"ครูสงค์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแม่น้ำน้อย
เส้นเลือดแห่งการยังชีพของชาวจังหวัดอ่างทอง ที่นอกเหนือจากแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ยังมีแม่น้ำน้อยอีกสายหนึ่งที่ชาวโพธิ์ทองและชาววิเศษชัยชาญ ได้อาศัยลำน้ำน้อยหล่อเลี้ยงการยังชีพตลอดมา
อาม้าไน้ (อาม้าชื่อไน้) เล่าว่า ถ้าเริ่มเดือนอ้าย น้ำเริ่มถอยลง จากลำแม่น้ำที่เคยกว้างใหญ่ก็จะแคบลงมา คงทิ้งร่องรอยแห่งดินตะกอนให้เห็น ชายฝั่งแถบใดเป็นที่เนินลาดชาวบ้านจะปลูกพืชผักสวนครัว อาทิ มะเขือ แตงกวา บวบ แฟง ฯลฯ ไว้กินกันแทบทุกบ้าน
สาเหตุเพราะต้นไม้ล้มลุกเหล่านี้อายุสั้น ใช้พื้นที่ไม่มากนัก และก็ชอบดินตะกอนทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ดีมาก
ถ้าบริเวณใดเป็นหาดลาดเทก็จะมีหญ้าขึ้นงอกงาม...
โดยเฉพาะชายหาดหน้าบ้านอาม้าจะมีหญ้าขึ้นพอสมควร ไม่ถึงกับรกรุงรังอะไรนัก ต้นหญ้าเหล่านี้พอถึงฤดูหัวน้ำขึ้น น้ำจะท่วมยอดหญ้า...ลักษณะน้ำท่วมเช่นนี้เองเป็นเหตุให้ปลาสร้อย ปลาซ่า เข้ามาหาหินและผสมพันธุ์กัน
...ที่นั่นเองจะมีปลาขึ้นเป็นคู่ๆ จนกลายเป็นฝูงขนาดใหญ่ ชาวบ้านจะแอบมาสุ่มปลากันตอนกลางคืนเป็นประจำ!
ถ้าอาม้าดับตะเกียงเมื่อไหร่ สักครู่ใหญ่ๆ เท่านั้น จะมีมือสุ่มค่อยๆ ดุ่มออกจากดงโสน โคนกอไผ่ กอลำเจียก กันเป็นทิวแถว...ลงไปล่าเหยื่ออย่างเงียบเชียบ รับรองว่าครอบสุ่มลงไปต้องได้ปลาสร้อยปลาซ่าไม่ต่ำกว่า 20 ตัว ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเครื่องล่อใจใครต่อใครหลายคน ต่างมุ่งดิ่งตรงมายังชายน้ำหน้าบ้านอาม้าเหมือนนัดแนะกันไว้
จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุสยองขวัญ!
ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสุ่มปลาซ่าอย่างลืมตัว ยิ่งได้ปลามากยิ่งสนุกมาก ทันใดนั้นเองก็มีเสียงมือสุ่มคนหนึ่ง คือ ทิดยม ร้องอุทานอย่างตระหนกตกใจสุดขีด พร้อมกับเหวี่ยงสิ่งหนึ่งที่ติดมือ แต่ยังอยู่ในสุ่ม ซึ่งไม่สามารถลอดหัวสุ่มออกมาได้... คนอื่นๆ หันไปมองเหมือนนัดกันไว้
อารามตกใจบวกกับความหวาดกลัว ทำให้ทิดยมวิ่งไปทั้งๆ ที่สุ่มยังติดมือ!
นักสุ่มคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์พลอยตระหนกตกใจไปตามๆ กัน ต่างคนต่างวิ่งตามเพื่อนไปเป็นกลุ่มจนน้ำกระจาย จนกระทั่งไปทันกันที่ชายตลิ่ง...ทิดยมหอบฮั่กๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย
"เป็นอะไรวะ? หนีอะไร?" เสียงถามแซ่แซ่ด ทิดยมทำหน้าสยองเต็มที ก่อนจะตอบเสียงขาดเป็นห้วงๆ ทั้งเหนื่อยและตกใจแทบเสียสติ
"ข้า...ข้าสุ่มเอาหัวผีเข้าน่ะซีวะ! โอย..."
"ฮ้า?" คนอื่นๆ ผงะหน้า "เอ็งสุ่มหัวผีเข้าหรือวะ?"
"เออ...ไม่รู้ใครตัดหัวผีมาทิ้งไว้ ยังมีผมเผ้าติดอยู่เลย! โอย...พูดแล้วขนลุก..."
คนที่ได้ยินคำยืนยันล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน...ปากต่อปาก ข่าวแพร่สะพัดราวกับจุดไฟเผาทุ่งปานนั้น!
วันพรุ่งรุ่งขึ้น เป็นที่โจษขานกันทั่วคุ้งคลอง ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาไม่เป็นที่ยุติเสียที...มีอยู่คนเดียวที่หัวเราะร่าเหมือนมีอารมณ์ขันทั้งวันทั้งคืน เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่?
อาม้านั่นเอง...ที่หัวเราะอย่างมีสุข เพราะไม่มีใครมารบกวนการหลับนอนของแกในยามค่ำคืน...ไม่มีเสียงหมาเห่ากระโชกให้หนวกหูอีกต่อไป! ข้อสำคัญที่สุด อาม้าก็เอาลอบดักปลาไปวาง จะได้ปลาสร้อย ปลาซ่ามากมาย แทนที่จะเป็นเหยื่อของชาวบ้าน
ว่าแต่ต้นตอของเรื่องนี้มาจากอะไรกันแน่?
เมื่ออาม้าไน้อารมณ์ดี ว่างจากการพายเรือขายของ ผมลองถามดูว่าอาม้าเชื่อหรือไม่ว่าเป็นหัวผีที่ทิดยมแกสุ่มเจอเข้า เล่นเอาขนลุกขนพองไปตามๆ กัน จนไม่มีใครกล้ามาลักลอบสุ่มปลาที่นั่นอีกต่อไป อาม้าได้ฟังคำถามถึงกับหัวเราะปากกว้าง น้ำหมากกระเซ็นทีเดียว ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า...
"เรื่องมันบังเอิญน่ะ อั๊วไม่ได้ตั้งใจหรอกว่ะ ว่าแต่ลื้อฟังแล้วต้องเงียบๆ ไว้ อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครรู้นะ...ขอร้อง"
เรื่องของเรื่องก็คือ อาม้าเอามะพร้าวกล้อนทิ้งไว้ชายตลิ่ง นานๆ เข้าขุยมะพร้าวมันก็ชักหายไป เหลือแต่ใยมะพร้าวติดกับลูก...เมื่อหญ้าขึ้นปกคลุมทำให้มองไม่เห็นลูกมะพร้าว พอคนมาสุ่มปลาครอบลงไป เจอะเจอมะพร้าวเจ้ากรรมก็ตกใจสุดขีดแทบสติแตกทันที
นั่นคือ คิดว่าเป็นหัวคนที่มีเส้นผมติดอยู่ ไม่ว่า จะนึกว่าผีหลอกหรือเป็นผีหัวขาดจริงๆ ก็เกือบ ช็อกตายทั้งนั้นแหละ...แค่นึกถึงภาพก็น่าขนหัวลุกแล้ว จริงไหมครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น