยู่ม.ต้นน่ะ ผมคิดว่าบรรยากาศห้องพยาบาลจะรื่นรมย์กว่านี้เยอะ ถ้าไม่มีชิ้นส่วนศพมนุษย์กับทารกดองพวกนี้น่ะ!

อาจารย์บอกว่ามีไว้ให้ดูเพื่อเป็นการศึกษา พวกเราไม่ค่อยคิดอะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมกลัว ไม่กล้ากล้ำกรายเข้าไปแถวนั้น ไม่กล้านอนแม้จะปวดหัวตัวร้อนแค่ไหนก็ตาม

วันเกิดเหตุ ราวสิบโมงเช้าผมปวดหัวตุ้บๆ แล้วอาการก็หนักขึ้น คุณครูมาจับตัวผมแล้วร้องว่าร้อนจี๋เลย อนุญาตให้ผมออกจากห้องเรียนไปหาคุณครูพยาบาลเพื่อกินยา แล้วนอนพักซะ พวกเพื่อนๆ มองอย่างอิจฉา แต่มันก็รู้ว่าผมไม่ได้แกล้ง

พอไปถึงคุณครูก็ให้กินยา แล้วผมก็เดินเข้าไปในห้องที่วางเตียงไว้ ตรงผนังด้านหนึ่งมีสามเตียง อีกฝั่งหนึ่งมีสองเตียง ตู้ขวดดองจะอยู่ระหว่างแถวเตียงพอดี

เดินโผเผล้มตัวบนเตียงที่อยู่ด้านในสุด ม่านหน้าต่างปิดไว้ทำให้ห้องดูสลัวๆ อากาศครึ้มเย็น แบบนี้ล่ะเป็นไข้หวัดดีนักแล เออ...แต่คืนก่อนผมนอนดึกมาติดๆ กัน 2-3 คืน ร่างกายพักผ่อนไม่พอก็เลยล้มเจ็บง่ายๆ

อย่างวันนั้นน่ะผมรู้สึกอ่อนแอมากเลยครับ พอหัวถึงหมอนก็หลับตา ชักผ้ามาคลุมถึงใต้คาง ปวดหัวมากจนทรมาน คิดว่ากินยาเดี๋ยวคงหาย

ระหว่างหลับๆ ตื่นๆ ผมรู้สึกว่าในห้องที่มืดสลัว เย็นฉ่ำพิกลๆ นี้ไม่ได้มีผมอยู่เพียงคนเดียวหรอก...คุณครูพยาบาลเรอะ? ไม่ใช่! คุณครูนั่งทำงานอยู่ข้างนอกนั่น ผมพยายามปรือตาดูว่าใครกันนะที่เดินขวักไขว่ในห้องนี้?

ผู้ชายคนหนึ่งก้มหน้าลงมาเกือบชิดผม กลิ่นบุหรี่เหม็นๆ ฟุ้งเข้าจมูก ผมเบือนหน้าหนี รู้สึกว่าเขาจะยิ้มกว้างแล้วถอยออกไป

อ้าว? เด็กๆ ที่ไหนไม่รู้มาวิ่งเล่นรอบๆ เตียง บางคนกระโดดขึ้นมาจนผมรู้สึกถึงแรงสะเทือนกับเสียงหัวเราะคิกคัก...ผมนึกถึงผีขึ้นมาทันที! พอนึกอย่างนั้นผมก็ลืมตาขึ้นทันที

ทุกอย่างในห้องสงบนิ่ง มืดสลัว ได้ยินแต่เสียงหึ่งเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ...ผมคงคิดไปเองแบบคนเป็นไข้แล้วเพ้อ ตอนนั้นไม่คิดถึงเจ้าของอวัยวะในโหล ดองทั้งหลายเลย

เมื่อคิดว่าเราเพ้อไปเองเพราะพิษไข้? ใจก็สงบลงแล้วหลับต่อ อาการปวดหัวค่อยทุเลาแล้ว แต่มันปวดไปหมดทั้งตัว หนักอึ้งและเพลียมาก

แค่หลับตาลงผมก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะใสๆ อยู่ข้างเตียง เหมือนแกอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับผมน่ะครับ ใจผมอยากจะไล่แกให้ไปไกลๆ อย่ามากวน...คนจะนอน! เสียงหัวเราะชะงักลง เป็นเสียงบ่นอู้อี้เหมือนจะเสียใจที่โดนไล่

จิตผมถูกดึงให้ดิ่งลงเรื่อยจนไม่อาจขัดขืนได้เลย...แล้วผมก็เห็นภาพนั้น!

ที่เตียงฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายนั่งสามคน เป็นชายอ้วน กับผอมกงโก้เป็นขี้ยา คนที่สามมีรอยคล้ำๆ แผ่อยู่ตรงอกด้านซ้าย...ทั้งสามคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มีเด็กเล็กๆวิ่งเล่นอยู่รอบห้อง พวกแกวิ่งเร็วมาก เหมือนแมวที่ เผ่นโผนกระโจนแบบตัวเบาๆ ไร้น้ำหนัก ไปทางนั้นทีทางนี้ที

ขณะที่มองเห็นพวกเขา ผมกลับไม่รู้สึกอยากฝืนแรงดึงดูดนั้นอีกต่อไป...

ปล่อยใจให้สบายๆ ปรากฏว่าได้ผลครับ...ตัวเบา ความเจ็บปวดและเมื่อยล้าดูจะค่อยๆ สลายไปจากร่างกาย แล้วผมก็ผล็อยหลับ...หลับสนิทไปเลย!

สรุปว่าวันนั้นผมหลับไปสามชั่วโมงเต็มๆ

เมื่อตื่นขึ้นแม้จะอ่อนเพลียอยู่บ้างก็ดีขึ้นมากๆ ผมลุกขึ้นไปล้างหน้าแล้วเดินออกจากห้องพยาบาล ขณะเดินผ่านตู้กระจกก็ต้องชะงัก แล้วเพ่งมองอวัยวะในขวดดองทีละขวด อย่างที่ไม่เคยสนอกสนใจถึงขนาดนี้มาก่อน

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผู้ชายและเด็กๆ ในห้องเป็นใคร? พวกเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอกหลอน แต่มาเฝ้าไข้ อยากให้ผมหายเร็วๆ ด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่ไหวละครับ...ผมขยาดห้องพยาบาลจนจบ ม.หกเลยละ...บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 1 ธันวาคม 2557

02 เมษายน 2558

คืนรับวิญญาณ

"กิ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของวาระสุดท้าย

สมัยเด็กดิฉันอยู่ในซอยสายลม สนามเป้า ซอยนี้เข้าไปมีหลายเลี้ยว ใช้เป็นทางลัดไปออกซอยสุทธิสาร 8 หรือไม่ก็สวนทางกันเพื่อหลบการติดขัดของจราจรก็ได้ค่ะ

บ้านติดกันคือบ้านป้าแจ่ม อายุ 70 เศษ รุ่นเดียวกับยายดิฉัน แต่แม่เรียกว่าป้าแจ่ม ดิฉันกับพี่ๆ น้องๆ ก็พลอยเรียกป้าแจ่มไปด้วย สังเกตว่าถ้าได้ยินพวกเราเรียกแบบนี้ทีไร ป้าแจ่มจะยิ้มละไม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความขบขันระคนพออกพอใจมากๆ เลย

ป้าแจ่มเป็นคนรูปร่างเล็กบาง ผมดัดสั้นๆ ขาวโพลนเหมือนปุยสำลี...ยายเคยชมป้าแจ่มต่อหน้า ยังติดหูติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้

"แม่แจ่มผมขาวสวย น่าอิจฉาจริงๆ เพราะฉันใจไม่ถึงเหมือนแม่แจ่ม ไม่กล้าปล่อยขาว เลยต้องย้อมผมเดือนละครั้ง"

สามีป้าแจ่มเสียชีวิตไปเกือบสิบปี อยู่กับลูกๆ หลานๆ อีกหลายคน ตัวเองเป็นครูเก่า ออกมารับบำนาญกินทุกเดือนไม่เดือดร้อน ถึงเดือนก็แต่งตัวออกไปรับบำนาญ ขากลับจะมีขนมและผลไม้มาฝากหลานๆ และเด็กข้างบ้านอย่างดิฉันกับพี่น้องเป็นประจำ

เมื่อดิฉันเรียนม.ปลาย ป้าแจ่มก็ไม่ต้องไปรับบำนาญแล้ว แกบอกว่าตอนนี้เขาโอนเงินเข้าบัญชีให้เลย ดิฉันกับเพื่อนๆ ที่เคยไปวิ่งเล่นที่บ้านป้าแจ่ม ไปมาหาสู่กันเป็นประจำตั้งแต่เด็กจนรุ่นสาว ก็ยังไปหาป้าแจ่มตอนเย็น หรือไม่ก็วันเสาร์วันอาทิตย์อยู่เสมอ

ป้าแจ่มมีเก้าอี้นวมตัวโปรดอยู่ที่เฉลียงร่มรื่น มีทั้งกระดังงา, การเวก, มหาหงส์และสายน้ำผึ้งเลื้อยขึ้นตามค้าง ตอนหลังมีไม้เลื้อยพันธุ์ใหม่ ดอกสีขาวเป็นช่อหอมกรุ่น เราเรียกราชาวดี แต่ป้าแจ่มบอกเสียงหัวเราะว่า...ต้องเรียกไลแล็กซีจ๊ะ ถึงจะไม่เชย!

พวกเราขำกลิ้งไปตามๆ กัน ชอบฟังคำพูดแปลกๆ แต่น่าคิดน่าขำของป้าแจ่มทุกคนแหละค่ะ อย่างพูดถึงสวรรค์หรือเทวดา ป้าแจ่มก็จะบอกว่า

"โอ๊ย! อย่าไปสนใจเลยว่าข้างบนโน้นจะมีจริงหรือเปล่า หรือถ้าเกิดมีจริงๆ ป้าก็คิดว่าเขาคงไม่อยากยุ่งกับพวกเราหรอกจ้ะ"

แต่พวกเราก็มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียน ทั้งการสอบไล่บ้าง สอบเอ็นท์ บ้าง...บางคนก็ผิดหวัง ทำหน้าเศร้ามาหาป้าแจ่ม บางคนเงียบๆ เฉยๆ แต่บางคนหน้าตาซึมเซาเศร้าหมอง เอ่ยปากว่าจะทำยังไงดี ในเมื่อชีวิตมันไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดเลย!

ป้าแจ่มถอนใจยาว บอกกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"เราก็ต้องฟันฝ่ามันไปน่ะสิจ๊ะ ถึงชีวิตจะผิดหวัง หม่นหมองแค่ไหน เราก็ต้องต่อสู้ต่อไป...ถ้าตอนนี้ยังยิ้มไม่ได้ ก่อนตายเราจะหัวเราะได้ยังไง? แต่ถ้าตายเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้หยุดพักไปตลอดกาลเมื่อนั้น"

ยุพดี เพื่อนรุ่นพี่ถามว่าตอนนี้ป้าแจ่มมีความหวังอะไรในชีวิตบ้างล่ะคะ?

คนอื่นๆ เงียบไปหมด แต่ก็อยากรู้คำตอบตรงกัน ป้าแจ่มถอนใจอีกครั้ง นัยน์ตาสีน้ำข้าวเหม่อลอย เหมือนกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีตัวตน ก่อนจะฝืนยิ้ม

"ป้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้พบคนที่ป้ารักเสียที! ไม่ว่าพ่อ แม่ ญาติมิตรสนิทสนม สามีกับลูกชายคนโตที่ตายจากไปตั้งแต่เด็กๆ ป้าไม่เชื่อเรื่องสวรรค์-นรก แต่เชื่อว่าโลกหน้ามีจริง ใครอยากไปที่ไหนก็ได้ไปที่นั่น! คืนก่อนลูกชายป้าก็มาหา..."

ขณะนั้นราวห้าโมงเย็นกว่าๆ อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนจนดูเหมือนใกล้ค่ำ ลมพัดวูบ ยอดไม้ไหวซ่า เล่นเอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก เสียงเยือกเย็นของป้าแจ่มก็ดังวู่หวิวคล้ายจะคละเคล้ามากับสายลม

"เขาบอกว่ามาหาแม่ มารอรับแม่...เวลาของแม่เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว! พ่อกับตายายก็จะมารับแม่ด้วย...พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง! พวกเพื่อนๆ ของแม่อีกหลายคนก็จะมารับเหมือนกัน...ไปด้วยกันเถอะแม่! เราจะได้มีความสุขเหมือนวันคืนเก่าๆ ไงล่ะ..."

"ต๊ายตาย!" ยุพดียกมือทาบอก ทำตาโต "น่ากลัวจังค่ะ"

ดิฉันกลืนน้ำลาย ขนลุกซ่าไปทั้งตัว มองดูนัยน์ตาอมสุขของป้าแจ่มแล้วใจหาย...เป็นนัยน์ตาของคนที่พร้อมจะอำลาโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ด้วยความสุขและความหวังเต็มเปี่ยม

วันต่อๆ มา ป้าแจ่มดูสดชื่นแจ่มใส มองพวกเราด้วยแววตายั่วเย้าและเอ็นดู

"จวนจะได้เวลาของป้าแล้ว อย่าคิดอะไรมากเลยหนู เมื่อคืนสามีป้าก็มาหา พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงอีกหลายคน...เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก! ความตายก็เหมือนการนอนหลับหรือฉากผ่านของชีวิต เป็นความฝันที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคนเราเท่านั้นเอง"

จนกระทั่งคืนนั้น...เสียงหัวเราะเริงร่าดังมากระทบหูจนดิฉันสะดุ้งตื่น อากาศยามดึกเย็นยะเยือก เหมือนมีอะไรดลใจให้ลุกไปดูที่หน้าต่าง ตรงกับหน้าบ้านป้าแจ่มพอดี

หญิงชายกลุ่มใหญ่ยืนพูดคุยปนหัวเราะกันอยู่ที่ระเบียง ป้าแจ่มแต่งตัวเรียบร้อยเดินยิ้มแย้มออกมา ผมสีเงินยวงดูเป็นประกายอยู่ในแสงจันทร์...แล้วภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปจากม่านน้ำตาของดิฉันเอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557